Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา 1457-1463
ตอนที่ 1457
ข้าจะช่วยเจ้า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ช่วงที่ชายชุดคลุมดำในรอยแยกฟ้านอกยันต์ดั่งรอยถลอกมองต้นพิสูจน์เต๋าอย่างเย็นชานั้น ร่างเงาอายุราวห้าหกขวบที่ปรากฏบนยอดไม้ต้นพิสูจน์เต๋าก่อนหน้านี้พลันยกมือขวาขึ้นกดต้นพิสูจน์เต๋าใต้ร่าง
เมื่อกดไป เสียงเยาว์วัยดั่งเด็กน้อยยากจะลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์ดังก้องฟ้าดินพังทลาย
“พิสูจน์เต๋า!”
สิ้นเสียง มีแรงดูดมหาศาลสุดบรรยายแผ่มาจากในร่างเงาเด็กอายุห้าหกขวบ แรงดูดนี้ปกคลุมทั้งต้นพิสูจน์เต๋าโดยพลัน เหมือนเป็นแรงดูดสะเทือนฟ้าดินปะทุมาจากร่างต้นไม้โบราณ ตอนนี้เอง…ท้องนภาที่กำลังพังทลายรอบต้นพิสูจน์เต๋าหมุนม้วนกลับมา ก่อนบิดเบี้ยวกลายเป็นระลอกคลื่นตรงไปหาเด็กคนนั้น
ทั้งผืนฟ้าเหมือนถูกเปิดออก พังทลายลงเป็นชั้นๆ บิดเบี้ยวเป็นชั้นๆ หลอมละลายเป็นระลอกคลื่น ชั่วขณะที่ฟ้าลับหายและต้นพิสูจน์เต๋าถูกดูดนั้น มองไป ท้องฟ้า…ไม่ใช่ฟ้าอีก แต่เป็นมวลอากาศกว้างใหญ่
ขณะเดียวกันแผ่นดินก็ถูกสูบเช่นกัน จากเดิมทีที่พังพินาศเกิดเสียงโครมดังขึ้นอีกครั้ง แหลกเป็นชิ้นๆ แม่น้ำภูเขาบนพื้นดินแหลกลาญ แผ่นดินหายไปทั้งหมดเป็นฝุ่นธุลีหมุนม้วนกลับมายังต้นพิสูจน์เต๋า
แม้แต่ซากปรักหักพังบนมิติชั้นสองกับชั้นหนึ่งที่พังทลายลงนั้นยังเกิดการหมุนม้วนเช่นกัน ช่วงที่พังพินาศลงพร้อมกันยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝุ่นธุลี ถูกต้นพิสูจน์เต๋าใหญ่ยักษ์กลางมวลอากาศสูบมาทั้งหมด
แรงดูดนี้ไม่เพียงสั่นคลอนฟ้าดิน แต่ยังสร้างความตกใจแก่ผู้ฝึกฌาน ตอนนี้เองร่างเงาองค์ชายรองรับไม่ไหวเป็นครั้งแรก ตัวเขาหมุนม้วนตรงมายังต้นพิสูจน์เต๋า ถูกดูดติดอยู่บนต้นพิสูจน์เต๋าดังโครม ไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่น้อย ชั่วขณะที่เขามีสีหน้าตื่นกลัว ร่างเงาไร้หัวนั้นตัวสั่น ยากจะต่อต้านความบ้าคลั่งของต้นพิสูจน์เต๋าได้อีก ร่างจึงถูกกิ่งไม้เหลือคณานับพันรอบ ราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้โบราณ
และยังมีมหาเต๋าสูงศักดิ์หลินตงตง แม้จะออกห่างไปค่อนข้างไกลแล้ว แต่ภายใต้แรงดูด ไม่ว่าเขาจะต่อต้านอย่างไรก็ไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้ถูกกระชากเข้าไปได้ จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้โบราณเหมือนกับองค์ชายรอง
มีเพียงซูหมิงที่รู้สึกว่าในฟ้าดินอัดแน่นไปด้วยแรงดูดน่าตกใจของต้นพิสูจน์เต๋าโบราณ ทว่ากลับไม่ส่งผลต่อเขาแม้แต่น้อย ตอนนี้วิญญาณเต๋าที่หกในดวงตาที่สามกำลังหล่อหลอมอย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่มีเวลาสนใจอะไรมากนัก ได้แต่นั่งขัดสมาธิลงกลางมวลอากาศ สัมผัสขั้นตอนการเปลี่ยนวิญญาณเต๋าให้เป็นเต๋าสูงศักดิ์
ในเวลาเดียวกัน ทางด้านเด็กน้อยบนยอดไม้ต้นพิสูจน์เต๋าคนนั้น เขายกมือขวาที่กดบนแมกไม้ขึ้นช้าๆ ต้นพิสูจน์เต๋าพลันสั่นไหวอย่างรุนแรงทั้งยังเกิดเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าดิน เห็นได้ด้วยตาเนื้อว่าต้นพิสูจน์เต๋าแห้งลง ราวกับว่าพลังทั้งหมดภายในถูกสูบไปในมือขวาเด็กคนนั้น ก่อนเขาจะเงยหน้าขึ้นจ้องเงามายามหาจักรพรรดิบนฟ้าตาเขม็ง
“พิสูจน์เต๋า เบิกฟ้า!” ยามนี้เสียงเยาว์วัยของเด็กน้อยดังขึ้นด้วยความยึดมั่นสุดบรรยาย นั่นคือความปรารถนาถึงที่สุดที่จะได้กลับบ้าน เป็นการปะทุสูงสุดหลังถูกผนึกมาไม่รู้กี่ปีจนอัดอั้นถึงขีดสุด พริบตาที่เขาเอ่ยขึ้น ตัวเขาบินขึ้นกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังเงามายามหาจักรพรรดิ
ร่างกายเขาดูเหมือนอ่อนแอ แต่กลับแข็งแกร่งเหนือกว่าทุกคนในมิตินี้ ฟังเสียงแล้วก็ยังเยาว์วัย ทว่าความรู้สึกต่อบ้านที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงกลับมีความยึดมั่นจนน่าเศร้า
เขาเคลื่อนตัวไปไม่เร็ว แต่ว่า…พลังทั้งหมดที่รวมจากต้นพิสูจน์เต๋าและยังมีพลังของพวกองค์ชายรองกับองค์ชายใหญ่ ไม่ว่าพวกเขายินยอมหรือไม่ ตอนนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของต้นพิสูจน์เต๋าแล้ว
เด็กน้อยนามเฮ่าเฮ่ามาพร้อมกับความยึดมั่นและความคิดถึงต่อบ้านเกิด ชั่ววูบเดียวก็มาปรากฏตรงหน้าจิตไม่มอดดับของมหาจักรพรรดิกู่จั้งชุดคลุมดำ ก่อนยกมือขวาขึ้นจะฉีกร่างมหาจักรพรรดิ
แทบเป็นทันทีที่เฮ่าเฮ่าจะฉีกร่างมหาจักรพรรดิ ชายชุดคลุมดำมีสีหน้าปกติ ประหนึ่งว่าเขาที่เป็นดวงจิตเดิมทีไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ อยู่แล้ว ยามนี้เพียงยกมือขวากดไปยังเฮ่าเฮ่าที่กำลังพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
“ลงทัณฑ์!” ยังคงเป็นคำเดียว แต่เมื่อสิ้นเสียง ภายในฝ่ามือขวาชายชุดคลุมดำกลับเปล่งแสงหม่น ภายในแสงนั้นมีสายฟ้าทมิฬเก้าสายพุ่งตรงไปหาเฮ่าเฮ่า
หลังปะทะกันในทันใด สายฟ้าเก้าสายเกิดเสียงระเบิดดังก้อง มันผ่าร่างเฮ่าเฮ่าทั้งหมด ทว่าพริบตาที่ผ่าลงกลับแหลกลาญไปพร้อมกัน กลายเป็นสายฟ้าโค้งใหญ่ขยายเป็นวงกว้างออกจากตัวเฮ่าเฮ่า
มองไกลๆ เฮ่าเฮ่าในภาพนี้เหมือนพุ่งออกมาจากสายฟ้าเก้าสาย เข้าไปใกล้ชายชุดคลุมดำโดยไม่มีอะไรอาจหยุดยั้ง แต่ว่าทันทีที่เขาปะทะกับชายชุดคลุมดำนั้น…เส้นลายมือขวาชายชุดคลุมดำที่กดลงเปล่งแสงหม่นไร้ที่สิ้นสุด ทุกเส้นลายมือเหมือนกลายเป็นเทือกเขาไร้รูปกำราบเฮ่าเฮ่า กำราบต้นพิสูจน์เต๋า!
เสียงครึกโครมดังก้องไม่หยุด มือขวาเฮ่าเฮ่าปะทะกับมือขวาชายชุดคลุมดำ เสียงอึกทึกกึกก้องกลายเป็นแรงปะทะคล้ายว่าจะฉีกทุกอย่างได้แผ่กระจายไปรอบๆ ตอนนี้เองเฮ่าเฮ่าเปล่งเสียงด้วยความยึดมั่น ร่างชายชุดคลุมดำพลันเป็นมายา
ร่างมายาเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ ยามที่มองไป ร่างชายชุดคลุมดำใกล้จะหายไปแล้ว ชั่วขณะนี้เองเขาหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วก็กดมือขวาลงไปอย่างแรง
หลังกดไป เสียงมวลอากาศระเบิดดังขึ้นอีกหลายเท่า ส่งผลให้ร่างเงาเฮ่าเฮ่าถูกพายุคลั่งถาโถม ร่างเงาเด็กน้อย…หายวับไปด้วยความไม่ยอมและเศร้าโศก
ขณะเดียวกันต้นพิสูจน์เต๋าสั่นสะท้านไปทั้งต้น กิ่งไม้จำนวนมากแตกหักพร้อมกัน แม้แต่แมกไม้ยักษ์ที่มาแทนที่ฟ้ายังแหลกเป็นเสี่ยงๆ บนแมกไม้ปรากฏร่างเงาเฮ่าเฮ่าอีกครั้ง ครั้งนี้เลือนรางมาก เขาเหมือนกำลังร้องไห้ มองมวลอากาศ มองรอยถลอกในรอยแยกประหนึ่งกำลังมองบ้านของเขา
เมื่อส่วนของต้นพิสูจน์เต๋าพังลง องค์ชายรองกระอักเลือด รีบห้อเหยียดถอยมาทันที ทั้งยังเรียกร่างเงาไร้หัวนั้นเป็นสายรุ้งยาวห่างจากต้นพิสูจน์เต๋าไปไกลด้วยความตื่นกลัว
หลินตงตงก็เช่นกัน ใบหน้าเขาซีดขาว ตอนนี้อาศัยจังหวะที่แรงดูดหายไปออกห่างต้นพิสูจน์เต๋าอย่างไม่ลังเล ตอนที่หันกลับไปมอง นัยน์ตาเขาฉายแววตื่นกลัวอย่างพบเห็นได้ยาก
เป็นตอนนี้เองซูหมิงลืมตาขึ้น แทบเป็นทันทีที่เขาลืมตา วิญญาณเต๋าหกดวงในลูกตาที่สามตรงระหว่างคิ้วหล่อหลอมครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น เปลี่ยนจากวิญญาณเต๋าเป็น…เต๋าสูงศักดิ์!
ช่วงที่บรรลุเต๋าสูงศักดิ์ จะเห็นว่าเต๋าสูงศักดิ์ขั้นหกในดวงตาที่สามของซูหมิงเปล่งแสงทองอร่ามสว่างจ้าอย่างยิ่ง ราวกับทำให้โลกถูกย้อมเป็นสีทอง
พลังมหาศาลของเต๋าสูงศักดิ์โคจรในตัวซูหมิงไม่หยุด แผ่กระจายออกมาข้างนอก หมุนม้วนไปรอบๆ ส่งผลให้เส้นผมเขาปลิวไสวเองแม้ไร้ลม พลังน่าตื่นตกใจปะทุมาจากในร่าง
เต๋าสูงศักดิ์ หรือเรียกได้ว่าเซียนเต๋า แค่ขั้นหกบรรลุ! ขั้นเจ็ดบรรลุเต๋าสูงศักดิ์สมบูรณ์ ขั้นแปด…ก้าวสู่มหาเต๋าสูงศักดิ์!
ซูหมิงในตอนนี้ก้าวสู่ขอบเขตเต๋าสูงศักดิ์แล้ว ถึงขั้นตอนนี้เขามีความรู้สึกรางๆ ว่าจะคลำหาความสมบูรณ์พบ มองเห็น…มหาเต๋าสูงศักดิ์
“ช่วยข้า…ช่วยข้า…เจ้าเคยบอกว่าจะกลับบ้านกับข้า…” แทบเป็นขณะเดียวกับที่ซูหมิงก้าวสู่เต๋าสูงศักดิ์ เสียงเฮ่าเฮ่าดังแว่วมาเนิบๆ ด้วยความเศร้า ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาเด็กชายอายุราวห้าหกขวบที่กำลังมองตนอยู่บนแมกไม้แวบหนึ่ง
เขาเห็นความยึดมั่นในตัวเด็กคนนั้น เห็นความเศร้าเสียใจ คนอื่นไม่เข้าใจความเศร้านั้น มีเพียงซูหมิง…เขาเข้าใจ เพราะเขาก็เสียบ้านเกิดเหมือนกับเด็กน้อยนามเฮ่าเฮ่า…
“ข้าอยากกลับบ้าน…ข้าอยากกลับบ้าน…ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย…” เด็กน้อยมองซูหมิงพลางพึมพำ ทุกคำสั่นคลอนใจซูหมิง
เมื่อไม่นานมานี้เขาก็เพิ่งเสียบ้านเกิดไปเหมือนกับเด็กน้อย สูญเสียใบหน้าคุ้นเคยทั้งหมด อยู่ลำพังในโลกนี้ คิดถึงทุกอย่างในความทรงจำเงียบๆ
“ข้า…จะช่วยเจ้าได้อย่างไร?” ซูหมิงมองเด็กน้อยพลางถามเสียงเบา เขาไม่ได้ปฏิเสธอีกฝ่าย และไม่อยากปฏิเสธด้วย หากไม่มีเฮ่าเฮ่า เขาคงไม่ได้ผลเต๋า หากไม่มีเฮ่าเฮ่า เขาในตอนนี้…ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดในการต่อสู้กันระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง
ไม่ว่าจะเป็นการตอบแทนหรือเรื่องสะเทือนใจซูหมิงในตอนนี้ เขาจะต้องช่วยอีกฝ่าย ส่งอีกฝ่าย…กลับบ้าน
“ข้าคือวิญญาณแห่งพิสูจน์เต๋า ข้าฉีกผนึกนั้นไม่ได้ ดวงจิตของมหาจักรพรรดิกู่จั้งรวมมันไว้ที่ตัวข้า แต่เจ้าไม่ใช่ เจ้าฉีกผนึกนั้นได้ หากผนึกถูกฉีก พวกเรา…จะได้กลับบ้าน” เฮ่าเฮ่ายืนขึ้นบนแมกไม้ มองซูหมิงด้วยแววตายึดมั่นแรงกล้า ซูหมิงเห็นแววตาอีกฝ่ายแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนนัยน์ตาฉายแววเด็ดขาด
ซูหมิงขยับวูบไหวมาปรากฏบนแมกไม้ในทันใด อยู่ข้างกายเฮ่าเฮ่า ก้มหน้ามองเด็กชายน้อย เด็กชายก็เงยหน้ามองซูหมิงเช่นกัน
ขณะเดียวกับที่สองคนสบตากัน ซูหมิงเห็นความใสในแววตาเด็กชาย เห็นความบริสุทธิ์ในจิตวิญญาณ และก็เห็น…ความปรารถนาและยึดมั่นต่อการกลับบ้าน รวมถึงความเศร้าโดดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ในใจ
เหมือนกัน ตอนนี้เด็กชายก็เห็นโลกของซูหมิงเช่นกัน เห็นการสละชีพของซูหมิง
“เจ้าช่วยข้ากลับบ้าน…ข้าก็จะช่วยเจ้ากลับบ้าน…พวกเราช่วยกัน…” เด็กน้อยสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดที่บอกไม่ถูกจากตัวซูหมิง เขายกมือขึ้นจับมือซูหมิงเอาไว้ พริบตาที่มือพวกเขาสองคนสัมผัสกัน นัยน์ตาซูหมิงเป็นสมาธิโดยพลัน
พลังมหาศาลหลั่งทะลักไปหาซูหมิงราวกับกำลังถ่ายทอดพลัง
ตอนที่ 1458
กำแพงทางใต้นี้ ยาก!
