Reincarnation Of The Strongest Sword God 2589-2596
ตอนที่ 2589 จุดเทเลพอร์ตขนาดกลาง
เมืองที่สาบสูญนั้นทำหน้าที่เป็นฐานที่มั่นลับของสภาสิบแปดปีกเพื่อดูแลผู้มีความสามารถมานานแล้ว และแม้กระทั่งตอนนี้ มันก็มีสมาชิกกิลอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน และโดยทั่วไปก็มีเพียงแต่แกนหลักที่มีศักยภาพสูงเท่านั้นถึงจะมีสิทก้าวเข้าสู่เมือง ยิ่งไปกว่านั้นแกนหลักเหล่านี้ยังจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจสอบหลายครั้งก่อนที่จะได้รับอนุมัติให้เข้าสู่เมืองที่สาบสูญ เพราะท้ายที่สุดเรื่องราวของหอคอยพิเศษนั้นมันสำคัญมากๆ ….
ตอนนี้เมื่อซือเฟิงต้องการจะสร้างจุดเทเลพอร์ตที่มั่นคงและเป็นความลับในเทือกเขาปีศาจหมาป่า เมืองที่สาบสูญจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขา
ประการ เขาไม่สามารถจะเปิดเผยจุดเทเลพอร์ตที่เชื่อมโยงกับทวีปหลักสองด้านให้กับคนจำนวนมากรู้ได้ ดังนั้นฐานที่มั่นที่เขาต้องการให้เทือกเขาปีศาจหมาป่าจึงจะต้องมีผู้เล่นปฎิบัติการอยู่ภายในนั้นน้อยที่สุด
ประการที่สอง ขนาดของฐานที่มั่นนั้นไม่ควรจะใหญ่เกินไป เพื่อที่จะได้ประหยัดกำลังคนและทรัพยากรในการดูแลรักษา ไม่งั้นการปกปิดเรื่องของมันจะยากมาก เพราะท้ายที่สุดตอนนี้สภาสิบแปดปีกถูกจับตาดูอย่างมาก และถ้าเงินของกิลหายไปโดยไม่มีเหตุผลรองรับที่ดีพอ เหล่าสายลับในสภาสิบแปดปีกก็จะรีบรายงานไปยังกิลพวกเขาแน่นอน
ซึ่งเมืองที่สาบสูญนั้นก็ล้วนผ่านเงื่อนไขทั้งสองประการนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ….
แน่นอนว่าการย้ายเมืองกิลไปยังแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยขึ้นไปนั้นมันก็ยังคงจัดว่าเป็นเรื่องบ้าบออย่างไม่น่าเชื่อ เพราะท้ายที่สุดอันตรายที่แฝงตัวอยู่ในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยขึ้นไปนั้นไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะ หากเมืองกิลที่ถูกย้ายไป ไม่มีการป้องกันที่เพียงพอ มันอาจจะไม่สามารถรอดจากระลอกแลกของคลื่นมอนสเตอร์ที่โจมตีมันได้เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของสภาสิบแปดปีก ตราบใดที่ซือเฟิงไม่ได้ย้ายเมืองเข้าไปลึกเกินไปในเทือกเขาปีศาจหมาป่า การป้องกันมอนสเตอร์เหล่านี้นั้นก็ยังจะสามารถทำได้
“ท่านลอร์ด การย้ายเมืองของท่านไปยังเทือกเขาปีศาจหมาป่านั้นเป็นเรื่องอัน
ตรายมากๆ และเมื่อเมืองของท่านถูกย้ายไปที่นั่น มันจะไม่ได้รับการปกป้องจากประเทศใดๆอีกต่อไป ท่านแน่ใจหรอว่าท่านต้องการจะย้ายมันน่ะ ?” ลอร์เรนถาม
“ฉันแน่ใจ” ซือเฟิงตอบพลางพยักหน้า
“ได้ตามนั้น !! โปรดระบุพิกัดที่แน่นอนที่ท่านต้องการย้ายมาได้เลย !!” ลอร์เรนกล่าวขณะที่เธอหยิบแผนที่ของเทือกเขาปีศาจหมาป่าออกมา
“ที่นี่แหละ …” ซือเฟิงพูดขณะที่เขาชี้ไปยังเนินลูกรังในพื้นที่ชั้นในของเทือกเขาปีศาจหมาป่า
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เทือกเขาปีศาจหมาป่านั้นมีชื่อเสียงอย่างมากใน God domain เนื่องจากมันมีจุดเทเลพอร์ตสองจุดที่เชื่อมต่อกับทวีปด้านตะวันตก อย่างไรก็ตามจุดเทเลพอร์ตจุดที่สองนั้นมันไม่เหมือนกับจุดเทเลพอร์ตแรกที่ซือเฟิงเข้าควบคุมได้ จุดเทเลพอร์ตจุดที่สองนั้นเป็นจุดเทเลพอร์ตขนาดกลางและสถานการณ์ทั้งหมดของมันก็ค่อนข้างพิเศษ
จุดเทเลพอร์ตขนาดกลางนี้นั้นมันอยู่ภายในถ้ำปีศาจหมาป่า ผู้เล่นที่ต้องการจะเปิดใช้งานวงเวทย์เทเลพอร์ตนั้นจำเป็นจะต้องเคลียร์มอนสเตอร์ภายในถ้ำก่อน อย่างไรก็ตามมอนสเตอร์ภายในถ้ำนี้จะเกิดใหม่เป็นระยะๆ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยเมื่อเกิดใหม่ ซึ่งนี่มันก็จะทำให้ไม่มีใครสามารถควบคุมจุดเทเลพอร์ตแห่งนี้ได้อย่างแท้จริง และผู้เล่นทุกคนก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากจุดเทเลพอร์ตนี้ได้ตราบใดที่พวกเขามีคริสตัลเวทย์มนต์มากเพียงพอ
ด้วยเหตุนี้ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิง จุดเทเลพอร์ตนี้จึงเปลี่ยนมืออยู่บ่อยๆ เพราะมันมีมหาอำนาจหลายกลุ่มที่พยายามจะต่อสู้เพื่อผูกขาดมัน และเปลวไฟแห่งสงครามก็ไม่เคยมอดลงเลยในจุดเทเลพอร์ตแห่งนี้ แม้จะผ่านไปหนึ่งทศวรรษใน God domain แล้วก็ตาม …..
ขณะเดียวกันตอนนี้ซือเฟิงก็กำลังพยายามเร่งด่วนที่จะเข้าควบคุมจุดเทเลพอร์ตที่เชื่อมต่อกับทวีปหลักทั้งสองด้าน อย่างไรก็ตามเขาจะต้องใช้เวลานานมาก หากเขาต้องการจะเข้าควบคุมจุดเทเลพอร์ตอื่นๆที่เขารู้จักให้ได้จริงๆ ไม่ว่ามันจะเป็นจุดเทเลพอร์ตขนาดเล็กหรือใหญ่ มันก็จำเป็นที่จะต้องส่งทั้งกำลังคนและทรัพยากรเข้าไปต่อสู้หรือทำเควสบางอย่างก่อน แถมนี่ยังไม่นับรวมการต้องฝ่ามอนสเตอร์เข้าไปอีก ดังนั้นจุดเทเลพอร์ตขนาดกลางที่อยู่ในเทือกเขาปีศาจหมาป่าจึงเป็นทางเลือกเดียวของเขาตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้นจุดเทเลพอร์ตขนาดกลางในภูเขาปีศาจหมาป่านี้ยังอยู่ในพื้นที่เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบด้วย ซึ่งมันยังคงเป็นจุดบอดสำหรับมหาอำนาจต่างๆในปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงสามารถที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพของการปกครองในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง และการเลือกที่นี่จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่เลย
“ยืนยันตำแหน่งแล้ว โปรดกรอกมันลงไปในป้ายคำสั่งย้ายเมืองของท่าน นอกจากนี้ท่านยังจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเคลื่อนย้ายเป็นจำนวนเงินแปดหมื่นเหรียญทอง”
ลอร์เรนกล่าว “ซึ่งเมื่อท่านชำระค่าธรรมเนียมแล้ว เราจะทำการเคลื่อนย้ายเมืองของท่านไปยังพิกัดที่ท่านระบุให้เร็วที่สุด”
“แปดหมื่นเหรียญทอง ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจกับราคานี้
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการย้ายเมืองกิลไปยังแผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่โดยปกติเรื่องนี้มันก็จะคิดตามขนาดของเมือง ซึ่งในขณะเดียวกัน เมืองที่สาบสูญนั้นเป็นเพียงเมืองขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่มันกับมีราคาในการย้ายไปยังพิกัดเป้าหมายที่ซือเฟิงต้องการในพื้นที่ชั้นในของเทือกเขาปีศาจหมาป่าเป็นจำนวนเงินถึงแปดหมื่นเหรียญทอง นี่มันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง
ถ้าเขาทำการย้ายเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐาน ค่าใช้จ่ายในการย้ายมันก็คงจะทำให้เขาล้มละลายได้เลย
“ใช่แล้ว ไม่เพียงแต่สถานที่ที่ท่านเลือกจะไกลเท่านั้น แต่มันยังมีความพิเศษอีกด้วย ดังนั้นค่าธรรมเนียมการย้ายจึงแพงกว่าปกติเล็กน้อย อย่งไรก็ตามโปรดมั่นใจได้เลยว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เราเรียกเก็บนั้นยุติธรรมและสมเหตุสมผล” ลอร์เรนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ นี่คือป้ายคำสั่งย้ายเมืองและเงินแปดหมื่นเหรียญทอง” ซือเฟิงกล่าวขณะที่เขาส่งป้ายและเงินให้ลอร์เรน
เมืองป่าหินของเขานั้นพึ่งจะทำกำไรได้มากขึ้นอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายที่สภาสิบแปดปีกต้องแบกรับนั้นมันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน อันเนื่องมาจากการที่พวกเขารับสมัครผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเพิ่มขึ้น และทำให้จำนวนผู้เชี่ยวชาญของกิลมีมากถึงสองแสนสองหมื่นคนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามโชคดีที่กิลสามารถจะประหยัดเงินเข้ากองทุนสภาพคล่องของกิลไว้ได้หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นเหรียญทอง ไม่งั้นเขาจะไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมการย้ายครั้งนี้ได้แน่นอน
“ได้รับชำระเรียบร้อย การย้ายจะเสร็จสิ้นภายในสามสิบนาที และท่านมีเวลาหนึ่งวันในการดำเนินขั้นตอนการส่งมอบให้เสร็จสิ้น ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเราจะออกจากที่นั่นหลังผ่านไปหนึ่งวัน ดังนั้นโปรดดำเนินขั้นตอนการส่งมอบให้ไวที่สุด” ลอร์เรนเตือนหลังจากได้รับการชำระเงิน
ในเวลาเดียวกันกับที่ลอร์เรนพูดจบ เมืองที่สาบสูญก็ได้หายไปจากโบนเลสแลนด์ และทิ้งไว้เพียงแต่พื้นที่ว่างเปล่า
ซึ่งตอนนี้มันก็ทำให้เหลือแต่สมาชิกของสภาสิบแปดปีกที่เต็มไปด้วยความสับสนเท่านั้นที่ยังอยู่ในโบนเลสแลนด์
และในเวลาไม่นาน ซือเฟิงก็ได้รับการติดต่อมาจากอควาโรส
“หัวหน้ากิล ปัญหาใหญ่ !! เมืองที่สาบสูญหายไป !!” อควาโรสรายงานอย่างเร่งรีบ
เมืองที่สาบสูญนั้นเป็นสนามฝึกลับของสภาสิบแปดปีกสำหรับดูแลผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าเมืองนี้จะมีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่ร้อยคน แต่ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ที่นั่นทุกคนก็ล้วนเข้าถึงขอบเขตที่แท้จริงได้แล้ว และหากให้พูดกันตรงๆพวกเขาก็มีความสามารถในการต่อสู้กับมอนสเตอร์มากกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งด้วยซ้ำ
ปัญหาเดียวคือผู้เล่นที่ได้รับการเลี้ยงดูที่เมืองสาบสูญนั้นล้วนเป็นผู้มาหใม่ที่มีเลเวลต่ำมาก พวกเขาส่วนใหญ่ยังมีเลเวลไม่ถึงหนึ่งร้อยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการมาถึงขั้นสามเลย อย่างไรก็ตามตราบใดที่เลเวล และขั้นของผู้เล่นเหล่านี้ตามทันผู้เล่นชั้นแนวหน้าของเกมเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะกลายเป็นแกนหลักของสภาสิบแปดปีกได้แน่นอน และความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ สภาสิบแปดปีกก็จะมีคุณสมบัติมากพอที่จะยืนอยู่บนเวทีเดียวกันกับมหาอำนาจที่แท้จริงต่างๆ
ดังนั้นการหายไปอย่างกระทันหันของเมืองที่สาบสูญจึงจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาในอนาคตของสภาสิบแปดปีก
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันเป็นคนทำมันเอง …” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
คำพูดของซือเฟิงนั้นทำให้อควาโรสสับสน “หัวหน้ากิลทำให้มันหายไป ?”
เมืองที่สาบสูญนั้นตอบสนองต่อจุดประสงค์ของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ แล้วเหตุใดซือเฟิงถึงทำให้มันหายไปในขณะที่สภาสิบแปดปีกกำลังเริ่มขยายขอบเขตการปฎิบัติการออกไปอย่างรวดเร็ว กิลจำเป็นจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเพื่อให้กิจวัตรประจำวันของกิลสามารถดำเนินไปได้อย่างปกติ
“อืม ฉันย้ายเมืองป่าหินไปที่พื้นที่ชั้นในของเทือกเขาปีศาจหมาป่า ซึ่งมันจะทำให้ในอนาคตเราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้ฝึกที่ยอมเสียสละเลเวลเพื่อปรับปรุงมาตราฐานการต่อสู้ของตัวเอง” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
“พื้นที่ชั้นในของเทือกเขาปีศาจหมาป่า ? นั่นคือพื้นที่ล่าเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบไม่ใช่หรอ ?” ดวงตาของอควาโรสเบิกกว้างด้วยความตกใจ และเธอก็คิดว่าซือเฟิงบ้าไปแล้วที่ย้ายเมืองที่สาบสูญไปที่นั่น
เมืองที่สาบสูญนั้นเป็นแค่เมืองขั้นพื้นฐาน แล้วมันจะไปทานทนการโจมตีของมอน
สเตอร์ในแผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยได้ยังไงกัน ? แถมการย้ายมันไปที่นั่นยังทำให้มันจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากประเทศต่างๆของ NPC ซึ่งมีแต่จะทำให้มันถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วก็เท่านั้น …!!!
