Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา 1464-1478
ตอนที่ 1464
ปลูกคำสัญญา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“บางทีคำตอบนี้ วันหนึ่งตอนที่ข้ากลับแคว้นกู่จั้ง ตอนพบอาจารย์ใต้ประตูเมืองนั้น เขาคงจะบอกข้า” ซูหมิงพึมพำพลางนึกถึงคำสัญญากับเทียนเสียจื่อ
‘ตอนพวกเราพบกันใต้ประตูเมือง ข้าจะไขข้อสงสัยครั้งสุดท้ายให้เจ้า’ซูหมิงหลับตาลง ข้างหูลอยขึ้นมาเป็นคำพูดเทียนเสียจื่อ อยู่เป็นเพื่อนเขาเดินไปเรื่อยๆ
เดินไปร้อยปี เดินไปสองร้อยปี จนกระทั่งครบแผ่นดินที่เก้า ซูหมิงเห็นทะเลทรายแอ่งกระทะที่เดิมทีเป็นมหาสมุทร
ทะเลทรายนี้กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีสิ้นสุด เหมือนกับเส้นทางใต้เท้า ขอเพียงเดินไปก็ต้องยึดมั่นเดินให้จบ แม้ไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ใด แม้ไม่รู้ทิศทางอนาคต แม้ในใจจะกังวลและหวาดกลัว แต่ว่า…ในเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้วก็อย่าหันกลับ
ช่วงที่ซูหมิงมองทะเลทรายไร้พรมแดน เด็กชายน้อยข้างกายจับชายเสื้อเขาพลางพูดเสียงเบา
“ใกล้จะถึงแล้ว เป็นใจกลางทะเลแห่งนี้ ที่นั่นคือบ้านของเฮ่าเฮ่า…” เสียงเฮ่าเฮ่ายังคงเยาว์วัย อยู่ด้วยกันมาเก้าร้อยปี ซูหมิงกับเฮ่าเฮ่าเดินทางอยู่ในโลกที่เคยรุ่งเรือง ได้เห็นภูเขาแตก เห็นแม่น้ำเหือดแห้ง เห็นซากศพ ตอนนี้ซูหมิงเห็นทะเลทราย บางทีในสายตาเฮ่าเฮ่าอาจเห็นมหาสมทุร
ซูหมิงก้มหน้าลงมองเฮ่าเฮ่าแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบ แต่พาเฮ่าเฮ่าเดินไปยังทะเลทราย เดินไกลไปเรื่อยๆ
ในทะเลทรายมีสายลม สายลมหมุนดังครืนๆ เหมือนพาเสียงถอนหายใจเปล่าเปลี่ยวลอยล่องไปรอบๆ ม้วนพายุทรายปกคลุมไปโดยรอบ และก็ปกคลุมความยิ่งใหญ่ในอดีต เพียงแต่มองจากสภาพพายุทรายเต็มฟ้าแล้ว มันคล้ายกับทะเลมาก…หากกาลเวลายึดมั่นแบบนี้ เช่นนั้นพายุทรายจะกลายเป็นทะเล และก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ในพายุทราย ซูหมิงจับมือเฮ่าเฮ่าเดินไปทีละก้าว จนกระทั่งตรงหน้ากลางพายุทรายดั่งมหาสมุทราปรากฏเรือโบราณลำหนึ่ง มันลอยล่องกลางทะเลพายุทราย บนเรือมีร่างเงาหนึ่งนั่งขัดสมาธิ ตอนที่ซูหมิงมองไปมันเลือนราง
“ก็ควรจะได้พบเขาที่นี่” ซูหมิงมองเรือลำนั้นลอยไกลไปในทะเลพายุทรายพลางพูดเสียงเบา
“ใครรึ?” เฮ่าเฮ่าเงยหน้ามองซูหมิง
“สหายเก่า” ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย ลูบหัวเฮ่าเฮ่า ก่อนพาเดินไปยังส่วนลึกของพายุทราย
“เขาเป็นอะไรรึ?” เฮ่าเฮ่าถามอีกครั้ง
“เขาหลงทางแล้ว” ซูหมิงส่ายหน้า มองเงาบนเรือเลือนรางที่ลอยไกลไป เมื่อละสายตากลับแล้วก็พาเฮ่าเฮ่าเดินต่อไป
เวลาผ่านไป ทุกช่วงหลายเดือน ซูหมิงจะเห็นเรือโบราณลำนั้นลอยล่องไปรอบๆ ในทะเลพายุทราย เหมือนกำลังหลงทาง ตามหาเส้นทางที่หลงอยู่ตลอด
นั่นคือความรู้สึกที่อยากจะเดินบนเส้นทางต่อไป ทว่า…กลับยังหาไม่พบ
“เขาน่าสงสารมาก” เฮ่าเฮ่าพูดเสียงเบา
“เพราะเหตุใดรึ?”
“เพราะว่าเขาเองไม่ได้อยากหลงทาง หากเป็นแบบนี้จะยังมีความสุขของตัวเองได้ แต่ใจเขาไม่ยอม เพียงแต่เขาหลงทางบนเส้นทางนี้แล้ว กลับก็ไม่ได้แล้ว” เฮ่าเฮ่าขบคิดเล็กน้อยแล้วตอบกลับ
“แต่ว่าเขาโง่เขลามาก ไม่อยากเชื่อว่าจะหลงทาง” เฮ่าเฮ่าหัวเราะ เสียงหัวเราะไพเราะมาก ดั่งกับหยดน้ำกระทบแผ่นหิน
ซูหมิงก็หัวเราะเช่นกัน มองเรือผ่านไปอยู่ไกลๆ อีกครั้ง ในเสียงหัวเราะมีความปลงอนิจจัง มีการถอนหายใจเบา
ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหลงทางแล้ว เขาเดินอยู่บนเส้นทางของเขามาตลอดชีวิต นำพาความฝันเดินไปทีละก้าว ความขัดแย้งกับซูหมิงไม่มีถูกผิด เพียงแต่ว่าบางครั้ง…เส้นทางนี้ ข้าเดินได้ แต่เจ้า…เดินอยู่หน้าข้าไม่ได้!
นี่คือสิ่งที่ซูหมิงปลงอนิจจัง ทั้งยังเป็นการถอนหายใจเบา เขาไม่รู้ว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนเป็นแบบนี้หรือไม่ ยังคงยืนหยัดแต่หลงทาง
เพราะหากหลงทางก็จะหลงไปชั่วชีวิต
บางทีอาจจะมีอีกทางเลือกหนึ่ง…
ซูหมิงย่อตัวลงมองเฮ่าเฮ่าเงียบๆ
“น่าจะยังมีอีกทางหนึ่ง…เฮ่าเฮ่า รอข้าที่นี่” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา เฮ่าเฮ่ามองซูหมิงพลางพยักหน้าให้
“ทางเลือกแบบใดรึ? จะชี้นำเส้นทางให้เขารึ?”
“คนอื่นไม่อาจชี้นำเส้นทางของคนอื่นได้” ซูหมิงส่ายศีรษะ ก่อนหมุนตัวกลับเดินไปตรงจุดที่เรือลำนั้นหายไป ร่างเงาเขาค่อยๆ หายไปในพายุทรายจนกระทั่งมองไม่เห็น
เรือเดินหน้าต้านพายุทรายอยู่กลางทะเลทราย ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงสวมอาภรณ์ยาวเหมือนในความทรงจำซูหมิง นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ราวกับไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเป็นโลกซางเซียงหรือที่นี่ก็ตาม
จนกระทั่งร่างเงาซูหมิงปรากฏบนเรือ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววยึดมั่น ยามที่มองซูหมิง เขาไม่มีสีหน้าแปลกใจแม้แต่น้อย ราวกับรู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งจะได้พบซูหมิงที่นี่
“ผิดทางแล้ว” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ
“อะไรคือผิด” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบกลับเรียบๆ
ซูหมิงยิ้ม ไม่พูดต่อ
“ในมุมมองข้า เส้นทางไม่มีผิด ที่ผิดมีเพียงคน แต่ความผิดพลาดของข้าคือพ่ายแพ้ให้กับเจ้าในโลกซางเซียง…” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเอ่ยขึ้นเนิบๆ ช่วงที่เสียงดังแว่วไปยังคล้ายว่าเกิดระลอกคลื่นแห่งความทรงจำ
“นี่คือความผิดพลาดแรก ความผิดพลาดที่สอง…คือพ่ายแพ้เป็นครั้งที่สองในโลกแคว้นกู่จั้ง” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงมีสีหน้าเหมือนปกติ เพียงแต่แววตามีความเสียดาย
“ข้าไม่ชนะ”
“เช่นนั้นเจ้าพูดได้อย่างไรว่าผิดทาง” นัยน์ตาผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเป็นประกายวาว
“เส้นทางของเจ้าจะต้องถูกอย่างนั้นรึ? เจ้ามองว่าข้าเดินผิดทาง แล้วคิดว่าข้าไม่เคยมองว่าเจ้าเดินเต๋าผิดทางอย่างนั้นรึ ใครถูกใครผิด เจ้าก็ดี ข้าก็ดี ล้วนไม่มีสิทธิ์พูด
รอดูผลเถอะ เส้นทางนี้ที่เจ้ากับข้าเลือกเหมือนกัน เจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อคืนชีพใบหน้าคุ้นเคยทุกคน ส่วนข้าจะบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ให้กาลเวลาย้อนกลับ กลับไปยังอดีต กลับไปตอนที่เสวียนจั้งยังมาไม่ถึง
ถึงตอนนั้นข้าจะทำทุกอย่างเพื่อสังหารเสวียนจั้ง แม้ต้องเสียทุกอย่างก็ตาม!” ดวงตาผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มองซูหมิงอย่างเย็นชา
“หากเจ้าเดินบนเส้นทางของเจ้าต่อไป สุดท้ายแล้วทั้งจักรวาลและในโลกของเจ้าจะมีเพียงเจ้าคนเดียว” ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ถึงพูดต่อช้าๆ
ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเงียบนานยิ่งกว่า เริ่มมีสีหน้าซับซ้อนทีละน้อย ตอนที่มองซูหมิง ความซับซ้อนมากขึ้นเล็กน้อยจนกระทั่งเขาถามกลับ
“เช่นนั้นเส้นทางของเจ้าล่ะ เดินต่อไป สุดท้ายทั้งจักรวาลจะมีแค่เจ้าคนเดียวที่หายไป!”
ซูหมิงเงียบ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงก็เงียบเช่นกัน สองคนอยู่บนเรือโบราณ หนึ่งยืนอยู่ อีกหนึ่งนั่งขัดสมาธิ เรือเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะถูกหรือผิด มันก็กำลังเคลื่อนตัว ไม่มีวันหยุดชั่วนิรันดร์
“เช่นนั้นนี่ก็คงเป็นการต่อสู้ครั้งที่สามระหว่างเรา!” ผ่านไปนานซูหมิงถึงยิ้มมองผู้เฒ่าเมี่ยเซิง
“เจ้ามาหาข้าก็คงเพราะจะพูดแบบนี้” ดวงตาผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเผยประกายวาวก่อนกล่าวขึ้นช้าๆ
“เจ้ารอข้าที่นี่มานานขนาดนี้ ไม่ใช่เพื่อรอให้ข้าพูดประโยคนี้รึ” ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย
“เป็นเช่นนั้น!” ประกายในแววตาผู้เฒ่าเมี่ยเซิงกลายเป็นความมุ่งมั่นในการต่อสู้ นี่ไม่ใช่การลงมือด้วยอภินิหาร ไม่ใช่การสังหารด้วยวิชา แต่เป็นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับเต๋าของกันและกันจึงเกิดการปะทะครั้งสุดท้ายด้วยการพิสูจน์!
“หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องฝังเต๋าของข้าในโลกของเจ้า เพราะจักรวาลที่ข้าอยู่จะไม่มีเจ้า” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงกล่าวทีละคำด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“หากข้าชนะ เจ้าจะติดค้างคำสัญญาข้าข้อหนึ่ง” ซูหมิงพูดตอบเรียบนิ่ง ไม่ได้มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้เปี่ยมล้นเหมือนผู้เฒ่าเมี่ยเซิง แต่ราบเรียบจนไม่มีอารมณ์โกรธแม้แต่น้อย เขาไม่มองผู้เฒ่าเมี่ยเซิงอีก แต่หมุนตัวกลับเดินไปยังความกว้างใหญ่นอกเรือ เดินต่อไป ร่างเงาค่อยๆ หายไปในพายุทราย
ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงมองร่างเงาซูหมิงจากไปไกล ดวงตาแวววาว ก่อนพูดพึมพำ
“เดิมทีไม่มีถูกผิด แต่เจ้ากลับยึดมั่นเช่นนี้…การต่อสู้ครั้งที่สามรึ…เดิมทีข้าไม่ยอมกับความพ่ายแพ้สองครั้งแรกอยู่แล้ว แบบนี้…ก็ดี!” ผ่านไปพักใหญ่ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหลับตาลงช้าๆ ตกอยู่ในห้วงสมาธิอีกครั้ง นั่งอยู่บนเรือของเขาลอยไกลออกไป
ซูหมิงเดินหน้าอยูในพายุทรายเงียบๆ เขายังคงไม่หันกลับมา มีเพียงในแววตาที่จะมีประกายพิลึกวูบผ่าน แต่ก็หายไปในพริบตา
ซูหมิงเดินอยู่ในพายุทรายจนมาอยู่ข้างกายเฮ่าเฮ่าที่รออยู่ พอเฮ่าเฮ่าเห็นซูหมิงก็ยิ้มด้วยความเยาว์วัยทันที
“เฮ่าเฮ่านึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านพูดไม่ถูก เขาไม่ได้หลงทาง”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะว่าเดิมทีไม่มีเส้นทาง เส้นทางอยู่ใต้เท้า ที่ที่เดินไปก็คือเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นสุดทางก็ดีหรือระหว่างทางก็ดี หากมัวดื้อดึงในความถูกผิดของเส้นทาง นั่นต่างหากที่เรียกเดินผิดทาง
ข้าพูดถูกหรือไม่?” เฮ่าเฮ่าจับชายเสื้อซูหมิงพลางยิ้มพูดขึ้นด้วยสีหน้าลำพองใจเล็กน้อย เหมือนดีใจมากที่ตนคิดหลักการที่ซูหมิงยังไม่เข้าใจได้
ซูหมิงยิ้มลูบหัวเฮ่าเฮ่าอีกครั้ง แล้วพยักหน้าให้ด้วยความอ่อนโยน
“เจ้าพูดถูก ทุกคนในโลกนี้เดิมทีไม่มีเส้นทาง ย่อมไม่มีถูกผิด ไม่ควรจะใส่ใจสิ่งเหล่านี้ มิเช่นนั้นแล้วจะเกิดความถูกผิดจริงๆ” ซูหมิงยิ้มตอบกลับ จากนั้นพาเฮ่าเฮ่าเดินไกลไป
พวกเขาเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ในพายุทราย เสียงแว่วเบาเล็กน้อย แต่ก็ยังได้ยินเลาๆ
“เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงบอกว่าเขาเดินผิดทาง?”
“เพราะข้าหวังให้เขาเดินผิดทาง”
“อ้อ…ก่อนท่านจะไปเลยบอกเขาว่าเดินผิดทางรึ?”
“เส้นทางไม่มีถูกผิด แต่ข้าพูดไปแล้วเลยมีถูกผิด นี่คือทางเลือกอีกทางนั้นที่ข้าพูดถึง เดินต่อไปในความผิดพลาด จนกระทั่งติดค้างคำสัญญากับข้า”
ร่างเงาสองคนค่อยๆ หายไปในพายุทราย แม้แต่เสียงยังได้ยินไม่ชัด ค่อยๆ ถูกเสียงพายุกลบหายไป
ตอนที่ 1465
การเลือกของเฮ่าเฮ่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงพายุทรายครืนๆ พัดผ่าน ราวกับเพลงซวินข้างหู นำพาความอ้างว้างวนเวียนไปรอบๆ กลายเป็นเพลงสรรเสริญพึมพำบางบทในทะเลพายุทรายแห่งนี้
ในเวลาเกือบพันปี ซูหมิงพาเฮ่าเฮ่าเดินทางในโลกที่เคยรุ่งเรืองจนมาถึงใจกลางที่เดิมทีเป็นทะเล เดินอยู่ก้นทะเลในกาลอดีต เดินอยู่บนทะเลทรายหลังกาลเวลา เดินไปยังใจกลางโลกทีละก้าว
จังหวะก้าวไม่เร็ว เดินไปนานมากจนกระทั่งลืมเวลาไป มีวันหนึ่ง ตรงหน้าเขากับเฮ่าเฮ่าปรากฏโลกในพายุทราย
โลกนั้นมีน้ำและต้นไม้ ดูเด่นตาในพายุทราย ทำให้ช่วงที่มองไปจะรู้สึกตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกในโลกนี้ที่ซูหมิงได้เห็น…สีเขียว
ในพื้นที่สีเขียวมีทะเลสาบ นอกทะเลสาบมีกลิ่นหอมพืช เหมือนขวางระหว่างคนด้วยมวลอากาศ มองเห็นแต่สัมผัสไม่ได้
“ถึงบ้านแล้ว…” เฮ่าเฮ่าจับมือซูหมิง ขณะที่กล่าวเสียงเบา สองคนเดินผ่านพายุทรายไปถึงกลางพื้นที่สีเขียว
กลิ่นหอมของพืชนั้นอบอวล ทำให้เกิดความรู้สึกล้ำค่าอย่างบอกไม่ถูกต่อสีเพียงหนึ่งเดียวในโลกไร้สีสัน ซูหมิงยืนอยู่กลางพื้นที่สีเขียว มองไปในทะเลสาบ
“นี่คือการเลือกสุดท้ายของเจ้ารึ…” ซูหมิงหลับตาลง ผ่านไปพักใหญ่ถึงลืมตาขึ้นมองเด็กชายข้างกาย
เด็กชายพยักหน้าอย่างจริงจัง เขาไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยเลย
“ที่นี่คือบ้านของเฮ่าเฮ่า เฮ่าเฮ่าอยากอยู่ที่นี่ อยากเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่นี่” เฮ่าเฮ่ากล่าวเสียงเบา แม้คำพูดจะเบา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่และยึดมั่น
“พี่ใหญ่ ท่านอยู่กับเฮ่าเฮ่าสักสองสามปีได้หรือไม่ ข้า…กลัวความโดดเดี่ยว” เด็กชายน้อยจับมือซูหมิง มองเขา ความใสในแววตาสะท้อนเป็นการขอที่พึ่งพิงชัดเจนกว่าเดิม เหมือนกำลังรอคำตอบจากซูหมิง
ซูหมิงยกมือขวาขึ้นลูบหัวเฮ่าเฮ่า ผ่านไปนานถึงตอบกลับเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่ไปเร็วๆ นี้หรอก”
เด็กชายยิ้มอย่างเบิกบานใจ ดูพอใจมาก เขามองซูหมิงลึกๆ แวบหนึ่ง ก่อนคลายมือซูหมิงออกช้าๆ แล้วเดินไปยังทะเลสาบนั้น หนึ่งก้าวหันมามองหนึ่งครั้ง จนกระทั่งทะเลสาบขึ้นมาถึงหัวเข่า เขาหันกลับมาเพ่งมองซูหมิง
“พี่ใหญ่ ขอบคุณที่ช่วยเฮ่าเฮ่า ขอบคุณที่ส่งข้ามาถึงที่นี่…เฮ่าเฮ่าเคยบอกแล้วว่าท่านช่วยเฮ่าเฮ่า เฮ่าเฮ่าก็จะช่วยท่าน…ในภายภาคหน้าเฮ่าเฮ่าจะช่วยท่านตระหนักรู้…โลกของข้า” เด็กชายยิ้มอย่างเบิกบานใจพลางค่อยๆ เดินไปถึงกลางทะเลสาบ เมื่อร่างเงาเขาจมหายไปในทะเลสาบแล้ว ทั้งทะเลสาบพลันเกิดเสียงดังสนั่น เกิดน้ำวนขึ้นตรงจุดที่เฮ่าเฮ่าหายไป น้ำวนขยายตัวออกเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว เผยเฮ่าเฮ่าที่ตอนนี้นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่กลางก้นทะเล
เห็นได้ด้วยตาเนื้อว่ามีกิ่งไม้งอกออกมาจากก้นทะเลสาบรอบตัวเฮ่าเฮ่า พริบตาเดียวพันรอบตัวเขา หลังห่อหุ้มไว้แล้วก็เหมือนกับเป็นเมล็ดพันธุ์หนึ่ง
นั่นคือเมล็ดของต้นพิสูจน์เต๋า ยามนี้เมล็ดนี้อยู่บ้านเกิดในอดีต ค่อยๆ ปะทุพลังชีวิตเปี่ยมล้นสุดบรรยายในก้นทะเลสาบ พลังชีวิตนี้ปกคลุมได้เพียงพื้นที่สีเขียว แต่ซูหมิงคาดการณ์ได้ว่าเมื่อต้นพิสูจน์เต๋าเติบใหญ่ สักวันหนึ่งพลังชีวิตจะปกคลุมไปทั่วโลก แผ่ขยายไปเก้าแผ่นดิน
ทำให้ทะเลทรายที่นี่กลายเป็นทะเล มีแม่น้ำและภูเขาบนเก้าแผ่นดินอีกครั้ง จากสีสันจำเจเกิดเป็นสีสันหลากหลาย ทำให้โลกนี้กลับมารุ่งเรืองดั่งในอดีต
ตอนนั้น บางทีด้วยพลังชีวิตเปี่ยมล้นแบบนี้ ที่นี่อาจจะเกิดสิ่งมีชีวิต จากสิ่งมีชีวิตขยายเป็นมนุษย์ เกิดโลก เกิดผู้ฝึกฌาน…
เพราะรากฐานนี้เอง ที่โลกนี้กลายเป็นซากปรักหักพังไม่ใช่เพราะการทำลายล้างของผู้แข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่เพราะทุกชีวิตสูญสิ้น แต่เป็นเพราะ…ต้นพิสูจน์เต๋าที่ค้ำยันให้โลกนี้สืบเชื้อสายถูกมหาจักรพรรดิกู่จั้งเอาไป
ทำให้โลกนี้กลายเป็นพืชไร้ราก…แต่ตอนนี้ เมื่อเฮ่าเฮ่ากลับมา เมื่อเขาเลือก เมื่อปรากฏต้นพิสูจน์เต๋าอีกครั้ง ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นี่คือการเลือกของเฮ่าเฮ่า
ซูหมิงมองน้ำวนของทะเลสาบค่อยๆ สงบลง น้ำทะเลสาบปกคลุมเมล็ดต้นพิสูจน์เต๋าตรงก้นทะเลสาบช้าๆ เขาถอนหายใจเงียบๆ
ซูหมิงเคารพการเลือกของเฮ่าเฮ่า และก็เข้าใจความปรารถนาของเขา เขาไม่อยากให้บ้านเกิดเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาหวังว่า…การกลับมาของตนจะเปลี่ยนทุกอย่างที่นี่ บางทีนานปีจากนี้ ตอนที่ต้นพิสูจน์เต๋าสูงเสียดฟ้า เด็กชายน้อยจะนั่งอยู่บนแมกไม้ มองบ้านเกิดของเขา มองโลกนี้ด้วยรอยยิ้มดีใจอย่างแท้จริง
ซูหมิงหลับตาลง นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างทะเลสาบ เขาทำตามที่เฮ่าเฮ่าขอ จะอยู่เป็นเพื่อนไปอีกหลายปี ดังนั้นการนั่งฌานอย่างโดดเดี่ยวจึงเหมือนเส้นลายมือ หนึ่งลายหนึ่งปี เพียงพริบตาก็ร้อยปี
ในร้อยปีนี้ซูหมิงไม่ได้ลืมตา แต่นั่งฌานอยู่ตลอด กระทั่งไม่ได้ฝึกฝน แต่อยู่ในห้วงจิต
สภาวะนี้ไม่ใช่การขบคิด และก็ไม่ใช่การตระหนักรู้ แต่เป็นเชื่อมกับเมล็ดพันธ์ที่เกิดจากเฮ่าเฮ่า เขาสัมผัสได้ถึงการเติบโตบางอย่าง…
ในร้อยปีนี้ทะเลสาบข้างหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ตรงกลางทะเลสาบปรากฏต้นกล้า ต้นกล้านั้นตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบ ทว่ารากมันกลับฝังลึกลงไปในดินทุกมุมใต้ทะเลสาบ
ร้อยปีผ่านไปซูหมิงลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก เขามองต้นกล้ากลางทะเลสาบนั้นเหมือนมองเฮ่าเฮ่า ขณะเงียบเขาไม่ได้ยืนขึ้น แต่ยังคงนั่งฌานหลับตาอีกครั้ง
ระหว่างตกอยู่ในห้วงจิต พลังซูหมิงไม่เกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมเลย ทว่าเต๋าสูงศักดิ์ภายในดวงตาที่สามกลับมีเจ็ดร่างสมบูรณ์ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
การรวมของเต๋าสูงศักดิ์ขั้นเจ็ดทำให้แม้ซูหมิงจะมองข้ามขั้นพลังไป แต่เพราะมองข้ามนี้เองกลับทำให้เต๋าสูงศักดิ์ขั้นเจ็ดสมจริงยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งข้างๆ เต๋าสูงศักดิ์ร่างที่เจ็ดปรากฏ…เงารางๆ ของเต๋าสูงศักดิ์ร่างที่แปด
แม้เป็นแค่เงารางๆ แต่หากสมจริงขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นจะหมายความว่าซูหมิงได้ยกระดับพลังอย่างก้าวกระโดด บรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์!
ทั้งแคว้นกู่จั้งมีมหาเต๋าสูงศักดิ์ไม่เกินสามสิบคน ทว่าระหว่างมหาเต๋าสูงศักดิ์กับเทพเต๋าขั้นเก้ากลับมีร่องหุบเขายากจะบรรยายอยู่หนึ่งชั้น ร่องหุบเขานี้ลึกมาก ลึกจนแม้แต่มหาเต๋าสูงศักดิ์ยังยากจะข้ามผ่านไป มิเช่นนั้นคงไม่มีทางที่ไม่รู้กี่ปีมานี้จะเทพเต๋าขั้นเก้าเพียงสามคนแน่
ซูหมิงไม่สนใจขั้นพลัง เขาเพียงแค่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น รักษาสภาวะห้วงจิตไว้พลางสัมผัสถึงการเติบโตของเฮ่าเฮ่า สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในการเติบโต ปล่อยเวลาผันผ่านไปจนผ่านไปอีกร้อยปี
มองแวบแรกหน้าตาซูหมิงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ความจริงมีความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนานเพิ่มมาเล็กน้อย ชุดคลุมดำแผ่คลุมทั้งตัว เส้นผมม่วงตกลง ก้มหน้านั่งฌานอยู่เงียบๆ
ต้นกล้าในทะเลสาบข้างหลังเริ่มแข็งแรงแล้ว กลายเป็นต้นขนาดร้อยจั้ง ลำต้นกินพื้นที่ไปครึ่งทะเลสาบ แม้ระดับความสูงยังไม่เสียดฟ้า แตก็เห็นได้ถึงความน่าตื่นตกใจของพลัง
พื้นที่สีเขียวยังคงเดิม ทว่าโลกพายุทรายทะเลกลางในอดีตนอกพื้นที่สีเขียวตอนนี้ลดน้อยลงไปมาก แต่สัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นในฟ้าดินเบาบาง ทำให้ทะเลทรายที่นี่เริ่มเกิดพืชขึ้นไม่น้อย
บางทีอีกไม่นานนัก ทะเลทรายที่นี่จะหายไป ทะเลกลางในอดีตจะกลับมา
จนผ่านไปอีกร้อยปีในโลกนี้ ตั้งแต่ที่ซูหมิงพาเฮ่าเฮ่าเดินทุกแผ่นดินจนถึงตอนนี้ก็ครบพันสองร้อยปีแล้ว ต้นพิสูจน์เต๋าข้างหลังปกคลุมทั้งทะเลสาบ มีความสูงเกือบพันจั้ง ความสูงแบบนี้ทำให้ต้นพิสูจน์เต๋าดูสูงตระหง่านดั่งแรกพบ ต่อให้อยู่ไกลๆ ก็ยังเห็นมันสูงระฟ้า
ขณะเดียวกันพายุทรายที่นี่หายไปจนหมดสิ้น น้ำทะเลสีครามอ่อนหนึ่งชั้นแผ่คลุมที่นี่แต่ให้ความรู้สึกเหมือนไม่มี…พลังชีวิตเปี่ยมล้นทำให้ทะเลทรายที่มีน้ำทะเลปกคลุมหนึ่งชั้นแห่งนี้เกิดดวงจันทร์ขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบไม่รู้กี่ปีหลังจากความรุ่งเรืองตอนนั้น
เมื่อปีที่สามร้อยในพันปีที่สองมาถึง ซูหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เพียงแต่รอบตัวถูกจมอยู่ในน้ำทะเล ทะเลทรายกลายเป็นมหาสมุทร!
นั่นคือทะเลกลางในวันวาน นั่นคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่แผ่คลุมแอ่งกระทะทะเลทรายจนหมดสิ้น กลางทะเลนี้มีต้นไม้ใหญ่หมื่นจั้งต้นหนึ่งตั้งตระหง่าน สูงเสียดฟ้าค่อนข้างชัดเจน!