โดย
Ink Stone_Fantasy
พลังชนิดนี้ไหลเวียนในร่างกายซูหมิงในฉับพลัน ส่งผลให้กลิ่นอายพลังในตัวเขาเพิ่มขึ้น กระทั่งเขาสังเกตเห็นว่าพลังชนิดนี้มีความรู้สึกคล้ายๆ กับผลเต๋า เว้นแต่…ความเจ็บปวดถึงขีดสุด!
การกินผลเต๋า ความเจ็บปวดนั้นยังคงเด่นชัดในความทรงจำ ทว่าตอนนี้เฮ่าเฮาจับมือเขา พลังที่ส่งเข้ามากลับไม่ได้มีความเจ็บปวดรุนแรงแบบนั้น แต่ว่า…ความรู้สึกปะทุขึ้นของพลังกลับรุนแรงยิ่งกว่า
“เจ้า…” ซูหมิงมองเด็กชายตรงหน้าพลางถอนหายใจเบา
“ข้าไม่อาจให้ต้นพิสูจน์เต๋ากลับบ้านเกิดด้วยได้แล้ว…จะให้มันอยู่ที่นี่ สู้มอบให้กับเจ้าดีกว่า และมีแต่แบบนี้เท่านั้นเจ้าถึงใช้พลังฉีกผนึกนั่นได้ ให้พวกเราได้กลับบ้าน…” เด็กชายมองซูหมิง ความใสในแววตามีประกายและความยึดมั่น
ซูหมิงเงียบ พลังเขากำลังเพิ่มขึ้น หลั่งทะลักเข้ามาอย่างรุนแรง พริบตาเดียวกลิ่นอายพลังเขาก็แข็งแกร่งขึ้น อัดแน่นฟ้าดิน แต่ด้วยความที่พลังหลั่งเข้ามาอย่างมหาศาล เขาจึงสูบกินไม่ได้ในทันที ฉะนั้นเต๋าสูงศักดิ์ในดวงตาที่สามจึงไม่เพิ่มขึ้น แต่ว่า…พลังที่สั่งสมในร่างกายกลับเหนือกว่าเต๋าสูงศักดิ์!
ถึงระดับใดนั้นซูหมิงไม่ต้องคาดการณ์แล้ว เขารู้สึกว่าเมื่อตนแกร่งขึ้น เด็กน้อยค่อยๆ อ่อนแอลง แต่ความใสและความยึดมั่นในแววตากลับไม่น้อยลง ในทางตรงข้ามกลับเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน ต้นพิสูจน์เต๋าที่พังทลายลงส่วนหนึ่งเกิดการแห้งเหี่ยวลง เริ่มจากส่วนราก เหมือนดูดพลังชีวิตทั้งหมด พลังทั้งหมดส่งผ่านมือเฮ่าเฮ่าไปหาซูหมิง
นี่คือของขวัญจากเฮ่าเฮ่า ของขวัญจากต้นไม้โบราณพิสูจน์เต๋า
สิ่งที่มาพร้อมกับของขวัญยังมีความยึดมั่น ซูหมิงมองเด็กชายน้อยอยู่พักใหญ่ก่อนพูดเสียงเบา
“ข้ารับปาก…จะทำทุกอย่างเพื่อส่งเจ้า…กลับบ้าน”
เด็กชายน้อยยิ้ม รอยยิ้มนั้นมีความงามบริสุทธิ์ เขาจับมือซูหมิงด้วยสีหน้าที่มีความไว้ใจเพิ่มมา เหมือนมีแต่แบบนี้เท่านั้นเขาถึงรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าคำสัญญาจากซูหมิงคือทุกอย่างของโลกนี้สำหรับเขา
ต้นพิสูจน์เต๋าแห้งเหี่ยวลงหนักขึ้นเรื่อยๆ ส่วนรากแห้งถึงขีดสุดแล้ว ค่อยๆ กลายเป็นเถ้าธุลีหายไป ภาพนี้อยู่ในสายตาหลินตงตง ภายในดวงตาเขาฉายแววตื่นกลัว มีสีหน้าตกตะลึง ขณะเดียวกันยังมีความริษยาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“นะ…นี่คือการมอบพลังชีวิตและทุกอย่างของต้นพิสูจน์เต๋าตลอดไม่รู้กี่ปีมานี้ให้กับองค์ชายสาม สมควรตายๆ เขาไม่ควรได้รับโชควาสนาแบบนี้!
หาก…หากเขาสูบพลังของต้นพิสูจน์เต๋า หากหล่อหลอมเสร็จแล้ว ขะ…เขาจะบรรลุขอบเขตพลังใด?
นี่คือโชควาสนาที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณมา!” ดวงตาหลินตงตงเกิดเส้นเลือดฝอย จ้องซูหมิงตาเขม็ง แต่กลับไม่กล้าผลีผลาม ความริษยารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในใจ ถึงท้ายที่สุดกลายเป็นจิตสังหารต่อซูหมิงที่รุนแรงกว่าเดิม
เขาเป็นเช่นนี้จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์ชายรอง ตอนนี้องค์ชายรองจ้องซูหมิงตาเขม็ง เขาก็มองออกถึงโชควาสนาของซูหมิงเช่นกัน ความริษยาคลุ้มคลั่งในใจมาแทนที่ความรู้สึกทั้งหมดแล้ว
‘เดิมทีควรเป็นของข้า ของข้า! เจ้าแย่งผลเต๋าข้า ทั้งยังแย่งโชควาสนาของข้าอีก หากไม่มีเจ้า ผลเต๋าจะเป็นของข้า โชควาสนานี้ก็เป็นของข้า!’ ชั่วขณะที่องค์ชายรองกำลังคลุ้มคลั่ง ร่างเงาตี้เทียนในดวงตาขวาสมจริงขึ้นเรื่อยๆ ยามที่มองซูหมิง ตี้เทียนมีสีหน้าซับซ้อน
ทว่าความริษยาและจิตสังหารของพวกเขาไม่อาจสั่นคลอนซูหมิงได้แม้แต่น้อย ภายใต้พลังมหาศาลนี้ การแห้งเหี่ยวของต้นพิสูจน์เต๋าค่อยๆ ลุกลามไป หนึ่งส่วน สองส่วน สามส่วน…จนกระทั่งเจ็ดส่วน แปดส่วน มองไกลๆ ต้นพิสูจน์เต๋าแห้งเหี่ยวมากกว่าครึ่งแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่เหมือนว่ามีเพียงแมกไม้ที่มีไม่มากนั้น
แต่ซูหมิงตอนนี้ สุดจะบรรยายความแกร่งของเขาแล้ว เด็กชายข้างกายใบหน้าซีดขาวทีละน้อย ร่างกายเป็นมายารางๆ แต่ความใสในแววตากับรอยยิ้มบนใบหน้ายังคงดังเดิม มีความยึดมั่น มีการสละชีพที่ซูหมิงปวดใจ
นี่คือเด็กคนหนึ่งที่ยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อกลับบ้าน ชั่วขณะที่ซูหมิงถอนหายใจ แมกไม้นั้น…แห้งเหี่ยวลงทั้งหมด ทั้งต้นพิสูจน์เต๋า ต้นไม้สูดเสียดฟ้าที่อยู่มาไม่รู้กี่หมื่นปีหายไปทั้งหมด
ความรุ่งเรืองของมันเคยผงาดขึ้นที่โลกในอดีตนั้น คงอยู่ในแคว้นกู่จั้ง ตอนนี้รวมไว้ที่ตัวซูหมิง เป็นความหวังได้กลับบ้านของเด็กชายน้อย
เมื่อต้นพิสูจน์เต๋าหายไป เด็กชายน้อยเหมือนค่อยๆ เสียพละกำลัง เหมือนจะปล่อยมือจากซูหมิง แต่พริบตาที่จะปล่อยมือ ซูหมิงกลับคว้ามือเด็กชายน้อยเอาไว้แล้วส่งกลิ่นอายพลังอบอุ่นเข้าไปในร่างเด็กชาย
“อย่าหลับ ต้องดูข้า…พาเจ้ากลับบ้าน” ซูหมิงนั่งยองลงมองเด็กชายน้อยร่างมายาพลางลูบหัวเขา
เด็กชายน้อยมองซูหมิงอยู่นาน…ถึงพยักหน้าอย่างจริงจัง
“เฮ่าเฮ่าไม่หลับ เฮ่าเฮ่าจะดูทางกลับบ้าน”
ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนมาก หลังลูบหัวเด็กชายน้อยอีกครั้งแล้วก็ยืนขึ้น เงยหน้าขึ้นมองร่างเงาจิตไม่มอดดับของมหาจักรพรรดิที่รวมขึ้นจากยันต์บนรอยถลอกในรอยแยกกลางมวลอากาศ
ช่วงมองไป ชายชุดคลุมดำก็มองซูหมิงเช่นกัน
ซูหมิงมองอีกฝ่าย มองใบหน้าที่ไม่มีวันลืมในความทรงจำ นั่นคือ…ใบหน้าของเสวียนจั้ง ซูหมิงเห็นก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่เคยเพ่งมองอย่างตอนนี้
“เสวียนจั้งก็ดี กู่จั้งก็ดี…พวกเรา…พบกันอีกแล้ว” น้ำเสียงซูหมิงมีความยึดมั่น พริบตาที่เอ่ย ร่างเงาเขากลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งขึ้นฟ้าไป
ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
ชั่วขณะที่ซูหมิงเข้าใกล้ฟ้า เขายกมือขวาขึ้นคว้าไปบนฟ้า ขณะเดียวกันชายชุดคลุมดำก็ยกมือขวาเช่นกัน ในท่าทางและเสียงเหมือนเดิม
“ลงทัณฑ์!”
เสียงครึกโครมดังก้อง สายฟ้าทมิฬเก้าสายเข้ามาใกล้ซูหมิงในฉับพลัน ระหว่างที่เข้ามาใกล้ ซูหมิงโบกมือขวา ดวงจิตปะทุขึ้นในทุกด้าน พลังน่าสะพรึงของต้นพิสูจน์เต๋าที่สั่งสมมาในร่างกายระบายออกอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางเสียงอึกทึก ภายใต้ดวงจิตซูหมิงวนเวียนไปรอบๆ เขาโบกมือขวาเข้าปะทะกับสายฟ้าเก้าสายนั้น
เกิดเสียงดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง สายฟ้าทุกสายผ่าลงบนตัวซูหมิงทำให้ร่ายกายสั่นสะท้าน แต่กลับไม่อาจขวางเขา จนเมื่อสายฟ้าเก้าสายแหลกลาญไปแล้ว เส้นลายมือที่ต้นพิสูจน์เต๋าแพ้พ่ายจากในมือขวาชายชุดคลุมดำก็พุ่งตรงมากำราบซูหมิง
ซูหมิงสัมผัสได้ว่าการกำราบนี้รุนแรงอย่างยิ่ง นี่คือพลังการกำราบขั้นเก้า ทุกขั้นจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าจากขั้นก่อนหน้า เมื่อซ้อนทับกันแล้วจึงเกิดเป็นผนึกมหึมาประหนึ่งฟ้าดินกว้างใหญ่
เกิดเสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว โลหิตไหลจากมุมปากซูหมิง นั่นคือการกำราบขั้นแรก เมื่อขั้นที่สองตามมาทำให้เขาหยุดชะงักครู่หนึ่ง ซ้ำยังกระอักเลือด ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ เปล่งเสียงคำราม ก่อนก้าวเดินอีกก้าวอย่างไม่ลังเล มือขวาปะทะกับมือขวาชายชุดคลุมดำ
ขณะเดียวกันการกำราบขั้นสามมาเยือนทันที การกำราบครั้งนี้ ร่างชายชุดคลุมดำเริ่มเลือนรางเล็กน้อย ซูหมิงพลันรู้สึกเจ็บปวดคล้ายว่าร่างกายจะแหลกสลายไป
ครั้งนี้เขาไม่กระอักเลือด แต่ใช้สี่ดวงจิตใหญ่ต่อต้านกับการกำราบขั้นสามอย่างรุนแรง ท่ามกลางเสียงครึกโครม สี่ดวงจิตใหญ่พังลงทั้งหมด แต่เขาก็แบกรับการกำราบขั้นสามเอาไว้ได้ ก่อนใช้พลังตัวเองต่อต้านขั้นสี่!
ช่วงที่เสียงโครมครามดังกึกก้องไม่หยุดตรงมือของซูหมิงกับชายชุดคลุมดำ ซูหมิงใช้พลังต้นพิสูจน์เต๋าที่สั่งสมมาต่อต้านการกำราบขั้นสี่ ขั้นห้า ขั้นหกไปจนถึงขั้นเจ็ด!
