Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา 1430-1445

 1430 ซิวหลัว!

โดย

Ink Stone_Fantasy

                “หืม? เจ้ายังไม่คารวะข้าเป็นอาจารย์อีกรึ?” ตาแก่ยืนอยู่นานในคืนมืด ร่างเหยียดตรง การแผ่พลังอำนาจ กลิ่นอายพลังที่มีข้าเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว ทุกอย่างนี้มากพอจะทำให้ผู้ฝึกฌานจำนวนมากใจสั่นสะท้าน โลหิตเดือดพล่าน


                แต่ว่า…เขาแผ่พลังอำนาจมาครึ่งก้านธูปแล้วซูหมิงก็ยังคงเงียบ ชายชราจึงกลับมามีนิสัยเดิมทันที กล่าวเสียงดังด้วยความโกรธ


                “จะจะเจ้า เจ้าไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว นานๆ ครั้งข้าถึงจะแสดงพลังอำนาจแบบนี้ แต่เจ้ากลับยังไม่คารวะข้าเป็นอาจารย์ เจ้าคิดจะยั่วโทสะข้ารึ ดีๆๆ วันนี้หากเจ้าไม่คารวะข้าเป็นอาจารย์ ข้าจะไม่นอน ไม่กินข้าว ไม่นอนสุขภาพก็ไม่ดี นอนไม่หลับจนตื่นเป็นธรรมชาติ ร่างกายก็ไม่ดี กินเนื้อสุนัขไม่ได้ร่างกายก็ไม่ดี!


                ร่างกายไม่ดี ไม่กินข้าว ข้าก็จะตาย!” ตาแก่มาอยู่ข้างซูหมิงแล้วตะโกนเสียงดัง


                ซูหมิงยิ้มเฝื่อนมองชายชราพลางถอนหายในเบาและยืนขึ้น สะบัดแขนเสื้อคุกเข่าตรงหน้าชายชรา


                “ชีวิตนี้ข้าซูหมิงเคยรับอาจารย์เพียงแค่คนเดียว วันนี้นับจากนี้ ขอคารวะอาจารย์เป็นครั้งที่สอง อาจารย์อยู่สูง โปรดรับการคารวะของศิษย์!”


                ตาแก่พลันยิ้มแย้มดีใจทันที แต่ก็ฝืนเก็บอารมณ์ไว้ พยายามให้ตนเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจปกปิดความดีใจทางสีหน้าได้ เมื่อกระแอมไอหลายทีแล้วเขาประคองซูหมิงขึ้นด้วยความลำพองดีใจ ตบหน้าอกตนพร้อมพูดเสียงดัง


                “ดีๆๆ จากนี้ใครรังแกเจ้า ก็จงบอกนามของอาจารย์ คนที่รู้จักข้าจะตกใจจนฉี่อุจจาระราดทันที คนที่ไม่รู้จักข้า หึหึ อันนี้ค่อยว่ากัน…” ชายชราพูดขึ้นด้วยความอวดดี


                “ศิษย์ บอกมาว่าเจ้าต้องการอะไร ขอแค่เจ้าเอ่ย อาจารย์จะฝ่าภูเขาดาบทะเลเพลิง ลุยน้ำลุยไฟ โกรธจนขนหัวพอง อะไรประมาณนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะทำให้เจ้าให้ได้!


                เจ้าบอกว่าอยากกินสุนัขใหญ่สีขาวนั่น พวกเราสองคนจะตุ๋นเนื้อสุนัขกินในคืนนั้นเลย เจ้าบอกว่าชอบแม่นางก้นใหญ่ ย่านางเถอะ อาจารย์จะไปจับกลับมาให้เจ้า


                เจ้าบอกมาว่าต้องการอะไร!” ชายชราสะบัดแขนเสื้ออย่างทะนงองอาจ มีท่าทีเหมือนว่าขอเพียงเจ้าพูด ข้าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน


                แต่ยังไม่ทันที่ซูหมิงพูด ชายชราก็กระพริบตาปริบๆ มองซูหมิงอย่างเก้อเขิน


                “เจ้าอย่าขอมากเกินไปได้หรือไม่? อย่างเช่นทำลายล้างสำนักเอกะเต๋าหรือฝ่ายอสุรา หรือไม่ก็ชิงบัลลังก์จักรพรรดิกู่อะไรพวกนี้ เรื่องพวกนี้…อะแห่มๆ…”


                “อาจารย์ทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้รึ?” ซูหมิงนั่งลงบนตอไม้อีกครั้งแล้วถามกลับ


                “ใครบอกว่าข้าทำไม่ได้ เจ้าดูถูกข้า! ข้าทำได้ หากข้าจะทำเรื่องนี้ก็แค่ดีดนิ้วเท่านั้น นี่ไม่เท่าไร เพราะข้าไร้คู่ต่อสู้!” ชายชรามีท่าทางขมึงทึง เหมือนว่าเจ้าดูถูกข้า


                “อะแห่มๆ ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นพวกเราวางเรื่องโต้เถียงกันไว้ก่อน เอ่อ…อาจารย์จะพูดถึงอภินิหารของข้าสักเล็กน้อย ข้ามีสองอภินิหารใหญ่ หนึ่งคือใช้ขวานตัดคน มันมีความตรงไปตรงมา ข้าศึกษามาแล้วว่าตัดหัวคนได้ ตัดร่างกายได้ ตัดทุกอย่างที่อยากตัดได้ ความแกร่งของอภินิหารนี้ ทั้งแคว้นกู่จั้งไม่มีใครที่ข้าตัดไม่ได้!


                อภินิหารที่สองคือการสูบพลัง เฮอะๆ พูดถึงอันนี้ มันเป็นอภินิหารที่ข้าสร้างขึ้นเอง ต้องพูดว่าตอนที่ข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม ข้างกายข้ามีคนจำนวนมากที่มีคุณสมบัติดีกว่าข้า มีชีวิตที่ดีกว่าข้า มีพลังสูงกว่าข้า ข้าโกรธจึงเริ่มตัดคน ตัดไปตัดมาก็สร้างออกมาเป็นอภินิหารใช้มือช่วงชิงพลังคนอื่น


                ขอเพียงข้าถูกใจก็จะช่วงชิงมาทันที ใครก็หนีไม่รอด!” ชายชรามีท่าทีลำพองใจ พูดไปพูดมาก็ย่อตัวลงข้างซูหมิงแล้วพูดเสียงเบา


                “โดยเฉพาะผู้ฝึกฌานสตรี อภินิหารนี้จะมีผลดียิ่งกว่าเดิม ศิษย์ดี เจ้ามีเวลาจะต้องลองดูนะ มาๆๆ ตอนนี้อาจารย์จะมอบอภินิหารนี้แก่เจ้า” ชายชราพูดพลางคว้ามือขวาซูหมิงแล้วบีบ ทันใดนั้นกลางฝ่ามือขวาซูหมิงเกิดเป็นรอยตราเหมือนถูกประทับ


                นั่นคือรอยตราแสงจันทร์ เมื่อปรากฏรอยนี้แล้ว ซูหมิงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่พอพิจารณามองพลันมีความรู้สึกว่าตรานี้เหมือนจะดึงดูดสายตาตนได้


                กระทั่งหากเพ่งมองอย่างละเอียดจะพบว่ามวลอากาศฟ้าดินรอบๆ ไหลเวียนมาที่เขา เส้นสายต่างๆ มุดเข้าไปในตราประทับกลางฝ่ามือขวา


                “มีอภินิหารนี้ ศิษย์ เจ้าจะไร้คู่ต่อสู้!” ชายชรามองซูหมิงอย่างจริงจังมาก ก่อนยืนขึ้นบิดเอว แล้วหมุนตัวเดินหาวเข้าไปในบ้าน


                “ตัดฟืนต่อไป! ในเมื่อเป็นศิษย์ของข้าแล้ว จากนี้จะต้องตัดฟืนเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า จากนั้นเอาไปแลกเป็นเงินค่าสุรามาให้เยอะกว่าเดิม หึหึ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะไล่เจ้าออกจากการเป็นศิษย์” ชายชราพูดพร้อมกลับเข้าไปในบ้าน


                ซูหมิงก้มหน้าลงยิ้มเฝื่อน ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่รู้สึกมั่นใจในอาจารย์คนนี้อยู่เล็กน้อย แต่บางทีอาจมีเหตุผลที่เป็นแบบนี้ ทำให้ซูหมิงนึกถึง…เทียนเสียจื่อ


                ผ่านไปพักใหญ่ซูหมิงหยิบขวานขึ้นมาตัดฟืนต่อในลานยามกลางดึก


                วันเวลาผ่านไปทีละวัน ชายชราจะกระโดดโลดเต้นออกมายามเช้าทุกวัน ตะโกนเสียงดังหลายประโยค พูดว่าหากสุขภาพดีสุขภาพจิตดีก็จะดีไปด้วย และยังไล่ตามสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวนั้นในลานบ้าน หัวเราะแปลกๆ ตลอดเวลา บอกว่าหากไล่ตามตัวไหนทันเย็นวันนั้นจะกินตัวนั้น ทำให้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวต้องเล่นกับเขาด้วยความหวาดกลัวและไม่เป็นสุข


                ซูหมิงยังคงตัดฟืนอยู่ข้างๆ ต่อไป วันนี้เขาได้เรียนรู้การไม่จงใจฟันขวานแล้ว แต่ตัดฟืนออกเป็นสองท่อนอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเป็นธรรมชาติมากขึ้นจนไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แต่บางครั้งจะเอียงหน้ามองชายชราที่กระโดดโลดเต้นกับสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวนั้น


                จนเวลาผ่านไปนาน สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวถูกไล่ตามแบบนี้ทุกๆ วันจนเกือบจะลืมว่าตนเป็นผู้ฝึกฌานไปแล้ว พวกมันเริ่มพบว่าตาแก่แค่ทำให้ตกใจกลัวเฉยๆ ไม่ได้คิดจะกินพวกมันจริงๆ ดังนั้นหลายเดือนต่อมา ส่วนใหญ่สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวจะทำพอเป็นพิธีไปเท่านั้น


                จนกระทั่ง…วันหนึ่งชายชราโกรธขึ้นมา ตะโกนเสียงดังทำให้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวตัวสั่น ทั้งยังวิ่งหนีสุดชีวิต


                “พวกเจ้าสุนัขรับใช้สองตัว คิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าแอบขี้เกียจมาตลอดหลายเดือนนี้รึ ดีๆๆ ศิษย์ข้าไม่ให้ข้ากินพวกเจ้า แต่ข้าล่วงเกินพวกเจ้าได้!


                ย่ามันเถอะ วันนี้ข้าไล่ตามใครทัน มันต้องนอนกับข้าในบ้าน!” ความกระปรี้กระเปร่าจากคำพูดชายชราไม่เพียงทำให้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวตัวสั่น แต่ยังทำให้ซูหมิงที่แม้จะชินกับคำพูดชายชราที่น่าตกใจบ่อยครั้งแล้วก็ยังอึ้งไป


                เขาพลันพบว่าจะดูถูกอาจารย์คนนี้ไม่ได้เลย ตอนที่เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจเขา เจ้ามักจะพบว่าแท้จริงแล้วในตัวเขา…ยังมีความชอบที่เจ้าคาดไม่ถึงอีกมากนัก


                อย่างเช่น…ตอนนี้ซานไป๋ร้องโหยหวน กำลังจะถูกชายชราจับได้แล้ว…


                ซูหมิงรีบหมุนตัวกลับตัดฟืนต่อไป


                พริบตาเดียวซูหมิงก็อยู่กับชายชราอีกหนึ่งปี หนึ่งปีนี้สงบมาก เพียงแต่ว่าสุนัขใหญ่ในลานจากสองตัวก่อนหน้านี้กลายเป็นห้าตัว


                สามตัวที่เพิ่มมามีนามซื่อไป๋ อู่ไป๋ แล้วอีกตัวก็มีนามว่าซานไป๋เช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่ซูหมิงเรียกซานไป๋ สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวจะวิ่งมาทันที


                ส่วนสุนัขใหญ่อีกสามตัว ตัวหนึ่งมาจากสำนักเอกะเต๋า ที่เหลือ…มาจากฝ่ายอสุรา


                เวลาค่อยๆ ผ่านไปอีกครึ่งปี ซูหมิงได้รับสารจากกู่ไท่ พวกเขาหาที่อยู่คร่าวๆ ของแส้ดาราพบแล้ว กะประมาณว่าอีกหนึ่งเดือนก็จะหาตำแหน่งที่แม่นยำพบ ให้ซูหมิงเตรียมตัวเคลื่อนย้ายไปรับให้ดี


                หนึ่งเดือนนี้เดิมทีซูหมิงคิดว่าจะได้ตัดฟืนอย่างสงบต่อไป แต่วันก่อนเดินทาง ช่วงที่แสงตะวันกำลังร้อนแรง มีเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ มาจากประตูลานบ้าน


                แทบเป็นขณะเดียวกับที่ประตูลานบ้านเกิดเสียงเคาะ ตาแก่ที่กำลังกระโดดโลดเต้นไล่จับอู่ไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ซูหมิงยืนขึ้นเดินไปหน้าประตูลานบ้าน


                “ไอ้บัดซบมาแล้ว เปิดประตูให้มัน!” ตาแก่แค่นเสียงขึ้นจมูก ซูหมิงมีสีหน้าปกติ แต่นัยน์ตาเป็นสมาธิเล็กน้อย ตอนที่เปิดประตูออก เขาเห็นบุรุษยืนอยู่ตรงประตูคนหนึ่ง


                เป็นชายวัยกลางคนที่ดูสงบนิ่งมาก สวมอาภรณ์ยาวสีขาว เส้นผมดำแกว่งตามสายลม ตอนที่ยืนอยู่ตรงนั้นให้ความรู้สึกไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด ขอเพียงเจ้ามองเขา เจ้าจะมองข้ามทุกอย่างรอบตัวไปโดยไร้การควบคุม เหมือนว่าทั้งโลกนี้เหลือเพียงร่างเงาเขา


                ซูหมิงมองชายวัยกลางคน อีกฝ่ายก็มองซูหมิงเช่นกัน ดวงตาเขาใสมาก ไม่มีคลื่นอารมณ์แฝงอยู่แม้แต่น้อย ยิ้มน้อยๆ ให้ซูหมิง


                ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ไม่กล่าว แต่หมุนตัวเดินไปนั่งบนตอไม้ หยิบขวานขึ้นมาตัดฟืนต่อ ชายวัยกลางคนยิ้มพลางเดินเข้าไปในลานบ้าน ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามา เห็นๆ อยู่ว่าในตัวเขาไม่ได้แผ่กลิ่นอายพลังใดๆ แต่กลับทำให้ลานแห่งนี้เหมือนบิดเบี้ยวในมิติ พลันมืดครึ้มลง แม้แต่สีสันของท้องฟ้ายังหายไปในพริบตา ราวกับว่าทั้งโลกเหลือเพียงชายวัยกลางคนจริงๆ


                นี่คือความบ้าอำนาจที่ไม่เด่นชัด ไม่รุนแรง แต่กลับถึงจุดสูงสุด!


                หากเผยมาภายนอกก็จะให้ความรู้สึกไม่ลึกซึ้ง แต่การเก็บอยู่ภายในต่างหากที่จะทำให้ความบ้าอำนาจสูงสุดของจิตใจเป็นเหมือนชายวัยกลางคนผู้นี้


                เขาเดินเข้าไปในลานบ้าน ไม่กล่าว เมื่อกวาดสายตามองสุนัขใหญ่ห้าตัวแล้วก็ยังไม่มองชายชรา แต่เดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง มองเขายกขวานตัดฟืน


                “ไม่เลว ถอยออกจากเรื่องชิงบัลลังก์ แซ่ซิวจะให้ฟ้าดินไม่สูญสลายแก่เจ้า มิเช่นนั้น เจ้าลำบาก ข้าลำบาก เขาก็ลำบาก” ชายชุดคลุมขาวพูดเสียงเบา ไม่มีความบ้าอำนาจแผ่ออกมา แต่คำพูดนี้กลับกลายเป็นฟ้าผ่าในใจซูหมิง ส่งเสียงดังก้องแทนที่ทั้งโลกจิตใจเขา พุ่งตรงไปหาดวงจิตซูหมิง เกิดเสียงดังสนั่นไร้รูปกับสี่ดวงจิตโลกแท้จริง


                มือซูหมิงที่กำขวานอยู่หยุดชะงัก ก่อนเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองชายชุดคลุมขาวอย่างเย็นชาพลางพูดขึ้นเรียบๆ


                “เจ้าดูถูกข้ารึ?”


1431 เต๋าของเขา!

โดย

Ink Stone_Fantasy

                ซูหมิงพูดจบ ตาแก่ที่จับหางอู่ไป๋ได้เดิมทีมีสีหน้าเป็นทุกข์เพราะอู่ไป๋ไม่ให้ความร่วมมือ ทว่ายามนี้ความทุกข์พลันหายไป กลายเป็นหัวเราะเสียงดัง


                “ไม่เลวๆ สมกับเป็นศิษย์ว่านอนสอนง่ายของข้า น้ำเสียงแบบนี้บ้าอำนาจยิ่งนัก!” ตาแก่ปล่อยหางอู่ไป๋แล้วเอามือไพล่หลังเดินมายืนอยู่ข้างซูหมิง จ้องชายชุดคลุมขาวที่ตอนนี้ยิ้มด้วยความประหลาดใจ


                “ไอ้บัดซบ เจ้ามาทำอะไร!” ตาแก่พูดด้วยน้ำเสียงโมโห กล่าวจบ ชายชุดคลุมขาวขมวดคิ้วทันที มองไปทั้งแคว้นกู่จั้งก็มีแค่เจ้านี่ที่กล้าพูดต่อหน้าตนแบบนี้


                “อุบ่ะ ยังขมวดคิ้วอีก คิ้วขมวดก็ยังเป็นไอ้บัดซบอยู่ดี!” ตาแก่ถลึงตามอง ตะโกนเสียงดัง


                “สหายเก่าพบกัน เจ้าช่วยหุบปากเพราะมันไม่น่าฟังจะได้หรือไม่ ไอ้คนบ้า!” ชายชุดคลุมขาวมองตาแก่อย่างเย็นชา ผ่านไปพักใหญ่ถึงคลายปมคิ้วออก พูดขึ้นเรียบๆ


                “ไอ้บัดซบ!” ตาแก่ถลึงตาจนกลมโต กระทั่งยังรูดแขนเสื้อขึ้น ตะโกนเสียงดัง


                ชายชุดคลุมขาวส่ายหน้า เขามองไปยังประตูของลานบ้าน กวาดสายตามองไปนิ่งๆ พลางพูดขึ้นเนิบๆ


                “หานอวี้ เข้ามาเถอะ นี่คือคนที่อาจารย์จะพาเจ้ามาพบ” เมื่อชายชุดคลุมขาวกล่าวขึ้น ตอนนี้มีร่างเงาหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกลานบ้าน เป็นสตรีคนหนึ่ง เส้นผมยาวสีดำพาดบ่า สวมอาภรณ์ขาว ใบหน้าค่อนข้างงดงาม โดยเฉพาะความนิ่งในดวงตาให้ความรู้สึกที่สวยแบบมีระดับและสุขสบาย


                เห็นได้ชัดว่านี่คือสตรีที่แม้แต่นิสัยยังอ่อนโยนมาก ผิวนางขาวผ่อง ดูอายุราวยี่สิบปี เมื่อปรากฏกายแล้วก็เดินเข้ามาในลานช้าๆ โค้งตัวคารวะตาแก่


                “ผู้เยาว์หานอวี้ คารวะผู้อาวุโสกูหง”


                ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ยังคงยกขวานตัดฟืนต่อไป ไม่ว่าใครมาในลานนี้เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก ต่อให้เป็นชายชุดคลุมขาว…เขาก็คาดเดาฐานะอีกฝ่ายได้แล้ว


            ช่วงที่เสียงปึกๆ ของการตัดฟืนดังก้องและตาแก่เห็นหานอวี้นั้น สีหน้าไม่จริงจังต่อใดๆ ทั้งสิ้นพลันหายไป กลายเป็นจริงจัง


                “นางคือเด็กทารกในตอนนั้นรึ?” ตาแก่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงถามขึ้นช้าๆ แม้แต่เสียงยังต่างไปเล็กน้อย ทำให้ซูหมิงที่ตัดฟืนอยู่ข้างๆ มองตาแก่แวบหนึ่ง


                “หานอวี้ เปิดแขนขวาเจ้าออกมา” ขณะที่ชายชุดคลุมขาวกล่าวเรียบๆ หานอวี้หน้าแดงเล็กน้อย หลังกวาดสายตามองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าลงรูดแขนเสื้อมือขวาขึ้น จนกระทั่งถึงข้อศอก บนผิวขาวผ่องมีปานสีแดงแห่งหนึ่ง


                ตาแก่พิจารณามองปานนั้นแวบหนึ่งแล้วก็เงียบไป ชั่วขณะที่ถอนหายใจเบา เขาไม่มีสีหน้าเสียสติอย่างก่อนหน้านี้อีก แต่กลายเป็นสงบนิ่ง มองหานอวี้อย่างลึกซึ้งแล้วก็มองชายชุดคลุมขาวอย่างซับซ้อน


                “แม้ข้าจะไม่ยอมรับเต๋าของเจ้า แต่ก็ต้องพูดว่า เต๋านี้…น่าตกใจจริงๆ!” ชายชราส่ายศีรษะพลางเดินมาอยู่ข้างซูหมิง ตบเข้าที่บ่าเขา


                “คารวะเจ้าบัดซบท่านนี้หน่อย เขาเป็นใครเจ้าน่าจะรู้แล้ว”


                ซูหมิงได้ยินดังนั้นก็ยังมีสีหน้าสงบนิ่ง วางขวานลง ยืนขึ้นประสานมือคารวะชายชุดคลุมขาว


                “คารวะผู้อาวุโสซิวหลัว”


                ชายชุดคลุมขาวมองซูหมิงอยู่พักหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว แต่ก็คลายปมออกอย่างรวดเร็ว


                “เจ้าจะใช้เขาในการตัดเต๋ารึ? แต่นอกจากสายเลือดแล้ว เขามีอะไรพิเศษกัน ต่อให้เคาะเสียงวิญญาณเต๋าเก้าครั้งก็ไม่มีทางให้เจ้าสนใจได้จนถึงรับเป็นศิษย์เพื่อให้ยืนยันความสับสนแห่งจิตใจ” ชายชุดคลุมขาวกล่าวขึ้นนิ่งๆ


                “ขอเพียงมีวันหนึ่งที่เจ้าไม่ตัดเต๋า เจ้าก็จะไม่มีทางก้าวสู่เต๋าไร้ที่สิ้นสุด วันนี้แซ่ซิวมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นศิษย์ของเจ้า แต่มาเพื่อยืนยันว่ากู่จั้งในใต้หล้านี้ เต๋าของข้าซิวหลัวได้รับการพิสูจน์แล้ว!


                และข้าไปเมืองหลวงมาแล้ว” ชายชุดคลุมขาวกล่าวราบเรียบ พร้อมกันนั้นยังกวาดสายตามองสตรีนามหานอวี้ด้วยแววตาเมตตาและอ่อนโยน


                “ข้ายอมรับเต๋าของเจ้า แต่ก็ไม่ยอมรับเต๋านี้เช่นกัน…ข้าคิดเสมอว่านี่คือทางที่ผิด!” ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับช้าๆ


                “ทางผิดรึ ข้าฝึกฝนมาหลายหมื่นปี รับเลี้ยงหานอวี้มาทั้งหมดหลายหมื่นคน ทุกคนไม่มีใครเกิดความผิดพลาด นี่ไม่ใช่ทางที่ผิด แต่เป็นเต๋าของข้า!” ชายชุดคลุมขาวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


                ซูหมิงได้ยินคำพูดระหว่างตาแก่กับชายชุดคลุมขาวก็เหมือนเกิดความคิด จึงมองหานอวี้ที่ตอนนี้ยังคงสงบนิ่ง เมื่อพิจารณามองอยู่หลายทีแล้ว คิ้วกลับขมวดขึ้นทีละน้อย


                “เจ้าก็มองออกรึ?” ชายชรามองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วถามขึ้นนิ่งๆ


                “นาง…น่าจะเป็นบุรุษ” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับช้าๆ


                “เดิมทีนางเป็นบุรุษ เพียงแต่ตั้งแต่เยาว์วัยถูกเลี้ยงให้เป็นสตรี ดังนั้น แม้แต่เขายังคิดว่าตนเป็นสตรี” ชายชราพูดต่ออย่างสงบนิ่ง เมื่อเข้าถึงหูซูหมิง เขาหรี่ตาแคบลง


                “นี่ก็ยืนยันได้ว่าเต๋าของข้าต่างหากคือมหาเต๋า!” ชายชุดคลุมขาวกวาดสายตามองซูหมิง จากนั้นมองตาแก่


                “เต๋าของข้าเหมือนกับความเป็นตายของทุกชีวิต ประหนึ่งดวงชะตาของทุกชีวิต ทุกอย่างนี้…เดิมทีล้วนไม่มีอยู่ ที่เกิดความเป็นตาย เกิดความต่างของดวงชะตา นั่นเป็นเพราะดวงจิตฟ้าดินหลอกทุกชีวิต มันบอกทุกชีวิตว่าต้องมีความเป็นตาย ดังนั้น…ถึงเกิดความเป็นตาย


                มันบอกทุกชีวิตว่าต้องมีชะตา เลยต้องเกิดชะตาต่างกัน! แต่ความจริงแล้วทุกชีวิตคงอยู่นิรันดร์ได้ มีอายุยืนยาวได้ พริบตาที่รวมขึ้นเป็นชีวิต นั่นคือเต๋าไร้ที่สิ้นสุด!


                ทว่าทุกอย่างนี้ เพราะดวงจิตฟ้าดินลวงหลอก เลยทำให้ทุกชีวิตเชื่อว่าตนมีความเป็นตาย เชื่อว่าตนมีดวงชะตา และยังเชื่อว่าตั้งแต่ที่ตนรวมขึ้นเป็นชีวิตจนภพชาตินี้ล้วนเป็นเส้นทางที่ต้องแสวงหาความจริงไม่หยุด


                อย่างเช่นหานอวี้ นางเป็นตัวอย่าง เป็นหนึ่งในตัวอย่างหลายหมื่นคนของข้า ข้าเลี้ยงดูเขามาแต่เยาว์วัย มอบทุกอย่างของสตรีเพศให้เขา ดังนั้นเขาคือสตรีคนหนึ่ง! หากสตรีทุกคนข้างกายเขามีโครงสร้างร่างกายเหมือนกับเขา เช่นนั้น…ใครจะบอกได้ว่าเขาไม่ใช่สตรี?


                หากสตรีทุกคนถูกเปลี่ยนไปแบบนี้ เช่นนั้น…เพศในด้านโครงสร้างร่างกายก็จะเกิดการกลับด้านและเปลี่ยนแปลงไป!


                ทุกอย่างนี้ยืนยันเต๋าของข้าแล้ว!” เสียงชายชุดคลุมขาวดังกึกก้อง ทุกประโยคเข้าถึงหูซูหมิง ทำให้ในใจเกิดการสั่นสะเทือน เขาเคยเห็นความต่างของเต๋าและความยึดมั่นในการแสวงหาเต๋าแบบนี้มาจากตาแก่ ตอนนี้…ก็ได้สัมผัสแบบเดียวกันจากในตัวซิวหลัว


                “ดังนั้นสิ่งที่ข้าต้องการคือเมื่อตระหนักรู้ได้แล้ว ข้าจะรวมชีวิตข้าขึ้น บอกตัวข้าว่าคนมีความเป็นตาย บอกข้าว่าชีวิตคนมีดวงชะตา บอกข้าว่าตัวเองอ่อนแอ ต้องฝึกฝนไปทีละก้าวถึงจะแข็งแกร่งจนตัดดวงจิตฟ้าดินออกจากตัวข้าได้!


                ตอนที่ข้าตัดลง ข้าจะบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด…กระทั่งข้ายังเหนือกว่าเต๋าไร้ที่สิ้นสุด!” ชายชุดคลุมขาวสะบัดแขนเสื้อ มีสีหน้ามั่นใจแรงกล้า ความมั่นใจนี้เป็นดั่งเต๋าของเขา นั่นคือความบ้าอำนาจสูงสุด เพราะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ชายชุดคลุมขาวแสวงหา นอกจากตัดดวงจิตที่ตนถูกหลอกแล้ว ยังจะใช้ดวงจิตนี้ควบคุมทุกชีวิตด้วย


                “เต๋าโลกจริงปลอมของเจ้า เต๋าแห่งดวงชะตาของกู่ตี้ เต๋าดวงจิตลวงหลอกของข้า พวกเราสามคน ขอบเขตเทพเต๋าขั้นเก้าแห่งแคว้นกู่จั้งสามคน เต๋าที่ต่างกันสามวิถี!


                เต๋าสามวิถีนี้ไม่มีทางเป็นมหาเต๋าได้ทุกเต๋า มีเพียงเต๋าเดียว เต๋านี้…เป็นของข้า และในเมื่อเจ้ารับองค์ชายสามเป็นศิษย์ เช่นนั้นเขาก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเต๋าของเจ้า ช่างเถอะ ข้าจะรับองค์ชายรองเป็นศิษย์ ให้เขาสืบทอดเต๋าของข้า!


                ดูท่าองค์ชายใหญ่ที่กู่ตี้ให้ความสนใจที่สุดเลือกสำนักเอกะเต๋าก็เพราะว่าเต๋าของสำนักเอกะเต๋ากับกู่ตี้มีคำสอนแห่งดวงชะตาสายเลือดเดียวกัน!