“ผ่อนคลายน่า มันจะสามารถป้องกันการโจมตีจากพวกมอนสเตอร์ได้แน่นอน …” ซือเฟิงกล่าวอย่างสบายๆเมื่อเห็นความกังวลของอควาโรส
“แต่นั่นมันแผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยเลยนะหัวหน้ากิล !!! แถมมันยังอยู่ในพื้นที่ล่าเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบด้วย !!!” แม้ว่าซือเฟิงจะมั่นใจ แต่ท้ายที่สุดอควาโรสก็ยังอดไม่ได้ที่จะกังวล เพราะเมืองนี้นั้นไม่ได้มีกองอัศวินแบบที่เมืองป่าหินมีคอยปกป้องเลย
“ใช่แล้ว แล้วการรวบรวมเหล่าองครักษ์ส่วนตัวไปถึงไหนแล้ว ?” ซือเฟิงถามเปลี่ยนหัวข้อ
“การรวบรวมองครักษ์ส่วนตัวนั้นกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น และตอนนี้เรารวบรวมมาได้มากกว่าหนึ่งร้อยคนแล้ว ซึ่งตามคำแนะนำของหัวหน้ากิล เราได้รวบรวมเฉพาะผู้ที่บาดเจ็บหนักและมีศักยภาพในการเติบโตมากกว่ายี่สิบมาเท่านั้น และแม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังมีศักยภาพในการเติบโตแค่สามสิบสอง” อควาโรสกล่าว
“ได้มากขนาดนั้นแล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้ยินรายงานของอควาโรส “รวบรวมพวกเขามาที่สถานที่พักกิลของเมืองป่าหินทันที มันถึงเวลาแล้วที่เราจะให้พวกเขาทำงาน”
ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะทำการเสริมความแข็งแกร่งให้กับองครักษ์ส่วนตัวโดยใช้ เศษชิ้นส่วนวรรณคดีของเทพโบราณ แต่มันก็ยังคงห่างไกลจากสิ่งที่สภาสิบแปดปีกต้องการ เพราะท้ายที่สุดการจะรวบรวมธาตุวิญญาณมาเพื่อให้พอใช้ Soul Strengthening ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นการค้นหา NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงนั้นมันก็ยังยากมากๆด้วย และตั้งแต่ชุดสุดท้ายที่นำมาใช้ Soul Strengthening นั้น สภาสิบแปดปีกก็แทบจะยังไม่ได้รับมาเพิ่มเติมเลย
นี่เป็นอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นข้อเสียและข้อจำกัดของเศษชิ้นส่วนวรรณคดีของเทพโบราณก็ได้
อย่างไรก็ตามน้ำแห่งชีวิตจากต้นไม้แห่งชีวิตนั้นแตกต่างออกไป ไม่เพียงแต่มันจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของ NPC ได้เล็กน้อย แต่มันยังสามารถชุบชีวิต NPC ที่ตายแล้ว หรือรักษาอาการบาดเจ็บหนักของ NPC ได้ภายในเวลาอันสั้น น้ำแห่งชีวิตนั้นเป็นดั่งมานาจากสวรรค์สำหรับ NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตลดลงอย่างมากอันเนื่องมาจากบาดเจ็บหนัก
หลังจากซือเฟิงพูดจบ เขาก็หยิบม้วนคัมภีร์พอร์ตของกิลออกมา และใช้มันเทเลพอร์ตกลับไปยังเมืองป่าหินทันที
ตอนที่ 2590 เอฟเฟคของน้ำแห่งชีวิต
เมืองป่าหิน สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก :
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ของสถานที่พักกิล NPC มากกว่าหนึ่งร้อยชีวิตที่ดูเต็มไปด้วยความไร้เรี่ยวแรงและสิ้นหวังกำลังยืนอยู่ในแถว โดย NPC เหล่านี้นั้นล้วนเป็นผู้พิการ บาดเจ็บหนัก หรือไม่ก็เป็นพลเมืองที่มีออร่าแห่งชีวิตที่อ่อนแอมากๆ สำหรับเสื้อผ้า พวกเขาสวมเกราะที่ขาดรุ่งริ่ง หรือไม่ก็เสื้อผ้าลินินที่ไม่น่าเรียกว่าเสื้อผ้าได้แล้ว และแม้แต่บุคคลที่มีเลเวลสูงในหมู่พวกเขาก็ยังมีเลเวลมากกว่าห้าสิบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยคนที่มีเลเวลต่ำที่สุดนั้นมีเลเวลยี่สิบ และเนื่องจาก NPC เหล่านี้ยืนเป็นแถวกันอยู่ในห้องประชุมขนาดใหญ่ มันจึงทำให้ที่นี่ดูเหมือนกับค่ายผู้ลี้ภัยเลย
“หัวหน้ากิล ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว …” อควาโรสรายงานขณะที่เธอเดินเข้ามาหาซือเฟิง
“หัวหน้าวางแผนจะใช้น้ำแห่งชีวิตอันมีค่ากับคนเหล่านี้จริงๆงั้นหรอ ?”
ในตอนนี้เธอได้รู้ถึงข้อมูลเกี่ยวกับต้นไม้แห่งชีวิตที่ถูกปลูกอยู่ในลานชั้นบนสุดของโรงแรมอิสระแล้ว เพราะในระหว่างที่ซือเฟิงไม่อยู่ มันมีคนอีกสามคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลลานภายในนั้นและทำงานได้อย่างปกติ ซึ่งเธอก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น
ย้อนกลับไปในตอนแรกที่เธอได้เห็นต้นไม้แห่งชีวิตที่เป็นเศษชิ้นส่วนระดับดีไวน์อาติแฟค จิตใจของเธอนั้นก็แข็งค้างด้วยความตกตะลึงอย่างมาก เธอไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่ากิลที่เธออยู่ตอนนี้จะน่าทึ่งมากๆ ปัจจุบันมหาอำนาจต่างๆใน God domain นั้นยังไม่ได้มีไอเทมระดับตำนานไว้ในครอบครองด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงไอเทมระดับเศษชิ้นส่วนระดับดีไวน์อาติแฟคเลย อย่างไรก็ตามสภาสิบแปดปีกกับมีเศษชิ้นส่วนระดับดีไว์อาติแฟคแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นต้นไม้แห่งชีวิตนี้ยังสามารถจะผลิตน้ำแห่งชีวิตได้สิบเจ็ดหยดต่อวัน โดยน้ำแห่งชีวิตนั้นเป็นของล้ำค่าอย่างน่าเหลือเชื่อที่จะหาได้ผ่านโชคเท่านั้นใน God domain เพราะท้ายที่สุดแล้วน้ำแห่งชีวิตนั้นสามารถที่จะใช้ชุบชีวิต NPC ที่ตายได้ ซึ่งสำหรับมหาอำนาจต่างๆที่ล้วนกังวลอย่างมากว่า NPC ที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของพวกเขาจะตาย น้ำแห่งชีวิตนั้นจัดเป็นสมบัติล้ำค่าแน่นอน
องครักษ์ส่วนตัวนั้นมีพลังมากกว่าผู้เล่นอย่างมาก และมีความสามารถที่เหนือกว่าผู้เล่นในปัจจุบันแบบเทียบไม่ติด และการได้รับน้ำแห่งชีวิตมาสักหยดนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับมหาอำนาจต่างๆ ด้วยเหตุนี้มหาอำนาจต่างๆจึงไม่กล้าจะให้องครักษ์ส่วนตัวของพวกเขาไปปฎิบัติการอะไรที่มีความเสี่ยงเลย
อย่างไรก็ตามตอนนี้สภาสิบแปดปีกกับผลิตน้ำแห่งชีวิตได้สิบเจ็ดหยดต่อวัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องกังวลว่าจะสูญเสียองครักษ์ส่วนตัวที่ทรงพลังไปเลย และพวกเขาก็สามารถปรับใช้ NPC เหล่านี้ได้กับการปฎิบัติการทุกประเภทที่พวกเขาต้องการ
อย่างไรก็ตามสำหรับสภาสิบแปดปีกในปัจจุบันนั้น แม้จะผลิตน้ำแห่งชีวิตได้สิบเจ็ดหยดต่อวัน มันก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของกิล หากพวกเขาต้องการจะรักษา NPC มากกว่าหนึ่งร้อยคนตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ พวกเขาก็จะต้องใช้ทั้งหมดที่พวกเขาเก็บสะสมมาเลย
มันอาจจะดีถ้าพวกเขาใช้น้ำแห่งชีวิตทั้งหมดไปกับการรักษา NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ NPC ที่มารวมตัวกันที่นี่ตอนนี้นั้นล้วนเป็น NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตที่แย่มากๆ แม้ว่าพวกเขาจะฟื้นคืนสู่สภาวะสูงสุด แต่ศักยภาพในการเติบโตของพวกเขาก็คงจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ดังนั้นการใช้น้ำแห่งชีวิตกับ NPC เหล่านี้จึงจะเป็นการสูญเปล่ามาก
“อืมม ฉันต้องการทดสอบโชคของฉันหน่อย …” ซือเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาเห็นความไม่เต็มใจบนใบหน้าของอควาโรส
“ทดสอบโชค ?” คำตอบของซือเฟิงนั้นทำให้อควาโรสโกรธ
แม้ว่าการทดสอบโชคของคนๆหนึ่งจะเป็นเรื่องปกติ แต่การใช้น้ำแห่งชีวิตทดสอบนั้นมันก็ออกจะฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย หากมหาอำนาจต่างๆใน God domain ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาคงจะสาปส่งซือเฟิงแน่นอน
“เราไม่มีทางรู้นี่ว่าจะได้อะไร …” ซือเฟิงตอบกลับพลางหัวเราะเบาๆ “ไม่ว่าในกรณีใดการทิ้งน้ำแห่งชีวิตไว้ในคลังเก็บของเลยมันก็เป็นการสูญเปล่าเหมือนกันนั่นแหละ”
การใช้น้ำแห่งชีวิตเพื่อรักษา NPC เหล่านี้นั้นก็นับเป็นการเสี่ยงโชคอย่างดี เพราะท้ายที่สุดมันก็ไม่มีใครจะรับประกันได้ว่า NPC เหล่านี้นั้นจะอยู่ในระดับไหน เมื่อกลับคืนสู่สภาวะสูงสุดของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้ให้อควาโรสทำการรวบรวม NPC พวกนี้มาแบบสุ่ม แต่เขาได้ให้เธอเลือกรับสมัคร NPC ในสภาพนี้ที่อยู่ในขั้นสามหรือมากกว่าขึ้นไป และในขณะเดียวกันข้อกำหนดของเขาก็คือศักยภาพในการเติบโตของ NPC เหล่านี้จะต้องอยู่ที่ยี่สิบแต้มหรือมากกว่าขึ้นไป
ใน God domain NPC ใดๆที่สามารถเข้าถึงขั้นสามได้จะไม่ได้มีศักยภาพในการเติบโตที่ต่ำ ในขณะเดียวกันศักยภาพในการเติบโตยี่สิบแต้มนี้ก็นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับ NPC ขั้นสาม
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา มหาอำนาจต่างๆได้ทดลองใช้น้ำแห่งชีวิตกับ NPC ขั้นสามที่พิการ หรือบาดเจ็บหนัก ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ NPC ขั้นสามที่มีศักยภาพในการเติบโตต่ำกว่ายี่สิบแต้มตอนพิการหรือบาดเจ็บหนักนั้น ไม่สามารถจะกลายเป็นองครักษ์ระดับลึกลับขั้นเงินได้แม้ว่าจะหายจากอาการบาดเจ็บแล้วก็ตาม
แน่นอนว่านี่ก็ไม่ได้หมายความว่า NPC ขั้นสาม ที่พิการหรือบาดเจ็บหนัก ที่มีศักยภาพในการเติบโตยี่สิบแต้มหรือสูงกว่านั้นจะสามารถไปถึงมาตราฐานขององครักษ์ระดับลึกลับขั้นเงินได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้รับการรักษา โอกาสที่พวกเขาจะไปถึงระดับนั้นก็จะมีมากขึ้นมาก
โชคดีที่ในตอนนี้นั้นนอกเหนือจากสภาสิบแปดปีกแล้ว มันไม่มีกิลอื่นใดที่กำลังค้นหา NPC แบบนี้เลย เป็นผลให้สภาสิบแปดปีกสามารถค้นหา NPC เหล่านี้มาได้เป็นจำนวนมาก และด้วยศักยภาพในการเติบโตของ NPC เหล่านี้ โอกาสที่ซือเฟิงใช้น้ำแห่งชีวิตไปแล้วจะได้รับองครักษ์ส่วนตัวระดับสูงกลับมาก็มีสูงมาก
ในความเป็นจริงตราบเท่าที่องครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกล สองถึงสามคนปรากฎตัวขึ้นท่ามกลาง NPC มากกว่าหนึ่งร้อยคนนี้ สภาสิบแปดปีกก็จะได้รับแจ๊คพอตแล้ว เพราะท้ายที่สุด NPC ที่สามารถเข้าถึงมาตราฐานขององครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกล นั้นหายากอย่างไม่น่าเชื่อ ใน God domain และแม้ว่าซือเฟิงจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลจำนวนหนึ่งจากชีวิตที่ผ่านมาของเขา แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าจะหาองครักษ์ส่วนตัวเหล่านี้ได้จากที่ไหนเนื่องจากมหาอำนาจที่ครอบครององครักษ์ส่วนตัวเหล่านี้ได้ปิดบังข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ NPC เหล่านี้ สำหรับไคท์ที่เขารู้เรื่องราวของไคท์เพราะไคท์มีถิ่นกำเนิดในอาณาจักรสตาร์มูน และเจ้าของไคท์ในตอนนั้นเป็นคนปากสว่างเท่านั้น
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้มอบน้ำแห่งชีวิตหนึ่งหยดให้กับ NPC ทุกคน ซึ่งการกระทำของเขานั้นทำให้อควาโรสปวดใจมากๆ
น้ำแห่งชีวิตทุกหยดนั้นเท่ากับชีวิตของ NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และน้ำแห่งชีวิตนั้นก็ยังจะช่วยเพิ่มความเร็วในการเก็บเลเวลของสมาชิกในกิลขึ้นได้อย่างมาก ซึ่งมันก็จะทำให้กิลโจมตีบอสประจำพื้นที่ที่อยู่ในระดับเทพนิยายได้โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ต้องจ่ายด้วย เพราะท้ายที่สุดน้ำแห่งชีวิตมากกว่าหนึ่งร้อยหยดจะสามารถยกระดับพลังของกองกำลังหลักสภาสิบแปดปีกให้ขึ้นไปอยู่ที่ระดับใหม่ได้ทั้งหมด
เมื่อได้รับน้ำแห่งชีวิตจากซือเฟิง NPC ที่ตอนแรกดูเต็มไปด้วยความสิ้นหวังก็มีดวงตาที่เปล่งประกายขึ้นมาทันที ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้เจอกับแสงสว่างแห่งความหวัง
เมื่อ NPC ทั้งหมดในห้องนี้ได้รับส่วนแบ่งน้ำแห่งชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มองไปยังซือเฟิงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะบริโภคมันเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นออร่าแห่งชีวิตที่หนาแน่นก็เริ่มเข้าปกคลุมไปทั่วห้อง และมันก็หนาแน่นมากซะจนทำให้เซลล์ในร่างกายของอควาโรสรู้สึกกระปี้กระเปร่า และจิตใจของเธอก็มีความคมชัดมากขึ้น
หลังจากปรากฎการณ์นี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาสามวินาที ออร่าอันทรงพลังก็กวาดผ่านไปทั่วห้องราวกับว่ามีมังกรที่พึ่งจะตื่นจากการหลับใหล และนี่มันก็ทำให้อควาโรสอดไม่ได้ที่จะต้องถอยไปสองถึงสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว
“เป็นไปได้ยังไง ?!” ดวงตาของอควาโรสเต็มไปด้วยความตกตะลึง ขณะที่เธอจ้องมองไปยัง NPC ที่ยังคงดูเหมือนกลุ่มขอทานตรงหน้าเธอ
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ออร่าที่เธอสัมผัสได้จาก NPC เหล่านี้นั้นไม่เหมือนขอทานอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พวกเขามีออร่าที่ให้ความรู้สึกเหมือนนักรบที่มีประสบการณ์การต่อสู้และผ่านสนามรบมามากมายนับไม่ถ้วน แม้ว่าพวกเขาจะยังคงสวมใส่สิ่งต่างๆที่ดูเหมือนขอทานก็ตาม ซึ่งออร่าและมานาที่ล้นทะลักออกมาของพวกเขาก็จะทำให้คนทั่วไปแทบไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขาแน่นอน
ดูเหมือนว่าครั้งนี้เราจะเจอกับแจ๊คพอตจริงๆ ซือเฟิงตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงออร่าของ NPC ตรงหน้าเขา
ในตอนแรกนั้นเขาคิดว่าเขาจะโชคดีมากแล้ว หากเขาได้รับองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลมาเพิ่มอีกสักสองถึงสามคนจาก NPC ตรงหน้าเขานี้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดไปอย่างมาก
ความแข็งแกร่งของออร่าโดยรวมของ NPC จำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคนตรงหน้าเขานี้นั้น แทบจะเทียบเท่ากับอัศวินขั้นสาม จำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคนของเขาได้แล้ว และพูดกันตรงๆ หากพวกเขาติดตั้งอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคเต็มรูปแบบกัน พวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าพวกอัศวินขั้นสามในกองอัศวินของซือเฟิงด้วย
หลังจากนั้นซือเฟิงและอควาโรสก็ได้เริ่มตรวจสอบข้อมูลของ NPC เหล่านี้เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงมาตราฐานที่เพิ่มขึ้นของพวกเขา
เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้ว อคววาโรสก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
ในบรรดา NPC มากกว่าหนึ่งร้อยคนที่มารวมตัวกันที่นี่ แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังมีมาตราฐานขององครักษ์ส่วนตัวระดับเหล็กลึกลับ ซึ่งผู้ที่มีมาตราฐานเป็นองครักษ์ส่วนตัวระดับเหล็กลึกลับนี้ก็มีทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคน และทุกคนก็จัดว่ามีศักยภาพในการเติบโตที่สูงมากสำหรับองครักษ์ระดับเหล็กลึกลับ และด้วยความช่วยเหลือจากเศษชิ้นส่วนวรรณคดีของเทพโบราณ ซือเฟิงก็จะมีโอกาสสูงมากที่จะทำให้พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินได้
สำหรับ NPC อีก 57 คนที่เหลือ 49 คนนั้นเป็นองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน 6 คนเป็นองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกล และ 2 คนเป็นองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกล ผลลัพธ์นี้มันบ้าสุดๆเลยทีเดียว
ในขณะที่อควาโรสจ้องมองไปยังองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลทั้งสองนั้น ซือเฟิงก็ได้โฟกัสไปที่ชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีเทา แม้ว่าศักยภาพในการเติบโตของชายชราคนนี้จะอยู่ในมาตราฐานขององครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินเท่านั้น แต่ดวงตาของซือเฟิงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจขณะมองไปที่ชายชรา
จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้นสี่ ?!!
