Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา 1481-1484

ตอนที่ 1481

 

ลืมตา

โดย

Ink Stone_Fantasy

จักรวาลเข้มคือสี มันเป็นตัวแทนของสีเทาเกือบจะสีขาว หรืออาจไม่เหมาะสมเล็กน้อย เพราะสีชนิดนี้ ในมุมมองคนส่วนใหญ่จะให้ความรู้สึกหนักอึ้งจนเกือบจะวังเวง


มันเป็นทั้งสีและก็วังเวง


แต่ความกว้างใหญ่หมายถึงความเลือนราง หมายถึงความใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด…รวมกับจักรวาลแล้วก็จะกลายเป็น…โลกจักรวาลกว้างใหญ่ไร้พรมแดน


กลางจักรวาลกว้างใหญ่นี้แฝงไว้ด้วยโลกมนุษย์เท่าไร มีกี่โลก และมีความสุขทุกข์ของการพบและลาจากเท่าไร สิ่งที่ไหลผ่านจะใช่แม่น้ำกาลเวลาที่นับจำนวนได้ชัดเจนหรือไม่


ไม่มีใครรู้


เหมือนว่าตั้งแต่โบราณมาในจักรวาลกว้างใหญ่ที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรนี้มีร่างเงาหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศยักษ์ สวมชุดคลุมยาวสีดำ เส้นผมยาวตกลง ก้มหน้าลง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายมรณะเข้มข้น เขา…คือเสวียนจั้ง!


เขานั่งขัดสมาธิอยู่แบบนี้ ภายใต้กลิ่นอายมรณะอบอวลยังมีการผ่านโลกมาเนิ่นนานแต่โบราณ เหมือนว่าการนั่งครั้งนี้ลืมการจากไปของกาลเวลาหลายครั้ง ลืมเต๋าตอนยังมีชีวิต…


จนถึงตอนนี้เสียงถอนหายใจดังก้องมาจากปากเสวียนจั้ง…เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่แนบสนิทมาโดยตลอดไม่เคยลืมตามาแต่โบราณ เวลานี้…ลืมตาขึ้นช้าๆ!


ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ทั้งโลกจักรวาลกว้างใหญ่พลันเกิดเสียงดังสนั่นไม่มีสิ้นสุด ท่ามกลางเสียงครึกโครม ประหนึ่งว่าทั้งจักรวาลกว้างใหญ่ตื่นกลัวจากการลืมตาของเสวียนจั้ง สั่นสะท้านเพราะกลิ่นอายพลังที่แผ่มายามเขาลืมตา!


หมอกม้วนตลบ วนเวียนรอบตัวเสวียนจั้งอย่างรวดเร็วกลายเป็นน้ำวนหนึ่งแล้วหมุนม้วนไปทั้งจักรวาลกว้างใหญ่ ขณะที่น้ำวนไร้พรมแดนหมุนโคจรดังอึกทึก เขาลืมตาขึ้นทั้งหมด!


เผยประกายสร้างความหวาดหวั่นแก่จักรวาลกว้างใหญ่ในแววตา ประกายนี้หายไปในพริบตา กลายเป็นเรียบนิ่ง…นั่นไม่ใช่ดวงตาเสวียนจั้ง นั่นคือ…ดวงตาซูหมิง!


การยึดร่างครั้งนี้ ทันทีที่ซูหมิงก้าวออกจากฟ้าชั้นที่สามสิบสามและเข้าไปในระหว่างคิ้วเสวียนจั้งนั้น…เขาทำสำเร็จแล้ว!


“ข้าสำเร็จแล้ว” ซูหมิงที่ยึดร่างเสวียนจั้งลืมตาขึ้นมองจักรวาลกว้างใหญ่คุ้นตา มองน้ำวนตรงหน้าพลางพูดเสียงเบา


ขณะพึมพำเสียงดังกังวาน ซูหมิงก้มหน้าลงมองขนนกสีดำในฝ่ามือตน กลิ่นอายพลังกระเรียนขนร่วงแผ่มาจากขนนกจางๆ อบอวลอยู่ในใจเขา


“ข้าคือ…ซูหมิง” ซูหมิงหลับตาลง เขาสัมผัสได้ถึงกายนี้ สัมผัสได้ว่าในร่างกายมีโลกโบราณอยู่โลกหนึ่ง


เหมือนกับบนปีกซางเซียงที่มีโลก ตอนนี้ภายในร่างกายที่ซูหมิงยึดร่างสำเร็จก็มีโลกเช่นกัน


“เสวียนจั้งเองก็ไม่ได้ล้มเหลว” ซูหมิงเพ่งมองโลกภายในร่างกาย เสียงถอนหายใจเบาแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ดังก้องในจักรวาลกว้างใหญ่ กึกก้องโลกในร่างกายเขา


นั่นคือ…โลกที่ตายมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ในโลกนั้น ซูหมิงเห็นแคว้นกู่จั้ง เห็นทุกสำนัก เพียงแต่กลายเป็นซากปรักหักพัง เป็นเศษซาก ไม่มีสิ่งมีชีวิต


ราวกับว่าเมื่อเสวียนจั้งหลับตาลงในตอนนั้น เมื่อกลิ่นอายมรณะอบอวลในตัวเขา ทุกอย่างโรยรา


“สามพันปีที่ข้าประสบมาก่อนหน้านี้เป็นการยึดร่าง โลกสามพันปีนั้น…กู่จั้งก็ดี เสวียนจั้งก็ดี ล้วนเป็นความทรงจำในอดีตก่อนตายของเขา


ในความทรงจำนั้น ข้ากลายเป็นเขา มองจากมุมนี้ ข้าสำเร็จ…แต่หากยืนในมุมเขา เป้าหมายเขาคือคืนชีพโดยไม่สนสิ่งใด และตอนนี้…เขาก็คืนชีพจริงๆ แล้ว เพียงแต่คืนชีพด้วยดวงจิตของข้า” ซูหมิงมองโลกมรณะในร่างกายพลางพูดพึมพำกับตัวเอง


ซูหมิงเงียบลงจนไม่เอ่ยพึมพำ เพียงแค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในจักรวาลกว้างใหญ่ เหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงหนึ่งความคิดของเขาใช้เวลาพันปี…


จนกระทั่งซูหมิงเงยหน้าขึ้นถึงเก็บขนนกในมือไป จากนั้น…ยืนขึ้นจากเข็มทิศช้าๆ!


พริบตาที่เขายืนขึ้น น้ำวนทั้งจักรวาลกว้างใหญ่พลันส่งเสียงดังสนั่น น้ำวนหมุนโคจรส่งผลให้จักรวาลกว้างใหญ่กลายเป็นทะเลพิโรธไร้พรมแดน ส่วนซูหมิง…ยืนอยู่บนเข็มทิศ ร่างเงาประหนึ่งเจ้าปกครองทะเลพิโรธ


“นี่ก็คือเต๋าไร้ที่สิ้นสุด” ซูหมิงพูดกับตัวเองเบาๆ เพียงแต่ในน้ำเสียงมีความเงียบเหงา มีความโดดเดี่ยว นั่นคือความโดดเดี่ยวที่มีเขาคนเดียวในจักรวาลกว้างใหญ่


‘เหมือนกับคนกลายเป็นเทพ แล้วจากเทพ…เป็นเจ้าปกครองสูงสุด’ ซูหมิงยืนอยู่บนเข็มทิศนานมาก ก่อนนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้ง หลับตาลงกลางจักรวาลกว้างใหญ่คนเดียว


‘ข้าเดินมาถึงจุดูงสุดของเต๋าตัวเองแล้ว…’ ซูหมิงที่หลับตาอยู่ถอนหายใจอยู่ภายใน ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก แทบเป็นช่วงที่สูดลมหายใจเข้า น้ำวนรอบกายหมุนม้วนเข้ามาทางเขาพร้อมกัน วูบเดียวหลั่งทะลักเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย


น้ำวนไหลเชี่ยวในร่างกายเขา ปะทะกับโลกที่ตายไปแล้วในร่างกายอย่างต่อเนื่อง ไม่นานน้ำวนจักรวาลกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดนี้ก็รวมก็เป็นจุดเดียวกลางเมืองหลวงกู่จั้งใจกลางโลกมรณะ


จุดนี้เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ พริบตานี้…ฝังลึกลงไปในโลกนี้


เวลาผ่านไปพริบตาเดียวพันปี…พันปีต่อมา โลกมรณะเกิดต้นไม้ขึ้น นั่นคือ…ต้นพิสูจน์เต๋า!