                ข้ากลับฝ่ายอสุราครั้งนี้แล้วจะปิดด่านนั่งฌานอีกพันปี พันปีจากนี้ หากเจ้ายังเป็นเหมือนตอนนี้เจ้าจะตาย หากกู่ตี้ยังลังเลก็จะตายเหมือนกัน แคว้นกู่จั้ง…อาจจะไม่ต้องการสายเลือดราชวงศ์อีก


                สำนักกู่จั้ง หรือไม่ก็ฝ่ายกู่จั้ง เจ้าว่าสองนามนี้ดีหรือไม่?” ชายชุดคลุมขาวยิ้มเล็กน้อย ก่อนเดินผ่านซูหมิงไปทางประตูลานบ้าน หานอวี้ก้มหน้าตามอยู่ข้างหลัง สีหน้ายังคงสงบนิ่ง จนกระทั่งสองคนเดินออกจากประตูบ้านแล้ว จนร่างเงาสองคนหายไป ภายในลานเงียบ


                ซูหมิงเงียบ ตาแก่ก็เหม่อมองฟ้าอยู่นานไม่พูดอะไร


                เงียบไปหนึ่งก้านธูป ตาแก่ก็ส่ายหน้า


                “ตัดเต๋านั้นง่าย แต่หากตัดพลาด…ก็จะพลาดไปชั่วชีวิต ระหว่างลังเลก็ไม่ใช่ความลังเล แต่เป็นการแสวงหาเต๋าต่างหาก ไฉนต้องรีบร้อนตัด ไฉนต้องตัดเต๋าคนเดียว ไฉนต้องบังคับให้คนอื่นตัด…” ชายชรามีสีหน้าเหนื่อยล้า เขาหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในบ้าน


                ซูหมิงเดินมานั่งบนตอไม้ นัยน์ตาฉายแววขบคิด ไม่ว่าจะเป็นตาแก่หรือชายชุดคลุมขาวล้วนเป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดของแคว้นกู่จั้ง


                หลังจากซูหมิงตรึกตรองเต๋าของพวกเขาแล้วก็อดนึกถึงเต๋าของตัวเองไม่ได้


                “เต๋าของข้า…คืออะไร?” ซูหมิงพึมพำ


                “จะว่าไปก็มีความคล้ายกับซิวหลัวเล็กน้อย และก็คล้ายกับตาแก่ ส่วนคำสอนแห่งดวงชะตา เพราะสัมผัสได้ในโลกซางเซียง ก็เลยยอมรับได้เหมือนกัน” ซูหมิงพูดเสียงเบา จนกระทั่งหลับตาลง ตอนที่หันกลับไปมองชีวิต เขาพบว่าเขาไม่รู้ว่าเต๋าของตนคืออะไร


                “บางทีข้าอาจไม่มีเต๋า ตรงหน้าข้ามีเพียงเส้นทางสายหนึ่ง…ที่ให้ใบหน้าคุ้นเคยในความทรงจำ ให้พวกเขาคืนชีพ ให้พวกเขายิ้ม!


                ข้าทำทุกอย่างได้เพื่อสิ่งนี้!” ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น เผยความยึดมั่นในแววตา


1432 ถ้ำเสวียนจั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

                เวลาผ่านไปช้าๆ เจ็ดวันต่อมา


                ในเจ็ดวันนี้ ชายชราไม่ได้ออกจากบ้าน ทำให้ลานแห่งนี้ไม่มีความคึกคักในวันวาน มีเพียงเสียงตัดฟืนของซูหมิงที่ยังคงดังก้องทุกวัน


                เขาหันไปมองบ้านเป็นบางครั้งอยู่เงียบๆ มีสีหน้ากังวลเสี้ยวหนึ่ง การมาและจากไปของซิวหลัว คำพูดเกี่ยวกับเต๋านั้น ส่งผลไม่มากกับซูหมิง แต่เห็นได้ชัดว่าสำหรับชายชราแล้ว มีแรงกดดันที่ซูหมิงไม่อาจเข้าใจ


                แรงกดดันนี้เกี่ยวกับความเป็นตาย ความยึดมั่นต่อเต๋า หรืออาจพูดได้ว่า…นั่นคือการต่อสู้ไร้รูป เป็นการต่อสู้ระหว่างสามเทพเต๋าขั้นเก้าของแคว้นกู่จั้ง


                จนกระทั่งตะวันยามอัศดงวันที่เจ็ดลับฟ้า ซูหมิงวางขวานไว้ข้างๆ เบาๆ เขารู้สึกถึงการเรียกของกู่ไท่ จึงพลิกมือ ปรากฏแผ่นหยกในมือ ตอนนี้มันเปล่งแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายกำลังจะเปิด


                ตามสัญญา เมื่อเริ่มเคลื่อนย้ายนั่นหมายความว่าสำนักเจ็ดจันทราได้หาตำแหน่งที่เกือบแม่นยำของแส้ดาราพบแล้ว รอเพียงซูหมิงไป สำนักเจ็ดจันทราจะลงมืออย่างสุดกำลัง ช่วยเขา…ให้ได้แส้ดารามา!


                ซูหมิงมองแสงวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายของแผ่นหยกในมือแล้วเก็บแผ่นหยกไปเงียบๆ ยืนขึ้นเดินมาอยู่นอกประตูบ้าน ยืนตรงนั้นเงียบๆ จนผ่านไปพักใหญ่ถึงประสานมือคารวะลงลึก


                “อาจารย์ ศิษย์ต้องไปแล้ว ครั้งนี้…ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ได้อยู่ด้วยกันมาปีกว่า ทำให้เขาชินกับความสงบของที่นี่ ชินกับนิสัยตาแก่ ทำให้ตอนที่แยกจาก ในใจเกิดความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย


                พูดได้ว่าหนึ่งปีในหมู่บ้านภูเขาธรรมดา ในลานแห่งนี้คือหนึ่งปีที่เขาจิตใจสงบที่สุดในแคว้นกู่จั้ง


                ประตูบ้านเปิดออกช้าๆ ร่างเงาตาแก่เดินออกมาจากบ้าน ใบหน้าดูแก่ชรากว่าเมื่อเจ็ดวันก่อนเล็กน้อย ในดวงตาสองข้างเผยประกายสติปัญญา เขามองซูหมิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตาทีละน้อย


                “ไปเถอะ ที่นี่ยังไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่ยาว จูงสุนัขห้าตัวนั่นไปด้วย อาจารย์หวังว่าครั้งต่อไปที่ได้ยินนามเจ้า…เจ้าจะบรรลุเต๋าสูงศักดิ์!” ชายชรายิ้มมองซูหมิงพลางพูดเสียงเบา


                ซูหมิงมองชายชราตรงหน้าเงียบๆ ก่อนคารวะอีกครั้ง ช่วงที่หมุนตัวจะจากไปนั้น


                “รอก่อน” ชายชราเรียกซูหมิงเอาไว้


                “ขวานนั่น ข้าเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าเอาไปด้วย จำการใช้ขวานสามขั้นที่อาจารย์สอนให้ดี ขั้นแรกคือตัดคน ขั้นสองตัดฟืน ขั้นสามตัดทุกอย่างที่เจ้าอยากตัด” ชายชรายิ้มกล่าว ความเมตตาทางสีหน้าต่างกับความบ้าบอในวันปกติอย่างชัดเจน


                ซูหมิงเงียบ หมุนตัวเก็บขวานแล้วหันมามองชายชรา


                “อาจารย์ ข้าไปแล้ว” ซูหมิงพูดเบาๆ


                “ไปเถอะ จำไว้ศิษย์ของข้ากูหง ใครก็ล่วงเกินไม่ได้ หากมีคนล่วงเกินเจ้า เจ้าก็ตัดเขา หากตัดไม่ได้ เจ้าสูบเขา สรุปคือจะยอมเสียเปรียบไม่ได้!” ชายชราเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าโอหัง เหมือนว่าตอนนี้ ความรู้สึกบ้าบอในวันวานกลับมาอีกครั้ง


                ซูหมิงมองชายชราพลางพยักหน้าให้ จากนั้นแผ่นหยกในมือเปล่งแสงอาคมเคลื่อนย้ายสว่างจ้า แสงนี้พลันปกคลุมรอบตัวซูหมิง แยกสายตาระหว่างเขากับชายชรา ทันทีที่ร่างเงาซูหมิงจะถูกเคลื่อนย้ายไปนั้น…


                “จำเอาไว้ หากเจอสตรีก้นใหญ่ จะต้องพากลับมาให้อาจารย์ เจ้าไม่ชอบสตรีก้นใหญ่ แต่ข้าชอบ” ชายชราเห็นซูหมิงจะไปแล้ว เหมือนพลันนึกอะไรออกจึงรีบตะโกนไป


                เสียงข้ามผ่านม่านแสงอาคมเคลื่อนย้ายเข้าไปถึงหูซูหมิง ทำให้เขายิ้ม ขณะนั้นเองร่างเงาเขาหายไปในลาน


                ที่หายไปพร้อมกันยังมีสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัว


                จนกระทั่งในลานกลับมาเงียบสงบ ชายชรายืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา เขาไม่มีสีหน้าไม่จริงจังต่อสิ่งใดอีก เหมือนย้อนกลับไปพันปีก่อน เงาโดดเดี่ยวอยู่ในลาน เหมือนมีความเงียบเหงา เขาเดินออกมาจากบานประตูบ้านช้าๆ มานั่งบนตอไม้


                เหมือนชายชราธรรมดาจริงๆ เมื่อตะวันยามอัศดงลาลับ ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงนั้น เขาหยิบม้วนยาสูบออกมาสูบเงียบๆ หลายที ในคืนมืด แสงไฟสลัวจากม้วนยาสูบกลายเป็นอารมณ์ความคิดที่ไม่มีวันถูกทำลายในลานแห่งนี้…


                ……………..


                แคว้นกู่จั้ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ เทือกเขาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง ภูเขาที่นี่มีมากกว่าล้านลูก ทอดยาวไม่มีสิ้นสุด หากอยู่ข้างในจะเกิดความรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เพราะมองไป ยอดเขารอบๆ ขึ้นลงทำให้หาเส้นทางไม่พบ


                อีกทั้งที่นี่ยังเป็นปฏิปักษ์ต่อจิตสัมผัสอย่างรุนแรงยิ่ง เว้นแต่มหาเต๋าสูงศักดิ์ มิเช่นนั้นแล้วผู้ฝึกฌานทุกคนที่ต่ำกว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้วจะเสียจิตสัมผัสไป


                ตอนนี้กลางเทือกเขา ยอดเขาที่ถูกขุดจนเรียบแห่งหนึ่งล้อมรอบไปด้วยผู้ฝึกฌานหลายพันคน ผู้ฝึกฌานเหล่านี้ต่างมองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว มีสีหน้ายากจะปกปิดความเหนื่อยล้า พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทรา หนึ่งปีกว่านี้พวกเขาตามหาทั้งทางตะวันตกเฉียงใต้ตามแผ่นหยกที่ซูหมิงมอบให้ สุดท้ายก็ระบุที่นี่จึงทำการค้นหาอย่างละเอียดอีกครั้ง จนในที่สุดเป้าหมายก็มาอยู่ที่นี่


                กู่ไท่มาร่วมเรื่องการหาแส้ดาราไม่ได้ เขาต้องควบคุมทุกอย่างในสำนักเจ็ดจันทรา ดังนั้นคนที่ร่วมด้วยคือสวี่จงฝาน ตอนนี้ยืนอยู่นอกวงแหวนอาคม มองแสงในวงแหวนอาคมสว่างวูบวาบ ครู่ต่อมาตอนที่แสงวงแหวนอาคมสว่างถึงขีดสุดก็หายไปโดยพลัน จากนั้นปรากฏร่างเงาซูหมิงในวงแหวนอาคม รอบตัวเขายังมีสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัว


                ยามที่มองซูหมิง สวี่จงฝานยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าให้ซูหมิง


                ซูหมิงมีสีหน้าปกติ หลังประสานมือคารวะแล้วก็เดินออกมาจากวงแหวนอาคม สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวรีบตามมาข้างหลัง ช่วงที่เดินออกมาพร้อมกัน ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราหลายพันคนรอบๆ ต่างมองพวกมันด้วยแววตาประหลาดใจมาก


                “เวลาไม่คอยท่า ข้าจะพูดให้ฟังคร่าวๆ ที่นี่คือตำแหน่งชัดเจนตามแผ่นหยกของเจ้า เจ้าไปตามเทือกเขาตรงหน้าจะพบถ้ำโบราณหนึ่ง ที่นั่นคือที่ที่ปรมาจารย์ดาราได้เงาสะท้อนแส้ดารา


                พวกเราเข้าไปในถ้ำนี้ไม่ได้ ผู้อาวุโสใหญ่กู่ไท่เคยกำชับไว้ว่านอกจากเจ้าแล้ว ห้ามมีใครเข้าไปเป็นคนแรก ที่นั่นเป็นของเจ้าคนเดียว


                จากที่ข้าศึกษามา รวมถึงผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นๆ ในสำนักทำการตรวจสอบที่นี่ติดต่อกันหลายวัน พวกเราได้คำตอบอย่างหนึ่ง หากล้มเหลวก็ช่าง แต่หากเจ้าได้แส้ดารามา เช่นนั้นยอดเขาล้านลูกทั้งตะวันตกเฉียงใต้จะถล่มลงสามส่วน กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถล่มลงมากกว่าเดิม


                ดังนั้นแล้วก็จะสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันจะทำให้สำนักรอบๆ รับรู้ได้ สมบัติล้ำค่าพิลึกปรากฏแบบนี้จะต้องเกิดการแย่งชิงอย่างดุเดือดแน่


                รอบๆ นี้มีสามสำนักหกฝ่าย ไม่รู้ว่าใครจะมาก่อน แต่ว่าคงเลี่ยงมหาสงครามไม่ได้ เจ้ามีเวลาไม่มาก มีแค่หนึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยามจากนั้นเจ้าต้องกลับมาที่นี่ พวกเราจะเปิดวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายกลับสำนักเจ็ดจันทรา


                พวกเราจะถ่วงเวลาหนึ่งชั่วยามให้เจ้าอย่างสุดความสามารถ ถึงขั้นครั้งนี้สำนักเอาสมบัติล้ำค่าออกมาไม่น้อย สร้างเป็นวงแหวนอาคมแก่กล้าวางไว้รอบๆ


                หนึ่งชั่วยามจะต้องกลับมา!” สวี่จงฝานมองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง


                ซูหมิงพยักหน้าช้าๆ ก่อนประสานมือคารวะสวี่จงฝาน จากนั้นกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไป ช่วงที่บินไป อาภรณ์เขาเปลี่ยนไปเป็นชุดคลุมดำ เส้นผมสีม่วงแกว่งไกว ข้างหลังเป็นสายรุ้งขาวห้าสายติดตาม นั่นคือสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัว


                เพียงพริบตาเดียวซูหมิงก็มาถึงเทือกเขาที่สวี่จงฝานบอก มองไปข้างหน้าก็พบว่าใต้เทือกเขามีช่องโหว่ยักษ์แห่งหนึ่ง มันเหมือนกับถ้ำ ตอนนี้มีไอหนาวแผ่มา ส่งผลให้ปากถ้ำถูกปกคลุมด้วยหมอกเมฆ


                ซูหมิงดวงตาวาววับ เอ่ยขึ้นราบเรียบ


                “อู่ไป๋” พูดจบ สุนัขใหญ่สีขาวตัวที่ห้าตัวข้างๆ ดวงตาพลันเปล่งแสงหม่น กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งไปยังปากถ้ำกลางหมอกเมฆ


                ร่างเงามันเข้าไปในถ้ำทันที ซูหมิงหลับตาลงเล็กน้อย ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพเคลื่อนไหว ภาพนี้มาจากการสำรวจของอู่ไป๋ ระหว่างสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวกับซูหมิงมีการเชื่อมต่อทั้งแคว้นกู่จั้ง ต่อให้เป็นกู่ตี้ ซิวหลัวก็ยังไม่อาจตัดมันได้ง่ายๆ


                เพราะชายชราเป็นคนวางการเชื่อมต่อจิตใจนี้ด้วยตัวเอง เว้นแต่…จะมีคนมีพลังเหนือกว่าเขาถึงขั้นเต๋าไร้ที่สิ้นสุด หรือไม่ก็ผู้แข่งแกร่งเหมือนกับกู่ตี้ ซิวหลัวใช้พลังประจำตัวอย่างไม่เสียดาย มิเช่นนั้นแล้ว…จะตัดการเชื่อมต่อนี้ไม่ได้


                ครู่ต่อมาซูหมิงลืมตาขึ้น ขยับวูบพาแสงสีขาวสี่สายข้างหลังพุ่งเข้าไปในเมฆหมอก เข้าไปตรงปากถ้ำ


                ภายในถ้ำไม่ได้มืดมิด แต่บนผนังรอบๆ มีแสงเรืองรองอ่อนๆ ไม่น้อย ที่นี่เงียบมาก มีเพียงสายลมเกิดขึ้นตอนที่ซูหมิงเข้ามาและพัดไกลออกไปแล้วเกิดเสียงครืนเบาๆ


                ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาห้อเหยียดไปตลอดทาง สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังระวังโดยรอบตลอดเวลา คอยติดตามอยู่ข้างหลัง


                เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ซูหมิงหยุดชะงัก เขาสัมผัสได้ถึงความหนาวที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกนี้ทำให้ผนังหินรอบๆ กลายเป็นน้ำแข็ง แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่เขาหยุด


                ที่ทำให้เขาหยุดคือตรงหน้ามีประตูน้ำแข็งยักษ์บานหนึ่ง!


                ประตูเป็นกึ่งโปร่งใส แต่เห็นรางๆ ว่าข้างหลังประตูมีถ้ำแห่งหนึ่ง มิหนำซ้ำจะเห็นได้ชัดว่าประตูน้ำแข็งเป็นประตูใหญ่ของถ้ำ อีกทั้งเขายังเห็นอีกว่าบนประตูน้ำแข็งแกะสลักตัวอักษรใหญ่สวยงามเอาไว้สามตัว!


                “ถ้ำเสวียนจั้ง!”


                ทันทีที่เห็นสามคำนี้ ซูหมิงหรี่ตาลง จ้องคำว่าเสวียนจั้งตาเขม็ง มองอยู่สิบกว่าลมหายใจ


1433  ข้าไม่ใช่เจ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

                “ทำลายประตู!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังดวงตาเปล่งประกาย พวกมันคือผู้แข็งแกร่งเต๋าสูงศักดิ์ห้าคนของสำนักเอกะเต๋าและฝ่ายอสุรา ทุกตัวล้วนอยู่ระดับเดียวกับสวี่จงฝาน ไม่ว่าอยู่สำนักใด ห้าคนนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสใหญ่


                หากห้าคนร่วมมือกันก็จะอยู่ในระดับบางอย่าง ถึงขั้นเปลี่ยนวงโคจรของหนึ่งสำนักได้ ตอนนี้ต้องติดตามซูหมิง ต้องอดกลั้นเพลิงโทสะไว้ ไม่กล้าเผยออกมาแม้แต่น้อย เวลานี้เมื่อซูหมิงกล่าวขึ้น สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวจึงพุ่งตรงเข้าไปทันที แม้จะมีร่างสัตว์เดรัจฉาน แต่ตอนที่เดินทาง พลังพวกมันกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง นอกจากจะถูกซูหมิงกุมความเป็นตายกับร่างกายเปลี่ยนไปแล้ว พลังพวกมันไม่เปลี่ยนไปจากอดีตเลย


                สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวโจมตีอย่างสุดกำลัง เทียบเท่ากับผู้อาวุโสเต๋าสูงศักดิ์ห้าคนลงมืออย่างสุดกำลัง เสียงครึกโครมดังก้องไปทั้งถ้ำ เกิดแรงสั่นสะเทือนจากเสียงก้องไม่มีสิ้นสุด ได้ยินไปข้างนอกภูเขา เหมือนมีคนกำลังตะโกน


                ประตูน้ำแข็งเกิดเสียงกึกๆ พร้อมกันนั้นซูหมิงหรี่ตาลง เห็นเพียงแค่รอยร้าวของประตูมันก็ฟื้นฟูกลับมามีสภาพเดิม ราวกับว่าการลงมือของเต๋าสูงศักดิ์ห้าคนไม่อาจทำลายมันได้


                แต่ว่าบนประตูน้ำแข็งปรากฏอักษรโบราณแถวหนึ่ง


                ‘คารวะเป็นศิษย์ข้า มอบของเซ่นไหว้แก่ข้า ผู้มีชะตาต้องกันจะได้เข้า!’


                ซูหมิงมองแถวอักษรนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดปรมาจารย์ดาราถึงเข้าไปในนี้ได้ แต่ซูหมิงจะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด เขาคารวะกูหงเป็นอาจารย์แล้ว นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายจริงใจกับเขาจากใจจริง จะให้เขาไปคาระเสวียนจั้งก็คงทำไม่ได้


                นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา เขาเดินมาอยู่หน้าประตู ยกมือซ้ายขึ้นกดประตู โบกมือขวาไปข้างหลัง ฝ่ามือตั้งขึ้น ตอนนี้เองสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวพลันเข้ามาใกล้แล้วสัมผัสมือขวาซูหมิงทีละตัว ให้พูดจริงๆ คือเป็นการสัมผัสสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวบนมือขวาต่างหาก


                พลังมหาศาลจากในตัวสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวไหลผ่านมือขวาเข้าสู่ร่างกายเขา ขณะเดียวกันนัยน์ตาเขาเป็นแสงหม่น ทันทีที่มือซ้ายกดประตูน้ำแข็งก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ


                “กาลเวลาย้อนกลับ!” เขาจะใช้พลังย้อนเวลาประตูน้ำแข็งนี้ กลับไปเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อนตอนที่มันยังไม่สร้างขึ้น


                ต้องย้อนไปกี่ปีนั้นซูหมิงไม่รู้ แต่นี่คือวิธีเดียวที่จะทำลายประตูนี้ได้!


                เวลาผ่านไป มวลอากาศรอบตัวซูหมิงเหมือนบิดเบี้ยว นั่นคือร่องรอยที่เกิดจากการย้อนเวลา ไม่นานนักบนประตูน้ำแข็งปรากฏเงาสะท้อน เงานั่นไม่ใช่ของซูหมิง แต่เป็น…ปรมาจารย์ดารา


                มองจากเงาสะท้อนนี้ ปรมาจารย์ดารามาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน คารวะประตูนี้ จากนั้นช่วงที่ร่างเงาเขาหายไป อู่ไป๋ในสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังซูหมิงตัวสั่น ล้มลง พลังทั่วร่างถูกสูบไป แต่เมื่อล้มลงแล้วก็โคจรพลังทันที รีบฟื้นพลังกลับมาให้เร็วที่สุด


                ถึงอย่างไรพลังที่ถูกสูบไปก็ไม่ได้อยู่ในร่างกาย และก็ไม่ได้ทำลายรากฐานของอู่ไป๋ อีกทั้งมีแต่การทำลายรากฐานเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนพลังอีกฝ่ายให้เป็นของตัวเองได้ ดังนั้นการใช้วิธีนี้จึงไม่ส่งผลต่ออู่ไป๋มากนัก


                เวลาผ่านไปทีละลมหายใจ เมื่อสุนัขใหญ่สีขาวหลายตัวข้างหลังซูหมิงพากันล้มลง ทันใดนั้นประตูน้ำแข็งตรงหน้าซูหมิงเริ่มบางลง จนครู่หนึ่งผ่านไป ตอนนี้ประตูน้ำแข็งเหลือเพียงผิวหนึ่งชั้นก่อนหายไปในพริบตา ตอนนี้เองดวงตาซูหมิงเป็นประกาย เขาได้เห็นภาพที่คนอื่นไม่เห็น


                ในภาพนั้นเขาเห็นเงาแผ่นหลังชุดคลุมดำคนหนึ่งอยู่ตรงหน้า ยกมือขวาขึ้นเหมือนยกแขนเสื้อไปทางจุดที่เคยมีประตูน้ำแข็ง เงาแผ่นหลังนี้ ซูหมิงไม่เคยลืม นั่นคือ…เสวียนจั้ง!


                ซูหมิงไม่ได้หน้าเปลี่ยนสีมากนัก กระทั่งเพียงแค่มองภาพแวบเดียวแล้วก็เดินหน้าไป วูบเดียวก็เข้าไปในถ้ำ


                ทันทีที่เข้ามา ประตูน้ำแข็งข้างหลังพลันปรากฏมาอีกครั้งเหมือนปกติทุกอย่าง ไอหนาวน่าตกใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซูหมิงยืนอยู่ในถ้ำแล้ว


                เขากวาดสายตามองไปรอบๆ สิ่งที่เห็นในแวบแรกคือตรงหน้าสุดของถ้ำมีกระจกยักษ์บานหนึ่ง ตรงข้ามกระจกมีเบาะนั่งทรงกลมอันหนึ่ง


                ส่วนรอบๆ มีห้องลับอีกหกห้อง ตอนนี้มีสามห้องถูกเปิดออก อีกสามห้องที่เหลือปิดผนึกไว้


                ช่วงที่ละสายตากลับ ซูหมิงมาอยู่นอกห้องลับปิดผนึกห้องแรก ขณะตรึกตรองก็กดมือขวาบนผนังหิน แต่พริบตาที่มือขวาสัมผัสผนังหิน บนผนังหินเกิดระลอกคลื่นเป็นวงกว้าง ทำให้ผนังหินค่อยๆ โปร่งใส


                ซูหมิงจึงมองทะลุผนังหินไปเห็นว่าในห้องลับมีโครงกระดูกนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับร่างหนึ่ง ตรงข้ามโครงกระดูกเป็นเตาหลอมยายักษ์ เหมือนว่ากำลังหลอมยาก่อนตาย


                ภายในห้องลับยังมีชั้นวางอีกเล็กน้อย ด้านบนวางขวดยาเอาไว้ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะเอียงล้ม บนพื้นมีเศษขวดยาแตกอีกมาก มีขวดยาจำนวนมากวางเกลื่อนพื้น


                แต่ที่ยังสมบูรณ์ก็ยังมีอยู่บ้าง แม้ไม่มาก ทว่าจากแสงสว่างพร่างพราวของขวดยาเหล่านั้นแล้ว จะเห็นได้ว่ามันไม่ธรรมดา


                ดวงตาซูหมิงขยับประกายวูบไหว คิ้วขมวดขึ้น พริบตาที่ยกมือขวา ระลอกคลื่นประตูหินห้องลับแข็งตัว กลับมาเป็นประตูหินอีกครั้ง มองไม่เห็นภายใน


                ‘น่าเสียดายพลังการย้อนเวลา ด้วยพลังข้าตอนนี้ยังใช้ต่อไม่ได้…พลังที่เหลืออยู่ก็ต้องใช้ตอนกลับ’ ซูหมิงขบคิดพลางเดินมาถึงนอกห้องลับปิดผนึกที่สอง ยกมือขวาขึ้นสัมผัสประตูหินเหมือนเดิน ระลอกคลื่นจากประตูหินพลันขยายเป็นวงกล้าง กลายเป็นโปร่งใส


                ซูหมิงมองแวบเดียวก็เห็นว่าในห้องลับมีโครงกระดูกร่างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรี นางนั่งขัดสมาธิอยู่ ตรงหน้ามีเข็มทิศอันหนึ่ง เข็มทิศนี้หายไปมุมหนึ่ง เหมือนก่อนตายนางพยายามจะใช้พลังเฮือกสุดท้ายซ่อมเข็มทิศ


                ซูหมิงจ้องเข็มทิศนั้น มองไปมองมาดวงตาเปล่งแสงหม่น หากขยายเข็มทิศนี้ไปไม่รู้กี่เท่า นั่นคือเข็มทิศที่เสวียนจั้งนั่งอยู่ในความทรงจำเขา!


                ขณะเงียบอย่นี้ ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ก่อนเดินมาถึงห้องลับปิดผนึกห้องสุดท้าย ทันทีที่มือขวาสัมผัสห้องลับ ดวงตาเขาหรี่แคบลง เหมือนมีเสียงคำรามสะเทือนฟ้าดังกึกก้องในใจ


                เสียงคำรามนี้สมจริงอย่างยิ่ง ตอนที่ระลอกคลื่นประตูหินกระจายออกกลายเป็นโปร่งใสนั้น ในที่สุดซูหมิงก็ได้เห็นว่าคนที่คำรามในใจเขาเป็นใคร!


                นั่นคือ…งูเหลืองสีดำตัวหนึ่ง หางมันมีหัวมังกรดุร้าย ตอนนี้อยู่ในห้องลับ ไม่ว่าจะเป็นงูเหลือมหรือหัวมังกรต่างกำลังร้องคำรามใส่ซูหมิงนอกประตูหิน


                เมื่อมันร้องคำราม แรงปะทะไร้รูปเหมือนข้ามผ่านประตูหินเข้าใส่ ทำให้เกิดแรงสะเทือนต่อความทรงจำขึ้น กระทั่งตอนที่สะเทือนเข้ามา ความคิดซูหมิงพลันถูกฉีกออก เปิดออกเป็นฟ้ากระจ่างดาวแห่งหนึ่ง


                ในฟ้ากระจ่างดาวนี้มีดาวอยู่นับไม่ถ้วน ดาวเหล่านี้กำลังเรียงตัวกันอย่างรวดเร็ว เชื่อมกันเป็นแส้ยักษ์เส้นหนึ่ง!


                “เข้าร่วมสำนักจะมีชะตาต่อกัน สามประตูเปิดได้ สามประตูไม่มีเจ้าของเปิดไม่ได้ ขอมอบเงาสะท้อนดาราแก่เจ้า ตามหาร่องรอยเจ้าของ!”


                เสียงนี้แฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนาน แต่กลับดังสนั่นในความคิดซูหมิงราวกับฟ้าผ่า สะเทือนร่างเขา ทำให้เขาต้องยกมือขวาขึ้น ร่างเซถอยไปสามเก้า มุมปากมีโลหิตไหล ตอนที่เงยหน้าขึ้น เขาจ้องประตูหินที่กำลังคืนจากสภาพโปร่งใสอย่างรวดเร็ว มองไปแวบแรกไม่เห็นงูเหลือมและหัวมังกร แต่เห็นในห้องลับนั้นมีกำไลข้อมือเชือกเล็กสีดำอันหนึ่งลอยอยู่!


                สิ่งนี้คือเชือกที่ใช้ร้อยไข่มุกวิญญาณหวนคืนเก้าเม็ดบนมือขวาเสวียนจั้งในความทรงจำเขา!


                ซูหมิงเช็ดโลหิตตรงมุมปาก เป้าหมายที่เขามาที่นี่ก็เพื่อแส้ดารา ตอนนี้ดวงตาขยับประกาย ยกมือขวาขึ้นรวมพลังแห่งเวลาชี้ไปยังประตูหินที่มีแส้ดารา


                แต่ทันทีที่ชี้ไป ประตูหินพลันสั่นสะเทือน แรงสะท้อนกลับรุนแรงโถมกลับมาที่เขา เหมือนพลังการย้อนเวลาถูกสะท้อนกลับ จังหวะที่เห็นจะว่าจะจมร่างตนนั้น ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ พลังย้อนเวลาหายไปทันที


                ซูหมิงหน้ามืดทะมึน จ้องประตูนั้นอยู่นาน


                ‘การย้อนเวลาไม่มีผลกับประตูนี้…’ ซูหมิงขมวดคิ้วพลางกวาดสายตามองภายในถ้ำ ตอนที่มองกระจกโบราณ ในใจกลับสั่นไหว เมื่อเข้าไปใกล้ช้าๆ แล้วก็เห็นตัวเองในกระจก เขาเห็นใบหน้าของหวังเทา


                มองกระจกโบราณเงียบๆ พลางตรึกตรอง ก่อนนั่งลงบนเบาะตรงข้ามกระจกโบราณนั้นช้าๆ ทันทีที่นั่งลง เขาเงยหน้าขึ้นมองกระจกโบราณ ดวงตาเป็นประกายเรืองรอง


                “เป็นเช่นนี้จริงๆ!” ซูหมิงพูดเสียงเบา มองไปในกระจกโบราณ สิ่งที่เห็น…ไม่ใช่หวังเทาอีก และก็ไม่ใช่เขาซูหมิง แต่เป็นใบหน้าที่ไม่มีวันลืม สวมชุดคลุมดำนั่งขัดสมาธิ…เสวียนจั้ง!


                ‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้…’ ซูหมิงถอนหายใจเบา ก่อนใช้มือขวากรีดปลายนิ้วโลหิตไหลแล้วสะบัดมือขวา พลันมีโลหิตสามหยดลอยไปตกที่ประตูสามบานที่ปิดผนึกอยู่


                พริบตาที่โลหิตสามหยดลอยไปตกที่ประตูหินสามบาน ประตูหินสามบานนั้นเกิดเสียงครึกโครมโดยพลัน เมื่อกลายเป็นโลหิตแล้วก็ยืดยาวออกไปรอบๆ พร้อมกันราวกับหลอมละลาย ทำให้ประตูหิน…ถูกเปิดออก!


                เมื่อประตูหินเปิดออก แส้ดาราที่มีตัวเป็นงูเหลือง หางเป็นหัวมังกรก็พุ่งตรงมาที่ซูหมิงทันที เขาเงียบ ไม่หลบ แต่นัยน์ตาฉายแววเด็ดขาดพร้อมกับยื่นมือขวาไปยังงูเหลือม ชั่วขณะที่งูเหลือมเข้ามาใกล้ ร่างงูหายไปกลายเป็นกำไลเชือกสีดำสวมเข้าที่ข้อมือขวา


                ขณะเดียวกันเข็มทิศในห้องลับของโครงกระดูกสตรีก็ส่งเสียงอื้ออึงบินเข้ามาใกล้เขาทันที ตอนนี้เองมันหลอมรวมกับเบาะนั่งใต้ร่างเขา ทำให้ใต้ร่างปรากฏเป็นเข็มทิศยักษ์อันหนึ่ง!


                ซูหมิงเงยหน้าขึ้นเงียบๆ ช่วงที่ทั้งถ้ำส่งเสียงครึกโครมดังสนั่นฟ้าดินราวกับแผ่นดินไหวนั้น เขามองกระจกโบราณอีกครั้ง


                “ข้าไม่ใช่เจ้า” ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ


1434 สองร้อยสี่สิบปี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ช่วงที่เข็มทิศบินออกมาหลอมรวมกับเบาะนั่งทรงกลมใต้ร่างซูหมิง เหมือนว่าพื้นถ้ำกลายเป็นเข็มทิศยักษ์ อีกทั้งแส้ดารายังพุ่งตรงเข้ามาหา กลายเป็นเชือกสีแดงสวมมือขวาเขานั้น…


ยอดเขานอกถ้ำแห่งนี้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น เสียงครึกโครมดังขึ้นลง ทำให้ยอดเขาล้านลูกทางตะวันตกเฉียงใต้แคว้นกู่จั้งเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง หินภูเขาร่วงหล่น ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย มองไกลๆ ยอดเขาล้านลูกเหมือนมีมังกรยักษ์หลับใหลตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้มังกรยักษ์ตื่นขึ้น ราวกับว่าจะสลัดฝุ่นแห่งกาลเวลาบนตัวออก เลยทำให้ที่นี่ถล่มลง


เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พริบตาเดียวก็เห็นยอดเขาถล่มลงไม่น้อย หมอกฝุ่นอบอวลฟ้าดิน คนหลายพันคนโดยมีสวี่จงฝานเป็นผู้นำแห่งสำนักเจ็ดจันทราต่างมีสีหน้าร้อนรน ขณะเดียวกันนอกยอดเขาแห่งนี้มีหลายสำนักที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่นี่ จึงกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งมาที่นี่


ชั่วขณะที่สวี่จงฝานร้อนรน ทันใดนั้นเองปากถ้ำที่เขามองอยู่ซึ่งซูหมิงเข้าไปมีแสงสีขาวสายหนึ่งบินออกมา ในแสงขาวนั้นไม่ใช่ซูหมิง แต่เป็นสุนัขใหญ่สีขาวตัวหนึ่ง มันวิ่งออกมาอย่างรีบร้อน ตอนที่เข้าใกล้สวี่จงฝาน พลันมีเสียงแก่ชราดังขึ้นในใจสวี่จงฝาน


“ท่านชายมีคำสั่งมาว่าเขาออกมาไม่ได้ชั่วคราว พวกเจ้ากลับสำนักเจ็ดจันทราไปก่อน หากเขาออกมาแล้วจะไปหาพวกเจ้าที่สำนักเจ็ดจันทรา” เมื่อสุนัขใหญ่สีขาวส่งกระแสจิตไปแล้วก็หมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง ทันทีที่บินกลับ ปากถ้ำเกิดเสียงดังอึกทึก หินถล่มลงมาปิดปากถ้ำ


สวี่จงฝานมีสีหน้าลังเล แต่เห็นยอดเขาสั่นไหวแบบนี้ วงแหวนอาคมรอบๆ ก็เปิดหมดแล้ว ทว่ายังไม่อาจขวางแผ่นดินไหวได้ ยอดเขาที่นี่พังลง แม้แต่ยอดเขาที่พวกเขาวางอาคมเคลื่อนย้ายยังเกิดรอยร้าวจำนวนมากแล้ว


หากรอยร้าวลามไปถึงอาคมเคลื่อนย้าย พวกเขาหลายพันคนจะเคลื่อนย้ายไม่ได้ อีกทั้งสำนักรอบๆ ก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่นี่แล้ว อีกไม่นานจะต้องมีผู้ฝึกฌานจากสำนักอีกไม่น้อยมาแน่


เพื่อไม่ให้ความลับเปิดเผยสวี่จงฝานจึงกัดฟันสะบัดแขนเสื้อ


“ศิษย์สำนักเจ็ดจันทรา กลับ!” สิ้นเสียง หลายพันคนพุ่งตรงไปที่วงแหวนอาคม ช่วงที่วงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายขยับแสงวูบวาบ หลายพันคนพลันหายวับไป แทบเป็นขณะเดียวกับที่พวกเขาหายไป เห็นสายรุ้งยาวจากรอบๆ เข้ามาไกลๆ แล้ว ผู้ฝึกฌานในสายรุ้งยาวเหล่านี้เห็นแสงวงแหวนอาคมเคลื่อนย้าย ทว่าเห็นใบหน้าคนในนั้นไม่ชัด


แทบเป็นทันทีที่คนสำนักเจ็ดจันทราถูกเคลื่อนย้ายไป ยอดเขาที่วงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายอยู่พังทลายลง ทำให้วงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่อาจย้อนกลับมาระบุจุดเคลื่อนย้ายได้ ต่อมาวงแหวนอาคมที่สำนักเจ็ดจันทราวางไว้รอบๆ ก็พากันระเบิดตัวเองพร้อมกัน เสียงครึกโครมดังสนั่น ทำลายร่องรอยทุกอย่าง


เสียงโครมครามจากการระเบิดตัวเองครั้งนี้รวมกับยอดเขาล้านลูกสั่นสะเทือน ส่งผลให้หมอกฝุ่นกลบทุกอย่าง


ไม่นานนักผู้ฝึกฌานก็แห่มากันที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับมีน้อยคนมากที่จะเข้าไปในหมอกลึก เพียงแค่ยืนอยู่กลางอากาศ มองยอดเขาแห่งนี้ด้วยความตกใจระคนสงสัย


จนกระทั่งภายในสำนักเหล่านี้ปรากฏผู้แข็งแกร่งขั้นเต๋าสูงศักดิ์จำนวนหนึ่ง เมื่อลาดตระเวนอย่างละเอียดแล้ว สามวันหลังยอดเขาสั่นสะเทือนก็ค่อยๆ สงบลง ทุกสำนักต่างออกค้นหา


แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไร เหลือไว้เพียงความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ในใจ ดังนั้นจึงออกตรวจสอบอย่างจริงจังต่ออีกหลายเดือนถึงค่อยๆ หยุดลง เริ่มไม่มีผู้ฝึกฌานจากสำนักมากนักที่สนใจที่นี่ เรื่องเกือบสามส่วนที่เกี่ยวกับยอดเขาล้านลูกทางตะวันตกเฉียงใต้พลันสั่นสะเทือนกลายเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน


แต่ยังมีผู้ฝึกฌานจำนวนหนึ่งมักรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อยเลยมาที่นี่บ่อยครั้ง หวังว่าจะโชคดีพบเงื่อนงำที่คนอื่นไม่เห็น


เวลาผ่านไปแบบนี้ช้าๆ


ซูหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ แผ่นดินไหวภูเขาสะเทือนข้างนอกทำให้ถ้ำเกิดรอยร้าวจำนวนมากเหมือนจะพังลง แต่สุดท้ายก็ยังไม่พัง โดยรอบมีสภาพย่ำแย่เล็กน้อยเท่านั้น


ซูหมิงนั่งบนเบาะทรงกลมอยู่ตลอด หลับตาตกอยู่ในห้วงสมาธิ ที่เขาไม่ออกไปเพราะตัวเองที่ปรากฏในกระจกคือใบหน้าเสวียนจั้ง


หากไม่แก้ไขเรื่องนี้ เขาจะไม่ออกไป


ข้างหลังเขาเป็นประตูน้ำแข็ง ตอนนี้สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวเฝ้าอยู่นอกประตู รอซูหมิงออกมา


เวลาผ่านไปทีละวันพริบตาเดียวก็หนึ่งปี


หนึ่งปีนี้ซูหมิงลืมตาขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกคือเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนที่ลืมตา เขามองกระจกโบราณ สิ่งที่เห็นยังเป็นเสวียนจั้งสวมชุดคลุมดำนั่งบนเข็มทิศ จากนั้นเขาหลับตาลง ผ่านไปอีกครึ่งปีจนนั่งฌานในถ้ำครบหนึ่งปีเต็มแล้ว ตอนที่ลืมตาอีกครั้ง เขาก็ยังเห็น…เสวียนจั้ง


ซูหมิงเงียบ ก่อนยืนขึ้นจากเข็มทิศบนพื้นช้าๆ ดึงเชือกสีแดงตรงมือขวาออกโยนไว้บนพื้น ก่อนมองกระจกโบราณอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่เสวียนจั้งอีก ไม่ใช่หวังเทา แต่เป็นหน้าตาตนเอง


“จะได้สมบัติของเจ้าก็ต้องกลายเป็นเจ้า…” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ดวงตาขยับประกาย ที่เขาไม่ออกไป สาเหตุหนึ่งคือเขาไม่ใช่เสวียนจั้ง หากไม่แก้ภาพในกระจกโบราณก็จะกลายเป็นความคิดฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจไม่อาจรวมได้


และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือแส้ดาราก็ดี เข็มทิศก็ดี เขาต้องการเวลาในการหล่อหลอม เขาเห็นล่วงหน้าแล้วว่าตอนที่ตนหล่อหลอมสมบัติสองสิ่งนี้เป็นของตนนั้น ถ้ามองกระจกอีกครั้งจะไม่เห็นเสวียนจั้งอีก แต่เป็นตนเอง


ขณะเงียบอยู่นี้ เขายืนขึ้นจากเข็มทิศช้าๆ หลับตาลงแผ่พลังในร่างกายหลอมรวมไปในเข็มทิศใต้ร่าง ระหว่างที่ดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วเปิดออก วิญญาณเต๋าในนั้นประสานมุทราด้วยสองมือ พลันปรากฏเปลวเพลิงไร้รูปกระจายออกมาจากในร่างเขา เริ่มหล่อหลอมสมบัติล้ำค่าเข็มทิศ


นอกจากนี้ดวงจิตซูหมิงยังวนเวียนไปทั้งถ้ำ หลอมรวมกับพลัง รวมกับวิญญาณเต๋า กลายเป็นพลังที่เป็นของเขาเพียงคนเดียว ก่อนหล่อหลอมเข็มทิศอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน


เวลาผ่านไปเนิบๆ เมื่อซูหมิงหล่อหลอมอยู่ในถ้ำราวกับปิดด่านนั่งฌานครบสิบปี กลางเทือกเขาข้างนอกไม่เห็นร่างเงาผู้ฝึกฌานจำนวนมากแล้ว แม้สิบปีจะไม่นาน แต่คนส่วนใหญ่เมื่อไม่ได้อะไรจากที่นี่ การสั่นสะเทือนเมื่อสิบปีก่อนจึงถูกมองข้ามไป


ทว่ายังมีผู้ฝึกฌานที่ยึดมั่นบางส่วนที่ไม่ยอมไปจากที่นี่ จนผ่านไปอีกสิบปีถึงจากไปด้วยความเสียดาย จนเมื่อซูหมิงอยู่ในถ้ำครบสามสิบปี ยอดเขาล้านลูกทางตะวันตกเฉียงใต้เงียบสงบมากดั่งในอดีต มีน้อยคนที่จะมา


ทันทีที่ซูหมิงลืมตาขึ้นและมองกระจกโบราณนั้น แวบแรกยังเห็นเป็นเสวียนจั้ง แต่พริบตาที่สอง…กลับเป็นตน!


หนำซ้ำในตอนนี้เข็มทิศยังถูกหลอมไปราวๆ สองส่วน


เขาไม่รีบจึงหลับตาตกอยู่ในห้วงการหล่อหลอม ผ่านไปอีกสามสิบปีจนอยู่ที่นี่ครบหกสิบปีเต็ม เข็มทิศถูกหล่อหลอมไปราวห้าส่วนแล้ว ตอนที่มองกระจกโบราณอีกครั้ง เขาเห็นร่างเงาเลือนรางของตนกับเสวียนจั้งซ้อนทับกัน


ถ้ำนี้อยู่ในเทือกเขา แผ่จิตสัมผัสกลางเทือกเขาไม่ได้ เว้นแต่จะวางวงแหวนอาคมที่คนสร้างขึ้น มิเช่นนั้นแม้แต่การเคลื่อนย้ายยังทำไม่ได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผ่จิตเข้ามา


ดังนั้นแล้วเรื่องที่ซูหมิงอยู่ที่นี่ นอกจากสำนักเจ็ดจันทราแล้วจึงไม่มีใครรู้ ศิษย์หลายพันคนแห่งสำนักเจ็ดจันทราที่กลับไปในตอนนั้น เมื่อกลับถึงสำนักแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่เหล่านั้นต่างลงมือทันที ลบความทรงจำส่วนนี้ไป ดังนั้นคนที่รู้ว่าซูหมิงอยู่ที่นี่จึงมีเพียงสิบสามคน


นั่นคือผู้อาวุโสใหญ่สิบสามคน


พวกเขาปิดข่าวทุกอย่าง รอซูหมิงออกมาเงียบๆ วันเวลาผ่านไปจนผ่านไปอีกหกสิบปี ช่วงที่ซูหมิงหล่อหลอมเข็มทิศในถ้ำครบหนึ่งร้อยยี่สิบปี เขาลืมตาขึ้นมองกระจกโบราณ ไม่เห็นเสวียนจั้งอีก แต่เป็นตน!


เขาไม่อาจหล่อหลอมเข็มทิศทุกส่วนได้ แต่หลอมได้มากกว่าเก้าส่วน ส่วนสุดท้ายไม่ว่าหลอมอย่างไรก็เหมือนถูกผนึกไว้ ยากจะประทับตราตนเข้าไป


แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นปมในใจ ดังนั้นแล้วเขาจึงยกมือขวาขึ้นขณะนั่งขัดสมาธิ คว้าไปยังเชือกสีแดงที่ตนถอดออกเมื่อร้อยกว่าปีก่อนบนพื้น เชือกสีแดงพลันตรงมาที่มือขวา สวมเข้าที่ข้อมือ ตอนนี้เองซูหมิงมองกระจกโบราณ สิ่งที่เห็นยังคงเป็นเสวียนจั้ง


ซูหมิงหลับตาลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนเริ่มหล่อหลอมเชือกสีแดงที่แปลงมาจากแส้ดารา การหลอมครั้งนี้…ผ่านไปอีกหกสิบปี!


จนกระทั่งอยู่ในถ้ำนี้ครบสองร้อยสี่สิบปี เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏในกระจกคือใบหน้าซูหมิง


เขามองตนในกระจก ดวงตาเปล่งแสงหม่น ก่อนยืนขึ้นช้าๆ


‘สองร้อยสี่สิบปีค่อนข้างนาน ทว่าก็หลอมแส้ดารากับเข็มทิศได้เก้าส่วน ถือว่าคุ้มค่า’ ซูหมิงก้มหน้าลงมองข้อมือขวาตนแวบหนึ่ง ช่วงที่หมุนตัวกลับเดินไปยังประตูน้ำแข็ง เขายกมือขวาโบกไปแบบสบายๆ ทันใดนั้นเองฟ้ายามกลางวันข้างนอกเทือกเขาพลันกลายเป็นคืนมืดมิด ดาราบนฟ้าเชื่อมกัน ขยับแสงเรืองรอง มือซูหมิงในถ้ำเหมือนปรากฏแส้มายาเส้นหนึ่ง ทันทีที่แส้ปะทะกับประตูน้ำแข็งก็เกิดเสียงครึกโครมดังกังวาน ประตูน้ำแข็งพังลงเป็นเสี่ยงๆ


เผยเป็นสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวที่กำลังมองซูหมิงอยู่นอกประตูน้ำแข็ง


“ไปกันเถอะ” ขณะซูหมิงกล่าวเรียบๆ ใต้เท้าปรากฏเข็มทิศอันหนึ่ง มันขยายขนาดเล็กใหญ่ได้ ตอนนี้มีขนาดเท่าเบาะนั่งทรงกลม เขายืนอยู่ข้างบน กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปข้างหน้า


1435 ผู้เยาว์สวี่ฮุ่ย

โดย

Ink Stone_Fantasy

นอกเทือกเขาล้านลูก ตอนนี้มีสายรุ้งยาวสามสายข้างหน้าหนึ่งข้างหลังสองกำลังห้อทะยานผ่านฟ้า ในสายรุ้งยาวตรงหน้าสุดเป็นสตรีคนหนึ่ง นางหน้าซีดขาว แต่ยิ่งซีดก็ยิ่งดูสะอาดดึงดูดคนได้อย่างชัดเจน


นางมีใบหน้างดงามมาก กระทั่งพูดได้ว่าสวยมากกว่างดงาม โดยเฉพาะส่วนคอรวมถึงไฝจางๆ ตรงมุมปาก ทำให้ความรู้สึกสวยหยาดเยิ้มมากกว่าเดิมเล็กน้อย


ตอนนี้นัยน์ตานางฉายแววตกใจ กำลังห้อเหยียดไปข้างหน้า คนที่ไล่ตามข้างหลังเป็นบุรุษวัยกลางคนสองคน สองคนนี้มีสีหน้าเย็นชา การลงมือเต็มไปด้วยจิตสังหาร ขณะไล่ตามก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้เทือกเขาล้านลูกทางตะวันตกเฉียงใต้


“สหายสวี่ ขโมยสมบัติล้ำค่าของสำนักเรา เจ้าหนีไม่รอดแน่!” สองคนที่ไล่ตามหนึ่งในนั้นกล่าวราบเรียบ เสียงดังก้องกังวาน


“เห็นๆ อยู่ว่าท่านชายพวกเจ้ามอบให้ด้วยตัวเองแล้ว ไฉนถึงพูดว่าขโมย!” หญิงคนนั้นแค่นเสียงขึ้นขมูก ขณะกล่าวดวงตาวาววับ นางพุ่งตรงไปที่เทือกเขาล้านลูก นางรู้ถึงความประหลาดของที่นี่นานแล้ว เข้าใจว่าจิตสัมผัสจะถูกควบคุมอย่างรุนแรงที่นี่ หากทิ้งระยะห่างได้เล็กน้อย อีกฝ่ายก็ยากจะหาตนพบ


“หนีเข้าไปยอดเขาล้านลูกก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนข้าสองคนไล่ตามมาได้ระบุตำแหน่งเจ้าไว้แล้ว ก็น่าจะรู้ว่าข้างหลังพวกเรายังมีศิษย์ในสำนักอีกมากได้รับคำสั่งให้ล่าสังหารเจ้า ตอนนี้กำลังเดินทางมา” คนทางขวาจากสองชายวัยกลางคนพูดขึ้นเรียบๆ พลันยกมือขวาขึ้น มีตะขาบยักษ์หลายตัวบินออกมาจากในแขนเสื้อ ตะขาบพวกนี้ไม่ใช่ร่างจริงๆ แต่รวมจากหมอก ถึงขั้นมองแวบแรกจะเหมือนมีคนวาดด้วยหมึกดำ


ตอนนี้ขณะบินออกไปก็ร้องเสียงแหลมพลางพุ่งไปหาหญิงคนนั้น


นางหน้าซีด ทันทีที่ตะขาบหลายตัวนั้นเข้ามาใกล้ นางประสานมุทราชี้ไปข้างหลัง พลันปรากฏร่างเงาแมงป่องตัวหนึ่งขึ้น มันร้องเสียงดังเช่นกัน เมื่อปะทะกับตะขาบเหล่านั้นแล้วก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ก่อเป็นระลอกคลื่นแรงปะทะม้วนตลบไปรอบๆ นางจึงอาศัยแรงปะทะนี้เพิ่มความเร็วได้ไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าผู้ล่าข้างหลังใช้วิชาอะไรถึงความเร็วไม่ลดลงในแรงปะทะ แต่กลับเร็วกว่าเดิมอีก


สามคนสายรุ้งสามสายมาปรากฏเหนือยอดเขาล้านลูก ลากผ่านผืนฟ้าไป


เห็นสตรีตรงหน้าฝ่าเข้ามาถึงยอดเขาล้านลูกที่จิตสัมผัสถูกควบคุมแล้ว ชายวัยกลางคนสองคนที่ไล่ตามมาไม่เพียงไม่ลังเล แต่กลับยิ้มเยาะมุมปาก


แทบเป็นขณะเดียวกับที่พวกเขายิ้มเยาะพร้อมกับนางเข้าไปในเทือกเขาล้านลูกนั้น ตรงหน้านางปรากฏสายรุ้งยาวหลายสิบสายขึ้น ก่อนพุ่งตรงไปหานาง


นางหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน สองทางซ้ายขวามีสายรุ้งบนฟ้าไกลๆ ประกบหน้าหลังซ้ายขวาเป็นผนึกปิดล้อม!


นางหรี่ตาแคบลง ตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังแว่วมาจากบนฟ้า ปรากฏผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนขึ้น ผู้ฝึกฌานเหล่านี้มีหลายสิบคนแบกเกี้ยวยักษ์มาอันหนึ่ง บนเกี้ยวเป็นเก้าอี้ยักษ์ ชายหนุ่มสวมชุดคลุมชมพูนั่งอยู่ตรงนั้น รอบๆ ยังมีผู้ฝึกฌานสตรีผ้าน้อยชิ้นอีกสี่ห้าคนกำลังเกาะติดเขา มองสตรีแซ่สวี่อย่างเย็นชา


“นางสารเลว เอาสมบัติล้ำค่าของข้าไปแล้วยังกล้าขัดขืนการเป็นหม้อหลอมข้าอีก ครั้งนี้ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะหนีอย่างไร หลังจับเจ้าแล้วข้าจะชิมรสชาติเจ้าก่อน วางใจเถอะ ข้าจะไม่ให้เจ้าตายหรอก แต่จะมอบเจ้าให้กับผู้ติดตามข้ามาที่นี่ทุกคน!” ชายหนุ่มมีใบหน้าหล่อเหลา แต่กลับมีความเหี้ยมโหดเพิ่มมา ดวงตาเป็นประกายเย็นชา เอ่ยพร้อมเผยความโอหังออกมาอย่างไร้รูป


“จำไว้ ข้าต้องการเป็นๆ!”


หญิงแซ่สวี่หน้าซีดกว่าเดิม นางกัดฟันงามขยับวูบไหว ข้างหลังปรากฏหมอกดำหมุนตลบ ขณะเดียวกับที่ปรากฏเงามายาตะขาบยักษ์ขึ้น นางพุ่งตรงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว แต่ต่อให้เร็วกว่านี้อีก โดยรอบก็ยังมีผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนปิดผนึก พอนางขยับตัวผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนนั้นต่างยิ้มเยาะและบินไปพร้อมกัน บีบหญิงแซ่สวี่ให้ลงไปยังพื้นดินราวกับตาข่ายที่มีการป้องกันอย่างหนาแน่น


เหมือนว่านางจะหนีไม่รอดแล้ว ช่วงที่ถูกบีบให้ลงไปยังแผ่นดินก็รู้สึกเหมือนมีฝาครอบปิดนางเอาไว้ ไม่มีโอกาสหนีไปได้เลย นางรู้ในจุดนี้ดี แต่ผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนรอบๆ ทำให้ไม่ว่านางจะหนีไปทางใด ขอเพียงถูกขวางเอาไว้ ไม่ต้องถูกบีบให้ลงพื้นดินก็ถูกปิดล้อมในพริบตาแล้ว


ตรงหน้ามีอยู่ทางเดียวคือข้างล่าง แต่เส้นทางนี้ก็มีขีดจำกัด เว้นแต่…แผ่นดินจะไม่มีสิ้นสุด แต่นี่เป็นไปไม่ได้ ทว่าตอนนี้เอง ขณะที่หญิงแซ่สวี่กำลังร้อนรน ผู้ฝึกฌานรอบๆ บีบลงพื้นดินอย่างรวดเร็วราวกับตาขายใหญ่นั้น นางพลันเห็นว่ากลางเทือกเขาข้างล่างมียอดเขาหนึ่ง บนยอดเขามีผู้ฝึกฌานสวมชุดคลุมดำคนหนึ่งยืนอยู่


เส้นผมยาวของผู้ฝึกฌานคนนี้ปลิวไสวตามสายลมภูเขา ข้างหลังมีสุนัขสีขาวห้าตัว


นั่นคือซูหมิง


ทันทีที่เห็นซูหมิง หญิงแซ่สวี่ใจเต้นระรัว แต่พอมองดีๆ นางไม่เคยเห็นคนนี้ในสำนักมาก่อน ขณะใจสั่นไหวก็พุ่งทะยานไปพลางพูดขึ้น


“ศิษย์พี่จางช่วยด้วย!” ขณะกล่าว ตัวนางเหมือนเปลี่ยนทิศทางพุ่งตรงไปหาซูหมิง


“นางสารเลวมีคนช่วยอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย สังหาร ข้าต้องการนางสารเลวเป็นๆ คนอื่นฆ่าทิ้งเสีย!” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บนฟ้ากัดผลเซียนที่สตรีข้างกายคนหนึ่งส่งมาให้คำหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างโอหัง


พูดจบ หลายร้อยคนที่ล่าหญิงแซ่สวี่จึงแบ่งไปสิบกว่าคน ตรงดิ่งไปหาซูหมิง


ขณะเดียวกันหญิงแซ่สวี่เห็นดังนั้นแล้วก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ร่างเงาตะขาบข้างหลังระเบิดตัวเองออก กลายเป็นแรงปะทะม้วนร่างนางให้เข้าไปใกล้ยอดเขาที่ซูหมิงอยู่ มาปรากฏอยู่ข้างหลังเขา ก่อนพูดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่รอช้า


“ศิษย์พี่จางรีบหนีเร็ว ของซ่อนไว้ในที่ที่ท่านต้องการแล้ว ไปพบกันอีกจุดที่เรานัดกันเอาไว้ก่อนหน้านี้!”


หญิงแซ่สวี่พูดจบก็นึกลำพองใจ แอบคิดว่าครั้งนี้ถือว่าเจ้าคนนี้ดวงซวยแล้วกัน หวังว่าเขาจะล่อคนไปได้จำนวนหนึ่ง แบบนี้ตนมีโอกาสหลบหนีได้เล็กน้อย


นางเผยอุบายไว้มากมาย เดิมทีไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงสำคัญเลยมีประโยชน์อยู่บ้าง


ทว่าเมื่อนางพูดจบ ก็มีเสียงเรียบนิ่งดังแว่วมาข้างหู


“จะไปแบบนี้รึ?” ขณะเดียวกับที่เสียงนี้ดังขึ้น ร่างหญิงแซ่สวี่ที่กำลังจะพุ่งทะยานไปพลันแข็งค้าง ทั้งตัวเหมือนถูกพลังไร้รูปมัดเอาไว้ ไม่อาจขยับตัวได้ จึงหยุดอยู่ข้างหลังซูหมิง


เหตุการณ์นี้ทำให้นางหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ตอนนี้เองผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนรอบๆ เข้ามาใกล้ ปิดล้อมยอดเขาที่ซูหมิงอยู่


ผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนนี้ไม่มีใครบรรลุขั้นกายเต๋า กระทั่งไม่มีขั้นไม่อาจกล่าว ต่อให้เป็นสตรีคนนี้ก็อยู่เพียงขั้นภัยพิบัติเท่านั้น


ขณะเดียวกับที่ยอดเขาถูกปิดล้อม ซูหมิงไม่สนใจคนเหล่านั้นรอบๆ แต่หมุนตัวกลับมามองหญิงแซ่สวี่ที่ตอนนี้หน้าซีดขาว


นางมองซูหมิงด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้หากยังไม่รู้ว่าซูหมิงแกร่งกว่านางมาก เช่นนั้นนางก็คงยากจะมีชีวิตรอดในแคว้นกู่จั้งมาจนถึงตอนนี้ได้


“ผู้อาวุโส…” ชั่วขณะที่หญิงแซ่สวี่กล่าวขึ้น ผู้ฝึกฌานรอบๆ ที่ไม่รู้สูงต่ำเริ่มโจมตีซูหมิง แต่พริบตาที่พวกเขาลงมือ ซานไป๋สามขาในสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวพลันเห่าเสียงดังบนฟ้า


เสียงเห่าเพิ่งดังขึ้น ฟ้าดินพลันเกิดเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า ชั้นเมฆแตกกระจาย ที่แหลกสลายไปพร้อมกันยังมีหมอกโลหิตที่ออกมาจากรอบๆ ยอดเขา นั่นคือหมอกโลหิตจากร่างผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนที่ถูกเสียงเห่าสะเทือนทำลาย


ภาพนี้ทำให้หญิงแซ่สวี่ตื่นกลัว แม้แต่ชายหนุ่มบนฟ้ายังตัวสั่น สตรีหลายคนรอบๆ ร่างแหลกสลายไป โลหิตจึงสาดบนตัวเขาเป็นสีเลือด ชั่วขณะที่เขากรีดร้องนั้น รอบๆ ปรากฏร่างเงาสี่สายขึ้น


เป็นชายชราสี่คน สี่คนนี้มีสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง ดวงตาขยับประกายวาววับ ในตัวพวกเขาแผ่กลิ่นอายพลังของกายเต๋า สี่คนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งจิตเต๋าขั้นหนึ่ง


“ผู้อาวุโส…ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์ถูกคนชั่วบีบให้ไม่มีทางเลือก เลยมาหลบภัยที่ผู้อาวุโส หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษ หญิงตัวน้อยๆ อย่างข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ…” หญิงแซ่สวี่พูดอ้อนวอนซูหมิงทันที น้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากลัวเขามาก


“เจ้ามีนามว่าอะไร” ซูหมิงมองสตรีตรงหน้าก่อนถอนหายใจเงียบๆ ใบหน้านางเหมือนกับสวี่ฮุ่ย แม้แต่ไฝยังเหมือนกัน


“ผู้เยาว์สวี่ฮุ่ย” หญิงแซ่สวี่รีบตอบกลับ ในใจเป็นกังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสุนัขใหญ่ที่ดูไม่เตะตา ไม่อยากเชื่อว่าเสียงเดียวจะทำให้คนหลายร้อยคนสลายไป ภาพนี้สร้างความตกใจแก่นางมากเกินไปจริงๆ เป็นที่รู้ว่าสุนัขใหญ่แบบนี้…มีทั้งหมดห้าตัว!