ตอนที่ 2591 สถานที่พักกิลใหม่ของสภาสิบแปดปีก
ซือเฟิงนั้นแทบไม่สามารถจะเชื่อสายตาตัวเองเลย ขณะที่เขาจ้องมองไปยังชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีเทา
นี่คือหนึ่งในผู้ทรงพลังที่แทบจะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของ God domain อย่างแท้จริง !!!
เมื่อสังเกตเห็นความตกใจของซือเฟิง ความสนใจของอควาโรสก็พุ่งมาที่จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสี่อย่างรวดเร็ว ตอนแรกเธอก็รู้สึกประหลาดใจมาก แต่อย่างไรก็ตามความผิดหวังก็ตามมาอย่างรวดเร็ว
เธอพึ่งจะสังเกตเห็นศักยภาพในการเติบโตของชายชราผู้นี้
“ช่างน่าเสียดาย” อควาโรสพูดพลางถอนหายใจ “การที่เขาอยู่ในขั้นสี่นั้นมันยอดเยี่ยมมากก็จริง แต่ด้วยศักยภาพในการเติบโตขององครักษ์ระดับลึกลับขั้นเงิน มันจะรั้งเขาไว้”
โดยปกติแล้วองครักษ์ส่วนตัวระดับทองแดง และระดับเหล็กลึกลับนั้นจะถูกจำกัดไว้ที่ขั้นสามเท่านั้น ในขณะที่องครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน แม้ว่าจะแข็งแกร่งกว่าทั้งสองระดับก่อนหน้า แต่พวกเขาก็จะชนเข้ากับกำแพงของขั้นสี่ และมีโอกาสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะเลื่อนไปเป็นขั้นห้าได้
มันมีผู้เล่นของ God domain มาถึงขั้นสามมากขึ้นทุกวัน และมันก็คงอีกไม่นานก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดไปจนถึงระดับสัตว์ประหลาดของมหาอำนาจต่างๆจะเริ่มท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ของพวกเขา ซึ่งเมื่อพวกเขาทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ของตัวเองเสร็จเรียบร้อย พลังของ NPC ขั้นสี่ก็จะถูกจำกัดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินที่ขั้นสี่นั้น พวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่ได้เป็นอมตะในหมู่ขั้นเดียวกันเลย
“น่าเสียดาย ?” ซือเฟิงส่ายหัวและหัวเราะ เขาไม่ได้คิดจะพูดอะไรมากกว่านี้
“ครั้งนี้เราโชคดีมากหัวหน้ากิล ตอนนี้เรามีองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลเพิ่มอีกสองคนแล้วได้แก่ การ์เดี้ยนไนท์ และออร่าเคิ่ล หากมีองครักษ์ส่วนตัวของหัวหน้ากิลอีกสองคนเข้าร่วม เราจะสามารถจัดทีมโจมตีบอสประจำพื้นที่ระดับสูงได้สบายๆเลย”
อควาโรสกล่าวด้วยความยินดี
ซือเฟิงนั้นเป็นหนึ่งในเค้าท์แห่งเมืองไวท์ริเวอร์ ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจในการจะรับสมัครองครักษ์ส่วนตัวของตัวเองได้สี่คน ซึ่งหากเขายอมรับองครักษ์ระดับดาร์คโกลหน้าใหม่สองคนนี้ เขาก็จะสามารถใช้ช่องทั้งสี่ได้อย่างคุ้มค่าอย่างมากๆ เพราะท้ายที่สุดองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลนั้นหายากอย่างไม่น่าเชื่อ และมหาอำนาจส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
“ฉันจะมอบองครักษ์ระดับดาร์คโกลสองคนนี้ให้ เธอและเสวี่ยเหวินโหรวไปตกลงกันเลยว่าจะเลี้ยงดูคนไหน พวกเธอทั้งคู่ต่างเป็นเค้าท์เช่นกัน ดังนั้นพวกเธอก็คงจะมีช่องพิเศษเหมือนกับฉันแหละ” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว “ส่วนฉันจะรับผู้อาวุโสที่สวมเสื้อคลุมสีเทาไป”
องครักษ์ระดับดาร์คโกลนั้นจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อผู้เล่นไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะตาย และการจัดทีมที่มีองครักษ์ระดับดาร์คโกลสี่คนหรือสูงกว่าเพื่อโจมตีบอสนั้นมันก็จะเป็นดั่งฝันเลย
อย่างไรก็ตามเขามักจะปฎิบัติการด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นแทนที่จะเก็บองครักษ์ระดับดาร์คโกลสองคนไว้กับตัวเอง สู้เขามอบให้เสวี่ยเหวินโหรวกับอควาโรสไปใช้ประโยชน์ดีกว่า เพราะท้ายที่สุดหญิงสาวสองคนนี้มักจะนำทีมไปล่าและโจมตีดันเจี้ยนเสมอ ซึ่งองครักษ์ระดับดาร์คโกลจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีมของพวกเธอได้อย่างมาก
“แต่หัวหน้ากิล ผู้อาวุโสนั่นเป็นเพียงองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน ….” การตัดสินใจของซือเฟิงทำให้อควาโรสประหลาดใจ
ซือเฟิงนั้นเป็นหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก ซึ่งเขาเป็นทั้งหน้าตาและไอค่อนของกิล แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลสองคน แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะเลือกองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลไปสักคน การเลือกองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินที่แม้ว่าจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสี่ไปนั้น จะทำให้เขากลายเป็นที่หัวเราะได้ ….
“องครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินคนนี้นั้นทรงพลังมากทีเดียว” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “แถมเขายังเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสี่ด้วย เขาสามารถจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองเมืองใหญ่ๆในอาณาจักรหรือจักรวรรดิต่างๆของ God domain ได้เลย เขานั้นเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างแท้จริง”
อควาโรสนั้นมองว่าองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินไร้ค่า เนื่องจากการที่สภาสิบแปดปีกได้มีองครักษ์ไฟน์โกลมากกว่าสามสิบคนแล้ว แต่เธอคงลืมไปว่า แม้แต่มหาอำนาจต่างๆส่วนใหญ่ในระยะนี้ของเกมนั้นก็ยังมีองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลแค่สองถึงสามคนเท่านั้น ขณะที่บางกลุ่มไม่มีเลยด้วยซ้ำ
โดยปกติแล้วมหาอำนาจต่างๆจะปฎิบัติต่อองครักษ์ระดับลึกลับขั้นเงินเหมือนลูกของตัวเองด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินที่อยู่ในขั้นสี่เลย
เป็นที่รู้กันดีว่าองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินนั้นมีโอกาสจะเข้าถึงแค่ขั้นสี่เท่านั้น แถมไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้ด้วย อย่างไรก็ตามขั้นสี่นั้นไม่ใช่แค่จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับผู้เล่น แต่มันยังเป็น NPC ด้วยเช่นกัน การเข้าถึงขั้นสี่นั้นเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสำหรับทุกคนเลยใน God domain
ไม่แม้แต่องครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไปถึงขั้นสี่ได้ เพราะองครักษ์ระดับนี้เพียงแค่มีโอกาสสูงเท่านั้นที่จะไปถึงขั้นสี่ แต่ไม่ได้รับประกันความสำเร็จ
จากข้อมูลที่ผู้เล่นในชีวิตที่ผ่านมาของเขาเก็บรวบรวมเป็นสถิติมานั้น องครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลมีโอกาสเพียงสามสิบเปอเซ็นต์ที่จะทำเควสเลื่อนขั้น เป็นขั้นสี่ได้สำเร็จ ขณะที่โอกาสขององครักษ์ระดับดาร์คโกลจะอยู่ที่ประมาณสี่สิบเปอเซ็นต์ และแน่นอนว่าแม้ว่าเหล่าองครักษ์ส่วนตัวจะล้มเหลวในการทำเควสเลื่อนขั้น แต่พวกเขาก็สามารถจะลองท้าทายได้อีกครั้ง ซึ่งผู้เล่นจะต้องลงทุนทรัพยากรมากขึ้นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามการท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่นั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานมากสำหรับทั้งผู้เล่นและ NPC ขณะที่องครักษ์ส่วนตัวก็จะต้องรอหนึ่งเดือนเต็มก่อนที่พวกเขาจะท้าทายเควสเลื่อนขั้นใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากล้มเหลว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะจินตนาการเลยว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการเลี้ยงดู NPC ขั้นสี่ขึ้นมา
สำหรับการรับสมัครองครักษ์ส่วนตัวที่เป็นขั้นสี่มาได้นั้น มันก็เป็นเหตุการณ์ที่แม้แต่ซือเฟิงที่ใช้ชีวิตมาสองชีวิตแล้วก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ และอย่างมากที่สุดผู้เล่นก็จะรับสมัครได้สูงสุดแค่ NPC ขั้นสามเท่านั้น แล้วค่อยเอามาดูแลจนมีขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
หากเขาเปิดเผยข้อมูลของชายชราคนนี้ไป มหาอำนาจต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาของเขาจะตายจากความอิจฉาแน่นอน
แม้ว่าศักยภาพในการเติบโตของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้นสี่นี้จะเทียบไม่ได้เลยกับองครักษ์ระดับดาร์คโกล แต่ซือเฟิงก็ไม่ได้กังวลใดๆ เขามีไอเทมมากมายที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของ NPC และชายชราคนนี้ก็จัดว่าอยู่ในระดับท๊อปของพวกองครักษ์ระดับลึกลับขั้นเงิน ดังนั้นด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อย เขาก็น่าจะอัพเกรดชายชราคนนี้ให้กลายเป็นองครักษ์ระดับไฟน์โกลได้
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้คัดเลือกให้ชายชราผู้นี้มาเป็นหนึ่งในองครักษ์ส่วนตัวของเขา
[แวร์ซาย] (องครักษ์ส่วนตัวของซือเฟิง)
เพศ : ชาย
อายุ : 76
ความภักดี : 75
ศักยภาพในการเติบโต : 74
เลเวล 112
อาชีพ : จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้นสี่
เมื่อเธอเห็นข้อมูลของแวร์ซายแล้ว อควาโรสก็พูดไม่ออก หลังจากได้ทำการรักษาและฟื้นตัวแล้ว NPC ขั้นสามคนอื่นๆก็ไต่ไปถึงเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบได้แล้วโดยเฉลี่ย ขณะที่การ์เดี้ยนไนท์ที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลที่เธอรับสมัครมาก็มีเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดด้วยซ้ำ แต่แวร์ซายกับมีเลเวลเพียงหนึ่งร้อยสิบสองเท่านั้น ?
แวร์ซายนั้นยังไปไม่ถึงเลเวลที่กำหนดเพื่อจะท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ด้วยซ้ำ และเขาก็ยังมีเลเวลน้อยกว่าองครักษ์ส่วนตัวตรงนี้แทบทุกคนด้วย
“มันน่าจะถึงเวลาแล้ว การย้ายเมืองที่สาบสูญน่าจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว รวบรวมสมาชิกกองกำลังหลักทันที รวมทั้งผู้มาใหม่และแกนหลักที่มีศักยภาพทั้งหมดที่ได้เซ็นสัญญารักษาความลับกับเรา จากนี้ไปเมืองที่สาบสูญจะเป็นสำนักงานใหญ่ด้านการพัฒนาของเรา” ซือเฟิงกล่าวขณะที่เขามองไปที่เวลา
“นั่นคือทั้งหมดงั้นหรอหัวหน้ากิล ? แล้วความปลอดภัยของเมืองที่สาบสูญล่ะ ?”
อควาโรสถามอย่างเป็นห่วง
เทือกเขาปีศาจหมาป่านั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายกว่าป่าใบไม้ผลิมาก ดังนั้นการจะปกป้องฐานที่มั่นที่นี่ให้ได้จึงมีความท้าทายมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองที่สาบสูญยังเป็นเพียงเมืองขั้นพื้นฐานเท่านั้นด้วย
แต่ซือเฟิงกับต้องการกำลังเข้าประจำการแค่จำนวนไม่มากนัก และแม้จะรวมกองกำลังหลักของกิลไป แต่เมืองนี้ก็จะมีผู้เล่นประมาณห้าพันคนเท่านั้น ซึ่งมันไม่ควรจะสามารถต้านทานการบุกของมอนสเตอร์ในเทือกเขาปีศาจหมาป่าได้เลย
“โดยปกติเราอาจจะต้องกังวลเรื่องนี้เมื่อมีสมาชิกแค่นี้ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ” ซือเฟิงกล่าวปลอบเพื่อนของเขา ขณะที่เขาเดินเข้าไปหาแวร์ซาย “เมื่อมีเขาที่นั่นด้วย เราจะไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆเรื่องความปลอดภัย”
“แต่เขาเป็นเพียงองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลหนึ่งร้อยสิบสอง ….”