รากไม้ขยายไปในแผ่นดิน ใช้จักรวาลกว้างใหญ่เป็นสารอาหาร ค่อยๆ เติบโตขึ้น เหมือนกับตอนนั้นที่เฮ่าเฮ่าเปลี่ยนแปลงโลก ตอนนี้ซูหมิงก็ใช้วิธีแบบเดียวกันเปลี่ยนโลกในร่างกาย


เขามีเวลาไม่มีจำกัด มีความอดทนเหนือจินตนาการในการบรรลุเป้าหมายทีละก้าว


พันปีต่อมาต้นพิสูจน์เต๋าสูงเสียดฟ้าปกคลุมทั้งโลก โลกภายในร่างกายซูหมิงไม่มีซากปรักหักพัง ไม่มีเศษซากแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างกลับมาจุดเริ่มต้น เห็นเทือกเขา เห็นแม่น้ำ เห็นทุกอย่างในแคว้นกู่จั้งสามพันปีในความทรงจำเขา


บางทีอาจมีพลังลึกลับบางอย่างทำให้ซูหมิงประสบมาสามพันปีในการยึดร่าง ทำให้ตอนนี้ที่เขาเปลี่ยนโลก ค่อยๆ เปลี่ยนให้เป็นแบบในความทรงจำ


บางทีพลังลึกลับนี้อาจเป็นของเสวียนจั้ง


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกอย่างไม่สำคัญแล้ว เมื่อต้นพิสูจน์เต๋าบนโลกในร่างซูหมิงสูงเสียดฟ้าแมกไม้มาแทนที่ฟ้าแล้วนั้น ซูหมิงลืมตาจากสมาธิ


“ชีวิตข้ามีฤดูหนาว ดังนั้นโลกนี้ถึงมีฤดูหนาว อย่างเช่นดวงตะวันฤดูใบไม้ร่วง สายฝนฤดูร้อน และความเปี่ยมล้นของใบไม้ผลิ นี่คือชีวิตคนและก็เป็นโลกของข้า” ชั่วขณะพึมพำ ภายในโลกในร่างกายเขามีสี่ฤดูกาลแล้ว


ในช่วงหลายพันปีมานี้ เข็มทิศใต้ร่างซูหมิงยังคงเดินหน้าต่อไป ส่งผลให้ร่างกายเขาสูบพลังจากจักรวาลกว้างใหญ่อยู่ตลอดเพื่อบำรุงโลกในร่างกาย ปรับเปลี่ยนความตายในอดีต แม้ตอนนี้โลกจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว มีสี่ฤดูแล้ว แต่ซูหมิงยังคงเดินหน้าไปไม่หยุด


เมื่อเวลาผ่านไป ภายในโลกในร่างกายเขาก็ผ่านไปเช่นกัน คล้ายว่าโลกนั้นจะสมบูรณ์แล้ว ขาดเพียงอย่างเดียว…นั่นคือสิ่งมีชีวิต


‘ตามหาร่องรอยของพวกเขากลางวัฏจักรในจักรวาลกว้างใหญ่ จนกระทั่งหาร่องรอยทั้งหมดพบแล้ว…ข้าจะเปิดประตูยมโลก นี่จะเป็นการเปิดประตูยมโลกครั้งแรกของข้า และครั้งนี้…จะเป็นครั้งสุดท้าย’ ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศเพ่งมองจักรวาลกว้างใหญ่ไกลๆ สัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวหลายพันปี สัมผัสได้ถึงความเงียบเหงาที่มีตนเพียงคนเดียว เขาเข้าใจว่าความเงียบเหงาแบบนี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ความโดดเดี่ยวเช่นนี้จะไม่มีจบสิ้น


“นี่ก็คือเต๋าไร้ที่สิ้นสุด” ซูหมิงกล่าวเบาๆ ก่อนถอดไข่มุกตรงข้อมือออกมาเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วโบกมือซ้ายไปยังจักรวาลกว้างใหญ่ จักรวาลกว้างใหญ่พลันหมุนม้วน พลังไร้ขีดจำกัดรวมเข้ามา หลังรวมเข้าไปในไข่มุกพวงนี้แล้ว ซูหมิงเหลือไว้เพียงไข่มุกลูกที่เจ็ด ช่วงที่โบกลูกที่เหลือออกไป ไข่มุกเหล่านี้มีหกลูกเหมือนมีชีวิต กลายเป็นผีเสื้อทีละตัวบินไกลออกไป จนกระทั่งหายไปตรงหน้าเขา


มีเพียงไข่มุกลูกที่เจ็ดที่อยู่ในมือซูหมิง


“จากนี้ไปในจักรวาลกว้างใหญ่จะมีผีเสื้อเพียงแปดตัว เป็นความหวังให้ข้าตามหาร่องรอย…” ซูหมิงพึมพำ ซางเซียงในจักรวาลกว้างใหญ่กำเนิดบนต้นไม้โบราณพิสูจน์เต๋า พวกมันมีนามเหมือนกัน มีชีวิตเหมือนกัน กระทั่งพูดได้ว่าพวกมันคือร่างเดียวกัน


เมื่อต้นพิสูจน์เต๋าสิ้นสูญไปในกาลอดีต พวกมันจึงทำได้เพียงลอยล่องอยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ เร่ร่อนหาบ้านไม่พบ…เพราะต้นกำเนิดพวกมันเหมือนกัน ดังนั้นซูหมิงจึงเชื่อว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อรวมถึงพวกอวี่เซวียนชางหลันที่เกิดบนปีกซางเซียงตัวที่เจ็ดจะต้องมีร่องรอยบนปีกซางเซียงตัวอื่นอย่างแน่นอน


ต้องรวมร่องรอยเหล่านี้ทั้งหมดถึงจะเปิดประตูยมโลกได้


เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้คือการคาดการณ์ของซูหมิง บางทีอาจจะสำเร็จ หรือไม่บางที…เพียงแต่ขอแค่เขาต้องการ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลอง ต่อให้ไม่สำเร็จก็จะไม่มีวันล้มเลิก จะตามหาวิธีอื่นๆ ต่อ นี่คือเต๋าของเขา


ซูหมิงกำไข่มุกลูกที่เจ็ดไว้ในมือพลางหลับตาลงช้าๆ ไข่มุกในมือเม็ดนี้ไม่กลายเป็นผีเสื้อ เพราะว่าในนั้น…ไม่มีวิญญาณหวนคืนของกระเรียนขนร่วง


เวลาผ่านไป ซูหมิงนั่งเข็มทิศเดินหน้าไปไม่หยุดในจักรวาลกว้างใหญ่ เขาชินกับรสชาติความโดดเดี่ยวและเงียบเหงาแล้ว โดดเดี่ยวมาพันปี เงียบเหงามาหมื่นปี…จนผ่านไปสามหมื่นปี…


ในจักรวาลกว้างใหญ่ตรงหน้าเขามีผีเสื้อยักษ์ตัวหนึ่ง นั่นคือซางเซียง เพียงแต่ไม่ใช่ผีเสื้อที่เขาคืนชีวิตให้เมื่อสามหมื่นปีก่อน แต่เป็นตัวที่ยังไม่ถูกเสวียนจั้งทำลาย


บนตัวผีเสื้อไม่มีกลิ่นอายมรณะมากนัก บนสี่ปีกของมันมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ในนั้นอาจจะมีคนรู้ว่าโลกที่อยู่เป็นปีกของซางเซียง อาจจะมีคนดิ้นรนเหมือนดวงจิตสามรกร้าง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…พวกเขายังโชคดี


เพราะคนที่พวกเขาเจออยู่ตอนนี้ไม่ใช่เสวียนจั้งในอดีต แต่เป็นซูหมิง


ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศ มองผีเสื้อซางเซียงไกลลิบเงียบๆ แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงเข้ามาใกล้ ผีเสื้อตัวสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด เผยกลิ่นอายหวาดกลัว


“ข้าจะไม่ลบเจ้า ข้าเพียงแค่ต้องการเก็บร่องรอยเล็กน้อย”

 

 

 


ตอนที่ 1482

 

 ไม่รอให้ฟ้าเงียบเหงา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซูหมิงมองซางเซียงที่กำลังตื่นกลัวพลางพูดเรียบๆ ก่อนหลับตาลง ทันใดนั้นเองดวงจิตยากจะบรรยายมหึมาพลลันออกจากร่าง ตรงไปยังผีเสื้อซางเซียง


ระดับความใหญ่ของดวงจิตนี้เทียบกับซางเซียงแล้วเหมือนแสงจันทร์กับแสงหิ่งห้อย ทำให้ซางเซียงไม่มีแรงต่อต้านหรือดิ้นรน ทำได้เพียงปล่อยให้ดวงจิตซูหมิงปกคลุมร่างเอาไว้ทั้งหมด ก่อนหลอมรวมเข้าไปกลางสี่ปีกในทุกพื้นที่


ตอนนี้สี่โลกในสี่ปีกซางเซียงตัวนี้ ฟ้ากระจ่างดาวสั่นสะเทือนพร้อมกัน โลกหยุดนิ่ง…ขณะหยุดนิ่ง ดวงจิตซูหมิงลากผ่านทุกชีวิตราวกับพายุคลั่ง ไม่ได้ทำร้ายพวกเขา แต่ตามหาร่องรอยที่ต้องการ