“ดื่มสุราเป็นหรือไม่?” ซูหมิงหลับตาลง ปกปิดความเศร้าและหวนรำลึกในดวงตา


“หา?” หญิงแซ่สวี่อึ้งไป ขณะลังเลยังไม่ทันตอบ ซูหมิงลืมตาขึ้นแล้ว


“เจ้าดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักครั้ง ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องที่นี่” ซูหมิงพูดจบก็หมุนตัวกลับสะบัดแขนเสื้อ สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างกายพุ่งขึ้นฟ้าไปทันที


บนฟ้า ชายหนุ่มบนเก้าอี้หน้าขาวซีด กรีดร้องเสียงแหลม ตอนนี้เองชายชราสี่คนรอบๆ หรี่ตาลง ภยันตรายเป็นตายร้ายแรงทำให้พวกเขาสี่คนไม่กล้าลงมือ แต่คว้าชายหนุ่มหมุนตัวจะหนีไป


ทว่าสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวนั้นพุ่งออกไปแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีทางหนีรอดไปได้ พริบตาเดียวก็ถูกตามทัน เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น


“เจ้ากล้าทำร้ายข้ารึ ข้าคือบุตรของผู้อาวุโสใหญ่สำนักเสาะหาเมฆา บิดาข้าบรรลุเต๋าสูงศักดิ์! เจ้า…” คำพูดเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง แต่ก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สุนัขใหญ่ห้าตัววิ่งกลับมา ในปากคาบศีรษะซีดขาวของชายหนุ่มคนนั้นมาด้วย


1436 ขอบคุณ แต่เจ้าไม่ใช่นาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

อู่ไป๋โยนศีรษะชายหนุ่มไว้ข้างซูหมิงแล้วเห่าเสียงต่ำ สวี่ฮุ่ยไม่เข้าใจเสียงนี้ แต่สุนัขใหญ่สีขาวอีกสี่ตัวเข้าใจ


“ข้าก็เป็นเต๋าสูงศักดิ์เหมือนกัน!” นี่คือคำพูดอู่ไป๋


“ข้าก็เป็นเต๋าสูงศักดิ์เหมือนกัน!”


“ย่ามันเถอะ พวกเจ้าล้วนเป็นเต๋าสูงศักดิ์ แล้วคิดว่าข้าไม่ใช่เต๋าสูงศักดิ์รึ!” สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวต่างเห่าหลายทีแล้วนอนหมอบข้างซูหมิง ขยับหัวชายหนุ่มไปมา


สวี่ฮุ่ยสูดลมหายใจเข้า ใบหน้าขาวซีดกว่าเดิม สายตาที่มองซูหมิงมีความหวาดกลัวยากจะบรรยาย การล่าสังหารเป็นตายที่นางคิดถูกซูหมิงแก้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่ได้ลงมือเลย เพียงแค่สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวก็ทำได้ทุกอย่าง


โดยเฉพาะชายชราสี่คนที่ปรากฏรอบตัวชายหนุ่มก่อนหน้า สวี่ฮุ่ยจำได้แม่นว่านั่นคือสี่ผู้อาวุโสของสำนักเสาะหาเมฆา พลังของสี่คนนี้แทบจะเรียกว่ามหาศาล นั่นคือขอบเขตจิตเต๋าที่เหนือกว่าขั้นไม่อาจกล่าว!


ส่วนขอบเขตพลังโดยละเอียดนั้น สวี่ฮุ่ยไม่รู้ แต่ในมุมมองนาง ชายชราสี่คนนั้นเป็นดั่งสวรรค์ หากนางรู้ว่าสี่คนนี้อยู่มาตลอด คาดว่าคงหมดแรงในการหนีไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าสี่คนนี้ปกป้องชายหนุ่ม จึงไม่ออกหน้าเพราะเรื่องของนาง


ทว่าผู้แข็งแกร่งแบบนี้กลับถูกสุนัขหลายตัวข้างกายคนตรงหน้าฉีกทึ้งร่างอย่างง่ายดาย วิญญาณสลายไป นี่ทำให้ในใจนางตอนนี้ตื่นกลัวสุดจะบรรยาย


“ผะ…ผู้อาวุโส…” สวี่ฮุ่ยตัวสั่น ขณะเอ่ยก็พบว่าร่างตนกลับมาขยับได้แล้ว


ซูหมิงนั่งบนหินภูเขาเงียบๆ ตอนที่ยกมือขวาขึ้น ปรากฏไหสุราตรงหน้าเขาหลายไห นี่คือของที่เขาเตรียมไว้ให้ตาแก่ในตอนนั้น ตอนนี้เมื่อนำออกมาแล้วก็เงยหน้ามองสตรีที่มีใบหน้าเหมือนกับคนในความทรงจำ


“ดื่มสุรา” ซูหมิงหยิบไหสุราขึ้นเหม่อมองหญิงตรงหน้าพลางดื่มสุราไปอึกใหญ่


สวี่ฮุ่ยหน้าซีดขาว ถูกซูหมิงมองจนขนหัวลุกเล็กน้อย ผู้อาวุโสตรงหน้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยพบมาในชีวิต แต่ว่า…นางประหลาดใจกับนิสัยเขามาก ไม่คิดเลยว่าจะให้ตนดื่มสุรา


นอกจากนี้ในดวงตาผู้อาวุโสคนนี้เหมือนมีความเศร้า กำลังมองตนด้วยความเศร้า แต่กลับกำลังคิดถึงคนอื่น สวี่ฮุ่ยกัดฟัน ยกไหสุราขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง


เมื่อดื่มไป สวี่ฮุ่ยหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย เมื่อวางลงนางก็รีบพูดขึ้น


“ผู้อาวุโส ข้าดื่มได้ไม่มากนัก ข้า…”


“ดื่ม!” ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ยพลางหัวเราะ ก่อนหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอีกอึกใหญ่


‘สมควรตายๆ แม้เขาจะเป็นผู้อาวุโส แม้จะมีพลังสูงส่ง แม้หน้าตาจะพอใช้ได้ แต่ก็ยังเป็นตัวประหลาด ขะขะเขา…หรือว่าจะให้ข้าเมาแล้ว…ใช้ร่างข้าเป็นหม้อยากัน!’ สวี่ฮุ่ยว้าวุ่นในใจ แต่กลับไม่กล้าไม่ดื่ม ตอนนี้รีบฝืนยิ้ม กัดฟันดื่มไปอึกใหญ่


เมื่อดื่มไป สวี่ฮุ่ยพลันรู้สึกมึนเล็กน้อย แม้ว่าการฝึกเต๋าของนางจะมีพลังความคิดไม่น้อย แต่กลับไม่เคยดื่มสุรามาก่อน ตอนนี้จึงโคจรพลังโดยจิตใต้สำนึก แต่เห็นซูหมิงไม่ทำเช่นนั้น เลยกลัวว่าหากทำแบบนี้แล้วจะไปกระตุ้นนิสัยประหลาดของอีกฝ่ายเข้า จากสีหน้าว้าวุ่นจึงเปลี่ยนเป็นน่าสงสาร


ซูหมิงก็ดื่มสุราไปอึกใหญ่เช่นกัน ถือไหสุราพลางจ้องสวี่ฮุ่ย ตรงหน้าลอยขึ้นมาเป็นภาพต่างๆ ตอนดื่มสุรากับสวี่ฮุ่ยในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต


เขาในตอนนั้นยังไม่มีพลังถึงตอนนี้ ความรู้ความเข้าใจต่อโลกก็ยังเลือนราง ยังต้องต่อสู้ดิ้นรน แต่ตอนนี้มองไป ตนในตอนนั้นโชคดี เพราะทุกอย่างข้างกายยังอยู่ เพียงแค่ห่างจากตนเท่านั้น ทว่าตอนนี้…


ซูหมิงก้มหน้าลง นัยน์ตาฉายแววขมขื่นจากการหวนลำรึก ก่อนหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอีกครั้ง


“สวี่ฮุ่ย ครั้งนี้ข้าจะไม่โกงเจ้าแล้ว…” ซูหมิงพึมพำ


คำพูดนี้ ซูหมิงใช้เสียงเบา สวี่ฮุ่ยที่กำลังว้าวุ่นใจจึงไม่ได้ยิน นางหยิบไหสุราขึ้นมา วางลงก็ไม่ได้ ไม่วางก็ไม่ได้ ช่วงที่ในใจกำลังเกิดอารมณ์ชั่ววูบที่จะเทหมดหน้าตักตะโกนเสียงดังบอกกับซูหมิงว่านางไม่ดื่มสุรานั้น นางมองสุนัขใหญ่สีขาวที่กำลังเล่นหัวคนห้าตัว มองไปแวบแรกความกล้าในใจหายไปโดยพลัน เหมือนมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าหากตนปฏิเสธ เดาว่าอีกเดี๋ยวสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวนี้จะได้เล่นหัวคนสองหัว


นึกถึงตรงนี้ สวี่ฮุ่ยรู้สึกเศร้าด้วยความเจ็บแค้น นางจึงหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่


ดื่มเสร็จ เพิ่งจะวางไหสุราลงก็พบว่าซูหมิงเหมือนขยับไหวร่างกาย ราวกับว่าเขาดื่มสุราไม่เก่ง เรื่องนี้ทำให้นางตาโต ตื่นเต้นขึ้นมา


‘หึหึ ข้าต้องเทหมดหน้าตักแล้ว!’ ในใจนางคิดแบบนี้ ทันใดนั้นดวงตาขยับประกายประจบสอพลอ หยิบไหสุราส่งไปตรงหน้าซูหมิง


“ขอบคุณที่ผู้อาวุโส่ช่วยชีวิตเอาไว้มาก ผู้เยาว์ขอมอบให้ด้วยความเคารพ!” สวี่ฮุ่ยพูดจบก็ดื่มไปอึกใหญ่ก่อน ใบหน้าเล็กแดงเรื่อเล็กน้อย ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ยเหมือนเห็นอดีต จึงดื่มไปเงียบๆ


“ผู้อาวุโส พบกันย่อมมีวาสนาต่อกัน มาๆๆ พวกเราดื่มอีก!”


“ผู้อาวุโส ยังต้องขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตอีกครั้ง พวกเราดื่มอีก!”


“ผู้อาวุโส ต้องขอบคุณที่ท่านช่วยไว้อีกครั้ง!”


“ผู้อาวุโส เอ่อ…ไม่พูดอะไรแล้ว พวกเราดื่ม!”


“ผู้อาวุโส ข้ายังไม่รู้นามของท่านเลย?”


สองคนดื่มสุราแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนสุราสี่ไหหมดลง สวี่ฮุ่ยเมาแล้ว แต่นางพบว่ายิ่งตนเมาก็ยิ่งดื่มได้ กลับกันนี่เป็นสิ่งที่ไม่ดีในมุมมองนาง ผู้อาวุโสนิสัยประหลาดดื่มไปดื่มมากลับเมาหนักกว่านางอีก


ตอนนี้นางมีความมั่นใจแล้ว เมื่อซูหมิงหยิบไหสุราออกมาอีกสี่ไห สองคนก็ดื่มสุรากันต่อ จนฟ้าเริ่มมืด จนมีหมู่ดาวบนฟ้า สวี่ฮุ่ยยิ้มซื่อๆ พลางมองซูหมิง


“ดื่มเถอะ เหตุใดท่านไม่ดื่มแล้ว!”


ซูหมิงเมาแล้ว เดิมทีเขาดื่มสุราไม่เก่ง และก็ไม่อยากใช้พลังสลายความเมา ครั้งนี้เขาอยากเมา ไม่อยากโกง เขามองสวี่ฮุ่ยใต้แสงจันทร์ ตรงหน้าเหมือนเกิดความเลือนราง ทำให้แยกไม่ออกว่าที่นี่คือแดนต้นกำเนิดจิตหรือแคว้นกู่จั้ง


“ข้าดื่มได้ ครั้งก่อนข้าไม่ได้ดื่ม สวี่ฮุ่ย ครั้งนี้…ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้า” ซูหมิงพึมพำ หยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ จนถึงตอนนี้สวี่ฮุ่ยถึงเริ่มมั่นใจแล้วว่าผู้อาวุโสนิสัยประหลาดจะต้องมองตนเป็นอีกคนแน่ๆ


แต่ที่นางแปลกใจคือเหตุใดผู้อาวุโสนามซูหมิงถึงพูดชื่อเดียวกับนามของตน


“หรือว่าคนรู้จักเขาก็ชื่อสวี่ฮุ่ย?” ชั่วขณะที่นางกลอกตาไปมา ก็พูดเสียงเบาด้วยความเมา


“ใช่ ครั้งก่อนท่านไม่ดื่มเป็นเพื่อนข้า มีแค่ข้าคนเดียว ท่านโกง ครั้งนี้ท่านจะต้องดื่มให้เมา”


ซูหมิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ


“ตี้จิ่วโม่ซา เอาสุรามา!” ซูหมิงหัวเราะพลางพูดเสียงดัง แต่สิ้นเสียงแล้วกลับไม่มีใครตอบรับ ภูเขานี้ไม่ใช่ภูเขาแดนต้นกำเนิดจิต ที่นี่…ก็ไม่มีคนนามตี้จิ่วโม่ซา


ซูหมิงเงียบ ส่ายศีรษะอย่างขมขื่น ตนนำสุราออกมาอีกหลายไห วางลงข้างๆ พลางถอนหายใจเบา


“หากชีวิตคนเราเป็นเหมือนดั่งแรกเริ่ม…” ซูหมิงพึมพำ ครั้งนี้สวี่ฮุ่ยได้ยิน ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ สวี่ฮุ่ยมองผู้อาวุโสนิสัยประหลาดตรงหน้า นางเห็นความเศร้าในแววตาเขา เห็นเหมือนการหวนรำลึก นางพลันรู้สึกว่าผู้อาวุโสคนนี้เหมือนจะไม่มีความคิดชั่วร้ายอะไร เขาเพียงแค่เห็นตนแล้วเกิดความปลงอนิจจังเพราะตนหน้าคล้ายสหายเก่า เลยมีการดื่มสุราในครั้งนี้


บางทีอาจเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่สตรีหน้าคล้ายกับตนก็เคยดื่มสุรากับเขาบนภูเขาแบบนี้ในยามค่ำคืน ครั้งนั้น…เขาโกง เขาดื่มไปไม่มาก


ข้างกายเขาในตอนนี้อาจจะมีคนนามว่าตี้จิ่วโม่ซา ดังนั้นเขาถึงพูดแบบนั้น


สวี่ฮุ่ยมองซูหมิง นางรู้สึกสงสารซูหมิงทีละน้อยจนถอนหายใจเบา


‘เขาช่วยชีวิตข้า ข้าต้อง…เป็นสหายเก่าให้เขาสักครั้ง’ พอนึกถึงตรงนี้ สวี่ฮุ่ยก็มองซูหมิงอีกครั้งด้วยแววตาอ่อนโยน


“ซูหมิง…” นางพูดเสียงเบา


พูดจบ ซูหมิงที่กำลังถือไหสุราด้วยความขมขื่นมือหยุดชะงักไป สายตาเหม่อมองสวี่ฮุ่ย


“อย่าคิดถึงอดีตได้หรือไม่…” สวี่ฮุ่ยพูดเสียงเบา มองซูหมิงอย่างอ่อนโยน


ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ย พริบตานี้เขามีความรู้สึกแยกคนตรงหน้าไม่ออก เขายกมือขึ้นช้าๆ ลูบใบหน้านาง


“ครั้งก่อนเจ้าไม่ได้ดื่มเป็นเพื่อนข้าจนหมด ครั้งนี้เจ้าทำได้แล้ว อย่านึกถึงอดีตให้ตัวเองเศร้า แบบนี้…ข้าจะเสียใจไปด้วย…” สวี่ฮุ่ยมองซูหมิง ขณะกล่าวอย่างอ่อนโยน นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงปวดใจ นั่นคือความเจ็บปวด เป็นความรู้สึกครั้งแรกในชีวิต


มือซูหมิงลากผ่านใบหน้านาง จนช่วงที่ลดมือลง เขาหลับตา


เวลาผ่านไปช้าๆ จนหนึ่งก้านธูปต่อมา ซูหมิงลืมตาขึ้นมองสวี่ฮุ่ยด้วยรอยยิ้ม


“ขอบคุณ แต่เจ้า…ไม่ใช่นาง”


สวี่ฮุ่ยกัดริมฝีปาก เดิมทีนางตั้งใจว่าจะปลอมเป็นสหายเก่าซูหมิง ตอนนี้อีกฝ่ายเมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดความเจ็บปวดในใจตนถึงรุนแรงกว่าเดิมเล็กน้อย


“ข้า…” สวี่ฮุ่ยเหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร


“ขอบคุณที่ดื่มเป็นเพื่อนข้า…ว่าแต่สำนักเสาะหาเมฆาอยู่ที่ใด? เจ้าพาข้าไปที ข้าจะช่วยเจ้าจัดการภัยภายหลังให้” ซูหมิงยืนขึ้นช้าๆ แล้วพูดเสียงเบา


สวี่ฮุ่ยยืนขึ้นซวนเซ ซูหมิงมองไป ยกมือขวาขึ้นจะช่วยขจัดความเมาให้นาง แต่นางถอยไปหลายก้าว ซ้ำยังส่ายหน้า


“สำนักเสาะหาเมฆาอยู่ห่างจากที่นี่ไปทางใต้ราวเจ็ดวัน…” พูดจบ สวี่ฮุ่ยหลับตาลง ร่างอ่อนยวบล้มลงกับพื้น


1437 อยากตัดอย่างไร้ร่องรอย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซูหมิงอุ้มสวี่ฮุ่ยที่เมาจนล้มเอาไว้ มองนางที่แก้มสองข้างแดงเรื่อ ลมหายใจดั่งกล้วยไม้ในตอนแรกกลายเป็นกลิ่นสุรา ตอนนี้ล้มลงในอกซูหมิง ส่งเสียงกรนเบาๆ


เสียงนั้นทำให้ในใจซูหมิงเกิดระลอกคลื่นแห่งความทรงจำ เขายืนอยู่บนยอดเขาเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา หมุนตัวอุ้มสวี่ฮุ่ยไปยังทางใต้


สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวบินขึ้นทันที อู่ไป๋คาบหัวคนไว้กลายเป็นแสงสีขาวห้าสายตามซูหมิง ที่นี่ห่างจากสำนักเสาะหาเมฆาเจ็ดวัน นั่นคือด้วยความเร็วของสวี่ฮุ่ย แต่สำหรับซูหมิง เพียงครู่เดียวก็ไปถึง


ทว่าสำนักเสาะหาเมฆาไม่ใช่หนึ่งในสำนักใหญ่ แต่เป็นสำนักเล็กภายใต้เจ็ดสำนักใหญ่แห่งแคว้นกู่จั้ง สำนักเล็กแบบนี้มีอยู่ในแคว้นกู่จั้งไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ไม่มีชื่อเสียงอะไร อย่างเช่นในสำนักเสาะหาเมฆาตอนนี้มีเต๋าสูงศักดิ์คอยดูแลอยู่คนเดียว ซึ่งมากพอทำให้สำนักนี้มีอำนาจอยู่บ้างในแถบใกล้ๆ


เพียงสองก้านธูปซูหมิงก็เห็นสำนักเสาะหาเมฆาอยู่ไกลๆ สำนักนี้สร้างบนภูเขา ดูมีพลังอำนาจไม่ธรรมดา ประตูสำนักสร้างขึ้นด้วยไม้สน มีบันไดหินคดเคี้ยวลงมา เมฆหมอกอบอวล เห็นรางๆ ว่ามีวิหารใหญ่บนยอดเขา และยังเห็นว่าตรงประตูสำนักมีหินใหญ่ตั้งอยู่ก้อนหนึ่ง แกะสลักคำไว้ว่าเสาะหาเมฆา!


ที่นี่คือสำนักเสาะหาเมฆา


ซูหมิงละสายตากลับมาก้มหน้ามองสวี่ฮุ่ยในอ้อมกอด ยามที่เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววเฉยชา เขาไม่มีความแค้นกับสำนักนี้ แต่ว่า…หากเขาปล่อยสำนักนี้ไป เช่นนั้นสวี่ฮุ่ยจะต้องถูกสำนักเสาะหาเมฆาออกตามล่าอย่างสุดกำลังเพราะชายหนุ่มรวมถึงผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนตายแน่


อีกทั้งซูหมิงไม่มีทางพานางไปด้วยได้ นางไม่ใช่คนในความทรงจำจึงไม่มีทางผูกสัมพันธ์กับอีกฝ่าย ความสัมพันธ์แบบนี้จะทำให้เขาพัวพันกับโลกนี้มากกว่าเดิม และทำให้เขาหลงทางไปทีละน้อย


ซูหมิงในอดีตเคยคิดว่าการคงสติไว้ในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ขอเพียงตนยึดมั่นในเจตตาเดิมก็พอ แต่ว่า…จนกระทั่งถึงตอนก่อนหน้านี้ที่พบสวี่ฮุ่ย เขาพบแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย ร่างเงาที่เหมือนกันทุกประการ แม้แต่เสียงยังคุ้นหูอย่างยิ่งในความทรงจำ แต่ตอนนี้…ทำได้เพียงมองกัน มีเยื่อแปลกตากั้นอยู่


โดยเฉพาะตอนที่คนเหล่านี้ในความทรงจำตายจากไป ความรู้สึกเมื่อได้พบอีกครั้งทำให้ซูหมิงหวาดกลัวที่ต้องบอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่านี่คือของปลอม มิใช่ของจริง


นี่เพียงแค่สวี่ฮุ่ย หากพบฟางชางหลัน พบอวี่เซวียน พบศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อเป็นต้นล่ะก็…เขาไม่รู้ว่าตนจะแข็งใจตัดความสัมพันธ์กับคนในโลกนี้ได้หรือไม่


ดังนั้น ตอนที่เผชิญหน้ากับหลันหลันแห่งสำนักเจ็ดจันทราหรือหญิงที่ซูหมิงสัมผัสร่องรอยของฟางชางหลันได้เสี้ยวหนึ่งนั้น เขาจึงหลีกหนีไปไกล ทว่า…เขาไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าจะยังยึดมั่นในเจตนาเดิมได้หรือไม่


จะกลายเป็น…คนน่าสงสารที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นของปลอม แต่กลับยอมเชื่อ ยอมคิดว่าทุกอย่างที่นี่เป็นของจริงหรือไม่


ซูหมิงรู้นิสัยตัวเองดี และเพราะแบบนี้เขาถึงพยายามเลี่ยงอย่างถึงที่สุด เพราะเขาเข้าใจว่า…เขาเป็นคนแบบนี้!


ซูหมิงถอนหายใจเบา เมื่อนัยน์ตาเป็นประกายเย็นชาขึ้นดั่งได้ตัดสินโชคชะตาของสำนักเสาะหาเมฆาแล้ว สำนักนี้…คงอยู่ต่อไปไม่ได้ มีแต่ให้สำนักนี้หมดกำลังในการล่าสังหารสวี่ฮุ่ยเท่านั้น เขาถึงปล่อยสตรีคนนี้ไป ถึงตัดการความสัมพันธ์กับนางได้


แต่ความจริงเขาก็เข้าใจว่าตอนที่ทำลายสำนักนี้ ตัวเขา…ได้เกิดความสัมพันธ์กับสวี่ฮุ่ยแล้ว


เขาต้องปล่อยสวี่ฮุ่ยไป จากนี้จะไม่สนใจความเป็นตายของนางอีก เหมือนกับหมอกควันผ่านดวงตา เพียงแต่ว่า…เขาทำไม่ได้


ขณะเงียบอยู่นี้ซูหมิงยกมือขวาชี้สำนักเสาะหาเมฆา สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังต่างมีดวงตาดุร้าย ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวห้าสายพุ่งไปยังสำนักเสาะหาเมฆา


“สังหารเพียงผู้เหนือกว่าขั้นไม่อาจกล่าวกับสายตรงสำนัก” ชั่วขณะที่ซูหมิงกล่าวเรียบๆ สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวพุ่งเข้าไปในสำนักเสาะหาเมฆาแล้ว ครู่ต่อมาเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังแว่ว ภายในสำนักเสาะหาเมฆาเกิดสงครามขึ้น


ผู้ฝึกฌานเหนือกว่าขั้นไม่อาจกล่าวทั้งหมด ศิษย์สายตรงของสำนักนี้ทั้งหมด แม้แต่เจ้าสำนัก ผู้อาวุโส ทุกคนในคืนนี้ล้วนถูกโลหิตย้อมผืนฟ้าของพวกเขา


จนกระทั่งเกือบครึ่งชั่วยามผ่านไป สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวกลับมา สำนักเสาะหาเมฆารวมถึงเจ้าสำนักผู้อาวุโสและศิษย์สายตรงรวมทั้งหมดหลายสิบคนวิญญาณสลายไป


สำหรับสำนักที่มีศิษย์เกือบหมื่นคนแล้ว การตายของหลายสิบคนไม่ถือว่าเท่าไร แต่คนเหล่านี้คือส่วนน้อยที่อยู่สุดยอด นั่นหมายความว่าสำนักนี้…ตกต่ำลงนับจากนี้


ซูหมิงก้มหน้ามองสวี่ฮุ่ยอีกครั้ง ก่อนก้าวเดินไปวางนางบนยอดเขาแห่งหนึ่งไกลๆ มองเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนยกมือขวาสะบัดแขนเสื้อ มีแสงผลึกมุดเข้าไปในตัวนาง จากนั้นซูหมิงถึงจากไป


คล้อยหลังซูหมิง แพขนตานางสั่นไหว ช่วงที่ลืมตาขึ้นช้าๆ นางมีสีหน้าสับสน แต่ไม่นานนักก็นึกอะไรออกจึงมองไปรอบๆ แต่นอกจากคืนมืดแล้วก็ไม่มีอะไรเลย


นางจำได้รางๆ เหมือนว่าตนดื่มสุรากับใครคนหนึ่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็ถามว่าสำนักเสาะหาเมฆาอยู่ที่ใด ต่อมาตนหมดสติไป ตอนนี้ตื่นขึ้นแล้วถึงพบว่าไม่ว่าจะพยายามนึกอย่างไรก็นึกใบหน้าที่ตนดื่มสุราด้วยไม่ออก


สวี่ฮุ่ยขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะแรงๆ แล้วเป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป


ซูหมิงไปแล้ว ออกจากพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ไปไกล มุ่งหน้าไปยังสำนักเจ็ดจันทรา เขาห้อทะยานบนฟ้าตลอดทางไม่มีหยุดพัก เหมือนอยากจะออกห่างจากสวี่ฮุ่ยให้ไกล ออกจากความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด


เขาพบว่าตนดำดิ่งลงไปในโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนไม่อาจคงสติเอาไว้ได้เล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามยึดมั่นในเจตนาเดิม จนเมื่อถึงยามรุ่งอรุณ เขาเห็นสำนักเจ็ดจันทราอยู่ไกลๆ


“ข้ากลับมาแล้ว…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ขณะก้าวเดินพลันหายวับมาปรากฏอยู่กลางฟ้าสำนักเจ็ดจันทรา แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงกลับมา วงแหวนอาคมทั้งสำนักเจ็ดจันทราเปิดออก ร่างเงานับไม่ถ้วนปรากฏกายขึ้น จิตสัมผัสแต่ละสายล้อมรอบตัวเขา


เห็นได้ชัดว่าสำนักเจ็ดจันทราในตอนนี้มีอาการกลัวเกินกว่าเหตุ เมื่อจิตสัมผัสเหล่านั้นลากผ่านตัวซูหมิงแล้วก็ไม่คลายออกแม้แต่น้อย จิตสังหารเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีก แต่ตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะลากยาวดังกึกก้อง กู่ไท่ก้าวเท้ายาวมาหาซูหมิงจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด


“ผลเป็นอย่างไรบ้าง!” กู่ไท่ถามขึ้นทันที ตอนนี้ข้างหลังเขามีสายรุ้งสิบกว่าสายตรงเข้ามา สวี่จงฝานกับเต้าหานอยู่ในนั้น ยามที่มองซูหมิง สวี่จงฝานยิ้มทันที หน้าตาเขาดูแก่ชราลงไปเล็กน้อย รอยย่นตรงหน้าผากเยอะขึ้น เหมือนขมวดคิ้วมาตลอดหลายปี พอพบซูหมิงแล้วก็คล้ายว่ารอยย่นตรงหน้าผากคลายออกไม่น้อย


มีเพียงเต้าหานที่พบซูหมิงแล้วหรี่ตาลงโดยพลัน เมื่อเพ่งมองสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังซูหมิงแล้ว นัยน์ตาเขาฉายแววตกใจ ก่อนมองซูหมิงอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นรางๆ ว่าองค์ชายสามที่ไม่ได้พบมาสองร้อยกว่าปีมีความต่างออกไปอย่างใหญ่หลวง


นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของพลัง แต่เป็นลางสังหรณ์ มันทำให้เต้าหานรู้สึกว่าต่อให้ตนลงมือ เกรงว่าก็ไม่อาจกำราบอีกฝ่ายได้


ไม่ใช่เพียงแค่เขาที่รู้สึกแบบนี้ ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นข้างกู่ไท่ต่างพากันมองซูหมิง และเกิดลางสังหรณ์แบบนี้เช่นกัน


“ได้มาครบแล้ว” ซูหมิงพยักหน้าให้กู่ไท่


“ดี เจ้ากลับมาได้ทันเวลาพอดีเลย ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะพลาดการแย่งชิงผลพิสูจน์เต๋าอยู่เลย ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหลายสิบปีถึงจะเริ่ม ในเมื่อครั้งนี้ได้ของมาแล้ว การแย่งชิงผลพิสูจน์เต๋าในอีกหลายสิบปีจากนี้ เจ้าต้องสังหารจนมีชื่อเสียงโด่งดัง!