อควาโรสเถียง
“วางใจเถอะน่า แค่เขาก็มากเกินพอแล้ว …” ซือเฟิงกล่าวโดยไม่คิดจะอธิบายใดๆ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “แค่ทำตามคำสั่งของฉัน ….”
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปจัดการทุกอย่างตามคำสั่งทันที ….” อควาโรสตอบตกลงอย่างสิ้นหวัง เมื่อซือเฟิงกล่าวมาแบบนี้นั้นเธอจึงไม่สามารถจะพูดอะไรมากได้
หลังจากนั้นในเวลาไม่ถึงสามสิบนาที สมาชิกหน้าใหม่ที่มีพรสวรรค์ของสภาสิบแปดปีกรวมทั้งแกนหลักที่ได้เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ใช้ม้วนคัมภีร์เทเลพอร์ตของกิลที่ซือเฟิงเตรียมไว้ให้เดินทางมาถึงเมืองที่สาบสูญ ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นเหมือนดินแดนมหัศจรรย์ในฤดูหนาวแล้ว
ตอนที่ 2592 สถานที่ฝึกโดยธรรมชาติ
เมื่อสมาชิกของสภาสิบแปดปีกเทเลพอร์ตมายังสถานที่พักกิลในเมืองที่สาบสูญ ที่บริเวณลานของสถานที่พักกิลก็เริ่มแออัดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ที่นี่มันคืออะไรกัน ? ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนพลังงานแปลกปลอมพยายามเข้ามาในร่างกายของฉัน”
“จู่ๆ ความรู้สึกของฉันก็รู้สึกทื่อลง และฉันก็รู้สึกกระหายมากๆ พวกระดับสูงบอกว่าจะนำพวกเรามายังพื้นที่ฝึกและเก็บเลเวลศักสิทธิ์ไม่ใช่หรอ ? มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ?”
“เพื่อนๆของฉันนั้นอิจฉาฉันมากๆที่ฉันได้รับเลือกให้เข้าร่วมการฝึกพิเศษของกิล ขณะที่พวกเขาไม่ … แต่ทำไมที่นี่ถึงดูจะแย่กว่าเมืองป่าหินซะอีก ?”
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองที่สาบสูญ พวกหน้าใหม่และแกนหลักของสภาสิบแปดปีกซึ่งทุกคนถูกคัดเลือกมาแล้วว่ามีพรสวรรค์และศักยภาพสูงก็ล้วนอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากๆ โดยตอนนี้ทุกคนก็ล้วนอถิปรายกันอย่างดุเดือด ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกมานั้นก็ล้วนสับสนเป็นพิเศษ พวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเมืองที่สาบสูญ และตอนนี้พวกเขาก็ได้ถูกโยนเข้ามาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถจะทำให้ตัวเองไปเชื่อได้เลยว่าที่นี่คือสนามฝึกอันศักสิทธิ์ แค่การอยู่รอดระยะยาวในเมืองนี้ก็จะเป็นปัญหามากแล้ว
สถานการณ์นี้ก็ทำให้อควาโรสกังวลมากเช่นกัน สถานที่ใหม่ของเมืองนั้นไม่เหมือนที่เธอจินตนาการไว้ แม้แต่ผู้เล่นขั้นสามอย่างตัวเธอเองก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงพวกหน้าใหม่และแกนหลักของกิลที่ได้รับคัดเลือกมาที่ยังมาไม่ถึงขั้นสามเลย
นี่ยังไม่จำเป็นต้องพูดถึงว่าการฝึกแบบสุ่มมั่วๆและการต่อสู้กับมอนสเตอร์ยังแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ผู้เล่นจะโชคดีมากแล้ว หากสามารถแสดงมาตราฐานการต่อสู้ตามปกติของพวกเขาออกมาได้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงการปรับปรุงมาตราฐานการต่อสู้เลย
ในระหว่างการมาเยี่ยมเยียนเทือกเขาแรงโน้มถ่วงในครั้งก่อนของเธอ เธออยู่ในพื้นที่ชั้นนอกเท่านั้นซึ่งสภาพแวดล้อมมันไม่ได้รุนแรงเท่าที่นี่ แต่ตอนนี้เมื่อเธอยืนอยู่ในพื้นที่ชั้นใน เธอรู้สึกเฉื่อยชา และความรู้สึกของเธอก็ทื่อลงไปมาก และตอนนี้ความกระหายอย่างต่อเนื่องก็เข้าจู่โจมจิตใจเธอ และร่างกายของเธอเองก็ค่อนข้างรู้สึกอึดอัดเช่นกัน
ที่สำคัญที่สุดคือมานาที่นี่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในนรกเยือกแข็ง มันมีมานาที่รุนแรงประเภทน้ำแข็งนั้นอยู่เต็มไปหมดในพื้นที่ และความโรสก็สามารถรับรู้องค์ประกอบอื่นๆได้ การจะจัดการมานาในแถบนี้นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อผู้เล่นไม่สามารถจัดการมานาได้ พวกเขาจะปรับปรุงตัวเองได้อย่างไร ?
“หัวหน้ากิล นี่หัวหน้าไม่ได้ตั้งใจจะให้สมาชิกขั้นสองของกิลอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนจริงๆใช่ไหม ?” บลูฟอร์สถามอย่างเป็นกังวล
บลูฟอร์สนั้นรู้เรื่องพื้นที่ชั้นในของเทือกเขาปีศาจหมาป่าเป็นอย่างดี และเขาก็รู้ว่ามอนสเตอร์ที่นี่นั้นมีเลเวลต่ำสุดก็คือหนึ่งร้อยยี่สิบ ซึ่งนี่จะนับเป็นพื้นที่ที่น่าทึ่งในการเก็บเลเวลและฝึกฝนมากสำหรับผู้เล่นที่มีเลเวลและขั้นที่สูงจนเหมาะสม แต่การเอาพวกหน้าใหม่หรือสมาชิกขั้นสองทั้งหมดของกิลมาฝึกที่นี่ มันจะเป็นการเสียเวลาเปล่า
สมาชิกเหล่านี้นั้นคืออนาคตของสภาสิบแปดปีก การส่งพวกเขามาที่นี่รังแต่จะทำให้เสียเวลา และกิลสูญเสียค่าใช้จ่ายไปเปล่าๆ
“อยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝน ?” ซือเฟิงส่ายหัว ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า “สิ่งที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย …”
คำตอบของซือเฟิงทำให้บลูฟอร์สสับสน เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าอะไรคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับสภาพแวดล้อมที่เป็นนรกเยือกแข็งแบบนี้
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้อธิบายใดๆกับสิ่งที่เขาพูด และเขาก็ได้ไปพบกับ NPC ของสมาคมนักผจญภัยเพื่อทำขั้นตอนการส่งมอบเมืองให้เสร็จสิ้น ซึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว NPC ก็ออกจากเมืองที่สาบสูญไปทันที และทำให้เมืองที่ดูรกร้างว่างเปล่าอยู่แล้วยิ่งเงียบเหงา
เมื่อถึงจุดนี้ เสียงประกาศของระบบก็ดังขึ้นในหูของทุกคน
ประกาศจากระบบภูมิภาคเมืองที่สาบสูญ : ที่ตั้งใหม่ของเมืองนี้อยู่ภายใตคำสาปอันลึกลับ และเหล่าเรดก็จะดูดซับมานาส่วนเกินของผู้เล่นที่แผ่ออกมาเพื่อทำให้มันกลายเป็นมอนสเตอร์ โปรดระวังการโจมตีของมอนสเตอร์เหล่านี้
ไม่นานหลังจากที่ประกาศของระบบสิ้นสุดลง และก่อนที่สมาชิกสภาสิบแปดปีกจะสามารถประมวลผลข้อมูลทั้งหมดได้ ผีโปร่งแสงก็เริ่มปรากฎตัวขึ้นรอบๆสมาชิกของสภาสิบแปดปีก โดยผีเหล่านี้นั้นดูคล้ายกับมนุษย์มากๆ และมันก็ดูเหมือนจะเป็นร่างโคลนของผู้เล่นเลยด้วยซ้ำ แถมพวกนี้ยังมีเลเวลเท่ากับผู้เล่นด้วย ซึ่งในขณะที่ร่างของพวกมันโผล่ออกมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ผีเหล่านี้ก็เข้าโจมตีผู้เล่นทันที
ตอนนี้ทุกคนที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นมากนักก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ
โชคดีที่พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญของสภาสิบแปดปีกกันทั้งหมด และแม้ว่าเลเวลกับขั้นในปัจจุบันของเขาจะยังไม่ถึงมาตราฐาน แต่มาตราฐานการต่อสู้ของพวกเขาก็ยังจัดว่าอยู่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ แม้แต่ผู้เล่นที่อ่อนแอที่สุดก็สามารถจะไปถึงชั้นห้าของหอคอยทดสอบได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีปัญหาเลยในการจะตอบสนองต่อการโจมตีของผีเหล่านี้อย่างเหมาะสม ในขณะเดียวกันผู้เล่นที่ไม่ได้ถูกเหล่าผีเล็งเป้าก็เริ่มเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยเช่นกัน โดยเริ่มจากการต่อสู้กับเหล่าผีที่อยู่ใกล้ๆ
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็มีบางอย่างที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้น
ร่างผีโคลนพวกนี้นั้นมีมาตราฐานการต่อสู้เช่นเดียวกับมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีของเหล่าผู้เล่นก็ยังได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ผลอย่างเต็มที่
“การฝึกอย่างเป็นทางการของพวกคุณทั้งหมดเริ่มขึ้นแล้ว !!! ระวังผีที่จะโผล่มาข้างๆล่ะ !!! และมันไม่มีใครนอกเหนือจากผู้เล่นที่ผีหลอกเลียนแบบจะสามารถทำอะไรกับมันได้ !!! และถ้าผีพวกนี้ฆ่าคุณได้ ไม่เพียงแต่คุณจะสูญเสียเลเวล แต่คุณยังจะไม่สามารถเข้าสู่ระบบหลักของ God domain ได้หนึ่งวันด้วย !!!” ซือเฟิงเตือน ขณะที่เขาเฝ้าดูสมาชิกของสภาสิบแปดปีกต่อสู้กับผีเหล่านี้
เทือกเขาปีศาจหมาป่านั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดา พื้นที่ชั้นในของแผนที่นี้ถือเป็นดินแดนต้องห้าม
ดินแดนต้องห้ามทุกแห่งใน God domain นั้นมีกลไกบางอย่างที่ทำให้การอยู่รอดยากเป็นพิเศษ และพื้นที่ชั้นในของเทือกเขาปีศาจหมาป่าก็มีคำสาปนี้
ซือเฟิงไม่รู้แน่ชัดว่าคำสาปนี้คืออะไร และเขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ แต่เขาก็รู้ดีว่าผีที่เกิดขึ้นจากคำสาปเหล่านี้นั้นจะปรากฎขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และก่อกวนผู้เล่นทุกคนที่อยู่ในเมือง หรือเมืองที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามสามารถอยู่ในพื้นที่นี้ได้ในระยะยาว
สมาชิกหลายคนของสภาสิบแปดปีกอ้าปากค้าง เมื่อได้ยินคำเตือนของซือเฟิง
นี่จะเรียกว่า “การฝึก” ได้ยังไง ?
นี่มันเป็นการประหารชีวิตชัดๆ !!!
ตอนนี้พวกเขาได้ต่อสู้กับเหล่าผีแล้ว พวกเขาจึงได้รู้ว่าผีพวกนี้นั้นจะมีมาตราฐานการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้เล่นที่มันโคลนเลียนแบบ อย่างไรก็ตาม ต่างจากผู้เล่น ผีไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ดังนั้นผีจึงมีพลังต่อสู้ในระดับที่สูงสุดของผู้เล่นที่มันโคลน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผีนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้เล่นที่มันโคลนเลียนแบบ
เพื่อทำให้เรื่องแย่ลง พวกเขาจะสูญเสียเลเวลไปหนึ่งเลเวลเต็ม และถูกแบนจากเกมเป็นเวลาหนึ่งวัน หากพวกเขาตายลง !!! แล้วพวกเขาจะติดตามผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของเกมได้ทัน ในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไง ?
ในขณะที่สมาชิกสภาสิบแปดปีกหลายคนอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา บลูฟอร์สซึ่งกำลังดิ้นรนต่อสู้กับผีของเขาอย่างยากลำบากก็ได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง และความตื่นเต้นก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของเขา
ผู้เล่นนั้นเสียเปรียบผีเหล่านี้ และพวกเขานั้นไม่แม้แต่จะสามารถจัดการกับมานาโดยรอบได้อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ดังนั้นทางเลือกเดียวที่พวกเขาเหลืออยู่ก็คือ ค้นหาวิธีจัดการและใช้มานาในตัวของพวกเขาเพื่อกำจัดผีพวกนี้
เนื่องจากผีเหล่านี้นั้นเลียนแบบทั้งพฤติกรรม และมาตราฐานการต่อสู้ของผู้เล่น ดังนั้นผู้เล่นจึงสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้บ้างในบางสถานการณ์
เมื่อตั้งความคิดนี้เป็นพื้นฐานในการต่อสู้ บลูฟอร์สก็พบว่าผีของเขานั้นต่อสู้ด้วยง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้เขายังค้นพบข้อบกพร่องของตัวเองหลายอย่าง มันเป็นดั่งการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวเลย
น่าเสียดายที่การต่อสู้แบบนี้นั้นไม่ได้เป็นประโยชน์กับผู้เล่นขั้นสองมากเท่ากับผู้เล่นขั้นสามเช่นตัวเขาเอง อย่างไรก็ตามผู้เล่นขั้นสองก็ยังคงสามารถจะใช้สกิลและเวทย์ของตนได้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแบบนี้ ซึ่งตราบใดที่ผู้เล่นขั้นสองฝึกฝนสกิลและเวทย์ให้มีอัตราความสำเร็จสูงขึ้นได้ต่อเนื่อง พวกเขาก็จะสามารถเอาชนะผีของตัวเองได้ …..
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เล่นขั้นสองก็คงต้องนับว่าการฝึกแบบนี้มันจัดว่าเสี่ยงไปเล็กน้อย
ไม่นานหลังจากนั้น สมาชิกคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกก็เริ่มตระหนักเช่นเดียวกัน และหลายคนก็หยุดบ่น พลางหันมาโฟกัสกับการต่อสู้อย่างเต็มที่
“หัวหน้ากิล สถานที่แห่งนี้มันยอดเยี่ยมมากๆ !!! มันเปรียบเสมือนกับสถานที่ฝึกโดยธรรมชาติ !!! แม้ว่าการฝึกที่นี่จะมีความเสี่ยงสูงที่ต้องจ่ายหากพลาด แต่ประสิทธิภาพในการฝึกของทุกคนที่นี่ก็จะมากกว่าในพื้นที่ปกติหลายเท่า และผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่ยังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดของร่างมานาของพวกเขาก็มีแนวโน้มจะทำได้ หากใช้เวลาสักหนึ่งเดือนในนี้” อควาโรสกล่าวด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ขณะที่เธอเฝ้าดูสมาชิกของสภาสิบแปดปีกตรงหน้าเธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งในตอนนี้นั้นผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของสภาสิบแปดปีกบางส่วนก็เริ่มปลดล๊อคศักยภาพร่างมานากันได้ประมาณหนึ่งแล้ว ดังนั้นหากคนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนที่นี่แบบไม่หยุดพัก ในเวลาไม่เกินสิบวัน พวกเขาก็น่าจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึงกิลก็จะมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าหนึ่งร้อยคนที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว ภายใต้การบังคับบัญชาการของพวกเขา !!!