รากต้นไม้ใหญ่คลุมทั้งพื้นที่สีเขียว มีเพียงรอบตัวซูหมิงที่รากจะอ้อมไป เผยเป็นทางออกไปสู่ข้างนอก น้ำทะเลภายในทางออกนี้เหมือนจะอบอุ่นมาก ราวกับว่าได้รับผลจากดวงจิตแก่กล้าบางดวงที่ไม่อยากรบกวนการนั่งฌานของซูหมิง
เมื่อเวลาผ่านไป น้ำทะเลเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปกคลุมทะเลทรายระหว่างเก้าแผ่นดิน ช่วงที่กลายเป็นมหาสมุทรอย่างแท้จริงนั้น กาลเวลาได้ผ่านไปครึ่งหนึ่งในพันปีที่สอง
ซูหมิงลืมตาเป็นครั้งที่สอง มองน้ำทะเลรอบตัว มองพื้นที่สีเขียวในอดีต มองรากไม้สูงตระหง่านพลางยิ้มมุมปาก
ซูหมิงรู้ว่าเฮ่าเฮ่าสำเร็จแล้ว บางทีการฟื้นสีสันให้โลกนี้อาจไม่ต้องใช้เวลานานมากนักก็ทำให้เกิดความรุ่งเรืองในอดีตอีกครั้งได้
เขารู้สึกได้ถึงความสำเร็จครั้งนี้ เพราะเขาเชื่อมต่อกับต้นพิสูจน์เต๋า ทำให้เขาประสบด้วยตัวเอง ยืนยันทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้
“ถึงตอนนั้น ตอนที่ข้ายืนอยู่บนฟ้า ก็น่าจะได้เห็นต้นพิสูจน์เต๋าโบราณที่ปรารถนาจะสูงกว่าฟ้าในแวบแรก!
หรืออาจพูดได้ว่าแม้แต่ฟ้าก็ต้องก้มหัวต่อหน้าเขา เพราะต้นพิสูจน์เต๋านี้กลายเป็นโลกแล้ว” ซูหมิงพึมพำก่อนหลับตาลงช้าๆ
‘ถึงตอนนั้นข้าก็ควรไปได้แล้ว…ถึงเวลาไปตามสัญญาสามพันปีนอกประตูเมืองแคว้นกู่จั้ง…
การยึดร่างครั้งนี้ก็ควรจะถึงจุดจบสุดท้าย เพียงแต่ว่า…เส้นทางตอนลืมตาขึ้นนั้นจะเป็นของข้าหรือของเขา ข้า…ไม่มั่นใจเลย’ ซูหมิงกล่าวเสียงดังก้องนิ่งๆ ภายในใจ
ตอนที่ 1466
พี่ใหญ่ แล้วพบกันใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในสภาวะห้วงจิต ซูหมิงไม่ได้ตรึกตรองถึงปัญหาซับซ้อนใดๆ แม้แต่ความคิดเกี่ยวกับโลกแคว้นกู่จั้งยังไม่มี แต่ใช้สภาวะนี้ปล่อยให้เวลาผ่านไปเงียบๆ ในความสงบนิ่งภายในความคิด
หากบอกว่ามีการตรึกตรอง เช่นนั้นอาจมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือตรึกตรองถึงสิ่งที่ตนแสวงหาว่าเป็นเส้นทางแบบใด
ภายใต้การตรึกตรองแบบนี้ เขาตกอยู่ในห้วงจิต ตกอยู่ในห้วงการเติบใหญ่ของต้นพิสูจน์เต๋า ตกอยู่ภายในการเปลี่ยนแปลงของโลก ความรู้สึกแบบนี้ ตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ฝึกฌานคนใดมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นแคว้นกู่จั้งหรือโลกนี้ในอดีต ไม่เคยมีผู้ฝึกฌานคนใดเหมือนกับซูหมิงที่สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของทั้งโลก หลอมรวมอยู่ในจิตสำนึกของต้นสัจธรรมเต๋า สัมผัสทุกอย่างด้วยตาตัวเอง
ต้นพิสูจน์เต๋า ชะตาของมันคือพิสูจน์เต๋า แต่ตอนนี้ซูหมิง…ก็เหมือนพิสูจน์เต๋าเช่นกัน!
เวลาผ่านไป ผ่านฤดูกาลทีละปี จนเมื่อน้ำทะเลของโลกนี้กลับมาดั่งในอดีต เมื่อต้นพิสูจน์เต๋าเปลี่ยนจากความสูงหมื่นจั้งมาเป็นแสนจั้ง ลำต้นกินพื้นที่ส่วนเล็กกลางทะเลแล้ว ตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลาง…
ทว่าบนยอดไม้กลับค่อยๆ ปกคลุมทั้งมหาสมุทร ทำให้ตัวมันสูงระฟ้า
โอบล้อมไปด้วยทะเล เก้าแผ่นดินใหญ่ตอนนี้ก็เริ่มเกิดพลังชีวิตสีเขียวเล็กน้อย พลังชีวิตอบอวลไปทั่วส่งผลให้เก้าแผ่นดินใหญ่กลับมาสมบูรณ์มีเทือกเขาทีละน้อย เริ่มมีแม่น้ำลำธาร เริ่มเกิดความเปี่ยมล้นที่มากกว่าเดิม
ซูหมิงได้สัมผัสทั้งหมดด้วยตัวเอง เป็นอย่างที่เฮ่าเฮ่าว่าไว้…ท่านช่วยเฮ่าเฮ่า เฮ่าเฮ่าก็จะช่วยท่าน หลายปีมานี้ เฮ่าเฮ่าใช้การกระทำอธิบายประโยคนี้แล้ว
โชควาสนาสำหรับซูหมิงครั้งนี้เหนือกว่าขีดจำกัดที่ผู้ฝึกฌานคนหนึ่งจะได้รับ ความล้ำค่าและหายากของความรู้สึกนี้ไม่เคยมีใครมีมาก่อน และมั่นใจได้ว่าจากนี้ไปก็ยากจะมีคนได้รับโชควาสนานี้อีก
ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลก เห็นช่วงที่ต้นพิสูจน์เต๋าเติบโตจากเมล็ดจนสูงเสียดฟ้า เติบโตจนปกคลุมโลก ได้เห็นกับตา ได้รับสัมผัสด้วยตัวเอง นี่คือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตซูหมิง
ขณะสัมผัสซูหมิงเริ่มตระหนัก ช่วงที่ความเข้าใจเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็ผ่านไปอีกร้อยปี ซูหมิงอยู่ในโลกนี้ปีที่พันเจ็ดร้อยแล้ว…ภายในสภาวะห้วงจิต เต๋าสูงศักดิ์ที่แปดในดวงตาที่สามจากเลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เกิดการรวมกันขึ้นจนกระทั่งเป็นรูปร่าง…
หลังเป็นรูปร่างก็ค่อยๆ หลอมรวมกับพลังที่เฮ่าเฮ่ามอบให้ซูหมิงในตอนแรกภายในร่างกายช้าๆ ความจริงแล้วที่ขั้นพลังซูหมิงยกระดับถึงตอนนี้ ทุกอย่างมาจากผลเต๋า แต่ที่มากกว่าคือสิ่งที่เฮ่าเฮ่าจ่ายไปในตอนแรก
นั่นคือพลังชีวิตทั้งหมดในร่างต้นพิสูจน์เต๋าในอดีต ความแกร่งของพลังนี้มากพอจะเปลี่ยนขั้นพลังซูหมิง อีกทั้งยังได้เป็นประจักษ์พยานการเติบโตจากเมล็ดต้นไม้ขึ้นไปเรื่อยๆ อีก ความเข้าใจนี้ส่งผลให้พลังซูหมิงเกิดการผลัดเปลี่ยนอย่างถึงที่สุด
ผ่านการหลอมรวมมาพันกว่าปี ตอนนี้หลังจากเต๋าสูงศักดิ์ที่แปดสมบูรณ์แล้ว ซูหมิงไม่ได้ลืมตาขึ้น แต่เต๋าสูงศักดิ์ที่แปดในดวงตาที่สามกลับบรรลุถึงจุดสูงสุด ขอเพียงหลอมรวมจะทำให้พลังซูหมิงทะลวงผ่านเต๋าสูงศักดิ์ นับจากนี้ไปจะก้าวไปอยู่ในแถวของมหาเต๋าสูงศักดิ์
เพียงแต่ว่าการหลอมรวมไม่ได้ง่าย หากเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ทุกอย่างจะล้มเหลว ทุกอย่างจะสูญเปล่า ทว่าซูหมิงไม่สนใจและก็ไม่ใส่ใจ เอาแต่นั่งฌานเงียบๆ อยู่ตลอด
ฟ้าดินข้างนอกจะเปลี่ยนแปลงไปในทุกปี เมื่อแม่น้ำภูเขาฟื้นกลับมา เมื่อเก้าแผ่นดินอัดแน่นไปด้วยสีเขียว ภายในร้อยปีหลังกาลเวลาผ่านมาพันปีที่สองในโลกนี้ เก้าแผ่นดินใหญ่ได้ฟื้นกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งแล้ว
มองไปแผ่นดินใหญ่มีพลังวิญญาณ น้ำทะเลเต็มไปด้วยความปราดเปรียว ทั้งโลกนอกจากไม่มีสิ่งมีชีวิตแล้ว มีความต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
ต้นพิสูจน์เต๋านั้น รากมันอัดแน่นไปครึ่งมหาสมุทร พื้นที่บนยอดไม้เหนือกว่ามหาสมุทรไปแล้ว แยกกันปกคลุมไปเกือบครึ่งในเก้าแผ่นดิน
อีกทั้งความสูงยังเกือบถึงล้านจั้ง ยามที่มองไปไม่เห็นฟ้า จะเห็นเพียงต้นไม้โบราณพิสูจน์เต๋าไม่มีที่สิ้นสุด
ตรงจุดที่ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่คือส่วนลึกของรากต้นพิสูจน์เต๋า ทว่าตรงหน้าเขายังคงมีเส้นทางหนึ่งตลอด ยืดยาวไปยังโลกข้างนอกไกลๆ เส้นทางนี้มองไกลๆ เป็นรอยแยก เป็นเส้นทางที่ต้นพิสูจน์เต๋าเว้นไว้ให้ซูหมิง
เมื่อพันปีที่สามผ่านไปสามร้อยปี ฟ้าดินข้างนอกมองไม่เห็นท้องฟ้าแล้ว แต่จะเห็นฟ้าที่ถูกยอดไม้ต้นพิสูจน์เต๋ามาแทนที่!
ฟ้านั้นไม่ใช่สีคราม แต่เป็นสีเขียว ฟ้าเขียวนี้ต่างหากที่เป็นสีของโลกนี้! พื้นที่บนยอดไม้ก็ไม่ได้ปกคลุมเพียงส่วนเล็กในเก้าแผ่นดินอีก แต่ขยายจากใจกลางมหาสมุทรคลุมทุกพื้นที่ในเก้าแผ่นดินภายในเวลาพันกว่าปี แผ่ขยายไปจนสุดขอบโลก
ทำให้เก้าแผ่นดินและโลกนี้เหมือนถูกปกป้องอยู่ใต้ยอดไม้ต้นพิสูจน์เต๋า…
ระหว่างที่ซูหมิงสัมผัสถึงเหตุการณ์นี้ก็มีความเข้าใจมากกว่าเดิม ขณะนั่งฌานในตัวเขาเกิดกลิ่นอายพลังมากมายมหาศาล กลิ่นอายพลังนี้แผ่ขยายออกทำให้เขาลืมตาขึ้นช้าๆ เพียงแต่ในดวงตาก็ยังอยู่ในห้วงจิต เหมือนว่าเขาที่ลืมตาไม่ได้เห็นรอบๆ แต่เห็นฟ้าดินข้างนอก จนกระทั่งหลับตาลงอีกครั้ง ความเข้าใจอยู่ภายในใจ
ตอนที่มหาจักรพรรดิกู่จั้งในอดีตบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดแล้วฉีกมวลอากาศเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก นี่ต่างหากคือโลกที่ทำให้เขาใจสั่นสะท้านเพียงมองแวบแรก
และเพราะแบบนี้เองเขาจึงสนใจต้นพิสูจน์เต๋า นี่คือต้นไม้ที่ปกป้องโลกนี้!
นับจากปีที่สามร้อยในพันปีที่สาม เมื่อต้นพิสูจน์เต๋ามาแทนที่ฟ้าทั้งหมด ปกคลุมเก้าแผ่นดินแล้ว ก็เริ่มเกิดชีวิตขึ้น
ชีวิตนี้ค่อยๆ สืบสายพันธุ์ไป ปรากฏต้นไม้ จนกระทั่งเกิดสิ่งมีชีวิต…ทุกอย่างเหมือนกับวัฏจักรของโลก ซูหมิงมองจากเริ่มจนสิ้นสุด จนกระทั่งพันปีที่สามผ่านไปเจ็ดร้อยปี
ตั้งแต่เริ่มที่เขาเข้ามาในโลกนี้จนถึงตอนนี้ผ่านไปแล้วสองพันเจ็ดร้อยปี สำหรับคนธรรมดาแล้ว กาลเวลาเหล่านี้อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงของหลายแคว้น อาจเป็นร้อยปีของหลายสิบวัฏจักร ต่อให้เป็นผู้ฝึกฌานก็ยังรู้สึกได้ถึงความเนิ่นนานจากอดีตภายใต้กาลเวลาแบบนี้
ตอนนี้ซูหมิงลืมตาขึ้นเงียบๆ อยู่นานมาก ก่อนยืนขึ้นเนิบช้า นี่คือครั้งแรกที่ออกฌานในรอบเกือบสองพันปี หลังยืนขึ้นแล้วก็เดินหน้าไปทีละก้าว ไปตามเส้นทางที่ต้นพิสูจน์เต๋าเว้นไว้ให้ ยามที่เดินไป ต้นไม้ข้างหลังเขาค่อยๆ หุบเข้ามา เส้นทางจึงหายไป
จนกระทั่งซูหมิงเดินออกจากรากต้นพิสูจน์เต๋าขึ้นมาเหนือทะเล เดินหน้าไปบนฟ้า ยืนอยู่กลางอากาศ มองไปฟ้าสีเขียวคือยอดไม้ สีครามข้างล่างคือมหาสมุทร เก้าแผ่นดินโอบล้อม อัดแน่นไปด้วยชีวิตเปี่ยมล้น โลกนี้…ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ความรุ่งเรืองในอดีตหวนคืนสู่รากฐาน จะเบ่งบานเป็นดอกไม้เรืองรองหรือไม่นั้นต้องดูที่สิ่งมีชีวิตที่กำเนิดในกาลเวลานับจากนี้ไปเป็นคนสร้างด้วยมือตัวเอง
ซูหมิงยิ้ม ช่วงที่กวาดสายตามองแผ่นดิน ดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วเปิดออก…เผยเต๋าสูงศักดิ์ที่แปด!
นั่นคือแสงสีขาวเต็มในดวงตาที่สาม ทำให้คนอื่นมองไม่เห็นเต๋าสูงศักดิ์ที่แฝงอยู่ภายในดวงตา แต่จะเห็นเพียงสีขาวไม่มีสิ้นสุด
ขณะกวาดสายตามองแผ่นดิน ซูหมิงเห็นเมืองของตี้เทียน เห็นภายในเมือง รอบๆ ตี้เทียนมีร่างเงาหลายคน ตี้เทียนในตอนนี้ยิ้ม ซึ่งซูหมิงไม่เคยเห็นเขายิ้มมาก่อน
ซูหมิงเพ่งมองอยู่นานจนช่วงที่ละสายตากลับ เขาเห็นเหลยเฉิน เห็นภูเขาทมิฬ ภายในชนเผ่าใต้ภูเขาทมิฬนั้นมีแต่เสียงหัวเราะมีความสุข
ตี้เทียนก็ดี เหลยเฉินก็ดี พวกเขาเลือกที่นี่ เลือกหลงทาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาหลงทางอยู่ที่นี่ก็ย่อมได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ด้วย
เพียงแต่พวกเขามองผลกระทบนี้ เหมือนกับตอนนี้บนแผ่นดินที่หก หลินตงตงดวงตาแดงก่ำ เส้นผมยุ่งเหยิงราวกับเสียสติ เขายังคงหาร่างจริงซูหมิงในโลกตัวเอง เขายังคงเชื่อว่าขอเพียงสังหารร่างจริงซูหมิงได้เขาจะยึดดวงชะตาได้ จากนั้นได้กลับแคว้นกู่จั้ง
ผ่านไปพักใหญ่ซูหมิงถึงหลับตาลง เมื่อลืมตาอีกครั้งเขามองต้นพิสูจน์เต๋า ต้นพิสูจน์เต๋าให้พลังมหาศาลแก่เขา ให้โชควาสนาได้เห็นโลกเปลี่ยนแปลงแก่เขา
เพราะโชควาสนานี้เอง ซูหมิงจึงประสานมือคารวะต้นพิสูจน์เต๋านั้นลึกๆ
เมื่อคารวะ ต้นพิสูจน์เต๋าพลันเกิดเสียงดังสนั่น ร่างมันสั่นไหว ฟ้ายอดไม้สีเขียวเกิดช่องโหว่หนึ่ง หลังจากช่องโหว่ขยายออกไปบนยอดไม้รอบๆ แล้ว แสงตะวันข้างนอกถึงส่องลงมาอาบไล้รอบตัวซูหมิง
ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองช่องโหว่นั้นบนฟ้าเขียว เขารู้ว่าเฮ่าเฮ่าเปิดเส้นทางกลับแคว้นกู่จั้งให้เขา
ขณะเงียบ ซูหมิงมองไปรอบๆ อีกครั้ง จดจำทุกอย่างที่นี่ไว้ในใจ ก่อนเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังช่องโหว่บนฟ้า พริบตาเดียวก็ข้ามผ่านไป เขาเห็นว่าบนฟ้าเหนือยอดไม้มีน้ำวนยักษ์แห่งหนึ่ง ใจกลางน้ำวนเป็นหลุมดำ ตอนนี้มีแรงดูดรุนแรงปกคลุมร่างไว้ ส่งผลให้เขาเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เขายังคงสีหน้าเรียบนิ่ง พอเข้าไปใกล้ช่องโหว่แล้วถึงก้มหน้าลงมองเด็กชายอายุราวห้าหกขวบบนยอดไม้ข้างล่างที่กำลังยิ้มมองตนอย่างไร้เดียงสา ทั้งยังโบกมือให้ตน
“พี่ใหญ่ แล้วพบกันใหม่…อย่าลืมเฮ่าเฮ่าล่ะ…”
ซูหมิงมองเด็กชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เพ่งมองพลางโบกมือ จนกระทั่งร่างเงาเขาหายไปในหลุมดำ…
ตอนที่ 1467
สำนักเจ็ดจันทราหลังกาลเวลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายใต้แสงตะวัน แคว้นกู่จั้ง ห่างจากใจกลางแผ่นดินที่เป็นเมืองหลวงแคว้นกู่จั้งไปไกลอย่างยิ่ง นอกประตูสำนักเจ็ดจันทรา มีหิมะตกตลอดวันในฤดูกาลนี้
หิมะโปรยปรายปกคลุมแผ่นดิน เชื่อมฟ้า และยังเหมือนบดบังความรุ่งเรืองของสำนักเจ็ดจันทราไม่น้อย
กาลเวลาก็ผ่านไปเหมือนที่ซูหมิงอยู่กับเฮ่าเฮ่า แคว้นกู่จั้งก็ผ่านไปสองพันเจ็ดร้อยปีเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงสองพันเจ็ดร้อยปีนี้ สำหรับทุกอาณาจักรแล้วเรียกได้ว่ายาวนาน ต่อให้เป็นโลกของผู้ฝึกฌาน สองพันเจ็ดร้อยปีก็แฝงไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงแห่งความเป็นตายมากมาย
เมื่อเกือบสามพันปีก่อนสำนักเจ็ดจันทราเป็นสำนักแข็งแกร่งในเจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายของแคว้นกู่จั้ง แต่ตอนนี้ตกต่ำแล้ว มองไกลๆ ทั้งสำนักเต็มไปด้วยความอึดอัด แม้หิมะจะตกไม่ถึงฟ้าเหนือฟ้า แต่ความรู้สึกโรยราที่แผ่มาจากฟ้าเหนือฟ้ากลับทำให้ร่างเงาหนึ่งที่ตอนนี้ยืนมองสำนักเจ็ดจันทราอยู่บนยอดเขาไกลๆ รู้สึกถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
นั่นคือชายหนุ่มสวมอาภรณ์ยาวสีดำเรียบง่าย เส้นผมม่วง ดูอายุราวยี่สิบหกปี แต่ในตัวเขากลับมีการผ่านโลกมาเนิ่นนานอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยู่มานานมากๆ แล้ว
‘ฝึกเต๋าห้าพันกว่าปี…ข้าเดินผ่านไปทีละโลก ได้พบผู้คนอยู่เรื่อยมา ข้างหลังข้ามีคนที่ตายด้วยมือข้านับไม่ถ้วน…แต่ตอนนี้ ข้าบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์แล้ว’ ชายหนุ่มคนนั้นเพ่งมองสำนักเจ็ดจันทราอยู่ไกลลิบพลางถอนหายใจเบาในสายลมหิมะ
เขาคือซูหมิง คนที่เดินออกมาจากในโลกที่เคยรุ่งเรืองนั้น
เขาเพ่งมองสำนักเจ็ดจันทราเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินหน้าไปทีละก้าว เดินเข้าสำนักฝ่ายนอกของสำนักเจ็ดจันทรา เห็นศิษย์ในสำนักมีอยู่ไม่มากเหมือนในความทรงจำแล้ว มีเพียงแค่หลายร้อยคน
ซูหมิงแปลกตากับศิษย์สำนักฝ่ายนอกส่วนใหญ่ กระทั่งฝ่ายดูแลสำนักฝ่ายนอกยังไม่เหลือเค้าในความทรงจำ ถูกเปลี่ยนไปมากจริงๆ จนกระทั่งเขาเดินมาถึงฟ้าเหนือฟ้าชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม…จนฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า เขาไม่พบร่างเงาหลันหลัน แต่เห็นป้ายวิญญาณของนาง
นั่นคือป้ายวิญญาณมัวหมองที่เป็นที่คารวะของศิษย์ยอดเขานี้ในวิหารของยอดเขาที่สามของฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า มันตั้งอยยู่กลางวิหารวิญญาณข้างหลังวิหารนี้
นอกวิหารมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง สวมชุดคลุมเต๋า ถือไม้กวาดนั่งอยู่ใต้ชายคาวิหารในสายลมหิมะเกือบยามโพลเพล้ กำลังมองทอดไกลเงียบๆ
ซูหมิงจำหญิงคนนี้ได้เล็กน้อย นั่นคือศิษย์คนแรกของหลันหลัน เพียงแต่สองพันกว่าปีผ่านไป หญิงผิวเนียนละเอียดในตอนนั้นกลายเป็นวัยกลางคนแล้ว
ภายในสายลมหิมะ ร่างเงาซูหมิงเดินเข้าไปในลานนอกวิหาร เหยียบบนหิมะทิ้งไว้เป็นรอยเส้นทาง จนเดินมาอยู่ข้างกายหญิงวัยกลางคน
เหมือนเพิ่งรู้ว่าตรงหน้ามีคน หญิงวัยกลางคนจึงเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง นางอึ้งไปครู่หนึ่ง
“เจ้าคือศิษย์ยอดเขาใด? มีเรื่องอะไรรึ?” นางแปลกตากับหน้าตาซูหมิงมาก แต่กลิ่นอายพลังจากตัวซูหมิงกลับทำให้นางไม่เกิดความรู้สึกไม่ดี กระทั่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับมีความรู้สึกใกล้ชิด จึงถามออกไปดังนี้โดยจิตใต้สำนึก
“ข้ามาเยี่ยมผู้อาวุโสหลันหลัน” ซูหมิงมองประตูใหญ่ของวิหารก่อนตอบกลับเสียงเบาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
หญิงวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็เงียบไป แม้นางจะแปลกตากับซูหมิง แต่ตอนนี้เหมือนจิตใจได้รับผลไปด้วย นางไม่เผยสีหน้าใดๆ เลย แต่เหม่อมองซูหมิง ราวกับว่าคำพูดและการกระทำทุกอย่างของเขาหลอมรวมกับฟ้าดิน ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ
ประหนึ่งว่าการมาของเขาถูกลิขิตเอาไว้แล้ว
“เจ้า…” หญิงวัยกลางคนลังเลอยู่ชั่วครู่
“อาจารย์สิ้นชีพเมื่อพันเก้าร้อยปีก่อน…” หญิงวัยกลางคนลังเลแล้วถึงพูดเบาๆ
ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ก็เดินไปทางวิหารวิญญาณ หญิงวัยกลางคนไม่ห้าม แต่ปล่อยให้ซูหมิงเปิดประตูวิหารวิญญาณ เมื่อเข้าไปแล้ว ประตูวิหารถึงปิดลงช้าๆ
ภายในวิหารวิญญาณ บนแท่นบูชามีป้ายวิญญาณหลายสิบป้าย ป้ายวิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่ตลอดตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ของยอดเขาที่สาม หลังสิ้นชีพแล้วสำนักจะแกะสลักป้ายวิญญาณ ให้คนรุ่นหลังไม่ลืมบรรพบุรุษเหล่านี้
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น มองป้ายวิญญาณสุดท้าย ด้านบนแกะสลักไว้สี่คำชัดเจน
ผู้อาวุโสหลันหลัน
ซูหมิงมองสี่คำนี้เงียบๆ หลับตาลงเนิบช้า ท่ามกลางความมืดขณะหลับตา เมื่อวิหารวิญญาณเงียบลง ซูหมิงเหมือนย้อนไปนานปีก่อน ภาพต่างๆ ตอนพบหลันหลันครั้งแรกลอยขึ้นมา
หลันหลันที่ให้ความรู้สึกเหมือนฟางชางหลันทำให้ซูหมิงเข้าใจแต่แรกแล้วว่านางก็คือฟางชางหลันในโลกนี้ เขาเลี่ยงการไปมาหาสู่กันมาตลอด เพราะเขากลัว กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะหลงทาง
ภาพจำต่างๆ ลอยขึ้นมา จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาลืมตาขึ้น หมุนตัวกลับเดินออกจากวิหารวิญญาณ
“เพราะเหตุใดถึงสิ้นชีพ…” ซูหมิงถามเรียบๆ
“สำนักเอกะเต๋า…” หญิงวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับเสียงเบา
ซูหมิงพยักหน้า ไม่พูดอีก แต่เดินหน้าต่อไป ออกจากวิหารบนยอดเขา มาถึงที่พักของเขาบนฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า หน้าตามันไม่เปลี่ยนไปจากในความทรงจำมากนัก เพียงแค่มีฝุ่น
ซูหมิงยืนอยู่ข้างยอดเขามองที่พักในอดีต ผ่านไปพักใหญ่ถึงหันหน้ากลับ ก็เห็นเยี่ยหลงนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาที่หนึ่งในฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า
หน้าตาเป็นวัยกลางคน มีพลังมหาศาล ภายในใบหน้ามีความแน่วแน่และมั่นคง เยี่ยหลง…เป็นผู้อาวุโสแล้ว
ซูหมิงละสายตากลับแล้วเดินไปฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก จนกระทั่งถึงฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด เพียงแต่เขาที่มาถึงที่นี่ดวงตาเป็นประกายทีละน้อย
ประกายแววตานั้นเผยมาจากดวงตาสงบนิ่งเป็นส่วนใหญ่ในหลายปีมานี้ มันไม่ได้เผยมานานมากแล้ว แม้เขาจะบอกตัวเองหลายครั้งว่าแคว้นกู่จั้งเป็นเพียงการยึดร่างระหว่างตนกับเสวียนจั้ง ทว่าตอนนี้นัยน์ตาก็ยังเผยจิตสังหารทีละน้อย
ฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ดกลายเป็นซากปรักหักพัง…
แผ่นดินใหญ่สิบกว่าแห่งในอดีตตอนนี้เหลือเพียงสามแผ่นดิน ที่เหลือกลายเป็นซาก ภายในฟ้าดินมีฝุ่นธุลีลอยล่อง แรงกดดันของมหาเต๋าสูงศักดิ์ยังคงอบอวลอยู่ที่นี่รางๆ จินตนาการได้ว่าเมื่อนานปีก่อนจะต้องมีมหาเต๋าสูงศักดิ์มาที่นี่ด้วยความโกรธ แทบจะทำลายที่นี่ ดังนั้นกลิ่นอายพลังถึงยังอยู่จนถึงตอนนี้
สามแผ่นดินที่เหลืออยู่ตอนนี้เงียบสงัด มีเพียงแต่ละยอดเขาสูงสุดของสามแผ่นดินที่ซูหมิงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังสามคน
นั่นคือเต้าหานกับกลิ่นอายพลังของผู้อาวุโสใหญ่ในอดีตสองคน ไม่มีกู่ไท่ ไม่มีสวี่จงฝาน
กลิ่นอายพลังสามคนนี้อ่อนแอมากราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ยามนี้กำลังพักฟื้น ต้องใช้เวลาไม่มีสิ้นสุดในการค่อยๆ ฟื้นกลับมา
ซูหมิงค่อยๆ ควบคุมจิตสังหารในแววตาให้ลดลง ให้มันหลอมรวมในกลิ่นอายพลัง ก่อนกวาดสายตามองสามแผ่นดินนั้น สุดท้ายก็มองแผ่นดินแรกแล้วขยับไหวเดินหน้าไป ชั่ววูบเดียวมาปรากฏอยู่บนยอดเขาสูงสุดของแผ่นดินนี้
ยอดเขาเป็นแท่นราบยักษ์ บนแท่นราบมีวงแหวนอาคมมหึมา มีรอยเว้าขนาดเท่ากำปั้นตรงกลางวงแหวนอาคมเหมือนกับหลุมเล็ก
ซูหมิงมองหลุมเล็กนั้น ตนเป็นศิษย์สำนักเจ็ดจันทราในอดีตย่อมเข้าใจสำนักเจ็ดจันทรา ผู้อาวุโสใหญ่ทุกรุ่น หากไม่มีเรื่องใหญ่จะมีคนเดียวที่ตื่น ดูแลสำนักเจ็ดจันทรา ส่วนคนอื่นๆ จะหลับใหลเป็นการฝึกฝน
อีกทั้งการจะปลุกผู้อาวุโสใหญ่นั้นต้องรวมโลหิตของวิชาเจ็ดชะตา เหมือนกับหลันหลันในตอนนั้นที่ใช้วิธีนี้ปลุกสวี่จงฝาน
ซูหมิงยืนอยู่บนวงแหวนอาคมเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใช้มือขวากรีดปลายนิ้ว โลหิตหยดลงไปทีละหยด ตกลงไปในหลุมเล็กข้างล่าง
จนกระทั่งโลหิตหยดลงไปเก้าหยด ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ โลหิตไม่หยดอีก แต่ก็ยืนรออยู่ตรงนั้นเงียบๆ
โลหิตในหลุมเล็กกลางวงแหวนอาคมบนพื้นพลันหายไป ตอนนี้เองทั้งวงแหวนอาคมเปล่งแสงโลหิต แสงสว่างพุ่งขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันมีเสียงคำรามดังแว่วมาจากในยอดเขา
ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อแสงจากวงแหวนอาคมสว่างวูบวาบแล้วมันก็หมุนโคจร ส่งเสียงดังกึกก้อง เกิดรอยร้าวยักษ์สายหนึ่งลุกลามมาจากกลางวงแหวนอาคม จากนั้นโลงไม้น้ำแข็งหนาค่อยๆ ลอยขึ้นมา ก่อนจะตั้งขึ้นแล้วตกลงพื้นดินดังโครมลงตรงหน้าซูหมิง
มองผ่านฝาโลงไม้น้ำแข็ง ซูหมิงเห็นเต้าหานภายในแวบแรก ร่างแห้งเหี่ยว หลับตาแน่น อีกทั้งตรงหน้าอกยังมีรอยแผลน่าสยดสยอง รอยแผลนั้นทะลวงผ่านร่าง ตัดผ่านชีพจรหัวใจ
ร่างกายแห้งเหี่ยวราวกับโครงกระดูก ช่วงที่ซูหมิงมองไป ทั้งโลงไม้พลันกลายเป็นสีเลือด โครงกระดูกดั่งซากศพค่อยๆ ขยับยึกยือ เพียงสิบกว่าลมหายใจเต้าหานก็กลับมามีหน้าตาเหมือนในความทรงจำ
“ใคร…ใครปลุกข้า!” เสียงตะโกนดังแว่วมา เต้าหานภายในโลงไม้ลืมตาขึ้น นี่เป็นครั้งลืมตาครั้งแรกหลังบาดเจ็บสาหัสจากภัยพิบัติในสำนักเจ็ดจันทราเกือบสองพันปี
แทบเป็นทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ภายในดวงตาปรากฏร่างเงาซูหมิง พริบตาที่เห็นซูหมิงเต้าหานหรี่ตาลง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์จากในตัวซูหมิงอย่างชัดเจน!