ร่างชายชุดคลุมดำเป็นมายาไปมากกว่าครึ่ง โลหิตบนอาภรณ์ซูหมิงย้อมอาภรณ์ยาวเป็นสีแดง จนกระทั่งเกิดเสียงโครมที่มือขวา ภายใต้การกำราบขั้นเจ็ด หลังจากมือขวาเขาแหลกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ซูหมิงคำรามเสียงต่ำ ยกมือซ้ายขึ้นพร้อมเอ่ยไปสามคำ
“เปลี่ยนเทพหมาน!” นี่คือครั้งแรกที่ซูหมิงใช้เปลี่ยนเทพหมานหลังตื่นขึ้น สิ้นเสียงร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้น แต่ขยายได้เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นฝนโลหิต ร่างขยายใหญ่ระเบิดออก โลหิตทั่วร่างสาดกระจาย เมื่อจ่ายไปบ้างแล้ว ซูหมิง…ก็ยังคงยืนตระหง่านอยู่กลางมวลอากาศ แบกรับการกำราบขั้นแปดเอาไว้ได้
“แซ่ซูไม่เชื่อว่าจะฉีกผนึกของเจ้าไม่ได้!” ซูหมิงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ในตัวเขาแผ่กระจายกลิ่นคาวเลือด ทั้งยังมีความบ้าบิ่นที่ซ่อนอยู่ในนิสัย มือขวาหัก ข้ายังมีมือซ้าย มือซ้ายหัก…ข้ายังมีหัว!
เสียงอึกทึกกึกก้อง ภายใต้การกำราบขั้นเก้า ร่างชายชุดคลุมดำเป็นมายาทั้งหมด เหมือนเหลือเพียงฝ่ามือนี้ กระทั่งยังเผยยันต์ข้างหลังฝ่ามือนั้นแล้วด้วย ตอนนี้เองมือซ้ายซูหมิงแหลกเป็นจุล เขาที่เสียสองมือไปใช้ศีรษะพุ่งชนใส่มือขวาชายชุดคลุมดำอย่างไม่ลังเล
เสียงระเบิดดังก้อง ซูหมิงไม่มีสี่ดวงจิตใหญ่แล้ว ปล่อยพลังทั้งหมดแล้ว ใช้เปลี่ยนเทพหมานแล้ว แต่เขายังมีความยึดมั่น มีความมั่นใจ นั่นคือความมั่นใจว่าจะคืนชีพให้คนตายทุกคน และยังมีคำสัญญาของเขา!
เขารับปากเฮ่าเฮ่าแล้วว่าไม่ว่าต้องจ่ายด้วยอะไรก็ต้องส่งอีกฝ่ายกลับบ้านให้ได้ คำพูดนี้คือสัญญา และเขาไม่มีวันผิดคำสัญญานี้!
การชนครั้งนี้ สิ่งที่พุ่งชนคือโชคชะตา การชนครั้งนี้ สิ่งที่พุ่งชนคือความไม่ยอมของซูหมิง การชนครั้งนี้ สิ่งที่พุ่งชนยังมีความปราถนาต่อบ้านเกิดของเขา และยังมีการตัดสินใจแน่วแน่ที่จะคืนชีพให้ใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้น
เมื่อนานปีก่อน หลังกระเรียนขนร่วงสิ้นชีพลง ซูหมิงพุ่งไปหาเสวียนจั้งที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ วันนี้ผ่านมานานปี เขา…ยังคงเอาหัวพุ่งชนกู่จั้งตรงหน้าด้วยความบ้าคลั่งแบบเดียวกัน!
หากไม่พุ่งชนกำแพงทางใต้ก็หันกลับไม่ได้ ต่อให้ไปถึงกำแพงทางใต้ก็ต้องพุ่งชนจนทลายแล้วมุ่งหน้าออกไปยังความกว้างใหญ่ นี่คือการตัดสินใจแน่วแน่ เป็นการตัดสินใจที่คนธรรมดาพูดเหมือนง่าย แต่ทำจริงกลับยาก!
กำแพงทางใต้นี้ ยาก!
ภาพเหตุการณ์เศร้าสลดนี้ แม้แต่พวกหลินตงตงยังตื่นตกใจ แต่เมื่อตื่นตกใจแล้วก็ตกใจระคนดีใจ พวกเขาสาปแช่งอย่างชั่วช้าว่าให้ซูหมิงสิ้นชีพไปด้วยดวงจิตไม่มอดดับของมหาจักรพรรดิ!
แต่คำสาปนี้ลิขิตไว้แล้วว่าจะไม่เป็นผลสำเร็จ เมื่อเกิดเสียงดังสนั่นฟ้าดิน เมื่อทั้งมิติชั้นสามพังพินาศลงทั้งหมด ศีรษะซูหมิงอาบไปด้วยเลือด มือขวาชายชุดคลุมดำแหลกเป็นจุล…ตอนนี้เองซูหมิงที่เสียสองมือไปใช้ปากกัดเข้าที่ยันต์บนรอยถลอกแล้วฉีกออกข้างๆ
ผนึก…สลายไป!
ตอนที่ 1459
ข้า ไม่มีน้ำตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ให้โลหิตสาดนภา!
ซูหมิงในตอนนี้ไม่มีแขนสองข้าง แต่การกระทำที่ใช้ปากฉีกยันต์แผ่นนั้นมีความยึดมั่น มีคำสัญญา และยังมีความใจร้อนที่ช่วงหลายปีมานี้หายไปจากตัวเขา!
เหมือนว่าความใจร้อนในครั้งก่อนจะเกิดขึ้นในเผ่าเขาทมิฬตอนยังเยาว์วัย ตนถูกท่านปู่ขังไว้ในบ้านไม่ให้ร่วมสงครามแห่งเขาทมิฬ ซูหมิงในตอนนั้นเคยบ้าคลั่งตาแดงก่ำ ตอนนี้ เขาเป็นเช่นนั้นอีกครั้ง
เดิมทีมันไม่ควรเกิดขึ้นในชีวิตตอนนี้ เพราะกาลเวลาผ่านมานานมากแล้ว ซูหมิงไม่ใช่เด็กน้อยในตอนนั้นแล้ว สติปัญญาเขาสูงส่งพอจะควบคุมความใจร้อนได้ เพียงแต่ว่า…คน ก็ไม่อาจเข้าใจได้ทุกเรื่อง บางครั้ง…ต้องเดินไปตามหัวใจตัวเอง
หากจะช่วยต้นพิสูจน์เต๋าฉีกฟ้าอย่างเยือกเย็น ซูหมิงก็ไม่ควรสู้สุดชีวิตเพื่อเด็กชายเฮ่าเฮ่าแบบนี้ ถึงอย่างไรคนก็มีความเห็นแก่ตัว แม้เด็กชายนามเฮ่าเฮ่าจะเคยช่วยเขาก็ตาม
แต่หากยอมจ่ายทุกอย่างเพียงเพราะอีกฝ่ายเคยช่วยตน มิหนำซ้ำ…นั่นยังมีอันตรายเป็นตายที่คาดการณ์ไม่ได้อีก สำหรับซูหมิงที่มีความยึดมั่นปรารถนาจะคืนชีพใบหน้าคุ้นเคยทั้งหมดแล้ว บางทีเขาไม่ควรทำแบบนี้
เพราะการฉีกยันต์นั้นย่อมมีอันตราย หากถึงแก่ชีวิต ความพยายามทุกอย่างที่เขาทำมาก่อนหน้าจะสูญเปล่า มองจากมุมคนมีสติปัญญา ไม่ว่ามองอย่างไร ซูหมิงทำแบบนี้ก็ดูโง่เขลาอย่างยิ่ง
แต่ว่า…บางครั้งสติปัญญาไม่ใช่ทุกอย่าง ความเยือกเย็นไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ละอายใจต่อตัวเอง!
การทำสิ่งที่ไม่ละอายใจต่อตนเองพูดเหมือนง่าย แต่จะทำจริงๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำตามความรู้สึกในใจตัวเอง สำหรับผู้มีบุญคุณแล้ว ต่อให้อันตรายก็ต้องตอบแทน ที่มากกว่านั้นคือเพราะเสียงของเฮ่าเฮ่าที่อยากกลับบ้านสะเทือนใจซูหมิงอย่างยิ่ง
เจ้าช่วยข้า ข้าช่วยเจ้า หรืออาจจะ…ข้าช่วยเจ้า เจ้าช่วยข้า ประโยคง่ายๆ แต่หากทำภายใต้สติปัญญาเหมือนจะเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะราคาต้องจ่ายที่มหาศาล แต่ซูหมิงก็ยังเลือกแบบนี้
ซูหมิงในตอนนั้นไม่ได้ตรึกตรองถึงความถูกผิด ไม่ได้ใคร่ครวญถึงความคุ้มค่า เขาเพียงแค่อยากช่วยเด็กคนนั้นจากส่วนลึกในใจก็เท่านั้นเอง อยากช่วยให้เขา…กลับบ้าน
ยามนี้มวลอากาศเกิดเสียงครึกโครม เมื่อร่างเงาซูหมิงลอยลงมา เมื่อเขาฉีกยันต์แผ่นนั้น รอยถลอกผนึกพลันแตกออก ก่อนเผยเป็นช่องโหว่หนึ่ง!
ทันทีที่ช่องโหว่นี้ปรากฏขึ้น ทั้งมิติชั้นสามพังทลายลงทันที มวลอากาศพังพินาศแฝงไว้ด้วยการทำลายล้างที่ฝังทุกชีวิตได้ ช่วงที่กวาดล้างไปรอบๆ ร่างซูหมิงตกลงมาข้างล่าง ทว่าตอนนี้ข้างกายเขามีร่างเงาขยับวูบวาบ เด็กชายนามเฮ่าเฮ่าได้เห็นทางกลับบ้านอย่างชัดเจนแล้ว
ทว่าเขาไม่ได้เดินหน้าไปทันที แต่มาปรากฏข้างกายซูหมิง กอดร่างซูหมิงเอาไว้
“เจ้าช่วยเฮ่าเฮ่า เฮ่าเฮ่าก็จะช่วยเจ้า…” ช่วงที่เสียงเยาว์วัยดังแว่วเข้าถึงหูซูหมิง ซูหมิงยิ้ม เขามองเด็กชายนามเฮ่าเฮ่าที่กอดตนไว้พลางบินขึ้นไปยังรอยถลอกบนฟ้า
“พวกเรา…กลับบ้าน” เฮ่าเฮ่ากล่าวเสียงเบา นัยน์ตาฉายแววปรารถนาต่อบ้านเกิด
“กลับบ้าน” ซูหมิงพึมพำ หลับตาลง เฮ่าเฮ่ากอดร่างเขาพากันเป็นสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในช่องโหว่รอยถลอกราวกับดาวตก
ขณะเดียวกัน มิติชั้นสามพังลงเป็นเสี่ยงๆ พลังทำลายล้างกวาดล้างไปรอบๆ ตอนนี้เองหลินตงตงกับองค์ชายรองและยังมีร่างเงาไร้หัวนั้น สามคนจึงต้องกลายเป็นสายรุ้งยาวมุ่งหน้าไปยังช่องโหว่รอยแตกนั้นพร้อมกับที่มิติชั้นสามถล่มลง
มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดได้ หากอยู่ที่นี่ แม้แต่ขั้นพลังอย่างหลินตงตงยังต้องสิ้นชีพไปพร้อมกับมิติชั้นสาม
ร่างเงาพวกเขาพุ่งเข้าไปในรอยแยก แทบเป็นพริบตาที่พวกเขาหายไปตัวไป ทั้งมิติชั้นสามเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มิติชั้นสามแหลกสลายหายไปในมวลอากาศท่ามกลางเสียงดังครึกโครม!