แค่คิดถึงจุดนี้มันก็ทำให้อควาโรสตื่นเต้นมากแล้ว ….
การฝึกที่นี่นั้นมันทั้งโหดและอันตราย แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับแล้ว ค่าใช้จ่ายมันก็ไม่ได้สูงเกินไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากมันแลกเปลี่ยนกับการที่สามารถจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ มันก็นับว่าคุ้มค่า
ในขณะที่สมาชิกสภาสิบแปดปีกกำลังฝึกฝนกันอย่างหนัก ซือเฟิงก็ได้เดินทางไปยังหอคอยพิเศษ โดยปล่อยให้สมาชิกทั้งหมดฝึกต่อไป
คำสาปลึกลับนี้เป็นเพียงผลประโยชน์เพิ่มเติมที่มอบให้กับเมือง หลังจากเมืองย้ายมาที่พื้นที่ชั้นในของเทือกเขาปีศาจหมาป่า หอคอยพิเศษนั้นยังคงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของเมือง
หอคอยพิเศษนั้นเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นเสมอเพื่อใช้ฝึกฝนให้เข้าใจถึงหลักการของขอบเขตที่แท้จริง อย่างไรก็ตามซือเฟิงสามารถปลดล๊อคได้แค่ชั้นสองของหอคอยพิเศษเท่านั้น ซึ่งมันให้คำแนะนำแค่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่แท้จริงขั้นสูง และเนื่องจากไม่มีคริสตัลเวทย์มนต์ที่มากเพียงพอ เขาจึงยังไม่ได้รับคำแนะนำหรือเบาะแสเกี่ยวกับการสู่ขอบเขตถัดไป
อย่างไรก็ตามตอนนี้รายได้ของสภาสิบแปดปีก เป็นคริสตัลเวทย์มนต์นั้นก็มีสูงขึ้นอย่างมาก อันเนื่องมาจากความนิยมของเมืองป่าหิน และประตูเทเลพอร์ตของโลกแห่งความมืด โดยหลังจากไม่กี่วันที่ผ่านมาแหล่งทั้งสองนี้ก็ได้จัดหาคริสตัลเวทย์มนต์ให้กับซือเฟิงมาได้มากกว่าสามแสนชิ้น ซึ่งนี่มันเกินความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งนี่มันทำให้ซือเฟิงนั้นจะสามารถปลดล๊อคชั้ที่สามของหอคอยพิเศษได้
เมื่อซือเฟิงมาถึงหอคอย เขาก็ได้เรียกอินเตอร์เฟซของหอคอยขึ้นมาเพื่อจะทำการปลดล๊อคชั้นสามทันที หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงการแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นที่หูเขา
ระบบ : หอคอยพิเศษสองชั้นแรกนั้นได้รับการปลดล๊อคแล้ว คุณต้องการจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งล้านชิ้นเพื่อปลดล๊อคชั้นที่สามไหม ?
“ปลดล๊อค !!!”
ตอนที่ 2593 ชั้นสามของหอคอยพิเศษที่ได้รับการปลดล๊อค
ทันทีที่ซือเฟิงเลือกจะปลดล๊อคชั้นสามของหอคอยพิเศษ คริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งล้านชิ้นก็สลายตัวไปจากกระเป๋าของเขา และเปลี่ยนเป็นกระแสมานาไหลเข้าสู่หอคอย
ซึ่งเมื่อกระแสมานาไหลเข้าสู่หอคอยพิเศษนี้ อักษรรูนศักสิทธิ์ที่ถูกแกะสลักไว้บนผนังด้านในก็สว่างขึ้น และเริ่มซ่อมแซมตัวเอง
ในขณะที่อักษรรูนศักสิทธิ์เริ่มกลับมามีความสมบูรณ์มากขึ้น ภายนอกของหอคอยพิเศษก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างมาก
ตอนนี้โดยมีหอคอยพิเศษเป็นศูนย์กลาง มานาที่รุนแรงที่ล่องลอยอยู่ภายในเมืองแต่เดิมก็เริ่มจะกลับมาเชื่อฟังและโอนอ่อน มานารอบๆหอคอยนั้นค่อยๆหนาแน่นขึ้น และตัวหอคอยเองก็แผ่ออร่าศักสิทธิ์ที่ดูเก่าแก่ออกมา ก่อนที่มันจะแพร่กระจายไปทั่วเมือง และทำให้ใครก็ตามที่สัมผัสถึงมันได้รู้สึกสงบมากๆ
“ออร่านี้มันน่าทึ่งจริงๆ !!! ตอนนี้ความกระหายทั้งหมดของฉันได้หายไปแล้ว !!!”
“นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด ตอนนี้จิตใจของฉันก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาก และค่าสตามิน่ากับค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของฉันก็เริ่มฟื้นตัวแล้วเช่นกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันจะสามารถต่อสู้กับผีนี่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องพักผ่อนเลย”
เมื่อออร่าศักสิทธิ์เข้าปกคลุมไปทั่วเมือง สมาชิกที่กำลังต่อสู้อยู่ของสภาสิบแปดปีกก็เต็มไปด้วยความยินดีมากๆ
พวกเขานั้นเสียเปรียบพวกผีอย่างมากแน่นอน และพวกเขาก็รู้ดีว่าพวกเขาจะตายเมื่อไหร่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เนื่องมาจากพลังงานแปลกปลอมนั้นได้กัดกินร่างกายของพวกเขาเร็วเกินไป อย่างไรก็ตามสถานการณ์ได้เปลี่ยนไป แม้ว่าสภาพแวดล้อมของพวกเขาจะยังไม่มีมานาธาตุอื่นนอกจากธาตุน้ำแข็ง แต่ออร่าศักสิทธิ์นี้ก็ได้ขจัดพลังงานแปลกปลอมออกไป เป็นผลให้จิตใจของพวกเขาปลอดโปร่งมากขึ้นในระหว่างการต่อสู้ แถมค่าสตามิน่ากับค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขาก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นในอัตราที่ดีมาก ซึ่งนี่มันจะช่วยยืดอายุการอยู่รอดของพวกเขาไปได้มากเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันผีทุกตัวนั้นก็จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับบัฟพลังชีวิตมานา ซึ่งระบุว่าอายุการใช้งานของบัฟนี้นั้นเหลือเพียงหกชั่วโมงเท่านั้น โดยหากพวกเขาสามารถต่อสู้กับผีเหล่านี้ได้นานกว่าหกชั่วโมง ผีก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะผีได้ก็ตาม นอกจากนี้ซือเฟิงยังได้บอกพวกเขาว่าผีเหล่านี้นั้นจะปรากฎตัวให้ผู้เล่นแต่ละคนแค่วันละครั้งเท่านั้น ซึ่งนี่มันก็หมายความว่า หากพวกเขาอดทนได้อีกหกชั่วโมง พวกเขาก็จะสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายๆในเมืองที่สาบสูญ
แน่นอนว่าผู้เล่นที่อุทิศตนทั้งหมดเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะผู้เล่นที่มีมาตราฐานการต่อสู้สูงจะไม่พอใจกับการฝึกในเวลาแค่นี้แน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงจะต่อสู้อยู่เรื่อยๆโดยไม่คิดจะหยุดความคิด หรือค่าสตามิน่าเลยเพื่อทำให้การเก็บเกี่ยด้านนี้แต่ละวันเป็นไปอย่างคุ้มค่าที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นผีก็ไม่ได้ปรากฎตัวขึ้นมาให้ทุกคนด้วย เนื่องจากยิ่งผู้เล่นแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ คำสาปก็จะยิ่งมีผลน้อยลงเท่านั้น ผีเหล่านี้นั้นแทบจะไม่ปรากฎเลยสำหรับผู้เล่นที่มีความแข็งแกร่งสูง และสำหรับผู้เล่นที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว มันก็ไม่ปรากฎออกมาต่อหน้าพวกเขาเลย
ในขณะที่ทุกคนกำลังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ของเมืองที่สาบสูญ ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่ออร่าศักสิทธิ์เข้าปกลุมเมืองเรียบร้อยแล้ว บาเรียโปร่งแสงก็ก่อตัวขึ้นรอบๆเมืองที่สาบสูญเพื่อแยกมันออกจากพื้นที่ ซึ่งบาเรียนี้ก็ทำให้มานาทั้งหมดภายในเมืองสงบลงอย่างแท้จริง และมันก็ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่มีมานามั่นคง แม้ว่ามานาภายในเมืองที่สาบสูญตอนนี้จะไม่ได้หนาแน่นมากนัก แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้เล่นที่จะใช้ขจัดอะไรที่ปล่าวประโยชน์ต่อตัวพวกเขาออกไป
“นี่หัวหน้ากิลทำอะไรกัน ?” อควาโรสตกตะลึง เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงแปลกๆนี้ที่เธอเคยรู้สึกได้มาก่อน เพื่อความแม่นยำเธอเคยรู้สึกแบบนี้มาได้จากระหว่างการเดินทางในประตูมรดกของป้อมปราการแสงดาว !!!
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือความหนาแน่นของมานาที่นี่ต่ำกว่าของที่นั่นมาก และให้วัดกันจริงๆ คงต้องพูดว่าที่เมืองนี้นั้นหากผู้เล่นฝึกที่นี่ พวกเขาจะได้รับผลคล้ายๆกับการฝึกในประตูมรดกราวหนึ่งในสาม
ซึ่งถึงแม้จะฟังดูน้อย แต่มันก็น่าประหลาดใจมากแล้ว !!!
เมืองที่สาบสูญนั้นสามารถจะรองรับผู้เล่นได้มากกว่าประตูมรดก และแม้ว่ามันจะไม่ได้มีประโยชน์เท่ากับประตูมรดก แต่มันก็ยังคงจัดเป็นสนามฝึกซ้อมที่เหมาะสมสำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่กำลังพยายามปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์
ยิ่งไปกว่านั้นบาเรียเวทย์มนต์นี้ก็ช่วยเพิ่มการป้องกันของเมืองขึ้นอย่างมาก ซึ่งเมื่อมีบาเรียนี้ การรับมือกับคลื่นมอนสเตอร์ที่โจมตีเมืองมันก็จะทำได้ง่ายขึ้นมาก
….
ในขณะที่อควาโรส และสมาชิกคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกที่เคยเข้าไปในประตูมรดกกำลังตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงของเมืองที่สาบสูญ สิ่งอื่นภายในหอคอยพิเศษมันก็ทำให้ซือเฟิงตกตะลึงมากๆ
นี่เป็นผลมาจากการปลดล๊อคชั้นสามของหอคอยพิเศษงั้นหรอ ? ตอนนี้ซือเฟิงนั้นแทบพูดไม่ออกเลยเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงออร่าโบราณที่อยู่เต็มไปหมเในห้องโถง
โดยปกติแล้วมันจะมีเพียงป้อมปราการโบราณเท่านั้นที่จะสามารถมีองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ดของมานาได้ แต่ตอนนี้หอคอยพิเศษกับเต็มไปด้วยพวกมันทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นมานาในหอคอยพิเศษนี้ยังหนาแน่นกว่าในป้อมปราการแสงดาวมาก
หากผู้เล่นขั้นสามได้มาฝึกฝนที่นี่ การจะทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ให้ได้ ก็จะไม่ได้เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป นี่ไม่ต้องพูดถึงการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เลย
ตอนแรกเขาก็กังวลในเรื่องการทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของตัวเอง อย่างไรก็ตามตอนนี้ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ มันทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาอีกสิบเปอ
เซ็นต์แล้ว ซึ่งถ้าเขามีความมั่นใจขึ้นมาอีกสิบเปอเซ็นต์ คนอื่นก็ควรจะได้รับมากกว่านี้แน่นอน
หากผู้เล่นที่ยังไม่สามารถปลดลีอคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้มาฝึกฝนในหอคอยพิเศษ พวกเขาจะสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นเลย ในความเป็นจริงประสิทธิภาพในการฝึกของพวกเขาก็น่าจะสูงกว่าเหล่าผีที่พวกเขาใช้ฝึกอยู่ราวสองเท่าเลย การต่อสู้ในพื้นที่ที่มีองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ดของมานานั้นจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับพื้นที่ที่แทบไม่มีเลย ผู้เล่นจะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากในการรับรู้และควบคุมการไหลของมานาเมื่อฝึกในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกับในอดีต
น่าเสียดายที่แม้ว่าสภาพแวดล้อมนี้จะสวยงาม แต่มันก็มีการจำกัดจำนวนผู้เล่นที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้
มานานี้นั้นถูกบรรจุอยู่ในหอคอยพิเศษซึ่งเป็นสนามฝึก โดยสนามฝึกในชั้นแรกนั้จะสามารถรองรับผู้เล่นได้หนึ่งร้อยคน ขณะที่ในชั้นที่สองนั้นจะสามารถรองรับผู้เล่นได้ห้าสิบคน และในชั้นที่สามนั้นก็จะสามารถรองรับผู้เล่นได้เพียงแค่สิบคน ซึ่งโดยรวมแล้วมันจะมีเพียงหนึ่งร้อยหกสิบคนเท่านั้นที่สามารถจะใช้ประโยชน์จากหอคอยพิเศษได้ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งนี้มันก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมเท่านั้น โดยปกติแล้ว มันจะมีผู้เล่นน้อยกว่ามากในการฝึกในหอคอยพิเศษ
เพราะท้ายที่สุด หากผู้เล่นต้องการเข้าไปฝึกยังชั้นสองหรือสามของหอคอยพิเศษ พวกเขาก็จะต้องผ่านการทดสอบของชั้นก่อนหน้าไปให้ได้ก่อน
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก ก่อนที่เขาจะสั่งให้สมาชิกกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกเข้ามาฝึกในหอคอยนี้ในทุกช่วงเวลาที่ว่าง และละความสนใจจากการโจมตีดันเจี้ยน หรือล่ามอนสเตอร์ไปก่อน
ตอนนี้การปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขานั้นมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ซือเฟิงต้องการจะให้พวกเขาปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์กันเป็นจำนวนมากให้เร็วที่สุดเพื่อแผนการในอนาคตของเขา ซึ่งต้องการจะเข้ายึดและเคลียร์จุดเทเลพอร์ตขนาดกลางในพื้นที่ชั้นในของเทือกเขาปีศาจหมาป่า
เมื่อจัดการออกคำสั่งทุกอย่างเรียบร้อย ซือเฟิงก็เดินมาที่ชั้นสองของหอคอยพิเศษอีกครั้งเพื่อเริ่มต้นการฝึกของเขา
เขานั้นได้มาถึงขีดจำกัดแล้วในระหว่างการมาที่ชั้นที่สองของหอคอยพิเศษก่อนหน้านี้ และเขาก็ไม่สามารถจะปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมได้ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม และแม้หลังจากสร้างวัฎสงสารแห่งดาบขึ้นมาได้ เขาก็ยังไม่สามารถที่จะขึ้นไปถึงด้านบนสุดของบันไดชั้นสองได้ และเขาก็ปลิวกระเด็นกลับลงมา หลังจากก้าวไปถึงขั้นที่สามสิบ
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว รวมทั้งเขาก็มีความเข้าใจใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับมานา แถมยังได้เรียนรู้เทคนิคมานามาด้วย ดังนั้นเขาจึงคิดจะลองท้าทายชั้นสองอีกครั้งเพื่อผลักดันให้ตัวเองผ่านอุปสรรคสุดท้าย
ไม่ว่าจะเป็นเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ของเขา หรือการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์อย่าง
ออร์เบ็ค มันก็จะไม่ได้ถูกทำสำเร็จได้ง่ายๆแน่นอน และหากเขาล้มเหลว เขาก็อาจจะต้องเจอกับผลที่ไม่คาดคิดได้ แต่อย่างไรก็ตาม โชคดีที่ทั้งสองอย่างนี้ล้วนมุ่งเน้นไปที่การทดสอบความแข็งแกร่งของผู้เล่นแต่ละคนเท่านั้น
ดังนั้นการไปยังขอบเขตที่แท้จริงที่สูงขึ้นไปอีกได้ จึงจะช่วยเขาได้มากอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหลักๆเลยที่เขาตัดสินใจปลดล๊อคชั้นสาม และเตรียมจะลองท้าทายอุปสรรคสุดท้ายในชั้นสอง
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ค่อยๆเดินขึ้นไปบนบันไดชั้นสอง และนักดาบสองคนก็มาปรา
กฎตัวขึ้นตรงหน้าก่อนจะพุ่งเข้าใส่เขาด้วยเจตนาฆ่าฟันที่รุนแรง
….