อีกทั้งในตอนนี้เขายังพบอีกว่าเหนือชีพจรหัวใจที่ถูกตัดผ่านตรงหน้าอก…เกิดเค้ารางจะสมานรวมกัน
“เจ้าคือ…” เต้าหานมีสีหน้าจริงจัง ไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลายเพราะอาการบาดเจ็บดีขึ้น แต่ดวงตากลับรวดเร็วและดุดันกว่าเดิม เพียงแต่ตรงส่วนลึกของความดุดันนั้นกลับซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้
เขาไม่แปลกตากับกลิ่นอายพลังในตัวซูหมิง แม้กลิ่นอายพลังนี้จะเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์ แต่เขาก็ไม่ลืม เพียงแต่หน้าตาซูหมิงเปลี่ยนไปไม่น้อย ยามนี้ที่เห็นคือหน้าตาซูหมิงจริงๆ ในโลกซางเซียง
ตอนที่ 1468
เยือนสำนักเอกะเต๋า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้ากลับมาแล้ว” ซูหมิงตอบกลับนิ่งๆ
สิ้นเสียง โลงไม้เต้าหานพลันแตกร้าว รอยร้าวเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่งแตกกระจายออก เต้าหานก้าวเดินออกมาจากข้างใน
ใบหน้าเขายังคงซีดขาว แต่นัยน์ตากลับฉายแววคลุ้มคลั่งและตื่นเต้น ความตื่นเต้นนี้พบเห็นได้ยากยิ่งจากตัวเขา สายตาเหม่อมองซูหมิงอยู่นานมากถึงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง
“กลับมาก็ดี กลับมาก็ดี…” เต้าหานหัวเราะไม่หยุด ผู้แข็งแกร่งที่เย็นชากับซูหมิงในตอนแรก กระทั่งซูหมิงยังเย็นชาตอบคนนี้ ยามนี้กล่าวแบบนี้ เพียงแต่ในรอยยิ้มมีความขมขื่น
“ตายแล้ว ตายหมดแล้ว สวี่จงฝานสิ้นชีพ ผู้อาวุโสใหญ่สิ้นชีพไปทีละคน เหลือเพียงข้ากับผู้อาวุโสใหญ่อีกสองคน เหลือเพียงพวกข้าสามคน
ตอนนี้สำนักเจ็ดจันทราเหลือเพียงพวกข้าสามคน…บาดแผลข้าดูเหมือนสาหัสมาก แต่ก็ดีกว่าอีกสองคนเล็กน้อย สองคนนั้นคนหนึ่งร่างสลายไปเหลือเพียงจิตแรก อีกคนจิตแรกถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะตื่นหรือไม่” เต้าหานถอยไปหลายก้าว นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้นอย่างยิ่งในความขมขื่น
“สำนักเอกะเต๋ารึ” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่แล้วถามขึ้นเนิบๆ
“เป็นสำนักเอกะเต๋า ตอนนั้นมิติต้นพิสูจน์เต๋าพังทลาย เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายมีผู้ฝึกฌานตายอยู่ในนั้นไม่น้อย ร้อยปีต่อมา มหาเต๋าสูงศักดิ์ไป๋ลู่กับชื่อหยางแห่งสำนักเอกะเต๋ามาสำนักเจ็ดจันทราแล้วทำการฆ่าล้าง
สุดท้ายหากมิใช่เพราะเจ้าสำนักกู่ไท่ยอมสละชีพ ละทิ้งโอกาสบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ด้วยการระเบิดตัวเอง อัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษสำนักเจ็ดจันทรา ทำให้ไป๋ลู่กับชื่อหยางต้องถอยชั่วคราว อีกทั้งสหายของเจ้าสำนักยังมาช่วย รวมถึงเซียนเยือกเย็นฝ่ายอสุรามาขวางไว้ มิเช่นนั้นแล้ว…สิ่งที่เจ้าเห็นในตอนนี้จะเป็นซากทั้งหมด
ตายหมดแล้ว…” เต้าหานหัวเราะเสียงแหลมดังกึกก้อง เหมือนเรียกวิญญาณร้ายที่สิ้นชีพในตอนนั้นในฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ดออกมา ท่ามกลางเสียงดังกังวาน ยังคล้ายว่ามีเสียงคำรามวนเวียนอยู่รอบๆ
“องค์ชายสาม เจ้า…” ชั่วขณะที่เสียงเต้าหานดังก้อง ซูหมิงหมุนตัวกลับแล้ว เดินไกลออกไป ดูจากท่าทางจะออกจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด การทำแบบนี้ทำให้เต้าหานขมขื่น ยามที่มองเงาแผ่นหลังซูหมิงยังพูดไม่ออก
เขาเข้าใจ อีกฝ่ายช่วยสำนักเจ็ดจันทราได้ แต่หากศัตรูเป็นสำนักเอกะเต๋า ต่อให้เขาบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ ดูท่าก็ยังกังวลเล็กน้อย แค่กลับมาดูสำนักเจ็ดจันทราก็เพราะมิตรภาพในตอนนั้นเท่านั้น เต้าหานจึงร้องขอมากไม่ได้ เขาได้แต่หวังว่าภายใต้การคุ้มกันของอีกฝ่าย สำนักเจ็ดจันทราจะได้มีวันรุ่งเรือง
นี่คือความปรารถนาก่อนตายของกู่ไท่ และก็เป็นความปรารถนาของสวี่จงฝาน ตอนนี้กลายเป็นความปรารถนาของเต้าหานแล้ว
“ข้าคงไม่ได้อยู่แคว้นกู่จั้งนานนัก…แต่สำนักเอกะเต๋า ข้าจะให้พวกมันต้องชดใช้ด้วยเลือด นี่คือการตอบแทนสำนักเจ็ดจันทราของข้า” เมื่อใกล้จะออกจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด ซูหมิงหยุดชะงักครู่หนึ่ง ตอนที่เสียงดังแว่วไป เขาได้ก้าวออกจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ดแล้ว
คำพูดเขาดังกังวานเข้าถึงหูเต้าหาน เต้าหานมองเงาซูหมิงจากไปไกลเงียบๆ คำว่าชดใช้ด้วยเลือดสื่อถึงความคิดซูหมิง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวเลือด
ตรงหน้าเขาเหมือนมีภาพในอดีตลอยขึ้นมา เป็นภาพตอนที่พบซูหมิงครั้งแรก
ซูหมิงไปแล้ว ออกจากสำนักเจ็ดจันทรา ออกจากแผ่นดินนี้เดินไปบนฟ้า ไปทีละก้าวเงียบๆ จนมาถึงนอกป่าข้างหมู่บ้านภูเขาเล็กในความทรงจำ
ซูหมิงมองไกลๆ ด้วยแววตาเศร้าหมอง หมู่บ้านภูเขาที่นี่…หายไปแล้ว แม้แต่ซากยังไม่เหลือไว้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่า
เวลาสองพันกว่าปีเปลี่ยนมันไปมาก เรื่องสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนคนเปลี่ยนมักจะเกิดขึ้นในทุกมุมของโลก หมู่บ้านภูเขานี้ไม่มีร่องรอย เสียงตัดฟืนที่เคยดังก้อง ตอนนี้กลายเป็นเสียงพึมพำของกาลเวลา
ซูหมิงยืนบนอากาศอยู่นานมาก จนกระทั่งตัวเขาลอยลงไปในป่าไม้ อยู่ภายในหมู่บ้านภูเขาในอดีต ก่อนเดินไปทุกแห่งตามภาพจำ
เขาเดินผ่านร้านช่างเหล็ก เดินผ่านข้างร้านขายสุรา เดินมาถึงนอกบ้านของตาแก่ มองต้นไม้รอบๆ ก่อนนั่งขัดสมาธิลงตรงนั้นเงียบๆ ราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่ในลานบ้านของตาแก่ ตัดฟืนพลางฟังเสียงที่ไม่เข้ากันของตาแก่เป็นบางครั้ง
เขานั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ จากตะวันขึ้นจนตกดิน จากยามเช้าจนโพล้เพล้ ที่นี่ไม่มีเสียงตัดฟืน ไม่มีสุนัขใหญ่สีขาวหลายตัวติดตาม และก็ไม่มีตาแก่คอยพูดไม่หยุด
ที่นี่เหลือเพียงซูหมิงคนเดียว นั่งอยู่เงียบๆ จนกระทั่งหิมะโปรยปรายตกลงบนตัวเขา ตกลงบนศีรษะ
สายลมหิมะพัดผ่านตลอดคืนจนวันต่อมายามเช้าตรู่ ซูหมิงลืมตาขึ้น ยืนขึ้นแล้วหันไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง มองรอบๆ ก่อนจะเดินออกจากป่านี้ช้าๆ เดินไกลออกไป
เงาแผ่นหลังเขาเงียบเหงายิ่งนัก มีความโดดเดี่ยว มีความตกต่ำ แสงตะวันส่องไม่ถึงตัวเขา มีเพียงสายลมหิมะยังอยู่ เหมือนเดินตามเขาไป เพียงแต่สายลมหิมะดูเหมือนกัน ทว่าความจริงแล้ว…หลังเดินไปไกลเจ้าจะพบว่าหิมะข้างกายไม่ใช่อันในอดีตอีก
สิ่งที่ตามมาตลอดทางถูกลิขิตไว้ว่าให้ดูเหมือนกัน แต่ความจริงหิมะต่างกัน มีเพียงสายลมที่อาจจะอยู่ข้างกายไม่เปลี่ยนไปชั่วนิรันดร์
เดินไปเดินมาจนออกจากป่าแห่งนี้ เดินอยู่ในยามเช้าตรู่ เดินไปบนฟ้า เดินต่อไปตลอดทาง…จนวันหนึ่งในที่สุดซูหมิงก็มาอยู่หน้าอารามแห่งหนึ่ง
อารามแห่งนี้ดูเสื่อมโทรมมาก ประหนึ่งว่าสายลมพัดก็พังทลายแล้ว แค่หิมะก็พังมันได้ แต่มันยังคงอยู่ที่นี่ ความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนานยืนยันได้ว่าอารามแห่งนี้อยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว
ภายในอารามมีสามรูปปั้น สามรูปปั้นมองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงรอยแตกที่มีอยู่ทุกที่บนตัวสามรูปปั้น มีอยู่แน่นขนัดแผ่คลุมทั่วร่างรูปปั้น
อารามนี้เงียบสงบมาก มีเพียงเสียงสายลมข้างนอกพัดผ่านที่จะส่งเสียงครืนๆ นอกจากนี้แล้วไม่มีเสียงอื่นอีก ซูหมิงยืนอยู่กลางอารามอย่างสงบนิ่ง มองสามรูปปั้นด้วยแววตาเย็นชาแวบหนึ่ง
ด้วยพลังของซูหมิงตอนนี้ การจะหาสำนักเอกะเต๋านั้นไม่ยาก
“สำนักเอกะเต๋า…” ซูหมิงเอ่ยราบเรียบพร้อมโบกมือขวาไปข้างหน้า ทันใดนั้นเองฟ้าข้างนอกเหมือนปกติ สายลมก็ดี ทว่าภายในอารามกลับเกิดพายุโหมกระหน่ำ พายุนี้มาพร้อมกับเสียงครึกโครมสะเทือนฟ้า พริบตาเดียวก็กวาดล้างไปทั้งอาราม พลันมีแสงสว่างวาบมาจากรอยแตกบนตัวสามรูปปั้น เชื่อมเป็นวงแหวนอาคมคล้ายตาข่าย
ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ทันทีที่ปรากฏวงแหวนอาคมตาข่าย เขายกเท้าขึ้นเหยียบเดินหน้าหนึ่งก้าว เกิดเสียงดังครึกโครม วงแหวนอาคมตาข่ายเหล่านั้นรับการเข้ามาใกล้ของซูหมิงไม่ไหวจึงแตกออกเป็นชั้นๆ เพียงลมหายใจเดียวก็พังลง ซูหมิงจึงก้าวเข้าไปโดยไม่มีอะไรขวางได้
หนึ่งก้าวว่างเปล่า ประหนึ่งว่ามิติรอบตัวเขาบิดเบี้ยว ช่วงที่ทุกอย่างชัดเจน เขามาอยู่ในฟ้าดิน ฟ้าที่นี่เต็มไปด้วยเมฆดำ แผ่นดินที่นี่เป็นสีดำทึบ มองไกลๆ จะเห็นภูเขาไฟเหลือคณานับ ทั้งยังเห็นชัดว่าโดยรอบมีรูปปั้นยักษ์สามรูป
เพียงแต่มีสองในสามรูปปั้นที่แตกหัก!
แทบเป็นพริบตาที่ซูหมิงมาถึง ฟ้าที่นี่พลันหมุนโคจรกลายเป็นน้ำวนยักษ์ เสียงแหลมเล็กดังกึกก้อง ประหนึ่งเตือนผู้ฝึกฌานที่นี่ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา
“สำนักเอกะเต๋า…ในเมื่อคนสำนักนี้ชอบใช้พลังมหาเต๋าสูงศักดิ์เหยียบย่ำในสำนักคนอื่นนัก ชอบใช้พลังกดขี่นัก เช่นนั้นวันนี้แซ่ซูจะขอลองบ้าง” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ เสียงดังไปทั่วโลกสำนักเอกะเต๋า
สิ้นเสียง ภูเขาไฟจำนวนมากที่อยู่ไกลๆ เกิดการระเบิดขึ้น ราวกับรับแรงกดดันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงซูหมิงไม่ไหว แม้แต่แผ่นดินยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจดังระงม ซูหมิงเห็นว่ามีร่างเงาผู้ฝึกฌานพากันบินออกมาจากในหอหลายแห่งบนแผ่นดิน
“หาญกล้านัก กล้าบุกสำนักเอกะเต๋า!” แทบเป็นขณะเดียวกับที่ร่างเงาเหล่านี้บินออกมา พลันมีเสียงตะโกนดังแว่วมา เสียงนี้แทบจะดังขึ้นโดยสัญชาตญาณ ต่อให้เป็นคนที่ตะโกนตอนนี้ยังสำนึกเสียใจภายหลัง เพราะเสียงโครมครามจากภูเขาไฟรอบๆ ได้บ่งบอกถึงพลังซูหมิงแล้ว
ซูหมิงมีสีหน้าเฉยชา ไม่มองร่างเงาที่บินออกมาเหล่านั้น แต่เดินไปเช่นนี้ เดินไปยังหนึ่งในสามรูปปั้นไกลๆ แทบเป็นขณะเดียวกับที่ก้าวเดิน มีสายรุ้งยาวหลายสายบินขึ้นตรงหน้า ชั่ววูบเดียวก็เข้ามาใกล้เขา พร้อมกันนั้นต่างใช้พลังจากวิชาอภินิหาร ทว่าซูหมิงยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เพียงแค่นเสียงขึ้นจมูก
เพียงแค่เสียงแค่นขึ้นจมูก ฟ้าดินพลันส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ระลอกคลื่นขยายออกโดยมีเขาเป็นใจกลาง ผู้ฝึกฌานที่เข้ามาเหล่านั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ถึงขั้นยังไม่ทันร้องโหยหวน ทุกคนทยอยกันร่างบิดเบี้ยวภายใต้ระลอกคลื่นนี้ก่อนระเบิดกระจุยเป็นฝนโลหิต
“ข้าไม่ได้สังหารแบบนี้มานานมากแล้ว สำนักเอกะเต๋า…” ซูหมิงกล่าวขึ้นเรียบๆ นันย์ตามีจิตสังหารเด่นชัดวูบผ่าน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือกดไปยังแผ่นดินข้างล่าง
เมื่อกดไปแผ่นดินเกิดเสียงอึกทึกทันใด ภูเขาไฟพังลงแล้วก็ตามด้วยทั้งแผ่นดินแตกร้าว แรงกดดันมหึมาจากตัวซูหมิงปกคลุมทั้งโลกโดยพลัน อีกทั้งดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วเขายังเปิดออก เผยมหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดที่เปล่งแสงดำไร้ที่สิ้นสุดภายในอย่างชัดเจน
“ให้เงามืดปกคลุมแผ่นดิน ให้ฟ้ายามค่ำคืนแทนที่ฟ้าสว่าง ให้การสังหารเป็นผนึก…ติดค้างเลือด ต้องให้เลือดนองสำนักเอกะเต๋าถึงจะชดใช้ได้” เสียงซูหมิงดังกังวาน ท่ามกลางแผ่นดินส่งเสียงดังสนั่นยังคงเข้าไปถึงจิตใจผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าทุกคนอย่างชัดเจน
“มหาเต๋าสูงศักดิ์!”
“เขาคือมหาเต๋าสูงศักดิ์!” เสียงร้องด้วยความตกใจดังก้องในฉับพลัน ตอนนี้เองมีเสียงหึเย็นชาดังแว่วมาจากในรูปปั้นที่ห่างจากซูหมิงไกลๆ เสียงแค่นขึ้นจมูกดังก้องส่งผลให้การพังทลายของแผ่นดินหยุดนิ่ง พร้อมกันนั้นมีสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งตรงมาที่ซูหมิงประหนึ่งดาวตก ภายในสายรุ้งยาวนั้นแผ่พลังมหาเต๋าสูงศักดิ์เช่นเดียวกัน
ตอนที่ 1469
มหาเต๋าสูงศักดิ์หมายเลขหนึ่ง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
นั่นคือ…เซินมู่!
มหาเต๋าสูงศักดิ์เซินมู่ ตอนนั้นเคยไปเยือนสำนักเจ็ดจันทรา ตอนนี้เปิดสงครามครั้งแรกกับสำนักเจ็ดจันทราเพราะฐานะองค์ชายสามของซูหมิง ก็เป็นคนนี้ที่ออกหน้า
แม้สงครามครั้งนั้นสำนักเอกะเต๋าจะถอยไป แต่ท่าทีของเซินมู่กลับกดขี่อยู่เหนือสำนักเจ็ดจันทราในสงครามครั้งนั้น บีบจนพวกกู่ไท่ต้องยอมรับเดินพัน จากตรงนี้จะเห็นได้ถึงความโอหังของเซินมู่
เสียงแค่นขึ้นจมูกของเขาเพิ่งดังไปทั่วสำนักเอกะเต๋า ร่างเงาเขามาปรากฏอยู่ตรงหน้าซูหมิงแล้ว ตอนที่เข้ามาใกล้ยังไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารอะไรมากนัก แค่กดนิ้วเหมือนหมายจะทำลายล้างฟ้าดินไปยังซูหมิง
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทิศ ตอนนี้เองเซินมู่หน้าเปลี่ยนสี ถอยไปหลายสิบจั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นจ้องซูหมิง
ซูหมิงลดมือขวาลง ดรรชนีแห่งการทำลายล้างของเซินมู่นั้นถูกซูหมิงแก้ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ยามนี้เมื่อลดมือขวาลงแล้วก็มองเซินมู่อย่างเย็นชาด้วยสีหน้าปกติ
“ท่านดูแปลกตามาก แซ่เซินไม่เคยได้ยินว่าในสำนักแคว้นกู่จั้งมีมหาเต๋าสูงศักดิ์คนใหม่ปรากฏ ในเมื่อมาแล้ว ในเมื่อประกาศกร้าวว่าจะทำลายสำนักเอกะเต๋า เช่นนั้นก็ควรบอกฐานะตัวเอง!” เซินมู่มองซูหมิงพลางพูดอย่างเย็นชา ทว่าในใจตอนนี้กลับสั่นสะท้าน กระทั่งตกใจเล็กน้อย เพราะการโจมตีของเขาเมื่อครู่นี้มิใช่ธรรมดา นั่นคือหนึ่งในอภินิหารที่แกร่งที่สุด เป็นดรรชนีที่โจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว กระทั่งมากพอจะต่อต้านผู้แข็งแกร่งมหาเต๋าสูงศักดิ์เหมือนกัน
ทว่า…ตอนนี้ชายหนุ่มชุดคลุมดำภายในแววตากลับแก้ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ถึงขั้นไม่ถอยไปแม้แต่น้อย ทุกอย่างมากพอจะอธิบายได้เรื่องหนึ่ง
‘คนนี้…คือผู้แข็งแกร่งในมหาเต๋าสูงศักดิ์!’ เซินมู่ใจเต้นระรัว เขารู้ชัดว่ามหาเต๋าสูงศักดิ์ก็มีการแบ่งระดับความอ่อนแอและแข็งแกร่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าถึงในใจเขาจะเต้นระรัว แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายมากนัก เพราะถึงจะมีความแข็งแกร่งและอ่อนแอที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทว่าตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ ระหว่างมหาเต๋าสูงศักดิ์ในแคว้นกู่จั้งยังไม่เคยเกิดเรื่องสังหารกันมาก่อน
“มหาเต๋าสูงศักดิ์ลืมแซ่ซูไปแล้วรึ?” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ พร้อมเดินหน้าหนึ่งก้าว พริบตาที่ก้าวเท้าลง เขายกมือขวาทำสัญลักษณ์มือชี้ไปข้างหน้า ฉับพลันนั้นมวลอากาศตรงหน้าระเบิดออก หมุนตลบเป็นชั้นๆ ลุกลามไปหาเซินมู่
“ข้าตาหามีแววไม่ จำเจ้าไม่ได้จริงๆ” เซินมู่ตอบกลับพลางคว้ามือขวาลงข้างล่าง ช่วงที่ยกขึ้น ระลอกคลื่นขยายออกเป็นวงกว้างเข้าปะทะกับมวลอากาศระเบิดของซูหมิงที่ลุกลามเข้ามา เกิดเสียงอึกทึกกึกก้องอีกครั้ง เซินมู่หน้าเปลี่ยนสี ร่างเซถอยไปหลายสิบจั้ง
“เจ้าจะจำได้เอง” ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ขณะพูดตอบพลันบินขึ้นเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปหาเซินมู่ สองคนปะทะกันในทันใด เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋านับไม่ถ้วนข้างล่างต่างตกใจตื่น มหาเต๋าสูงศักดิ์เซินมู่ที่สูงส่งในใจพวกเขา…ถอยไปไม่หยุด
เขากำลังถอย หลังการปะทะทุกครั้งจะถอยไป เหมือนอภินิหารของชายหนุ่มชุดคลุมดำตรงหน้ามีความแกร่งที่ตนไม่อาจต่อต้าน อีกทั้งในมุมมองเซินมู่ ในตัวอีกฝ่ายมีกลิ่นอายพลังอย่างหนึ่ง กลิ่นอายพลังนั้นห้าวหาญไม่เกรงกลัวผู้ใด ขอเพียงตนถอยหนึ่งก้าว เช่นนั้น…ก็ต้องถอยไปเรื่อยๆ!
เวลานี้อีกฝ่ายเป็นใครไม่สำคัญแล้ว สิ่งสำคัญคือเซินมู่พบว่าตนเป็นฝ่ายโจมตีก่อนไม่ได้ ท่ามกลางเสียงระเบิด ตัวเขาถอยไปด้วยความเร็วถี่ขึ้นเรื่อยๆ แทบจะถูกซูหมิงผลักไปตลอดทางตรงไปยังรูปปั้นยักษ์นั้น
เรื่องนี้น่าตกใจอย่างยิ่งสำหรับเซินมู่ เพราะการโจมตีก่อนไม่ได้แบบนี้เกิดขึ้นยากมากระหว่างการต่อสู้กันของมหาเต๋าสูงศักดิ์ ถึงอย่างไรก็เป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์ ฝึงฝนถึงเกือบจุดสูงสุดแล้ว ไม่ว่าใช้อภินิหารใดล้วนทำลายฟ้าดินได้ ดังนั้นหากถูกควบคุมแบบนี้ ก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว
‘เขา…เขายังไม่ได้กำลังทั้งหมด นี่ต้องมีความชำนาญสูงถึงต่อสู้สบายๆ แบบนี้ได้!’ ความเป็นไปได้นี้สร้างความตกใจแก่เซินมู่ อีกทั้งเขายังคับอกคับใจเล็กน้อย เพราะที่นี่คือสำนักเอกะเต๋า เขาจึงจงใจไม่ใช่อภินิหารที่ใหญ่เกินไป มิเช่นนั้นไม่ต้องให้คู่ต่อสู้ลงมือ สำนักเอกะเต๋าก็ถูกอภินิหารตนทำลายแล้ว
ชั่วขณะที่ตัวเขาจะถูกผลักเข้าไปใกล้รูปปั้น มีเสียงถอนหายใจดังแว่วมา
“ไฉนสหายต้องทำเช่นนี้” เมื่อเสียงถอนหายใจดังขึ้น มีชายชราผมแดงฉานคนหนึ่งเดินออกมาจากอีกรูปปั้นไกลๆ ก้าวยาวตรงมาหาซูหมิง เพียงก้าวเดียวก็เข้ามาใกล้ซูหมิงโดยพลัน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ พลังมหาศาลของมหาเต๋าสูงศักดิ์ถาโถมฟ้าดิน หมุนม้วนตรงไปหาซูหมิง
“ข้าชื่อหยาง หากสหายจะหยุดแค่นี้พวกข้าจะไม่ขวาง ถือว่าเรื่องในวันนี้เข้าใจผิดกัน คิดเห็นอย่างไร” คำพูดชายชราผมแดงฉานดังตามเสียงครึกโครมนั้น
ระหว่างที่อภินิหารของชื่อหยางหมุนม้วนฟ้าดินกลายเป็นพายุคลั่งโถมเข้าไปใกล้ซูหมิง ตอนนี้เองดวงตาเซินมู่วาววับ เขาหมุนตัวกลับไม่ถอยอีกแต่พุ่งไปหาซูหมิง สองมือประสานมุทรา ฟ้าดินตรงหน้าบิดเบี้ยว ร่างเงาเขาเหมือนแยกเป็นร่างแยกหลายร้อย ทุกร่างเงาต่างใข้อภินิหารต่างกันใส่ซูหมิง
ซูหมิงยิ้มเยาะมุมปาก ยกมือขวาทำสัญลักษณ์มือเป็นฝ่ามือต้านเซินมู่ ส่วนมือซ้ายทำสัญลักษณ์มือแล้วชกหมัดใส่กลางพายุคลั่งที่เข้ามาใกล้
พริบตาที่ชกหมัดมีพลังน่าตะลึงปะทุมาจากกำปั้นซูหมิง ส่งเสียงดังสนั่นไปรอบๆ ทั้งยังก่อแรงปะทะโถมไปเป็นวงกว้าง ทั้งสำนักเอกะเต๋าอยู่ในเสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหู
ผู้ฝึกฌานข้างล่างมีไม่น้อยที่โลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด ต่อมาคนที่มีพลังค่อนข้างสูงรีบวางวงแหวนอาคม ทั้งยังมีผู้อาวุโสสำนักเอกะเต๋าร่วมมือกันบนแผ่นดิน สร้างเป็นผนึกคุ้มกัน
ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ที่บรรลุเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋าทั้งหมดเจ็ดคนต่างบินออกมาแล้วนั่งขัดสมาธิกลางฟ้าดิน ภารกิจของพวกเขามีเพียงอย่างเดียวคือปกป้องศิษย์สำนักเอกะเต๋า
ท่ามกลางเสียงอึกทึก มือซ้ายซูหมิงคือชื่อหยาง มือขวาคือเซินมู่ ใช้พลังตัวคนเดียวต้านการลงมือของมหาเต๋าสูงศักดิ์สองคน ตัวเขายังคงแน่นิ่งกลางอากาศ ทว่าเซินมู่กลับหน้าเปลี่ยนสี ถอยไปในฉับพลัน เสียงโครมครามดังอย่างต่อเนื่อง จนเขาถอยไปร้อยจั้งถึงมีโลหิตไหลจากมุมปาก ยามที่เงยหน้าขึ้นยังมองซูหมิงด้วยแววตาเหลือเชื่อและตกใจ
อีกด้านของซูหมิง ตอนนี้ชายชราชื่อหยางหน้าเปลี่ยนสี ถอยไปร้อยจั้ง ก่อนมองซูหมิงด้วยสีหน้าจริงจังอย่างชัดเจน
เหมือนกับเซินมู่ พวกเขาสองคนไม่คิดว่าชายหนุ่มชุดคลุมดำตรงหน้าจะแกร่งถึงขนาดนี้ ต่อต้านสองคนด้วยตัวคนเดียว ทว่ากลับไม่หน้าเปลี่ยนสีเลย
‘นี่ไม่ใช่เพียงบรรลุขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์ แต่ยังมีพลังเหลือล้นเกินจินตนาการอีก!’