หลายลมหายใจต่อมา สี่โลกในซางเซียงกลับมาเป็นปกติ ดวงจิตซูหมิงหายไปแล้ว มีเพียงซางเซียงที่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่มันหวาดกลัวนั้น กระทั่งเป็นร่างเงาประทับในส่วนลึกความทรงจำยังไม่สลายดวงจิตไป แต่กลายเป็นหลายส่วนรวมอยู่กลางโลกสี่ปีกของมัน


มันวิตกไม่รู้ว่าซูหมิงจะหาร่องรอยอะไร ทำได้เพียงตื่นกลัวและหวังให้ซูหมิงจากไปให้เร็วที่สุด ความน่ากลัวและแข็งแกร่งจากซูหมิงทำให้มันไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย กระทั่งมันเข้าใจว่าหากคิดจะลบมัน บางทีอีกฝ่ายอาจแค่ชี้เท่านั้น


เวลาผ่านไปช้าๆ…


ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศลอยอยู่ตรงหน้าซางเซียง ดวงจิตเขาแบ่งเป็นหลายส่วนติดตามข้างกายคนที่มีร่องรอยที่เขาหาพบ


เขาไม่ได้เก็บร่องรอยมาโดยตรง แต่อยู่กับพวกเขา เมื่อเวลาผ่านไปนานมาก จนปีกซางเซียงเกิดการซ้อนทับกัน จนสี่โลกเริ่มถูกทำลายล้าง…


ตอนที่การทำลายล้างและเกิดใหม่ตัดสลับกัน ซูหมิงจากไปแล้ว เก็บร่องรอยที่ต้องการไปด้วย หลังอยู่กับพวกเขามาหนึ่งยุค ดวงจิตเขาออกจากซางเซียงที่วิตกกังวลอยู่ตลอดตัวนั้น กลับเข้าไปในร่างบนเข็มทิศ ซูหมิงลืมตาขึ้น


เขายกมือขวา ในฝ่ามือมีวิญญาณอ่อนแอหลายดวง ในนั้นมีศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อ ชางหลัน อวี่เซวียน สวี่ฮุ่ย ท่านปู่…ทุกใบหน้าในความทรงจำเขาเป็นต้น


คนเหล่านี้ พวกเขามีร่องรอยเพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่คนที่เขาต้องการ


ตอนที่ปีกซางเซียงกางออกอีกครั้ง ซูหมิงนั่งเข็มทิศจากไปไกลแล้ว เดินทางอย่างเงียบเหงาต่อในจักรวาลกว้างใหญ่ จนผ่านไปอีกหมื่นปี…


หมื่นปี สองหมื่นปี สามหมื่นปี…เวลาผ่านไปเช่นนี้ ไม่มีสัญญาณแม้แต่น้อย ภายใต้ความเงียบสงัด เมื่อหมื่นปีที่สองมาถึง ซูหมิงลืมตาอีกครั้ง เพราะตรงหน้าเขา…ปรากฏซางเซียงตัวที่เก้าที่โชคดียังไม่เจอเสวียนจั้ง


มันลอยอยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต โลกสี่ปีกที่มันอยู่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน


ถึงขนาดตอนที่สังเกตเห็นซูหมิง บางทีซางเซียงตัวนี้อาจจะอยู่มานานมากจนลืมสัญชาตญาณไป อยากจะแสดงเจตนาร้าย แต่แทบจะเพิ่งแสดงเจตนาร้ายก็ถูกดวงจิตซูหมิงทำลายจนสิ้น เกิดอาการตัวสั่น ตื่นกลัว ตกใจขึ้น


ซูหมิงไม่สนใจคลื่นอารมณ์ของซางเซียง แต่ใช้ดวงจิตปกคลุมสี่ปีกมัน ขยายออกไป หลังตามหาร่องรอยแล้วก็แบ่งดวงจิตติดตามไป


ขณะที่ซางเซียงกำลังตึงเครียด ซูหมิงไม่ได้เก็บร่องรอยมาทันทีเหมือนกับก่อนหน้านี้ เพราะการเก็บไปแบบนั้นจะเท่ากับทำลายล้างด้วยมือตัวเอง เขาทำไม่ได้ และไม่อยากทำ เขารอได้ รอจนวันที่โลกซางเซียงถูกทำลายถึงจะเก็บร่องรอย


เวลาผ่านไป เขาอยู่กับซางเซียงที่ตึงเครียดตัวนี้จนจบหนึ่งยุค ซูหมิงไม่หยุดพัก แต่เก็บร่องรอยที่หาพบไปจากซางเซียงที่โลกในสี่ปีกเริ่มให้กำเนิดชีวิตใหม่ จากไปภายใต้ความตึงเครียดและกังวลของมัน


แสนปีต่อมาซูหมิงเจอกับผีเสื้อซางเซียงจากไข่มุกที่เขามอบชีวิตให้ ก่อนเริ่มหาร่องรอยอีกครั้ง


เขาออกตามหาผีเสื้อทีละตัว เวลาผ่านไปเหมือนเป็นนิรันดร์ จนผ่านไปสิบยุค


เขาหาซางเซียงครบทุกตัวแล้ว หาร่องรอยจากในโลกซางเซียงที่หาได้แล้ว เพียงแต่…เมื่อรวมร่องรอยเหล่านี้ไว้ในฝ่ามือ เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศซึ่งแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนานกลับถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยว


ทุกร่องรอยเหล่านี้เป็นอิสระของตัวเอง หากฝืนรวมกันก็จะกลายเป็นพิมพ์สิ่งมีชีวิต ยังขาดความคุ้นเคยในความทรงจำ เขาเปิดประตูยมโลกคืนชีพพวกเขาได้ เพียงแต่พวกเขาที่คืนชีพมาแล้วจะจำกันไม่ได้ และจะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยที่สุดในใจซูหมิง


ซูหมิงไม่ยอมให้เป็นแบบนี้ และก็ไม่อยาก เขาหวังจะคืนชีพคนในความทรงจำ หวังให้คนที่คืนชีพมาเหล่านั้นยังเป็นตัวเอง และยังมีความทรงจำของตัวเอง มิใช่มีแค่ใบหน้ากับจิตวิญญาณที่เหมือน แต่กลับมีความแปลกตาขวางกั้น


“วัฏจักรเป็นดั่งทะเล มีเพียงตามหาร่องรอยที่เหลืออยู่ตอนที่พวกเขาหายไปในวัฏจักรหลายต่อหลายครั้งเท่านั้นถึงจะหลอมรวมด้วยกันแล้วกลายเป็นพิมพ์ชีวิตของพวกเขา” ซูหมิงเพ่งมองฝ่ามืออยู่นานมาก พึมพำกับตัวเองพลางกำหมัด หลังวางร่องรอยไว้ในใจแล้วก็คลายมือออก ก่อนกดลงบนเข็มทิศใต้ร่างเบาๆ


เมื่อกดไป เข็มทิศสั่นไหวทันใด ค่อยๆ หมุนโคจรเอง จากนั้นทั้งจักรวาลกว้างใหญ่เหมือนถูกเหนี่ยวนำให้หมุนตาม จนเวลาผ่านไป ในโลกจักรวาลกว้างใหญ่ไร้พรมแดนกลายเป็นน้ำวนยักษ์โคจรเสียงดังสนั่น กลายเป็นวงกลมทีละวง


วงกลมนี้อยู่ในสายตาซูหมิง ทุกครั้งที่จักรวาลกว้างใหญ่หมุนวนครบหนึ่งรอบจะเป็นหนึ่งวัฏจักรของชีวิต


เมื่อจักรวาลกว้างใหญ่หมุนเป็นน้ำวน มันยังนำการตกตะกอนของเวลาในนั้นให้ลอยขึ้นมาอยู่ในสายตา นำฝุ่นละอองที่ตกลงตรงส่วนลึกลอยขึ้นมาตรงหน้า พริบตาที่น้ำวนหมุนโคจรชั่วนิรันดร์ ซูหมิงออกจากเข็มทิศ เดินอยู่ในน้ำวน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ไม่ว่าชีวิตจะผ่านไปกี่วัฏจักร เขาก็ยังยึดมั่นเดินต่อไป


ตามหาร่องรอยที่เหลืออยู่ตอนที่พวกเขาสลายไปในกาลเวลา…


เก็บความทรงจำความคิดถึงกันและไม่ลืมกันตามสัญญาในวัฏจักร


เพียงเพื่อได้คิดถึงกันได้รู้จักกันและ…ได้พบกัน


ภายในคืนมืดก่อนฝ่ามือกดลงมาทำลายล้างซางเซียงในตอนนั้น เขาก็รู้แล้วว่าหากไม่ยึดมั่น ชาติหน้าก็อาจจะไม่ได้พบกันอีก