เมื่อมิติชั้นสามพังลงก็เหมือนกับดวงตาคนค่อยๆ ปิดลง จนเมื่อหลับตาสนิท โลกเป็นสีดำ ทุกอย่างหายไปราวกับว่าไม่มีอยู่อีก…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แสงตะวันส่องบนเปลือกตา ประหนึ่งว่าผ่านเปลือกตาเข้ามาหล่อหลอมกับลูกตา ทำให้รู้สึกว่าโลกไม่เป็นสีดำอีก แต่กลายเป็นสีชมพู ซูหมิง…ลืมตาขึ้นช้าๆ
สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตะวันอบอุ่นไม่แสบตาบนฟ้าคราม แสงตะวันส่องในดวงตา ตามมาด้วยเสียงเฮ่าเฮ่าดังแว่วมา
“เจ้าตื่นแล้ว” เสียงนั้นมีความเบิกบานใจ ตอนที่ดังแว่วเข้าถึงหูซูหมิง ซูหมิงลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองเฮ่าเฮ่าที่นั่งอยู่ข้างกาย
เด็กชายน้อยวัยห้าหกขวบกำลังยิ้มอย่างร่าเริง รอยยิ้มนั้นบิรสุทธิ์มาก เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข แฝงไว้ด้วยความงดงาม เพียงแต่เทียบกับซากปรักหักพังรอบๆ แล้ว เหมือนว่าความงดงามและความสุขนี้จะเป็นสิ่งล้ำค่าที่แตกต่างไปอย่างชัดเจน
แผ่นดินใหญ่โดยรอบ ซากปรักหักพังมีฝุ่นเกาะ ราวกับว่าถูกฝังอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว
ยังเห็นแม่น้ำภูเขาในอดีตรางๆ ยังคงได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขแว่วๆ เพียงแต่ลมหายใจต่อมา สิ่งที่เห็นรางๆ หรือได้ยินแว่วๆ กลายเป็นความว่างเปล่าถูกทำลายล้าง หลงเหลือเพียงร่องรอยหลังไฟลุกโหม
กลิ่นอายมรณะอบอวลอยู่รอบๆ บางทีมันอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากความตาย บางที…อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตมานานมากแล้ว ดังนั้นจึงค่อยๆ เกิดความแปลกตา เกิดความเงียบสงบ เกิดกลิ่นอายมรณะ
“ที่นี่…” ซูหมิงละสายตาจากรอบๆ ในดวงตาเขาสะท้อนเป็นซากปรักหักพังทั้งหมดหลังกวาดสายตามองไปรอบๆ ยืนยันได้ว่าที่นี่เคยรุ่งเรืองมาก่อน
“ที่นี่คือบ้านของเฮ่าเฮ่า แต่…หน้าตาเปลี่ยนไปแล้ว ข้าเลยหาไม่ค่อยจะเจอ แต่ข้าจำแสงตะวันที่นี่ได้ จำคืนมืดที่นี่ได้ และก็จำกลิ่นอายที่นี่ได้” เฮ่าเฮ่าเงียบไปครู่หนึ่งดูจิตตกเล็กน้อย แต่ก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังคงยิ้มอย่างเบิกบานใจ ราวกับว่าเขานำความทุกข์ทั้งหมดของตนฝังลึกไว้ในก้นบึ้งหัวใจ บอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่าต้องมีความสุข ต้องพอใจ เพราะที่นี่คือบ้านของเขา
รอยยิ้มนั้นสะท้อนในดวงตาซูหมิง เขาเหมือนมองเห็นน้ำตา ขณะเงียบอยู่นี้ซูหมิงก็พบว่าแขนสองข้างที่เดิมทีหายไป ตอนนี้กลับมาใหม่แล้ว นี่ทำให้เขาเกิดความคิดบางอย่าง ยามที่มองเฮ่าเฮ่าอีกครั้ง เขาเห็นว่าร่างเฮ่าเฮ่าเลือนรางกว่าก่อนตนหมดสติไปอีก
“เจ้า…” ซูหมิงถอนหายใจเบาแล้วใช้มือขวาลูบหัวเฮ่าเฮ่า เด็กชายวัยห้าหกขวบมองซูหมิงอย่างสบายใจ ภายในสีหน้าและดวงตามีความไว้ใจเด่นชัด
“เจ้าช่วยเฮ่าเฮ่า เฮ่าเฮ่าก็จะช่วยเจ้า” เด็กชายน้อยยิ้มใสซื่อกว่าเดิม ยามที่มองซูหมิง ความไว้ใจในแววตาเขาเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม
นี่คือเด็กน้อยที่กลัวความโดดเดี่ยว ซูหมิงเป็นที่พึ่งเดียวของเขา เขาไม่อยากเสียซูหมิงไป เพราะแบบนั้น เขาก็จะกลับไปโดดเดี่ยวอย่างเคยอีก
เขากลัวความโดดเดี่ยวแบบนั้น
ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ถึงพยักหน้าให้ ก่อนนั่งขัดสมาธิหลับตาลงช้าๆ ในโลกแปลกตาแห่งนี้ แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกแปลกตามากนัก แต่พลังต่างหากคือทุกอย่าง ยามนี้ขณะนั่งฌาน แทบจะเพิ่งโคจรพลังก็พบว่าพลังที่เฮ่าเฮ่าส่งมาก่อนหน้าถูกหล่อหลอมในร่างกายตนไปเล็กน้อยแล้ว
ถึงจะหล่อหลอมไม่มาก แต่ก็ทำให้เต๋าสูงศักดิ์ขั้นหกในดวงตาที่สามของซูหมิงเกิดเงามายาที่เจ็ด อีกทั้งด้วยพลังมหาศาลในร่างกาย เขาจึงรู้สึกเด่นชัดว่าหากตนหล่อหลอมพลังทั้งหมดได้ เขาจะ…รวมเต๋าสูงศักดิ์ร่างที่แปดออกมาได้ บรรลุขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์
เวลาผ่านไปช้าๆ เมื่อถึงยามโพล้เพล้ ฟ้าดินค่อยๆ มืดลง จนกระทั่งมีจุดดาราบนฟ้าค่ำคืน ซูหมิงลืมตาขึ้นเห็นเฮ่าเฮ่ากำลังมองฟ้าด้วยสีหน้าสับสนอยู่ข้างๆ ในความสับสนนั้น ซูหมิงเหมือนเห็นน้ำตาตรงหางตาเฮ่าเฮ่า
แต่ตอนที่เพ่งมองไปกลับไม่มี
เวลาผ่านไปแบบนี้ทีละวัน ครึ่งเดือนต่อมา ซูหมิงพาเฮ่าเฮ่าเดินผ่านซากปรักหักพัง เดินอยู่ในโลกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ เดินไปแบบนี้เรื่อยๆ
พวกเขาผ่านเมืองรกร้างหลายแห่ง ไม่มีร่างเงาคน แม้แต่พวกองค์ชายใหญ่ยังถูกแยกกันหลังมาถึงโลกนี้ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
“ที่นี่เคยมีทะเลสาบ…” เฮ่าเฮ่ายืนอยู่ตรงริมขอบคล้ายอุโมงค์ธรรมชาติ มองอุโมงค์อยู่พักใหญ่ก่อนพูดเสียงเบา
“ข้ายังจำที่นี่ได้…” เฮ่าเฮ่าหลับตาลง ภายในเสียงคลับคล้ายว่ามีความทรงจำ
ซูหมิงยืนอยู่ข้างๆ มองอุโมงค์ธรรมชาติที่เคยเป็นทะเลสาบ มองรอยแตกกับฝุ่นธุลีภายใน หวนรำลึกถึงอดีตเป็นเพื่อนเฮ่าเฮ่า หลายวันต่อมา ตอนที่พวกเขาจากไป อุโมงค์ธรรมชาติยังอยู่
พวกเขาเดินผ่านซากปรักหักพัง ผ่านแม่น้ำภูเขาในอดีต เดินมาถึงริมทะเล ตอนที่มองไปมหาสมุทรกลายเป็นทะเลทราย มองไปสุดลูกหูลูกตาเหมือนกัน ทว่าสิ่งหนึ่งเป็นตัวแทนของชีวิต อีกสิ่งหนึ่งเป็นตัวแทนความเงียบสงัด
หนึ่งเป็นเส้นแห่งทะเล อีกหนึ่งเป็นขอบแห่งดินทราย ยังคงกว้างใหญ่ไพศาล แต่สภาพแวดล้อมต่างคนก็ต่าง
“เก้าแผ่นดิน วิญญาณผีเสื้อเก้าตัว พวกมันเคยล้อมรอบกายข้า แต่ตอนนี้…ไม่อยู่แล้ว” เฮ่าเฮ่าก้มหน้าลง ย่อตัวลงคว้าดินทรายที่นี่ขึ้นมา มองไปมองมาพลางพูดเสียงดังก้อง
ซูหมิงถอนหายใจเบา เขาเข้าใจความขมขื่นในใจเด็กชายคนนี้ จึงใช้มือขวาลูบหัวเขาเบาๆ จนกระทั่งเฮ่าเฮ่ายืนขึ้นกอดซูหมิง เด็กชายห้าหกขวบคนนี้เหมือนร้องไห้
“ข้าคือต้นพิสูจน์เต๋า ข้า…ไม่มีน้ำตา แต่ข้าอยากร้องไห้ กลับมาที่นี่แล้ว ในใจข้าเป็นทุกข์…” ผ่านไปนานเด็กชายน้อยเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงพลางพึมพำ
พอได้ฟังเสียงเยาว์วัย ซูหมิงรู้สึกสะเทือนใจอีกครั้ง เขามองเด็กชายน้อย นั่งยองลงกอดเขาเอาไว้กับตัว
“ทุกอย่างจะดีเอง” ซูหมิงอุ้มเขาพลางเดินไกลออกไป เสียงเขายังคงดังกังวานรอบๆ อยู่นานไม่หายไป เหมือนเป็นคำสัญญาที่งดงาม
“พาข้าไปใจกลางที่โอบล้อมด้วยเก้าแผ่นดิน ที่นั่น…คือที่ที่ข้าเกิด” เด็กชายวัยห้าหกขวบที่เอาหน้าซุกบ่าซูหมิงพูดเบาๆ
ตอนที่ 1460
เพื่ออะไร
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดินผ่านแม่น้ำภูผา ผ่านซากปรักหักพัง มองไปมีแต่ฝุ่นธุลี มองไปเป็นทะเลทรายทั้งหมด…
เหมือนกับดอกไม้สีสันสวยงามในลมหายใจก่อนหน้าในกาลเวลา แต่ในลมหายใจนี้กลับโรยรา ใบหน้าใครไม่แก่หง่อม ลมหายใจใครยังอยู่ อดีตของใคร…ไม่งดงาม
นั่งอยู่ตรงหน้าซากปรักหักพัง มองตะวันยามอัศดงลาลับฟ้า นั่งอยู่ข้างแม่น้ำภูผา มองยามโพล้เพล้ เสียงหัวเราะเหมือนข้ามผ่านกาลเวลามาดังก้องข้างหูแว่วๆ ทำให้ตอนที่ก้มหน้าลงบ่อยครั้ง จะแยกไม่ออกว่าเป็นความงดงามในอดีตหรือการพังพินาศในตอนนี้ ระหว่างพวกมันมีเหตุและผลอย่างไร แฝงไว้ด้วยวัฏจักรแบบใด ถ้าไม่อย่างนั้น…โลกเหมือนกัน แต่เหตุใดช่วงระหว่างลืมตากับหลับตาทุกอย่างถึงเปลี่ยนไป
ช่วงตะวันแรก ตรงริมทะเลทราย มีร่างเงาซูหมิงอุ้มเด็กชายน้อยอยู่ ช่วงตะวันแรกขึ้น ภายในแม่น้ำภูผาก็มีเงาซูหมิงยืดยาวไป เหมือนจะติดตามไปชั่วนิรันดร์ ราวกับว่ากลายเป็นเงาที่โลกนี้มีอยู่ ชี้นำพายุหิมะให้มาถึง
เดินในยามเที่ยงวัน เดินในสี่ฤดูกาล…
ผ่านทะเลทราย ผ่านแผ่นดินใหญ่ มุ่งหน้าสู่ใจกลาง เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีทิศทาง และก็ไม่ยอมเหาะเหิน เพียงแค่เดินไปในโลกที่เคยงดงามนี้ ราวกับเดินบนเส้นทางแสวงหาเต๋าของตนเอง
หนึ่งปี สองปี สามปี…จนกระทั่งร้อยปี
ในร้อยปีนี้ซูหมิงยังคงรูปลักษณ์เดิม เด็กชายน้อยยังคงอยู่ในอ้อมกอด สองคนไม่เปลี่ยนไป ประหนึ่งว่าโลกนี้ก็ไม่เปลี่ยน ยังคงดังเดิม
ยามฤดูใบไม้ผลิ หมื่นสรรพสิ่งคืนชีพ แต่โลกนี้ไม่เห็นสีเขียว ไม่เห็นดอกไม้ และก็ไม่มีช่วงที่ควรจะหักดอกไม้ ในฤดูร้อน ความร้อนระอุแผ่กระจาย ทั้งแผ่นดินใหญ่ในสายตาถูกคลื่นความร้อนบิดเบี้ยว และก็มีเพียงตอนนี้เท่านั้นถึงจะเห็นว่าในความบิดเบี้ยวของซากปรักหักพังกับแม่น้ำภูเขามีร่างเงาคนจำนวนหนึ่งที่อาจจะเคยมีอยู่ในกาลอดีต
เพียงแต่ร่างเงาบิดรูป ในเมื่ออธิบายไม่ได้ สิ่งที่เห็นจึงเป็นเพียงความทรงจำ
ฤดูใบไม้ร่วง เพราะฤดูใบไม้ผลิไม่มีสีเขียว ดังนั้นในฤดูใบไม้ร่วงจึงไม่เห็นสีแดง มีเพียงกลุ่มเมฆเรืองรองที่จะปรากฏเป็นบางครั้งบนฟ้า คล้ายกับว่าเพราะความจำเจของแผ่นดินใหญ่มันจึงทนไม่ไหว เลยเผยตัวออกมาให้ความหวังกับมวลมนุษย์
ในฤดูหนาว หิมะตก สายลมหิมะพัดผ่านตลอดวัน มองไปโลกเป็นความกว้างใหญ่ มองไม่เห็นไกลๆ เห็นเพียงหิมะที่ไม่รู้จำนวนแน่ชัด ในระหว่างที่โปรยปรายลงมายังอยากจะปะทะกัน ทว่าคนที่ตัดสินใจให้เกล็ดหิมะสองส่วนชนกันหรือไม่นั้นไม่ใช่พวกมัน แต่เป็นสายลม
แต่ไม่ว่าสายลมจะยินยอมหรือไม่ ช่วงที่หิมะตกลงพื้น พวกมัน…ยังคงค่อยๆ ชนกัน เพียงแต่สองฝ่ายที่พบกัน อาจจะไม่ใช่ใบหน้าที่ตกลงมาพร้อมกัน
ในสายลมหิมะ ซูหมิงกอดเด็กชายน้อยเดินไปเรื่อยๆ ผ่านฤดูหนาว เข้าฤดูใบไม้ผลิ ส่งฤดูร้อน หลังเห็นสีแดงฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ยังเป็นวันสายลมหิมะ
กาลเวลาผ่านไปอีกสองร้อยปี พวกเขาเริ่มเห็นซากศพในโลกที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บ้างแหลกละเอียด บ้างเป็นสีเทา บ้างยังคงสภาพก่อนตาย
ซากศพเหล่านั้นส่วนใหญ่แห้งกร้าน บ้างอยู่ในซากปรักหักพังในเมืองจำนวนมาก บ้างกระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน แม่น้ำภูเขาหรือในทะเลทราย
ซากศพนับไม่ถ้วน ในนั้นมีบางส่วนเป็นชายหญิงกอดกันก่อนตาย บ้างก็มารดาปกป้องลูกโดยสัญชาตญาณ กอดกันหวนคืนสู่อากาศธาตุเงียบๆ
ซากศพเหล่านั้นทำให้เด็กชายน้อยเศร้าโศก ซูหมิงจึงฝังพวกเขาด้วยกันกับเด็กชายน้อย ฝังร่างไปทีละเมือง ฝังไปทุกแห่งหน…
จนกระทั่งฤดูร้อนในปีนี้ ยามบ่ายฝนตกพรำๆ ซูหมิงกอดเด็กชายน้อยมาหยุดอยู่หน้าเมืองที่มองไกลๆ ใหญ่ยักษ์ยิ่ง เขาเห็นว่าบนเมืองมีร่างเงาไร้หัวนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
นี่คือเมืองใหญ่ยักษ์เมืองที่สามที่ซูหมิงเห็นบนแผ่นดินที่สาม ที่นี่…คือใจกลางแผ่นดินในอดีต เป็นที่ตั้งเมืองหลวง