‘เขาบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ แต่พลังจริงๆ ในตัวเขา…น่ากลัวกว่าขั้นพลังนี้ไปไกลมาก!’
ทันทีที่ชื่อหยางกับเซินมู่ถอย มีฝ่ามือแก่ชราข้างหนึ่งโผล่มาจากมวลอากาศข้างหลังซูหมิงเงียบๆ ก่อนกดฝ่ามือเข้าที่แผ่นหลังซูหมิง
การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เงียบเชียบเท่านั้น แต่ยังใช้โอกาสได้อย่างแม่นยำยิ่ง นั่นคือช่วงที่ซูหมิงบีบให้ชื่อหยางกับเซินมู่ถอยไป ภายในฝ่ามือนั้นมีพลังทำลายล้างรุนแรง ทว่ากลับไม่กระจายออกมาข้างนอก พริบตาที่จะสัมผัสซูหมิงนั้น…
ดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วซูหมิงขยับประกายวูบไหว มหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดในดวงตาที่สามเพียงแค่ลืมตาขึ้น แสงดำเปล่งวาบมาจากในดวงตาที่สาม แสงปกคลุมทั่วร่างเขา ส่งผลให้ฝ่ามือนั้นปะทะกับม่านแสงดำ
เสียงอึกทึกดังกังวาน ซูหมิงคว้ามือขวาไปข้างหลังอย่างไม่ลังเล มวลอากาศข้างหลังบิดเบี้ยวก่อนพังลง เผยร่างเงาแก่ชราออกมา นั่นคือชายชราร่างเตี้ย สวมชุดคลุมดำทั้งตัว ยามนี้มีสีหน้าค่อนข้างจริงจัง ถอยไปหลายก้าว รวมกับชื่อหยางและเซินมู่เป็นค่ายกลปิดล้อมสามทิศ
“ในที่สุดก็ออกมาเสียที” ซูหมิงยืนอยู่กลางสามคนปิดล้อม เอ่ยขึ้นเรียบๆ
ตอนนี้เองม่านแสงดำวนเวียนรอบตัวซูหมิง แสงดำสะท้อนเข้าไปในดวงตาสามคน ทำให้ชื่อหยางกับเซินมู่หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง นัยน์ตา…ฉายแววเหลือเชื่อ
“เป็นครั้งแรกที่ข้าพบมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่มีพลังเหนือกว่าขั้นพลัง มิใช่มีพลังเท่ากับขั้นพลังอย่างพวกข้า…
องค์ชายสามมีพลังหยั่งลึก หากไม่ใช่เพราะควบคุมพลังเอาไว้ เกรงว่าคงปะทุพลังของเทพเต๋าขั้นเก้าออกมาได้ เพียงแต่แซ่ไป๋ขอถามข้อหนึ่ง หลินตงตงสบายดีหรือไม่?” ไป๋ลู่กล่าวเนิบช้าด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ ซูหมิงในตอนนี้เป็นแบบนั้น ความหยั่งลึกของพลังเขามีสาเหตุมาจากต้นพิสูจน์เต๋า เหนือกว่าขั้นพลังตัวเอง ก็เหมือนกับมีน้ำที่มากพอ แต่ปากขวดใหญ่ได้แค่นั้น เลยทำได้เพียงปล่อยพลังได้อย่างจำกัด
ดังนั้นเขาถึงไม่ตกเป็นรองให้กับสามคน เพราะซูหมิงในตอนนี้…คือหมายเลขหนึ่งในมหาเต๋าสูงศักดิ์!
“แสงแห่งมหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดในขอบเขตพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ต่างจากคนอื่น และมีเพียงผู้เคาะเสียงวิญญาณเต๋าเก้าครั้งเท่านั้นถึงทำได้ แต่ตอนนี้คนที่เคาะเสียงวิญญาณเต๋าได้เก้าครั้งแล้วยังไม่บรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ก็มีเพียงคนเดียว นั่นคือ…องค์ชายสามที่หายตัวไปหลังมิติต้นพิสูจน์เต๋าพังลงเมื่อสองพันกว่าปีก่อน!” ชื่อหยางหรี่ตาจ้องซูหมิง หลังมองฐานะซูหมิงออกก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้วว่า…หากไม่ตายจะไม่ยอมเลิกรา
“ไม่นึกเลยว่าไม่ได้พบกันสองพันกว่าปีเจ้าจะกลายเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์แล้ว…” เซินมู่จ้องซูหมิงพลางพูดขึ้นเนิบๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
ชั่วขณะที่พวกเขาสามคนต่างพูดขึ้น ผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าข้างล่างที่ได้ยินดังนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี ในคนเหล่านี้มีบางส่วนที่เคยประสบมิติชั้นสามพังทลายในตอนนั้น ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้ ก็ต้องเคยได้ยินการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเวลาสองพันกว่าปีมานี้
นั่นคือความเสียหายที่สาหัสยิ่งต่อทุกสำนักทั้งแคว้นกู่จั้ง และเป็นการพังพินาศของมิติครั้งนั้นที่จบการแย่งชิงบัลลังก์ก่อนเวลา
แต่ตอนนี้ เมื่อพวกเขาพบซูหมิงอีกครั้ง ได้ฟังคำพูดของมหาเต๋าสูงศักดิ์สามคนในสำนักแล้ว ความตื่นตะลึงในใจพลันกลายเป็นพายุคลั่งส่งเสียงดังกระหน่ำ
ตอนที่ 1470
ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่งตลอด มาสำนักเอกะเต๋าครั้งนี้ เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะปกปิดฐานะอยู่แล้ว ต่อให้มีคนจำได้ก็ไม่เป็นอะไร เขามองผู้ฝึกฌานที่นี่เป็นคนไม่มีคุณค่าแล้ว
มหาเต๋าสูงศักดิ์สามคนนั้นก็ดี ผู้ฝึกฌานคนอื่นก็ดี แม้บอกว่าอยู่ในการยึดร่างระหว่างตนกับเสวียนจั้ง แต่…การยึดร่างนี้สมจริงเกินไป จริงจนต่อให้ซูหมิงรู้ทุกอย่างก็ยังมาสำนักเอกะเต๋า มาสังหารโลกนี้ที่นี่
รู้ทั้งรู้ว่าทุกอย่างอาจไม่มีอยู่จริง แต่ก็ยังยึดมั่น กระทั่งเดิมทีซูหมิงเคยใช้การตระหนักรู้ที่เกิดขึ้นกับหลินตงตง นั่นเหมือนกับมวลอากาศที่ขวางโลกเอาไว้ ทำให้การคงอยู่ของเขากลายเป็นโปร่งใส ทุกวิชาที่ใช้กับตัวเขาจะทะลวงผ่านไป
แต่ซูหมิงก็ไม่ได้เลือกเช่นนี้ เขาเลือกลงมือจริงๆ ทุกอย่าง…เพียงเพราะสำนักเจ็ดจันทรา หลันหลันก็ดี กู่ไท่ก็ดี หรืออาจจะเป็นสวี่จงฝานที่ดีกับเขามาก คนเหล่านี้ปรากฏขึ้นในชีวิตเขา แต่ต่อให้เดินไปไกลก็ยังเหลือร่องรอยที่ต่างกัน
เหมือนกับชีวิตคน ใครจะเดินเข้าไปในชีวิตเจ้าชะตาจะเป็นคนตัดสิน แต่ใครจะหยุดในชีวิตเจ้า เจ้าจะตัดสินเอง
บางคนลิขิตไว้แล้วว่าเป็นสหายกันชั่วชีวิต บางคนลิขิตไว้ว่าต้องเป็นร่องรอย…
ร่องรอยนี้ก็มีลึกตื้น ที่ลึกคือไม่ลืมไปชั่วชีวิต ที่ตื้น…ก็เพียงแค่ผ่านทาง
“หลินตงตงยังสบายดี มีชีวิตอยู่ในโลกของเขา” ซูหมิงตอบกลับเรียบๆ ประกายเย็นชาในดวงตาวูบไหว ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าว เขาบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปด แต่ความหยั่งลึกของพลังจริงๆ เหนือกว่านานแล้ว ดังนั้นจึงถูกเรียกว่ามหาเต๋าสูงศักดิ์หมายเลขหนึ่งในแคว้นกู่จั้ง ทั้งยังเป็น…หมายเลขหนึ่งต่ำกว่าเทพเต๋าขั้นเก้า
น่าเสียดายอย่างเดียว ตอนนี้ชื่อเสียงยังไม่โด่งดังมากนัก แต่คาดการณ์ได้ว่าเมื่อซูหมิงออกจากสำนักเอกะเต๋า เมื่อคนนอกได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักเอกะเต๋า ชื่อเสียงเขา…จะเป็นที่เลื่องลือในแคว้นกู่จั้ง!
แทบเป็นขณะเดียวกับที่ซูหมิงเดินเข้าไป ชื่อหยาง เซินมู่ ไป๋ลู่สามคนพลันเดินหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกัน พวกเขามีสีหน้าต่างกัน แต่ความจริงจังในแววตาเหมือนกัน ยิ่งรู้พลังซูหมิงมากเท่าไรพวกเขาก็ยิ่งกดดันมากเท่านั้น
มหาเต๋าสูงศักดิ์หมายเลขหนึ่ง กำลังรบที่ปะทุขึ้นจากความหยั่งลึกของพลังคือจุดสูงสุดที่ยืนหยัดได้ยาวนาน เป็นสภาวะจุดสูงสุดที่ซูหมิงยังคงสภาพไว้ได้ ต่อให้เป็นอาการบาดเจ็บเหมือนกัน แต่มันจะถูกลดผลลงไปมาก แต่พวกเขาสามคนทำแบบนี้ไม่ได้
ทันทีที่ซูหมิงก้าวเดิน เซินมู่ยกมือขวาขึ้น ในมือมีแสงสีขาวขยับประกาย ทันใดนั้นปรากฏหิมะขาวกลุ่มใหญ่ตรงหน้าซูหมิง หิมะขาวนี้รวมกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นผลึกน้ำแข็งผนึกโดยรอบไว้
ต่อมา ชื่อหยางประสานมุทราด้วยสองมือพลางพ่นลมหายใจ ลมหายใจนี้กลายเป็นดวงตะวันดวงหนึ่งข้างนอก แผ่พลังความร้อนไร้ที่สิ้นสุด กลายเป็นผนึกเหมันต์อัคคีคู่กับเซินมู่ ปกคลุมฟ้าดินลงไปยังซูหมิง
ส่วนไป๋ลู่เขาไม่ได้ลงมือแบบนี้ แต่ยกสองมือขึ้นสะบัดแขนเสื้อ ระหว่างที่โบกไปข้างนอก แขนเสื้อเขาเหมือนยืดยาวไร้ที่สิ้นสุดจนคลุมทุกอย่างรอบๆ เอาไว้ภายใน
สองคนจู่โจม หนึ่งคนป้องกัน นี่คือมหาเต๋าสูงศักดิ์สามคนแห่งสำนักเอกะเต๋าต่างทำในสิ่งที่ตนถนัดที่สุด
หลังสามคนร่วมมือกัน ซูหมิงไม่ได้หน้าเปลี่ยนสี เดิมทีเขาหวังให้เกิดสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องสังหารทีละคน แต่สังหารทั้งหมดในทีเดียว
ซูหมิงแค่นเสียงขึ้นจมูก ยกมือขวาขึ้นกดลงข้างล่างอย่างไม่ลังเลในฉับพลัน สี่ดวงจิตใหญ่พลันปะทุมาจากในร่างกาย เมื่อดวงจิตปะทุ พริบตาเดียวพลังที่เขาปลดปล่อยออกมาได้พลันเพิ่มขึ้น ราวกับยกระดับพลังไปอีกเล็กน้อย!
ดวงจิต เดิมทีมีพลังที่ยกระดับขั้นพลังได้ในพริบตาอยู่แล้ว การยกระดับพลังที่ว่าไม่ได้หมายถึงเพิ่มจิตเต๋าหนึ่งขั้น แต่เป็นการปะทุและปลดปล่อย เหมือนกับตอนที่ซูหมิงยังบรรลุแค่วิญญาณเต๋า เขาฝืนต้านเต๋าสูงศักดิ์ได้ สังหารผู้ฝึกฌานที่มีพลังเหนือกว่าตนหนึ่งถึงสองขั้นได้ นี่เป็นเพราะสี่ดวงจิตใหญ่จากโลกซางเซียง
และตอนนี้สี่ดวงจิตใหญ่ถูกปล่อยออกมา เส้นผมม่วงซูหมิงปลิวไสวเอง อาภรณ์โบกสะบัด เมื่อกดมือขวาลงแผ่นดิน พลันเกิดเสียงดังสนั่นครึกโครม รอยแยกมวลอากาศที่เหมือนฉีกโลกออกปรากฏขึ้นรอบตัวเขา เชื่อมเข้าด้วยกันเป็นวงแหวนขยายออกไปรอบๆ อย่างเร็วไว
จุดที่ผ่านมวลอากาศจะพังทลาย แผ่นดินสำนักเอกะเต๋าข้างล่างสั่นสะเทือนเลือนลั่น ทั้งแผ่นดินลดต่ำลงไปหลายสิบจั้งพร้อมกัน ส่วนวงแหวนอาคมคุ้มกันจากศิษย์สำนักเอกะเต๋าระเบิดออกเป็นช่องโหว่หนึ่ง ผู้อาวุโสสำนักเอกะเต๋าพากันกระอักเลือด และยังมีศิษย์ไม่น้อยที่กรีดร้องโหยหวน ช่วงที่ทั้งแผ่นดินลดระดับลงร่างกายก็รับไม่ไหว วิญญาณสูญสิ้นไป
ระหว่างที่แผ่นดินสั่นสะเทือน พวกเซินมู่สามคนรอบตัวซูหมิงหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน รอยแยกมวลอากาศที่ล้อมรอบซูหมิงถาโถมเข้ามาใกล้จึงปะทะกับอภินิหารพวกเขา
ไม่หลบ ไม่ถอย แต่ปะทะตรงๆ!
เสียงครึกโครมดังสนั่นกึกก้อง ตอนนี้เองเซินมู่หน้าเปลี่ยนสีอย่างเร็วไว เขาเห็นว่าช่วงที่ปะทะกับอภินิหารของซูหมิง ซูหมิงรับอภินิหารผนึกเหมันต์ของตนเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันตนก็รับวิชาของอีกฝ่ายได้เช่นกัน ยามนี้กระอักเลือด เซินมู่รู้สึกว่ามีพลังมหาศาลสุดบรรยายปะทะใส่ร่างตน จึงกระเด็นถอยไปอย่างไร้การควบคุม
ในเวลาเดียวกันชื่อหยางก็ประสบเรื่องแบบเดียวกัน เขาเห็นกับตาว่าตอนที่ดวงตะวันจากอภินิหารตนปะทะกับอภินิหารซูหมิง มันได้ปะทุพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ของเขา แต่ก็รับอภินิหารของซูหมิงได้เช่นกัน ก่อนกระอักเลือด ร่างถอยไปอย่างไร้การควบคุม
สุดท้ายคือไป๋ลู่ เขาไม่ได้ลงมือ แต่ผนึกและการคุ้มกันที่หมายจะควบคุมคลื่นพลังของซูหมิงในตอนนี้พังลงเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อเขากระเด็นถอยไป สามมหาเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋าต่างมองซูหมิงด้วยความตกใจ เพราะซูหมิงรับอภินิหารพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ว่า…แม้แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“มหาเต๋าสูงศักดิ์หมายเลขหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งคนที่สี่แห่งแคว้นกู่จั้ง ไม่ใช่คนที่พวกข้าจะรับมือได้จริงๆ…” ชั่วขณะที่ไป๋ลู่ถอยไปยังมีสีหน้าอึมครึม จ้องซูหมิงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่านโลกมานาน
“พวกข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เจ้า แต่ต่อให้เจ้ามาเพื่อสำนักเจ็ดจันทรา ต่อให้คนเดียวอาจสู้กับพวกข้าสามคน แต่…เจ้าสังหารพวกข้าไม่ได้
นี่คือกฏ เป็นกฏที่มหาจักรพรรดิกู่จั้งกำหนดไว้ ระหว่างมหาเต๋าสูงศักดิ์ห้ามเกิดความเป็นตาย กฏนี้…เว้นแต่เจ้าจะบรรลุเทพเต๋าขั้นเก้า มิเช่นนั้นต่ำกว่าเทพเต๋าจะไม่มีใครทำลายกฏได้” น้ำเสียงไป๋ลู่แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่ง เซินมู่กับชื่อหยางไม่พูด แต่ขณะถอยไป แม้จะมองซูหมิงด้วยสายตาจริงจัง แต่ไม่ได้ตกใจเด่นชัดเหมือนอยู่ในภยันตรายเป็นตายแม้แต่น้อย
“สำนักเจ็ดจันทราหาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่ถูกทำลายสำนักถือว่าสำนักเอกะเต๋าสงสารแล้ว องค์ชายสามมีพลังสูงส่ง สังหารศิษย์สำนักเอกะเต๋าคนอื่นได้ ต่อให้สังหารทั้งหมดก็ไม่เป็นอะไร สำนักเอกะเต๋ามีพวกข้าสามคนอยู่ก็ยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์ สำนักเอกะเต๋าที่สืบทอดดวงชะตามหาจักรพรรดิกู่จั้งคงใช้เวลาอีกไม่นานก็จะรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม” ชื่อหยางมองซูหมิงพลางพูดขึ้นเนิบๆ ไม่ได้สนใจความเป็นตายของคนอื่นเลย
“กฏของมหาจักรพรรดิกู่จั้งรึ…” ซูหมิงก้มหน้ามองมือขวาตัวเองแวบหนึ่ง ตอนที่เงยหน้าขึ้นในดวงตามีประกายเย็นชา ก่อนขยับวูบมาปรากฏตรงหน้าชื่อหยาง
“ข้าอยากรู้นักว่ากฏนี้จะไม่ถูกทำลายได้อย่างไร” ขณะกล่าว ซูหมิงที่ไปอยู่ตรงหน้าชื่อหยางกำหมัดขวา รวมสี่ดวงจิตชกไป
ชื่อหยางหรี่ตาลง แต่กลับแค่นยิ้ม พลันยกมือขวาขึ้น ปรากฏดวงตะวันดวงหนึ่งขึ้นในมือ ดวงตะวันนี้เพิ่มมาเป็นเก้าดวงในฉับพลันก่อนพุ่งตรงไปหาซูหมิง
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซูหมิงไม่หลบ เขาปล่อยให้ดวงตะวันเก้าดวงนั้นเข้ามาใกล้ จนตอนที่ปะทะ หมัดขวาเขาชกใส่หน้าอกชื่อหยาง
เมื่อชกไป ชื่อหยางโลหิตไหลมาจากมุมปาก ระหว่างที่ถอยไป ซูหมิงยังคงสีหน้าปกติ จิตสังหารเด่นชัดกว่าเดิม ก่อนไล่ตามไปทันที ตลอดทางเกิดเสียงโครมครามระหว่างสองคนตลอด ชื่อหยางถอยไปอย่างต่อเนื่อง ขณะไป๋ลู่กับเซินมู่เงียบอยู่นี้ก็พุ่งตามไป ขณะกำลังจะลงมือนั้น เสียงหัวเราะของชื่อหยางดังก้องสำนักเอกะเต๋า
“รู้สึกถึงกฏรึยัง หากเจ้ายังไม่บรรลุเทพเต๋าขั้นเก้า ก็ไม่อาจสังหารมหาเต๋าสูงศักดิ์!” ชื่อหยางถอยไปตลอด อาภรณ์อาบไปด้วยเลือด แต่พลังชีวิตยังคงเปี่ยมล้น ไม่ได้มีเค้ารางจะมอดดับแต่อย่างใด ดวงตาซูหมิงเป็นประกายวูบไหว เขาสัมผัสถึงพลังควบคุมที่ลงมาเยือนจากในฟ้าดินจริงๆ ทำให้วิชาอภินิหารของตนที่ปะทะร่างชื่อหยางถูกลดลงจนไม่อาจสังหารได้
“เปลี่ยนเทพหมาน!” จิตสังหารในดวงตาซูหมิงยังคงอยู่ ขณะเดียวกับที่กล่าว เกิดเสียงดังโครมในตัวเขา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น พลังอำนาจปะทุขึ้นอีกครั้ง รวมเปลี่ยนเทพหมานกับพลังของสี่ดวงจิตหล่อหลอมกับขั้นพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ ยามนี้กลายเป็นดรรชนีมือขวาพร้อมกับพลังทำลายล้างทุกชีวิตกดไปยังระหว่างคิ้วชื่อหยางที่กำลังหัวเราะเสียงดัง
ชื่อหยางไม่หลบ เขาจ้องซูหมิงตาเขม็ง ความแกร่งของดรรชนีนี้ทำให้เขาตกใจ กระทั่งยามนี้ยังรู้สึกถึงความตายมายือน ทว่าเขากลับทำสีหน้าเหี้ยมโหดโดยพลัน ทั้งยังมีการเย้ยเยาะ เขากำลังเยาะเย้ยซูหมิงที่คิดจะสังหารตน เห็นว่าเป็นเพียงเรื่องตลก
ดรรชนีที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วอย่างไร มีกฏอยู่ เขาชื่อหยางถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่ตาย!
เสียงแหลมเล็กดังสนั่นแก้วหู นิ้วชี้มือขวาซูหมิงฉีกมวลอากาศเข้าไปใกล้ระหว่างคิ้วชื่อหยาง ตอนนี้เองตรงหน้านิ้วมือซูหมิง…ปรากฏตาข่ายใหญ่ฟ้าดินขึ้น!
ตาข่ายนี้แทบจะโปร่งใส มันขวางระหว่างดรรชนีซูหมิงกับชื่อหยางเอาไว้
ตอนที่ 1471
ตาข่ายใหญ่แทบจะโปร่งใสนี้เปล่งแสงสว่างจ้าแสบตา กำลังขยับวูบวาบอย่างรุนแรง ขวางระหว่างซูหมิงกับชื่อหยางไว้ เหมือนกับปราการที่ยากจะข้ามผ่าน ทุกครั้งที่ขยับแสงจะลดพลังจากดรรชนีซูหมิงลง
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ตาข่ายใหญ่กึ่งโปร่งแสงก็ลดพลังจากดรรชนีซูหมิงไปเกือบแปดส่วน ชื่อหยางทำสีหน้าเย้ยเยาะ อยู่ห่างจากซูหมิงไม่ถึงหลายชุ่น แต่กลับเหมือนอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน
ไป๋ลู่กับเซินมู่ก็ไม่เข้ามาใกล้อีก แต่มองซูหมิงอย่างเย็นชา ในมุมมองพวกเขา องค์ชายสามตรงหน้าแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ เป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์หมายเลขหนึ่งจริงๆ และก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเว้นแต่เทพเต๋าขั้นเก้าในแคว้นกู่จั้งจริงๆ
ทว่า…ที่นี่คือแคว้นกู่จั้ง มีกฏของมหาจักรพรรดิกู่จั้งอยู่ กฏนี้ไม่อนุญาตให้มหาเต๋าสูงศักดิ์สังหารกันถึงตาย ดังนั้น…ระหว่างมหาเต๋าสูงศักดิ์จึงไม่มีอันตรายใดๆ
“มีกฏมหาจักรพรรดิกู่จั้งอยู่เจ้าสังหารข้าไม่ได้!” ชื่อหยางกล่าวเรียบๆ เอาแต่ยืนตรงนั้นไม่ขยับ
ขณะซูหมิงเงียบดวงตาเป็นประกายวาวขึ้นมา
“เช่นนั้นรึ…” แทบจะเพิ่งสิ้นเสียงซูหมิง เขายกมือซ้ายขึ้นทำสัญลักษณ์มือกดบนมือขวา ขณะเดียวกันดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วเปิดออก มหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดภายในนั้นเปล่งแสงสีดำเด่นชัด แสงนี้โอบล้อมตัวซูหมิงโดยพลัน พริบตาที่แผ่ขยายออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว มหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดของเขาเผยออกมาจากในดวงตาที่สามอย่างชัดเจน ช่วงที่หลอมรวมร่างเขาและแผ่กระจายออกไปโดยรอบนั้น…เหมือนมีปราการกึ่งโปร่งใสนั้นเป็นใจกลาง ฟ้าดินฝั่งของซูหมิงจึงมืดมิด
ภาพนี้ประหนึ่งความมืดและแสงสว่างเกิดการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนยิ่ง แทบเป็นทันทีที่แบ่งออก พลังซูหมิงปะทุขึ้นอีกครั้ง
การปะทุครั้งนี้เหนือกว่าดรรชนีก่อนหน้า ทำให้นิ้วมือขวา…ทะลวงผ่านตาข่ายใหญ่กึ่งโปร่งใสกดเข้าไป ตาข่ายใหญ่นูนออกมาทันที ถูกซูหมิงกดนูนจวนจะสัมผัสถึงชื่อหยาง
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เซินมู่กับไป๋ลู่หน้าเปลี่ยนสี ชื่อหยางก็เช่นกัน แต่เขาหรี่ตาแคบลง ยังคงไม่ถอย เขาจะไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว เพราะเขามั่นใจว่ามีกฏของมหาจักรพรรดิกู่จั้งอยู่ ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายสามตรงหน้าก็ไม่มีสิทธิ์สังหารตน
แต่หากถอย เขาที่ฝึกฝนวิชาแห่งดวงชะตา หากเกิดความไม่เชื่อมั่นในกฏมหาจักรพรรดิกู่จั้ง หรือต่อให้ถอยไปโดยจิตใต้สำนักก็ยังส่งผลถึงขั้นพลังเขาเล็กน้อย
เขาเข้าใจในจุดนี้ เซินมู่กับไป๋ลู่ก็เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นสองคนจึงเพียงแค่หน้าเปลี่ยนสี แต่ไม่เข้ามาใกล้ การต่อสู้ครั้งนี้…ดูเหมือนสองฝ่ายกำลังสู้กัน แต่ความจริงแล้วนี่คือการต่อสู้ของซูหมิงกับกฏมหาจักรพรรดิกู่จั้ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแสงดำจากมหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดในตัวซูหมิงถึงทำให้เซินมู่กับไป๋ลู่เกิดความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“แสงสีดำนี่…หลังผู้เคาะเสียงวิญญาณเต๋าเก้าครั้งในอดีตบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์แล้วจะมีสีที่ต่างกัน นี่ต่างกับมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่ไม่ได้เคาะเสียงวิญญาณเต๋าถึงเก้าครั้งอย่างพวกเราอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้พวกเรามองข้ามแสงมหาเต๋าสูงศักดิ์จากตัวองค์ชายสามไป เซินมู่ เจ้าเคยเห็นแสงของมหาเต๋าสูงศักดิ์สีดำหรือไม่?” ไป๋ลู่หรี่ตาลง มองโลกสีดำที่ซูหมิงอยู่พลางถามขึ้น
นัยน์ตาเซินมู่จริงจังอยู่ก่อนแล้ว แสงดำรอบตัวซูหมิงทำให้เขาเกิดความสงสัยเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ยังไม่สงสัยมากนัก แต่ตอนนี้ความรู้สึกในใจกลับทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุข
“ข้าไม่เคยเห็นแสงดำมาก่อนจริงๆ ข้าจำแสงของมหาเต๋าสูงศักดิ์เฟิงเซียนได้ว่าเป็นสีขาว…เหตุใดในตัวองค์ชายสามถึงเป็นแสงแห่งมหาเต๋าสูงศักดิ์สีดำ…” แทบเป็นพริบตาที่เซินมู่กล่าวขึ้น พลันเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องตรงซูหมิงกับชื่อหยาง
ภายใต้เสียงดังกึกก้อง เสียงหัวเราะเยาะของชื่อหยางดังแว่วตามมา
“เจ้า เหตุใดถึงไม่สังหารข้าเสียที?” น้ำเสียงมีความยั่วยุ เย้ยเยาะ และยังมีความมั่นใจอย่างแรงกล้า
“ยุ่งยากอยู่เล็กน้อยจริงๆ” ตาข่ายใหญ่กึ่งโปร่งใสที่นูนออกมาห่างจากระหว่างคิ้วชื่อหยางเพียงหนึ่งชุ่น น้ำเสียงเรียบนิ่งจากซูหมิงดังแว่วมาจากในเงามืดที่เขาอยู่
“แต่ก็แค่ยุ่งยากเท่านั้น จะสังหารเจ้านั้นไม่ยากเลย” ชั่วขณะที่ซูหมิงกล่าวราบเรียบ เขาพลันยกเท้าขวาขึ้นเหยียบลงบนมวลอากาศข้างล่าง ฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่น เกิดเงามายาขึ้นจากใต้เท้าซูหมิง
เงามายานี้มองแวบแยกไม่ออกว่าเป็นอะไร ดูคล้ายๆ ต้นไม้ มันพุ่งจากข้างล่างซูหมิงไปยังแผ่นดินใหญ่ เมื่อตกลงพื้นแล้วแผ่นดินเกิดรอยร้าว ประหนึ่งว่าลำต้นนี้จะฝังรากลงดิน อีกทั้งเหนือซูหมิง วัตถุที่คล้ายกับลำต้นนี้ยังเจริญเติบโตขึ้นตามไป พริบตาเดียวโลกสีดำที่ซูหมิงอยู่มีวัตถุใหญ่ยักษ์คล้ายต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ยามนี้วัตถุคล้ายต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหว่าง เซินมู่กับไป๋ลู่หรี่ตาลง หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กระทั่งนัยน์ตายังฉายแววเหลือเชื่อ มีความตกใจมากกว่าตอนพบซูหมิงก่อนหน้า เหมือนว่าในมุมมองพวกเขา การปรากฏของต้นไม้ยักษ์ที่ว่าน่าเหลือเชื่อว่าการที่ซูหมิงบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์
“นะ…นี่มัน…”
“ต้นพิสูจน์เต๋า! นี่มันต้นพิสูจน์เต๋า เป็นไปได้อย่างไร!”