เหมือนกับรออยู่กลางวิมานลอยฟ้าสิบล้านปีว่าเมื่อไรฟ้าจะเงียบเหงา กี่ครั้งที่ใจลอย กี่ครั้งที่อาลัยอาวรณ์ และโลกมนุษย์ นับจากนี้ไปจะไม่มีคำว่าหากชีวิตคนเราเหมือนดั่งแรกเริ่มอีก…


 

 

 


ตอนที่ 1483

 

 ความคิดยึดมั่นครั้งนี้เพียงเพื่อพบกันอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แสนปี…


สองแสนปี…


สามแสนปี…


จนกระทั่งผ่านไปล้านปี ซูหมิงเดินไปเงียบๆ ในจักรวาลกว้างใหญ่ที่กลายเป็นวัฏจักรน้ำวน เขาใช้พลังทั้งหมดให้เป็นจิตสัมผัสตามหาร่องรอยพวกเขาในทุกพื้นที่ในวัฏจักรอย่างละเอียด


ไม่นานขณะอยู่ในความโดดเดี่ยวและเงียบเหงา ซูหมิงเหมือนลืมไปแล้วว่าจะพูดอย่างไร ลืมเสียงไปแล้วว่าเปล่งไปอย่างไร ความเหนื่อยล้าอบอวลในตัวเขา ที่เหนื่อยล้าไม่ใช่ร่างกาย เพราะเขาที่บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดเกิดความอ่อนล้าทางร่างกายยากมาก ที่เหนื่อยคือ…จิตใจ


การออกตามหาไม่หยุด ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ เพราะเขารู้ว่าหากคลายมือออก…จะไม่มีความหวังอีก


มีเพียงตามหา แม้ผืนฟ้าจะสิ้นสูญ แม้จักรวาลกว้างใหญ่จะมอดดับ เขาก็ต้องตามหาต่อไป นี่คือความยึดมั่นของเขา นี่คือเส้นทางของเขา


หนึ่งล้านปีแรก ซูหมิงเดินออกตามหาในจักรวาลกว้างใหญ่แบบนี้ ล้านปีที่สอง ร่างเงาเขายังคง…เดินผ่านซางเซียงไปทีละตัว เดินผ่านวัฏจักรน้ำวนไปทีละแห่ง จนล้านปีที่ห้า ความเหนื่อยล้าในใจกลายเป็นความอึดอัด ความรู้สึกเศร้าโศกหลอมรวมกับส่วนลึกของจิตวิญญาณ ตอนนี้เองในพื้นที่แห่งหนึ่งกลางจักรวาลกว้างใหญ่ เขาที่ตามหามาห้าล้านปีพลันหยุดชะงัก


นี่เป็นการหยุดครั้งแรกในรอบห้าล้านปี ขณะเดียวกับที่หยุด เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมองจักรวาลกว้างใหญ่ข้างๆ เขาเห็นเศษชิ้นส่วนภายในหมอกหมุนตลบอย่างต่อเนื่อง เศษนั้นเสียหายมาก ลอยอยู่ในหมอกเหมือนอยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว


ซูหมิงเพ่งมองเศษนี้ นัยน์ตาพลันขยับประกายวาวก่อนใช้มือขวาคว้าหมอกนั้นเอาไว้ หมอกหมุนตลบจึงเหมือนถูกดวงจิตที่เหนือกว่าจักรวาลกว้างใหญ่ปกคลุมเลยหยุดนิ่งโดยพลัน ราวกับว่าไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เศษในนั้นยังขยับวูบไหวตรงมาหาซูหมิง ลอยอยู่กลางฝ่ามือเขา


ซูหมิงมองเศษในฝ่ามือพลางเผยรอยยิ้มทีละน้อย รอยยิ้มนั้นมีความสุขมาก นี่เป็นรอยยิ้มครั้งแรกในการตามหาห้าล้านปี


“หม่า…เฟย…” เสียงซูหมิงแหบแห้ง เขาเงียบมาตลอดห้าล้านปีราวกับลืมการออกเสียงไปแล้ว ทำให้คำพูดจึงแหบแห้งและไม่ชัดเจน เหมือนคนชราไม้ใกล้ฝั่งพูดพึมพำ


ส่วนใหญ่ของเศษนั้นเป็นหิน เป็นเศษที่รวมขึ้นจากฝุ่นละอองนับไม่ถ้วนในจักรวาลกว้างใหญ่ ดังนั้นมันถึงอยู่ในน้ำวนได้อยู่ตลอด เพราะเดิมทีมันเป็นส่วนหนึ่งของฝุ่งละออง


ทว่า…ในฝุ่นละอองจำนวนมากของเศษนี้มีเศษอยู่ส่วนหนึ่ง…ภายในมีร่องรอยที่ซูหมิงคุ้นเคย นั่นคือร่องรอยของเด็กสาวนามหม่าเฟยที่ซูหมิงพบในสำนักดาราสัจธรรมโลกแท้จริงดาราสัจธรรม


แม้นางจะไม่ใช่ใบหน้าที่ซูหมิงต้องการมากที่สุด แต่…เศษชิ้นนี้กลับมอบความมั่นใจและความยึดมั่นที่แน่วแน่กว่าเดิมที่คนอื่นยากจะจินตนาการให้กับเขา ทำให้เขาเข้าใจว่าเส้นทางตามหานี้ถูกต้อง แม้จะผ่านไปนานกว่านี้อีก แม้จะต้องหาอีกไม่รู้กี่ล้านปี เขาก็จะยึดมั่นตามหาต่อไป


ความคิดยึดมั่นนี้เพียงเพื่อพบกัน


เขากำเศษนั้นไว้ในฝ่ามือ เมื่อคลายฝ่ามือออก เศษนั้นหายไป ฝุ่นละอองที่เป็นส่วนเกินในนั้นเป็นเถ้าธุลีหายไป เหลือไว้เพียงร่องรอยของหม่าเฟย ประหนึ่งเศษวิญญาณผุพังลอยอยู่กลางฝ่ามือ ก่อนถูกเก็บไปอย่างทะนุถนอม


ผ่านไปพักใหญ่ซูหมิงถึงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายเด่นชัด ทำให้ดวงตาดูใสสะอาดมากราวกับผู้เยาว์ ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าวมุ่งหน้าต่อไปด้วยความยึดมั่น


เวลาผ่านไปอีกล้านปี เขาออกตามหาไปเรื่อยๆ ในแต่ละปี เปลี่ยนพลังเป็นจิตสัมผัสอย่างไม่เสียดายหลายต่อหลายครั้ง เดินเป็นวงกลมทีละรอบในวัฏจักรจักรวาลกว้างใหญ่…


ซูหมิงไม่รู้ว่าตนจะหาไปจนถึงเมื่อไร บางทีอาจชั่วชีวิต ใช้ชีวิตยืนยาวของเต๋าไร้ที่สิ้นสุดตามหาไปเรื่อยๆ เหมือนกับเสวียนจั้งในความทรงจำที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศไม่รู้กี่ปี


จนเวลาล่วงเลยไปห้าล้านปีที่สิบ ซูหมิงดูเกือบเฉยชาแล้ว ในตัวเขาเริ่มมีกลิ่นอายมรณะขึ้นมาเล็กน้อย กลิ่นอายมรณะนี้ไม่ใช่เพราะสิ้นอายุขัย แต่เป็นเพราะความเงียบเหงาและโดดเดี่ยวในจักรวาลกว้างใหญ่ ทำให้หัวใจเขาเกิดความเงียบสงัดภายใต้ความเหนื่อยล้าและออกตามหาไม่หยุด


แต่ถึงจะเงียบสงัดก็ยังหยุดการตามหาของเขาไม่ได้ ถึงเขาจะไม่ใช้สองข้าเดินอีก ถึงก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาจะนั่งขัดสมาธิเดินทางในจักรวาลกว้างใหญ่ แต่ก็ยัง…ฝังกลบการเฝ้ารอคอยที่จะพบกันอีกครั้งในใจไม่ได้


ตามหา ตามหา ตามหา


เมื่อห้าล้านปีที่สิบหกมาถึง ซูหมิงหาร่องรอยของเยี่ยวั่งพบ ร่องรอยของคนอย่างเช่นเยี่ยวั่งจะเปล่งแสงคมกริบ แสบตาเล็กน้อย นั่นคือเขาตรงหัวของสัตว์ร้ายในจักรวาลกว้างใหญ่ตัวหนึ่ง


ยามนี้สัตว์ตัวนี้นอนหมอบอยู่ตรงหน้าซูหมิง ตัวสั่นงันงก มันสัมผัสกลิ่นอายพลังซูหมิงได้เสี้ยวหนึ่งก็แทบจะตกใจสิ้นใจไป