ขณะที่ซือเฟิงกำลังท้าทายและฝึกฝนตัวเองเพื่อจะไปยังชั้นสามของหอคอยพิเศษนั้น กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเลเวลหนึ่งร้อยสิบก็ปรากฎตัวขึ้นที่ประตูเมืองป่าหิน
“นี่คือเมืองป่าหินของสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?” ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามท่ามกลางกลุ่มแสดงความคิดเห็น ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเมืองอันงดงามตรงหน้าเขา และเขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “มันเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ ด้วยมานาที่มีความหนาแน่นมากขนาดนี้ และด้วยความได้เปรียบตามธรรมชาติ วอร์นเดอร์จะต้องแข็งแกร่งขึ้นมากแน่นอนที่นี่”
“อย่าลืมว่าเรามาที่นี่ทำไมสิ ผู้อาวุโสเฮอร์มิท เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อชื่นชมหรือเปิดหูเปิดตานะ” ชายหัวล้านในชุดเสื้อคลุมสีดำกล่าวุพลางกลอกตา “ไม่ว่าเธอจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งมากแค่ไหน ยังไงวันนี้วอร์นเดอร์ก็จะต้องกลับไปพร้อมกับพวกเรา เวลาที่จะทำตัวกบฎของเธอได้หมดลงแล้ว !!!”
“ฉันรู้หรอกน่า ไม่ต้องย้ำมาก และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันมาด้วยตัวเองด้วย …” เฮอร์
มิทกล่าวตอบอย่างรำคาญให้กับคำพูดของชายหัวล้าน ก่อนที่เขาจะนำทั้งทีมเข้าสู่เมืองป่าหิน
ตอนที่ 2594 ครึ่งก้าวก่อนเป็นสุดยอดปรมาจารย์
เมืองป่าหิน บริษัทการค้าแสงเทียน :
โดยการติดตาม NPC เฮอร์มิทและชายหัวล้านได้มาถึงห้องสมาธิขั้นพื้นฐานห้องหนึ่งที่บริษัทการค้าแสงเทียน และพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับจากสายตาของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มที่หรูหรา และถูกห่อหุ้มด้วยมานาจางๆ หญิงสาวคนนี้นั้นดูมุ่งมั่นและแน่วแน่ในการผลิตโพชั่น โดยทุกการกระทำของเธอนั้นก็ดูราบรื่นและคล่องแคล่วมากๆ
ไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวก็ยกมือขึ้นเพื่อรับเอาโพชั่นที่แผ่มานาหนาแน่นออกมา
“นี่เธอสามารถผลิตโพชั่นระดับปรมาจารย์อย่างโพชั่นเพิ่มค่าความต้านทานเวย์มนต์ขั้นสูงได้ง่ายดายขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?”
“เธอต้องอยู่ไม่ไกลแล้ว จากการเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักเล่นแร่แปรธาตุแน่นอน”
ฉากนี้ทำให้เฮอร์มิทและพรรคพวกของเขาตกตะลึง
โพชั่นระดับปรมาจารย์อย่างโพชั่นเพิ่มค่าความต้านทานเวทย์มนต์ขั้นสูงนั้นค่อนข้างหายาก และมีราคาแพงมากในตลาด เพราะท้ายที่สุดพวกมันสามารถจะทำให้ผู้เล่นขั้นสามนั้นท่องไปแผนแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่านั้นในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้สบายๆเลย แถมพูดกันตรงๆโพชั่นเพิ่มค่าความต้านทานเวทย์ขั้นสูงนี้ก็จะช่วยทำให้ผู้เล่นขั้นสองท่องไปในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยได้ด้วยซ้ำ แถมเอฟเฟคของโพชั่นนี้ยังจะคงอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็ม
ที่แผนที่เลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่านั้นล้วนมีทรัพยากรอยู่มากมาย โดยเฉพาะทรัพยากรเลเวลหนึ่งร้อยสิบหรือมากกว่าขึ้นไป แต่มันก็มีสภาพแวดล้อมที่รุนแรงและอันตรายมากๆ มีเพียงผู้เล่นขั้นสามเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดในแผนที่แบบนี้ได้โดยปราศจากความช่วยเหลือ แต่น่าเสียดายที่มหาอำนาจต่างๆมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามน้อยเกินไปในระยะนี้ของเกม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพาสมาชิกขั้นสองของพวกเขาเพื่อรวบรวมทรัพยากรสำหรับการพัฒนาของพวกเขาด้วย ดังนั้นความต้องการโพชั่นเพิ่มค่าความต้านทานเวทย์มนต์ขั้นสูงระดับปรมาจารย์นั้นจึงสูงอย่างไม่น่าเชื่อในตลาด
อย่างไรก็ตามการผลิตโพชั่นเพิ่มค่าความต้านทานเวทย์มนต์ขั้นสูงระดับปรมาจารย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้แต่ปรมาจารย์นักเล่นแร่แปรธาตุก็ยังมีอัตราความสำเร็จไม่ถึงสามสิบเปอเซ็นต์ในการผลิตด้วยซ้ำ และการผลิตโพชั่นนี้มันก็ต้องใช้เวลานานมาก และเมื่อบวกกับการผลิตที่ทำได้อย่างยากลำบาก โพชั่นนี้ในปัจจุบันจึงมีไม่เพียงพอกับความต้องการเลย
ในทางกลับกันไซเร้นวอร์นเดอร์กับสามารถผลิตโพชั่นนี้ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังผลิตโพชั่นนี้ได้สำเร็จด้วยความเร็วที่น่าตกใจมากๆ ความเร็วของเธอนั้นมันเร็วพอจะเทียบกับการทำงานของปรมาจารย์นักเล่นแร่แปรธาตุสามถึงสี่คนได้เลย และด้วยทักษะกับความสามารถมากขนาดนี้ เธอก็มีแนวโน้มสูงมากที่จะกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักเล่นแร่แปรธาตุ
อย่างไรก็ตามมาตราฐานการเล่นแร่แปรธาตุของไซเร้นวอร์นเดอร์นั้นยังไม่ได้ทำให้
เฮอร์มิทและพรรคพวกของเขาตกตะลึงมากที่สุดเกี่ยวกับตัวของไซเร้นวอร์นเดอร์ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากที่สุดนั้นมันก็คือเลเวลของเธอ เพราะตอนนี้เธอได้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบเอ็ดแล้ว ซึ่งมันมากกว่าพวกเขาหนึ่งเลเวล ….
“ดูเหมือนว่าข่าวลือที่ว่าเมืองป่าหินเป็นดินแดนศักสิทธิ์แห่งการเก็บเลเวลนั้นจะเป็นเรื่องจริง” เฮอร์มิทพึมพำขณะจ้องมองไปยังเลเวลของไซเร้นวอร์นเดอร์ด้วยความตกตะลึง
ไซเร้นวอร์นเดอร์นั้นไม่ใช่ผู้เล่นสายต่อสู้อย่างแท้จริง และแม้ว่าผู้เล่นจะได้รับ EXP จากการทำงานใยอาชีพรองของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับเท่ากับผู้เล่นสายต่อสู้ที่ออกล่ามอนสเตอร์ในแผนที่ล่าหรือบุกโจมตีดันเจี้ยน
อย่างไรก็ตามตอนนี้ไซเร้นวอร์นเดอร์กับมีเลเวลเหนือกว่าทั้งคู่หนึ่งเลเวล ข้อเท็จจริงนี้มันสามารถช่วยบ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่ากิลอย่างสภาสิบแปดปีกนั้นพิเศษขนาดไหน
“ลุงห้า ผู้อาวุโสเฮอร์มิท มันยังพอมีเวลาก่อนที่การแข่งขันระหว่างตระกูลจะเริ่มขึ้นไม่ใช่หรอ ? เกิดอะไรขึ้นกัน ? ทำไมพวกลุงกับผู้อาวุโสเฮอร์มิทถึงมาอย่างกระทันหันแบบนี้ ?” ไซเร้นวอร์นเดอร์ถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้อง
หอการค้าอาซูนั้นจะจัดการแข่งขันระหว่างตระกูลผู้ถือหุ้นหลักขึ้นปีละครั้งในวันเดียวกัน และการแข่งขันครั้งต่อไปก็จะเริ่มในหกวัน แม้ว่าตระกูลของเธอตั้งใจจะพาเธอไปยังทวีปด้านตะวันตก แต่เธอก็คิดว่าอย่างมากที่สุดพวกเขาคงจะปรากฎตัวขึ้นมาในวันก่อนแข่งเท่านั้น เธอนั้นไม่ได้นึกเลยว่าพวกเขาจะมาปรากฎตัวล่วงหน้าถึงหกวันแบบไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเฮอร์มิท ชายผู้รับผิดชอบในด้านความปลอดภัยของเมืองหินปีศาจยังได้มาพบเธอ ซึ่งคนๆนี้ไม่ได้ดูเหมือนคนที่จะมาพาเธอไปไหนเลย
“มันยังมีเวลาอีกพอสมควรก่อนการแข่งขัน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เรามา …” ชายวัยกลางคนบอกกับเธอ “ฉันแน่ใจว่าเธอทราบดีเกี่ยวกับการสนับสนุนของบริษัทซีอุสที่ทำให้หอการค้าอาซูประสบความสำเร็จมาได้ถึงปัจจุบัน”
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับบริษัทซีอุสงั้นหรอ ?” ไซเร้นวอร์นเดอร์ถาม
บริษัทซีอุสนั้นเป็นหนึ่งในสิบบริษัทชั้นนำของโลก และการสนับสนุนของบริษัทนี้ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หอการค้าอาซูนั้นเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้รับสถานะปัจจุบันใน God domain ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทซีอุสยังหุ้นอยู่ในซุเปอร์กิลอย่างไวโอเล็ตซอร์ดด้วย
ซึ่งไวโอเล็ตซอร์ดนั้นเป็นกิลที่ค่อนข้างเก่าแก่ และมีประวัติยาวนานกว่าศตวรรษ ซึ่งกิลนั้นเป็นหนึ่งในซุเปอร์กิลที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเกมเสมือนจริง และประวัติของกิลนั้นก็เป็นรองแค่ห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น และความสัมพันธ์ของไวโอเล็ตซอร์ดกับบริษัทซีอุสนั้นก็เป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้หออการค้าอาซูพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วในทวีปด้านตะวันตก
“ถูกต้อง ไวโอเล็ตซอร์ดนั้นต้องการผู้เล่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญสายอาชีพอย่างเร่งด่วน ดังนั้นบริษัทซีอุสจึงตัดสินใจให้หอการค้าอาซูให้การสนับสนุน และเนื่องจากเธอมีพรสวรรค์ที่มากที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของเรา ตระกูลเราจึงไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงการส่งเธอไปพัฒนาในไวโอเล็ตซอร์ดได้ ดังนั้นพวกเราจึงมาพาเธอไปที่สำนักงานใหญ่หลักของกิล” ชายวัยกลางคนหัวล้านอธิบายพลางพยักหน้า
“พัฒนาในไวโอเล็ตซอร์ด ? แต่ ….” ไซเร้นวอร์นเดอร์ตกตะลึง
“ฉันรู้ว่าเธอต้องการที่จะอยู่ในสภาสิบแปดปีกต่อไป เพราะกิลๆนี้ช่วยเธอได้มาก” ชายหัวล้านพูดอย่างไม่สามารถจะทำอะไรได้ “อย่างไรก็ตามเธอรู้ไหมว่าบริษัทซีอุสนั้นช่วยหอการค้าอาซูไว้มากแค่ไหน และด้วยความช่วยเหลือจากบริษัทซีอุส เป็นเหตุผลที่ทำให้หอการค้าอาซูสามารถรักษาเส้นเลือดแร่เกรด 1 เอาไว้ได้ ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่บริษัทได้คัดเลือกไป ถ้าเธอไม่ไป ไม่เพียงแต่เราจะสูญเสียการสนับสนุนจากบริษัทซีอุส แต่เราอาจสูญเสียเส้นเลือดแร่นี้ไปด้วย ซึ่งหอการค้าของเราต้องใช้เพื่อความอยู่รอด !!!”