เหมือนกับเมืองหลวงแคว้นกู่จั้ง แต่ความจริงแล้วโลกที่เคยรุ่งเรืองในอดีตนี้ แผ่นดินใหญ่หนึ่งแห่งของมันก็เทียบเท่ากับทั้งแคว้นกู่จั้งแล้ว
ซูหมิงมองร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิบนเมืองด้วยแววตาซับซ้อน เขาจำได้ นี่คือร่างเงาที่ติดตามข้างกายองค์ชายรอง คือศิษย์พี่ใหญ่ในความทรงจำตน
เพียงแต่ว่าในแคว้นกู่จั้ง เขาไม่ใช่คนที่ซูหมิงคุ้นตาเป็นคนแรก แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น เสียงถอนหายใจเบาจากก้นบึ้งหัวใจก็ยังคงดังก้องในใจ ดังอยู่นานไม่เลือนหาย
ร่างเงาไร้หัวนั้นแน่นิ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเมืองประชันหน้ากับซูหมิง แต่ไม่มีพลังชีวิต และก็ไม่มีกลิ่นอายมรณะอบอวล เหมือนว่าถูกผนึกไว้ตรงนั้น กลายเป็น…รูปปั้น
ขณะเดียวกันประตูใหญ่ของเมืองพลันเปิดออกเอง ก่อนมีทหารสวมเกราะดำเดินออกมาช้าๆ ทีละขบวนพร้อมกับเสียงแผ่นดินสะเทือนที่พร้อมเพรียงกัน ทุกร่างเงาในนั้นอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายมรณะเข้มข้น ความเข้มของกลิ่นอายพลังนี้ทำให้พริบตาเดียวก็ปั่นป่วนฟ้า แสงตะวันยามบ่ายเหมือนกลายเป็นสีดำ
ร่างเงาเหล่านั้น พวกเขาคือคนของแผ่นดินใหญ่นี้ หลังจากตายมาไม่รู้กี่ปี ตอนนี้ถูกหลอมให้เป็นหุ่นเชิดศพ กลายเป็นเกราะดำ ทำให้เมืองแห่งนี้เปลี่ยนจากเมืองมรณะเป็นโลกของหุ่นเชิดศพ
“สหายเก่ามาพบกันในต่างเมือง ข้าดีใจมาก เชิญ!” ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก มีเสียงน่าเกรงขามดังก้องภายในพระราชวังในเมือง ดังกังวานไปรอบๆ จนเข้าถึงหูซูหมิง
เสียงนั้นเป็นขององค์ชายรอง
ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนอุ้มเด็กชายน้อยเดินผ่านหุ่นเชิดศพเกราะดำเหล่านั้น เดินผ่านเข้าไปในเมือง ภายในเมืองเขาเห็นร่างเงานับไม่ถ้วน ร่างเงาเหล่านั้นล้วนเป็นหุ่นเชิดศพ มองแวบแรกทั้งเมืองดูรุ่งเรือง แต่หากมองดีๆ กลับเป็นความว่างเปล่า
ซูหมิงเดินผ่านกลุ่มคนจนมาอยู่นอกพระราชวังในเมือง เขามองประตูวังที่เปิดอ้า มองไปประหนึ่งมองผ่านวิหารแต่ละแห่งจนไปเห็นร่างเงานั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิในตำหนักตรงกลาง
นั่นคือร่างเงาสวมชุดคลุมจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ เพียงแต่ว่าตัวเขาอยู่ในเงามืด จึงมองเห็นไม่ชัดมาก
ซูหมิงเดินไปตามทางหินสีดำเงียบๆ เดินขึ้นบันได จนเดินมาถึงตำหนักตรงกลางก็พบชายผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิ
ใบหน้าเหมือนกับองค์ชายรองทุกประการ แต่ในความรู้สึกซูหมิง ได้เปลี่ยนเป็นความคุ้นเคยในอดีตแล้ว
“ตี้เทียน” ซูหมิงพูดเสียงเบา
“ข้าเอง!” ชายสวมชุดคลุมจักรพรรดิได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม ก่อนลุกพรวดขึ้นเดินออกมาจากเงามืด แม้หน้าตาจะต่างกับตี้เทียนในความทรงจำ แต่กลิ่นอายพลังนั้น นอกจากตี้เทียนแล้วก็ไม่มีใครอื่น
ภายในดวงตาขวาตี้เทียนยังคงมีน้ำวน น้ำวนนั้นคลับคล้ายว่าถูกผนึกไว้ เพียงแต่ตอนนี้มีวิญญาณที่กำลังร้องคำรามดิ้นรนถูกผนึกอยูในน้ำวน วิญญาณนั้นก็คือองค์ชายรอง
ในเวลาสองร้อยปี ซูหมิงไม่รู้ว่าตี้เทียนพลิกกลับมาเป็นนายได้อย่างไร แต่ดูแล้วด้วยทักษะของตี้เทียน ด้วยแผนการที่เขาเคยวางต่อซูเซวียนอีมาหมื่นปี อีกทั้งหลังโลกซางเซียงถูกทำลายยังเชื่อมรูปแบบชะตากับซูหมิงผ่านพ้นภัยมาได้ จะเห็นได้ชัดว่า…องค์ชายรองเล็กจ้อยคนนี้ไม่มีทางควบคุมเขาไว้ได้ ขอเพียงให้โอกาส เขาจะมาแทนที่องค์ชายรองได้
“ซูหมิงแห่งซางเซียงตัวที่เจ็ด ผู้ฝึกฌานที่เป็นโอรสสวรรค์สูงสุดในไม่รู้กี่ยุค ได้เห็นซางเซียงถูกทำลายล้างกับตาตัวเอง อยู่ต่อหน้าเสวียนจั้งแล้วยังเลือกลงมือยึดร่าง พวกเรา…ไม่ได้พบกันนานเลย” ตี้เทียนกล่าวเรียบๆ พลางเดินหน้าหนึ่งก้าว เสียงเขาดังกังวานไปรอบๆ สะเทือนทั้งตำหนัก ขณะเดียวกันฟ้าดินข้างนอกยังปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม
“เพราะเจ้าข้าถึงผ่านภัยมรณะมาได้ เพราะเจ้าข้าถึงเข้ามาในโลกมายานั้นด้วย หลายปีมานี้ ข้าถูกองค์ชายรองน่าหัวร่อนั่นกดขี่ แต่ข้าเข้าใจมาตลอดว่าข้าคือตี้เทียน ไม่ใช่องค์ชายรองอะไรนั่น เพราะเขาเป็นเพียงองค์ชาย แต่ข้า…คือจักรพรรดิแห่งเผ่าเซียน!” ตี้เทียนเดินหน้าอีกก้าว หนึ่งก้าวเหยียบลงมายืนอยู่ตรงหน้าซูหมิง สบตากับซูหมิง
“หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าโลกที่พวกเราอยู่ตอนนี้…ต่างกับแคว้นกู่จั้ง? โลกของแคว้นกู่จั้งเป็นของปลอม แต่ที่นี่…คือของจริง!” ตี้เทียนสะบัดแขนเสื้อ ควันดำพลันอบอวล ชั่ววูบเดียวก็กลายเป็นโต๊ะยาวยักษ์ระหว่างเขากับซูหมิง
ข้างบนมีสุราวางอยู่มากมาย รอบๆ ยังมีหุ่นเชิดศพจำนวนหนึ่งล้อมรอบร้องและระบำอยู่ข้างๆ อย่างไร้เสียง เพียงแต่ท่าทางแข็งทื่อ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ รวมถึงแสงมืดสลัวของที่นี่ ทำให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยบรรยากาศพิลึก
“พบสหายเก่าในต่างแดน มาร่วมงานเลี้ยงกันดีกว่า ซูหมิง เจ้ากล้าดื่มสุราที่นี่หรือไม่?” ตี้เทียนยิ้มเล็กน้อย มองซูหมิงอย่างโอหังดั่งวันวาน
ซูหมิงเงียบ เขาอุ้มเด็กชายน้อยมองตี้เทียนตรงหน้า เริ่มมีสีหน้าเศร้าใจทีละน้อย เขาเศร้าใจตี้เทียนผู้โด่งดังในโลกซางเซียงหลงทางในโลกนี้
หรืออาจพูดได้ว่าเขายอมหลงทางเอง มิเช่นนั้นด้วยความแน่วแน่ทางจิตใจของตี้เทียนแล้ว หากเขาไม่ยอมก็ยากจะหลงทาง
“เจ้า…ทำเพื่ออะไร?” ซูหมิงถอนหายใจเบา สำหรับซูหมิงแล้ว ตี้เทียนเป็นทั้งศัตรูและสหายเก่า รูปแบบชะตาสองคนตัดขาดไปตอนที่ซูหมิงเคาะเสียงวิญญาณเต๋าเก้าครั้งแล้ว แต่ถึงอย่างไร…นี่ก็เป็นคนที่สองที่มีจิตสำนึกจำได้นอกจากเป้ยฉยง แต่ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายหลงทาง ความรู้สึกนี้ ซูหมิงได้แต่ทอดถอนใจ
เขามองตี้เทียน สุดท้ายก็มองรอบบัลลังก์จักรพรรดิข้างหลังตี้เทียน เขาเหมือนเห็นคำตอบตรงนั้น
“ซูหมิง เจ้ากล้าดื่มหรือไม่!” ตี้เทียนไม่ตอบคำถามซูหมิง แต่ยิ้มกล่าวขึ้น ดวงตาวาววับ ซูหมิงมองตี้เทียนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินออกไปนอกตำหนัก
ตี้เทียนข้างหลังหัวเราะเสียงดังกึกก้อง ยิ้มเหมือนกำลังส่งซูหมิง จนกระทั่งซูหมิงออกจากตำหนัก เสียงหัวเราะถึงค่อยๆ หายไป การร้องและระบำในตำหนักยังคงอยู่ ทว่าตี้เทียนกลับมีสีหน้าเศร้าโศกทีละน้อย
เขาหมุนตัวกลับเงียบๆ เดินไปอยู่ข้างบัลลังก์จักรพรรดิ รอบๆ บัลลังก์นั้นมีวงแหวนอาคมหนึ่ง ตอนนี้วงแหวนอาคมอยู่ในแสงอึมครึม เห็นรางๆ ว่ามีศพนอนอยู่หลายร่าง บนใบหน้าทุกร่างมีอักขระเขียนไว้ด้วยเลือด
ตี้เทียนยืนเหม่อมองซากศพเหล่านั้น ความเศร้าโศกทางสีหน้าค่อยๆ หายไป แต่แทนที่ด้วยความแน่วแน่
“ข้าเคยสัญญากับพวกเจ้าว่าจะคืนชีพพวกเจ้าในโลกใหม่นั้น…นี่คือคำสัญญาของข้า!” ตี้เทียนพึมพำ ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้จักรพรรดิช้าๆ ร่างเงากลับไปในเงามืด…มองเห็นไม่ชัด มองไม่เห็น
“มีเพียงข้าที่คิดว่าที่นี่เป็นของจริง หลังพวกเจ้าคืนชีพแล้วต่างหากถึงจะไม่สงสัยว่าที่นี่เป็นของปลอม ให้ข้าหลงทางคนเดียวแลกกับการให้พวกเจ้าคงอยู่ เรื่องนี้…ต่อให้ผิด ข้า…ก็ยอมรับ” ตี้เทียนมีสีหน้าขมขื่น ช่วงที่มองหุ่นเชิดศพที่ร้องและเต้นอย่างไร้เสียงจากในเงามืดนั้น เขาได้เริ่มได้ยินเสียงเพลง หุ่นเชิดที่แข็งทื่อในแววตาเกิดค่อยๆ มีความปราดเปรียวราวกับกลายเป็นสิ่งมีชีวิต เพียงแต่ว่าในสายตา เสียงถอนหายใจเบาของเขาไม่อาจขัดการร้องและเต้น ไม่ดังออกไปนอกตำหนัก ไม่มีใครได้ยิน
ตอนที่ 1461
สุราในชาตินี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
มองไม่เห็นตะวันบนฟ้า ทั้งผืนนภาอึมครึมราวกับถึงช่วงเวลาร้อยภูตผีเดินในยามค่ำคืน สิ่งที่ต้องการคือฟ้ายามค่ำคืน มิใช่ยามกลางวัน ซูหมิงเดินอยู่ในเมืองภายใต้ฟ้าแบบนี้ จนช่วงที่เข้าไปใกล้ประตูเมือง เขาหันกลับไปมองพระราชวังแวบหนึ่ง ตรงนั้น เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังตี้เทียนรางๆ
กลิ่นอายพลังนี้มีการจากลาแบบยากจะได้พบกันอีกอบอวลอยู่ในเมือง ราวกับว่าค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเมืองโบราณที่ตายมาไม่รู้กี่ปีนี้ มีชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง หลอกจิตสำนึกตัวเองให้บอกตัวเองว่าทุกอย่างที่นี่เป็นของจริง
ซูหมิงถอนหายใจเบา เขาเข้าใจความยึดมั่นของตี้เทียน นั่นคือการคืนชีพซากศพเหล่านั้นที่วางในวงแหวนอาคมข้างบัลลังก์จักรพรรดิ
‘มีเพียงตัวเองคิดว่าที่นี่คือของจริงเท่านั้น พอคืนชีพให้คนเหล่านั้นแล้วก็จะไม่คิดว่าที่นี่เป็นของปลอม ตี้เทียน…’ ซูหมิงเงียบ เขาเหมือนได้รู้จักร่างเงาที่มีบุญคุณความแค้นกับตนมาหลายพันปีในโลกซางเซียงอีกครั้ง
‘เขาเลือกหลงทางเพื่อคนที่เขาจะคืนชีพ ยอมจมปรักอยู่ที่นี่ เส้นทางของข้า…อยู่ที่ใด’ ซูหมิงเดินออกจากเมืองไปเงียบๆ ตอนถึงนอกประตูเมือง เขาหันไปมองอีกครั้ง มองร่างเงาไร้หัวที่นั่งขัดสมาธิดั่งรูปปั้นบนเมือง
‘ศิษย์พี่ใหญ่…’ ซูหมิงเพ่งมองร่างเงาบนเมืองอยู่นานจนกระทั่งเด็กชายน้อยในอ้อมกอดลืมตาขึ้น ซูหมิงจึงหมุนตัวกลับเดินไกลออกไป
“พี่ใหญ่ ท่านรู้จักร่างเงานั้นบนเมืองด้วยรึ?” เด็กชายน้อยนอนอยู่ในอ้อมอกซูหมิง เงยหน้าขึ้นมองบนเมืองนั้นก่อนถามขึ้นด้วยเสียงเบา
“นั่นศิษย์พี่ใหญ่ของข้าเอง” ซูหมิงไม่หันมามอง แต่พูดเบาๆ
เด็กชายน้อยไม่พูดอีก เอาแต่มองร่างเงาไร้หัวบนเมือง…
ซูหมิงไม่ได้รบกวนการฝึกฝนของศิษย์พี่ใหญ่ เพราะการเลือกของซูหมิงต่างกับตี้เทียน นั่นคือเส้นทางอีกแขนงหนึ่ง นั่นไม่ใช่การหลงทาง แต่ทำลายความว่างเปล่าทุกอย่าง ลืมตาสองข้างของตน แสวงหาโลกที่แท้จริง
หากยอมหลงทาง เช่นนั้นตอนนี้หลังจากที่ซูหมิงเลือกแล้วเข้าจะเข้าใจ เขาจะเห็นร่างเงาไร้หัวลืมตาขึ้น เห็นศิษย์พี่ใหญ่ในความทรงจำ กระทั่งเขาเชื่อว่าจะต้องมีวิธีให้ใบหน้าคุ้นตาคนอื่นๆ มาอยู่ตรงหน้าตนอีกครั้งในโลกนี้ได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า…ทุกอย่างยังคงเป็นของปลอม ซูหมิงไม่เลือกเส้นทางแบบนี้ เขาต้องเดินต่างกับตี้เทียน
เส้นทางนั้นยากยิ่งกว่า ยาวยิ่งกว่า ตี้เทียนเดินไม่จบเส้นทางนี้ เขาเลือกหลงทาง แต่ยามนี้ร่างเงาซูหมิงเดินไกลออกไปใต้ฟ้าอึมครึม ทว่ากลับมีความเงียบเหงาแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่ เขา…จะไม่ยอมทิ้งเส้นทางของตัวเองอย่างเด็ดขาด
ตี้เทียนไม่เดินต่อซูหมิงก็เข้าใจ แต่เขาจะต้องเดินให้ถึงปลายทาง!