ซูหมิงมองเขาสัตว์ตัวนี้ก่อนใช้มือขวาชี้ไปข้างหน้าเงียบๆ ตอนที่ดึงมือกลับ ในมือมีเศษวิญญาณของเยี่ยวั่ง


เขาเก็บเศษวิญญาณนี้ไปอย่างทะนุถนอม จากนั้นหลับตาลงตามหาต่อไป


กาลเวลาผ่าน ขณะซูหมิงออกตามหาก็ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ยุคแล้ว ไม่รู้ว่าผีเสื้อแปดตัวในจักรวาลกว้างใหญ่ซ้อนทับปีกกันกี่ครั้งแล้ว


จนกระทั่งห้าล้านปีที่ห้าสิบกว่ามาถึง ร่างเงาซูหมิงในจักรวาลกว้างใหญ่ตัวสั่น ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเผยประกายสว่างที่สุดในช่วงไม่รู้กี่ปีมานี้ ความเด่นชัดของประกายแสงทำให้ทั้งจักรวาลกว้างใหญ่สั่นสะเทือน ทำให้ผีเสื้อแปดตัวตัวสั่นปีกหยุดนิ่ง


ซูหมิงมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาค่อยๆ ยืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิ การก้าวเดินยังสั่นไหว ดวงตากำลังเพ่งมองลึกไปในหมอกตรงหน้า นั่นคือ….ดอกไม้เล็กสีขาวในหมอก


หมอกนั้นเหมือนกับม่านฝน ดอกไม้เล็กสีขาวอยู่ข้างในราวกับเป็นดอกไม้กลางสายฝน ดูบอบบางมาก แต่กลับมีความแน่วแน่ที่นางมีโดยเฉพาะ ประหนึ่งว่ากำลังรอคนที่นางรอมาถึง


รอมาห้าล้านปีที่ห้าสิบกว่า รอคนพายเรือข้างแม่น้ำลืมเดินทางในตอนนั้นที่กันพายุฝนให้นาง พานางขึ้นเรือโดดเดี่ยว


ซูหมิงน้ำตาไหล ทว่ากลับยิ้มอย่างมีความสุข เขาเข้าไปใกล้ดอกไม้เล็กสีขาวในหมอกช้าๆ เพ่งมองลึกเข้าไป เหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเปล่งออกมา


เพราะเขาลืมการพูดไปแล้ว


แต่เขาไม่สนใจทุกอย่าง เอาแต่หัวเราะอย่างมีความสุข แม้เสียงหัวเราะจะไม่มีเสียง แต่รอยยิ้มกลับทำให้ทั้งจักรวาลกว้างใหญ่เกิดระลอกคลื่น ภายในระลอกคลื่นวงกว้าง ซูหมิงยกมือขึ้นโกยดอกไม้เล็กสีขาวนั้นมาไว้ในมืออย่างเบามือ


น้ำตาตรงหางตาลากผ่านแก้ม มีหยดหนึ่งตกลงบนดอกไม้เล็กสีขาวคล้ายหยดน้ำ ดอกไม้เล็กสีขาวก็เหมือนยื่นใบออกมา เผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่ทำให้ซูหมิงเหม่อลอย


ใบไม้นั้นสัมผัสฝ่ามือซูหมิง ความรู้สึกอบอุ่นยังคงเหมือนความงดงามในความทรงจำเขา


ซูหมิงมองดอกไม้เล็กสีขาว รอยยิ้มเบิกบานใจย้อมวัฏจักรจักรวาลกว้างใหญ่ เขา…หาอวี่เซวียนพบแล้ว


ก่อนเก็บดอกไม้เล็กไว้ในโลกในร่างกายอย่างทะนุถนอมเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่กับตน เหมือนกับข้างแม่น้ำลืมเดินทางในตอนนั้น อยู่ข้างกายร่างเงาสวมชุดกันฝนผู้โดดเดี่ยวเงียบๆ ใต้ชายคาบ้านยามฝนตก


ดอกไม้เล็กกลางสายฝนนางมีนามว่าเซวียน ไม่มีกลิ่นอายความทุกข์ สำหรับซูหมิงแล้วนี่คือความยึดมั่นและความใส่ใจของเขา ราวกับว่าได้มอบแสงตะวันในชีวิตเขา ทำให้เขาออกตามหาร่องรอยได้อีกเรื่อยๆ ในวัฏจักรจักรวาลกว้างใหญ่ในกาลเวลาหลังจากนี้ไป


แม้ร่องรอยเหล่านั้นจะไม่มีใบหน้าที่ให้ซูหมิงเกิดความยึดมั่นอีก แต่จุดต่างๆ ในความทรงจำ ผู้คนที่เดิมทีเดินผ่านไปไกล ไม่ว่าเป็นศัตรูในอดีตหรือคนแปลกหน้าที่ผ่านไป ซูหมิงจะเก็บร่องรอยนั้นมาอย่างทะนุถนอมมาก เขาในตอนนี้ไม่มีความเป็นศัตรูกับสิ่งมีชีวิตใดแล้ว


เขาหาซูเซวียนอีพบ หาผู้คนบนแผ่นดินหมานพบ หาร่องรอยของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตพบ หาเต๋อซุ่นแห่งสำนักดาราสัจธรรมพบ หาสหายเก่าของมหาโลกสามรกร้างพบ และยังมีพวกเหี้ยมโหดในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน


ซูหมิงตามหาฉางเหอพบในวัฏจักรหลายครั้งกลางจักรวาลกว้างใหญ่ เขาเพ่งมองไปข้างร่องรอยของฉางเหอก็พบกับร่องรอยของสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง


นางอยู่กับร่องรอยของฉางเหอ นั่นคือภรรยาที่สิ้นชีพไปไม่รู้กี่ไปแล้ว ยามที่เพ่งมองไปซูหมิงก็พบว่าที่แท้ภรรยาฉางเหออยู่ข้างกายเขามาตลอด เพียงแต่ว่าเขา…ไม่เคยรู้เลยตอนยังมีชีวิต


ซูหมิงออกตามหาร่องรอยไปทีละแห่ง เดินอยู่ในวัฏจักร เดินอยู่ในกาลเวลา หลังผ่านไปไม่รู้กี่สิบล้านปี เขาก็พบศิษย์พี่ใหญ่…


ร่องรอยของศิษย์พี่ใหญ่ไม่ใช่ฝุ่นละออง แต่เป็นเจตนาร้าย เป็นมายา เป็นจุดสูงสุดแห่งเจตนาร้ายของเผ่าพันธุ์สัตว์ฝูงหนึ่งในหมอกจักรวาลกว้างใหญ่


คงอยู่ยืนยาวเพื่อสงคราม!


ซูหมิงนำร่องรอยแต่ละแห่งเดินผ่านหมอกไปด้วยความหวังและยึดมั่น ช่วงที่เดินผ่าน หมอกนั้นล้อมรอบข้างกายเขาไม่ยอมสลายไป เหมือนไม่อยากให้ซูหมิงจากไป คล้ายๆ ว่าภายในหมอกมีเสียงพึมพำพูดบางอย่าง


ซูหมิงหยุดเดิน ก้มหน้ามองหมอกข้างกายอยู่นานมากนัยน์ตาถึงเป็นสมาธิและมีความรักความผูกพัน


เขาหาฟางชางหลันพบ นาง…คือหมอกนี้ หรืออาจพูดได้ว่าฟางชางหลันหาเขาพบ


ซูหมิงพาหมอก พาฟางชางหลันไป การเฝ้ารอคอยในใจเขาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าในการเฝ้ารอคอยนี้ เขารู้อยู่นานแล้วว่า…เมื่อวันนั้นที่โลกเปิดมาถึง เมื่อร่องรอยทุกอย่างกลายเป็นพิมพ์ชีวิต วันนั้นที่เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง…


ตนจะเพ่งมองเงียบๆ นับจากนั้นไป


นี่ไม่ใช่ชะตาชีวิตที่ถูกลิขิต นี่คือราคาต้องจ่ายของเต๋า นี่คือเส้นทางที่เขาเลือก ต่างกับ…ผู้เฒ่าเมี่ยเซิง

 

 

 


ตอนที่ 1484

 

หลายวัฏจักรเป็นคนธรรมดา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซูหมิงพาหมอกเดินหน้าไปโดยไม่สนใจการไหลผ่านของเวลา ไม่สนใจว่าจักรวาลกว้างใหญ่ผ่านไปกี่วัฏจักร แต่ยังคงตามหาใบหน้าในความทรงจำ ตามหาร่องรอยพวกเขา


จนกระทั่งเขาหาศิษย์พี่รองพบกลางดอกไม้ที่รวมขึ้นจากหมอก ศิษย์พี่รองเปลี่ยนระดับชีวิตไปแล้ว เป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับวิญญาณเงามืด


นอกดอกไม้ที่รวมขึ้นจากหมอกนั้น ซูหมิงพบหู่จื่อ เขาเหมือนไม่เคยแยกจากศิษย์พี่รองเลย ศิษย์พี่รองกลายเป็นวิญญาณเงามืดอีกสิ่งมีชีวิตหนึ่ง แต่หู่จื่อเป็นสายลมแห่งจักรวาลกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดนอกวิญญาณเงามืดนั้น


และยังมีสวี่ฮุ่ย บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง รวมถึงร่องรอยใบหน้าต่างๆ หลังผ่านไปไม่รู้กี่ปี ซูหมิงก็หาพบทีละร่องรอยในระหว่างที่ในน้ำวนจักรวาลกว้างใหญ่แห่งวัฏจักรหมุนวนหลายต่อหลายครั้ง


จนกระทั่งเขาหาไป๋หลิงพบ หาจื่อรั่วพบ หา…ท่านปู่พบ


สุดท้ายเขาหาต้นไม้ต้นหนึ่งพบกลางจักรวาลกว้างใหญ่ ต้นไม้นั้นไม่ใช่เอ้อชาง แต่เป็นต้นไม้ที่ดูธรรมดามาก เขาหาสามรกร้างพบใต้ต้นไม้นั้น


เมื่อหาทุกคนพบแล้วซูหมิงก็กลับมาอยู่ตรงจุดที่เข็มทิศอยู่ตรงส่วนลึกสุดกลางวัฏจักรของจักรวาลกว้างใหญ่ เขาเลือกนั่งฌานอีกครั้งที่นั่น มองโลกนี้เป็นครั้งสุดท้าย


“เจ้า…เหงารึ” ซูหมิงเงียบอยู่นานมากก่อนส่งกระแสจิตไปช้าๆ ไม่ได้กล่าว มีเพียงกระแสจิตดังก้องในจักรวาลกว้างใหญ่อยู่นานไม่เลือนหาย


มีเพียงคนเดียวที่ได้ยินจิตสื่อสารนี้


“หลายปีมาแล้ว…เจ้าอยู่คนเดียวเหงาหรือไม่?”


ซูหมิงส่งกระแสจิตไปอีกครั้งดังก้องจักรวาลกว้างใหญ่ ตอนนี้เองมีเสียงหึเย็นชาดังแว่วมาจากน้ำวนจักรวาลกว้างใหญ่ จากนั้นมีเรือโบราณลำหนึ่งฉีกจักรวาลกว้างใหญ่ออกมาพร้อมกับประกายสายฟ้าไร้ที่สิ้นสุด


ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือลำนั้น ยามนี้เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ตอนที่เพ่งมองซูหมิง ซูหมิงก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเช่นกัน


“เต๋าของพวกเราต่างกัน…นี่คือเส้นทางที่ข้าเลือก เส้นทางนี้ ข้าใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้ไม่มีสิ้นสุด ใช้การสละชีพทั้งหมด…เพื่อสำเร็จเต๋าของข้า!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับเสียงแหบแห้ง


“เส้นทางนี้โดดเดี่ยวหรือไม่?” ซูหมิงส่งกระแสจิตไปอีกครั้ง


“พูดมากไร้ประโยชน์ ตั้งแต่ตอนที่เจ้ายึดร่างเสวียนจั้งสำเร็จข้าได้แพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ผ่านมาไม่รู้กี่ปี เจ้าพูดสิ่งที่ต้องการมาดีกว่า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันสำเร็จ”


ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเงียบไปอีกครั้ง ครั้งนี้ผ่านไปนานมากถึงกล่าวเสียงดังก้องจักรวาลกว้างใหญ่ด้วยความเด็ดขาด


“ช่วยข้าตามหา…กระเรียนขนร่วง มันอยู่ในโลกที่อาจจะมีอยู่ เจ้าช่วยข้าตามหามัน…พามันกลับมา…ไม่ว่ามันทำอะไรในโลกนั้น ไม่ว่ามันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตใด จะต้องพามันกลับมา พามัน…กลับบ้าน” ซูหมิงตอบกลับเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมองจักรวาลกว้างใหญ่ไกลๆ นัยน์ตาเขาฉายแววคิดถึง ฉายแววมัวหมองและเสียใจ เขาหาทุกคนพบ แต่หากระเรียนขนร่วงไม่พบ


เพราะกระเรียนขนร่วง…ไม่อยู่ที่นี่


ขณะเอ่ยอยู่นี้ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ในฝ่ามือปรากฏไข่มุกเม็ดหนึ่ง นั่นคือไข่มุกเม็ดที่เจ็ดที่คล้องอยู่ในมือเสวียนจั้ง เงามายากระเรียนในนั้นตอนนี้หายไปนานแล้ว


“เจ้ายังหาไม่พบ แล้วข้าจะหาได้อย่างไร เหตุใดเจ้าไม่ไปหาเอง” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงขมวดคิ้ว


“ตามร่องรอยมันไปเจ้าจะหากระเรียนขนร่วงพบ…ข้าไปหาด้วยตัวเองไม่ได้” ซูหมิงตอบกลับเสียงเบา เมี่ยเซิงเงียบ เขาเพ่งมองซูหมิงแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววซับซ้อนทีละน้อย


“คุ้มค่ารึ?” เขาถามเสียงเบา ตอนที่มองซูหมิง เขาเห็นร่างกายซูหมิงกำลังแข็งทื่อขึ้นช้าๆ พลังชีวิตกำลังลดน้อยลงช้าๆ เพราะซูหมิงนำพลังชีวิตทั้งหมดหลอมรวมเข้าไปในโลกนั้นในร่างกายแล้ว ใช้พลังชีวิตตัวเองให้สิ่งมีชีวิตในโลกนั้น ให้ร่องรอยชีวิตที่เขาหาพบเหล่านั้นตื่นขึ้นในประตูยมโลก


“นี่คือเต๋าของข้า…ข้าไม่อยาก…โดดเดี่ยวต่อไปอีกแล้ว” ซูหมิงยิ้ม เขาไม่ตอบคำถามเมี่ยเซิง แต่เมื่อพูดจบก็ถือว่าเป็นการตอบแล้ว


พูดจบซูหมิงคลายมือขวาออก ไข่มุกในฝ่ามือเป็นสายรุ้งยาวไม่ได้บินไปหาเมี่ยเซิง แต่เหมือนไปยังมวลอากาศไกลๆ ราวกับว่าอยากทำลายโลกจักรวาลกว้างใหญ่พุ่งออกไปไกลจากที่นี่ ไปยังโลกที่กระเรียนขนร่วงอาจจะอยู่ในตอนนี้


ขณะเดียวกันเข็มทิศใต้ร่างซูหมิงพลันหยุดหมุนแล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังไข่มุกนั้น ค่อยๆ หดเล็กลงจนกระทั่งตามไข่มุกทันแล้วหลอมรวมกับไข่มุก


“บางทีในโลกนั้นอาจมีคนหนึ่ง…ที่ชีวิตนี้ยึดมั่นในสิ่งที่ผิด” ซูหมิงพูดเสียงเบา ค่อยๆ หลับตาลง ทันทีที่หลับตา ไข่มุกที่หลอมรวมกับเข็มทิศกลายเป็นสีขาว


เมี่ยเซิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา สะบัดแขนเสื้อ เรือโบราณใต้ร่างลอยขึ้นมุ่งหน้าไปยังโลกที่เข็มทิศไข่มุกเปิดเอาไว้ก่อนตามเข้าไป จนกระทั่งร่างเงาพวกเขาหายไปในจักรวาลกว้างใหญ่ ไปยังโลกที่อาจจะมีอยู่นั้น ออกจาก…จักรวาลกว้างใหญ่ของซูหมิง


“ข้าจะพามันกลับมา นี่คือของเดิมพันที่ข้าติดค้างเจ้า” เมี่ยเซิงไปแล้ว


ซูหมิงหลับตาลง นี่คือการหลับตาครั้งสุดท้ายในชีวิต ร่างกายเขาแข็งทื่ออย่างยิ่งแล้ว พลังชีวิตอยู่ภายในทั้งหมด ที่แผ่ออกมาข้างนอกก็ค่อยๆ กลายเป็นกลิ่นอายมรณะเข้มข้น


พลังชีวิตเขาหลอมรวมเข้าไปในโลกในร่างกาย หลอมรวมเข้าไปยังพิมพ์ชีวิตจากร่องรอย มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะให้พิมพ์ชีวิตเหล่านี้ลืมตาในโลกของเขาได้


ช่วงที่พลังชีวิตซูหมิงหลอมรวมเข้าไปในพิมพ์ชีวิตเหล่านี้ อวี่เซวียน ชางหลัน สวี่ฮุ่ยเกิดคลื่นกระเพื่อมในใจซูหมิง


“ก่อนหน้านี้ข้าให้อะไรพวกเจ้าไม่ได้…มีแต่ตอนนี้…ที่ข้าจะมอบบุตรที่รวมจากชีวิตข้าเพื่อสานต่อเรื่องระหว่างเรา…” เขาพูดพึมพำอยู่ในใจ เสียงนี้หล่อหลอมเข้าไปในความทรงจำชีวิตของพวกอวี่เซวียนสามคน อยู่ในความทรงจำนั้น รวมกับชีวิตซูหมิงที่นอกเหนือจากพลังชีวิตเขา


เวลาผ่านไปช้าๆ ซูหมิงในจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีเข็มทิศใต้ร่าง เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในวัฏจักรน้ำวนกลางจักรวาลกว้างใหญ่แบบนี้ ค่อยๆ ลดระดับลง ค่อยๆ ถูกน้ำวนกลืนร่างไป ตกอยู่ในวัฏจักร คนอื่น…มองไม่เห็น


เสียงถอนหายใจดังก้องในจักรวาลกว้างใหญ่ ร่างเงาเทียนเสียจื่อรวมขึ้นจากความเลือนราง เดินออกมาจากมวลอากาศ มองซูหมิงที่หายไปกลางน้ำวนด้วยสีหน้าเศร้าโศก


“ช่างเถอะ อาจารย์จะอยู่กับเจ้า” เทียนเสียจื่อพึมพำพลางมองน้ำวนที่ซูหมิงหายไป ก่อนเดินหายไปพร้อมกับซูหมิง


………..