บริษัทซีอุสนั้นร่ำรวยและมีอำนาจมากๆ นอกจากนี้พวกเขายังมีอิทธิพลและความแข็งแกร่งอยู่ในทวีปด้านตะวันตกอย่างมาก และแค่คำพูดเพียงคำเดียวของบริษัทซีอุสมันก็มากพอที่จะโยนหอการค้าอาซูเข้าสู่ฝูงหมาป่าที่หิวกระหายแล้ว
“ขอเวลาฉันคิดหน่อยได้ไหม ลุงห้า ?” ไซเร้นวอร์นเดอร์กล่าวอย่างลังเล
“เราปล่อยให้เธอทำตามใจมานานแล้วจนถึงตอนนี้ !!! แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลเรา !!! เราไม่สามารถปล่อยให้เธอทำตามใจตัวเองได้อีกต่อไป !!!” ชายหัวโล้นตะคอก “เมื่อการแข่งขันระหว่างตระกูลเสร็จสิ้นลง เธอจะต้องเดินทางไปยังไวโอเล็ตซอร์ดเพื่อพัฒนาต่อ !!! ใช้เวลานี้ในการเตรียมตัวซะ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอในสภาสิบแปดปีก เราจะจัดการมันให้เอง”
เมื่อกล่าวจบ ชายหัวล้าน และเฮอร์มิทก็เดินออกจากห้องไปโดยปล่อยให้ไซเร้นวอร์นเดอร์มึนงงอยู่
หลังจากออกจากบริษัทการค้าแสงเทียน ทั้งสองก็มุ่งหน้าตรงไปที่สถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก
“นี่คุณไม่คิดว่าตัวเองใจร้อนเกินไปหน่อยหรอ หวู่ชาง ? เราควรให้เวลาวอร์นเดอร์ยอมรับสถานการณ์บ้าง” เฮอร์มิทแสดงความคิดเห็นพลางเหลือบมองไปยังชายหัวล้าน
“ยอมรับ ? คุณคิดว่าฉันไม่ต้องการงั้นหรอ ?” ชายหัวล้านที่ชื่อหลงหวู่ชางกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น “บริษัทซีอุสนั้นได้ยื่นคำขาดกับเรามาแล้ว และในความเป็นจริง บริษัทก็ได้เอารุ่นเยาว์ของหลายตระกูลไปฝึกในไวโอเล็ตซอร์ดเพื่อกดดันตระกูลหลงแล้ว”
“ถึงอย่างนั้นฉันก็คิดว่านี่รังแต่จะทำให้วอร์นเดอร์ดื้อ และไม่เชื่อฟังเพิ่มขึ้นเท่านั้น”
เฮอร์มิทกล่าว
“ก็จริงด้วยความดื้อรั้นที่เธอมีอยู่ การโน้มน้าวใจของเธอจะเป็นเรื่องยากมาก และนั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องไปพบกับสภาสิบแปดปีก ตราบใดที่สภาสิบแปดปีกยอมปล่อยตัวเธอ เราก็น่าจะโน้มน้าวเธอได้ง่ายขึ้น” หลงหวู่ชางกล่าว
“แล้วถ้าสภาสิบแปดปีกปฎิเสธล่ะ ? คุณควรตระหนักนะว่ากิลๆนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่เราจะสามารถเล่นด้วยได้ง่ายๆ …” เฮอร์มิทตอบโต้อย่างเป็นห่วง
“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คุณมาที่นี่รึไง ?” หลงหวู่ชางตอบพลางกลอกตา เขาเลื่อนสายตาไปมองยังสถานที่พักกิลที่อยู่ใกล้ๆ พลางพูดต่ออกมาอย่างเย้ยหยันว่า “สภาสิบแปดปีกไม่มีทางเลือก หากสภาสิบแปดปีกปฎิเสธที่จะยอมปล่อยตัวไซเร้นวอร์นเดอร์ กิลก็จะต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของบริษัทซีอุส !!!”
ตอนที่ 2595 ขอบเขตสวรรค์ที่แท้จริง
เมืองที่สาบสูญ ชั้นสองของหอคอยพิเศษ :
เมือซือเฟิงขึ้นบันไดที่จะนำเขาไปสู่ชั้นสาม นักดาบที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของเขาเรื่อยๆ ในบันไดขั้นที่หนึ่ง เขาต้องเผชิญหน้ากับนักดาบในชุดเกราะสีเงินเพียงสองคน แต่เมื่อเขาขึ้นมาถึงขั้นที่แปดสิบเก้าเขากับต้องเผชิญหน้ากับนักดาบในชุดเกราะสีทองสี่คน
ซึ่งนักดาบในชุดเกราะสีทองเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีมาตราฐานการต่อสู้ที่ใกล้เคียงกับขอบเขตการปรับแต่งเท่านั้น แต่ทั้งสี่ยังมาถึงขอบเขตที่แท้จริงแล้วเช่นกัน และเมื่อรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน พลังการต่อสู้ของพวกเขาจึงสูงกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งทั่วไปอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นการประสานงานกันของนักดาบในชุดเกราะสีทองทั้งสี่ยังราบรื่นซะจนดูเหมือนกับพวกเขาแบ่งปันความคิดเดียวกัน ส่งผลให้มันไม่มีช่องว่างในการรุกและการป้องกันเลย แถมพวกเขาทั้งหมดยังมีค่าสถานะพื้นฐานที่น่าทึ่ง และแม้แต่ซือเฟิงก็ยังรับมือกับการโจมตีประสานของนักดาบในชุดเกราะสีทองได้อย่างยากลำบาก
ถ้าเขาไม่มีวัฏสงสารแห่งดาบไว้ใช้ป้องกันตัวเอง นักดาบในชุดเกราะสีทองพวกนี้คงโยนเขากลับลงบันไดได้ไปนานแล้ว
ฉันสามารถจะจัดการกับนักดาบเหล่านี้แบบตัวต่อตัวได้อย่างง่ายดาย แต่การหลีกเลี่ยงการโจมตีที่ประสานกันของพวกเขาด้วยร่างกายของผู้เล่นขั้นหนึ่งนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย ดูเหมือนว่าทางเลือกเดียวของฉันคือการต้องบังคับใช้กำลังเปิดทาง !!
หลังจากผ่านไปสามนาทีในการต่อสู้กับนักดาบในชุดเกราะสีทองสี่คน ซือเฟิงก็ตระหนักว่า ถ้าเขายังคงต่อสู้ต่อไปแบบนี้มันจะเป็นการเสียเวลาเปล่า เขาไม่พบจุดอ่อนใดๆที่จะใช้ประโยชน์ได้เลยจากนักดาบเหล่านี้ ดังนั้นวิธีเดียวที่เขาคิดได้เพื่อไปให้ถึงขั้นต่อไปก็คือบังคับใช้กำลังเปิดทางผ่านนักดาบเหล่านี้
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ก้าวไปข้างหน้าและสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเขาก็ยก Abyssal Blade ของเขาขึ้นเหนือหัวและจัดการรวบรวมมานามารอบๆอาวุธ
ซึ่งมันก็ทำให้เงาของดาบขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นเหนือเขาทันที แม้ว่าหอคอยพิเศษจะปราบปรามจนทำให้ร่างกายทางกายภาพของเขามีความแข็งแกร่งเท่ากับขั้นหนึ่ง แต่มันก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถมาปราบปรามร่างมานาของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถควบคุมมานาในนี้เพื่อใช้ในการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ในการตอบโต้นักดาบในชุดเกราะสีทองทั้งสี่คนพยายามจะทำการโจมตีประสานกันเข้าใส่จุดอ่อนทั้งสิบหกจุดของซือเฟิง แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้มีโอกาสโจมตี ซือ
เฟิงก็เหวี่ยง Abyssal Blade ของตัวเองแล้ว
ไลท์ชาโด้ว !!
ตู้ม !!
หลังจากเจอกับการโจมตีด้วยไลท์ชาโด้ว นักดาบทั้งสี่ก็แตกแถวกันออกจากรูปแบบ และถูกบังคับให้ต้องถอยไปหลายก้าว ซึ่งซือเฟิงก็ใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่ใกล้ที่สุดของเขาทันที
เป้าหมายของซือเฟิงนั้นตอบสนองอย่างรวดเร็ว แม้ว่านักดาบในชุดเกราะสีทองจะยังไม่สามารถตั้งตัวได้ แต่เขาก็ได้ใช้การเฉือนดาบออกมาในแนวนอนเพื่อหยุดการพุ่งเข้ามาของซือเฟิง
อย่างไรก็ตามซือเฟิงไม่ได้ให้โอกาสนักดาบในชุดเกราะสีทองในการป้องกันตัวเอง เพราะเขาได้ใช้ดาบศักสิทธิ์ของเขาให้แปรเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงทำการหักเหวิถีดาบของนักดาบในชุดเกราะสีทองออกไปทันที ก่อนที่จะแทงมันเข้าที่หน้าอกของนักดาบในชุดเกราะสีทอง
Peng!
ประกายไฟนั้นเกิดขึ้น เมื่อดาบของซือเฟิงปะทะเข้ากับชุดเกราะสีทองของนักดาบ โดยผลของการโจมตีนี้มันก็ได้บังคับให้นักดาบต้องถอยไปอีกสองถึงสามก้าวก่อนจะทรุดลง ในที่สุดซือเฟิงก็สามารถเจาะรูในรูปแบบของนักดาบในชุดเกราะสีทองทั้งสี่ได้แล้ว
ตอนนี้แหละ !!!
เมื่อเห็นเป้าหมายของเขาทรุดลงไป ซือเฟิงก็ได้ทำการใช้ Void Steps เพื่อสร้างความสับสนให้กับนักดาบในชุดเกราะสีทองอีกสามคนที่เหลือ ก่อนที่จะหลบหนีการล้อมกรอบของทั้งสามมาได้ และก้าวไปสู่บันไดขั้นเก้าสิบ
ขณะที่ซือเฟิงมาถึงบันไดที่ขั้นเก้าสิบนั้น นักดาบในชุดเสื้อคลุมสีดำก็ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าเขา ก่อนที่นักดาบคนนี้จะกระชับอาวุธในมือแน่นและใช้มันโจมตีเข้าใส่ซือเฟิงทันที
การโจมตีนี้มันมีแรงผลักที่ทรงพลังจนน่าประหลาดใจ และทันทีที่ดาบของนักดาบในชุดเสื้อคลุมสีดำพุ่งเข้ามานั้น มันก็เปลี่ยกลายเป็นอนุภาคแสงจำนวนมากพุ่งเข้าหาซือเฟิง ซึ่งมันทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถบอกได้ว่าการโจมตีไหนเป็นของจริงรึปลอม
เทคนิคการต่อสู้ขั้นสูง ? การแสดงออกของซือเฟิงมืดมนลง เมื่อเขาจำได้ว่าการเคลื่อนไหวของนักดาบผู้นี้นั้นคือเทคนิคการต่อสู้
ค่าสถานะพื้นฐานและมาตราฐานการต่อสู้ของนักดาบในชุดเสื้อคลุมสีดำนั้นสูงกว่านักดาบในชุดเกราะสีทองที่ซือเฟิงเคยเผชิญมาอย่างมาก ในความเป็นจริงมันต้องบอกว่านักดาบผู้นี้แทบจะอยู่ในขอบเขตรวดเร็วดั่งสายน้ำแล้วด้วยซ้ำ และเมื่อรวมมันเข้ากับการที่เขาใช้เทคนิคการต่อสู้ขั้นสูงแล้ว ซือเฟิงก็ไม่สามารถจะเทียบกับคู่ตค่อสู้รายนี้ได้ด้วยร่างกายทางกายภาพขั้นหนึ่งเลย
แน่นอนว่าข้อเสียเปรียบแค่นี้นั้นมันไม่มากเพียงพอที่จะทำให้ซือเฟิงยอมแพ้ได้ และเขาก็ได้ทำการเหวี่ยงคิลลิงเรย์ของเขาทันที
วัฎสงสารแห่งดาบ !!!
ทันทีที่อาวุธของทั้งสองปะทะกัน เสียงดังสนั่นก็ดังก้องไปทั่วชั้นสอง และผลของมันนั้นก็ทรงพลังมากซะจนผลักดันให้ซือเฟิงต้องกลับมาที่ขั้นที่แปดสิบเก้า และซือเฟิงก็ไม่ได้มีเวลาจะปรับท่าทางใดๆของเขาเลย ก่อนที่นักดาบในชุดเกราะสีทองทั้งสี่คนจะทำการโยนเขากลับมาที่ฐานของบันไดในชั้นสอง
นักดาบในบันไดขั้นที่เก้าสิบนั้นยอดเยี่ยมมากๆ ฉันไม่เห็นการเคลื่อนไหวที่มากเกินไปเลย และเมื่อรวมกับเทคนิคการต่อสู้ขั้นสูงนั้นทุกอย่างมันออกมาสมบูรณ์แบบมากๆ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนก็ไม่สามารถจะค้นพบช่องโหว่ใดๆเพื่อใช้ประโยชน์ได้แน่นอน และพวกเขาก็จะต้องถูกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีโดยตรงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นไม่ได้ผิดหวังเลยที่ถูกโยนกลับมาที่จุดเริ่มต้น จริงๆแล้วเขาค่อนข้างตื่นเต้นด้วยซ้ำ เพราะนักดาบในชุดเสื้อคลุมสีดำมันทำให้เขาเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง
เขาได้มาถึงขอบเขตที่แท้จริงแล้ว ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวของเขาควรจะดูคล้ายกับเทคนิคการต่อสู้ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น การเคลื่อนไหวของเขาขาดพลังของเทคนิคการต่อสู้ ทุกอย่างที่เขาทำได้ตอนนี้มันยังเป็นเพียงภาพลวงของเทคนิคการต่อสู้เท่านั้น มันยังไม่ใช่ของจริง
พูดง่ายๆก็คือตอนนี้เขายังไม่ได้ก้าวหน้ามากนักเลยในขอบเขตที่แท้จริงของเขาตอนนี้ และรากฐานของเขาก็ยังไม่มั่นคง เขายังเข้าใจเพียงแค่คลุมเครือเท่านั้นเกี่ยวกับแนวคิดของขอบเขตนี้
ในทางกลับกันนักดาบในชุดเสื้อคลุมสีดำนั้นตรงกันข้ามกับซือเฟิงทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องรากฐาน รากฐานของเขานั้นมั่นคงมากๆ ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ซือเฟิงยังไม่สามารถจะขึ้นไปที่ชั้นสามของหอคอยพิเศษได้ แม้ว่าเขาจะมาได้ไกลขนาดนี้แล้วก็ตาม
หากเขาสามารถทำได้แบบนักดาบในชุดเสื้อคลุมสีดำโดยการผสานเทคนิคการต่อสู้เข้ากับทุกการเคลื่อนไหวของเขา และทำมันได้อย่างสมบูรณ์ พลังการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังไตร่ตรองถึงข้อบกพร่องของตัวเอง สมาชิกของสภาสิบแปดปีกอีกจำนวนหนึ่งก็ถูกโยนลงมาจากบันไดของชั้นสองเช่นกัน
“ฉันทำได้ !! ในที่สุดฉันก็ทำได้แล้ว !!!” ชาโด้วซอร์ดตะโกนอย่างมีความสุข ขณะที่เขาจ้องมองไปยังมานาที่หนาแน่นที่ร่างกายของเขาแผ่ออกมา
เทอเทิ้ลโดฟ Alluring Summer และคนอื่นๆที่ถูกโยนลงมานั้นก็ล้วนแผ่มานาที่หนาแน่นออกมาในทำนองเดียวกัน ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นบลูฟอร์ส ฟลายอิ้งชาโด้ว สตับบอร์นโบน และสมาชิกของสภาสิบแปดปีกอีกจำนวนหนึ่งที่เริ่มจะปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้แล้วก็เผยการแสดงออกที่ตื่นเต้นออกมาเช่นกัน พวกเขาก้าวหน้าไปอย่างมากในระหว่างที่พวกเขาปีนขึ้นบันไดชั้นสองของหอคอยพิเศษ
นี่การฝึกในหอคอยพิเศษให้ผลมากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ? ซือเฟิงมองไปที่ผู้เล่นรอบตัวเขาด้วยความประหลาดใจ
แม้ว่ามานาในหอคอยพิเศษจะมอบความช่วยเหลือเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นให้กับผู้เล่นในการพัฒนาการควบคุมมานาของพวกเขา แต่ซือเฟิงก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขา การเรียนรู้กฎและวิธีการจัดการกับมานานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการปรับวิธีพวกนี้ให้เข้ากับร่างมานาของตัวเอง
ตอนแรกซือเฟิงนั้นคาดการณ์ไว้ว่า แม้ว่าชาโด้วซอร์ด และคนอื่นๆที่ใกล้จะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วจะได้มาฝึกที่นี่ แต่พวกเขาก็น่าจะยังต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันกว่าจะเข้าถึงตัวเลขร้อยเปอเซ็นต์ได้
แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ พวกเขากับประสบความสำเร็จในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ….
หากสมาชิกกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกสามารถก้าวหน้าไปได้มากขนาดนี้ ในอัตรานี้พวกเขาทั้งหมดที่มาที่นี่น่าจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ทั้งหมดในเวลาไม่ถึงสิบวัน และพวกเขาก็จะกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างแท้จริงใน God domain
ระหว่างที่ซือเฟิงหันกลับมาสนใจบันไดชั้นสองนั้น เมลานโครอิคสไมล์ก็ได้โทรเข้ามาหาเขา
“หัวหน้ากิล ตัวแทนของหอการค้าอาซูได้มาที่สถานที่พักกิลของเรา พวกเขาต้องการพูดคุยกับหัวหน้าเกี่ยวกับการนำไซเร้นวอร์นเดอร์ไปพัฒนาที่ไวโอเล็ตซอร์ดในทวีปด้านตะวันตก พวกเขาหวังว่าเราจะไม่ “ขัดขวางอนาคตของเธอ” และปล่อยเธอไป พวกเขาได้ไปหาไซเร้นวอร์นเดอร์ก่อนจะมาที่นี่แล้วด้วย และดูเหมือนว่าปฎิกิริยาของเธอจะไม่เป็นบวก” เมลานโครอิคสไมล์รายงาน
“ไวโอเล็ตซอร์ดงั้นหรอ ?” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “หอการค้าอาซูนี่ช่างเป็นพวกเจ้าเล่ห์อย่างแท้จริง …”
“หัวหน้ากิลต้องการจะพบกับพวกเขาไหม ?” เมลานโครอิคสไมล์ถาม
“ไม่ นั่นมันไม่จำเป็นเลย ให้เฮลรัชส่งพวกเขาออกไป นอกจากนี้ให้เฮลรัชถ่ายทอดข้อความของฉันไปถึงพวกเขาว่า ฉันจะพาวอร์นเดอร์ไปเยี่ยมไวโอเล็ตซอร์ดเป็นการส่วนตัว หลังจากการแข่งขันระหว่างตระกูล เพื่อพูดคุยกับคนของซุเปอร์กิลเอง ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องมายุ่ง !!!” ซือเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น
ตอนที่ 2596 สภาสิบแปดปีกอันยิ่งใหญ่ และเวลาที่เปลี่ยนไป
เมืองป่าหิน สถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก :
หลงหวู่ชางและเฮอร์มิทซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าต่างฝรั่งเศสนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีความสุขในห้องรับรองที่หรูหราและมีขนาดใหญ่ของสภาสิบแปดปีก
“นี่คุณกำลังบอกว่าหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมไม่มีความตั้งใจจะมาพบกับเรางั้นหรอ ? ผู้บัญชาการรัช ….” หลงหวู่ชางกล่าวอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ และจ้องมองไปยังเฮลรัชซึ่งพึ่งแจ้งให้พวกเขาทราบถึงคำตอบของซือเฟิงด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง เขารู้ดีว่าพวกคุณต้องการจะพูดอะไร และต้องการให้ฉันถ่ายทอดข้อความของเขามาถึงพวกคุณ เมื่อการแข่งขันระหว่างตระกูลสิ้นสุดลง เขาจะพาไซเร้นวอร์นเดอร์ไปเยี่ยมเยียนไวโอเล็ตซอร์ดเป็นการส่วนตัวเอง พวกคุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้” เฮลรัชบอกชายสองคนอย่างใจเย็นพลางพยักหน้า
ข้อความนี้ทำให้ทั้งคู่ตกตะลึงอย่างมากโดยเฉพาะกับหลงหวู่ชาง
หลงหวู่ชางได้พิจารณาถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้หลายอย่างก่อนที่พวกเขาจะมาถึงสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก และเขาก็ได้เตรียมข้อโต้แย้งมามากมายเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ซือเฟิงยอมปล่อยไซเร้นวอร์นเดอร์ไป อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดเลยว่าซือเฟิงจะปฎิเสธที่จะพบพวกเขา และกระทั่งให้เฮลรัชมาส่งพวกเขากลับไป ….
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ชายหัวล้านประหลาดใจที่สุดก็คือ เฮลรัชนั้นปฎิบัติตัวเป็นเหมือนเลขาส่วนตัวของซือเฟิงเลย และมาถ่ายทอดข้อความของซือเฟิงถึงพวกเขาเป็นการส่วนตัว ….
พันธมิตรระหว่างจักรวรรดิโลกใต้พิภพและสภาสิบแปดปีกนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่เป็นความลับอีกต่อไปในหมู่มหาอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการต่อสู้ที่ประตูเทเลพอร์ตที่เชื่อมต่อกับโลกแห่งความมืด เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองกิลออกมาอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามเฮลรัช ซึ่งเป็นเทพสังหารที่มีชื่อเสียงในทวีปด้านตะวันตก และยังเป็นผู้บัญชาการกองกำลังนรก ซึ่งเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ และแม้แต่หัวหน้ากิลของไวโอเล็ตซอร์ดก็ยังต้องปฎิบัติอย่างจริงจังกับเขา กับมารับบทเป็นเหมือนเลขาส่วนตัวของซือเฟิงที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดข้อความอย่างเชื่อฟัง ….
“ดี !! เนื่องจากหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมเข้าใจสถานการณ์ เราจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว !!!” หลงหวู่ชางกล่าวตัดสินใจ หลังจากสงบสติอารมณ์ จากนั้นเขาก็ยืนขึ้น และเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเฮอร์มิท
หลังจากออกมาจากสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก บรรยากาศรอบตัวของหลงหวู่ชางก็ดูเหมือนจะลดลงสองถึงสามองศาและกลายเป็นหนาวจัดจนผู้เล่นในบริเวณใกล้เคียงนั้นสั่นสะท้าน และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของหอการค้าอาซูที่ติดตามเขามาด้วยก็ยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้าน เมื่อออร่าของหลงหวู่ชางกวาดผ่านพวกเขา
“เมื่อคิดว่าแม้แต่เฮลรัชผู้มีชื่อเสียงก็ยังฟังแบล๊คเฟรม …. ฉันไม่คาดคิดเลยว่าสภาสิบแปดปีกจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพแบบนี้ ไวโอเล็ทซอร์ดอาจจะยอมแพ้ก็ได้นะ ถ้ารู้เรื่องนี้ …” เฮอร์มิทคาดเดา พลางมองไปยังสีหน้าบิดเบี้ยวของเพื่อนของเขา
“แล้วยังไงล่ะ ?” หลงหวู่ชางหัวเราะ “ฉันยอมรับว่าสภาสิบแปดปีกนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพ แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะพูดยังไง พวกเขาก็เป็นแค่พันธมิตรกันเท่านั้น และสภาสิบแปดปีกก็แทบจะไม่มีพลังใดๆในทวีปด้านตะวันตก ในขณะที่ไวโอเล็ตซอร์ดนั้นเป็นยักษ์ใหญ่ ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดว่าใครเป็นผู้กุมความได้เปรียบในทวีปด้านตะวันตก จักรวรรดิโลกใต้พิภพจะช่วยพวกเขาได้มากแค่ไหนกัน ?”
“ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตและศักศรีดิ์ของไวโอเล็ตซอร์ด กิลจะไม่ยอมถอยเพียงเพราะการแทรกแซงของจักรวรรดิโลกใต้พิภพแน่นอน ไวโอเล็ตซอร์ดนั้นตั้งเป้าที่จะกลายเป็นห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดให้ได้ ซึ่งสภาสิบแปดปีกเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพแล้วยังไงล่ะ ?”
“และสำหรับแผนการของแบล๊คเฟรมที่จะไปเจรจากับไวโอเล็ตซอร์ดเป็นการส่วนตัวนั้น มันไม่มีอะไรมากไปกว่าคำพูดของคนโง่เลย !!!”
“เอาเถอะๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีทางของมันน่ะนะ ว่าแต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว คุณจะกลับเลยไหม ?” เฮอร์มิทถาม
“แน่นอน ฉันจะกลับเลย …” หลงหวู่ชางกล่าว ก่อนที่เขาจะมองไปยังสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกอย่างเย้ยหยัน “ไวโอเล็ตซอร์ดได้เตือนตระกูหลงมาแล้ว และเนื่องจากแบล๊คเฟรมต้องการที่จะดื้อรั้น เขาจึงไม่สามารถจะโทษฉันได้ที่ฉันจะต้องถ่ายทอดข้อความของเขาไปยังไวโอเล็ตซอร์ด ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นความมั่นใจของเขาหายไปแล้ว !!!”
จากนั้นหลงหวู่ชางก็ออกจากเมืองป่าหิน และกลับไปยังทวีปด้านตะวันตกทันที และเขาก็วางแผนที่จะแจ้งให้ไวโอเล็ตซอร์ดกับทุกคนในตระกูลทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ไม่นานหลังจากที่กลุ่มของหลงหวู่ชางจากไป ไซเร้นวอร์นเดอร์ก็ได้รับข่าวการตอบกลับของซือเฟิง
“หัวหน้ากิล นี่หัวหน้าไม่ได้วางแผนจะไปเยี่ยมเยียนไวโอเล็ตซอร์ดจริงๆใช่ไหม ?” ไซเร้นวอร์นเดอร์ถาม ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงซึ่งคุยกันอยู่ในวีดีโอคอล
การปฎิเสธจะพบกับลุงห้าของเธอเป็นการส่วนตัวนั้นมันไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับกำลังเล่นกับไฟโดยการประกาศว่าเขาจะแก้ไขเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวเอง
สภาสิบแปดปีกกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในทวีปด้านตะวันออกเรียบร้อยแล้ว แต่รากฐานของกิลนั้นยังคงอ่อนแอมากในทวีปด้านตะวันตก การพยายามจะโน้มน้าวให้บริษัทซีอุสกับไวโอเล็ตซอร์ดละทิ้งแผนการของพวกเขานั้น มันคงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพลังของสภาสิบแปดปีกในปัจจุบัน
หาเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างรอบคอบ สภาสิบแปดปีกอาจกลายเป็นศัตรูของบริษัทซีอุสได้เลย ซึ่งมันคงไม่ใช่ข่าวดีนักสำหรับกิล
“ฉันได้ตัดสินใจไปแล้ว และก็ประกาศไปแล้วด้วย ดังนั้นยังไงฉันก็จะไปพบกับพวกไวโอเล็ตซอร์ด” ซือเฟิงกล่าว “และเราจะไปในสไตล์ของเราด้วย !!!”
“ไปในสไตล์ของเรา ?” ไซเร้นวอร์นเดอร์นั้นอดไม่ได้ที่จะคิดว่าซือเฟิงเป็นบ้าไปแล้วรึปล่าว
พวกเขากำลังพูดถึงกิลไวโอเล็ตซอร์ด และการไปพบกับกิลๆนี้ในทวีปด้านตะวันตก ซึ่งเป็นที่ที่กิลมีอิทธิพลสูง พวกเขาจะทันได้เข้าไปพบกับพวกระดับสูงของไวโอเล็ตซอร์ดก่อนจะถูกฆ่าตายไหมก็ยังไม่รู้เลย เมื่อคำพูดของซือเฟิงในวันนี้แพร่ออกไป ไม่ต้องพูดถึงการไปในสไตล์ของพวกเขาเอง
“ฉันได้ยินมาว่ารุ่นเยาว์ของหอการค้าอาซูได้รับการเชิญให้ไปฝึกกับไวโอเล็ตซอร์ด ? เนื่องจากเป็นแบบนี้เธอควรหยุดพักจากการวิจัยและผลิตโพชั่นก่อน แล้วให้หันมามุ่งเน้นการฝึกที่เมืองที่สาบสูญ” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองปนเป็นห่วงของไซเร้นวอร์นเดอร์ “เราจะแสดงให้ตระกูลของเธอ และไวดอเล็ตซอร์ดเห็นความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีก !!!”
“แต่มันมีเวลาเหลืออีกแค่ไม่กี่วันก่อนการแข่งขันระหว่างตระกูล ฉันกลัวว่ามันจะสายเกินไปที่เราจะเริ่มฝึกในตอนนี้ …” ไซเร้นวอร์นเดอร์บ่น
ความไว้วางใจของเธอในความสามารถของซือเฟิงนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความสามารถของเขาในการช่วยให้ผู้เล่นคนหนึ่งมีเลเวลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเขาได้พิสูจน์เรื่องนี้ให้เห็นกับสมาชิกกองกำลังหลักของดาร์ครัปโซดี้ และเดียตี้โซไซตี้แล้ว
อย่างไรก็ตามการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นนี้มันไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการดวลระหว่างผู้เล่นทั่วไป แต่มันเป็นการแข่งขันด้านมาตราฐานและเทคนิคการต่อสู้
หอการค้าอาซูนั้นถือว่าอาวุธและอุปกรณ์เป็นเพียงความแข็งแกร่งภายนอก และหอการค้าก็มีพลังมากพอที่จะได้รับไอเทมดีๆด้วยตัวเองอยู่แล้ว และทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ดังนั้นหอการค้าอาซูจึงไม่ต้องการให้สมาชิกรุ่นเยาว์พึ่งพาไอเทม หอการค้าอาซูต้องการให้สมาชิกรุ่นเยาว์พึ่งพาศักยภาพของพวกเขาเอง
อย่างไรก็ตามผู้เล่นก็ไม่น่าจะสามารถปรับปรุงมาตราฐานการต่อสู้และเทคนิคการต่อสู้ได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะเรื่องนี้นั้นมันจำเป็นจะต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากเป็นเวลานานมาก
ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงหกวันก่อนจะถึงการแข่งขันระหว่างตระกูล ดังนั้นการจะแสวงหาการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพภายในช่วงเวลาสั้นๆ มันจึงไม่ควรจะทำได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าความสามารถของเธอในด้านสายอาชีพจะจัดว่าโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆในหอการค้าอาซู แต่เธอก็ไม่ควรจะมีอะไรที่จะสามารถเทียบได้กับอัจฉริยะด้านการต่อสู้ของหอการค้าอาซูเลย
จากสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาในระหว่างการแข่งขันครั้งก่อนที่เมืองหินปีศาจ รุ่นเยาว์สองคนนั้นอยู่ใกล้กับขอบเขตโดเมนแล้ว และตอนนี้คนหนึ่งก็ได้ไปถึงขอบเขตโดเมนแล้วด้วย ในทางตรงกันข้าม เธอพึ่งจะอยู่ในมาตราฐานครึ่งก้าวก่อนขอบเขตอนันต์เท่านั้น เธอไม่มีทางจะไปเอาชนะอัจฉริยะพวกนั้นได้เลย
“ฉันรู้น่า แต่อย่างไรก็ตามการต่อสู้มันก็มีหลายรูปแบบและวิธีการนี่นา …” ซือเฟิงกล่าว เขาตระหนักถึงความกังวลของไซเร้นวอร์นเดอร์ดี “ไม่ว่าในกรณีใด แค่ไปที่นั่น ฉันอนุญาติให้เธอสามารถเข้าถึงเมืองที่สาบสูญได้แล้ว เธอสามารถไปที่สถานที่พักกิลเพื่อซื้อม้วนคัมภีร์เทเลพอร์ตของกิลได้ทันที”
“เอาล่ะ ฉันจะรีบไปทันที !!” ไซเร้นวอร์นเดอร์กล่าวยอมรับพลางพยักหน้า เนื่องจากซือเฟิงมีความมั่นใจมาก เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตามความปราถนาของเขา เธอเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงที่เธออยู่กับสภาสิบแปดปีก และเธอก็ไม่สามารถจะทำให้ชื่อเสียงของกิลแปดเปื้อนได้ หลังจากนั้นเธอก็ออกจากบริษัทการค้าแสงเทียน และมุ่งหน้าไปยังสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น