ร่างเงาซูหมิงเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด จนกระทั่งลับเส้นขอบฟ้า หายไปนอกเมืองโบราณนี้ จากไปไกลลิบ
“ข้าเห็นน้ำตาตรงหางตาศิษย์พี่ท่าน…” เด็กชายน้อยที่นอนพาดอยู่บนบ่าซูหมิงพูดขึ้นเบาๆ
ซูหมิงหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับไปเพ่งมองเมืองที่มองไม่เห็นแล้วถอนหายใจเบา
เวลาผ่านไป สิบปี ยี่สิบปี…จนกระทั่งผ่านไปอีกร้อยปี
ซูหมิงเดินทางในโลกที่เคยรุ่งเรืองครบสามร้อยฤดูกาลแล้ว ผ่านไปทีละปี ทีละวัน เดินผ่านซากปรักหักพัง ผ่านแม่น้ำภูเขา ผ่านทะเลทราย ผ่านไปแต่ละแผ่นดินใหญ่
จนกระทั่งมาอยู่แผ่นดินใหญ่ที่หก ซูหมิงหยุดอยู่หน้าภูเขาลูกหนึ่งเงียบๆ หลับตาลง ก่อนนั่งฌานใต้ฟ้ายามค่ำคืนที่มีดาวเต็มฟ้า
นั่งครั้งนี้กินเวลาไปสิบปี
เมื่อซูหมิงลืมตาขึ้น ทั้งโลกเหมือนจะต่างไปเล็กน้อย เขาไม่สนใจพลังตัวเอง ไม่ตรวจสอบว่าบรรลุขั้นพลังใด ราวกับว่าทุกอย่างไม่สำคัญสำหรับเขาอีกแล้ว
เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับพลังตัวเอง แต่เป็นการตระหนักรู้ พลังกับกำลังรบเป็นเพียงสิ่งที่ติดมาระหว่างการตระหนักรู้ ไม่ใช่จุดสำคัญ
“ไปเถอะ” ซูหมิงยืนขึ้น เด็กชายน้อยจับชายเสื้อซูหมิงเดินตามไป เดินไกลออกไปด้วยกัน การผันแปรของเวลาไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะความยินยอมของคน ไม่นานก็ผ่านไปอีกเก้าสิบปี
ซูหมิงอยู่ในโลกนี้มาสี่ร้อยปีแล้ว เขามาถึงแผ่นดินที่เจ็ด ดินที่นี่เป็นสีดำ มองไกลสุดลุกหูลูกตา ไม่มีภูเขา ไม่มีแม่น้ำ ไม่มีพืช มีเพียงสีดำไร้ที่สิ้นสุดประหนึ่งถูกสาป
มองไกลๆ แผ่นดินดำที่ไม่มีเทือกเขาคล้ายกับทะเลสีดำ เพียงแต่ไม่มีคลื่น คล้ายๆ กับทะเลมรณะ…
บางทีบนทะเลแบบนี้อาจจะมีเรือโบราณที่ลอยล่องไปชั่วนิรันดร์ลำหนึ่ง คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือนั้นคือผู้เฒ่าเมี่ยเซิงในความทรงจำซูหมิง
‘เขาอยู่ที่นี่’ ช่วงที่ซูหมิงมาถึงแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ เขาถอนหายใจเบา ไม่ได้จงใจตามหาบนแผ่นดินนี้ แต่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังขององค์ชายใหญ่โดยธรรมชาติ หรืออาจพูดได้ว่า…กลิ่นอายพลังของหลินตงตง
กลิ่นอายพลังนี้ยุ่งเหยิง มีชีวิตของผู้เฒ่าเมี่ยเซิง และยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพลังของเหลยเฉิน บุตรของซูเซวียนอี เพื่อนเล่นในวัยเยาว์ซูหมิง
“พวกเราจะพบกันหรือ?” เด็กชายน้อยจับชายเสื้อซูหมิงพลางถามขึ้นเสียงเบา
“เขาจะพบพวกเรา” ซูหมิงก้มหน้าลงลูบหัวเด็กชายน้อย ตอบกลับเบาๆ พร้อมกับเดินไกลออกไป จนกระทั่งมาถึงฤดูหนาวปีที่สิบสี่บนแผ่นดินที่เจ็ด ซูหมิงยังคงเดินต่อไปท่ามกลางหิมะโปรยราย
ช่วงที่แผ่นดินที่นี่กลายเป็นสีขาวทีทีละน้อย ซูหมิงเห็นภูเขาลูกแรกบนแผ่นดินนี้ นั่นคือยอดเขาสูงเสียดเมฆคล้ายๆ กับมือคน
นั่นคือ…ภูเขาทมิฬในความทรงจำซูหมิง เดิมทีมันอาจจะไม่มีอยู่ แต่ถูกคนสร้างขึ้นมา ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น เขาเห็นบ้านหลังหนึ่งใต้ภูเขา นอกบ้านนั้นมีร่างเงานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
ร่างเงานั้น มองแวบแรกเป็นองค์ชายใหญ่ แต่มองครั้งที่สองกลายเป็นเหลยเฉิน ตอนที่ซูหมิงเข้ามาใกล้ เหลยเฉินลืมตาขึ้น
“เจ้ามาแล้ว” เหลยเฉินยิ้ม
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงยิ้มเช่นกัน ก่อนนั่งลงข้างเหลยเฉิน
“พวกเขาล่ะ?” ซูหมิงถามขึ้น
“หลังมาถึงโลกนี้แล้วพวกเราก็แยกจากกัน พวกเขาไปที่ใด…ข้าไม่รู้” เหลยเฉินยกมือขวาโบกไป พลันปรากฏไหสุราขึ้นระหว่างเขากับซูหมิงหลายไห
“พวกเรา…คงไม่ได้ดื่มสุราด้วยกันมานานมากแล้ว? ข้ายังจำตอนภูเขาทมิฬได้ พวกเราไปขโมยสุราท่านปู่ด้วยกัน แล้วมานั่งแบบนี้ใต้ภูเขา” เหลยเฉินพูดเสียงเบา นัยน์ตาฉายแววหวนรำลึก
ซูหมิงเงียบ ครู่ต่อมาถึงหยิบไหสุราขึ้นมาวางไว้ตรงริมฝีปาก แต่กลับไม่พบสุราในนั้น มันว่างเปล่า…ทว่าของเหลยเฉิน ซูหมิงเห็นว่ามีน้ำสุราไหลมาจากมุมปาก ตกลงพื้นหิมะ
ภาพนี้ทำให้ซูหมิงมีสีหน้าเศร้าใจ ก่อนวางไหสุราลงช้าๆ
“เหตุใดถึงไม่ดื่ม? เจ้าก็รู้…กว่าพวกเราจะมาดื่มสุราครั้งนี้ได้ ข้า…รอเจ้ามาสี่ร้อยปี” เหลยเฉินยิ้มมองซูหมิง สีหน้าค่อยๆ เผยการผ่านโลกมาอย่างเนิ่นนาน
“เพราะเหตุใด?” ซูหมิงมองเหลยเฉินพลางถามขึ้นด้วยเสียงเบา
“เหนื่อยแล้ว…เหนื่อยล้าจากก้นบึ้งหัวใจ หลายปีมานี้ เหนื่อยมากๆ…” เหลยเฉินมีสีหน้าขมขื่น หลังหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่แล้วก็พ่นลมหายใจยาว
“ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ข้าพอใจมาก ที่นี่มีเจ้า มีท่านปู่ มีท่านพ่อ มีชาวเผ่าเขาทมิฬ และก็มีโลกของข้า” เหลยเฉินยิ้ม ภายในรอยยิ้มเปี่ยมล้นไปด้วยความพอใจ
“ข้าเสียดายอยู่อย่างเดียว ผ่านมานานมากแล้วก็ยังไม่ได้ดื่มสุรากับเจ้า…ชาติก่อน เจ้าคือพี่น้องข้า…ชาตินี้ เจ้าดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?” เหลยเฉินมองซูหมิง ดวงตาใส รอการเลือกของซูหมิง
ซูหมิงเงียบ เด็กชายน้อยข้างกายตึงเครียดขึ้นมา เขาจับชายเสื้อซูหมิงเหมือนว่าการเลือกครั้งนี้ ต่อให้เป็นเขาก็ยังเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่ง
“พี่ใหญ่…อย่าเลือกแบบนี้…” เฮ่าเฮ่ามองซูหมิง แทบจะเพิ่งกล่าวขึ้น ซูหมิงหยิบไหสุราขึ้นมาแล้ว
ถือไหสุราอยู่อย่างนั้นเงียบๆ หลับตาลงช้าๆ เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงหิมะโปรยปราย เหมือนไม่สนใจการมาและจากไปของกาลเวลา จึงยังคงตกลงบนพื้นดิน…
เมื่อซูหมิงลืมตาอีกครั้ง มองหิมะแห่งฟ้าดิน มองภูเขาทมิฬ มองเหลยเฉิน เขาเห็นอยู่รางๆ ว่านอกบ้านนั้น ความจริงแล้วเป็นชนเผ่าคุ้นตา ในชนเผ่าห่างไปไม่ไกลนัก ท่านปู่กำลังยืนมองอยู่ตรงนั้น ยังมีเป่ยหลิง เฉินซิน และยังมีใบหน้าในอดีตกำลังมองซูหมิง
ซูหมิงก้มหน้าลง ไหสุราในมือไม่ว่างเปล่าอีก แต่มีน้ำสุรา เพียงแต่ว่าเด็กชายน้อยข้างกายหายไปแล้ว
ซูหมิงมองเหลยเฉินก่อนดื่มสุราในไหไปอึกหนึ่ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเหมือนปลดปล่อยความเหนื่อยล้า สลายความซึมเศร้า ดื่มสุราด้วยกันกับเหลยเฉิน กับสหายคนแรกในชีวิต กับพี่น้องในชนเผ่าใต้ภูเขาทมิฬ
เวลาผ่านไป จากฟ้าสว่างมาเป็นคืนมืด เหลยเฉินกับซูหมิงส่งเสียงหัวเราะดังก้อง ดื่มสุราไปทีละไห พูดถึงเรื่องอดีต เอ่ยถึงความงดงามในอดีต
“ข้ายังจำตอนที่เจ้าเจอไป๋หลิงครั้งแรกได้ ฮ่าๆ หากไม่ใช่เพราะวันนั้นพวกเราไปที่ตลาดกลางของชนเผ่าพวกนั้น ข้าว่าเจ้าคงไม่เจอไป๋หลิงหรอก” เหลยเฉินวางไหสุราลง
“ข้าก็จำเด็กสาวที่เจ้าชอบในตอนนั้นได้ แต่ข้าไม่เห็นพ้องกับสายตาเจ้ามาโดยตลอด…” ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มงดงามมาก ราวกับว่ามีความไร้เดียงสาดั่งในอดีต ใสสะอาดบริสุทธิ์
เหลยเฉินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะทันที ก่อนส่ายหน้าเหมือนปลงอนิจจัง
“ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ยังเยาว์วัย ข้าเห็นเจ้ากับไป๋หลิงสนิทสนมกันมาก เลยคิดว่าข้าน่าจะมีคนใกล้ชิดไว้บ้าง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงคิดว่านางนั้นใช้ได้ เพียงแต่ตอนนี้นึกย้อนกลับไป ข้าจำนามของนางไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ”
ตอนที่ 1462
เจ้า ยังไม่เข้าใจอีกรึ?