เมื่อซูหมิงหลับตาลง ภายในร่างกายเขา ในโลกที่รุ่งเรืองแล้วนั้น ฟ้าเป็นสีคราม แผ่นดินเขียวขจี ไกลออกไปมีมหาสมุทรกว้างใหญ่ เทือกเขาเรียงราย มีภูเขาหนึ่งนามว่าลำดับเก้า…


ต่อมาบนฟ้าปรากฏประตูบานหนึ่ง


นั่นคือประตูสีม่วง มันเปิดออกช้าๆ ทั้งโลกในเวลานี้กลายเป็นสีม่วง


แสงม่วงสว่างเรืองรองอยู่นานมาก จนเมื่อหายไป ประตูนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน


บนยอดเขาลำดับเก้า หู่จื่อลืมตาขึ้นมองฟ้าด้วยความสับสน ก่อนออกแรงเขย่าศีรษะ ใช้มือขวาคลำไปข้างกายโดยจิตใต้สำนึก แต่ไม่พบไหสุรา


“ย่ามันเถอะ เหตุใดถึงรู้สึกว่าหลับไปตื่นหนึ่งนานมากๆ?” หู่จื่อเกาหัวอย่างประหลาดใจ ก่อนมองศิษย์พี่รองที่ตอนนั้นลืมตาขึ้นจากสมาธิอยู่ไม่ไกล


ศิษย์พี่รองมองแผ่นดินใหญ่ไกลลิบเงียบๆ นัยน์ตาสับสนเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก จึงเงยหน้ามองฟ้า มองไปมองมาตรงหางตาก็ชื้นขึ้นมา


เสียงฝีเท้าดังแว่วมา ศิษย์พี่ใหญ่เดินมาที่นี่ทีละก้าว เขาไม่มีหัว ตอนนี้ร่างกำยำเดินมาอยู่ข้างศิษย์พี่รองกับหู่จื่อ เหมือนตัวสั่นอย่างอ่อนแรง


“ศิษย์น้องเล็กล่ะ…” เสียงเขาแหบเล็กน้อย พูดพึมพำแต่กลับไม่มีเสียงตอบ…


“ศิษย์น้องเล็กล่ะ…” ศิษย์พี่รองมองฟ้าพลางกัดริมฝีปากด้วยใบหน้าขมขื่น


“ไม่ต้องซ่อนแล้ว ศิษย์น้องเล็ก หู่จื่อร้อนใจนะ เจ้ารีบออกมาเถอะ” หู่จื่อเบิกตากว้าง รีบยืนขึ้นตะโกนเสียงดังไปรอบๆ


เสียงดังกึกก้อง…


“ฮ่าๆ หู่จื่อรู้แล้ว เจ้าจะต้องซ่อนอยู่ในถ้ำแน่ๆ เฮอะๆ ข้ารับรองว่าหาเจ้าเจอแน่” เสียงหู่จื่อเหมือนดังแว่วจากที่ห่างไกลมาก กึกก้องบนยอดเขาลำดับเก้าอยู่นานไม่เลือนหาย ยามนี้เองตรงตีนเขา จื่อเชอกำลังเหม่อมองหญิงข้างกาย นั่นคือจื่อเยียน นั่นคือพี่สาวของเขา


ไกลออกไป…ไป๋ฉางไจ้กำลังมองรอบๆ อย่างสับสน พูดพึมพำราวกับนึกเรื่องราวบางอย่างไม่ออก


ไกลออกไปยิ่งกว่า บนที่ราบ ฉางเหอตื่นขึ้น ลืมตาขึ้น เขารู้สึกว่ามือตนจับใครคนหนึ่ง ตอนที่หันไปมองโดยจิตใต้สำนึก พลันเกิดเสียงดังอึกทึกในความคิด เขาเหม่อมองน้ำตารินไหลตรงหางตา มองภรรยาในความทรงจำที่ตื่นขึ้นในตอนนี้


ใต้ภูเขาทมิฬ ท่านปู่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มองดวงตะวันยามอัศดงไกลลิบ ข้างกายมีเป่ยหลิง มีเฉินซิน นอกจากซูหมิงกับเหลยเฉินแล้ว ชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนในตอนนั้นอยู่ครบ


เพียงแต่ว่าพวกเขากำลังมองไปรอบๆ อย่างสับสน ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดในโลกคุ้นเคยที่มีความแปลกตานี้


ซูเซวียนอีนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างทะเลสาบ มองผิวทะเลสาบ พึมพำในที่คนอื่นไม่เข้าใจ สีหน้าซับซ้อนเป็นบางครั้ง บ้างก็มัวหมอง บ้างก็คลุ้มคลั่ง


ไกลออกไปในสายลมหิมะ ไป๋หลิงกำลังเดินอยู่บนพื้นหิมะคนเดียว ค่อยๆ เดินไกลออกไป…


มีเพียงเสียงร้องวานรแหลมเล็กที่ดังกังวานในสายลมหิมะ สะท้อนเป็นเงาสีแดงบนภูเขาทมิฬ


ริมชายหาด ฟางชางหลันมองคลื่นทะเลขึ้นลง นั่งอยู่บนชายหาด หยิบทรายขึ้นมากำมือหนึ่งเงียบๆ ตอนที่กำมือ ทรายละเอียดเหล่านั้นไหลลงมาไม่หยุด เหมือนว่า…กำไว้ได้ไม่มากนัก


หยดน้ำตารินไหลลงมาตรงหางตา ไหลผ่านแก้ม หยดลงกลางทราย บางทีเมื่อรอจนถึงช่วงกระแสน้ำขึ้นลง น้ำตาที่หลอมเข้าไปในทรายหยดนี้อาจจะถูกน้ำทะเลพาไป กลายเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทร


ภาพทุกคน ทุกภาพปรากฏขึ้นพร้อมกันในโลกนี้…


อวี่เซวียนนั่งกอดเข่าอยู่บนหน้าผา เอาหน้าซุกตรงหัวเข่า เส้นผมงามบดบังใบหน้า แต่กลับบดบังความแวววาวบนใบหน้าที่เผยมาในช่องว่างไม่ได้ ฟ้าเป็นยามโพล้เพล้แล้ว แสงสุดท้ายสาดส่องบนตัวนาง ดึงเงาของนางให้ยืดยาวไปไกล


อาภรณ์ยาวของสวี่ฮุ่ยโบกสะบัดกลางสายลม นางยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดของยอดเขา ตรงนั้นเป็นจุดที่ใกล้ชิดกับฟ้าที่สุด นางยืนอยู่ตรงนั้นเพ่งมองไกลออกไป จนกระทั่งสิ้นสุดยามโพล้เพล้ นางที่หมุนตัวกลับเส้นผมยาวปลิวไสว มีน้ำตาหยดหนึ่งลอยขึ้นจากแก้ม ไม่รู้ว่าบินไปที่ใด


“หากเจ้าเดินต่อไปบนเส้นทางของเจ้า สุดท้ายแล้วทั้งจักรวาล ในโลกของเจ้าจะมีเพียงเจ้าคนเดียว”


“เช่นนั้นเส้นทางของเจ้าล่ะ เดินต่อไปสุดท้ายทั้งจักรวาลจะมีเจ้าคนเดียวที่หายไป!” คำพูดระหว่างซูหมิงกับเมี่ยเซิงในตอนนั้นเหมือนดังกังวานในโลกนี้ ดังก้องอยู่ข้างหูทุกคนที่นึกถึงซูหมิง


กาลเวลาเปลี่ยนแปลง ในหลายวัฏจักรจะหายไปคนหนึ่งชั่วนิรันดร์ คนที่หายไปนี้คือซูหมิง


บนฟ้าสามสิบสามชั้น ซูหมิงไม่ได้เลือกตัดทิ้งอดีตและเลือกอนาคตเหมือนเมี่ยเซิง เขาเลือกตัดอนาคต เก็บไว้เพียงความงดงามในอดีต


เหมือนกับเส้นทางของเขา เดินหน้าแสวงหา เส้นทางคดเคี้ยวและอ้างว้าง เหมือนกับแสวงหาเต๋าหนึ่งชีวิตของเขา โดดเดี่ยวและยึดมั่น หรือบางที…นี่อาจเป็นอสุรา เป็นเส้นทางสู่วิถีอสุรา


มองซางเซียงกลายเป็นโลกมนุษย์อย่างโดดเดี่ยวระหว่างชั่วกาลนานก่อนอสุรา


ถอนหายใจแสวงหาอสุราสิบล้านปี หลายวัฏจักรยังคงอยู่ข้างกู่จั้ง


…………..