เพราะในการแย่งชิงครั้งนี้จะเป็นสงครามการชิงบัลลังก์ระหว่างสำนักเจ็ดจันทรา สำนักเอกะเต๋าและฝ่ายอสุราเป็นครั้งแรก สงครามนี้อยู่ข้างนอก เจ้าอยู่ข้างใน พวกเราแย่งชิงเส้นทางแห่งพิสูจน์เต๋าส่วนเจ้ากับโอรสวรรค์สำนักอื่นแย่งชิงผลพิสูจน์เต๋า!


แต่ในอดีต เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายต่างแสวงหากันเอง หลังลงมือแล้วก็สาดโลหิตทั่วฟ้าดิน ถึงจะเปิดเส้นทางแห่งพิสูจน์เต๋าได้ ทว่าตอนนี้…สำนักเจ็ดจันทราเราร่วมมือกับสองสำนักและสามฝ่าย มหาสงครามครั้งนี้ลิขิตไว้แล้วว่าต้องเหนือกว่าในอดีต!” กู่ไท่กล่าวขึ้นพลางมองซูหมิงด้วยดวงตาวาววับ เห็นได้ชัดว่าเขาก็เห็นถึงความต่างของซูหมิงเช่นกัน แต่เขาเห็นมากกว่า สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวรอบซูหมิงยังเป็นรอง กู่ไท่สนใจมือขวาซูหมิงมากกว่า!


เชือกสีแดงที่ผูกไว้ตรงข้อมือขวาให้ความรู้สึกร้อนกลัวจนไม่เป็นสุขแก่กู่ไท่ โดยเฉพาะในฝ่ามือขวาซูหมิง กู่ไท่เห็นตราประทับจันทร์เสี้ยวเป็นบางครั้ง นั่นยิ่งทำให้เขาหรี่ตาแคบลง ซ่อนความตกใจเอาไว้


‘ตราประทับนี้คือ…’ กู่ไท่สูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มมุมปาก มีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเด่นชัด เขารู้ที่มาของตราประทับนี้!


ซูหมิงพยักหน้าแล้วประสานมือคารวะพวกกู่ไท่ มองสวี่จงฝานแวบหนึ่งก่อนเดินหน้าเข้าไปในฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ายังต้องบ่มเพาะอีกเล็กน้อย เมื่อวันแห่งพิสูจน์เต๋ามาถึงแล้วรบกวนผู้อาวุโสกู่ไท่กับครูสวี่เรียกข้าด้วย” เมื่อซูหมิงกล่าวขึ้น สวี่จงฝานตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเรียกเขาว่าครู แม้จะไม่ใช่อาจารย์ แต่ก็เรียกว่าครูสวี่ สำหรับเขานั่นก็มากพอแล้ว


กู่ไท่มองร่างเงาซูหมิงจากไปไกลด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม และยังมีความมั่นใจแรงกล้า เขาเชื่อว่าซูหมิงในตอนนี้ แม้จะดูเหมือนขอบเขตวิญญาณเต๋า แต่กำลังรบมากพอจะสร้างอำนาจคุกคามให้เต๋าสูงศักดิ์แล้ว!


“หากเขาบรรลุเต๋าสูงศักดิ์ เขา…จะเป็นหมายเลขหนึ่งของคนที่ต่ำกว่ามหาเต๋าสูงศักดิ์! วันนั้นอีกไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว ขอเพียงผลพิสูจน์เต๋าสุก ขอเพียงเขาเข้าไป ด้วยอุบาย สติปัญญาและกำลังรบเขาจะมีโอกาสได้ผลเต๋ามาสูงยิ่ง หากได้ผลเต๋ามาแล้วกินเข้าไป เขาจะบรรลุเต๋าสูงศักดิ์!” กู่ไท่พูดเสียงเบาด้วยแววตาเฝ้ารอคอย


“อีกอย่าง เขายังมีตราประทับนั่น ทั้งแคว้นกู่จั้ง พูดได้ว่านี่เป็นตราประทับวิชาอภินิหารที่น่ากลัวอย่างยิ่ง…”


1438 ตำนานของมหาจักรพรรดิกู่จั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผลพิสูจน์เต๋ามาจากต้นไม้พิสูจน์เต๋า ต้นไม้นี้ไม่อยู่ในแผ่นดินกู่จั้ง แต่อยู่ในพื้นที่แตกบนฟ้า ตำนานเล่าว่าเคยอยู่ในสมัยโบราณ ไม่ใช่ของแคว้นกู่จั้ง


แต่มหาจักรพรรดิกู่จั้งในตอนนั้นใช้พลังของเต๋าไร้ที่สิ้นสุดฉีกจักรวาลแล้วก้าวเข้าไปในโลกที่ถึงตอนนี้ลึกลับอย่างยิ่งต่อผู้ฝึกฌานแคว้นกู่จั้งแทบทุกคน กระทั่งมีไม่น้อยที่ไม่รู้จัก


โลกนั้นเรียกตัวเองว่าจุดเริ่มต้นแห่งจักรวาล ที่นั่นต่างหากคือบ้านเกิดของต้นพิสูจน์เต๋า มันเติบโตอยู่ที่นั่น กลายเป็นต้นไม้ยักษ์สูงระฟ้า หล่อเลี้ยงชีวิตของโลกนั้น ทำให้โลกนั้นมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน!


โลกนั้นมีเก้าแผ่นดิน ทุกแผ่นดินจะมีผีเสื้อตัวหนึ่ง นั่นคือวิญญาณแห่งแผ่นดิน คงอยู่เหมือนในโลกนั้นกับต้นพิสูจน์เต๋า ช่วยแผ่นดินใหญ่ในการขยายตัว


การเข้าไปของมหาจักรพรรดิกู่จั้งเป็นที่สนใจของโลกนั้นทันที จึงเกิดมหาสงครามขึ้น นั่นคือการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินระหว่างมหาจักรพรรดิกู่จั้งกับผู้แข็งแกร่งที่สุดของโลกนั้น ซึ่งถูกเรียกนามว่าโก่วหง


การต่อสู้ครั้งนั้นมีรายละเอียดอย่างไรนั้น นอกจากในราชวงศ์จะมีคัมภีร์ลับซึ่งคนที่ไม่ใช่จักรพรรดิจะอ่านไม่ได้แล้ว คนอื่นๆ ไม่มีทางรู้ รู้แค่ว่ามหาจักรพรรดิกู่จั้งบาดเจ็บสาหัสกลับมา ตอนที่กลับมา เขาลากต้นไม้แห่งพิสูจน์เต๋ามาด้วย ย้ายมันมาอยู่กลางเส้นทางระหว่างโลกแคว้นกู่จั้งกับโลกนั้น


ต่อมาผลเต๋านี้ได้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่ต้องรอนานมากกว่าจะได้เก็บเกี่ยวสำหรับผู้ฝึกฌานแคว้นกู่จั้ง!


ส่วนมหาจักรพรรดิกู่จั้ง เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้วก็เลือกปิดด่านนั่งฌาน แต่ว่า…หลายหมื่นปีหลังปิดด่านนั่งฌาน จักรพรรดิในตอนนั้นพบว่าตราชีวิตของมหาจักรพรรดิกู่จั้งแตกออกโดยบังเอิญ ด้วยความหวาดกลัวจึงเรียกรวมทั้งราชวงศ์ ก่อนเปิดห้องลับที่มหาจักรพรรดิกู่จั้งนั่งฌาน…กลับพบว่ามหาจักรพรรดิกู่จั้งหายตัวไป หายไปในแดนนั่งฌาน


นี่คือตำนานบันทึกไว้ในแผ่นหยกที่อยู่ในมือซูหมิง


ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก มองแผ่นหยกในมือ นี่คือของที่กู่ไท่ส่งมา ภายในบันทึกประวัติเกี่ยวกับต้นพิสูจน์เต๋าไว้ เขาบีบแผ่นหยกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเกิดคลื่นลูกใหญ่เพราะหลายคำในนั้น


เขาบีบแผ่นหยกอยู่บนฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก ลมหายใจกระชั้นเล็กน้อย ดวงตาเริ่มไม่อาจสงบนิ่ง จึงเลือกหลับตาลง


แต่เมื่อหลับตา คลื่นลูกใหญ่ในใจยังคงยากจะสงบลง แต่กลายเป็นเสียงดังสนั่นในความคิดไม่หยุด


‘โลกนั้น เก้าแผ่นดิน ผีเสื้อเก้าตัวคือวิญญาณแห่งแผ่นดิน…หากผีเสื้อเก้าตัวนั้นคือซางเซียง…’ ซูหมิงลืมตาขึ้น


‘เช่นนั้นก็อธิบายที่มาของซางเซียงได้แล้ว หลังจากโลกนั้นเกิดเหตุไม่คาดคิดบางอย่างหรืออาจจะพังทลายลง พวกมันเก้าวิญญาณเลยหนีออกมา พวกมันบินไปในจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด อยากตามหาบ้านที่เหมาะสมกับตน สุดท้าย…ซางเซียงตัวหนึ่งเหนื่อยจึงพักอยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ บนปีกมันให้กำเนิดโลก’ ดวงตาซูหมิงวาววับ ฉายประกายขบคิด


‘มหาจักรพรรดิกู่จั้ง…มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ว่า ความจริงแล้วเสวียนจั้งไม่ใช่องค์ชายสาม แต่เป็น…มหาจักรพรรดิกู่จั้ง!’ ซูหมิงหรี่ตาแคบลง


‘ตอนนั้นมหาจักรพรรดิกู่จั้งสู้กับโก่วหงผู้แข็งแกร่งที่สุดของโลกนั้น แม้เขาจะชนะศึก แม้จะทำลายโลกนั้น แม้จะสังหารโก่วหง แต่เขาก็ต้องจ่ายในราคาบาดเจ็บสาหัส!


หลังจากเขากลับมาแคว้นกู่จั้งในตอนนั้นแล้ว เดิมทีคิดจะรักษาบาดแผล แต่สุดท้ายทำไม่ได้ ดังนั้นตราชีวิตถึงแตกออก…แต่เขาไม่ยอมตายไปแบบนี้ ไม่รู้ว่าใช้อภินิหารใดถึงนั่งอยู่บนเข็มทิศ นำไข่มุกวิญญาณหวนคืนเก้าเม็ดไปสูบซางเซียงในจักรวาลกว้างใหญ่ ตามหาวิญญาณหวนคืน…เป้าหมายก็เพื่อให้ตนคืนชีพ!’ ซูหมิงนึกถึงตรงนี้แล้วดวงตาขยับแวววาว ในใจเกิดเสียงครึกโครมดังสนั่น เขาพลันพบว่าหากการคาดเดานี้เป็นจริง เช่นนั้นความจริงแล้ว…


การยึดร่างเสวียนจั้งในตอนนี้คงจะล้มเหลวไปแล้ว เพราะเขาไม่ได้ต่อต้านเสวียนจั้ง แต่เป็นองค์ชายสาม กระทั่งแม้แต่ฐานะจริงๆ ของอีกฝ่ายยังไม่รู้ จึงไม่ต้องพูดถึงวันที่ยึดร่างสำเร็จ


การค้นพบนี้ทำให้ตรงหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา เขาบีบแผ่นหยกในมือ ดวงตาสับสนทีละน้อย


ขณะเงียบอยู่นี้ เขาเลือกฝังเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ กลายเป็นหนึ่งในความคิดมากมายต่อโลกนี้ จากนั้นเก็บแผ่นหยก หลับตาลงช้าๆ


เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เขารู้ว่าจะเดินพลาดหนึ่งก้าวไม่ได้ หากเดินพลาดหนึ่งก้าว…เขาจะไม่ใช่เขา นี่คือการยึดร่างที่พูดได้ว่ายากที่สุดในชีวิต อีกทั้งยังพลาดไม่ได้เด็ดขาด


ไม่ว่าเลือกหรือตัดสินใจอย่างไร เขาต้องคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนถึงเดินก้าวนั้น เพราะว่า…เส้นทางนี้หวนกลับไม่ได้


หากสำเร็จ ซูหมิงรู้ว่าตนจะกลายเป็นเสวียนจั้ง ตอนลืมตาขึ้นจะเห็นจักรวาลกว้างใหญ่ เห็นความหวังจะคืนชีพคนเหล่านั้นในความทรงจำ หากล้มเหลว…เขาเข้าใจว่าตนจะไม่ใช่ตนอีก การยึดร่างล้มเหลวทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นไม่ใช่เขาอีก แต่เป็น…เสวียนจั้ง


เวลาผ่านไปช้าๆ ขณะนั่งฌานอยู่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นหกสำนักเจ็ดจันทรา เวลาก็ผ่านไปอีกหลายสิบปี เมื่อเวลาผ่านไปดั่งสายน้ำ ก็ใกล้วันที่ต้นพิสูจน์เต๋าออกผลมากขึ้นเรื่อยๆ


จนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงในปีหนึ่ง ซูหมิงบนฟ้าเหนือฟ้าชั้นหกลืมตาขึ้น มองฝนยามใบไม้ร่วงข้างนอกพาความเย็นพัดเข้ามา มองแผ่นดินฝนตก เงาวิญญาณเต๋าขั้นสี่ภายในดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วไม่เลือนรางอีก แต่มีเค้าโครงเล็กน้อย หากไม่มีพลังภายนอกมากระตุ้นก็ต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ซูหมิงถึงอาศัยพลังตัวเองรวมวิญญาณเต๋าขั้นสี่ให้สำเร็จได้


ช่วงที่ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาข้างนอก มีเสียงระฆังดังก้องสำนักเจ็ดจันทรา เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนาน ก่อเป็นระลอกคลื่นฟ้าดิน ทำให้ฝนยามฤดูใบไม้ร่วงคล้ายจะสั่นไหว ผู้ฝึกฌานทุกคนในสำนักเจ็ดจันทราเงยหน้าขึ้น


เมื่อมีสายรุ้งยาวบินขึ้น ผู้ฝึกฌานเกรียงไกรเกือบหกส่วนของสำนักเจ็ดจันทราซึ่งมีมากกว่าสองแสนคนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นฟ้าสำนักเจ็ดจันทรา


กู่ไท่ สวี่จงฝาน เต้าหาน…ผู้อาวุโสใหญ่สิบสามท่านเคลื่อนไหวกันทั้งหมด และยังมีผู้อาวุโสส่วนใหญ่ติดตามไปด้วย พาผู้ฝึกฌานสองแสนคนขึ้นฟ้าไปกลางฝนฤดูใบไม้ร่วงพร้อมกัน


ขณะเดียวกันใต้เท้าพวกเขาปรากฏเมฆดำขึ้น เมฆมหึมา ปกคลุมแผ่นดิน คลุมสำนักเจ็ดจันทรา ให้ผู้ฝึกฌานสองแสนคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเมฆดำได้


ภายในชั้นเมฆมีแสงสายฟ้าวูบไหว อัดแน่นไปด้วยแรงกดดันรุนแรง นี่ดูเหมือนเป็นวัตถุของเมฆดำ แต่ความจริงแล้วเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีพลานุภาพอย่างยิ่งของสำนักเจ็ดจันทรา นอกจากพลานุภาพของตัวมันเองแล้ว ยังข้ามผ่านมวลอากาศฟ้าดินได้ พาผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราตรงไปยังสงครามแห่งพิสูจน์เต๋า


“ซูหมิง!” เสียงกู่ไท่ดังก้องฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก ซูหมิงยืนขึ้นช้าๆ


“ถึงเวลาแล้ว พวกเรา…จะไปร่วมสงครามพิสูจน์เต๋ากับเจ้า!” พริบตาที่เสียงกู่ไท่ดังแว่วมา ผู้ฝึกฌานสองแสนกว่าคนบนเมฆดำต่างพากันพูดยินยอมพร้อมกัน!


คำพูดนี้เป็นระเบียบ ตอนที่เสียงดังขึ้นยังเหมือนฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครมกึกก้อง ปรากฏเข็มทิศขึ้นใต้เท้าซูหมิง เขายืนอยู่บนนั้นกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งขึ้นฟ้าไป สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังก็ตามมาเช่นกัน สายรุ้งยาวหกสายรวมซูหมิงขยับวูบทะลวงผ่านฟ้าเหนือฟ้าชั้นหกมาปรากฏตรงหน้าเมฆดำนั้น ก่อนก้าวขึ้นไปบนเมฆดำ


แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงมาถึง เมฆดำเกิดเสียงอึกทึกขึ้น มันพุ่งไปข้างหน้าโดยพลัน เหลือไว้เพียงเศษเงาบนฟ้าสำนักเจ็ดจันทรา ส่วนร่างจริงมันอยู่นอกสวรรค์เก้าชั้นไปไกลแล้ว


นานมากกว่าเศษเงานั้นจะค่อยๆ หายไป ทั้งในและนอกสำนักเจ็ดจันทราพลันปรากฏแสงจากวงแหวนอาคมนับไม่ถ้วน นั่นคือการเปิดวงแหวนอาคมทั้งสำนัก ต่อมาบนพื้นดินสำนักเหมือนถูกซ่อน ยามที่มองไปเห็นเพียงเทือกเขา…


เมฆดำพุ่งทะยานอยู่บนฟ้าด้วยความเร็วไม่มีขีดจำกัด ผู้ฝึกฌานสองแสนคนที่นั่งขัดสมาธิบนเมฆดำต่างเงียบงัน แต่จิตสังหารในแววตากลับรวมมากขึ้นเรื่อยๆ


พวกเขารู้ว่านี่คือสงครามพิสูจน์เต๋าระหว่างเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย ทุกช่วงเวลาที่ยาวนานจะเกิดสงครามแบบนี้ครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้…เพราะมีเรื่องการชิงบัลลังก์ เลยส่งผลให้ความดุเดือดเหนือกว่าในอดีต


แต่…ขอเพียงชนะ ขอเพียงไม่ตาย เช่นนั้นสองพันปีจากนี้เมื่อชิงบัลลังก์สำเร็จ คนที่เข้าร่วมสงครามนี้ทั้งหมดจะได้ดวงชะตาเสริมร่าง ขั้นพลังพุ่งพรวด!


นี่คือดวงชะตาแห่งการชิงบัลลังก์ เป็นดวงชะตาของแคว้นกู่จั้ง!


ขณะเดียวกัน เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายบนแผ่นดินแคว้นกู่จั้งก็เดินทางคล้ายๆ กัน เมื่อแสงสว่างจากของวิเศษขยับประกาย ผู้ฝึกฌานจากทุกสำนักเคลื่อนตรงไปยังเมืองหลวงภาคกลางจากทุกทิศของแคว้นกู่จั้ง!


ตรงนั้นมีมิติแตกของต้นพิสูจน์เต๋า แบ่งเป็นสามชั้น ขอเพียงไปถึงชั้นสามก็จะได้เข้าไปในมิติที่มีต้นพิสูจน์เต๋าอยู่ ใครเข้าไปคนแรกจะชิงความได้เปรียบมา


ทว่าชั้นหนึ่ง ชั้นสองคือสงครามพิสูจน์เต๋าระหว่างเจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายที่จะแย่งชิงอันดับในการเข้าชั้นสาม!


นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดสงครามพิสูจน์เต๋าทุกครั้งถึงก่อให้เกิดการเข่นฆ่าอย่างดุเดือดของเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย ผลเล็กในผลเต๋าสองผลยังเป็นรอง สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดคือผลเต๋าผลใหญ่!


นั่นคือไข่มุกวิญญาณหวนคืน เป็นสมบัติล้ำค่าประจำสำนักได้ เล่าลือว่าสมบัติชิ้นนี้…มันมีประโยชน์มากที่สุด ให้คนตระหนักรู้ก้าวสู่ขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์ได้ เป็นวัตถุของเทพเต๋าขั้นเก้า!


อีกอย่าง ยิ่งได้มามากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสตระหนักรู้ได้มากเท่านั้น เรื่องนี้เป็นที่ยอมรับของกู่หวงในเมืองหลวงแล้ว ด้วยการประกาศอย่างเป็นทางการ วัตถุนี้มีประสิทธิผลแบบนี้จริงๆ แต่การใช้งานโดยละเอียดมีข้อมูลแค่สองสามส่วน เพราะคนต่างกัน ผลจึงต่างกันไปด้วย


1439 โลกพิสูจน์เต๋าเปิด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผลพิสูจน์เต๋าออกผลเจ็ดครั้ง กำเนิดไข่มุกวิญญาณหวนคืนเจ็ดเม็ด เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายแย่งชิงเจ็ดเม็ดนี้ ครั้งก่อนสำนักเจ็ดจันทราชิงไข่มุกวิญญาณหวนคืนในการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าครั้งที่เจ็ดไปได้!


ทว่าเรื่องที่สำนักเจ็ดจันทราได้สิ่งนี้มาก็ถูกลืมไปบ้างแล้วเพราะเวลาผ่านมานานเกินไป แต่หากนึกย้อนกลับไป ก็พอจะจำความยากเข็ญในครั้งนั้น


เต้าหานยืนบนเมฆดำอย่างสงบนิ่ง มองฟ้าไกลๆ ด้วยสีหน้าหวนลำรึก นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาร่วมการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋า เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขาไม่ใช่คนที่ก้าวเข้าไปในมิติแตกชั้นสาม แต่จะสนับสนุนอยู่ชั้นหนึ่งกับสอง


จนถึงตอนนี้เขายังจำได้ว่าตอนที่ตนเข้าร่วมการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าครั้งแรก เขาเพิ่งเข้าสำนักเจ็ดจันทรามาไม่นาน แต่ด้วยพรสวรรค์น่าตกตะลึงจึงได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญ กลายเป็นผู้รับการสนับสนุนคนสำคัญในชั้นสามจากสำนักเจ็ดจันทรา


ศึกครั้งนั้นเขาสังหารไปเยอะมาก สังหารจนมีชื่อเสียง สังหารจนโลหิตไหลเป็นสายน้ำ ส่วนตนบาดเจ็บสาหัส สหายร่วมสำนักทุกคนข้างกายตายไปทีละคน สุดท้ายอาจเป็นเพราะโชค เขาจึงได้ผลพิสูจน์เต๋าลูกใหญ่นั้นมา


สำนักเจ็ดจันทราได้รับเกียรติยศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ครั้งนั้นกู่ไท่ปกป้องตนที่โซเซถูกล่าสังหารมาจากชั้นสามด้วยความตื่นเต้น ตลอดทางโลหิตย้อมผืนฟ้า จนพาเขากลับสำนักเจ็ดจันทรา


จากนั้นมากู่ไท่รับเขาเป็นศิษย์  กลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในสำนักเจ็ดจันทรา และไข่มุกวิญญาณหวนคืนนั้นได้เป็นสมบัติสืบทอดของสำนัก ผู้อาวุโสใหญ่ที่ปกครองสำนักทุกสมัยจะได้ครอบครอง


ผ่านไปนานมากจนถึงตอนที่เขาได้เป็นผู้ปกครอง เขามองไข่มุกวิญญาณหวนคืน ในความคิดมักจะลอยขึ้นมาเป็นใบหน้าสหายก่อนตายในตอนนั้น


ตอนนี้เขาเข้าร่วมการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าอีกครั้ง แต่เขาไม่ใช่จุดสำคัญอีก จุดสำคัญในครั้งนี้คือซูหมิง เต้าหานเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง


‘ตอนที่เขากลับมา หากสำเร็จจะปลงอนิจจังเหมือนกับข้าหรือไม่’ เต้าหานหลับตาลง ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพหลังจากตนเข้าไปในชั้นสามของต้นพิสูจน์เต๋าแล้วก็ระมัดระวังตลอดทาง ตื่นตัวตลอดทาง นั่นคือมิติที่มีแต่คำว่าหากเจ้าตายข้ารอด นั่นคือ…การแข่งขันแห่งความเป็นตาย


‘ดีที่ที่นั่นเป็นมิติแตก โดยเฉพาะชั้นสามที่ไม่เสถียรอย่างยิ่ง เลยมีเพียงต่ำกว่าเต๋าสูงศักดิ์ที่เข้าไปได้ ระดับเต๋าสูงศักดิ์จะเข้าไปไม่ได้ จะถูกขับไล่ออกมา’ เต้าหานลืมตาขึ้น สีหน้าเรียบนิ่ง ถอนหายใจพลางไม่นึกถึงอดีตอีก


สวี่จงฝานก็มองซูหมิงเช่นกัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้ามาช้าๆ หลายก้าว ก่อนนั่งลงข้างซูหมิง


“จงระวังตัวตลอดทาง…” สวี่จงฝานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบา


ซูหมิงลืมตาจากฌานสมาธิมองสวี่จงฝาน คนที่จู่ๆ ก็เรียกตัวเองว่าอาจารย์คนนี้ ยามนี้มองไปเป็นห่วงซูหมิงจากใจจริง ต่อให้ทำเพื่อพลัง เพื่อดวงชะตา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ซูหมิงจำเอาไว้แล้ว


“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในมิติชั้นสามเป็นคนแรก เพราะจะกลายเป็นเป้าของทุกคน ต่อให้ไม่ได้ผลเต๋ามาก็ไม่เป็นไร” สวี่จงฝานมองซูหมิงด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาตรึกตรองอยู่อีกเล็กน้อยแล้วหยิบขวดยาออกมาขวดหนึ่ง วางไว้บนมือซูหมิง


“นี่คือ…ยาแกล้งตาย! กินแล้ววิญญาณจะสลายไปครึ่งชั่วยาม หากเจออันตรายเป็นตายให้กินเสีย แกล้งตายเอาชีวิตรอด” สวี่จงฝานพูดเสียงเบา พูดจบก็มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินไปข้างหลัง


ซูหมิงมองขวดยาในมือแล้วหันไปมองเงาแผ่นหลังสวี่จงฝาน ก่อนเก็บขวดยาไปเงียบๆ


เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามอย่างรวดเร็ว ซูหมิงที่นั่งอยู่บนเมฆดำเห็นแผ่นดินข้างล่างอยู่ไกลๆ  จนกระทั่งเห็นภาคกลางของแคว้นกู่จั้ง เห็นเมืองที่ต่อให้มองจากบนฟ้าก็ยังใหญ่มหึมาอย่างยิ่ง!


ที่นั่นคือเมืองหลวงแคว้นกู่จั้ง และก็เป็นที่ที่ซูหมิงต้องมาในอีกสองพันกว่าปีจากนี้ เขายังจำได้ว่าอาจารย์ที่มีหน้าตาเหมือนกับเทียนเสียจื่อเคยบอกกับตนไว้ว่าตอนที่มาถึงประตูเมือง เขาจะรออยู่ที่นั่นเพื่ออธิบายความกระจ่างให้ครั้งสุดท้าย


พอเข้าไปใกล้เมืองหลวงกู่จั้ง ซูหมิงเห็นว่าบนฟ้าเมืองหลวงมีผู้ฝึกฌานไม่น้อยที่มาถึงก่อนแล้ว เขาไม่รู้จักผู้ฝึกฌานเหล่านี้ แต่มองจากกลุ่มพวกเขาแล้ว มีห้าสำนัก


พวกเขานั่งอยู่บนสมบัติล้ำค่าต่างกัน มีมังกรยักษ์เก้าหัว มีน้ำเต้ายักษ์ มีม่านแสง การมาของสำนักเจ็ดจันทราจึงกลายเป็นสำนักที่หกของที่นี่


ไม่มีใครกล่าว ผู้ฝึกฌานจากสำนักเหล่านี้ล้วนนั่งฌานอยู่บนของวิเศษจากแต่ละสำนัก หลับตาบำรุงจิต


จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง แต่ละฝ่ายกับสำนักทยอยกันมาถึง ซูหมิงเห็นสำนักเอกะเต๋า เห็นเซียนเยือกเย็นของฝ่ายอสุรา


ขณะเดียวกันเขาก็ยังเห็นองค์ชายใหญ่ที่มีผู้ฝึกฌานติดตามอยู่กลุ่มหนึ่งในสำนักเอกะเต๋า! ตอนนี้ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่ดูหนุ่มมาก กระทั่งในบางด้านเหมือนเหลยเฉินคนนี้กำลังมองซูหมิงอย่างเย็นชา


ทันทีที่สองคนสบตากัน เหมือนมีแสงกระบี่ขยับประกายจิตสังหารในดวงตาสองฝ่าย


จนกระทั่งสองคนละสายตากลับพร้อมกันแล้วมองร่างเงาที่ถูกหมอกโอบล้อมในฝ่ายอสุรา นั่นคือองค์ชายรอง นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงพบอีกฝ่าย ยามที่มองไป เขาไม่รู้สึกคุ้นเคยอะไรจากอีกฝ่าย


ซูหมิงหลับตาลงไม่สนใจอีก เมื่อยามโพล้เพล้มาถึง เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายมาถึงบนฟ้าของเมืองหลวงกู่จั้งกันแล้ว ผู้ฝึกฌานหลายล้านคนก่อเป็นพลานุภาพมหึมาปกคลุมฟ้าดิน


เมื่อทุกสำนักมาถึง ตอนนี้จึงเกิดพันธมิตรของแต่ละฝ่ายขึ้น ดูก็รู้ว่าพันธมิตรครั้งนี้มีสำนักเจ็ดจันทรา สำนักเอกะเต๋าและฝ่ายอสุราเป็นรากฐานที่รวมกลุ่มกันขึ้นมา


“อีกเดี๋ยวจะเปิดชั้นแรก ตอนที่เข้าไปในมิติแตก ไม่ต้องสนใจพันธมิตรที่ว่า ในเวลาปกติคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้อยู่ในการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋า อาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิดได้


ดังนั้น หากเข้าไปในมิติชั้นแรก ไม่ว่าข้างกายเป็นใคร ไม่ว่าข้างกายมีคนในสำนักหรือไม่ ต้องจำไว้ตลอดทางว่าหากมีโอกาสประทับตราแท่นบวงสรวงก็จงประทับตราทันที หากไม่มีโอกาสก็จงใช้ความเร็วสูงสุดไปรวมพลยังสัญลักษณ์ในแผ่นหยก!” เสียงกู่ไท่ดังกังวานในใจผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราสองแสนคนบนชั้นเมฆ


“การแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าทุกครั้งจะต้องบุกไปทีละชั้น ชั้นแรกมีแท่นบวงสรวงหนึ่งแสนแห่ง สำนักใดถึงห้าหมื่นก่อนเป็นสำนักแรกก็จะได้เข้าชั้นสองทันที หากไม่มีสำนักใดประทับตราแท่นบวงสรวงได้ห้าหมื่นแท่นก่อนเวลา สามสิบหกชั่วยามจากนี้สำนักที่ประทับตราได้มากที่สุดจะได้เข้าไปก่อน ในทางกลับกัน สำนักที่ได้ต่ำกว่าหมื่นจะไม่มีคุณสมบัติเข้าไปชั้นสอง!