“มิติชั้นสามถูกทำลายแล้ว ต้นพิสูจน์เต๋าตายแล้ว เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงกู่จั้ง เหตุใดถึงมาอยู่กับองค์ชายสาม!”
“พลังเขา…พลังเขา…สมควรตาย ที่พลังเขาต่างกับมหาเต๋าสูงศักดิ์คนอื่นๆ ก็เป็นเพราะได้รับพลังจากต้นพิสูจน์เต๋า!” เซินมู่กับไป๋ลู่สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ วัตถุคล้ายต้นไม้ยักษ์ที่ปรากฏนอกตัวซูหมิงนั่นก็คือ…ต้นพิสูจน์เต๋า!
ต้นพิสูจน์เต๋ามหึมาปรากฏขึ้นรอบตัวซูหมิง ตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน รากอัดแน่นอยู่ตรงส่วนลึกของรอยร้าวแผ่นดินราวกับทะลวงผ่านไป ยอดไม้ค้ำยันฟ้าประหนึ่งแทนที่โลก กลิ่นอายพลังสุดบรรยายลงมาเยือนทั้งโลกของสำนักเอกะเต๋า
ความแกร่งของกลิ่นอายพลังนี้มีความอ้างว้าง มีกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุดอบอวลไปรอบๆ ชื่อหยางเหม่อมองต้นพิสูจน์เต๋าใหญ่ยักษ์ที่ปรากฏอย่างกะทันหันตรงหน้า ตอนนี้ความคิดขาวโพลน ตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้จนปั่นป่วนความคิด
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าตนจะได้เห็นต้นพิสูจน์เต๋าน่าตื่นตกใจนั้นในโลกของสำนักเอกะเต๋า!
พลังในร่างกายซูหมิงเดิมทีเป็นโชควาสนาที่เฮ่าเฮ่ามอบให้ พลังจากโชควาสนาที่ว่าคือร่างกาย หากไม่มีการตระหนักรู้การเติบโตช่วงที่ต้นพิสูจน์เต๋าปรับแก้พลังแห่งโลกในสองพันปีให้หลัง ซูหมิงก็คงสร้างต้นพิสูจน์เต๋าออกมาไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็มีเพียงร่างกาย แต่การตระหนักรู้นั้นคือรูปร่าง
เมื่อมีรูปร่างกับร่างกายแล้ว การปรากฏต้นพิสูจน์เต๋าต้นที่สองของทั้งจักรวาลในตัวซูหมิงจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
นี่ต่างหากคืออาวุธสังหารของซูหมิง และก็เป็นสาเหตุที่เลือกมาสำนักเอกะเต๋า กระทั่งเลือกทำลายรากฐาน
แทบเป็นช่วงที่ต้นพิสูจน์เต๋าปรากฏในฟ้าดินดำที่ซูหมิงอยู่ เมื่อความรู้สึกอ้างว้างแผ่กระจายไปรอบๆ นิ้วชี้มือขวาเขาเกิดการรวมพลังขึ้นอีกครั้ง ในสายตาเซินมู่กับไป๋ลู่ ต้นพิสูจน์เต๋าทั้งโลกสีดำนั้น…บิดเบี้ยว รวมพลังที่เหนือกว่าผู้ฝึกฌานของต้นพิสูจน์เต๋าหลอมรวมเข้าไปในดรรชนีมือขวาซูหมิง และพริบตาที่มือซูหมิงสัมผัสตาข่ายใหญ่กึ่งโปร่งใสนั้น…
ตาข่ายใหญ่นูนไปถึงขีดสุด แสงหม่นขยับวูบวาบอย่างรุนแรง ฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม ตาข่ายใหญ่ตรงหน้าชื่อหยางพลันเลือนราง เหมือนเผยใบหน้าโอหังรางๆ
ใบหน้านี้ก็คือดวงจิตไม่มอดดับของกู่จั้งที่ตอนแรกซูหมิงพบในมิติต้นพิสูจน์เต๋า เป็นใบหน้าของมหาจักรพรรดิกู่จั้ง การโจมตีสังหารครั้งนี้ได้เปลี่ยนเป็นการปะทะระหว่างต้นพิสูจน์เต๋ากับมหาจักรพรรดิกู่จั้งแล้ว
หากการปะทะครั้งนี้มหาจักรพรรดิกู่จั้งได้เปรียบ กฏยังคงอยู่ ซูหมิงก็ไม่อาจใช้พลังมหาเต๋าสูงศักดิ์สังหารมหาเต๋าสูงศักดิ์คนอื่นๆ ในแคว้นกู่จั้งได้
ขณะเดียวกันหากต้นพิสูจน์เต๋าของซูหมิงเหนือกว่า ทำลายกฏได้ เช่นนั้นจากนี้ไปเขาจะสังหารมหาเต๋าสูงศักดิ์โดยไม่สนกฏนี้ในแคว้นกู่จั้งได้!
ดวงตาชื่อหยางเกิดเส้นเลือดฝอย จ้องซูหมิงเขม็ง ตัวเขาเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์ เชื่อมั่นในเต๋าแห่งดวงชะตาของตน เชื่อมั่นในกฏของมหาจักรพรรดิกู่จั้ง ยามนี้เขายกสองมือขึ้นกดไปข้างหน้าพร้อมเปล่งเสียงคำราม
เสียงคำรามดังกึกก้อง ใบหน้ามหาจักรพรรดิกู่จั้งมาพร้อมด้วยแรงกดดันปะทะกับต้นพิสูจน์เต๋ามายาของซูหมิง ตอนนี้เองฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่น เทือกเขาทั้งสำนักเอกะเต๋าถล่มลง ผู้ฝึกฌานนับไม่ถ้วนยากจะต่อต้านจึงเป็นเถ้าธุลีสลายไป
เสียงดังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้ามหาจักรพรรดิกู่จั้งเกิดระลอกคลื่นไม่มีสิ้นสุด ต้นพิสูจน์เต๋าเป็นมายายิ่งกว่าเดิม ตอนที่การปะทะดุเดือดถึงขีดสุด ดวงตาซูหมิงขยับประกาย
มือขวาเขาพลันทะลวงผ่านใบหน้ามหาจักรพรรดิกู่จั้งที่สร้างจากกฏเข้าไปยังระหว่างคิ้วชื่อหยาง
เพียงสัมผัสเล็กน้อยแล้วก็ชักมือขวากลับ เสียงครึกโครมดังถึงขีดสุด กฏพังทลายลง ใบหน้ามหาจักรพรรดิกู่จั้งบิดเบี้ยวแตกออกเป็นชั้นๆ ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก นัยน์ตาชื่อหยางฉายแววเหลือเชื่อ ตรงระหว่างคิ้วเขาปรากฏรูหนึ่ง ไม่มีโลหิตไหล แต่เส้นเลือดปูดขึ้นบนใบหน้า ขยับยึกยือเหมือนมีกิ่งไม้เหลือคณานับยึดครองจิต จากนั้นดวงตาสองข้างถึงค่อยๆ ไร้ประกาย
จนกระทั่งร่างเขาล้มลงกับพื้น เสียพลังชีวิตทั้งหมดไป
เหตุการณ์ผันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันส่งผลให้เกิดเสียงดังสนั่นในใจเซินมู่กับไป๋ลู่ ก่อเป็นคลื่นลูกใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“กฏ…พังลงตรงหน้าเขา…”
“แสงดำ แสงดำที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นตัวแทนการทำลายล้าง เป็นตัวแทนว่านับจากนี้ไปเขาจะเมินเฉยต่อกฏกู่จั้ง!”
ตอนที่ 1472
เทพหมานปรากฏกายในกู่จั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงตาชื่อหยางไร้ประกายวาว ตัวเขาเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋า เป็นผู้แข็งแกร่งที่เรียกได้ว่าระดับสูงสุดในแคว้นกู่จั้งที่สืบทอดเต๋าแห่งดวงชะตา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะมีวันสิ้นชีพ
เขายึดถือวิชาแห่งดวงชะตา อีกทั้งด้วยความยิ่งใหญ่แห่งดวงชะตาสำนักเอกะเต๋ารวมถึงดวงชะตาของตนจึงไม่มีทางบาดเจ็บถึงชีวิต ดังนั้นแม้ชื่อหยางจะสนใจที่ซูหมิงมาที่นี่ แต่ก็ไม่เกิดความรู้สึกถึงอันตรายเป็นตาย
เขาเชื่อดวงชะตา และเชื่อโชคชะตายิ่งกว่า เขาคิดว่าตนไม่มีอันตรายถึงชีวิต และยังเชื่อดวงชะตารวมถึงกฏของมหาจักรพรรดิกู่จั้งว่าไม่มีใครทำลายได้
ความเชื่อนี้สิ้นสุดที่หนึ่งเค่อก่อนหน้า สิ้นสุดที่ดรรชนีมือขวาซูหมิงทำลายกฏของมหาจักรพรรดิกู่จั้ง ทะลวงผ่านตาข่ายใหญ่กึ่งมายาเข้ามากดที่ระหว่างคิ้วตน
สุดท้ายแล้วดรรชนีนี้ทำลายมวลอากาศ เมินเฉยต่อกฏ ประหนึ่งข้ามผ่านเวลามากดที่ระหว่างคิ้วชื่อหยาง พริบตานี้เองกิ่งไม้ต้นพิสูจน์เต๋าภายในนิ้วมือซูหมิงมุดเข้าไปในร่างชื่อหยางแล้วลุกลามไปทันที ตอนที่ซูหมิงดึงมือขวากลับ ร่างชื่อหยางดูปกติ แต่ความจริงแล้วภายในร่างกายอัดแน่นไปด้วยกิ่งไม้นับไม่ถ้วน จิตเต๋าสลายหายไป
ตอนนี้มหาเต๋าสูงศุกดิ์หนึ่งยุคสิ้นชีพลง ร่างเขาล้มลงกับพื้น ดวงตาไร้ประกายวาว เหมือนซ่อนความไม่ยอมไว้ลึกๆ เพียงแต่ตรงส่วนลึกของความไม่ยอมนั้นยังมีความเหลือเชื่อก่อนตาย
เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ เพราะตั้งแต่โบราณจนมาถึงตอนนี้ พูดได้ว่าเขาเป็นคนแรกที่ถูกมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่ไม่ใช่เทพเต๋าขั้นเก้าสังหาร ความตายนี้ทำลายกฏของกู่จั้ง มิหนำซ้ำในมุมมองเซินมู่กับไป๋ลู่ นี่เท่ากับสั่นคลอนดวงชะตาของแคว้นกู่จั้ง
การสั่นคลอนทำให้ช่วงที่เซินมู่กับไป๋ลู่เห็นชื่อหยางสิ้นชีพ ในใจสองคนเกิดเสียงดังสนั่น หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง สี่ดวงตาหรี่แคบลง มองซูหมิงด้วยความจริงจังมากกว่าก่อนหน้า
ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง หมุนตัวกลับมามองไป๋ลู่ด้วยแววตาเย็นชาและคมกริบ
“ต่อไปเป็นเจ้า” พูดจบไป๋ลู่ใจเต้นระรัว ความรู้สึกมรณะอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนพลันลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจอย่างรุนแรง เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้น เขาถอยหนีไปอย่างไม่ลังเล ทั้งยังยกมือขวาโบกไปข้างหน้า กลองสงครามยักษ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าในฉับพลัน
กลองสงครามเป็นสีม่วงอมดำทุกส่วน เพิ่งปรากฏก็แผ่กลิ่นอายผ่านโลกมาเนิ่นนานกับพลังอำนาจสะเทือนฟ้า ความรู้สึกประหนึ่งกดดันฟ้าดินอบอวลในโลกของสำนักเอกะเต๋า
แทบเป็นขณะเดียวกับที่เรียกกลองสงคราม ไป๋ลู่พูดกับเซินมู่อย่างรีบร้อนด้วยความตึงเครียด
“เซินมู่ หากพวกเราสองคนยังไม่ลงมืออย่างสุดกำลัง วันนี้จะเป็นภัยของพวกเรา!”
สิ้นเสียง ฝ่ามือขวาไป๋ลู่ตบเข้าที่กลองสงครามยักษ์อย่างไม่ลังเล เสียงดังสนั่นกึกก้องไปรอบๆ ศิษย์สำนักเอกะเต๋าข้างล่างต่างมีใบหน้าเป็นสีเลือด พากันนั่งขัดสมาธิลง ไม่ว่าใครก็นั่งขัดสมาธิ ก่อนมีเส้นเล็กโลหิตลอยมาจากกลางกระหม่อมทีละเส้น!
นี่ต่างหากคืออภินิหารแท้จริงของไป๋ลู่ วิชาเขาเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย ทว่าส่วนสำคัญก็ยังอยู่ที่ดวงชะตา เมื่อวิชาแห่งดวงชะตาอยู่ในมือเขา เขาจะหมุนโคจรดวงชะตาของผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าทุกคนได้ เส้นเล็กสีแดงนั้นเหมือนกับชะตาชีวิตทุกคน ช่วงที่อัดแน่นอยู่จำนวนมาก ไป๋ลู่กลางอากาศประสานมุทราด้วยสองมือแล้วชี้ไป เส้นเหล่านั้นพลันรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นร่างเงาสีโลหิต
ในร่างเงานั้นแผ่กระกายพลังน่าสะพรึงประหนึ่งว่าเป็นร่างแยกของไป๋ลู่ ซึ่งเขาควบคุมได้ตามอำเภอใจ ยามนี้ร่างเงานั้นเงยหน้าขึ้น แสงสว่างทั่วร่างขยายไปหมื่นจั้ง ก่อนกลายเป็นร่างเงาสีโลหิตพุ่งไปหาซูหมิง
ขณะเดียวกันนัยน์ตาเซินมู่ฉายแววยึดมั่น ความจริงช่วงที่ชื่อหยางสิ้นชีพลง ภยันตรายในตอนนี้ได้ลอยขึ้นมาในใจเขาอย่างเด่นชัดแล้ว ตอนนี้พูดได้ว่าอยู่ในช่วงเวลาเป็นตาย หากเขากับไป๋ลู่รับมือกับซูหมิงไม่ได้ เช่นนั้นวันนี้เขาสองคนจะต้องมีจุดจบเดียวกันชื่อหยางแน่
ฝึกฝนมาหลายปี แต่นับจากนี้ต้องหายไป พลังของมหาเต๋าสูงศักดิ์หายไปนับจากนี้ ชีวิตมัวหมองลง ไม่อยู่ในโลกอีก เขารับเรื่องนี้ไม่ได้ แทบเป็นขณะเดียวกับที่ร่างเงาสีโลหิตพุ่งไปหาซูหมิง เซินมู่สูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือขวากดหน้าผาก
“ฝึกฝนมาหลายสิบยุค กลายเป็นวัฏจักรร้อยโลก…เปิด…พลังแห่งวัฏจักรสามสิบโลก!” เซินมู่กล่าวเสียงดังกังวาน ทันใดนั้นเองเกิดเสียงดังสนั่นในตัวเขา ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก ปรากฏเงามายายี่สิบเก้าร่างรอบตัวเขา
ร่างเงาเหล่านี้มีบุรุษและสตรี แม้หน้าตาต่างกัน แต่ในมุมมองผู้ฝึกฌานยอดฝีมือ วิญญาณพวกเขาเหมือนกัน เหล่านี้คือเซินมู่ทั้งหมด!
นั่นคือเซินมู่ที่ฝึกฝนเต๋าแห่งดวงชะตาที่เขามีโดยเฉพาะมาไม่รู้กี่ปี จนเดินออกมาจากเส้นทางของตัวเอง นั่นคือ…เส้นทางแห่งวัฏจักร!
วัฏจักรร้อยโลกถูกเขาควบคุมไว้หลายต่อหลายครั้งจนกลายเป็นผนึกพันธนาการตัวเอง ตอนนี้เขาปลดออกสามส่วน จะปลดผนึกทั้งหมดไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาต้องเจอกับภัยจิตใจปั่นป่วน ทำได้เพียงค่อยๆ เปิดออก ตอนนี้เปิดครั้งเดียวสามส่วน นั่นคือขีดจำกัดในเวลาสั้นๆ แล้ว
เงามายาทั้งหมดสามสิบร่างรวมตัวเขาอยู่กันอย่างเนืองแน่น ยามนี้เองกลิ่นอายพลังมหาศาลจากตัวเซินมู่สั่นสะเทือนฟ้าดิน
กระทั่งเขาขยับตัวยังเหมือนสามสิบคนเดินหน้าพร้อมกัน พุ่งตรงไปหาซูหมิงโดยทันที วนล้อมรอบซูหมิงคล้ายๆ วงแหวนอาคม
“วัฏจักรสามสิบโลก หวนคิดอดีต…ผ่านโลกมาเนิ่นนานไม่มีสิ้นสุด!” เซินมู่กล่าวขึ้นยังเหมือนสามสิบคนพูดขึ้นพร้อมกัน เสียงรวมกัน ไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกเป็นคลื่นเสียงเท่านั้น แต่กลับคลับคล้ายการพึมพำ ยามนี้ดังก้องกังวานรวมขึ้นเป็นวงแหวนอาคมน้ำวนแห่งวัฏจักร
ภายในวงแหวนอาคมคือซูหมิง และยังมีร่างเงาสายรุ้งยาวสีโลหิตที่พุ่งตรงไปหาซูหมิง ถึงขั้นนอกวงแหวนอาคมวัฏจักรนี้ เมื่อไป๋ลู่ใช้วิชาก็มีร่างเงาสีโลหิตที่รวมจากเส้นเลือดดวงชะตาศิษย์สำนักเอกะเต๋าอีกสามร่างปรากฏกายขึ้น จากนั้นพุ่งไปหาซูหมิงราวกับข้ามผ่านมวลอากาศ
ซูหมิงมองทุกอย่างด้วยสีหน้าราบเรียบ แววตาเฉยชา ระหว่างที่วงแหวนอาคมวัฏจักรหมุนโคจรรวมถึงร่างเงาสีโลหิตพุ่งเข้ามา เขาหลับตาลง
ขณะเดียวกับที่หลับตา ภายในใจเขาลอยขึ้นมาเป็นแผ่นดินหมาน ลอยขึ้นมาเป็น…เพลงเทพหมานบทนั้น
เมื่อซูหมิงลืมตาขึ้น เขาอ้าปากเปล่งเสียงคำรามแห่งเทพหมาน!
อ๊าก!
ภายใต้เสียงคำรามสุดบรรยาย พลังอำนาจสะเทือนฟ้าแผ่มาจากตัวเขา ระลอกคลื่นพลันหมุนม้วนไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าเกิดการถล่มลงของมิติหลังเสียงดังสนั่นถึงขีดสุด!
ขณะถล่มลง ข้างหลังซูหมิง…ปรากฏแผ่นดินหมานลักษณะมายาขึ้น!
ตอนที่ 1473
ไป๋ลู่สิ้นชีพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงคำรามเทพหมาน!
แผ่นดินหมานมีเทพหมาน เสียงคำรามแห่งเทพหมานสะเทือนทุกสารทิศ แต่ตอนนี้เสียงคำรามเทพหมานจากซูหมิงเป็นเสียงที่รุนแรงที่สุดในเทพหมานทั้งปวงในอดีตตั้งแต่โบราณมา เพราะว่าซูหมิงไม่ได้เป็นเพียงเทพหมานรุ่นสี่ แต่ยังเป็นเทพหมานที่แข็งแกร่งที่สุด!
ยามนี้ระลอกคลื่นกระเพื่อม ปรากฏโลกของเผ่าหมานข้างหลังซูหมิง แม้โลกนี้จะเป็นมายา แต่กลับมีกลิ่นอายเผ่าหมานเข้มข้น พริบตานี้เหมือนมาเยือนแคว้นกู่จั้ง แผ่ขยายไปโดยรอบ เสียงคำรามซูหมิงก่อเป็นระเบิดเสียงดังปุงปังไปรอบๆ ตอนนี้เองร่างเงาสีโลหิตที่รวมจากอภินิหารของไป๋ลู่หลายร่างนั้นได้รับผลไปก่อนเต็มๆ แทบเป็นทันทีที่พวกเขาเข้ามาใกล้ซูหมิงก็ถูกเสียงคำรามแห่งเทพหมานถาโถมใส่
เสียงครึกโครมดังสะเทือนฟ้าดิน เสียงคำรามเทพหมานจากซูหมิงไม่เพียงแต่สร้างแผ่นดินหมานมายาเท่านั้น แต่บนแผ่นดินหมานเลือนรางยังเหมือนมีวิญญาณเผ่าหมานไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้เองพวกเขาต่างคำรามตามเทพหมานของพวกเขาพร้อมกัน
แผ่นดินสำนักเอกะเต๋าถล่มลง รูปปั้นยักษ์สามรูปไกลๆ หนึ่งในนั้นเกิดรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงวูบเดียวแหลกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางเสียงครึกโครม ทำให้สามรูปปั้นใหญ่แห่งสำนักเอกะเต๋าที่ตั้งตระหง่านมาไม่รู้กี่ปีเหลือเพียงสองรูปนับจากนี้!
เมื่อรูปปั้นพังลง เศษของแผ่นดินเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด มวลอากาศบนฟ้าเกิดรอยร้าวทีละสาย เหมือนว่าโลกสำนักเอกะเต๋าถึงวันสิ้นโลก
ร่างเงาสีโลหิตเหล่านั้นเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งถูกพายุคลั่งถาโถม ก่อนแหลกสลายไปต่อหน้าซูหมิง ต่อมาวัฏจักรสามสิบโลกที่เซินมู่รวมขึ้นพังทลายลงภายใต้เสียงคำรามของซูหมิงเช่นกัน
มองไกลๆ มวลอากาศที่ซูหมิงอยู่เหมือนกลายเป็นหลุมดำยักษ์ เพียงแต่หลุมดำไม่ได้แผ่แรงดูด แต่เป็นแรงปะทะระเบิด แทบเป็นขณะเดียวกับที่แรงปะทะขยายออกไปโดยรอบ ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว หนึ่งเท้าเหยียบลง ร่างเงาเขาเดินออกมาจากหลุมดำระเบิด เมื่อเดินก้าวที่สอง เขามาอยู่ตรงหน้าไป๋ลู่ซึ่งอยู่ไกลๆ แล้ว
ช่วงที่ซูหมิงปรากฏกาย ไป๋ลู่หน้าเปลี่ยนสี ยกมือขวาขึ้นชกใส่กลองสงครามยักษ์อย่างไม่ลังเล เสียงดังกึกก้อง กลางกระหม่อมศิษย์สำนักเอกะเต๋าทุกคนข้างล่างพลันมีเส้นเลือดลอยออกมามากกว่าเดิม
“เต๋าดวงชะตาทุกชีวิต!” เสียงตะโกนไป๋ลู่คล้ายว่ามีกฏบางอย่าง แทบเป็นช่วงที่ตะโกนไป เส้นเลือดเหล่านั้นจากข้างล่างลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน ชั่ววูบเดียวก็มาปรากฏรอบตัวซูหมิง ชั่วขณะที่เส้นเลือดเหล่านี้ไหลเวียน แต่ละเส้นเชื่อมเข้าด้วยกัน มองไกลๆ รวมเป็นโซ่พันรอบซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เขาเดินก้าวที่สาม ร่างกายปะทะกับเส้นเลือดนั้นโดยตรง ท่ามกลางเสียงอึกทึกดังกังวานอีกครั้ง เส้นเลือดเหล่านั้นพังทลาย ไม่อาจขวางซูหมิงได้แม้แต่น้อย ทำให้ซูหมิงเดินก้าวที่สามแล้วมาอยู่ห่างจากกลองสงครามที่ไป๋ลู่ยืนอยู่ไม่ถึงสิบจั้ง!
สามเก้าประหนึ่งเหยียบฟ้า ด้วยความเร็วขนาดนี้ทำให้เซินมู่เข้ามาช่วยไม่ทัน อีกทั้งพลังอำนาจในตัวซูหมิงตอนนี้ยังคล้ายว่ามาแทนที่ฟ้า กลายเป็นดวงจิตและผู้ปกครองโลก เมื่อเขาเคลื่อนไหว ฟ้าดินจะสั่นคลอน!
ไม่มีคำพูดมากความใดๆ ขณะเดียวกับที่ซูหมิงมาปรากฏห่างจากกลองสงครามที่ไป๋ลู่อยู่ไม่ถึงสิบจั้ง เขายกมือขวาชี้ไปข้างหน้า ดรรชนีนี้รวมสี่ดวงจิตใหญ่ รวมพลังทั้งหมด และยังรวมพลังไร้ที่สิ้นสุดของต้นพิสูจน์เต๋าในตัวเขา
เหมือนกับดรรชนีนั้นที่สังหารชื่อหยางก่อนหน้า ยามนี้ใช้อีกครั้งทำให้เกิดเสียงดังอึกทึกในใจไป๋ลู่ ดวงตาหรี่ลง ภายในใจถูกภยันตรายร้ายแรงปกคลุมในใจ
“เต๋าหนึ่งดวงชะตาทุกชีวิต!” ไป๋ลู่หรี่ตาแคบลง เส้นผมปลิวไสวเองแม้ไร้ลม สองมือประสานมุทรากดไปยังกลองสงคราม กลองสงครามหมุนโคจรกลางอากาศ ตอนที่ตั้งขึ้นยังส่งเสียงโครมคราม ท่ามกลางเสียงดังกังวานยังเกิดระลอกคลื่นขึ้น ระลอกคลื่นนี้ปรากฏแล้วพลันกลายเป็นสีโลหิต ประหนึ่งจะย้อมโลกให้กลายเป็นทะเลโลหิต
ขณะเดียวกันเสียงไป๋ลู่ดังก้องฟ้าดินอีกครั้ง
“ทุกชีวิตมีโทษ เมื่อชีวิตตกต่ำในทะเลโลหิต ไม่อาจชะล้างกรรมชั่วแห่งการสังหาร ก็ควรจะฝังร่างไปพร้อมกับทะเลโลหิต ตราบชั่วนิจนิรันดร์ ตกอยู่ในความทุกข์ยากไม่หลุดพ้น!” ดวงตาไป๋ลู่ขยับประกายพิลึกหลายครั้ง ขณะเดียวกับที่เอ่ย หลังกำหมัดขวาชกใส่กลองสงครามแล้ว นัยน์ตาเกิดเส้นเลือดขึ้นจำนวนมาก เหมือนตัวเขาตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งบางอย่าง
“แตก!” แทบเป็นทันทีที่สิ้นเสียง กลองสงครามนั้นเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น มันพังลงบนฟ้าแหลกเป็นชิ้นๆ ทั้งโลกเกิดการเปลี่ยนขึ้นอย่างรุนแรง ท้องฟ้ากลายเป็นสีโลหิต แผ่นดินหายไปเป็นทะเลโลหิต
ทะเลโลหิตไร้ที่สิ้นสุด ระหว่างคลื่นหมุนม้วนยังเหมือนจะกินผืนฟ้า เมื่อฟ้าสีโลหิตกับทะเลสีโลหิตมาแทนที่ฟ้าดินก่อนหน้านี้แล้วยังผนึกซูหมิงเอาไว้ภายใน
ทะเลโลหิตส่งเสียงอึกทึก คลื่นโลหิตสูงขึ้นฟ้า ทั้งยังมีฝนโลหิตตกลงมา ทั้งโลกนอกจากสีโลหิตแล้วไม่มีสีสันอื่นๆ อีก ต่อมาผิวทะเลโลหิตเกิดน้ำวนขึ้น ภายใต้การหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ทั้งมหาสมุทรลอยขึ้นสูง เหมือนว่าตอนนี้ถูกเพิ่มมาจำนวนมาก ส่งผลให้ทะเลแห่งนี้…กำลังเข้าใกล้ฟ้าไปเรื่อยๆ
พลังมหาศาลอบอวลแผ่นดิน กลายเป็นน้ำวน กลายเป็นผืนฟ้า กลายเป็นทะเลโลหิต เวลานี้รวมเข้าด้วยกันบีบเข้าไปหาซูหมิง
มิหนำซ้ำในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ผิวทะเลเกิดน้ำวน แม้แต่ฟ้าสีโลหิตยังเกิดน้ำวนเช่นกัน หลังปรากฏน้ำวนสองแห่งนี้แล้วยังเหมือนถูกมังกรสูบน้ำ ฟ้าทะเลเชื่อมกันเป็นพายุคลั่ง!