เวลาผ่านไป บนแผ่นดินใหญ่นอกจากชีวิตที่ซูหมิงคืนชีพให้แล้วยังเริ่มปรากฏสิ่งมีชีวิตของโลกนี้ กำเนิดเมือง กำเนิดสำนัก การเดินทางของกาลเวลาในแต่ละปี ความฝันแห่งวัฏจักร เหมือนฝังเรื่องราวในอดีตทุกอย่างได้


มีเพียง…ภายในสำนักนามยอดเขาลำดับเก้าที่มีตำนานเกี่ยวกับโลกนี้เล่าขานกันมาชั่วนิรันดร์ ในตำนานกล่าวไว้ว่าโลกนี้สร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษลำดับเก้านามซูหมิง ทุกครั้งที่ฟ้ายามค่ำคืนมาเยือน นั่นคือเขา…กำลังเฝ้ามองศิษย์ร่วมอาจารย์ กำลังมองทุกคน


ภูเขาทมิฬบนแผ่นดินก็มีตำนานแบบเดียวกัน ที่แตกต่างกันเล็กน้อยคือที่โลกมียามกลางวัน นั่นเป็นเพราะซูหมิงในตำนานลืมคืนมืดไม่ลง และที่มียามกลางคืน เป็นเพราะแสงดาราสว่างวาววับที่ทำให้ดวงตาเขาสว่างกว่าเดิม จึงมองเห็นครอบครัวของเขาได้


และยังมีแผ่นดินเผ่าหมานในโลกนี้ มีตำนานเกี่ยวกับเทพหมานเล่าขานกันมาเช่นกัน ตำนานนั้นค่อยๆ ถูกเปลี่ยนไป เปลี่ยนโลกนี้ให้ถูกเรียกว่าโลกเทพหมาน


…………….


สายลมพัดผ่าน หิมะไกลลิ่ว


ในความฝันไม่รู้ว่ากาลเวลาผันผ่าน โลกมนุษย์ขมุกขมัวใครจะอยู่สูงส่ง


ยามค่ำคืนยาวนาน ควันหมุนลอยเป็นเกรียว


สะพานที่มิใช่จริงเท็จ หลายวัฏจักรหายไปคนหนึ่ง


หลายปีต่อมา ยามโพล้เพล้ในคืนฝนตก ใต้ศาลาพักฝน หญิงคนหนึ่งถือร่มกระดาษมัน เส้นผมงามพาดบ่า เห็นเพียงเงาแผ่นหลังงดงาม มองเห็นหน้าตาไม่ชัด


ข้างกายนางมีเด็กอายุหกเจ็ดขวบยืนอยู่ เป็นเด็กหญิง ถักเปียเล็กสองอัน จับมือหญิงคนนั้นพลางเล่นตุ๊กตา ตอนนี้ใบหน้าเล็กแดงชมพูดูเหมือนจะไม่มีความสุขเล็กน้อย


“ท่านแม่…เมื่อวานข้าฝันถึงท่านพ่ออีกแล้ว ผีผีก็ฝันด้วย ท่านพ่ออยู่ที่ใดกันแน่ ครั้งนี้ท่านจะต้องบอกข้า…”


หญิงคนนั้นก้มหน้าลงยิ้มเมตตาให้เด็กหญิงน้อย จากนั้นลูบหัวเด็กหญิง กล่าวเสียงนุ่มนวลดังก้องในยามโพล้เพล้ฝนตก


“หลับตาลง เขาจะอยู่ข้างกายถงถง เจ้าจะรู้สึกว่า…เขาอยู่กับเจ้าตลอด” หญิงคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มพลางมองไกลๆ


เด็กหญิงเหมือนเข้าใจและไม่เข้าใจ ฟังมารดาพูดจบแล้วก็หลับตาลงช้าๆ


แสงสุดท้ายยามโพล้เพล้ลอดผ่านสายฝนเข้ามา สาดส่องไปทางขวาเด็กหญิง คล้ายๆ มีร่างเงาบุรุษคนหนึ่งเพิ่มมา ร่างเงานั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจากเลือนราง ร่างเงาสูงยาว เส้นผมม่วง มีกลิ่นอายอบอุ่นและห่วงใย


ยามที่ก้มหน้าลง เขามองเด็กหญิงน้อย เผยเสี้ยวใบหน้า และยังมีรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า


มองไกลๆ ใต้ฉากสายฝน ใต้ศาลาพักฝน ภาพนี้เหมือนกับครอบครัวพ่อแม่ลูก เต็มไปด้วยความอบอุ่นและงดงาม…


“ท่านแม่ ถงถงรู้สึกแล้ว” เด็กหญิงน้อยพลันลืมตาขึ้น มองไปทางขวาด้วยความตกใจระคนดีใจ…


……………..


“พี่ใหญ่ ท่านจะต้องกลับมา…รอท่านกลับมาแล้วข้าจะบอกความลับให้…”


“พี่ใหญ่ ความลับนี้สนุกมาก ข้าฝันเมื่อคืนวานว่าหลายปีต่อจากนี้ท่านจะเป็นบิดาของข้า…”


…………..


บทฝืนลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเซียน


“หวั่นเอ๋อร์ เส้นทางฝึกเซียนไม่มีวันสิ้นสุด จะต้องยังมีก้าวที่ห้า ก้าวที่หกกระทั่งก้าวที่เจ็ด…”


“เช่นนั้นข้าจะอยู่กับท่าน ต่อให้พวกเราเดินไปไม่สุดทางเซียน ก็ยังเดินไปได้หนึ่งวัฏจักรชีวิต”


ณ แผ่นดินใหญ่เซียนดารา หวังหลินมองหลี่มู่หวั่นอย่างอบอุ่น จับมือนางเดินไปยังฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ เดินไกลออกไปเรื่อยๆ…จนกระทั่งเขาเห็นเรือโบราณลอยอยู่กลางฟ้าไร้ที่สิ้นสุด


บนเรือมีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ชายชราอมยิ้มมองหวังหลิน หวังหลินก็มองเขาเช่นกัน ชายชราคนนี้คือคนที่เคยเล่นหมากกับหวังหลิน


“ข้าเจอเจ้าในโลกนี้ไม่รู้สึกเสียใจเลย เจ้าเหนือกว่าข้าแล้ว เต๋าของข้า…ก็ไม่ได้ล้มเหลวไปทั้งหมด…หวังหลิน เส้นทางของเจ้ายังอีกยาวไกลนัก จงเดินต่อไป…”


หวังหลินมองชายชราบนเรือโบราณพลางยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบ แต่จูงมือหลี่มู่หวั่นเดินไกลออกไปเรื่อยๆ…


ผ่านไปพักใหญ่ชายชราบนเรือโบราณละสายตากลับมามองแผ่นดินใหญ่ดาราเซียน


“ตามหาเจ้ามาไม่รู้กี่ปีแล้ว ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้น กระเรียนขนร่วง ข้าเมี่ยเซิงติดค้างคำสัญญากับซูหมิงว่าจะพาเจ้ากลับบ้าน!”


“บ้านเกิดของข้า…ดาราสัจธรรม…” ช่วงที่เสียงพึมพำด้วยความสับสนดังก้องในมวลอากาศแผ่นดินใหญ่ดาราเซียน กระเรียนสีดำตัวหนึ่ง…พลันบินออกมาจากในมวลอากาศนั้น นัยน์ตามันฉายแววตื่นเต้น ภานในดวงตาหลังหลงทางมาไม่รู้กี่วัฏจักร ในที่สุด…ก็ปรากฏร่างเงาตรงส่วนลึกในความทรงจำ ไม่ว่าผ่านไปกี่ปี ไม่ว่ามันจะหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต


นั่นคือชายที่กำลังอมยิ้มคนหนึ่ง ชายที่ยื่นมือมาหามัน


เขามีนามว่าซูหมิง


“กลับบ้าน…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)