ข้าทำสัญญากับสำนักพันธมิตรอื่นๆ เอาไว้แล้ว พวกเขาจะสนับสนุนสำนักเจ็ดจันทราเราอย่างสุดความสามารถ รับประกันได้ว่าจะต้องมีพวกเราเข้าไปชั้นสองอย่างแน่นอน! ทว่าจะเชื่อสัญญานี้ไม่ได้ทั้งหมด ต้องดูที่พลังของสำนักเจ็ดจันทราเองด้วย


ซูหมิง…ก็ต้องทำแบบนี้ รีบไปรวมยังจุดรวมพลให้เร็วที่สุด” ช่วงที่เสียงกู่ไท่ดังกึกก้อง มีเสียงต่ำดังแว่วมาข้างหูซูหมิงเบาๆ


“หากรีบมายังจุดรวมพลก็ได้รีบมา หากมาไม่ได้ก็ต้องหาที่ซ่อนให้ดี ในชั้นแรกจะปรากฏมหาเต๋าสูงศักดิ์ อันตรายมาก…ส่วนชั้นสอง มหาเต๋าสูงศักดิ์เข้าไม่ได้แล้ว แต่เต๋าสูงศักดิ์ก็มีอำนาจคุกคามเช่นกัน


ชั้นสามดีหน่อย แต่ว่า…ก็ไม่ดีเพราะครั้งนี้เกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ สัญญาจริงๆ ระหว่างข้ากับสำนักพันธมิตรอื่นๆ ไม่ใช่ที่ข้าพูดกับทุกคนก่อนหน้า แต่เป็น…การควบคุมการรบกวนของมิติข้างกายเจ้าอย่างสุดความสามารถ ให้เจ้าพาสุนัขห้าตัวนั้นไปได้…สุนัขใหญ่นั่นจะเข้าไปในชั้นสามได้อย่างราบรื่น!


เรื่องนี้มีความมั่นใจอยู่หลายส่วน แต่พวกเราทำแบบนี้ได้ สำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุราก็ทำได้เช่นกัน ดังนั้นแล้วในชั้นสาม เจ้าต้องระวังเป็นพิเศษ” เสียงกู่ไท่ดังเข้าถึงหูซูหมิง ซูหมิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง


ตอนนี้เอง ลำแสงสีส้มสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางเมืองหลวงกู่จั้งข้างล่าง ลำแสงนี้มีขนาดหลายร้อยจั้ง พุ่งขึ้นฟ้ามาจากในวงกลมที่ล้อมเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย เข้าไปในมวลอากาศบนฟ้า


เสียงโครมครามดังก้องฟ้าทั้งแคว้นกู่จั้ง ลำแสงสีส้มเหมือนจะย้อมสีผืนฟ้า ตรงสุดขอบฟ้าของลำแสงนั้นเกิดน้ำวนสีส้มยักษ์แห่งหนึ่ง หมุนโคจรบดบังฟ้าทั้งหมดในสายตา


ขณะที่น้ำวนยักษ์หมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ช่วงที่ลำแสงสีส้มหายไปในพริบตานั้น ตรงน้ำวนบนฟ้าเผยเป็นหลุมดำยักษ์แห่งหนึ่งทันที


“ต้นพิสูจน์เต๋าเผยออกมาแล้ว ผลของมันสุกแล้ว สหายจากสำนักทุกท่าน รักษาตัวด้วย…” เสียงราบเรียบแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามดังแว่วมาจากในแคว้นกู่จั้งข้างล่าง กึกก้องฟ้าดิน ช่วงที่ได้ยินเสียงนี้ ผู้ฝึกฌานแทบทุกคนมีสีหน้าเคารพ เพราะพวกเขารู้จักเจ้าของเสียงนี้ นั่นคือจักรพรรดิแห่งกู่จั้ง เป็นหนึ่งสามในเทพเต๋าขั้นเก้าในตำนานแคว้นกู่จั้ง!


ซูหมิงก้มหน้ามองไป เขามีความรู้สึกเหมือนถูกเพ่งมอง ราวกับว่าเมื่อครู่นี้มีคนกำลังเงยหน้ามองตนจากในเมือง


พริบตาที่คำพูดจักรพรรดิกู่จั้งจบลง มีแรงดูดยากจะบรรยายแผ่คลุมไปรอบๆ โดยพลัน อบอวลร่างผู้ฝึกฌานหลายล้านคนของเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นไปยังหลุมดำกลางน้ำวนนั้น


แทบเป็นช่วงที่ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราจะถูกดูดเข้าไปในน้ำวน กู่ไท่ยกสองมือขึ้นกดเมฆดำ เมฆดำพลันสลายไปกลายเป็นแผ่นหยกสองแสนม้วนปรากฏในมือคนสำนักเจ็ดจันทราทุกคน รวมถึงในมือซูหมิงก็มีแผ่นหยกเช่นกัน


“ใช้แผ่นหยกนี้สัมผัสแท่นบวงสรวง!” ขณะที่กู่ไท่กล่าวขึ้น ร่างเงาเขาถูกม้วนเข้าไปในน้ำวนแล้ว


ร่างเงาหลายล้านสายพุ่งเข้าไป ชั่ววูบเดียวก็กลายเป็นภาพน่าตื่นตกใจ ซูหมิงขยับวูบไหว เข็มทิศใต้เท้าหายไป พาสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวเข้าไปในหลุมดำน้ำวนบนฟ้าพร้อมกับร่างเงานับไม่ถ้วนข้างกาย


1440 ชิงแท่นบวงสรวง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะที่ถูกแรงดูดน้ำวนหมุนม้วน ทันทีที่ซูหมิงเข้าไปในหลุมดำ ตรงหน้าเขาเลือนรางโดยพลัน เงาเลือนรางหายไปในพริบตา จนตอนที่ตรงหน้าชัดเจนอีกครั้ง เขาเห็นซากปรักหักพังเปลี่ยวร้าง


เศษหินนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางฟ้า บนพื้นมีรอยแยกเหลือคณานับ บางที่พังทลายไปแล้ว ท้องฟ้าที่นี่ไม่ใช่ฟ้าครามอีก แต่เป็นสีเทา มองไปรอบๆ ไม่มีพืชใดๆ กลิ่นอายมรณะเข้มข้นแผ่คลุมบนพื้นดินไม่หยุด


สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างกายซูหมิงหายตัวไปแล้ว แต่ในใจเขายังมีการเชื่อมต่อกับพวกมัน พวกมันเองก็สัมผัสถึงซูหมิง จึงกำลังรีบมาหาเขาอย่างว่องไว


ตรงหน้าซูหมิงมีหินลอยอยู่กลางฟ้าก้อนหนึ่ง หินนี้มีขนาดพันจั้ง บนหินมีแท่นบวงสรวงโบราณแห่งหนึ่ง ดูแล้วเสียหายมาก มีทั้งหมดเก้าชั้น ด้านบนมีต้นไม้เหมือนจะกลายเป็นหินต้นหนึ่ง หากมองดีๆ จะเห็นว่าต้นไม้มีทั้งหมดเก้ากิ่ง ตรงปลายกิ่งทุกกิ่งมีผีเสื้อตัวหนึ่ง!


ซูหมิงมองแท่นบวงสรวงด้วยดวงตาวาววับ ก่อนบินขึ้นไปยังแท่นบวงสรวง เมื่อเข้ามาใกล้ในพริบตาแล้ว เขายืนอยู่บนแท่นบวงสรวงนั้น ดวงตาแวววาวจ้องต้นไม้หิน โดยเฉพาะผีเสื้อเก้าตัวนั้นจะมองอยู่หลายที


หน้าตาผีเสื้อเหมือนกับซางเซียงที่ซูหมิงเคยพบแทบทุกประการ…


ชั่วขณะที่ซูหมิงตกใจภาพนี้ เขาพลันหันหน้าไปมองทางขวา เห็นเพียงว่าบนฟ้าทางขวาปรากฏร่างเงาขึ้น นั่นคือชายวัยกลางคน สวมชุดคลุมยาวสีฟ้า เมื่อปรากฏกายแล้วก็มีสีหน้าตื่นตัว แต่กลับเห็นซูหมิงในพริบตา ขณะเดียวกันยังเห็นแท่นบวงสรวงใต้เท้าซูหมิง


ช่วงที่ชายวัยกลางคนกวาดสายตามองซูหมิง เห็นได้ชัดว่าอ่านพลังซูหมิงออก จึงยิ้มทันที


“ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะโชคดี เข้ามาก็เจอแท่นบวงสรวงเลย สหาย มอบแท่นบวงสรวงให้แซ่หลินได้หรือไม่?” ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย กล่าวพลางเดินไปหาซูหมิง ช่วงที่เขาแผ่กระจายพลังออก ซูหมิงมองออกแล้วว่าคนนี้คือผู้แข็งแกร่งวิญญาณเต๋าขั้นสี่


ซูหมิงมองแท่นบวงสรวงแวบหนึ่ง แท่นบวงสรวงแบบนี้อยู่ในโลกชั้นหนึ่ง มีทั้งหมดมากกว่าแสนแห่ง เขาไม่ตอบ แต่ขยับวูบไหวหมุนตัวจากไป เขายังต้องทำความเข้าใจกับโลกนี้อีกเล็กน้อย ไม่มีเวลาหยุดอยู่ที่แท่นบวงสรวงนี้นานนัก


เห็นซูหมิงจากไป ชายวัยกลางคนจึงยิ้มเล็กน้อย ทว่าทันทีที่เขาจะเข้าแท่นบวงสรวง ดวงตาพลันหรี่แคบลง จ้องซูหมิงที่กำลังเดินจากไป


‘หน้าตาเจ้า…จะ…เจ้าคือองค์ชายสามแห่งสำนักเจ็ดจันทรา!’ ชายวัยกลางคนตัวสั่นสะท้าน ดวงตาพลันฉายแววดีใจ ไม่สนใจแท่นบวงสรวงนั้นอีก แต่เป็นสายรุ้งยาวตรงไปหาซูหมิง


“ฮ่าๆ วันนี้โชคดีจริงๆ ไม่เจอแค่แท่นบวงสรวง แต่ยังเจอองค์ชายสามที่สำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุราตั้งค่าหัวไว้อีก! กับอีแค่วิญญาณเต๋าขั้นสามเล็กจ้อย วันนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าเป็นวันโชควาสนาของแซ่หลิน!” ขณะที่เสียงหัวเราะชายวัยกลางคนดังกึกก้อง ร่างกายเขากลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปหาซูหมิง ซูหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ยิ้มเยาะมุมปาก


เดิมทีเขาจะไปอยู่แล้ว แต่ในเมื่อชายวัยกลางคนไม่ยอม เช่นนั้น…ในเมื่อยึดมั่นจะตายขนาดนี้ หากซูหมิงไม่สนับสนุนอย่างเต็มที่อีก ก็อาจจะใจร้ายต่อความตั้งใจของอีกฝ่ายไปหน่อย


‘ลองแส้ดาราหน่อยก็ดี’ ซูหมิงยกมือขวาขึ้น เชือกสีแดงตรงข้อมือพลันหายไป เมื่อเขาสะบัดมือขวา ท้องฟ้าเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เงาแส้ยักษ์เหมือนรวมขึ้นจากดารา ลงมาเยือนยังแผ่นดิน ช่วงที่หมุนวนรอบตัวซูหมิง ชายวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสี ร่างหยุดชะงักอย่างร้อนรนแล้วถอยไป สีหน้าจริงจังมีความตื่นตกใจ สองมือประสานมุทรา ปรากฏเกราะหนึ่งชั้นขึ้นบนตัวเขา อีกทั้งนอกเกราะยังมีม่านแสงวงแหวนอาคมสิบชั้น


แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทันทีที่ซูหมิงสะบัดแส้ก็เกิดเสียงดังครึกโครม ปราการวงแหวนอาคมสิบชั้นแตกสลายในทันใด เกราะบนตัวชายวัยกลางคนแหลกเป็นเสี่ยงๆ รวมถึงชายวัยกลางคน ช่วงที่แส้ดาราปะทะร่าง เขากระอักเลือด ความทรงจำปั่นป่วน ราวกับว่าแส้ไม่เพียงฟาดบนตัวเขา แต่ยังเข้าไปปั่นป่วนในสมองอีกด้วย


จังหวะที่ชายวัยกลางคนกระอักเลือดและร้องโหยหวน ซูหมิงขยับวูบเข้าไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ยกมือขวาขึ้น ตราประทับจันทร์เสี้ยวตรงฝ่ามือขยับแสง ก่อนกดไปยังระหว่างคิ้วอีกฝ่าย


ทันทีที่มือขวาซูหมิงสัมผัสหน้าผากชายคนนี้ แรงดูดมหาศาลปะทุมาจากในตราประทับตรงฝ่ามือขวา ชายวัยกลางคนพลันกรีดร้องดังถึงขีดสุด ร่างกายแห้งเหี่ยวลง พลังชีวิตจำนวนมากและพลังหลั่งไหลเข้าไปในตราประทับฝ่ามือซูหมิงทั้งหมดในไม่กี่ลมหายใจ เมื่อเสียงกรีดร้องเบาลงจนเงียบหายไปนั้น ชายวัยกลางคนตรงหน้าซูหมิงเหลือเพียงซากศพแห้งเหี่ยว!


วิญญาณไปจนถึงทุกอย่างออกจากร่างไปชั่วนิรันดร์เมื่อครู่


ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขามีตราประทับอภินิหารของตาแก่ มีแส้ดารา มีดวงจิตสี่โลกแท้จริง กระทั่งในด้านพลังก็อ่อนแอกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อยเท่านั้น เขาในแบบนี้ หากยังเอาชนะอีกฝ่ายอย่างยากลำบากอีก เช่นนั้นก็คงไม่ใช่ซูหมิงแล้ว


ช่วงที่ซูหมิงดึงมือขวากลับก็ปรากฏเชือกสีแดงขึ้นตรงข้อมือ จากนั้นเดินกลับไปบนแท่นบวงสรวงที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจากมา ยืนอยู่ตรงนั้น ยกมือซ้ายขึ้น ในมือปรากฏแผ่นหยกหนึ่ง ก่อนจะกดกับลำต้นที่กลายเป็นหิน แผ่นหยกพลันขยับแสงวูบวาบ ต้นไม้หินบนแท่นบวงสรวงค่อยๆ ฟื้นกลับมาราวกับคืนชีพ


ระหว่างฟื้นคืนชีพ กลิ่นหอมแผ่กระจาย ซูหมิงดมเพียงครั้งเดียวดวงตาพลันเป็นประกาย เขาพบว่าพลังตนเพิ่มขึ้นเสี้ยวหนึ่งหลังดมไปหนึ่งครั้ง


กระทั่งวิญญาณเต๋าในดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วยังเหมือนสุขสบายมากภายใต้กลิ่นหอมฟุ้ง กระทั่งวิญญาณเต๋าขั้นสี่ยังรวมกันขึ้นอีกเล็กน้อย


กู่ไท่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ตามหลักแล้ว กู่ไท่ไม่มีทางไม่บอกถึงเรื่องการเพิ่มพลังแบบนี้แน่ ถึงอย่างไรต่อให้ไม่พูด ซูหมิงก็รู้เองได้ ดังนั้นแล้วจึงมีเพียงความเป็นไปได้เดียว


นัยน์ตาซูหมิงพลันเป็นประกายวาววับ


‘หรือว่ากลิ่นหอมที่นี่จะไม่มีผลต่อพลังคนอื่น?’ ชั่วขณะที่ดวงตาซูหมิงขยับประกาย ผ่านไปราวยี่สิบลมหายใจ ต้นไม้หินบนแท่นบวงสรวงฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์ ลำแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า


ลำแสงนี้ต่อให้อยู่ไกลๆ ก็ยังมองเห็น เพราะว่า…แทบเป็นทันทีที่ลำแสงพุ่งขึ้นฟ้า ซูหมิงเห็นว่าบนฟ้าไกลออกไปก็มีลำแสงพุ่งขึ้นฟ้าอีกไม่น้อย


เห็นได้ชัดว่าลำแสงเหล่านี้หมายความว่าตอนนี้มีแท่นบวงสรวงถูกเปิดไม่น้อยแล้ว!


ลำแสงนี้คงอยู่นิรันดร์ เพียงแต่ว่าจะถูกคนจากสำนักอื่นแทนที่ได้ตลอดเวลา หากปรากฏลำแสง จะเป็นดั่งแสงไฟสำหรับคนสำนักอื่น ทำให้ดึงดูดเข้ามาทันที


ซูหมิงตรึกตรองอยู่ชั่วขณะ ช่วงที่กำลังใคร่ครวญถึงการเปิดแท่นบวงสรวงจะมีกลิ่นหอมฟุ้งนั้น เขาพุ่งทะยานไกลออกไปแล้ว ตรวจดูแผ่นหยกและมุ่งหน้าไปยังจุดรวมพลสำนักเจ็ดจันทราตามการชี้นำบนแผ่นหยกพลางตามหาแท่นบวงสรวง


หนึ่งก้านธูปต่อมา บนแผ่นดินตรงหน้าซูหมิงมีแท่นบวงสรวงหนึ่งกำลังถูกเปิดอยู่ นอกแท่นบวงสรวงนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งถือแผ่นหยกกดที่ต้นไม้หินที่กำลังคืนชีพ ข้างๆ มีผู้ฝึกฌานสวมอาภรณ์แบบเดียวกันสี่คนกำลังสู้กับอีกสี่คนที่มารบกวน


ซูหมิงมองไปแล้วดวงตาแวววาว ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวดิ่งลงพื้นดินทันที ด้วยความเร็วของเขาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เข้ามาใกล้ในขณะที่เจ็ดแปดคนนี้กำลังเข่นฆ่ากัน


พลังเขาเหนือกว่าเจ็ดแปดคนนี้มาก แทบเป็นช่วงที่เข้ามาใกล้ เจ็ดแปดคนนี้หน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน โดยเฉพาะชายหนุ่มที่กำลังเปิดแท่นบวงสรวง เขาหรี่ตาแคบลง


เกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง พายุที่เกิดขึ้นตอนซูหมิงเข้ามายกเจ็ดแปดคนนี้ลอยขึ้น จากนั้นซูหมิงกลายเป็นดั่งเศษเงาไปปรากฏบนแท่นบวงสรวง ยกมือขวาขึ้นโบก ชายหนุ่มที่เปิดแท่นบวงสรวงสำเร็จไปมากกว่าครึ่งกระอักเลือด เขาถอยร่นไปอย่างไม่ลังเล ยามที่มองซูหมิงอย่างเคียดแค้น ก็เห็นว่าซูหมิงยืนอยู่บนแท่นบวงสรวง มือซ้ายถือแผ่นหยกกดไปข้างบน


เจ็ดแปดคนที่ถูกยกขึ้น ตอนนี้ต่างหันหน้าหนีไปพร้อมกันโดยไม่มีหยุดแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นชายหนุ่มที่มีสีหน้าเคียดแค้นคนนั้นก็ยังจากไปโดยไม่พูดอะไร


ยี่สิบลมหายใจผ่านไป แท่นบวงสรวงที่ซูหมิงอยู่เกิดลำแสงพุ่งขึ้นฟ้า กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ตอนนี้เองเขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลัง ดวงตาเป็นประกายรวดเร็วและดุดดัน จนเมื่อกลิ่นอายนี้หายไปเขาก็เป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป


ครึ่งชั่วยามต่อมา ร่างเงาซูหมิงอยู่ในมิติชั้นหนึ่ง กำลังห้อเหยียดผ่านแท่นบวงสรวงที่ถูกเปิดแล้วทีละแห่ง เขาลองประทับตราด้วยแผ่นหยกสำนักเจ็ดจันทรากับแท่นบวงสรวงที่ถูกเปิดเหล่านั้นแล้ว แม้จะเปลี่ยนสีของลำแสง แต่กลับไม่มีกลิ่นอายพลังแผ่มา ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่ามีเพียงเปิดครั้งแรกเท่านั้นถึงจะมีผล


เหมือนว่าพลังวิญญาณที่สั่งสมมานานถูกเปิดออกแล้วก็จะกระจายออกไป พลังวิญญาณนี้ไม่มีผลต่อคนอื่น แต่สำหรับซูหมิง มันคือการบำรุงที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง


เขาคำนวณอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง หากแท่นบวงสรวงแสนแห่งถูกเปิดออก เช่นนั้นกลิ่นอายพลังที่สูบมาจะทำให้เขารวมวิญญาณเต๋าได้หนึ่งขั้น!


แต่จะเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ทว่า…นี่เป็นเพียงชั้นแรก ยังมีชั้นสอง ชั้นสาม…ดวงตาซูหมิงวาววับ ในใจเกิดความคึกคักขึ้นมา


1441 สังหารเต๋าสูงศักดิ์(1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซูหมิงไม่ได้ล้มเลิกการไปรวมพลกับสำนักเจ็ดจันทราเพราะกลิ่นอายพลังการเปิดแท่นบวงสรวงที่เพิ่มพลังรวมถึงวิญญาณเต๋าได้ ถึงอย่างไรชั้นหนึ่งนี้ เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายก็ส่งมหาเต๋าสูงศักดิ์เข้ามา หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่คงยากจะไม่เป็นที่สังเกต


และด้วยฐานะซูหมิง หากเป็นที่สังเกตมากเกินไปในมิติชั้นหนึ่งนี้ก็จะต้องเผชิญอันตรายเป็นตาย โดยเฉพาะหากพบมหาเต๋าสูงศักดิ์ นั่นอันตรายต่อเขาอย่างยิ่ง


ดังนั้นเส้นทางเขาจึงดูเหมือนเปลี่ยนไปมาก แต่ความจริงยังคงไปตามการชี้นำของแผ่นหยก มุ่งหน้าไปยังจุดรวมพลสำนักเจ็ดจันทรา เพียงแต่ว่าระหว่างทาง เขาจะสนใจแท่นบวงสรวงที่ไม่ถูกเปิดกว่าเดิมเล็กน้อย


เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่นานก็หกชั่วยาม ซึ่งผ่านไปหนึ่งถึงสองส่วนในสามสิบหกชั่วยามของชั้นแรก ซูหมิงห้อเหยียดตลอดทาง รวมแท่นบวงสรวงสองแห่งที่เปิดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เปิดแท่นบวงสรวงไปทั้งหมดเจ็ดแห่ง


สำหรับผู้ฝึกฌานแล้ว จำนวนเท่านี้ถือว่าสูงมาก ซูหมิงจะพัวพันกับคนอื่นน้อยมาก เว้นแต่ตอนแย่งชิงถึงเผยประกายเย็นชา


ตอนนี้ขณะห้อทะยาน เขามองแผ่นหยกตลอดเวลา ห่างจากจุดรวมพลสำนักเจ็ดจันทราไม่ไกลมากแล้ว ราวๆ สองชั่วยาม


ขณะเดินหน้าไปเขาพลันหยุดชะงัก มองสัญลักษณ์บนพื้นที่เว้าลงไปอยู่ไกลๆ ตรงนั้นเป็นแท่นบวงสรวงที่ยังไม่ถูกเปิด ทันทีที่เห็นแท่นบวงสรวง ซูหมิงหรี่ตาลงเล็กน้อย


ผ่านไปหกชั่วยามแล้ว ชั้นแรกในมิติแตกแห่งนี้ แม้จะยังมีแท่นบวงสรวงที่ยังไม่ถูกเปิดอยู่ แต่ก็ไม่มากแล้ว ส่วนใหญ่จะอยู่ในที่ลับตา อย่างเช่นตำแหน่งของแท่นบวงสรวงที่เด่นตานี้ ไม่น่าอยู่มาจนถึงตอนนี้จริงๆ


ซูหมิงกวาดสายตามองไปรอบๆ เขาเพียงแค่หยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วก็หันหน้ากลับไม่มองอีก ก่อนห้อเหยียดออกจากที่นี่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกับดัก


แต่ช่วงที่ซูหมิงจะจากไปนั้น มีเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากแท่นบวงสรวง เมื่อเสียงหัวเราะกังวาน มีร่างเงาสวมชุดคลุมเต๋าเผยอยู่บนแท่นบวงสรวง ดวงตาดั่งสายฟ้ามองซูหมิงอย่างเย็นชาพลางเดินเข้ามาใกล้


“ในเมื่อพบแท่นบวงสรวงของแซ่ซุนแล้ว จะไปคงไม่ง่ายขนาดนั้น” ช่วงที่เสียงเย็นเยียบดังกังวาน พลังของเต๋าสูงศักดิ์พลันแผ่มาจากร่างเงาชุดคลุมเต๋านั้น ตอนนี้เองฟ้าถอดสี แผ่นดินสั่นสะเทือน ในระยะหมื่นลี้รอบๆ ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายพลังแก่กล้า ทำให้ผู้ฝึกฌานคนอื่นในระยะหมื่นลี้สังเกตเห็นแล้วก็หน้าเปลี่ยนสี พากันถอยห่าง


ซูหมิงขมวดคิ้ว กลิ่นอายพลังของเต๋าสูงศักดิ์ทำให้เขาคิ้วขมวด ขณะกำลังจะใช้เข็มทิศจากไปอย่างรวดเร็วนั้น ในใจเขาสั่นไหวขึ้นมา ล้มเลิกความคิดไป แต่หมุนตัวกลับมามองร่างเงาชุดคลุมเต๋าที่ยามนี้เข้ามาใกล้อย่างเย็นชา


อีกฝ่ายเป็นชายชราจมูกงอขึ้นเหมือนอินทรี ชุดคลุมเต๋าบนตัวเขาประทับตราหยินหยางสีขาวดำ ชุดคลุมเต๋าแบบนี้ไม่ใช่ของสำนักเอกะเต๋า และก็ไม่ใช่ของฝ่ายอสุรา แต่เป็น…ของสำนักสองประมุข!


“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเรียกผู้เยาว์ไว้มีเรื่องอะไร?” ช่วงที่ซูหมิงกล่าวขึ้นราบเรียบ ชายชราที่เข้ามาใกล้ยิ้มเยาะ ขณะจะตอบกลับนั้น กลับกวาดสายตามองซูหมิงแล้วอึ้งไปโดยพลัน พริบตาที่อึ้ง ซูหมิงยกมือขวาขึ้น แส้ดารามาแทนที่ผืนฟ้า ทำให้ฟ้ามืดครึ้มลง ขณะเดียวกันเงาแส้เข้าไปใกล้ก่อนฟาดชายชราชุดคลุมเต๋าอย่างแรง


เกิดเสียงดังสนั่น พริบตาที่ฟาดแส้ ซูหมิงไม่ถอยแต่บุกเข้าไป เกิดเสียงครึกโครมขึ้นอีกครั้ง ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน ตอนนี้เองซูหมิงถอยออกมา โลหิตไหลจากมุมปาก เขาเหยียบลงพื้นแล้วก็ถอยไปหลายเก้า ก่อนเงยหน้าขึ้นพร้อมกำหมัดขวาชกใส่หมอกฝุ่นตรงหน้า


หมัดนี้รวมดวงจิตและพลังวิญญาณเต๋า ทันทีที่ชกออกไป ชายชราชุดคลุมดำในหมอกฝุ่นคำรามด้วยความโกรธ เมื่อเดินออกมาในฉับพลันแล้ว เขาดูมีสภาพย่ำแย่เล็กน้อย โดยเฉพาะอาภรณ์ตรงหน้าอกฉีกขาด เผยเป็นรอยแส้สีแดงสายหนึ่ง ดวงตาเขาเกิดเส้นเลือดฝอย มีความมึนงงอยู่เสี้ยวหนึ่งรางๆ ยามนี้เหมือนเขาจะควบคุมความมึนงงนี้ไว้ได้แล้ว ในตัวอบอวลไปด้วยหมอกขาวจำนวนมาก หมอกนั้นกลายเป็นตะขาบยักษ์กลางอากาศ ทั่วร่างมันเป็นสีขาว พุ่งกระโจนใส่ซูหมิงอย่างดุร้าย ปะทะกับหมัดนั้นของซูหมิง


เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ซูหมิงกระอักเลือด ระหว่างที่ถอยไปอีกครั้ง ร่างตะขาบสีขาวสั่นสะท้าน มัวหมองลงเล็กน้อย แต่ก็ยังพุ่งไปหาซูหมิงด้วยจิตสังหาร นี่คือพลังของเต๋าสูงศักดิ์ สำหรับซูหมิงในตอนนี้แล้วเขาเอาชนะพลังนี้ไม่ได้ แต่หากจะสังหารเขาก็ไม่ง่ายเหมือนกัน


แทบเป็นตอนที่ตะขาบเข้ามาใกล้ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายดุดัน กล่าวขึ้นเรียบๆ


“อู่ไป๋!”


แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงกล่าวขึ้น มีร่างเงาสีขาวพุ่งมาจากด้านข้างด้วยความเร็วยากจะบรรยาย มาปรากฏตรงหน้าซูหมิง เอาหัวชนตะขาบหมอกที่กำลังพุ่งเข้ามา


เกิดเสียงระเบิดสะเทือนฟ้าดิน ตะขาบหมอกแหลกเป็นเสี่ยงๆ ชายชราชุดคลุมเต๋าหน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตาจริงจังโดยพลัน จ้องสุนัขใหญ่สีขาวตรงหน้าซูหมิง


สุนัขใหญ่สีขาวก็จ้องชายชราอย่างดุร้ายเช่นกัน มันรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ตอนนั้นยังเคยทักทายกันเล็กน้อย แต่ตอนนี้ในใจอู่ไป๋โกรธถึงขีดสุด มันรู้ว่าหากซูหมิงตาย พวกมันห้าตัวก็จะตายตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่มีวิธีเลี่ยงแม้แต่น้อย ตอนนี้อย่าว่าแต่เคยทักทายกับชายชราชุดคลุมเต๋าคนนี้เลย ต่อให้เจอกับสำนักเดียวกัน อู่ไป๋ก็จะลงมืออย่างไม่ลังเล ตอนนี้อ้าปากกว้างคำรามเสียงดังพร้อมกับพุ่งตรงไปหาชายชราชุดคลุมเต๋า


‘นี่มันสัตว์วิญญาณอะไร!’ ชายชราชุดคลุมเต๋าหรี่ตาลง ใจสั่นสะท้าน ในมุมมองเขา สุนัขใหญ่สีขาวมีพลังเต๋าสูงศักดิ์ นี่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย สัตว์วิญญาณแบบนี้พบได้น้อยมากทั้งแคว้นกู่จั้ง แต่พริบตาเดียวเขาก็ปล่อยวาง ด้วยศักยภาพของสำนักเจ็ดจันทรา การจะหามาตัวหนึ่งให้องค์ชายสามก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


“เดรัจฉานก็ยังเป็นเดรัจฉาน!” ชายชราชุดคลุมเต๋ายิ้มเยาะ ช่วงที่ยกมือขวาขึ้น ใต้เท้าพลันเย็นยะเยือก เกิดรอยร้าวขึ้นนับไม่ถ้วน ยามนี้เองเหมือนมีตะขาบเหลือคณานับกำลังปรากฏอยู่ใต้เท้าชายชรา ทว่าอู่ไป๋เห่าไปทีหนึ่ง ปรากฏหม้อทองสัมฤทธิ์ยักษ์ขึ้นข้างตัวมันใบหนึ่งเช่นกัน ภายนอกหม้อมีภาพสัตว์จำนวนมาก ทันใดนั้นเองภาพเหล่านี้คืนชีพทั้งหมด อัดแน่นอยู่เต็มฟ้า พุ่งกระโจนมายังชายชราชุดคลุมเต๋าที่ตอนนี้หรี่ตาแคบลง มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย


และตอนนี้เอง ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ


“ต้าไป๋!” พูดจบ มีแสงสีขาวอีกสายโผล่มาจากข้างหลังชายชรา พริบตาที่สังเกตเห็นแสงสีขาวนี้ ชายชราตกใจกลัวอย่างสุดขีด


‘มะ…ไม่อยากเชื่อว่าจะมีอีกตัว! ทั้งยังมีพลังเต๋าสูงศักดิ์เหมือนกันอีก!’ หัวใจชายชราเต้นระรัว พลันเกิดความคิดถอย


ชั่วขณะที่ต้าไป๋กับอู่ไป๋พุ่งออกมา สายตาที่ซูหมิงมองชายชราชุดคลุมเต๋าแฝงไว้ด้วยจิตสังหารเด่นชัด เขาสัมผัสได้แล้วว่าตอนนี้ซานไป๋กับซื่อไป๋ห่างจากตนไม่ไกล อีกสิบกว่าลมหายใจก็จะมาถึง มีเพียงเอ้อไป๋ที่อยู่ไกลจากที่นี่เล็กน้อย


1442 สังหารเต๋าสูงศักดิ์(2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

โครม!


เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องฟ้าดินรอบๆ ทำให้มวลอากาศที่นี่บิดเบี้ยว ช่วงที่เกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วน ชายชราชุดคลุมเต๋ากระอักเลือด ร่างห้อเหยียดถอยไป ตรงหน้าเขามีเงาสีขาวสองร่างพุ่งเข้ามา


นั่นคือต้าไป๋กับอู่ไป๋ สองตัวนี้มีพลังเต๋าสูงศักดิ์ยามนี้พุ่งออกไปพร้อมอภินิหาร ทำให้ชายชราชุดคลุมเต๋าเหมือนเกิดภาพหลอน ราวกับว่าในสายตาตนไม่ใช่สัตว์วิญญาณสองตัว แต่เป็นร่างเงาผู้ฝึกฌานพิลึกที่มีพลังเต๋าสูงศักดิ์เหมือนตน!


‘สมควรตาย สำนักเจ็ดจันทราไปได้สัตว์วิญญาณที่ล้ำค่าอย่างยิ่งสองตัวนี้มาจากที่ใด บัดซบ!’ ชายชราชุดคลุมเต๋าหน้ามืดทะมึน ยังไม่ทันเช็ดคราบโลหิตก็คิดหนีทันที ไม่ใคร่ครวญจะสังหารซูหมิงอีก แต่เกิดความคิดว่าจะต้องออกจากที่นี่อย่างเร็วไวให้ได้


สุนัขใหญ่สีขาวตัวเดียวเขายังพอรับมือไหว แต่เมื่อมาสองตัว ชายชราชุดคลุมเต๋าเข้าใจแล้วว่าตนไม่มีทางสังหารซูหมิงได้ เว้นแต่…สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวนี้จะมีสติปัญญาไม่สูง แบบนี้จะมีโอกาสเล็กน้อย ทว่าพอได้ปะทะ ในใจเขาสั่นสะท้านโดยพลัน มีความรู้สึกว่าสัตว์วิญญาณเหล่านี้เหมือนกับผู้ฝึกฌาน ยามนี้ขณะห้อเหยียดถอยร่น ซูหมิงยิ้มเยาะมุมปาก นัยน์ตามีจิตสังหารวูบผ่าน เดินหน้าไปยังชายชรา


ชายชราชุดคลุมเต๋าจ้องซูหมิงตาเขม็ง ถอยไปอย่างเร็วไวยิ่ง


“วันนี้ปล่อยให้เจ้ารอดไปก่อน ยังไม่ไสหัวไปอีก!” แม้ชายชราจะตกใจพลังของสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังทำสีหน้าอวดดี คำพูดสูงส่งยังคงเด่นชัด


เขาคำนวณไว้แล้วว่าองค์ชายสามคนนี้มีพลังไม่สูง ต่อให้มีสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวก็ไม่กล้าไล่ตามมามากนัก อีกทั้งยังไม่อยากเสียเวลา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีฐานะพิเศษ หากอยู่ที่นี่นาน คงยากจะไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น สำหรับองค์ชายสามแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่อยากประสบ


ดังนั้นชายชราชุดคลุมเต๋าคาดการณ์ไว้ว่าอีกฝ่ายจะต้องปล่อยตนไปอย่างแน่นอน


“แต่ข้ายังไม่อยากปล่อยเจ้า” ซูหมิงเดินหน้าพลางพูดขึ้นเรียบๆ จิตสังหารในแววตาวาววับ พร้อมกันนั้นชายชราชุดคลุมเต๋าแค่นเสียงขึ้นจมูก ทว่าทันใดนั้นเองเขารู้สึกว่าทางซ้ายและขวามีกลิ่นอายพลังเต๋าสูงศักดิ์กำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว


“มีเต๋าสูงศักดิ์คนอื่นมา ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าได้ไปเลย” ชายชราชุดคลุมเต๋ายิ้มเยาะ เขาไม่หยุด แต่ถอยต่อไป เขาต้องรอผู้ฝึกฌานที่มีกลิ่นอายพลังเต๋าสูงศักดิ์อีกสองคนมาถึงก่อน ขอเพียงสองคนนี้ไม่ใช่คนสำนักเจ็ดจันทรา วันนี้องค์ชายสามจะต้องมีภัยแน่


ทว่าพริบตาที่เขาถอยไป นัยน์ตาซูหมิงพลันเป็นประกายวาว ยิ้มมุมปาก ชายชราชุดคลุมเต๋าเห็นรอยยิ้มดังนั้นก็หรี่ตาลง เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้น หางตาเขาเห็นฟ้าดินทางซ้ายและขวาว่ามีแสงสีขาวสองสายกำลังพุ่งมา


ภายในแสงสีขาวนั้นเป็นสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว!


ทันทีที่เห็นสุนัขใหญ่สีขาว ชายชราชุดคลุมเต๋าหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ใจสั่นสะท้านจนเหมือนเกิดคลื่นลูกใหญ่ กระทั่งเขามีความรู้สึกว่าตนมองพลาดจึงมองไปข้างหน้า ก็ยังเห็นสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวก่อนหน้านี้อยู่ตรงหน้าซูหมิง


‘สะ…สี่ตัว! เป็นไปไม่ได้ ทั้งแคว้นกู่จั้งจะหาสัตว์วิญญาณเหมือนกันทุกประการ ทั้งยังมีพลังเต๋าสูงศักดิ์สี่ตัวได้อย่างไร!’ ยามนี้ชายชราชุดคลุมเต๋าหวาดกลัวในใจแล้ว เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิตมาคำหนึ่งอย่างไม่ลังเล ใช้พลังทั้งหมดในการหนีไป


เขาไม่มีวิธีสู้แล้ว ต่อให้เขาอวดดีกว่านี้ก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับสุนัขใหญ่สีขาวที่มีพลังเหมือนกับเขาสี่ตัว ถึงขั้นตอนนี้ตรงส่วนลึกในใจเกิดความรู้สึกถึงอันตรายเป็นตายร้ายแรง นี่ไม่ใช่ภัยของซูหมิง นี่คือภัยของตน!


พริบตาที่เขาจะขยับวูบไหวหนีไปไกลนั้น ระหว่างที่ซูหมิงยกมือขวาขึ้น แส้ดาราพลันมาแทนที่ผืนฟ้า ชั่ววูบเดียวก็ตรงเข้ามาฟาดใส่ตัวชายชราชุดคลุมเต๋าดังโครม ด้วยการขัดขวางแบบนี้ แสงสีขาวสี่สายจึงพุ่งตรงไปหาชายชราชุดคลุมเต๋าทันที


ด้วยความเร็วระดับนี้ชายชราเลยหลบไม่พ้นเลย ยามนี้ตาแดงก่ำ คำรามเสียงต่ำสะเทือนฟ้าดิน เกิดหมอกฝุ่นขึ้นไปโดยรอบ ชายชราชุดคลุมเต๋ากระอักเลือด ทั้งแขนขวาระเบิดออก ร้องคำรามเสียงแหลม พลันปรากฏแผ่นหยกเก้าแผ่นที่แตกหักทั้งหมดขึ้นตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขาอาศัยแรงระเบิดของแผ่นหยกเหล่านี้กระเด็นถอยไปอย่างรวดเร็ว


แต่ตอนนี้เอง สุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวพุ่งเข้ามาอีกครั้ง จังหวะที่เข้าใกล้ชายชราชุดคลุมเต๋าและนัยน์ตาชายชราฉายแววสิ้นหวังนั้น พลันปรากฏเข็มทิศขึ้นใต้เท้าซูหมิง ซูหมิงยืนอยู่บนเข็มทิศขยับวูบไปข้างหน้า ยามนี้เองเข็มทิศปะทุความเร็วที่แม้แต่ซูหมิงยังตกใจ ด้วยความเร็วระดับนี้จึงทำให้เขาแซงหน้าสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัว ถึงขนาดที่ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าชายชราชุดคลุมเต๋าโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว จนกระทั่งตอนนี้ ภายในลูกตาชายชราชุดคลุมเต๋าถึงเหมือนมีร่างเงาสะท้อนของซูหมิงบีบเข้ามาในดวงตา


ชายชราอึ้งงัน ระหว่างที่เขาอึ้งอยู่นี้ ซูหมิงยกมือขวาขึ้นกดตรงระหว่างชายชราชุดคลุมเต๋า ขณะเดียวกัน สุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวตรงเข้ามาพร้อมกัน เกิดเสียงดังสนั่นฟ้า แขนขาชายชราชุดคลุมเต๋าถูกสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวกัดเอาไว้แน่น


ฟันพวกมันแทงลึกเข้าไปในเลือดเนื้อชายชราเป็นการผนึกพลังอีกฝ่าย ทั้งยังขยับตัวไม่ได้เลย เขาเบิกตาโต นัยน์ตามีเส้นเลือดฝอยและความตื่นกลัว ร้องโหยหวนเสียงแหลมดังก้องไปในระยะหมื่นลี้ ส่งผลให้ผู้ฝึกฌานที่กำลังหนีไปเหล่านั้นได้ยินแล้วพากันใจสั่นสะท้าน รีบหนีออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว


เมื่อเสียงร้องแหลมดังขึ้น ชายชราชุดคลุมเต๋าร่างแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว พลังชีวิต ขั้นพลังไปจนถึงวิญญาณไหลผ่านตราประทับมือขวาซูหมิงเข้าไปในร่างกาย


อาการบาดเจ็บของซูหมิงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว วูบหนึ่งก็กลับมาเป็นปกติ ตอนที่คลายมือออก เสียงร้องแหลมของชายชราชุดคลุมเต๋าเงียบลงแล้ว ทั่วร่างกลายเป็นศพแห้ง


ทว่าตราประทับจันทร์เสี้ยวตรงฝ่ามือซูหมิงกลับเปล่งแสงหม่น เขาสูบพลังของชายชราชุดคลุมเต๋าได้ แต่ใช้มันเสริมพลังตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงรักษา แต่ว่า…เขารวมพลังอีกฝ่ายไว้ที่ตราประทับ สั่งสมเป็นการโจมตีสูงสุดเหมือนกับอีกฝ่ายครั้งหนึ่งได้


ซูหมิงมองศพแห้งนั้นอย่างเย็นชา ก่อนละสายตากลับเดินกลับมายังแท่นบวงสรวงที่ยังไม่ถูกเปิด ยี่สิบลมหายใจต่อมาลำแสงจากแท่นบวงสรวงพุ่งขึ้นฟ้า ภายในดวงตาเขาเผยประกายวาววับ ก่อนหมุนตัวกลับพาสุนัขใหญ่สี่ตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป


การกลับมาของสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวทำให้ซูหมิงวางใจได้ไม่น้อย อย่างน้อยสุด…ขอเพียงไม่เจอมหาเต๋าสูงศักดิ์ก็จะไม่มีใครหยุดเขาที่ชั้นหนึ่งได้


‘อดทนต่อไป รอจนถึงชั้นสองแล้วมหาเต๋าสูงศักดิ์ก็จะเข้ามาไม่ได้แล้ว นั่นคือช่วงที่ข้าจะแย่งชิง!’ ดวงตาซูหมิงแวววาว แม้การแย่งชิงผลพิสูจน์เต๋าในครั้งนี้จะต้องมีคนบางส่วนใช้วิธีอื่นเข้าชั้นสองกับชั้นสาม อย่างเช่นซูหมิงที่พาสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวมาได้จึงมีกำลังรบเหนือกว่าขั้นพลังตัวเอง


ทว่าซูหมิงก็ยังมีความมั่นใจอยู่เล็กน้อยว่าจะบงการสถานการณ์ในชั้นสองกับชั้นสามได้ ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ สำหรับสำนักเจ็ดจันทราแล้ว ที่ยากที่สุดคือชั้นหนึ่ง เพราะชั้นนี้มีมหาเต๋าสูงศักดิ์ของทุกสำนักปรากฏตัว สำนักเจ็ดจันทราจึงไม่มีข้อได้เปรียบอะไร


แต่ชั้นสองไม่เหมือนกัน ด้วยพลังของกู่ไท่ ในชั้นสองนี้ หากไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดก็มากพอจะเป็นมหาอำนาจ


‘ยังต้องระวังตัวในชั้นหนึ่ง’ ซูหมิงตรึกตรองพลางพาสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวพุ่งทะยานไกลออกไป ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ซูหมิงมองแผ่นหยก จากสัญลักษณ์ในนั้น ตอนนี้ห่างจากจุดรวมพลสำนักเจ็ดจันทราราวๆ หนึ่งชั่วยาม


ตอนนี้เกิดการเข่นฆ่าขึ้นที่มิติชั้นหนึ่งทุกแห่ง ลำแสงจำนวนมากพุ่งขึ้นฟ้า มองไกลๆ มีราวหนึ่งแสนสาย จะเห็นได้ชัดว่าถูกเปิดแล้ว สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือการแย่งชิงของแต่ละสำนัก


ซูหมิงละสายตากลับแล้วตั้งใจเดินหน้าต่อ ทว่าตอนนี้เองในใจเขาสั่นสะท้าน เกิดความรู้สึกถูกจับจ้อง กระทั่งช่วงที่สายตานี้มองผ่านตน เขารู้สึกร้อนกลัวจนไม่เป็นสุข


“หืม?” เสียงเบาดังแว่วมาจากในมวลอากาศ พลันมีร่างเงาหนึ่งเดินออกมาจากอากาศ เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อายุราวสิบสามสิบสี่ปี สวมอาภรณ์ยาวสีขาว ตอนที่เดินออกมาจากมวลอากาศยังยิ้มหยีตามองซูหมิง


“ข้าหลินตงตงแห่งสำนักเอกะเต๋า คารวะองค์ชายสาม” เด็กหนุ่มดูยังเยาว์วัย แต่คำพูดผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ยามเอ่ย ฟ้าดินรอบตัวซูหมิงเกิดเค้ารางแข็งตัวโดยพลัน ราวกับถูกผนึกไว้


มหาเต๋าสูงศักดิ์! พลังแบบนี้มีเพียงมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่ทำได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูหมิงพบมหาเต๋าสูงศักดิ์ ความจริงถ้าไม่นับเซินมู่ที่พบในสำนักเจ็ดจันทรา มหาเต๋าสูงศักดิ์ที่ซูหมิงพบเห็นคนแรกคือเซียนเยือกเย็น แต่ตอนนั้นอยู่ต่อหน้าชายชรา เซียนเยือกเย็นจึงอนาถายิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นซูหมิงก็ไม่ได้ดูถูกมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่มีไม่ถึงสามสิบคนทั้งแคว้นกู่จั้งด้วยเหตุนี้


พูดได้ว่ามหาเต๋าสูงศักดิ์ทุกคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งยอดสุดในแคว้นกู่จั้ง ภายใต้สภาพการณ์ที่เทพเต๋าขั้นเก้าไม่ปรากฏตัว มหาเต๋าสูงศักดิ์…จึงเป็นพลังสูงสุดของผู้ฝึกฌานในโลกนี้


“ไฉนองค์ชายสามต้องรีบร้อน ในเมื่อพบข้าแล้วก็ถือว่ามีโชควาสนาต่อกัน มาเดินทางกับข้าดีหรือไม่?” เด็กหนุ่มยิ้มพูดขึ้นพลางเดินลงมาจากฟ้ามาทางซูหมิง ทุกก้าวที่ย่างเดินส่งผลให้ทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือน กระทั่งหากเขาต้องการ เหมือนแค่หนึ่งความคิดก็พลิกกลับฟ้าดินได้


ซูหมิงเงียบ ตอนนี้สุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวข้างซูหมิงหรี่ตาลง ฟ้าดินรอบๆ ถูกผนึกไว้แล้ว เหมือนลิขิตไว้ว่านี่คือภัยความเป็นตายของซูหมิง


ระหว่างที่เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามา ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ยกมือขวากดใต้เท้าข้างหน้า พริบตาที่กดลง การโจมตีสูงสุดของชายชราชุดคลุมเต๋าที่ผนึกไว้ในตราประทับมือขวาปะทุขึ้นส่งเสียงดังสนั่น


ขณะเดียวกันสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวร้องคำรามพร้อมกัน ปะทุพลังทั้งหมดเป็นการโจมตีที่แกร่งที่สุด โจมตีใส่กลางฟ้าดินแช่แข็งรอบๆ


1443 ชั้นสอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อซูหมิงลงมือ เมื่อสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวใช้การโจมจีที่แกร่งที่สุด ฟ้าดินรอบซูหมิงเหมือนจะพังลงในฉับพลัน เกิดการบิดเบี้ยวจำนวนมาก ขณะบิดเบี้ยวนั้น ซูหมิงพุ่งไปข้างหน้า ความรู้สึกว่ารอบตัวถูกผนึกเบาบางลงมาก ทว่าช่วงที่เขาจะพุ่งออกไปนั้น


เด็กหนุ่มมีสีหน้าปกติ ยิ้มแล้วเดินหนึ่งก้าว ทำให้การแข็งค้างของฟ้าดินขยายออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมมากกว่าเกือบล้านลี้


“ฟ้าดินล้านลี้นี้ถูกผนึกแล้ว เจ้า…จะหนีอย่างไร?” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกล่าวขึ้นพลางมองซูหมิงด้วยแววตาเย้ยเยาะ


“บางทีเจ้าอาจจะลองหนีดูก็ได้ หากเจ้าชอบเล่นการล่าสังหาร” เด็กหนุ่มกล่าว เขาไม่ได้เข้าไปใกล้ซูหมิงในทันที แต่เดินไปด้านข้างหลายก้าว เปิดทางข้างหน้าให้


“ข้าให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจ สิบลมหายใจจากนี้ข้าจะลงมือ ข้าจะสังหารพวกสุนัขข้างกายเจ้าก่อน ทุกสิบลมหายใจจะสังหารหนึ่งตัว สี่สิบลมหายใจต่อมาข้าจะจับเจ้า” เด็กหนุ่มยังคงยิ้ม แต่ความเย็นเยียบในคำพูดกลับทำให้นัยน์ตาซูหมิงขยับประกายชั่วร้าย


“หนึ่ง…” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ทันทีที่กล่าวขึ้นพลันปรากฏเข็มทิศใต้เท้าซูหมิง มันขยายใหญ่ขึ้น วูบเดียวก็มีขนาดสิบจั้ง อักขระเว้านูนขยับแสงเรืองรอง ตอนนี้เองซูหมิงสั่งผ่านความคิด เข็มทิศจึงส่งเสียงวิ้งทีหนึ่งก่อนพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


เดิมทีเข็มทิศมีความเร็วสูงสุดอยู่แล้ว ทว่าเมื่ออยู่กลางผนึกฟ้าดินรอบๆ จึงเหมือนถูกเส้นใยนับไม่ถ้วนพันรอบเอาไว้ เลยใช้ความเร็วได้ไม่มากนัก ข้างหูยังมีเสียงเด็กหนุ่มดังกึกก้อง


“สอง…”


“สาม…”


“สี่…”


เข็มทิศห้อทะยานไป ความรู้สึกถูกหยอกล้อทำให้ซูหมิงหน้ามืดทะมึน จิตสังหารในใจรุนแรงอย่างยิ่ง แต่ด้วยความต่างของพลังจึงทำให้แม้จิตสังหารจะรุนแรงถึงขีดสุดก็ยังระบายออกมาไม่ได้


“สิบ!” เสียงดังแว่วมาข้างหู ช่วงที่ซูหมิงหันไปมอง แวบแรกเขาเห็นเด็กหนุ่มมาปรากฏข้างหลังตน มือขวาคว้าที่คอต้าไป๋ ยิ้มให้ซูหมิงก่อนออกแรงบีบมือ นัยน์ตาต้าไป๋ฉายแววคลุ้มคลั่ง มันเลือกระเบิดตัวเองในฉับพลัน


เสียงครึกโครมดังก้องกลายเป็นแรงปะทะรุนแรงผลักซูหมิงรวมถึงเข็มทิศไกลออกไป ตอนนี้เองร่างเด็กหนุ่มก็อยู่ในแรงปะทะเช่นกัน อาภรณ์ปลิวไสวอย่างรวดเร็ว แต่ตัวเขายืนอยู่ในจุดที่รุนแรงที่สุดของแรงปะทะ แววตาประหลาดใจ


“ไมอยากเชื่อว่าจะ…ระเบิดตัวเอง? นี่ไม่ใช่สัตว์วิญญาณ นี่มัน…ผู้ฝึกฌานรึ?” ขณะเด็กหนุ่มพึมพำ ดวงตาพลันขยับประกาย เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นเขาก็ยังคาดไม่ถึงว่าพวกสุนัขข้างกายซูหมิงจะเป็นผู้ฝึกฌาน!


ดวงตาซูหมิงเกิดเส้นเลือดฝอย ไม่พูดอะไร แต่ในใจตอนนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง แม้ต้าไป๋จะเคยเป็นศัตรู แต่หลังจากถูกตาแก่เปลี่ยนให้เป็นสุนัขใหญ่สีขาวแล้วก็เคารพซูหมิงมาก ตอนนี้ถูกบีบให้ระเบิดตัวเองต่อหน้าตน ภาพนี้…เดิมทีไม่ส่งผลถึงจิตใจเขา ทว่าความรู้สึกอ่อนแอยามเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งทำให้เขานึกถึงใบหน้าเหล่านั้นในความทรงจำจากโลกซางเซียง นึกถึงภาพการตายของทุกคนภายใต้การโจมตีครั้งเดียวของเสวียนจั้ง


ตอนนั้นเขาอ่อนแอ!


ยามนี้เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นแล้ว ซูหมิงเงยหน้าเปล่งเสียงคำรามในขณะที่เข็มทิศยังคงพุ่งต่อไป


“สำนักเอกะเต๋า สำนักเอกะเต๋า!”


การระเบิดตัวเองของต้าไป๋ แรงปะทะที่เหนือความคาดหมายของเด็กหนุ่มนั้น แม้จะสั่นคลอนร่างเด็กหนุ่มไม่ได้ แต่สำหรับซูหมิงแล้ว แรงผลักจากแรงปะทะกลับทำให้เข็มทิศใต้เท้าเปิดฟ้าดินที่ถูกผนึกออกเล็กน้อย ความเร็วเพิ่มขึ้น พริบตาเดียวก็แสนลี้


‘หนีได้เร็วมาก แต่ว่า…หืม?’ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองซูหมิงไกลๆ พลางยิ้มเยาะมุมปาก ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าวจะตามไป ทว่าเขาหยุดชะงักโดยพลัน รอบตัวเขาหรือพูดได้ว่าในระยะล้านลี้มีหิมะตก


เมื่อหิมะไม่มีสิ้นสุดโปรยปรายลงมา ควมหนาวเหน็บพลันแผ่คลุมไปโดยรอบ ซูหมิงนอกระยะแสนลี้ก็เห็นหิมะตกในขณะที่เข็มทิศกำลังเคลื่อนตัวเช่นกัน


“วันนี้ขอตอบแทนบุญคุณที่เจ้าไม่เข้าประตูในตอนนั้น จากนี้เจ้ากับข้าสองคนไม่ติดค้างกันอีก” ช่วงที่เสียงสตรีดังแว่วมาจากฟ้าดิน ซูหมิงก็จำเสียงนี้ได้ทันที นั่นคือเซียนเยือกเย็น


หลังเสียงดังกังวาน หิมะในระยะล้านลี้พลันตรงมาที่ซูหมิงพร้อมกัน รวมกันเป็นปราการหิมะยักษ์ข้างหลัง ขณะเดียวกันผนึกฟ้าดินในระยะล้านลี้พังทลายลง ทำให้ความเร็วเข็มทิศของซูหมิงกลับมาเป็นปกติทันที


“ที่แท้ก็เซียนเยือกเย็น ไม่ได้เจอกันนาน…แต่เจ้าขวางข้าแบบนี้ หรือว่าสนใจเขารึ?” ชั่วขณะที่เสียงเด็กหนุ่มดังแว่วมาเนิบๆ ซูหมิงบนเข็มทิศห้อทะยานไกลออกไปแล้ว ได้ยินเสียงเย็นชาของเซียนเยือกเย็นดังแว่วมาเบาๆ จากข้างหลัง


“ข้าติดค้างบุญคุณเขา สหายหลินถอยไปได้หรือไม่”


ซูหมิงไม่ได้ยินคำพูดต่อจากนี้แล้ว เข็มทิศที่เขาอยู่บินจากไปไกล เขานั่งขัดสมาธิบนเข็มทิศ เงียบมาตลอดทาง แต่ความบ้าคลั่งกับจิตสังหารในแววตากลับเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอบอวลไปทั่วร่าง ส่งผลให้กลิ่นอายมารในตัวเขาเหลือล้น


‘ข้าจะต้องได้ผลเต๋ามา เมื่อกินไปแล้วจะมีพลังเต๋าสูงศักดิ์…ตอนนั้น ข้าจะไม่รู้สึกอ่อนแออีก!


สำนักเอกะเต๋า สำนักเอกะเต๋า…หากไม่ทำลายสำนักนี้ข้าจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด ข้าสู้มหาเต๋าสูงศักดิ์ไม่ได้ แต่ในชั้นสอง ชั้นสาม ข้าจะให้สำนักเอกะเต๋าต้องชดใช้!


กระทั่งหากจากบรรลุเต๋าสูงศักดิ์แล้วเจอกับหลินตงตงอีก ข้าจะให้เขา…ต้องชดใช้เช่นกัน!’ จิตสังหารในแววตาซูหมิงน่าตกใจ ขณะพึมพำในใจ เขาเห็นอยู่ไกลลิบว่าเป็นจุดรวมพลของสำนักเจ็ดจันทรา


ตอนนี้ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราสองแสนคนมาอยู่ที่นี่เพียงเจ็ดแปดหมื่นคน กู่ไท่ก็อยู่ที่นี่ ตอนที่พวกเขาเห็นเข็มทิศของซูหมิงบนฟ้าต่างก็เพ่งสายตามองทันที ทว่ากู่ไท่สังเกตเห็นจิตสังหารที่เข้มข้นถึงขีดสุดจากตัวซูหมิงในฉับพลัน


เขาไม่ถาม ในมิติชั้นหนึ่งอันวุ่นวายมักจะเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะมีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงกระตุ้นจิตใจเข้มแข็งของคนได้


เมื่อเข้ามาใกล้จุดรวมพลสำนักเจ็ดจันทรา เข็มทิศใต้เท้าซูหมิงหายไป ส่วนตัวเขาพุ่งไปยังคนสำนักเจ็ดจันทรา จนเมื่อเข้ามาใกล้แล้ว เขาเงียบ นั่งลงบนพื้น หลับตา ควบคุมจิตสังหารที่เหมือนจะปะทุออกมา


เวลาผ่านไปช้าๆ ผู้อาวุโสใหญ่สำนักเจ็ดจันทรทุกคนรวมถึงกู่ไท่พาคนออกไปข้างนอกเป็นบางครั้ง แผ่นหยกของกู่ไท่ขยับแสงต่อเนื่อง เป็นการส่งข่าวให้กับสำนักพันธมิตร


ด้วยพลังของพันธมิตร จึงรับประกันได้ว่าในมิติชั้นหนึ่งนี้สำนักเจ็ดจันทราจะเข้าไปชั้นสองได้อย่างราบรื่น เวลาผ่านไปพริบตาเดียวก็สิบกว่าชั่วยาม ใกล้จำกัดสามสิบหกชั่วยามมากขึ้นเรื่อยๆ กู่ไท่มีสีหน้าจริงจังมากขึ้น ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราโดยรอบไปๆ มาๆ ไม่ขาดสาย บางครั้งมีแสนกว่าคน บางครั้งก็เหลือเพียงหลายพันคน


จนหนึ่งชั่วยามสุดท้ายมาถึง จำนวนศิษย์สำนักเจ็ดจันทราลดน้อยลงจนไม่ถึงแสน เหมือนว่าตายไปครึ่งหนึ่ง แม้จะไม่เห็นศพ แต่ดูจากสีหน้าคนอื่นก็รู้ได้ถึงความอนาถา


ลำแสงแสนกว่าสายกลางฟ้าดินนี้พูดได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดทุกเค่อ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีสำนักใดมีแท่นบวงสรวงถึงห้าหมื่น จนถึงสุดท้าย ในที่สุดหนึ่งชั่วยามสำคัญที่สุดก็ผ่านไป ลำแสงแสนกว่าสายในมิติชั้นหนึ่งขยับไหว ขณะเดียวกันลำแสงแสนสายนี้พลันรวมกันเป็นน้ำวนยักษ์แห่งหนึ่งบนฟ้า


ช่วงที่น้ำวนหมุนโคจรส่งเสียงดังสนั่น ภายในปรากฏหลุมดำยักษ์อีกแห่ง จากนั้นในลำแสงแสนสายมีอยู่เกือบสามหมื่นสายมอดดับไป ในเวลาเดียวกันมีแรงดูดรุนแรงส่งมาจากในหลุมดำนั้น มันไม่ได้ลงมายังแผ่นดินทั้งหมด แต่ลงมายังพื้นที่อยู่ของสำนักเอกะเต๋า ทำให้ผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าทุกคนลอยขึ้นไปยังหลุมดำน้ำวนนั้น


ต่อมามีลำแสงอีกเกือบสามหมื่นสายมอดดับลง ฝ่ายอุสรากลายเป็นฝ่ายที่สองที่มีสิทธิ์เข้าชั้นสอง เมื่อผู้ฝึกฌานฝ่ายอสุราเข้าไปในหลุมดำแล้ว ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าเป็นกลุ่มที่สามก็คือ…สำนักเจ็ดจันทรา!