พายุคลั่งน้ำวนส่งเสียงสะเทือนฟ้าดิน ม้วนยกทะเลโลหิตขึ้นสูง สูบฝนสีโลหิตนับไม่ถ้วนเข้ามา ส่งผลให้เพียงไม่กี่ลมหายใจพลังอำนาจเขาประหนึ่งมาแทนที่ฟ้าและทะเลโลหิต กลายเป็นมากมายมหาศาลพุ่งไปหาซูหมิง เข้าไปใกล้พร้อมกับพลังอำนาจทำลายล้างทุกชีวิต
ซูหมิงมองฟ้าสีโลหิตที่มาแทนที่ตรงหน้า มองทะเลโลหิตข้างล่างกับพายุหมุนที่เกิดจากการเชื่อมกับกลางฟ้า เขายังคงสีหน้าปกติ ไม่ถอย แต่ช่วงที่เดินหน้าหนึ่งก้าว เขายกมือขวาชี้ขึ้นฟ้า มือซ้ายกดลงแผ่นดิน
ดวงตาสองข้างปิดลงเล็กน้อย เส้นผมยาวปลิวไสวเองแม้ไร้ลม ตอนนี้เองพายุหมุนฟ้าทะเลนั้นออกเป็นสีโลหิตไร้ที่สิ้นสุด โถมเข้ามาด้วยเสียงอึกทึก มองไกลๆ พายุหมุนฟ้าทะเลนี้เหมือนกับคนยักษ์โบราณ แต่ซูหมิงตรงหน้ามันเป็นดั่งมดปลวกเล็กจ้อย
ทว่าพริบตาที่พายุหมุนฟ้าทะเลนั้นโจมตีซูหมิงหมายจะเขมือบเขาไว้ในพายุหมุนนั้น ซูหมิงลืมตาขึ้น มือขวากดลง มือซ้ายยกขึ้นแล้วยืดไปข้างหน้า ราวกับว่าจะเข้าไปในพายุหมุนมหึมาตรงหน้า
ระหว่างที่ดวงตาเขาขยับประกายวาว เขาใช้สองมือฉีกกลางพายุหมุนออกไปสองข้าง ฉีกมวลอากาศประหนึ่งฉีกดวงชะตา การฉีกครั้งนี้ส่งเสียงดังสนั่นฟ้าดิน พายุฟ้าทะเลมหึมา…ส่งเสียงดังเลือนลั่น ถูกซูหมิงฉีกออกตรงหน้า พายุหมุนนั้นแยกออกเป็นสองส่วนท่ามกลางเสียงครึกโครม!
เมื่อพายุหมุนถูกฉีก ฟ้าก็พังทลายลงเช่นกัน ทะเลโลหิตแหลกสลาย ทั้งโลกพังลงด้วยสองมือฉีกของซูหมิง!
เมื่อโลกพังพินาศลง เมื่อสีโลหิตถอดสี ซูหมิงยังคงอยู่ในสำนักเอกะเต๋า รอบกายเป็นเศษกลองสงครามแตกหัก และยังมีไป๋ลู่ที่ตอนนี้อยู่นอกเศษเหล่านั้น กำลังกระอักเลือดถอยไป นัยน์ตาฉายแววมืดทะมึน
โลกสีโลหิตก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วเป็นอภินิหารที่เกิดขึ้นจากกลองสงคราม ตอนนี้เมื่อวิชาสลายไป ซูหมิงจึงเดินหน้าอีกก้าวอย่างไม่ลังเล มุ่งมาพร้อมกับจิตสังหารไป๋ลู่ที่ไม่ลดน้อยลงเลย พริบตาเดียวเขาทะลวงผ่านพื้นที่กลองสงครามแตกมาปรากฏตรงหน้าไป๋ลู่ ดรรชนีมือขวาพลันเข้ามาใกล้ กดไปยังระหว่างคิ้วไป๋ลู่ที่ตอนนี้หน้าซีดขาว
“ดวงชะตาเอกะเต๋ามา!” ไป๋ลู่ห้อเหยียดถอยไปพลางพูดเสียงแหลมเล็ก ยามนี้คือช่วยเวลาเป็นตาย นอกจากความปลอดภัยของตนแล้ว เขาไม่สนใจชะตาชีวิตคนอื่นแม้แต่น้อย
สิ้นเสียง เซินมู่ที่กำลังเข้ามาช่วยอย่างเร็วไวพลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเศร้าโศก ก่อนมองไปยังแผ่นดินข้างล่าง ยามที่มองไปศิษย์สำนักเอกะเต๋าข้างล่างมีผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนเกือบๆ สามส่วนตัวสั่นไปทั่วร่าง ร่างกายแห้งเหี่ยวลง มีเพียงตรงกลางกระหม่อมที่เมื่อร่างแห้งเหี่ยวแล้วจะมีเส้นเลือดที่เข้มข้นกว่าเดิมผุดออกมา!
หลังจากพวกเขาสิ้นชีพ ก็มีรูปปั้นสีโลหิตยักษ์รวมขึ้นตรงหน้าไป๋ลู่ รูปปั้นนี้ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างซูหมิงกับไป๋ลู่ กลายเป็นปราการหมายจะขวางดรรชนีของซูหมิง
“แหลก!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ช่วงที่ดรรชนีมือขวาสัมผัสกับรูปปั้นสีโลหิต รูปปั้นพังลงเป็นเสี่ยงๆ แต่พริบตาที่รูปปั้นพังลง ในศิษย์สำนักเอกะเต๋าข้างล่างมีอีกสามส่วนแห้งเหี่ยวลง ส่งเสียงร้องโหยหวน เส้นเลือดจำนวนมากที่ผุดขึ้นรวมเป็นรูปปั้นที่สองตรงหน้าซูหมิง
“ไป๋ลู่เจ้าจะทำอะไร!” เซินมู่น้ำตาไหลเป็นประกายแสงโลหิต หันไปมองไป๋ลู่โดยพลัน
“ข้าอยู่ สำนักเอกะเต๋าอยู่ พวกเขาตายเพื่อข้า นี่คือชะตาชีวิตพวกเขา!” ไป๋ลู่เผยสีหน้าคลุ้มคลั่ง ท่ามกลางเสียงดังกังวาน ศิษย์สำนักเอกะเต๋าที่เหลืออยู่ข้างล่างไม่ว่าขั้นพลังใดล้วนแห้งเหี่ยวลง ระหว่างที่เสียงร้องโหยหวนดังสะเทือนฟ้า รูปปั้นที่สามรวมขึ้นตรงหน้าซูหมิง พร้อมกันนั้นไป๋ลู่ที่ใช้สองรูปปั้นเป็นปราการเส้นผมยุ่งเหยิง คำรามเสียงต่ำ ร่างกลายเป็นหมอกมายาเหมือนไม่มีกายเนื้อพุ่งไปหาซูหมิง
“เจ้าจะสังหารข้า เช่นนั้นวันนี้…หากเจ้าไม่ตาย ข้าก็รอด!” เสียงไป๋ลู่ดังก้อง เขาปะทุพลังขึ้น ทั้งโลกเหมือนกับภาพหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงครึกโครมดังสนั่น
ช่วงที่เสียงค่อยๆ เบาลง เมื่อภาพไม่หยุดนิ่งอีก มือขวาซูหมิงสัมผัสรูปปั้นที่สองแล้ว หลังรูปปั้นที่สองพังลง ก็ทะลวงผ่านรูปปั้นที่สาม กดไปยังมวลอากาศ
ดรรชนีกดลง ตรงจุดที่กดมวลอากาศค่อยๆ เกิดหมอกขึ้น หมอกนั้นรวมเป็นร่างเงาคนช้าๆ นั่นคือไป๋ลู่ นัยน์ตาเขาฉายแววไม่ยอม ตรงระหว่างคิ้วเป็นดรรชนีซูหมิงที่ทะลวงผ่าน
ตอนที่ 1474
ชะตากรรมเอกะเต๋าสิ้นสุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไป๋ลู่สิ้นชีพ จิตเต๋าสลายไปเหมือนกับชื่อหยาง จากนี้ไม่มีเขาอีก เมื่อนัยน์ตาไป๋ลู่ไร้ประกายวาว ตอนนี้สองรูปปั้นที่ยังเหลือในสำนักเอกะเต๋าพังลงอีกหนึ่งรูป ทั้งโลกสั่นสะเทือน แม้แต่ศิษย์สำนักเอกะเต๋าข้างล่างส่วนใหญ่ยังร่างแหลกสลายไปตามแผ่นดินสั่นสะเทือน
เดิมทีพวกเขาถูกไป๋ลู่ชิงวิญญาณกับดวงชะตาไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงร่างกาย เมื่อแผ่นดินสั่นสะเทือนจึงกลายเป็นเถ้าธุลีสลายไป ทั้งสำนักเอกะเต๋าตอนนี้…เหลือเพียงเซินมู่
เซินมู่ยืนอยู่กลางอากาศโดดเดียว มองทุกอย่างรอบตัวเงียบๆ ด้วยสีหน้าเศร้าโศก ทั้งยังมีความจำใจจากใจจริง ความแกร่งของซูหมิง การสังหารชื่อหยางและไป๋ลู่ติดต่อกัน สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่าซูหมิงเป็นหมายเลขหนึ่งที่เป็นรองเพียงเทพเต๋าขั้นเก้าอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นคือความแกร่งที่เมินเฉยต่อกฏมหาจักรพรรดิ การสังหารมหาเต๋าสูงศักดิ์ด้วยกันแบบนี้ทำให้เซินมู่ได้แต่ขมขื่น
‘สำนักเอกะเต๋าพบกับภัยครั้งนี้…นี่คือชะตากรรม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แซ่เซินมีชีวิตอยู่จะมีประโยชน์อะไร!’ เซินมู่ฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าวพลางมองซูหมิงกลางอากาศ ก่อนยกมือขวาทำสัญลักษณ์มือกดระหว่างคิ้วตัวเอง ร่างกายเขาพลันเกิดเสียงดังครึกโครม มวลอากาศรอบๆ บิดเบี้ยว ปรากฏร่างเงาชายหญิงเกือบร้อยขึ้น ร่างเงาเหล่านี้ก็คือวัฏจักรร้อยโลกของเขา
ครั้งนี้เซินมู่ปล่อยวัฏจักรร้อยโลกออกมาทั้งหมด วนเวียนรอบตัวเหมือนกับร่างแยก ยามที่มองไป ทุกร่างวัฏจักรมีสีหน้าต่างกัน
ร่างเงาวัฏจักรเหล่านี้เปลี่ยนจากเลือนรางเป็นชัดเจนรอบตัวเซินมู่ จากชัดเจนเป็นสมจริงดั่งมีชีวิต วนเวียนอยู่รอบๆ หลังนัยน์ตาเซินมู่ฉายแววเศร้าโศกเข้มข้นแล้ว ทั้งตัวเขาก็กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งทะยานไปหาซูหมิง
ร่างเงาร้อยร่างข้างกายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปหาซูหมิงเช่นกัน
ในตัวเซินมู่มีการแสวงหาความตาย เขาเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋า สำนักเอกะเต๋าเป็นเช่นนี้แล้วจึงเป็นอย่างที่เขาว่าไว้ เขามีชีวิตอยู่คนเดียวจะมีประโยชน์อะไร เขาไม่อยากอยู่คนเดียว และก็รู้ด้วยว่า…ซูหมิงไม่ปล่อยตนไปแน่
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ขอตายไปพร้อมกับสำนัก ถึงจะสิ้นชีพ ถึงจิตเต๋าจะสลายไป ก็ยังได้อยู่กับสำนักในยมโลก เซินมู่พร้อมกับร่างเงาร้อยโลกจึงตรงไปหาซูหมิงพร้อมกับการแสวงหาความตาย
ยามนี้เข้ามาใกล้ซูหมิงแล้ว ซูหมิงยกมือขวาขึ้นเนิบๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แสงดำเปล่งวาบจากดวงตาที่สาม รวมอยู่ที่มือขวา ทำให้มือขวาค่อยๆ เปล่งแสงหม่นสว่างจ้า ภายในแสงหม่นนั้นแฝงไว้ด้วยพลังน่าสะพรึงที่ทำลายกฏมหาจักรพรรดิได้
ซูหมิงมองออกว่าเซินมู่แสวงหาความตาย ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกเช่นนี้เขาก็จะสนับสนุนเต็มที่ ใจที่เขาอยากทำลายล้างสำนักเอกะเต๋านี้มีน้อยเรื่องมากที่จะเปลี่ยนมันได้ ทว่าทันทีที่เขายกมือขวาขึ้น ดวงตาพลันจริงจัง มองไปยังหนึ่งในร่างเงาร้อยโลกที่วนเวียนรอบตัวเซินมู่
นั่นเป็นชายคนหนึ่ง ชายดั่งดอกไม้ หน้าตาหล่อเหลา ทว่ากลับมีความยึดมั่นแน่วแน่ นั่นคือ…ศิษย์พี่รอง
มีน้อยเรื่องมากที่จะเปลี่ยนใจที่อยากจะทำลายล้างสำนักเอกะเต๋าได้ ทว่า…ศิษย์พี่รองคือหนึ่งในนั้น! แทบเป็นพริบตาที่เห็นร่างหนึ่งในร้อยวัฏจักรโลกชัดเจน ในใจซูหมิงลอยขึ้นมาเป็นความทรงจำในอดีต
ตอนนี้ความทรงจำเกี่ยวกับศิษย์พี่รองวูบผ่านในความคิด ซูหมิงเงียบ เขาเพ่งมองร่างเงาศิษย์พี่รอง สุดท้ายก็มองเซินมู่ เซินมู่ภายในดวงตาซูหมิงเหมือนหลอมรวมกับศิษย์พี่รองกลายเป็นคนเดียวกัน
ซูหมิงถอนหายใจเบา แสงหม่นในมือขวาอ่อนแสงลงจนกระทั่งเขาลดมือขวาลง ยกเลิกอภินิหาร จากนั้นหมุนตัวกลับเดินไกลออกไป
เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว สายรุ้งยาวจากเซินมู่กับร่างเงาร้อยวัฏจักรโลกพุ่งลงมายังจุดที่ซูหมิงอยู่ก่อนหน้า มวลอากาศสั่นสะเทือน มิติสั่นไหว เกิดระลอกคลื่นกระเพื่อม เซินมู่พลันเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงที่กำลังเดินไกลออกไปช้าๆ
“เพราะเหตุใด!” เซินมู่กล่าวเสียงแหลมเล็ก เขาหาเหตุผลที่ซูหมิงไม่ลงมือกับตนไม่พบ ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายบอกว่าครั้งนี้จะทำลายล้างสำนักเอกะเต๋า แล้วตนก็เป็นหนึ่งในสามมหาเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋า เห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องสังหารตน
ทว่าตอนนี้มือขวาที่อีกฝ่ายชูขึ้นก่อนหน้าซ้ำยังรวมอภินิหารแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพอเพ่งมองตนแล้วถอนหายใจเบา ก่อนหยุดมือแล้วจากไป เซินมู่ไม่เข้าใจ
“เพราะเหตุใด!” เซินมู่ถามอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ถาม แต่เป็นร่างวัฏจักรร้อยโลกกล่าวขึ้นพร้อมกัน เสียงก่อเป็นคลื่นเสียงดังก้องกังวาน ซ้ำยังเข้าไปถึงหูซูหมิง
ซูหมิงไม่สนใจเสียงเซินมู่ราวกับไม่ได้ยิน แต่…ซูหมิงได้ยินเสียงศิษย์พี่รองภายในคลื่นเสียงนี้ เสียงดังกึกก้องทำให้เขาหยุดชะงักครู่หนึ่ง
“เพราะเจ้าคืออดีตที่ข้าไม่อยากตัด” เสียงซูหมิงดังก้อง แฝงไว้ด้วยความห่อเหี่ยว และยังมีความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนานที่มากกว่า ร่างเงาเขาค่อยๆ เดินไกลออกไปท่ามกลางเสียงดังกังวานจนหายไปในโลกสำนักเอกะเต๋า
เซินมู่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น เสียงซูหมิงเหมือนยังดังก้องข้างหู เพียงแต่คำพูดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนี้ทำให้เซินมู่เกิดความสับสน เดิมทีเขาควรจะไม่เข้าใจ แต่หลังได้ยินคำพูดซูหมิงแล้วก็เหมือนจะเข้าใจอยู่เล็กน้อย
เพียงแต่ตอนที่จะค้นลึกลงไปกลับว่างเปล่า ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเงียบลงในความสับสน ก่อนค่อยๆ นั่งขัดสมาธิหลับตาลงบนหัวรูปปั้นเพียงหนึ่งเดียวในโลกสำนักเอกะเต๋าอันเงียบสงบ
ซูหมิงไปแล้ว ออกจากสำนักเอกะเต๋า ร่างเงาเขาไปปรากฏในอารามเสื่อมโทรม ไม่ได้หันไปมองรูปปั้นข้างหลัง แต่เดินไปอย่างสงบนิ่ง เมื่อออกจากอารามแล้วเกิดเสียงดังโครมขึ้น อารามข้างหลังกลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปราวกับผ่านเวลาไปหลายล้านปี
จุดที่สำนักเอกะเต๋าเชื่อมกับแคว้นกู่จั้งหายไปแล้ว ที่หายไปมีเพียงสาเหตุเดียวคือสำนักเอกะเต๋าไม่มีดวงชะตาที่มากพอสำหรับการค้ำยันอารามแห่งนี้!
แทบเป็นช่วงที่อารามสำนักเอกะเต๋าหายไป ผู้ฝึกฌานระดับมหาเต๋าสูงศักดิ์ทั้งแคว้นกู่จั้งต่างสัมผัสได้ผ่านในใจเล็กน้อย จนกระทั่งหลายวันต่อมา มหาเต๋าสูงศักดิ์ที่สัมผัสได้บางคนมาอยู่นอกสำนักเอกะเต๋าด้วยตัวเอง พอเห็นอารามหายไป เรื่องสำนักเอกะเต๋าถูกทำลายก็แพร่สะพัดไปทั่วแคว้นกู่จั้งทันที!
เรื่องนี้สร้างแรงกระเทือนอย่างรุนแรงต่อทุกสำนักในแคว้นกู่จั้ง เพราะสำนักเอกะเต๋าเรียกได้ว่าแทบจะเป็นสำนักที่แกร่งที่สุดในเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย!
ต่อให้เป็นฝ่ายอสุรา หากไม่ใช่เพราะมีเทพเต๋าซิวหลัว เช่นนั้นคงไม่อาจเทียบได้กับสำนักเอกะเต๋า แต่ต่อให้ซิวหลัวอยู่ สำนักเอกะเต๋าก็ยังเป็นสำนักหมายเลขหนึ่งในอันดับต้นๆ
ถึงอย่างไรการคงอยู่ของซิวหลัวก็เพียงแค่สร้างความตื่นกลัว ซิวหลัวที่บรรลุเทพเต๋ามีฐานะอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ ในความหมายที่มากกว่า ส่งผลให้ไม่มีใครกล้าล่วงเกินฝ่ายอสุรา แต่หากพูดถึงความบ้าอำนาจก็ต้องเป็นสำนักเอกะเต๋า
แต่ตอนนี้สำนักเอกะเต๋าถูกทำลายดวงชะตา แม้ไม่รู้ว่าในสำนักเป็นอย่างไร ทว่าดวงชะตาหายไป จึงมั่นใจได้ว่าในสำนักเอกะเต๋าจะต้องเผชิญกับภัยครั้งใหญ่แน่นอน!
เป็นใครที่ทำลายดวงชะตาสำนักเอกะเต๋า!
ตอนนี้ในสำนักเอกะเต๋ามีสภาพเป็นอย่างไร!
เมื่อข่าวดวงชะตาสำนักเอกะเต๋าถูกทำลายแพร่สะพัดไปทั่วแคว้นกู่จั้งแล้ว ทคำถามนี้ก็ลอยขึ้นมาในใจผู้แข็งแกร่งทุกสำนัก
ในมุมมองทุกคน คนที่ทำแบบนี้ได้มีเพียงสามเทพเต๋าขั้นเก้า แต่ตอนนี้…ทุกสำนักรู้ว่าสามเทพเต๋าขั้นเก้าอยู่เมืองหลวงจักรพรรดิกู่จั้ง นั่งฌานมาสองพันปีแล้ว
นี่คือการนั่งฌานสองพันปีที่เกิดขึ้นพร้อมกันได้ยากยิ่ง พวกเขาไม่ได้ก้าวออกจากเมืองหลวงแม้แต่น้อย ดังนั้นคนที่ทำลายสำนักเอกะเต๋าไม่ใช่เทพเต๋าขั้นเก้าสามคน
เช่นนั้นคนที่ทำลายสำนักเอกะเต๋าคือใคร…คำถามนี้วนเวียนด้วยความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ไปรวมอยู่ที่มหาเต๋าสูงศักดิ์สิบสี่คนจากสำนักอื่นที่มารวมตัวกันนอกอารามสำนักเอกะเต๋าที่หายไป ก่อนใช้อภินิหารที่เรียกว่าถามยมโลก!
อภินิหารนี้ต้องให้มหาเต๋าสูงศักดิ์สิบกว่าคนดำเนินการพร้อมกันในการถามคนที่ตายไปในสำนัก ถามวิญญาณที่หายไปเหล่านั้น…ว่าใครทำลายดวงชะตาสำนักเอกะเต๋า
พูดได้ว่าวิชานี้เป็นที่สนใจของทุกสำนักแคว้นกู่จั้ง มีเพียง…สำนักเจ็ดจันทรา พอเต้าหานแห่งสำนักเจ็ดจันทราได้ยินเรื่องสำนักเอกะเต๋าแล้วก็เข้าใจทันทีว่าทุกอย่างเกี่ยวกับซูหมิง
ภายใต้ความสนใจของหลายสำนัก มหาเต๋าสูงศักดิ์สิบกว่าคนใช้วิชาพร้อมกันเป็นเวลาหลายวันแล้วก็ล้อมรอบอารามสำนักเอกะเต๋าที่กลายเป็นเถ้าธุลี เรียกวิญญาณที่ตายไปดวงแรกมา…นั่นคือ…ชื่อหยาง!
วิญญาณชื่อหยางปรากฏกายทำให้มหาเต๋าสูงศักดิ์สิบกว่าคนนั้นพากันตกใจ แม้พวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าดวงชะตาสำนักเอกะเต๋าหายไป แต่ไม่เคยคิดว่ามหาเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าจะสิ้นชีพด้วย ในมุมมองพวกเขา พวกชื่อหยางน่าจะถูกผนึกมากกว่า
แต่ตอนนี้เมื่อวิญญาณชื่อหยางปรากฏกาย มหาเต๋าสูงศักดิ์สิบกว่าคนพลันใจเต้นระรัว
“องค์ชายสาม! เขาทำลายกฏของมหาจักรพรรดิ เขามีพลังสังหารมหาเต๋าสูงศักดิ์!” วิญญาณชื่อหยางคำรามเสียงแหลม ขณะคำรามอยู่นี้วิญญาณเขาเลือนรางไปทีละน้อยจนหายไปในสายตาทุกคน
โดยรอบเงียบกริบ นามองค์ชายสามทำให้ทุกสำนักนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองพันปีก่อน อีกทั้งจากคำพูดของวิญญาณชื่อหยางแล้ว พวกเขาได้เข้าใจทันทีว่าองค์ชายสามกลับมาแล้ว พลังเขาบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ อีกทั้ง…ยังมีกำลังรบสังหารมหาเต๋าสูงศักดิ์ด้วยกันอีกด้วย!
เพราะเขาทำลายกฏของมหาจักรพรรดิได้ เพราะชื่อหยางสิ้นชีพแล้ว!