โดย
Ink Stone_Fantasy
การดื่มสุราครั้งนี้ เริ่มจากฟ้าสว่างยันยามค่ำคืน จากยามค่ำไปจนฟ้าสาง ดื่มหมดทีละไห ทีละอึก จนกระทั่งยามรุ่งอรุณ ท่ามกลางฟ้าดินสีดำ เหลยเฉินเมาแล้ว เขาหยิบไหสุราของตนขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ตอนที่วางลงก็หลับตาสนิท
ซูหมิงวางไหสุราลงเงียบๆ มองเผ่าเขาทมิฬรอบๆ มองแสงไฟ เพียงแต่ระหว่างเขากับที่นี่มีความขมุกขมัวขวางอยู่หนึ่งชั้น ซูหมิงรู้ว่าหากตนฉีกความขมุกขมัวนี้ เขาจะหลอมรวมเข้าไปที่นี่
เพียงแต่…ถอนหายใจเบา ทันทีที่ซูหมิงวางไหสุราในมือ เขาหลับตาลง
“เหลยเฉิน ภพก่อนเจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ชีวิตนี้…ข้าจะดื่มสุราเป็นเพื่อนเจ้าจนหมด” ซูหมิงพึมพำ เมื่อลืมตาอีกครั้ง เหลยเฉินยังคงอยู่ตรงหน้าเหมือนเมาแล้ว เพียงแต่ชนเผ่ายังไม่หายไป สายลมหิมะสั่งสมจนหนาหนึ่งชั้น ภูเขาทมิฬไกลๆ เลือนราง เฮ่าเฮ่าก็ปรากฏข้างกายซูหมิง กำลังจับชายเสื้อเขาพลางมองด้วยความตึงเครียด จนกระทั่งเห็นความใสในแววตาซูหมิง เขาเหมือนถอนหายใจโล่งอก
ซูหมิงมองเหลยเฉิน ช่วงที่ก้มหน้าลง ภายในไหสุรายังคงว่างเปล่า ผ่านไปพักใหญ่…ซูหมิงยืนขึ้น ไม่กล่าวใดๆ แต่อุ้มเฮ่าเฮ่าฝ่าพายุหิมะเดินไกลไป
นี่คือการเลือกของเหลยเฉิน เขาเลือกเส้นทางเหมือนกับตี้เทียน เลือกหลงทาง ตี้เทียนยอมหลงทางเพื่อคืนชีพคนข้างกาย เพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าโลกนี้เป็นของจริง ส่วนเหลยเฉิน…
เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ เขาเหนื่อย เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ไม่ยอมเดินต่อไปแล้ว และก็ไม่อยากเดินต่อไปด้วย เพราะในตัวเขาแบกรับความขมขื่นเอาไว้มากมายยิ่งนัก
ซูหมิงถอนหายใจเสียงดังก้องในพายุหิมะ เสียงพายุหิมะเหมือนกลายเป็นร่องหุบเขา กลายเป็นปราการหนึ่งขวางกั้นระหว่างเขากับเหลยเฉินข้างหลัง
และไม่ได้ขวางเพียงสองคนนี้ แต่ยังมีสองโลก…
ในโลกนั้น ซูหมิงเลือกหลงทางระยะสั้นเพื่อเติมเต็มการดื่มสุรากับพี่น้องในภพก่อน หลังดื่มสุราจบ เขาเลือกจากไป เพราะเขามีเส้นทางของตัวเอง เส้นทางนี้ ตี้เทียนเดินไม่จบ เหลยเฉินไม่เดินต่อ แต่ซูหมิง…ยังต้องเดินต่อไป
เมื่อร่างเงาเขาลับไปไกล เหลยเฉินในปราการพายุหิมะนั้นที่เหมือนมึนเมาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองร่างเงาซูหมิงที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“พี่น้องในภพก่อนแลกเป็นสุราในภพนี้ ซูหมิง…ขอให้เจ้า…เดินทางปลอดภัย” ชั่วขณะที่เหลยเฉินพึมพำก็มีเสียงหัวเราะดังแว่วมาข้างหลัง
“เหลยเฉิน วันนี้นัดดื่มสุรากันไม่ใช่รึ มาๆๆ ครั้งก่อนดื่มชนะเจ้าไม่ได้ ครั้งนี้ข้าไม่เชื่อว่าจะชนะเจ้าไม่ได้อีก” ตอนที่เหลยเฉินหันกลับไป เขาเห็นซูหมิงในดวงตา ข้างกายซูหมิงมีสตรียืนอยู่คนหนึ่ง นั่นคือไป๋หลิง
เหลยเฉินยิ้ม ตอนที่เหลือบตามองร่างเงาซูหมิงเดินไกลออกไป เขาเห็นร่างเงาหายไปในสายลมหิมะแล้ว
“มองอะไรรึ?” เสียงสตรีดังแว่วมาข้างกายเหลยเฉิน ยามที่หันไปมอง เขาเห็นสตรีผู้มีร่างกายกำยำสอดคล้องกับเผ่าหมานในความทรงจำที่ตนในอดีตชอบ ตอนนี้มองไปเหมือนจะงามกว่าเดิมเล็กน้อย
“ฮ่าๆ ไม่ได้มองอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าตรงนั้นมีร่างเงาคล้ายกับซูหมิงมาก มาๆๆ พวกเรามาดื่มกัน” เหลยเฉินยิ้มกล่าวขึ้น ซูหมิงที่อยู่กับไป๋หลิงข้างกายเขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนมองไปนอกพายุหิมะตามสายตาเหลยเฉิน แต่ก็ไม่พบอะไร
“เจ้ามองไม่เห็น เพราะว่าเจ้าคือเจ้าในดวงตาข้า มิใช่โลกในดวงตาเขา” เหลยเฉินส่ายศีรษะพลางพูดขึ้น แล้วหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่
พายุหิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โลกเลือนราง ภูเขาทมิฬรอบๆ เหลยเฉินกับทุกคนข้างกายเขาก็เลือนรางเช่นกัน
เพียงแต่ว่าเป็นอย่างที่เขาว่าไว้ นี่คือโลกในดวงตาเขา…ในพายุหิมะ เด็กชายน้อยข้างกายซูหมิงที่เดินไกลออกไป ยามนี้หันกลับมามอง ตรงสุดสายตาที่ถูกพายุหิมะปกคลุม เขาเห็นรางๆ ว่าเหลยเฉินกำลังเงียบเหงาอยู่เพียงลำพัง
กาลเวลาค่อยๆ ผ่านไปตามฝีเท้าซูหมิง ผ่านไปอีกร้อยปี ซูหมิงออกจากแผ่นดินดำ มุ่งหน้าไปยังแผ่นดินใหญ่ที่แปด
เดินผ่านทะเลทรายไม่มีสิ้นสุด เมื่อครบปีที่เจ็ดร้อยก็มาอยู่ในเมืองโบราณใจกลางแผ่นดินที่แปด เขานึกถึงคำสัญญาหนึ่ง นั่นคือสัญญาของเทพเต๋าขั้นเก้าสามคนแห่งแคว้นกู่จั้งที่หลังจากต่างฝ่ายต่างปิดด่านนั่งฌานพันปีแล้วจะมาประชันกันที่เมืองหลวง
“มองไม่เห็นแล้ว…” ซูหมิงพึมพำ เขาเดินผ่านเมืองนี้ เห็นหอคอยหนึ่งทางตะวันตกของแผ่นดิน และก็เห็นว่าบนหอคอยนั้นมีร่างเงานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
ใบหน้าร่างเงานั้นแปลกตา เป็นซากศพที่เหมือนจะไม่เน่าเปื่อย แทบเป็นพริบตาที่ซูหมิงเห็น ซากศพนั้นพลันลืมตาขึ้น เผยประกายวาวภายใน
“ข้าทำนายมาหกร้อยปีเต็มแล้ว ในที่สุดก็ทำนายว่าเจ้าจะเดินผ่านที่นี่ในวันนี้ได้…องค์ชายสาม เจ้ากลัวว่าข้าจะมีจุดจบแบบนั้น กลัวว่าข้าจะถูกผนึกในโลกนี้ ข้ารอเจ้าที่นี่มาร้อยปีแล้ว…
เจ้าสมควรตายได้แล้ว!” ซากศพนั้นกล่าวเนิบๆ ภายในน้ำเสียงมีความแค้นสุดบรรยาย พูดจบฟ้าดินรอบๆ เกิดเสียงครึกโครม ฟ้าพลันเปลี่ยนสี แผ่นดินขึ้นลง อบอวลไปด้วยหมอกจำนวนมาก หมอกเหล่านี้บิดเบี้ยวลอยขึ้นฟ้า รวมเป็นสัญลักษณ์หมอกยักษ์เหนือร่างเงานั้น!
นั่นไม่ใช่สัญลักษณ์ แต่เป็นตราประทับใหญ่หนึ่งดินแดน!
อักขระด้านบนขยับประกายวาววูบวาบ ระหว่างที่เว้านูนจะเปล่งแสงหม่นรุนแรง ม่านแสงพลันปกคลุมโดยรอบ จะบดบังฟ้าที่นี่ เมื่อเสียงเขาดังกึกก้องก็เหมือนกับฟ้าผ่าดังไปทั่วหล้า
หลินตงตง!
มหาเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋า ผู้แข็งแกร่งที่ปฏิบัติตามเต๋าแห่งดวงชะตา ในโลกที่เคยรุ่งเรืองนี้ เป็นอย่างที่เหลยเฉินบอกไว้ ดวงจิตในร่างองค์ชายใหญ่แยกกันกลายเป็นเหลยเฉิน หลินตงตง แน่นอนว่าจะต้องมี…เมี่ยเซิง!
ความประหลาดของโลกนี้ทำให้พวกเขาแยกออกจากกัน เหลยเฉินเลือกหลงทาง เมี่ยเซิงซูหมิงยังไม่พบ แต่หลินตงตง เขาเลือกจะสังหารซูหมิงที่นี่!
“สังหารเจ้า ชิงดวงชะตาของเจ้า ข้าอาจจะทะลวงพลังอีกก้าว หากบรรลุเทพเต๋าขั้นเก้าก็จะมีวิธีออกจากที่บัดซบนี่!” นัยน์ตาหลินตงตงเผยจิตสังหารเด่นชัด ก่อนยกมือขวาชี้ซูหมิง ฟ้าดินพลันเกิดเสียงดังกึกก้อง ตราประทับหมอกยักษ์นั้นหมุนโคจร พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่เหนือซูหมิง ก่อนกดลงมา
เมื่อกดลง แผ่นดินใต้เท้าซูหมิงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทันทีที่เกิดรอยร้าวขึ้นก็คล้ายกับว่าแผ่นดินเว้าลงไป เกิดเค้ารางจะถล่มลง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ผ่านมาเจ็ดร้อยปี เขาไม่ได้สนใจพลังตัวเองเลยว่าเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ตราประทับหมอกที่กดลงมาจากบนฟ้าไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อเขามากนัก ประหนึ่งว่า…แค่โบกมือก็สลายมันไปได้
ต่อให้เป็นหลินตงตง ซูหมิงก็ไม่ได้รู้สึกถึงอำนาจคุกคามจากอีกฝ่ายมากนักแล้ว จุดนี้หลังจากเขาเพ่งสมาธิก็เห็นเงื่อนงำ
หลินตงตงอ่อนแอ ความอ่อนแอทำให้พลังเขาอยู่ตรงริมขอบของมหาเต๋าสูงศักดิ์ เหมือนว่าโลกนี้ไม่ยอมรับการคงอยู่ของเขา
ทว่าขณะเดียวกับที่เขาอ่อนแอ ซูหมิงกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในที่นี่ เขาไม่ตอบกลับ แต่ยกมือขวาชี้ขึ้นฟ้า
ทันใดนั้นรอยตราประทับหมอกยักษ์ที่กดลงมาเกิดเสียงดังสนั่นฟ้า มันหยุดนิ่งอยู่เหนือซูหมิงไปร้อยจั้ง เหมือนว่าข้างล่างตราประทับหมอกมีปราการที่มองไม่เห็นอยู่หนึ่งชั้น ตราประทับหมอกจึงยากจะทำลายเข้ามาได้
“ความจริงและลวงหลอกทุกอย่าง ความรุ่งเรืองและดับสูญทุกอย่าง เหลือเพียงคำพูดของชนรุ่นหลัง เหลือเพียงสิ่งที่ประสบมาในกาลอดีต…เจ้า เข้าใจหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบาแล้วโบกมือขวา ตราประทับหมอกยักษ์พลันสั่นสะท้าน ค่อยๆ เลือนราง เพียงไม่กี่ลมหายใจก็สลายหายไป…
ความเรียบนิ่งของซูหมิงทำให้หลินตงตงบนหอคอยสูงหน้าเปลี่ยนสี หรี่ตาแคบลง เพ่งสมาธิมองซูหมิง ทว่ากลับพบสิ่งที่น่าตกใจ เขาอ่านพลังซูหมิงไม่ออก!
‘เป็นไปไม่ได้ ด้วยพลังข้าไม่มีทางอ่านความตื้นลึกของเขาไม่ได้’ หลินตงตงหรี่ตาลงพร้อมกับยืนขึ้นบนหอคอยสูง ก่อนเดินหนึ่งก้าวไปทางซูหมิง ตัวเขาทิ้งไว้เพียงเศษเงา ช่วงที่ร่างจริงมาปรากฏตรงหน้าซูหมิงก็ใช้มือขวาคว้าไปโดยพลัน
การคว้าครั้งนี้ผืนฟ้าเกิดเสียงดังครึกโครม ชั่วขณะที่เปลี่ยนสียังปรากฏดวงตะวันสีแดงฉานดวงหนึ่ง แผ่นดินส่งเสียงอึกทึก รอยแยกบนพื้นดินรวมด้วยกันเป็นภาพสัญลักษณ์ดวงจันทร์
“ตะวันจันทราเรืองรองพร้อมเพรียง แสงขั้วโลกแห่งฟ้าดิน!” เสียงหลินตงตงดังก้องปานฟ้าผ่า ตอนนี้เองดวงตะวันแดงฉานบนฟ้าระเบิดไอร้อนสุดบรรยาย เหมือนว่าทั้งดวงตะวันลดลงมาจากฟ้าใส่ซูหมิง
ขณะเดียวกันสัญลักษณ์ดวงจันทร์ใต้เท้าซูหมิงหมุนโคจรโดยพลัน ภายใต้การโคจรอย่างรวดเร็ว จึงเหมือนว่าแผ่นดินใหญ่กำลังเคลื่อนไหว แสงเงินพลันสว่างวาบขึ้นฟ้า ปกคลุมร่างซูหมิงเอาไว้ภายใน
“รวมเสี้ยวแห่งดวงชะตาผืนฟ้า พลังของทุกสรรพสัตว์ ชะตาและความตายจงมาเยือน!” หลินตงตงดวงตาแดงก่ำ เมื่อสิ้นเสียงคำพูดสุดท้าย ดวงตะวันบนฟ้าลดระดับลงมา แสงเงินบนแผ่นดินกลายเป็นเส้นเล็กแห่งกฏสีเงินเหลือคณานับ พุ่งตรงเข้ามารัดคอซูหมิง
เส้นเล็กสีเงินเหล่านั้น ทุกเส้นแฝงไว้ด้วยพลังดวงชะตาแห่งเสียงของหลินตงตง ใช้ดวงชะตาของตนให้เป็นจิตสังหารฟ้าดินมรณา รวมตัวเขาให้กลายเป็นดวงชะตาของทุกสรรพสัตว์ เหมือนกับเต๋าแห่งดวงชะตาของสำนักเอกะเต๋ามาเยือน
“เจ้าต้องตาย!” หลินตงตงมั่นใจในการโจมตีครั้งนี้อย่างยิ่ง แม้ตนจะอ่อนแอไม่น้อย แต่การโจมตีครั้งนี้ก็เป็นกระบวนท่าสังหารที่แกร่งที่สุด เขามั่นใจ นอกจากอีกฝ่ายจะบรรลุพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ มิเช่นนั้นแล้วจะต้องตายอย่างแน่นอน!
ตอนนี้ซูหมิงใต้ดวงตะวันกดทับและมีเส้นแสงเงินที่ตัวถอนหายใจเบา
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ?”