หลังจากลำแสงมากกว่าหมื่นสายหายไป สำนักเจ็ดจันทรารวมถึงซูหมิงพลันรู้สึกถึงแรงดูดจากน้ำวนบนฟ้า ร่างพวกเขาลอยขึ้นโดยพลัน พุ่งตรงไปหาหลุมดำน้ำวน


หลังจากสำนักเจ็ดจันทราเหลือลำแสงอีกสามหมื่นกว่า ไม่มีสำนักใดมีลำแสงเกินกว่าหนึ่งหมื่นแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะศักยภาพสำนักอื่นไม่ผ่าน แต่เป็นเพราะผลพิสูจน์เต๋าในครั้งนี้มีอยู่สามฝ่ายใหญ่ๆ เพราะเกิดการชิงบัลลังก์ขึ้น ภายใต้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันและกัน พวกเขาจึงละทิ้งโอกาสนี้


มิเช่นนั้นแล้วด้วยการขัดขวางของสำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุรา ครั้งนี้สำนักเจ็ดจันทราคงจะยากได้สิทธิ์เข้าชั้นสอง


ชั้นสองตอนนี้มีเพียงสำนักเอกะเต๋า ฝ่ายอสุราและสำนักเจ็ดจันทรา พวกเขาอยู่ที่นี่ ทำการเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง นำชัยชนะมาเพื่อให้ศิษย์ในสำนักได้เข้าชั้นสามก่อน!


ถึงอย่างไรศิษย์ที่เข้าไปก่อนจะมีโอกาสได้ผลเต๋ามากกว่าคนที่เข้ามาทีหลังไม่น้อย นี่คือโอกาส หากค่อยๆ เปลี่ยนโอกาสให้กลายเป็นข้อได้เปรียบ สุดท้ายก็จะชิงผลเต๋ามาได้สำเร็จ!


‘สำนักเอกะเต๋า!’ ในมิติชั้นสอง เมื่อผู้ฝึกฌานเกือบสี่แสนคนจากสามสำนักใหญ่เข้ามาแล้วก็ยังถูกกระจายกันเหมือนชั้นหนึ่ง จิตสังหารในแววตาซูหมิงขยับประกาย ยามที่มองไปรอบๆ เขาเห็นว่ามิติชั้นสองไม่ใช่ซากปรักหักพังกว้างใหญ่อีก แต่เป็นหินนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนฟ้า


หินเหล่านี้ลอยอยู่เหมือนชื่อมกับปลายขอบฟ้า กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่าชั้นสองต้องผ่านหินเหล่านี้ไปเรื่อยๆ จนขึ้นไปบนฟ้า


1444 สังหารเพียงสำนักเอกะเต๋า!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซูหมิงยืนขึ้น ที่นี่คือชั้นสอง ที่นี่ ต่อให้มีมหาเต๋าสูงศักดิ์เข้ามาด้วยวิธีใดไม่รู้ก็ตาม แต่ไม่มีทางกำเริบทำตามอำเภอใจได้เหมือนชั้นหนึ่ง เพราะจะต้องเกิดการรบกวนอย่างแน่นอน


และที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นการสังหารของซูหมิง!


ช่วงที่นัยน์ตาซูหมิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร จิตแผ่ขยายออก สัมผัสถึงพื้นที่ที่สุนัขสี่ตัวอยู่ ครึ่งก้านธูปต่อมามีแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งเข้ามาแต่ไกล ปรากฏข้างกายซูหมิง นั่นคือซานไป๋


สุนัขใหญ่สีขาวอีกสามตัวก็อยู่คนละที่กัน กำลังมุ่งหน้ามาหาเขาอย่างเร็วไว


ซูหมิงขยับวูบไหวพาซานไป๋ตรงไปยังหินข้างบน เมื่อห้อเหยียดไปราวครึ่งชั่วยาม จิตสังหารในแววตาขยับประกายวาว เขาเห็นศิษย์สำนักเจ็ดจันทราสามคนกำลังแย่งชิงแท่นบวงสรวงกับสำนักเอกะเต๋าสองคนอยู่ข้างหน้า


ชั้นสองมีทั้งหมดหนึ่งหมื่นแท่นบวงสรวงเหมือนกับชั้นหนึ่ง ภายในสามสิบหกชั่วยามผู้ครองแท่นบวงสรวงได้เยอะที่สุดจะได้สิทธิ์เข้าชั้นสามก่อน


หน้าตาแท่นบวงสรวงโบราณและธรรมดากว่าเล็กน้อย ต้นไม้หินข้างบนก็ใหญ่หนากว่า หากเปรียบเป็นอายุ หากชั้นแรกเป็นต้นไม้อายุสิบปี เช่นนั้นที่นี่ก็จะเป็นต้นไม้แก่ร้อยปี


ทันทีที่เห็นผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าสองคน ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวขยับวูบไหวเข้าไปใกล้คนหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เดินผ่านคนนี้ มือขวาคว้าเข้าที่คออีกฝ่ายแล้ว ออกแรงบีบจนเกิดเสียงดังกรุบ ผู้ฝึกฌานคนนี้เบิกตากว้าง สิ้นลมหายใจไป พลังชีวิตรวมถึงพลังทั้งหมดถูกตราประทับในมือขวาซูหมิงสูบไป ผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าอีกคนข้างๆ ตอนนี้มีสีหน้าหวาดกลัว คิดจะถอย แต่กลับกรีดร้องเพราะถูกซานไป๋กระโจนเข้าใส่ กัดฉีกจนสิ้นชีพไป


ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราสามคนนั้นอึ้งงันก่อนตื่นตัวในฉับพลัน แต่พอเห็นหน้าตาซูหมิงแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก ประสานมือคารวะซูหมิงแล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวสามสายไปจากที่นี่


ซูหมิงมองแท่นบวงสรวงนั้นพลางเดินเข้าไป ใช้เวลาไปสี่สิบลมหายใจในการเปิดแท่นบวงสรวง กลิ่นหอมจำนวนมากคละคลุ้ง จากการสูบทำให้ดวงตาเขาเปล่งประกาย ก่อนหมุนตัวบินไกลออกไปอีกครั้ง


ซูหมิงห้อทะยานไปตลอดทาง มีซานไป๋อยู่ข้างๆ ต่อให้เจอเต๋าสูงศักดิ์เขาก็มีพลังสู้ได้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้เมื่อเขาขึ้นฟ้าไปเรื่อยๆ กลับไม่พบผู้ฝึกฌานเต๋าสูงศักดิ์เลย เจอแต่กับผู้ฝึกฌานขั้นพลังอื่นไม่น้อย ทว่าขอเพียงเจอคนสำนักเอกะเต๋า ซูหมิงจะลงมือสังหารอย่างไม่ลังเล


การลงมือทุกครั้ง เขาจะสูบขั้นพลังและพลังชีวิตอีกฝ่ายมาทั้งหมด สั่งสมในตราประทับมือขวาให้กลายเป็นการโจมตีที่แกร่งที่สุดจนถึงระดับที่มั่นคง


สังหารไม่รู้จบสิ้น จุดที่ผ่าน ศพเหล่านั้นยืนยันจิตสังหารของซูหมิง แต่ตอนนี้ยังไม่พอ…หนึ่งชั่วยามต่อมาเขาแผ่ดวงจิตบนฟ้าชั้นสอง ระหว่างที่ขยายออกไปรอบๆ ดวงตาเขาสว่างวาบ ก่อนหมุนตัวกลับพุ่งไปยังทางเหนือ ตรงนั้นมีผู้ฝึกฌานสองคนกำลังปะทะกันเพื่อแย่งแท่นบวงสรวงแห่งหนึ่ง


ซูหมิงไม่รู้จักสองคนนี้ แต่มองจากอาภรณ์หนึ่งเป็นฝ่ายอสุรา อีกหนึ่งเป็นสำนักเอกะเต๋า สำหรับซูหมิงแล้ว ร่างเงาเต๋าสูงศักดิ์ของสำนักเอกะเต๋ามากพอจะให้เขาเกิดจิตสังหาร ยามนี้เข้าไปใกล้ ซานไป๋อยู่ข้างกาย ระหว่างที่เต๋าสูงศักดิ์สองคนกำลังใช้อภินิหารปะทะกันจนถอยไปนั้น ใต้เท้าซูหมิงปรากฏเข็มทิศขึ้นโดยพลัน ความเร็วเพิ่มขึ้น วูบเดียวก็ตรงไปยังเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋า


เต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าคนนี้เป็นชายวัยกลางคน ยามนี้หน้ามืดทะมึน พลันมองมาทางซูหมิง คิ้วขมวดเป็นปม ตอนนี้ซูหมิงเข้ามาใกล้แล้ว ซานไป๋อยู่ข้างกาย เสียงครึกโครมดังสนั่นฟ้าดิน ทำให้เต๋าสูงศักดิ์ฝ่ายอสุราหรี่ตาลง จากนั้นเลือกลงมือเช่นกัน


การลงมือของซานไป๋กับเต๋าสูงศักดิ์ฝ่ายอสุราทำให้เต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ขณะคิดถอยไป ซูหมิงพุ่งไปข้างหน้าอย่างเย็นชา ทันทีที่เข้ามาใกล้ นัยน์ตาเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าขยับประกายจิตสังหาร พลังซูหมิงไม่อยู่ในสายตาเขาจึงใช้มือขวาตบไปทางซูหมิง ขณะนี้เองซูหมิงใช้มือขวาปะทะกับเต๋าสูงศักดิ์คนนี้เช่นเดียวกัน ร่างซูหมิงสั่นสะท้าน กระอักเลือด แขนขวาเห็นเป็นกระดูกและเนื้อเหมือนจะแหลกสลายไป แต่เขากลับฝืนควบคุมไว้ ดูจากราคาต้องจ่ายนี้แล้ว ร่างกายเขาคงบาดเจ็บสาหัส


ทว่าเขากลับมีสีหน้าเหี้ยมโหดกว่าเดิม ไม่เพียงแต่ไม่หลบ ทั้งยังไม่สนใจอาการบาดเจ็บ แต่ใช้ตราประทับมือขวาสูบกิน


เต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าหรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว ฉายแววตกตะลึง ขณะเดียวกันซานไป๋หมุนตัวกลับมาจ้องเต๋าสูงศักดิ์ฝ่ายอสุราที่กำลังตกตะลึงต่อซูหมิง


เขาเห็นกับตาว่าเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋ามือขวาแห้งเหี่ยวลงอย่างฉับพลัน ขณะเดียวกันอาการบาดเจ็บซูหมิงฟื้นกลับมา ทุกอย่างเกิดขึ้นในไม่กี่ลมหายใจ เต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าคำรามเสียงต่ำ แขนขวาแตกออก ถอยร่นไปอย่างเร็วรี่ มองซูหมิงด้วยแววตาตื่นกลัว


‘นี่มันวิชาอะไร!’ ตอนนี้เต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าถอยไปพลางมองซูหมิงด้วยแววตาหวาดกลัว


ดวงตาซูหมิงขยับประกาย มองเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าอย่างเย็นชา การสูบเมื่อไม่กี่ลมหายใจเมื่อครู่ทำให้อาการบาดเจ็บฟื้นกลับมา ตอนนี้นัยน์ตาเผยจิตสังหาร ก่อนขยับวูบไหวไปข้างหน้า ตรงไปยังเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋า


ในใจเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าสั่นสะท้าน ขณะที่ถอยโดยจิตใต้สำนึกนั้น พลันมีแสงสีขาวสว่างวาบข้างหลัง นั่นคือซื่อไป๋เข้ามาใกล้ ท่ามกลางเสียงดังสนั่นกึกก้อง เข็มทิศใต้เท้าซูหมิงขยับพุ่งไปปรากฏข้างเต๋าสูงศักดิ์คนนี้อีกครั้ง ใช้มือขวากดแขนอีกฝ่ายแล้วทำการสูบ เต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าหมุนตัวกลับหมายจะลงมือ แต่ซื่อไป๋พุ่งเข้ามาพัวพันไว้ ซูหมิงจึงถอยไปได้


เป็นแบบนี้ไป ระหว่างที่ซื่อไป๋กับเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋ากำลังพัวพันกัน ซูหมิงเข้าประชิดทั้งหมดหกครั้ง ทุกครั้งจะสูบพลังชีวิตและขั้นพลังจากอีกฝ่ายไม่น้อย จนกระทั่งซูหมิงเข้ามาใกล้เป็นครั้งที่เจ็ด เขาไม่สนใจการต่อต้านของเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าแล้ว แต่ใช้มือขวากดระหว่างคิ้วอีกฝ่ายก่อนทำการสูบ เต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าร่างสั่นไหว เปล่งเสียงร้องโหยหวน ร่างกลายเป็นศพแห้ง


เต๋าสูงศักดิ์ฝ่ายอสุราเห็นภาพนี้ทั้งหมด เขามีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง มองซูหมิงด้วยความหวาดกลัวเด่นชัด


“ข้าสังหารเพียงผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋า” ซูหมิงมองเต๋าสูงศักดิ์ฝ่ายอสุราแวบหนึ่ง ช่วงที่เอ่ยเนิบๆ สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวข้างกายจ้องเต๋าสูงศักดิ์ฝ่ายอสุราอย่างดุร้าย


เต๋าสูงศักดิ์คนนี้ถอยไปหลายก้าว มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่แท่นบวงสรวงที่นี่ยังไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ความเหี้ยมโหดและความประหลาดจากมือขวาซูหมิงสร้างความหวาดหวั่นแก่เขา


ซูหมิงเปิดแท่นบวงสรวง สูบกลิ่นอายพลังก่อนก้มหน้ามองตราประทับมือขวาแวบหนึ่ง ตอนนี้ในตราประทับสั่งสมการโจมตีอย่างสุดกำลังของเต๋าสูงศักดิ์ไว้ครั้งหนึ่ง ดวงตาเขาขยับวูบไหวแล้วหมุนตัวกลับพาสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวขึ้นไปข้างบน หนึ่งชั่วยามต่อมามีสุนัขใหญ่สีขาวอีกตัวมาถึง เขาจึงพาสุนัขใหญ่สามตัวบินไกลออกไปอย่างรวดเร็ว


ระหว่างทางเจอกับผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าคนหนึ่ง ไม่ว่าอีกฝ่ายมีขั้นพลังระดับใด ซูหมิงจะลงมือสังหารทันที โดยเฉพาะตอนที่พบเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋าอีกคน เขาจะลงมือโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บตัวเอง ขอเพียงมีโอกาสสูบพลังชีวิตอีกฝ่าย อาการบาดเจ็บทุกอย่างจะฟื้นกลับมาอย่างฉับพลัน ระหว่างทางมานี้ เขาไม่เพียงแค่สูบขั้นพลังและพลังชีวิตของผู้ฝึกฌานทุกคน แต่ว่าข้างหลังยังปรากฏจันทร์โลหิตดวงหนึ่ง!


จันทร์โลหิตนี้รวมออกมาจากวิชาของสำนักเจ็ดจันทรา ยามนี้เมื่อปรากฏแล้วก็เหมือนซูหมิงอยู่กลางทะเลโลหิต จนผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เขาได้ยินเสียงครึกโครมอยู่ไกลๆ ท่ามกลางเสียงนั้น เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นในแวบแรกว่าบนหินยักษ์หลายหมื่นจั้งก้อนหนึ่งข้างบนมีผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนกำลังเข่นฆ่ากัน!


หินใหญ่นี้มีแท่นบวงสรวงมากกว่าสองหมื่นแห่ง นี่จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นต้นเหตุของสงครามขนาดเล็ก ในผู้ฝึกฌานสองฝ่าย ซูหมิงมองแวบเดียวก็เห็นสวี่จงฝานกับพวกเต้าหานแห่งสำนักเจ็ดจันทรา ส่วนคนที่ทำสงครามกับสำนักเจ็ดจันทราคือสำนักเอกะเต๋า!


การปรากฏตัวของซูหมิง สีสันของจันทร์โลหิตนั้นพลันเป็นที่จับตามองของสองฝ่ายที่ทำสงครามกันที่นี่ทันที โดยเฉพาะซูหมิงนอกจันทร์โลหิต ตอนนี้…มีไม่น้อยคนที่รู้ฐานะเขา


สวี่จงฝานหน้าเปลี่ยนสี ตอนนี้เองเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋าคนหนึ่งพลันหัวเราะเสียงดัง ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวตีตัวออกจากสวี่จงฝานตรงมาที่ซูหมิง ขณะเดียวกันข้างหลังเขายังมีผู้ฝึกฌานอีกหลายร้อยคน ต่างเป็นสายรุ้งยาวพุ่งมาที่ซูหมิงพร้อมกัน


“มีทางอื่นไม่ไป แต่ดันมาที่นี่ ฆ่าเจ้าแล้วข้าก็จะสร้างคุณูปการครั้งใหญ่ ได้มหาดวงชะตา!” เต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋าคนนั้นเป็นชายร่างกำยำหัวโล้น สวมชุดคลุมยาวสีส้ม ตอนนี้หัวเราะลากยาวพลางเข้ามาใกล้ซูหมิงในฉับพลัน สุนัขใหญ่สีขาวสามตัวข้างกายซูหมิงนัยน์ตาเป็นประกายดุร้าย ช่วงที่จะพุ่งออกไปนั้น จิตสังหารในแววตาซูหมิงขยับไหว พริบตาที่คนหลายหมื่นคนรอบๆ มองมาพร้อมกัน รวมถึงสวี่จงฝานรีบเข้ามาหานั้น ซูหมิงขยับวูบวาบไปปรากฏตัวตรงหน้าชายร่างกำยำหัวโล้น


ยกมือขวาขึ้น แสงตราประทับมือขวากลายเป็นแสงสว่างจ้าแสบตาปกคลุมไปรอบๆ ยามนี้เองซูหมิงลดมือขวาลง ปะทะกับชายร่างกำยำหัวโล้นกลางอากาศ


ซูหมิงไม่ได้สูบต่อ เขาจะสังหารจนมีชื่อเสียงโด่งดัง สังหารจนมีอำนาจ โดยเฉพาะสงครามหลายหมื่นคนที่นี่ ต้องผงาดขึ้นด้วยพลังอำนาจ ดังนั้นแล้ว…เขาจึงไม่สูบ แต่ปลดปล่อย!


ปลดปล่อยพลังที่สูบมาจากหลายร้อยคนตลอดทาง ในนี้ยังมีพลังของเต๋าสูงศักดิ์อีกสองคน ยามนี้ระเบิดออกจากมือขวาเขา


เกิดเสียงดังสนั่นฟ้าดิน ฟ้าเปลี่ยนสี มวลอากาศข้างล่างบิดเบี้ยว ทั้งยังทำให้หินแตกรอบๆ พังทลายลง ก่อเป็นแรงปะทะรุนแรงกวาดล้างหลายหมื่นคน ทำให้พวกเขาเหล่านี้หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง


ขณะเดียวกันชายร่างกำยำหัวโล้นมีสีหน้าหวาดกลัวและเหลือเชื่อ กระทั่งไม่ทันร้องโหยหวนร่างก็บิดเบี้ยวตรงมือขวาซูหมิงแล้ว ร่างหายวับไป แม้แต่วิญญาณยังถูกลบหายไป!


สังหารในพริบตา!


1445 ขอบเขตวิญญาณเต๋าขั้นสี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

การโจมตีครั้งนี้สั่งสมมาตลอดทางจนถึงตอนนี้ สูบพลังผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนจนปะทุเป็นการโจมตีสะเทือนฟ้า สังหารเต๋าสูงศักดิ์คนหนึ่งได้ในพริบตา!


การโจมตีแบบนี้บางทีอาจจะยังไม่มากพอจะสร้างอำนาจคุกคามแก่มหาเต๋าสูงศักดิ์ แต่สำหรับเต๋าสูงศักดิ์แล้ว การปะทุพลังแบบนี้กลืนกินชีวิตได้ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ชายร่างกำยำหัวโล้นต่อสู้กับสวี่จงฝานมานานแล้ว สองฝ่ายต่างบาดเจ็บเล็กน้อย แต่จะเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นซูหมิงอยู่ในสายตา พอพบซูหมิงแล้วก็เข้าประชิดทันที มอบชีวิตตนให้เพื่อแย่งชิงดวงชะตานั้น


การปะทะกันระหว่างซูหมิงกับชายร่างกำยำหัวโล้นเกิดขึ้นกลางอากาศของหินใหญ่นี้ ยามนี้เมื่อชายร่างกำยำหัวโล้นวิญญาณสลายไป สนามรบพลันเงียบสงัด ทุกคนมองซูหมิงด้วยความตกใจกลัว แม้แต่สวี่จงฝานยังหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง มองซูหมิงอย่างเหลือเชื่อ


เต้าหานหรี่ตาแคบลง ในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่ เขาสองคนยังเป็นเช่นนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเต๋าสูงศักดิ์อีกสองคนในสำนักเอกะเต๋า สองคนนี้สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ มองซูหมิงด้วยความตกตะลึงอย่างรุนแรง


พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าองค์ชายสามที่มีพลังเพียงวิญญาณเต๋าขั้นสามจะ…สังหารเต๋าสูงศักดิ์คนหนึ่งได้ในพริบตา เรื่องนี้สร้างความตื่นตกใจและเหลือเชื่อแก่พวกเขา


อีกทั้งนี่ยังเกิดเป็นแรงจู่โจมต่อจิตใจผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าอย่างยิ่ง เต้าหานดวงตาขยับประกาย ก่อนคำรามเสียงต่ำโดยพลัน


“สำนักเจ็ดจันทรา ฆ่า!” สิ้นเสียง ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราต่างมีสีหน้าตื่นเต้น ร้องคำรามพร้อมพุ่งออกไปเข่นฆ่า


ซูหมิงยกมือขวาขึ้น จันทร์โลหิตข้างหลังข้ามผ่านร่างเขามาปรากฏตรงหน้า จากนั้นทำสัญลักษณ์มือชี้ไป จันทร์โลหิตพลันระเบิดออก กลายเป็นแรงปะทะสีเลือดตรงไปยังผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋า


ข้างหลังแรงปะทะสีเลือดคือซูหมิงกับสุนัขใหญ่สีขาวสามตัว พวกเขาพุ่งทะยานไปยังผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋า จุดที่ผ่าน ซูหมิงจะใช้ตราประทับมือขวาสูบกิน เมื่อสัมผัสผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าอีกฝ่ายจะตัวสั่นทันที กรีดร้องร่างกายแห้งเหี่ยว ควันสีขาวเป็นเส้นสายแฝงไว้ด้วยพลังชีวิตและพลัง ด้วยความที่ซูหมิงรวดเร็วอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเหมือนว่าไล่ตามควันขาวอยู่ข้างหลัง คอยใช้มือขวาสูบกินอยู่ตลอด


เมื่อควันขาวเยอะขึ้นเรื่อยๆ มองไกลๆ รอบตัวซูหมิงอบอวลไปด้วยเส้นเล็กสีขาวนับไม่ถ้วน ข้างหลังเต็มไปด้วยศพแห้งเกลื่อนกลาด!


“ฆ่า!” ซูหมิงคำรามเสียงต่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขามีจิตสังหารต่อสำนักเอกะเต๋าเหลือล้น สำนักนี้สร้างปัญหาให้เขาหลายครั้งแล้ว การสังหารในตอนนี้ระบายความโกรธในใจได้เล็กน้อย ทว่าก็ยังสังหารไม่พอ


เมื่อซูหมิงคำรามเสียงต่ำ ผู้ฝึกฌานหมื่นกว่าคนจากสำนักเจ็ดจันทราก็คำรามเช่นกัน


“ฆ่า!” ผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าถอยไปเป็นจังหวะ ล้มตายมากขึ้นเรื่อยๆ เต๋าสูงศักดิ์สองคนนั้นร้อนกลัวจนไม่เป็นสุข ตอนนี้มองหน้ากันแล้วถอยไปในทันใด หมายจะไปจากที่นี่


ทว่าพวกเขาสองคนเพิ่งถอย สุนัขใหญ่สีขาวสามตัวบินเข้ามาปะทะกับสองคนทันที ส่วนสวี่จงฝานกับเต้าหาน พวกเขาไม่สนใจเต๋าสูงศักดิ์สองคนนั้น แต่พาผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราบุกโจมตีอย่างดุเดือด


ในครึ่งก้านธูป สำนักเอกะเต๋าบนทั้งสนามรบแตกพ่าย หมื่นกว่าคนตอนนี้เหลือไม่ถึงสองพันที่กระจายกันหนีไปรอบๆ ส่วนเต๋าสูงศักดิ์สำนักเอกะเต๋า หนีไปคนหนึ่ง แต่อีกคนถูกสุนัขใหญ่สามตัวผนึกพลังอยู่ในความสิ้นหวัง กลายเป็นศพแห้งที่กรีดร้องอยู่ใต้ตราประทับมือขวาซูหมิง


“องค์ชายสาม!”


“องค์ชายสาม!” ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราหมื่นกว่าคนบนแท่นหินมองซูหมิงอย่างฮึกเหิม ช่วงที่เสียงโห่ร้องดังขึ้น เสียงซูหมิงดังก้องกังวาน


“เรียกข้าว่าซูหมิง”


“ซูหมิง!”


“ซูหมิง” เสียงดังสนั่นประหนึ่งฟ้าผ่า แท่นบวงสรวงยี่สิบแห่งที่นี่ถูกเปิดออกทั้งหมด ซูหมิงค้นพบทันทีว่าแม้จะเป็นคนอื่นเปิด แต่ขอเพียงตนอยู่ข้างๆ ก็จะสูบกลิ่นหอมฟุ้งนั้นได้อยู่ดี หลังจากสูบกลิ่นอายพลังจากแท่นบวงสรวงยี่สิบแห่งแล้ว เส้นผมซูหมิงพลันขยับไหวเองแม้ไร้ลม เหมือนทะลวงผ่านจุดสำคัญไป วิญญาณเต๋าที่สี่ในดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วรวมออกมาอย่างสมบูรณ์ในตอนนี้!


ไม่เลือนรางอีก ไม่โปร่งใสอีก แต่สมจริงเหมือนกับวิญญาณเต๋าขั้นสาม ทันทีที่มันปรากฏขึ้นและหลอมรวมกับวิญญาณเต๋าขั้นสามนั้น ในที่สุดซูหมิงก็ทะลวงพลัง จากวิญญาณเต๋าขั้นสามไปสู่วิญญาณเต๋าขั้นสี่!


การเพิ่มวิญญาณเต๋าทำให้พลังซูหมิงเพิ่มมากขึ้น ดวงตาเปล่งประกายสว่างจ้า หากบอกว่าก่อนหน้านี้การสังหารเต๋าสูงศักดิ์คนหนึ่งเขาต้องบาดเจ็บสาหัสขณะต่อสู้ กระทั่งหากไม่มีสุนัขใหญ่อยู่ข้างๆ ก็คงยากจะสูบกินเต๋าสูงศักดิ์ด้วยตัวคนเดียวได้


แต่ตอนนี้เขาทำได้โดยที่ไม่ต้องมีสุนัขใหญ่อยู่ข้างๆ แล้ว ให้เวลาเขามากพอก็จะสูบกินเต๋าสูงศักดิ์ได้ด้วยตัวคนเดียว


พลังเขาปะทุขึ้นเป็นพายุหมุนพุ่งขึ้นฟ้า ซูหมิงในพายุหมุนดวงตาเปล่งประกาย


เมื่อบรรลุขอบเขตวิญญาณเต๋าขั้นสี่ ไม่เพียงแต่ความเร็วของเข็มทิศจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีแส้ดารา มันปะทุกำลังรบที่แกร่งกว่าเดิม ย่นระยะห่างระหว่างซูหมิงกับเต๋าสูงศักดิ์ไปมาก!


“ชั้นสองมีเก้าชั้นฟ้า ตอนนี้พวกเราถึงชั้นฟ้าที่สามแล้ว เจ้าสำนักน่าจะอยู่ข้างบน พวกเราต้องขึ้นไปให้เร็วที่สุด!” เต้าหานกล่าวเสียงดังก้องเข้าถึงหูผู้ฝึกฌานรอบๆ ตอนนี้เองเขาเห็นความเลือดร้อนและคลุ้มคลั่งในแววตาศิษย์หมื่นกว่าคน


สังหาร หากมีแค่สองคนทำให้จะตึงเครียด หากมีแปดหรือสิบคนจะกระวนกระวาย หากมีร้อยคนจะมึนชา แต่หากมีพันคนหมื่นคนความมึนชาจะหายไป เปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นและเลือดร้อน


ตอนนี้ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราเป็นเช่นนี้ เหมือนจะโหมทำรวดเดียว ความเลือดร้อนดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่คำพูดเต้าหานดังกังวาน เขาได้ยินเสียงคำรามพร้อมกันของผู้ฝึกฌานหมื่นกว่าคนรอบๆ


“ฆ่า!” เต้าหานพูดจบก็พุ่งขึ้นไป ผู้ฝึกฌานหมื่นกว่าคนบินขึ้นข้างบนไปพร้อมกัน ซูหมิงก็ขยับวูบไหวเช่นกัน เข็มทิศใต้เท้าบินขึ้น สุนัขใหญ่สีขาวสามตัวอยู่ข้างกาย


ตลอดทางมานี้จุดที่ผ่านไม่ว่าจะเป็นสำนักเอกะเต๋าหรือฝ่ายอสุรา ขอเพียงจำนวนคนไม่ถึงหลายพัน เมื่อพบผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราเหล่านี้แล้วมักจะหน้าเปลี่ยนสี ก่อนหลีกทางให้อย่างพร้อมเพียง


ซูหมิงไม่สนใจฝ่ายอสุราได้ แต่สำนักเอกะเต๋า เขามีความยึดมั่นอยู่ โดยเฉพาะตอนที่สุนัขใหญ่สีขาวตัวสุดท้ายกลับมาระหว่างทาง เขาพาสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวนี้เดินทางไปในมิติชั้นสอง แม้จะไม่ได้ไร้พ่าย แต่ก็มากพอจะสร้างอำนาจคุกคามรุนแรงต่อทุกฝ่าย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)