ขณะเดียวกับที่แทบทุกสำนักทั้งแคว้นกู่จั้งต่างตกตกลึงเพราะนามของซูหมิง นอกเมืองแคว้นกู่จั้ง บนเส้นทางราชวัง ซูหมิงสวมชุดคลุมดำทั้งตัว เส้นผมม่วงปลิวไสว กำลังเดินหน้าไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิทีละก้าว
“ครบสามพันปีแล้ว”
เขายังจำอาจารย์ที่มีหน้าตาเหมือนกับเทียนเสียจื่อได้ อีกฝ่ายบอกกับตนว่าสามพันปีจากนี้ เมื่อตนมาถึงประตูเมือง เขาจะรออยู่ที่นั่นเพื่อไขข้อสงสัยสุดท้าย
ตอนที่ 1475
หันไปมองความธรรมดา ไม่เป็นเซียน
โดย
Ink Stone_Fantasy
นี่คือตะวันยามอัศดง แสงสุดท้ายส่องลงพื้นดิน หิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้าโดยไม่รู้ตัว ตกลงปกคลุมพื้นดิน ปกคลุมโลกในดวงตาซูหมิง แต่กลับบดบังเมืองหลวงในโลกนั้นไม่ได้
และก็บดบังร่างเงาสวมงอบ สวมชุดกันฝนที่ยืนอยู่นอกประตูเมืองหลวงไม่ได้ ร่างเงานั้นถือไม้เท้า ยืนอยู่นอกเมืองเงียบๆ เหมือนรอมาหลายพันปี
ซูหมิงมองร่างเงานอกเมืองนั้นอยู่ไกลๆ เหมือนย้อนไปสามพันปีก่อน ตนเพิ่งตื่นขึ้นในโลกนี้แล้วได้พบเทียนเสียจื่อ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามพันปี ขั้นพลังซูหมิงต่างออกไป ในตัวเขามีความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนานเพิ่มมาไม่น้อย ภาพต่างๆ ในความทรงจำยังคงชัดเจนเล็กน้อย แต่…กลับเรือนรางโดยไม่รู้ตัว
เป็นดั่งโลกพายุหิมะทำให้ภาพในดวงตาคนเลือนราง มองเห็นไม่ไกลนัก แต่บางครั้งจะเห็นตรงหน้า แม้ไม่ไกลมากก็ยังเป็นความสุข แต่หากเห็นได้ไกลมาก บางทีความสุขนี้อาจจะออกห่างไปไกลจนกระทั่งมองไม่เห็น
ในสายลมหิมะ ซูหมิงเดินต้านหิมะเข้ามาทีละก้าวจนมาอยู่นอกเมือง จนมาอยู่ตรงหน้าร่างเงาสวมงอบและชุดกันฝน
“เจ้ามาแล้ว” ร่างเงาสวมชุดกันฝนเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยใบหน้าที่ซูหมิงคุ้นเคย นั่นคือเทียนเสียจื่อ
สีหน้าเขามีความเมตตาดั่งผู้อาวุโสมองผู้เยาว์ นั่นเป็นความห่วงใยและเคารพรักจากใจจริง เหมือนกับว่าการเติบโตของซูหมิง ในมุมมองเขาต่อให้สูงระฟ้า แต่ในใจเขาซูหมิงก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง ถึงจะไม่ต้องให้เขาปกป้องแล้ว แต่ก็ยังเป็นเด็กที่เขาหวังจะปกป้องได้
“อาจารย์” ซูหมิงมองเทียนเสียจื่อในชุดกันฝนพลางประสานมือคารวะลงลึก น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย อาจารย์ตรงหน้าตามเขามาทั้งชีวิตตั้งแต่ยอดเขาลำดับเก้าแผ่นดินหมาน จนแคว้นกู่จั้ง จนถึงตอนนี้
“สามพันปีก่อนข้าเคยบอกว่าจะรอเจ้าที่นี่ เพื่อไขข้อสงสัยสุดท้ายให้เจ้า…ข้อสงสัยสุดท้ายนี้ เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่?” เทียนเสียจื่อในชุดกันฝนมองซูหมิงอย่างเมตตา ยามที่กล่าวเนิบๆ นัยน์ตาลุ่มลึก ราวกับว่าในดวงตาสองข้างแฝงไว้ด้วยสติปัญญาสุดบรรยาย
ซูหมิงเงียบ ข้อสงสัยสุดท้ายนี้ เมื่อสามพันปีก่อนเขาอยากถามว่าโลกนี้คือที่ใดกันแน่ เป็นฟ้าดินในร่างกายของเสวียนจั้งหรือความทรงจำของเสวียนจั้งที่เกิดขึ้นตอนตนยึดร่างกับเสวียนจั้ง
แต่เมื่อซูหมิงเดินทาง ข้อสงสัยนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เป็นเขาอยากรู้ว่าจะออกจากโลกนี้ได้อย่างไร…
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อสงสัยของซูหมิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าใบหน้าคุ้นเคยที่พบในโลกนี้ พวกเขา…ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับคนเหล่านั้นในความทรงจำจริงๆ หรือไม่
ข้อสงสัยแต่ละข้อลอยขึ้นมาทีละอย่างตลอดสามพันปีมานี้ จนกระทั่งเขาอยู่ในโลกของเฮ่าเฮ่า ข้อสงสัยเปลี่ยนไปอีกครั้ง เป็น…เต๋าของตนคืออะไร
เขาไม่เข้าใจว่าเต๋าของตนคืออะไร เขาอยากได้คำตอบจากเทียนเสียจื่อ ทว่าข้อสงสัยที่ว่า ตอนนี้เมื่อเทียนเสียจื่อเอ่ยถาม ตอนที่ซูหมิงตรึกตรองอย่างจริงจัง เขาพลันพบว่านี่เหมือนไม่ใช่การไขข้อสงสัยที่ตนต้องการ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าข้อสงสัยสุดท้ายคืออะไร
ได้แต่เงียบ
“จำไม่ได้แล้วรึ?” ในสายลมหิมะ เทียนเสียจื่อสวมชุดกันฝนอยู่นอกเมืองมองซูหมิงด้วยสีหน้าเจ็บปวดภายใน เหมือนว่าท่าทีซูหมิงตอนนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเล็กน้อย จึงถามเสียงเบา
ซูหมิงเงียบ มองสายลมหิมะอยู่นานมากถึงถอนหายใจเบา
“จำไม่ได้แล้วจริงๆ บางทีอาจมีข้อสงสัยเยอะเกินไป แต่หากพูดถึงข้อสงสัยสุดท้าย ข้า…ก็หาไม่พบ มันหายไปในกาลเวลาแล้ว อยากจะหา แต่กลับมีมวลอากาศขวางกั้น สัมผัสไม่ได้และก็หาไม่พบ” ซูหมิงพึมพำ
“ในเมื่อหาไม่พบก็ไม่ต้องหา ไม่มีข้อสงสัยสุดท้ายก็ใช่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี” เทียนเสียจื่อในชุดกันฝนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดตอบเนิบๆ
“อาจารย์เลือกให้ข้าเถอะ” ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองสายลมหิมะบนฟ้า มองประตูเมืองข้างหลังเทียนเสียจื่อ ผ่านไปพักใหญ่ถึงพูดขึ้นเบาๆ
“จะต้องยึดมั่นรึ?” เทียนเสียจื่อมองซูหมิง สีหน้าลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ
“นั่นเป็นวิธีหนึ่ง ในเมื่อลิขิตไว้แล้วว่าต้องคดเคี้ยวและอ้างว้าง ในเมื่อเดินบนเส้นทางนี้แล้ว เหตุใดจะไม่ยึดมั่น” ซูหมิงตอบกลับเบาๆ
เทียนเสียจื่อเงียบ ศิษย์อาจารย์สองคนเงียบอยู่ในสายลมหิมะอยู่นานมาก จนกระทั่งตะวันยามอัศดงลาลับ จนกระทั่งสายลมหิมะปกคลุมฟ้าดินกองเป็นชั้นหนาๆ บนเส้นผมสองคนเต็มไปด้วยหิมะสีขาวราวกับผมขาว ทำให้ความรู้สึกผ่านโลกมานานเข้มข้นกว่าเดิม ทำให้ความรู้สึกแห่งกาลเวลาหนักหน่วงกว่าเดิม
“หยุดเถอะ ไม่ต้องเดินต่อแล้ว หยุดอยู่ที่นี่ ตอนที่เจ้าหันไปมองจะเห็นใบหน้าที่มีอยู่ในความทรงจำเจ้า พวกเขาจะรอเจ้าอยู่ข้างหลังเจ้า
หันไปมองความธรรมดา เป็นเซียนอิสระ ไม่สนใจความจริงหรือปลอม ไม่ยึดมั่นในเส้นทาง บางครั้ง…ความสุขที่ไม่เลือกอาจจะเป็นความสุขที่แท้จริง” ผ่านไปนานเสียงเทียนเสียจื่อดังก้องในสายลมหิมะเข้าถึงหูซูหมิง ทำให้ซูหมิงหันหน้ากลับช้าๆ เหมือนหวนลำรึกถึงความธรรมดา มองไปข้างหลัง
ช่วงที่หันไปมอง เขาเห็นว่ากลางสายลมหิมะข้างหลังปรากฏไป๋หลิง นางสวมอาภรณ์ขาวขนเตียว มีความงามแบบดื้อรั้น กำลังยิ้มมองตน
ข้างนางคืออวี่เซวียน อวี่เซวียนยิ้มอย่างดงามอย่างในอดีต แววตายึดมั่นนั้นหลอมละลายหัวใจซูหมิง เขามองไปมองมาก็มีเสียงในความทรงจำดังก้องข้างหูอีกครั้ง
“พี่ชาย”
และยังมีชางหลัน นางผู้งดงามและอ่อนโยนที่รอซูหมิงมาไม่รู้กี่ปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร นางก็จะรอต่อไป ขณะเฝ้ารอ นางให้ซูหมิงกลายเป็นหนึ่งเดียวในใจทีละน้อย
และยังมีสวี่ฮุ่ย…
ท่านปู่อมยิ้ม ใบหน้าแก่ชรามีความเมตตา ราวกับรอการเลือกของซูหมิง หากเขาเลือกหันกลับมา เขาจะเอ่ย…
ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อ ใบหน้าทุกคนอยู่ที่นั่น ช่วงที่ซูหมิงหันกลับมาได้สะท้อนเข้าไปในดวงตา เพียงแต่ว่า…ไม่มีกระเรียนขนร่วง
“หากเดินต่อไป พวกเขาจะไม่มีวันคืนชีพ แต่หากไม่เดินต่อ ยามที่เจ้าหันไปมองความธรรมดาที่นี่ เป็นเซียนอิสระ พวกเขา…จะอยู่กับเจ้า
ซูหมิง เจ้าคือศิษย์ของข้า ข้าไม่อยาก…ให้เจ้าเหนื่อยล้าเช่นนี้ นี่คือทางเลือกที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุด” เทียนเสียจื่อในชุดกันฝนกล่าวเสียงแหบ เขามองเงาแผ่นหลังยามที่ซูหมิงหันไปมองด้วยสีหน้าเจ็บปวด เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ ความคดเคี้ยวและอ้างว้างของเส้นทางนี้ทำให้เขาไม่อยากให้ซูหมิงเดินต่อไป เดินไปจน…กี่วัฏจักรถึงขาดหายไปคนหนึ่ง
“สามพันปีมานี้เจ้าได้บอกลากับอดีตไปแล้ว ตอนนี้หันไปมองถึงความธรรมดา ไฉนยังต้องยึดมั่น ไฉนยังต้องแสวงหาความจริงปลอม เจ้าเห็นตี้เทียน เห็นเหลยเฉินแล้ว…อย่าให้สุดท้ายแล้วต้องขาดหายเจ้าไปคนหนึ่งในกี่วัฏจักรชั่วนิรันดร์เลย” เทียนเสียจื่อถอนหายใจเบา ในเสียงถอนหายใจมีความขมขื่น แฝงไว้ด้วยความสงสารที่เจ็บปวดเล็กน้อย
เขาเห็นชีวิตซูหมิง ชีวิตนี้คดเคี้ยวและอ้างว้าง เป็นรูปแบบการแสวงหา
ซูหมิงเงียบ ขณะหันไปมองเขาเห็นทุกอย่างเต็มไปด้วยความอบอุ่น ใบหน้าในความทรงจำเหล่านั้นทำให้เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบ เขาอยากจะพยักหน้าตกลง อยากหยุดเดิน อยู่ที่นี่ กลายเป็นเซียนอิสระ ไม่สนใจความจริงเท็จ แต่ตามหาความสุขที่แม้จะเป็นมายาก็ตาม
“ที่นี่มีคนมากมาย มีใบหน้าคุ้นตามากมาย แต่ไม่มีกระเรียนขนร่วง…คนรู้จักที่นี่ล้วนมีหน้าตาในความทรงจำข้า มีชีวิตอยู่ในความทรงจำข้า พวกเขา…ยังเป็นพวกเขารึ…
พวกเขาไม่มีความคิดต่ออนาคต เพราะความคิดทุกอย่างถูกมอบโดยความทรงจำข้า พวกเขาแบบนี้…ไม่มีจิตวิญญาณ” ซูหมิงพึมพำ น้ำตาไหลรินทีละน้อย ใบหน้าเหล่านั้นทำให้เขาปวดใจ ขณะเดียวกันเขาหันหน้ากลับช้าๆ ทันใดนั้นเองหิมะในสายลมกลายเป็นสีดำ โลกข้างหลังมืดมิด แม้แต่เมืองตรงหน้า ฟ้าดินข้างหลังยังกลายเป็นคืนมืด
การมาเยือนของคืนมืดประหนึ่งหมายถึงการเลือกของซูหมิง กลายเป็นฟ้ายามค่ำคืน เป็นเงามืดที่ย้อมสีไม่ได้
เหมือนกับเส้นทางของเขา ยามที่หันไปมองความธรรมดา เขาไม่ได้เลือกเป็นเซียนอิสระ
อาจพูดได้ว่าเส้นทางใต้เท้าเขาไม่ใช่เส้นทาง และก็ไม่ใช่เต๋าของเขา แต่เป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง ลิขิตไว้แล้วว่าเย็นเยือกแต่กลับยึดมั่น มีชีวิตเพื่อตัวเอง มีชีวิตเพื่อความจริงและ…มีชีวิตเพื่อคนอื่น
เพื่อเส้นทางนี้ เพื่อให้ใบหน้าคุ้นตาในความทรงจำมีจิตวิญญาณ เพื่อให้ในวัฏจักรไม่ขาดหายกระเรียนขนร่วง เพื่อให้ทุกใบหน้าไม่เพียงยิ้มแต่ยังมีความปราดเปรียว เหมือนกับกุมชะตาเกิดดับ ซูหมิง…หลังเลือกหันไปมองแล้วก็ไม่เป็นเซียนอิสระ แต่…เดินหน้าต่อไป!
ถึงอีกหลายวัฏจักรต่อจากนั้นจะขาดหายไปคนหนึ่งชั่วนิรันดร์ แต่บนเส้นทางคดเคี้ยวและอ้างว้างนี้ ต้องแสวงหาความจริงระหว่างทางที่ยึดมั่นแต่กลับเย็นเยือกแห่งนี้
การแสวงหาคือรูปแบบหนึ่ง มันลิขิตไว้แล้วว่าต้องคดเคี้ยวและอ้างว้าง ความจริงคือทัศนคติอย่างหนึ่ง มันถูกลิขิตไว้แล้วว่าเย็นเยือกแต่กลับยึดมั่น แสวงหาความจริง ชีวิตคนในคืนมืด
ในยามค่ำคืน ซูหมิงเพ่งมองเทียนเสียจื่อสวมชุดกันฝน สวมงอบตรงหน้า ก่อนประสานมือคารวะลงลึก ตอนที่ยืนขึ้น เขาไม่กล่าวใดๆ แต่เดินผ่านข้างกายเทียนเสียจื่อ มุ่งหน้าไปยังเมืองในคืนมืด เดินต่อไปอย่างยึดมั่นทีละก้าว
เทียนเสียจื่อมองเงาแผ่นหลังซูหมิงในคืนมืดพลางพึมพำ
“ใครเข้าไปในชีวิตเจ้านั่นคือชะตาลิขิต ใครยึดอยู่ในชีวิตเจ้า เจ้าเป็นคนลิขิต ในเมื่อลืมไม่ได้ก็อย่าลืม ต่อให้ทุกอย่างว่างเปล่า ทุกอย่างในอดีตก็คุ้มค่าที่จะมี…
ซูหมิง ศิษย์ของข้า นี่…คือการเลือกของเจ้ารึ…หันไปมองความธรรมดาไม่เป็นเซียน เพียงเพื่อทุกใบหน้า เพื่อความทรงจำทั้งหมด เพื่อนางที่เป็นตัวแทนแห่งความจริง เพื่อ…กุมชะตาเกิดดับที่ยึดมั่น”
ตอนที่ 1476
กี่วัฏจักรถึงบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ใครเดินเข้าไปในชีวิตเจ้า ชะตาเป็นคนลิขิต แต่ใครหยุดอยู่ในชีวิตเจ้า ชะตาไม่อาจลิขิต คนที่ตัดสินใจได้จริงๆ มีเพียงตัวเอง
ในเมื่อลืมไม่ได้ก็อย่าลืม ต่อให้ทุกอย่างว่างเปล่า…ต่อให้ทุกอย่างเป็นแสงสุดท้ายยามเย็น เมื่อคืนมืดมาเยือนก็จะหายไปหาเงาไม่พบ
ซูหมิงเดินผ่านข้างกายเทียนเสียจื่อที่สวมชุดกันฝนกับงอบ เหมือนกับชีวิตเขาเดินจากฤดูหนาวไปใบไม้ผลิ หรืออาจจะเป็นฤดูอื่น จนกระทั่งเดินไปถึงประตูเมือง ข้างหลังเขาไม่มีสายลมหิมะแล้ว
จนกระทั่งเขาเดินเข้าไปในประตูเมือง มีเสียงถอนหายใจเบาจากเทียนเสียจื่อดังแว่วมาข้างหลัง เสียงถอนหายใจนั้นมีความสงสาร ซับซ้อนและภูมิใจ
เขาสงสารชีวิตซูหมิง ซับซ้อนต่อการเลือกของซูหมิง ขณะเดียวกันก็ภูมิใจในเส้นทางของซูหมิง เสียงถอนหายใจดังไกลออกไปทีละน้อย ค่อยๆ ห่างจากซูหมิง จนกระทั่งซูหมิงเดินออกมาจากประตูเมืองเข้าไปในเมืองหลวงกู่จั้ง เสียงถอนหายใจข้างหลังหายไปราวกับถูกกาลเวลาไม่มีสิ้นสุดขวางกั้น
ซูหมิงไม่หันไปมอง แต่เดินต่อไปในเมือง เดินไปเรื่อยๆ
เขาไม่ต้องรู้ทิศทาง เพราะทันทีที่เข้าไปในประตูเมือง เขาพบเส้นทางแล้ว เห็นหอคอยสูงตระหง่านสามหลังในเมืองหลวงไกลๆ หอคอยสูงสามแห่งนี้ ทุกยอดหอคอยมีร่างเงานั่งขัดสมาธิอยู่หนึ่งคน
คนที่นั่งอยู่บนหอคอยสูงตรงกลางสวมชุดคลุมจักรพรรดิ ความรู้สึกแห่งดวงชะตาเข้มข้น ราวกับว่าทั้งฟ้าดิน ทั้งความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนาน ทั้งแคว้นกู่จั้งต้องโอบล้อมคนนี้ เหมือนกับว่า…จุดที่อีกฝ่ายอยู่คือแคว้นกู่จั้ง หากไม่มีเขา แคว้นกู่จั้งก็จะไม่เรียกว่ากู่จั้ง!
เขาคือจักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้ง เป็นคนที่รวมดวงชะตาทั้งกู่จั้งไว้ที่ตัวเอง!
ข้างๆ หรือยอดหอคอยสูงที่สาม ร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิอยู่เป็นชายวัยกลางคน เขามีหน้าตาหล่อเหลามาก เต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาด ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่ง กลายเป็นกลิ่นอายพลังวนเวียนรอบตัว ทำให้ตอนที่ซูหมิงมองเขาจะมีความรู้สึกว่าเขาไม่เข้ากับฟ้าดินอย่างยิ่ง
ประหนึ่งว่าคนนี้ แม้แต่ดวงชะตายังไม่หลอมรวมกับเขาอย่างสมบูรณ์ ไม่เข้ากับฟ้าดิน ไม่หลอมรวมจักรวาล ไม่หลอมรวมกับทุกสรรพสิ่ง เพราะ…ฟ้าดินก็ดี จักรวาลก็ดี ทุกสรรพสัตว์และสิ่งไม่มีใครอยู่เหนือกว่าเขา เพราะว่า…เขาคือผู้สร้างเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล!
เขาสร้างฟ้าดินได้ ไฉนต้องหลอมรวมกับฟ้าดิน เขาสร้างจักรวาลได้ ไฉนต้องลดตัวไปหลอมรวมกับจักรวาล เขาสร้างและปรับเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งและสัตว์ได้ ไฉนต้องหลอมรวม หากบอกว่าหลอมรวมจริงๆ ก็น่าจะเป็นฟ้าดิน จักรวาล ทุกสรรพสิ่งและสัตว์ที่อยากจะหลอมรวมกับเขา!
เขาก็คือซิวหลัว!
เส้นทางที่เขาสร้างขึ้นมีความบ้าอำนาจเป็นหนึ่ง!
สามหอคอยสูง ตรงกลางคือจักรพรรดิ หอคอยที่สามคือซิวหลัว และร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหอคอยแรกตอนนี้ก็กำลังเพ่งมองซูหมิง
ร่างเงานั้นดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน มีการไหลผ่านของเวลา เหมือนว่าเขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่มานานมาก รอซูหมิงมานานมาก
ในตัวร่างเงานั้นไม่มีการรวมดวงชะตาทั้งกู่จั้งเหมือนกับจักรพรรดิ ไม่มีข้าคือผู้สร้างโลกที่มีความบ้าอำนาจเป็นหนึ่งเหมือนซิวหลัว แต่ร่างเงานั้นกลับมีกลิ่นอายยากจะบรรยายที่แบ่งแยกความจริงเท็จได้ มองสิ่งมายาออกทุกอย่าง กระทั่งมองกาลเวลาออก
กลิ่นอายพลังนี้เป็นสติปัญญาสูงสุด เป็นจุดสุดท้ายที่ชีวิตหนึ่งจะตระหนักได้ ทั้งยังเป็น…เต๋าที่ตระหนักดวงชะตา ตระหนักความบ้าอำนาจ ตระหนักทุกสรรพสิ่งและสัตว์
บนเส้นทางนี้ เขามองไม่เห็นสิ่งมายาชั่วนิรันดร์ แต่เขาเห็นความจริงที่เขาอยากเห็น!
นั่นคือ…กูหง!
กูหงหนึ่งในสามเทพเต๋าขั้นเก้าแคว้นกู่จั้ง หรืออาจพูดได้ว่าสามคนนี้ไม่ใช่เทพเต๋าขั้นเก้าอีก บางทีพวกเขาอาจตัดเต๋าตัวเองแล้ว บรรลุ…เต๋าไร้ที่สิ้นสุดของตัวเอง!
ซิวหลัวตัดเต๋าของตัวเองบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดแล้ว กู่ตี้ เห็นได้ชัดว่าในสองพันปีก็ตัดเต๋าดวงชะตาตัวเองแล้ว นับจากนี้บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด!
ส่วนกูหง…ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหอคอยสูง นี่อธิบายได้ว่าเขา…ก็ตัดเต๋าตัวเองแล้วเช่นกัน!
ตัด ไม่ใช่ตัดในความหมายจริงๆ แต่เป็นการตัดสินใจ การเลือก การเลือกในที่นี้…ไม่อาจหันกลับแล้ว หันกลับไม่ได้ ถูกคือถูก ผิดคือผิด สองเส้นทางอาจจะมีทางหนึ่งถูก หรืออาจจะมีสองทางที่ผิด
หากเลือกแล้วก็จะเป็นแบบนั้นไปชั่วชีวิต
ซูหมิงหยุดชะงักเล็กน้อย ยืนอยู่บนเส้นทางเมืองหลวงแคว้นกู่จั้ง ทุกคนเดินผ่านข้างกายเขากันอย่างเร่งรีบ ซูหมิงไม่ได้มอง เพราะเขารู้ว่าต่อให้มอง เขาก็จำใบหน้าเหล่านี้ไม่ได้ จึงไม่มองจะดีกว่า
คนเดียวที่เขามองคือกูหงบนหอคอยสูงแรก
ตาแก่ก็มองซูหมิงเช่นกัน มุมปากค่อยๆ ยกยิ้ม
“เจ้าเด็กคนนี้ ข้ารอเจ้ามาสองพันปีแล้ว!” น้ำเสียงตาแก่มีติดหัวเราะ เสียงดังแว่วมาจากหอคอยสูงและดังก้องไปทั้งเมืองหลวง ดังเข้าถึงหูซูหมิง
คำพูดประโยคง่ายๆ แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ซูหมิงสัมผัสได้ถึงความจริงใจอย่างยิ่ง ทำให้หัวใจเขาเกิดความอบอุ่น ความห่วงในนั้นจริงมาก จริงจนเขา…จำไปชั่วชีวิต
“ศิษย์ซูหมิง คารวะอาจารย์” ซูหมิงมองร่างเงาบนหอคอยสูงไกลๆ แล้วประสานมือคารวะลงลึกช้าๆ
เสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนาน ที่มากกว่านั้นคือความปิติ ยามที่ดังแว่วมาอีกครั้ง ตาแก่บนหอคอยสูงหายไปแล้วมาปรากฏตรงหน้าซูหมิง
หน้าตาเขายังคงเดิม แต่ความพิลึกพิลั่นหายไปเล็กน้อย มีความแก่ชราเพิ่มมาเล็กน้อย มองซูหมิงด้วยแววตาสุขสบาย หลังเพ่งมองซูหมิงอยู่หลายทีแล้ว เสียงหัวเราะดังกังวานยิ่งกว่าเดิม
“ดี ดี ดี ถือว่าข้าไม่ได้รอสองพันปีอย่างเสียเปล่า ตอนนั้นอาจารย์เคยตอบรับเจ้าว่าจะให้เจ้าได้เห็นการต่อสู้ระหว่างข้ากับตาแก่ตายยกสองคนนั้นกับตา
นี่คือคำสัญญาของอาจารย์ ในเมื่อสัญญาแล้วก็ต้องทำให้ได้ อย่าว่าแต่สองพันปีเลย ต่อให้เป็นสองหมื่นปี สองแสนปีหรือสองหมื่นยุคอาจารย์ก็จะรอตลอดไป!” เดิมทีใบหน้าตาแก่มีรอยย่นจำนวนมาก ยามนี้ส่งเสียงหัวเราะ เหมือนแม้แต่รอยย่นยังน้อยลงเล็กน้อย
“ไป!” ตาแก่หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ ดึงมือขวาซูหมิงขยับวูบมาปรากฏบนหอคอยสูงที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้
เดิมทีปลายหอคอยมีที่นั่งเพียงที่เดียว เพราะซูหมิงเห็นชัดว่าหอคอยที่สองกับสามมีที่นั่งขัดสมาธิได้แค่คนเดียว
แต่บนหอคอยที่หนึ่งกลับมีที่นั่งขัดสมาธิสองที่ เห็นได้ชัดว่าตาแก่สร้างมันขึ้นมาตลอดเป็นเวลาสองพันปี การกระทำนี้ดูง่ายมาก ดูธรรมดามาก แต่เมื่อซูหมิงเห็นที่นั่งธรรมดาแบบนี้แล้วในใจกลับสั่นไหวขึ้นมา
ที่นั่งนี้แฝงไว้ด้วยความห่วงใยของตาแก่ต่อซูหมิง แฝงไว้ด้วยความเมตตาทั้งหมดต่อศิษย์คนนี้ของเขา นั่นเป็นเพียงความห่วงใยที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ เป็นเพียงประจักษ์พยานแห่งเต๋า
เหมือนกับชะตาของเขากับซูหมิง เหมือนกับเต๋าที่พวกเขาเลือก…เป็นเส้นทางคล้ายๆ กัน
“พวกเจ้าตาแก่ตายยากสองคน พวกเรามาสู้กันได้แล้ว ศิษย์ข้ากลับมาแล้ว ฮ่าๆ” ตาแก่ยืนอยู่ตรงนั้นหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงคุ้นหูซูหมิง ทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดจนเชื่อถือไม่ได้
แทบเป็นทันทีที่กล่าวขึ้น ซิวหลัวลืมตา เผยประกายไร้ความปรานี หน้าตาเขาเปลี่ยนไป กลิ่นอายพลังต่างจากตอนนั้น ความไร้ปรานีในแววตาส่งผลให้ตัวเขาเหมือนไม่ใช่ผู้ฝึกฌานอีก
“ยอมใช้รูปแบบผนึกเพื่อเลี่ยงการต่อสู้สองพันปีเพื่อผู้ฝึกฌานคนหนึ่ง กูหง…เต๋าของเจ้ายังน่ารังเกียจเหมือนเดิม!”
“พูดมาก ศิษย์ของข้าเป็นของข้า ไม่ใช่ของเจ้า แน่นอนว่าต้องสนใจ หากข้าไม่สนใจแล้วใครจะสนใจ ตาแก่ตายยากที่มุ่งหวังวิชาเล่นดวงชะตารึ?” ตาแก่กลอกตาแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนด่าทอทันที
ระหว่างสนทนากัน ร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิบนหอคอยสูงตรงกลางหรือจักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้งลืมตาขึ้นช้าๆ ยามที่มองซูหมิง สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่มีเสียงถอนหายใจดังก้อง
“เสวียนเอ๋อร์…”
“ข้าชื่อซูหมิง” ซูหมิงมองจักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงตอบกลับช้าๆ
จักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้งหรือร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิบนหอคอยสูงตรงกลางก็เงียบเช่นกัน ผ่านไปพักหนึ่งเขาถึงกล่าวเสียงเบา ดังแว่วเอ้อระเหยประหนึ่งว่าทั้งฟ้าดินกำลังโอบล้อม
“ยังจำ…เรื่องที่คนพเนจรคนนั้นออกจากบ้านได้หรือไม่…”
นัยน์ตาซูหมิงเป็นสมาธิ เขาเพ่งมองจักรพรรดิอยู่หลายที ก่อนนึกถึงชายชราคนนั้นที่อยู่ร้านขายของในคืนมืดเมื่อสามพันปีก่อน
“ไฉนต้องเดินต่อไป กูหงเลือกเจ้าเป็นศิษย์ข้าไม่สนใจ เพราะเดิมทีเต๋าของเจ้าคล้ายกับเขา เพียงแต่ตอนนี้กูหงตัดการเลือกทิ้งแล้ว เจ้า…ยังไม่ตื่นอีกรึ?
ตื่นเถอะ เสวียนเอ๋อร์ของข้า ตอนที่เจ้าตื่น…เจ้าจะเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นกู่จั้ง ตอนที่เจ้าตื่น…ดวงชะตาทั้งแคว้นกู่จั้งจะรวมอยู่ที่ตัวเจ้า เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวที่รวมดวงชะตาของข้ากับเต๋าของกูหง เจ้าจะ…บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง!” จักรพรรดิกู่จั้งยืนขึ้นบนหอคอยช้าๆ ยามที่เพ่งมองซูหมิง เสียงเขาดั่งเสียงฟ้าดิน ขณะเสียงดังกึกก้อง ทุกชีวิตในเมืองหลวงพากันใจสั่นสะท้าน ก่อนคุกเข่าลงทั้งหมด
ไม่ใช่แค่พวกเขา สำนักรอบทิศ ผู้ฝึกฌานทุกคนทั้งแคว้นกู่จั้งต่างคุกเข่าคารวะมายังที่นี่ตามทิศทางของตนพร้อมกัน ราวกับกราบไหว้ คารวะดวงชะตากู่จั้ง!
ฟ้าเปลี่ยนกลายเป็นขุ่นมัว แผ่นดินเกิดหมอกประหนึ่งกลายเป็นจักรวาลกว้างใหญ่ ทุกอย่างในเวลานี้โอบล้อมร่างเงานั้นเป็นใจกลาง!