ตอนที่ 1463
บางคน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงถอนหายใจซูหมิงยังคงดังก้อง เขายกมือขวาขึ้นโบกไปเบาๆ อย่างเงียบเชียบเหมือนสลายตราประทับหมอกก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นเส้นเล็กสีเงินรอบตัวหยุดนิ่ง จากนั้นเลือนราง เพียงพริบตาเดียวก็หายไปทีละเส้นรอบตัว
เหมือนว่าเดิมทีพวกมันไม่มีอยู่ ตอนนี้ขณะเดียวกับที่หวนคืนสู่อากาศธาตุ แม้แต่ดวงตะวันที่กดลงมาจากบนฟ้ายังค่อยๆ โปร่งใส เมื่อกลายเป็นสีของฟ้าทีละน้อยแล้วก็หายไปเหนือหัวซูหมิง
ภาพนี้ทำให้หลินตงตงหรี่ตาลงโดยพลัน เขาถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่ลังเล จ้องซูหมิงเขม็งด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ กระทั่งตอนนี้ลมหายใจยังกระชั้นขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้า…” หลินตงตงอ้าปาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ตอนนี้ความตื่นตะลึงในใจยากจะบรรยายแล้ว เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนโบกมือสลายอาวุธสังหารต่อหน้าตนได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ราวกับว่าอภินิหารของเขาไม่มีอยู่จริงๆ
เหตุการณ์นี้โค่นล้มจิตใจเขา ทำให้หลินตงตงที่บรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์รับไม่ไหว
“ไม่พบกันเจ็ดร้อยปี พลังเจ้าเหนือความคาดหมายข้าจริงๆ…แต่ว่า ความตั้งใจที่ข้าจะสังหารเจ้าในวันนี้จะไม่มีวันลดน้อยลง!” หลินตงตงสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาแวววาวเผยจิตสังหารเด่นชัด ช่วงที่เดินหน้าไปทีละก้าวยังยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏกระบี่สั้นสีดำเล่มหนึ่ง บนกระบี่เต็มไปด้วยอักขระ ยามนี้เขย่ากลายเป็นกระบี่สิบเล่ม
เขย่าอีกครั้งกลายเป็นร้อยเล่ม พันเล่ม จนสุดท้ายมืดฟ้ามัวดินกลายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแทนที่ฟ้าดิน ทำให้โดยรอบกลายเป็นโลกกระบี่ ตอนนี้เองแสงกระบี่เหลือคณานับพุ่งตรงไปหาซูหมิง
“ไม่มีประโยชน์ ระหว่างเจ้ากับข้ามีกาลเวลาขวางกั้นอยู่ เจ้า…ยังไม่เข้าใจอีกรึ” ซูหมิงส่ายศีรษะ นัยน์ตาใสสะอาด ขณะถอนหายใจ แสงกระบี่เหล่านั้นจะทะลวงผ่านร่างเขา แต่ว่า…ร่างซูหมิงเหมือนกับเป็นมายา แสงกระบี่ทะลวงผ่านไป แต่กลับไม่ทำอันตรายเขาแม้แต่น้อย
“โลกนี้เป็นของปลอม แคว้นกู่จั้งเป็นเพียงการยึดร่างระหว่างข้ากับเสวียนจั้ง เรื่องนี้เป็นของปลอม ข้าไม่ได้หลงทางอยู่ภายใน และเจ้า…ก็เป็นเพียงฝุ่นธุลี” ซูหมิงส่ายหน้าพลางเดินหน้าไป ทุกก้าวหลินตงตงจะถอยไปหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
หลังถอยไปห้าก้าว ขณะกำลังจะกล่าวนั้น เสียงซูหมิงดังแว่วมาทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เพราะคำพูดซูหมิงตรงกับความลังเลที่หลินตงตงจะกล่าวเมื่อครู่
“เจ้าอ่านพลังข้าไม่ออก นี่ไม่ใช่เพราะพลังข้าสูงส่งขนาดนั้น แต่ระหว่างเรามีกาลเวลาขวางกั้น เป็นปราการที่เจ้ามองเห็นไม่ชัด” ซูหมิงกล่าวราบเรียบพลางเดินไปอยู่ตรงหน้าหลินตงตง
“ข้าไม่เชื่อ!” หลินตงตงพลันมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม ใช้มือขวาตบหน้าอกตัวเอง เมื่อตบไป ใบหน้าพลันเป็นสีม่วงอมแดง มีหมอกดำจำนวนมากระบายออกมาจากในทวารจั้งเจ็ด หมอกดำเหล่านั้นรวมเป็นใบหน้ายักษ์กลางอากาศ ใบหน้านี้ร้องคำรามพุ่งไปหาซูหมิงด้วยความเหี้ยมโหด ตอนนี้เองฟ้าดินผันเปลี่ยน ประหนึ่งว่ากฏของโลกนี้เกิดการแปรเปลี่ยน
พร้อมกันนั้น ใบหน้ายักษ์อ้าปากกว้างสูบไปทางซูหมิง ทันใดนั้นพลังฟ้าดินรอบๆ หมุนม้วนมาที่ใบหน้า มีเพียงซูหมิง…ที่เส้นผมยาวไม่แกว่งไกว อาภรณ์ไม่ลอยขึ้น ยังคงยืนอย่างสงบ มองหลินตงตงนิ่งๆ
ทันทีที่เห็นภาพนี้ ใบหน้ายักษ์ของหลินตงตงมีสีหน้าตื่นตะลึง อภินิหารนี้ของเขาสูบพลังได้ทุกอย่างในฟ้าดิน แต่ตอนนี้ไม่อาจทำอะไรซูหมิงได้ ทว่าเขาก็ยังไม่เชื่อคำพูดซูหมิง หรืออาจพูดได้ว่าเขาไม่กล้าเชื่อ ไม่ยอมเชื่อ เขาในตอนนี้จากอยากสังหารซูหมิงเปลี่ยนเป็นอยากพิสูจน์แล้วว่าซูหมิงพูดเหลวไหล
ตอนนี้ใบหน้ายักษ์หลับตาลง วูบเดียวก็กลับมายังร่างกายข้างล่างอีกครั้ง พลังหลินตงตงเหมือนยกระดับขึ้นไม่น้อย ทันทีที่ดวงตาขยับประกายจิตสังหาร ร่างเขาหายวับไป มาปรากฏอีกทีข้างหลังซูหมิง ก่อนชกหมัดเข้ามา ทว่ากลับไม่เกิดเสียงครึกโครมใดๆ เพราะกำปั้นทะลวงผ่านร่างซูหมิงไป
“เป็นไปไม่ได้!” หลินตงตงตาแดงก่ำ เขาโผล่รอบตัวซูหมิงไม่หยุด ชกหมัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เป็นแบบนี้ไปหนึ่งก้านธูป หลินตงตงถึงถอยไปหลายก้าวด้วยใบหน้าซีดขาว เหม่อมองซูหมิงด้วยแววตาสิ้นหวัง
เขาไม่ได้สิ้นหวังกับการถูกขังอยู่ในโลกที่เคยรุ่งเรืองนี้ แต่กลับยึดมั่นจะสังหารซูหมิง จะชิงดวงชะตาซูหมิง เพราะเขามีความโอหังของเขา เขาคือมหาเต๋าสูงศักดิ์
แต่ตอนนี้ในที่สุดซูหมิงก็ปรากฏตัว เขากลับสิ้นหวัง สังหารไม่ตายก็ช่าง แต่เขาไม่อาจแตะต้องซูหมิงได้ ตอนนี้เหมือนว่าคำพูดซูหมิงดังก้องข้างหูเขาอีกครั้ง ทำให้เขาถอยไป ในความสิ้นหวังแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศก
“เป็นไปไม่ได้…” เขาทำได้เพียงพึมพำแบบนี้ บอกตัวเองว่าทุกอย่างไม่ใช่ของจริง แต่ว่า…การพิสูจน์หนึ่งก้านธูป นอกจากคำตอบนี้แล้วก็ไม่มีคำอธิบายอื่นอีก
“นี่เป็นเพราะเจ้าเรียนวิชาบางอย่างในโลกสมควรตายนี่ ตอนนี้ที่ปรากฏตรงหน้าข้าไม่ใช่ร่างจริง แต่เป็นเงาไร้รูปของเจ้า!” หลินตงตงเงยหน้าขึ้นจ้องซูหมิงเขม็ง เสียงดังก้องปานฟ้าผ่า ขณะเดียวกันซูหมิงหมุนตัวกลับมามองหลินตงตง
“นี่คือคำตอบ นี่คือสาเหตุที่ข้าสังหารเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่เพราะระหว่างเรามีกาลเวลาขวางกั้น ไม่ใช่เพราะข้าเป็นของปลอม แต่…เจ้าที่ปรากฏตัวตรงหน้าข้าเป็นเพียงเงา!
ข้ารู้แล้ว เจ้าคือผู้ฝึกฌานของสำนักเจ็ดจันทรา สำนักเจ็ดจันทราฝึกฝนวิชาเงาเจ็ดชะตา เจ้า…จะต้องบรรลุถึงขอบเขตใดอย่างหนึ่งในวิชานี้ ดังนั้นจึงสร้างเงาที่สังหารไม่ได้ขึ้นมา แต่ขณะเดียวกัน ร่างเงานี้ก็สังหารไม่ได้เช่นกัน แม้แต่คนธรรมดายังยาก!” หลินตงตงมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพูดจบ นัยน์ตาเขาไม่สิ้นหวังอีก แต่กลับมามีจิตสังหารรวดเร็วและดุดันอีกครั้ง
“ไม่ธรรมดาจริงๆ องค์ชายสาม คำพูดก่อนหน้านี้ก็เพื่อให้ข้าสับสน ข้าจะหาร่างจริงเจ้าให้พบแล้วสังหารเจ้าเสีย!” หลินตงตงจ้องซูหมิง เมื่อถอยไปอย่างเนิบช้าแล้วหมุนตัวกลับ สะบัดแขนเสื้อจะจากไป
ซูหมิงมองหลินตงตงพลางยกมือขวาชี้ไปบนฟ้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ฉับพลันนั้นทั้งผืนฟ้าเกิดเสียงดังสนั่น ปรากฏจุดดาราขึ้น มองแวบแรกดาราเหล่านี้มีจำนวนไม่แน่ชัด เห็นเพียงว่าพวกมันเรียงรายกันเป็นแส้ยักษ์!
“แส้ดารา ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าข้าถึงเป็นพลังเงาสะท้อนมายามาโดยตลอด มิใช่ร่างของมันจริงๆ” ซูหมิงกล่าวเสียงเบาพร้อมสะบัดมือขวา ดาราบนฟ้าเปล่งแสงดาราอย่างชัดเจน แสงดาวพลันมาแทนที่ฟ้า มาแทนที่แสงสว่างทั้งหมดของแผ่นดิน ทำให้ในฟ้าดินแห่งนี้…สว่างจ้าแสบตา แสงสว่างจ้านี้เหมือนกับสีดำ เพราะแสงสว่างถึงขีดสุด ยามที่มองไปจึงเป็นสีดำ
จนเมื่อแสงสว่างหายไป ร่างซูหมิงหายไปแล้ว เด็กชายน้อยนามเฮ่าเฮ่าหายไป เหลือเพียงหลินตงตงที่อึ้งอยู่ตรงนั้น ยามนี้ร่างเขาค่อยๆ ปริแตก จนกระทั่งแหลกเป็นชิ้นๆ จิตแรกหลินตงตงลอยอยู่ตรงนั้น มองไปรอบๆ อย่างสับสน
ซูหมิงไม่ได้สังหารเขา เพราะหลินตงตงในตอนนี้มีชีวิตอยู่ในความหมายบางอย่าง เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความตาย
ผ่านไปพักใหญ่ จิตแรกหลินตงตงหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะดังก้องยังสะท้อนออกมาเป็นความมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้า
“ร้ายกาจองค์ชายสาม เป็นวิชาที่ไม่เลว แต่อย่าคิดใช้วิชานี้หลอกตาข้าได้ ถึงเงาเจ้าจะมีพลังที่แน่นอน ทว่า…ขอเพียงหาร่างจริงเจ้าพบ ข้าต้องสังหารเจ้าได้แน่!
องค์ชายสาม เจ้าซ่อนตัวให้ดีเถอะ หากข้าหาร่างจริงเจ้าพบเมื่อไร นั่นคือวันที่เจ้าจะต้องสิ้นสูญไป ข้าจะต้องหาร่างจริงเจ้าให้พบ!” สีหน้าหลินตงตงเต็มไปด้วยความมั่นใจ ถึงขั้นเขารู้สึกว่าตนในตอนนี้ในตระหนักรู้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหลังก้าวสู่มหาเต๋าสูงศักดิ์มานาน
เขาแค่นเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง ก่อนจิตแรกจะเคลื่อนไหวจากไปไกลด้วยความมั่นใจและตระหนัก ใช้ชีวิตที่เหลือ ใช้พลังที่เหลือ ใช้เวลาไม่รู้กี่ปีสำหรับเขาจากนี้ตามหาร่างจริงซูหมิง…
เขา ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องหาไม่พบ เหมือนกับปลาในมหาสมุทรที่ยึดมั่นจะตามหาน้ำตาของตัวเอง…แต่เขาก็ยังคงยึดมั่น ยังคงบ้าคลั่ง เพราะเขาเชื่อ!
บางทีอาจเป็นเพราะพลังความเชื่อนี้ ในวันหนึ่งเขาอาจจะหาซูหมิงในใจเขาพบ เพียงแต่ซูหมิงคนนั้นอาจจะไม่ใช่ซูหมิงจริงๆ
“ตี้เทียนแสวงหาความคิด เหลยเฉินแสวงหาความสงบ หลินตงตง…แสวงหาความฟั่นเฟือน ข้า แสวงหาอะไร?” ซูหมิงอุ้มเด็กชายน้อยเดินไกลออกไป ยามที่พึมพำก็เดินไกลไปเรื่อยๆ
ทุกคน ในโลกที่คิดว่าจริงล้วนแล้วแต่แสวงหาสิ่งที่เคยมีในอดีต หรืออาจจะเป็นความฝันที่ตอนนี้ยังมีอยู่ ความฝันนี้อาจจะจริง อาจจะยังอยู่บนเส้นทาง
แต่ว่าการแสวงหาแบบนี้คือพลังชนิดหนึ่ง เป็นพลังที่แม้จะเป็นไปไม่ได้แต่ก็มากพอจะลวงหลอกตัวเอง…
เพราะว่าการแสวงหาคือวิธีหนึ่ง มันลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องคดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยว
บางคนหยุดระหว่างทาง อยากจะพักหายใจ แต่พักครั้งนี้…อาจเป็นสุดทาง เหมือนกับผีเสื้อนามว่าซางเซียง
บางคนทอดทิ้งการเดินทาง วาดสัญลักษณ์ปลายทางไว้บนเส้นทางตัวเอง เขาที่มีชีวิตอยู่ในสัญลักษณ์นี้ มีความสุขหรือไม่นั้น มีเพียงตัวเองที่รู้
บางคนยังอยู่บนเส้นทาง ยังคงเดินบนเส้นทางคดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น