“นี่ก็คือเต๋าไร้ที่สิ้นสุดของเขา แต่ไม่ใช่ของข้า” ตาแก่ข้างกายซูหมิงมองการเปลี่ยนแปลงของฟ้าพลางพูดขึ้นเนิบๆ
ชีวิตมีสิ้นสุด ความรู้ไร้ที่สิ้นสุด กี่วัฏจักรถึงบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด
ดินมีพรมแดน ฟ้าไร้พรมแดน กี่ความเป็นตายความคิดถึงไร้พรมแดน
……………………
ตอนที่ 1477
ฟ้ากู่จั้งสามสิบสามชั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ช้าไปสองพันปีแล้ว กูหง ในเมื่อศิษย์เจ้ามาแล้วพวกเราก็เริ่มได้” พลังอำนาจจักรพรรดิกู่จั้งเหลือล้น ทันทีที่ทั้งแคว้นกู่จั้งคารวะ ภายในน้ำเสียงซิวหลัวเหมือนอาจข้ามผ่านฟ้าดิน ช่วงที่นำพลังที่ทุกอย่างขุ่นมัวและละเอียดวนเวียนไปรอบๆ ร่างเงาเขายืนอยู่บนหอคอยสูงที่สาม คงอยู่กับเหมือนกับจักรพรรดิกู่จั้ง
“พิสูจน์เต๋าไร้ที่สิ้นสุด ไม่ต้องลงมือ หากเราสามคนลงมือ กู่จั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่…และไม่ต้องวิเคราะห์เต๋า คำว่าเต๋า พวกเราสามคนล้วนเชื่อมั่นอย่างยิ่ง วิเคราะห์ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เหมือนกับสองพันปีนี้ การวิเคราะห์เต๋าของพวกเราหลายครั้งก็เป็นเช่นนี้” นัยน์ตากูหงเรียบนิ่ง มองอีกสองคนที่เป็นจุดสูงสุดไปในแคว้นกู่จั้งตอนนี้
“สิ่งที่ซิวหลัวต้องพิสูจน์คือเต๋าของเจ้าเองว่าเป็นเต๋าไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง กู่หวงก็ไม่ต้องกระทำ เพราะเดิมทีสายเลือดเขาคือมรดกของมหาจักรพรรดิกู่จั้งอยู่แล้ว อีกทั้งมหาจักรพรรดิกู่จั้งก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเราวิเคราะห์เต๋าไร้ที่สิ้นสุดว่าจริงเท็จหรือไม่ด้วย
ส่วนข้า อยากรู้จริงๆ ว่าเต๋าที่ฝึกฝนในชีวิตนี้ เมื่อก้าวผ่านขอบเขตพลังไปแล้วจะเป็นดอกไม้ในกระจก จันทราในสายน้ำหรือ…ตะวันจันทราบนนภา” เมื่อเสียงตาแก่ดังก้อง ซูหมิงคงสีหน้าเรียบนิ่งอยู่ข้างกาย มองเหตุการณ์ทุกอย่าง เขารู้ว่านี่คือพิธีที่หายาก
พิธีแบบนี้ถือว่าเป็นโชควาสนาสำหรับเขา
ซิวหลัวเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วยิ้มเยาะมุมปาก น้ำเสียงดังแว่วมาเนิบๆ โดยไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ
“จะพิสูจน์อย่างไร”
“เดิมทีเจ้าเลือกได้ แต่กลับจงใจมองข้าม คิดจะเอาชนะข้ากับกู่หวง ใช้สิ่งนี้ยืนยันเต๋าไร้ที่สิ้นสุดของตัวเอง ซิวหลัว เจ้ารู้อยู่แก่ใจแล้วไฉนต้องแสร้งถาม” ตาแก่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับด้วยสีหน้าเด็ดขาด
สิ้นเสียง จักรพรรดิกู่จั้งพลันเงยหน้าขึ้นเพ่งมองตาแก่ชั่วครู่แล้วพลันส่งเสียงหัวเราะ
“เจ้าพูดถึงฟ้ากู่จั้งรึ…”
“ฟ้ากู่จั้ง…” นัยน์ตาซิวหลัวเผยแสงหม่น เงียบอยู่ชั่วประเดี๋ยวแล้วสะบัดแขนเสื้อ
“ก็ดี กู่จั้งสามสิบสามชั้นฟ้า ตอนนั้นมหาจักรพรรดิกู่จั้งก้าวไปได้สามสิบสองชั้นฟ้า สำเร็จเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ได้ยินว่าฟ้าชั้นสุดท้ายหากพลังไม่เหนือกว่าเต๋าไร้ที่สิ้นสุดจะผ่านไปไม่ได้ เหนือชั้นที่สามสิบขั้นไป หากไม่มีพลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุดจะก้าวข้ามไปไม่ได้…ฟ้ากู่จั้ง…ในเมื่อพวกเจ้าสองคนเลือกแล้ว ข้าก็จะก้าวไปพร้อมกับพวกเจ้า” ขณะเสียงซิวหลัวดังกึกก้อง ความเด็ดขาดและแน่วแน่มีความยึดมั่นอย่างยิ่ง
เขาจงใจมองข้ามฟ้ากู่จั้งจริงๆ เขาอยากเอาชนะกู่หวงกับกูหง กลายเป็นหมายเลขหนึ่งของกู่จั้ง ใช้สิ่งนี้มาพิสูจน์เต๋าของตน แต่ตอนนี้…ก็ยังเลือกเส้นทางนั้นที่หากไม่บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดจะก้าวข้ามไปไม่ได้
เดิมทีนี่ไม่ใช่ทางเลือกแรกสุดของเขา เพราะเขาสนใจการแพ้ชนะมากกว่า แต่ยามนี้…นี่เป็นทางเดียว
ตาแก่ยกมือขวาขึ้นคว้าไปบนฟ้า ผืนฟ้าพลันเกิดเสียงดังครึกโครม ชั้นเมฆหมุนตลบเป็นทะเลโกรธา ทะเลโกรธาไหลเชี่ยว วูบเดียวก็ปกคลุมฟ้าแคว้นกู่จั้งทั้งหมด
“เช่นนั้นข้าจะใช้พลังตัวเองเปิดฟ้าแห่งนี้!” เสียงตาแก่ดังก้อง ท้องฟ้าเกิดเสียงอึกทึกโดยพลัน ท่ามกลางชั้นเมฆหมุนตลบ ท้องฟ้าเหมือนจะฉีกออก เต็มไปด้วยรอยร้าว ประหนึ่งจะเชื่อมต่อกับโลกโบราณ
ขณะเดียวกันเสียงซิวหลัวดังกังวานตามเช่นกัน
“ข้าขอเปิดอักษรแห่งจั้ง” ซิวหลัวกดมือขวาไปบนแผ่นดิน แผ่นดินทั้งแคว้นกู่จั้งส่งเสียงครึกโครมพร้อมกัน เกิดหมอกผุดขึ้นมาในฉับพลัน หมอกเหล่านี้มาจากโดยรอบ ภายในแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายมรณะเข้มข้น นั่นคือกลิ่นอายความแค้นที่รวมจากคนตายมาไม่รู้กี่ปี ยามนี้กลิ่นอายความแค้นหมุนม้วนตรงไปยังเมืองหลวง พุ่งมายังมือขวาซิวหลัว
กู่หวงบนหอคอยสูงตรงกลางถอนหายใจเบา ก่อนยกมือสองประหนึ่งค้ำยันฟ้าพลางพูดพึมพำ
“ต้นกำเนิดแห่งกู่จั้ง เดิมทีอยู่เหนือฟ้าสามสิบสามชั้น…ด้วยดวงชะตาแคว้นกู่จั้ง ด้วยตัวข้าจักรพรรดิแคว้นกู่จั้ง ขอเปิด…เส้นทางเชื่อมฟ้ากู่จั้ง!” ขณะกล่าวสองมือฉีกไปบนฟ้า ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปโดยรอบ สะเทือนฟ้าดิน
ทันทีที่ฟ้าถูกฉีกออก พลันเกิดน้ำวนมหึมาหมุนขึ้นจากตรงกลาง จากนั้นชั้นหมอกที่ตาแก่สร้างขึ้นบนฟ้าก่อนหน้านี้พลันกลายเป็นสีขาว ถูกม้วนเข้าไปในน้ำวน
ขณะเดียวกันกลิ่นอายมรณะจากบนพื้นดินพุ่งขึ้นฟ้าไป เมื่อหลอมรวมเข้าไปในน้ำวนแล้วก็กลายเป็นสีดำ ตอนนี้เองทั้งฟ้าดินเหลือเพียงสีขาวกับดำ
ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีแผ่นดิน มีเพียงน้ำวนยักษ์สุดบรรยายข้างบนที่มีเพียงพวกเขาสามคนกับซูหมิงที่เงยหน้ามองเห็นได้ น้ำวนครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ อีกครึ่งเป็นสีขาว ขณะหมุนโคจรยังกลายเป็นวงแหวนอาคมยักษ์หนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่วงแหวนอาคม นั่นคือ…ฟ้ากู่จั้ง!
ช่วงที่เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไม่หยุด ซิวหลัวเงยหน้าคำรามเสียงแหลม ก่อนพุ่งไปยังน้ำวนสีขาวดำข้างบน
“ข้าก้าวขึ้นฟ้ากู่จั้งเป็นครั้งแรกเพื่อพิสูจน์เต๋าไร้ที่สิ้นสุดของข้า!” คำพูดยังคงดังกังวาน ส่วนร่างเป็นสายรุ้งยาวเข้าไปใกล้ฟ้าน้ำวนสีดำขาวแล้ว
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นกู่หวงหรือตาแก่หรือซูหมิง ต่างเพ่งมองน้ำวนสีขาวดำตาไม่กะพริบ เพ่งมองร่างเงาซิวหลัว
“ชั้นแรก!” จังหวะที่เสียงซิวหลัวดังแว่วมา ตัวเขาข้ามผ่านน้ำวนนั้นพุ่งไปเหนือน้ำวนแล้ว พริบตาที่เกิดเสียงดังสนั่นฟ้า ซูหมิงเห็นทันทีว่าข้างหลังน้ำวนสีดำขาวนั้นเป็นท้องฟ้าสามสิบสามชั้นดั่งนามมันจริงๆ หรือพูดได้ว่ามีน้ำวนอยู่สามสิบสามแห่ง
“ชั้นเก้า!” ร่างเงาซิวหลัวบุกทะลวงไปราวกับไม่อาจมีอะไรขวางกั้น เกิดเสียงอึกทึกดังไม่หยุด ร่างเงาเขาทะลวงต่อเนื่องไปทำให้เกิดเสียงดังสนั่นไม่มีจบสิ้น
“ชั้นที่สิบสอง!” เสียงเขาดังแว่วมาจากที่ห่างไกล ในสายตาซูหมิง ร่างเงาเขาเลือนรางแล้ว แต่ก็เห็นว่าความเร็วซิวหลัวไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง แต่ยังเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในตัวเขามีความยึดมั่น มีความปรารถนาและเชื่อมั่นต่อเต๋าไร้ที่สิ้นสุด และยังมีความบ้าคลั่งในการพิสูจน์
“ชั้นที่สิบสาม!” ช่วงที่เสียงซิวหลัวดังมาอีกครั้ง มีเสียงโครมครามดังตามมา นั่นคือเสียงที่เกิดจากการที่เขาข้ามผ่านน้ำวน ทุกครั้งที่เสียงนี้ดังขึ้นจะทำให้ทั้งโลกสั่นไหว ฟ้ากู่จั้งแห่งนี้ พูดได้ว่าทั้งแคว้นตอนนี้มีเพียงพวกเขาสามคนที่มีสิทธิ์เข้าไป!
คนอื่นๆ แม้แต่มองยังไม่มีสิทธิ์ ถึงอย่างไรแคว้นกู่จั้งตอนนี้ก็ขุ่นมัว หากไม่ใช่เพราะตาแก่ ซูหมิงก็คงยากจะได้เห็นฟ้ากู่จั้ง
เมื่อเสียงครึกโครมดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ เสียงซิวหลัวดังแว่วมาอีกครั้ง ดังกังวานฟ้าดิน
“ชั้นที่สิบหก!”
ซูหมิงยากจะเห็นร่างซิวหลัวแล้ว เห็นเพียงเลือนรางทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ตอนนี้สูดลมหายใจเข้าลึก โคจรพลังทั่วร่างรวมไว้ที่ดวงตาสองข้าง มิหนำซ้ำดวงตาที่สามยังลืมตาขึ้น ปล่อยพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดทั้งหมด แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ยังเห็นเพียงร่างเงาเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าเมื่อสังเกตน้ำวนมหึมานั้น นัยน์ตาซูหมิงกลับค่อยๆ เป็นประกายประหลาดใจทีละน้อย ตอนนี้เขาลมหายใจกระชั้นเล็กน้อย ดวงตาสองข้างหรี่ลง
‘น้ำวนนี้…เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย…ความคุ้นเคยแบบนี้…คือกลิ่นอายพลังชนิดหนึ่ง…’ ลมหายใจซูหมิงกระชั้นเล็กน้อย ภายในใจมีคำตอบอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังลังเล
“ยี่สิบเก้าชั้น กูหง กู่หวง พวกเจ้าคอยดูให้ดีว่าข้าจะขึ้นไปชั้นสามสิบได้หรือไม่!” ตอนนี้เอง เสียงซิวหลัวดังแว่วมาจากในน้ำวน ขณะเดียวกันไม่ว่าตาแก่หรือจักรพรรดิแคว้นกู่จั้ง พวกเขามองไปด้วยความจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซูหมิงเห็นไม่มากนัก เห็นเพียงเงามายา แต่เงามายาแบบนี้ก็มากพอจะทำให้เขาเห็นว่าซิวหลัวสำเร็จหรือไม่
เสียงอึกทึกก้องกังวานด้วยความบ้าคลั่ง เสียงครึกโครมดังขึ้นหลายต่อหลายครั้ง หมุนม้วนน้ำวน ปั่นป่วนมวลอากาศ เมื่อเสียงครึกโครมดังหลายครั้งจนถึงระดับดุเดือดแล้วนั้น ตาแก่ถอนหายใจเบา
จักรพรรดิกู่จั้งค่อยๆ ละสายตากลับ แต่ภายในดวงตาเขากลับฉายแววแน่วแน่
“เป็นไปไม่ได้ เต๋าของข้าถึงจุดสูงสุดแล้ว พลังข้าถึงจุดสูงสุดแล้ว ข้าเดินมาถึงสุดทางแล้ว เหตุใด…ถึงขึ้นชั้นที่สามสิบไม่ได้!” เสียงคำรามแหลมดังมาจากในน้ำวน นั่นคือเสียงของซิวหลัว น้ำเสียงมีความไม่ยอม มีความบ้าคลั่ง เมื่อเสียงดังแว่วมาก็เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องอีกครั้ง นั่นคือเขาลองอีกหลายต่อหลายครั้ง หมายจะก้าวผ่านฟ้าชั้นที่สามสิบ
เสียงโครมครามดังต่อเนื่องกันเจ็ดวันเจ็ดคืน ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนนี้ซิวหลัวบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา เสียงแหลมของเขาจะมีเสียงหัวเราะด้วยความปวดร้าวและไม่ยอมปะปนเป็นบางครั้ง เข้าถึงหูซูหมิงในเจ็ดวันเจ็ดคืน
จนกระทั่งวันที่แปดไม่มีเสียงดังมาอีก ร่างเงาซิวหลัวค่อยๆ ลงมาจากในน้ำวนมหึมาสีดำขาว ตอนที่ลงมาช้าๆ ทั้งตัวเขาเปลี่ยนไปมาก ความรู้สึกแก่ชราอบอวลในตัว ใบหน้าขาวซีด ชั่วขณะที่ปรากฏกายกลางน้ำวนด้วยความขมขื่น สายตามองตาแก่
“ข้าไม่เคยก้าวข้ามเต๋าไร้ที่สิ้นสุดเลย เต๋าไร้ที่สิ้นสุด เต๋าไร้ที่สิ้นสุด…อะไรคือเต๋าไร้ที่สิ้นสุดกันแน่!”
“ชีวิตมีสิ้นสุด ความรู้ไร้ที่สิ้นสุด กี่วัฏจักรถึงบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด…” ตาแก่เงียบ ผ่านไปพักหนึ่งแล้วถึงตอบเสียงเบา
ขณะเดียวกับที่ตาแก่กล่าวขึ้นพร้อมซิวหลัวลงมานั้น จักรพรรดิแคว้นกู่จั้งเงยหน้าขึ้น
“ในเมื่อฟ้ากู่จั้งเปิดแล้ว เช่นนั้นข้า…จะลองสักครั้ง” น้ำเสียงเขาเรียบนิ่ง สิ้นเสียงเขาสะบัดแขนเสื้อมือขวา ร่างบินขึ้นไป การบินขึ้นของเขาเหมือนกับดวงชะตาทั้งแคว้นกู่จั้งลอยขึ้นฟ้า วนเวียนอยู่รอบตัวกลายเป็นขมุกขมัว พุ่งตรงไปยังน้ำวนสีดำขาว
ตอนที่ 1478
กูหง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นกู่หวงที่พุ่งไปยังน้ำวนหรือซิวหลัวผู้ขมขื่น ต่อให้เป็นตาแก่ก็ไม่สังเกตเห็นว่าช่วงที่ซูหมิงเพ่งมองน้ำวนนั้น หน้าเขาเปลี่ยนสีรวมถึงส่วนลึกในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่
‘กลิ่นอายพลังคุ้นเคยนี้…เป็นของกระเรียนขนร่วง’ ซูหมิงพึมพำเป็นเสียงลมหายใจกระชั้นในใจ กลิ่นอายพลังนี้อ่อนมาก แต่แม้จะอ่อนกว่านี้ซูหมิงก็ไม่มีวันลืม
เพราะในน้ำวนนี้นอกจากกลิ่นอายพลังกระเรียนขนร่วงแล้วยังมีกลิ่นอายพลังมหึมาอีกชนิดหนึ่ง มันเหมือนกับการเปรียบเทียบ ทำให้ซูหมิงรู้สึกถึงกระเรียนขนร่วง และยังรู้สึกถึงเจ้าของกลิ่นอายพลังมหึมานั้น
นั่นคือ…เสวียนจั้ง!
กลิ่นอายพลังเสวียนจั้งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศกลางจักรวาลกว้างใหญ่!
‘ฟ้ากู่จั้งสามสิบสามชั้นนี้…สำหรับพวกเขาคือเส้นทางสำเร็จเต๋าไร้ที่สิ้นสุด แต่สำหรับข้า…นี่คือเส้นทางออกจากโลกนี้ กลับไปลืมตาในจักรวาลกว้างใหญ่!
ก้าวผ่านฟ้าสามสิบสามชั้น เมื่อเดินก้าวนั้นออกไปแล้วข้าจะตื่นขึ้น การยึดร่างจะสิ้นสุดลง’ ซูหมิงใจสั่นสะท้าน ยามนี้ความเข้าใจลอยขึ้นมาในใจ ค่อยๆ เหมือนประทับลงไปกลายเป็นลึกซึ้ง
‘นี่คือเส้นทางของข้า…’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววยึดมั่นทีละน้อย
ยามนี้กู่หวงหายไปในน้ำวนแล้ว เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น เขาห้อเหยียดไปตลอดทาง พริบตาเดียวก็ขึ้นไปฟ้าชั้นที่ยี่สิบ
เขาไม่ได้กล่าวแบบซิวหลัว แต่เดินหน้าไปเงียบๆ ไม่นานก็ผ่านชั้นที่ยี่สิบสอง ยี่สิบสาม ยี่สิบสี่…จนกระทั่งก้าวสู่ชั้นที่ยี่สิบเก้า ร่างเงาเขาหยุดลง
ตอนนี้ซิวหลัวมองน้ำวนตาไม่กะพริบ ภายในใจซับซ้อนอย่างยิ่ง ความต้องการส่วนตัวคือไม่อยากให้อีกฝ่ายสำเร็จ แต่เขาก็อยากรู้ว่าอะไรคือเต๋าไร้ที่สิ้นสุด มีเพียงตอนที่มีคนไปถึงเท่านั้นเขาถึงจะเข้าใจ
ตาแก่มีสีหน้าคงเดิมตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เสียดายก็ดี เฝ้ารอคอยก็ดี เหมือนไม่ได้เด่นชัด ต่อให้เป็นตอนนี้ก็แค่เงยหน้าขึ้นเพ่งมองเท่านั้น
กู่หวงหยุดเพียงไม่กี่ลมหายใจก็พุ่งไปยังฟ้าชั้นที่สามสิบอย่างไม่ลังเล หากขึ้นฟ้าชั้นที่สามสิบ เขาจะพิสูจน์ได้ว่าตนเองบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดแล้ว!
โครม!
โครมๆ!
โครมๆๆ!
เสียงโครมครามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะเทือนกึกก้องฟ้าดิน นั่นคือเสียงชนเหมือนกับซิวหลัวก่อนหน้า นั่นคือเสียงที่เกิดขึ้นตอนก้าวเข้าฟ้าชั้นสามสิบแล้วถูกขวางเอาไว้
เสียงแบบนี้ดังต่อเนื่องกันเพียงครึ่งก้านธูปแล้วก็ค่อยๆ เงียบลง ไม่เหมือนกับซิวหลัวที่ไม่ยอมอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน แต่กู่หวงลองเพียงแค่เก้าครั้ง!
เก้าครั้งใช้เวลาไปไม่ถึงครึ่งก้านธูป เขาขึ้นฟ้าชั้นที่สามสิบไม่สำเร็จ เขาเลือกยอมแพ้ ตอนนี้ค่อยๆ ลงมา เมื่อร่าง
เงาเดินออกมาจากน้ำวนสีดำขาว ในตัวเขาไม่มีความขมขื่น ไม่มีความแก่ชรา มีเพียงความเสียดายที่ยากจะหลีกเลี่ยงอยู่เล็กน้อย
“ข้ายังไม่บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ตอนนี้ดูแล้วดวงชะตาที่ตัดก็ยังไม่ได้ตัดอย่างสมบูรณ์…” ร่างเงากู่หวงลงมายืนบนหอคอยสูง กล่าวเสียงเบา แม้จะเสียดาย แต่ก็หลุดพ้นเช่นกัน
บางทียิ่งเป็นคนที่ยึดมั่นมากเท่าไร เวลาล้มเหลวจะต้องรับแรงกดดันมากเท่านั้น แต่กู่หวงไม่ได้สนใจเต๋าไร้ที่สิ้นสุดมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้ยกขึ้นได้ก็วางลงได้
ส่วนซิวหลัว ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงพ่ายแพ้ และก็พ่ายแพ้ใจตัวเอง เหมือนหลงทาง อยู่ในระหว่างการแสวงหาเต๋า ความคิดหรือการกระทำห่างออกไปไกล ยามที่หันกลับไปมองก็ไม่รู้ทิศทางแล้ว
“สองท่านลองแล้ว ข้าก็จะลองบ้าง ดูว่าเต๋าที่ตัดไปจะเป็นจริงหรือปลอม” ตาแก่เงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนหันหน้าไปมองซูหมิง
ซูหมิงก็มองตาแก่เช่นกัน
“อาจารย์จะสำรวจทางให้เจ้าก่อน หากอาจารย์สำเร็จ เจ้าต้องอยู่ที่นี่ หากอาจารย์เลือกผิด…เรื่องที่ข้าเคยตอบรับเจ้าในตอนนั้นจะไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย!” ตาแก่มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งด้วยรอยยิ้มเมตตา ก่อนหมุนตัวกลับขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังน้ำวนสีดำขาวบนฟ้า
ซูหมิงมองเงาแผ่นหลังตาแก่ คำพูดก่อนไปของตาแก่ทำให้เขานึกถึงภาพที่ตาแก่เกิดประตูห้องรอตนไปคารวะเป็นอาจารย์ในลานบ้านตอนนั้น
และก็นึกถึงคำพูดนั้นของตาแก่
‘ข้าจะช่วยเจ้าพิสูจน์เต๋าของเจ้าเอง! หากเจ้าผิด เจ้าจะรับมรดกของข้า หากข้าผิด ข้าจะช่วยให้เจ้าออกจากที่นี่!’
ระหว่างที่คำพูดนั้นยังคงดังก้อง เกิดเสียงดังสนั่นบนฟ้า ร่างเงาตาแก่กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งเข้าไปในน้ำวน ท่ามกลางเสียงอึกทึกตลอดทาง แต่ละชั้นระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง
จักรพรรดิกู่จั้งเงยหน้าขึ้นเพ่งมองทุกอย่างในน้ำวน ซิวหลัวมองเงียบๆ เช่นกัน สำหรับพวกเขาแล้วกูหงต่างออกไปเล็กน้อย เพราะเต๋าของกูหงไม่มีความไร้ขีดจำกัดของดวงชะตา ไม่มีความบ้าอำนาจสูงสุดของซิวหลัว แต่เป็นความจริงเท็จที่มีต่อทั้งโลก เป็นเต๋าที่พวกเขาเคยไม่เข้าใจ ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เต๋านี้จริงหรือเท็จ ทุกอย่างของความจริงเป็นจริง ความเป็นเท็จยังคงเลื่อนลอย ยามนี้เมื่อร่างเงาตาแก่พุ่งเข้าไปในน้ำวน การพิสูจน์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เสียงครึกโครมดังก้อง ร่างเงาตาแก่พุ่งผ่านฟ้าชั้นที่ยี่สิบจนถึงชั้นที่ยี่สิบสาม ยี่สิบหก…ยี่สิบเก้า!
เขาไม่หยุดตรงนี้ แต่พุ่งต่อไปยังฟ้าชั้นที่สามสิบ
ตอนนี้เองกู่หวงกับซิวหลัวมองไปอย่างใจจดจ่อ ซูหมิงเองก็หรี่ตาลงเพ่งมองไปเช่นกัน
โครม!
เกิดเสียงระเบิดสนั่นฟ้า ถึงขั้นพูดได้ว่าหลังน้ำวนสีดำขาวปรากฏแล้วไม่เคยเกิดเสียงดังเช่นนี้มาก่อน ดังกังวานไปรอบๆ ดังก้องไปทั่วโลก กึกก้องมวลอากาศทุกแห่งหน!
“ฟ้า…ชั้นที่สามสิบ…” ซิวหลัวซวนเซถอยไปหลายก้าวก่อนพลันหัวเราะเสียงดัง เพียงแต่เสียงหัวเราะมีความขมขื่นที่มากกว่า มีความไม่ยอมที่เด่นชัดถึงขีดสุด
ภายในน้ำวน ร่างเงาตาแก่ก้าวสู่ฟ้าชั้นที่สามสิบ!
เมื่อก้าวสู่ชั้นสามสิบ นั่นหมายความว่าบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดแล้ว!
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ซิวหลัวที่ขมขื่น กู่หวงหน้าเปลี่ยนสี จ้องน้ำวน ลมหายใจกระชั้น
เกิดเสียงอึกทึกดังในความคิดซูหมิง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เพ่งมองร่างเงาตาแก่ในน้ำวน เห็นรางๆ ว่าตาแก่ไปหยุดที่ชั้นสามสิบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เวลาผ่านไปช้าๆ พริบตาเดียวก็หลายชั่วยาม ตาแก่ที่ยืนอยู่บนฟ้าชั้นสามสิบเดินหนึ่งก้าว ช่วงที่เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง เขา…ยืนอยู่บนฟ้าชั้นที่สามสิบเอ็ด!
“ดินมีพรมแดน ฟ้าไร้พรมแดน กี่ความเป็นตายความคิดถึงไร้พรมแดน…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” ตอนนี้เอง เสียงตาแก่ดังพึมพำมาจากฟ้าชั้นที่สามสิบเอ็ด ไม่ได้ดีใจในการพิสูจน์เต๋า แต่กลับขมฝาด ความรู้สึกขมฝาดที่ว่ามีการถอนหายใจอยู่ด้วย ยามนี้ดังกังวานทำให้ซิวหลัวไม่เข้าใจ ทำให้กู่หวงมีสีหน้าลังเล
“ที่แท้…ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้…” ช่วงที่เสียงหัวเราะตาแก่ดังก้องขึ้น ความขมฝาดกลายเป็นความคลุ้มคลั่งแล้ว เขาเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง เข้าใจอะไรบางอย่าง เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรความขมฝาดและบ้าคลั่งในเสียงหัวเราะนั้น พอใครได้ยินเข้าแล้วจะเกิดความเศร้าโดยไม่รู้ตัว
“กูหง เจ้าเห็นอะไร!” ซิวหลัวถามทันที เสียงดังเข้าไปในน้ำวน
“ข้าเห็นแล้ว…พวกเจ้ามองไม่เห็นโลกที่จินตนาการไม่ได้นี้หรอก…ซูหมิง…เจ้าถูก เต๋าของเจ้า…ถูก ข้าผิด เพราะเต๋านี้เดิมทีไม่ถูกต้องสำหรับข้า…
อะไรคือโลก อะไรคือความว่างเปล่า อะไรคือความจริงเท็จ อะไรคือวัฏจักร ผิด ถูก…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เสียงหัวเราะตาแก่คลุ้มคลั่งกว่าเดิม ขณะบ้าคลั่ง คล้ายๆ ว่าเขาก้มหน้าลงมองผ่านฟ้าสามสิบเอ็ดชั้นมาเพ่งมองซูหมิง
ซูหมิงรู้สึกได้ถึงสายตานี้ และยังรู้สึกได้ถึงความเศร้า…และการจากลาในแววตานี้ นั่นคือความรู้สึกเป็นตาย เป็นความรู้สึกที่เหมือนจะตัดขาดกันชั่วนิรันดร์
“อาจารย์!” ซูหมิงใจสั่นสะท้าน ก่อนพูดขึ้นโดยจิตใต้สำนึก
“เจ้าถูก…แต่ข้ายังหวังว่าหลายปีจากนี้…เจ้าจะยังจำได้ว่าในโลกมายาที่เกิดจากการยึดร่าง เจ้า…มีอาจารย์คนหนึ่ง” เสียงตาแก่ดังแว่วมา ภายในน้ำเสียงไม่มีความขมขื่น แต่มีการถอนหายใจ ถอนหายใจให้โลกนี้ ถอนหายใจให้ชีวิตตนเอง
“เต๋าไร้ที่สิ้นสุด…ความคิดไร้พรมแดน…แต่หากข้าไม่แสวงหาความไร้ที่สิ้นสุด ไม่ละทิ้งความไร้พรมแดน ให้ทุกอย่างหวนคืน ให้ทุกอย่างกลับไปตอนแรกเริ่ม เหมือนกับย้อนเต๋าของข้า!
ซูหมิง ข้าจะกลายเป็นเทพเต๋าขั้นเก้าของเจ้า ช่วยเจ้า…ทะลวงผ่านฟ้าสามสิบสามชั้น ช่วยเจ้า…ชนะการยึดร่างครั้งนี้ ช่วยเจ้า…กลับบ้าน!” ขณะเอ่ย เสียงหัวเราะตาแก่แฝงไว้ด้วยความคลุ้มคลั่ง ทั่วร่างเขาเปล่งแสงไร้ที่สิ้นสุด แสงนี้ส่องสะท้อนฟ้าสามสิบสามชั้น ทว่ากลับรวมเป็นสายรุ้งยาวสายหนึ่ง…พุ่งจากฟ้าชั้นสามสิบเอ็ดลงมาข้างล่าง ทะลวงผ่านน้ำวนตรงมายังระหว่างคิ้วซูหมิง
“อาจารย์!” ซูหมิงจะหลบโดยจิตใต้สำนึก เขาเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นแต่ก็ยังไม่ทันหลบ สายรุ้งยาวทะลวงผ่านมวลอากาศมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ก่อนเข้าไปในดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้ว!
“เพราะว่าเจ้าคือศิษย์ของข้า ศิษย์เพียงคนเดียว…ในเมื่ออาจารย์ผิด ก็ต้องให้ศิษย์ของข้า…ถูก! ยอมให้ข้าใช้วิธีนี้ให้เต๋าคงอยู่ต่อไปเถอะ…”
เกิดเสียงดังในความคิดซูหมิง นั่นคือเสียงแก่ชราที่มีความเมตตาจากกูหงดังก้องในความคิดซูหมิงในทันทีที่สายรุ้งยาวเข้าไปในระหว่างคิ้ว
ดวงตาซูหมิง…มีน้ำตารินไหล
ย้อนเต๋าของตัวเอง ปลดปล่อยความไร้ที่สิ้นสุดของตัวเอง ยอมเป็นเทพเต๋าขั้นเก้าของศิษย์ตัวเอง นี่…คือกูหง อาจารย์ที่ชีวิตนี้โดดเดี่ยวราวกับขนห่านป่า แต่กลับยอมจ่ายทุกอย่างเพราะการคารวะเป็นอาจารย์ครั้งนั้นจากซูหมิง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น