Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา 1422-1429
ตอนที่ 1422 : เด็กอยู่ก่อน
โดย
Ink Stone_Fantasy
จุดดาราเต็มผืนฟ้า ตอนที่แสงสว่างค่อยๆ หายไป ทำให้ฟ้ายามค่ำคืนถอยไปกลายเป็นยามกลางวัน ผู้คนทั้งแผ่นดินกู่จั้งต่างได้สติกลับมาจากการเปลี่ยนของฟ้า
เหมือนว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักเสียงวิญญาณเต๋าเก้าเสียงก่อนหน้านี้มาก่อน ราวกับเป็นเพียงการหลับใหลน่าลึกลับและมหัศจรรย์…
นอกสำนักเจ็ดจันทรา เมื่อซูหมิงบนฟ้าเก็บพลัง ร่างเขาก็ค่อยๆ ลอยลงมา เป็นตอนนี้เองผู้ฝึกฌานที่กระจายอยู่นอกสำนักเจ็ดจันทราต่างมองซูหมิงด้วยความเคาพจนเขากลับเข้าไปในสำนัก
ท่ามกลางสายตาเหล่านั้นก็มีผู้อาวุโส ในนั้น…คือหลันหลัน
ขณะเดียวกันกู่ไท่รวมถึงผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นต่างเป็นสายรุ้งยาวมาอยู่ข้างซูหมิง ในคนเหล่านั้น สวี่จงฝานมีสีหน้าตื่นเต้น ส่วนคนอื่นส่วนใหญ่มองซูหมิงด้วยความเคารพ
พวกเขาเคารพผู้แข็งแกร่ง แม้ซูหมิงจะเป็นเพียงขอบเขตวิญญาณเต๋า แต่ก็เคาะเสียงวิญญาณเต๋าได้เก้าเสียง นี่หมายความว่าสักวันหนึ่งเขาจะก้าวสู่ขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่พวกเขาเฝ้าใฝ่ฝันได้
แต่ขณะเดียวกันพวกเขายังคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นานผู้ฝึกฌานสำนักอื่นๆ จะต้องมาแน่นอน มาหารือเรื่องเป็นพันธมิตรกับสำนักเจ็ดจันทรา ถึงอย่างไรการชิงบัลลังก์…ก็เป็นทางลดการทะลวงพลังของผู้ฝึกฌานทุกคน!
ความยั่วยวนแบบนี้ แม้จะจ่ายไปมากสุด กระทั่งมีอันตรายตายตกก็มากพอจะทำให้คนมากมายยินยอม ถึงอย่างไรการคงอยู่ยาวนานก็ยังไม่อาจเทียบได้กับการทะลวงพลัง!
เพราะชีวิตยืนยาวที่แท้จริง สำหรับคนที่ไม่มีแล้วย่อมปรารถนา แต่สำหรับคนที่สัมผัสได้เหล่านั้น พวกเขาปรารถนาจะเดินหนึ่งก้าวบนเส้นทางฝึกฝนมากกว่า
เพราะว่า เต๋า…สำคัญกว่าชีวิต! และมีเพียงอยู่ในสภาวะแบบนี้เท่านั้นถึงบรรลุพลังอย่างพวกเขาตอนนี้ได้ ส่วนคนที่รักชีวิต ผู้ฝึกฌานที่คิดว่าชีวิตสำคัญกว่าเต๋า พวกเขา…ถูกลิขิตไว้แล้วว่าชีวิตนี้ไม่อาจก้าวสู่ขั้นพลังอย่างคนเหล่านี้
เคยมีคนกล่าวไว้ว่าผู้สนใจเต๋า เช้าเกิดเย็นสิ้นชีพ นั่นก็พอแล้ว! คำพูดนี้ไม่ว่าอยู่ที่ใด ไม่ว่าอยู่โลกใด ขอเพียงมีผู้ฝึกฌาน เช่นนั้น…ก็จะมีทัศนคติแบบนี้!
ดังนั้นแล้วผู้อาวุโสใหญ่รวมถึงกู่ไท่จึงมีสีหน้าเคารพซูหมิง เหมือนตอนที่ซูหมิงตะโกนเสียงแห่งรูปแบบชะตาแล้วผู้แข็งแกร่งฝ่ายอสุรารอบๆ หยุดลงมือ ทัศนคติเคารพเต๋าแบบนี้น่าเคารพ
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้า…จะเคาะเสียงที่เก้าได้จริงๆ!” กู่ไท่มองซูหมิงอยู่พักใหญ่ก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้ง
เขาเพียงแค่ไม่คิดว่าซูหมิงจะทำได้ แต่ผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นไม่เคยคิดเลยว่าซูหมิงจะเคาะเสียงที่เก้าได้ เต้าหานมองซูหมิง ยามนี้พลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้อาวุโสใหญ่กู่ไท่ถึงสนใจซูหมิง บางที…เขาอาจจะไม่ได้สนใจฐานะองค์ชายสาม แต่เป็น…คนคนนี้!
ซูหมิงส่ายศีรษะ ไม่ตอบ แต่มองฟ้าไกลออกไป เสียงถอนหายใจที่เก้าคือความเจ็บปวดที่คนอื่นไม่มีวันเข้าใจ เสียงที่เก้าไม่ได้มีสิ่งใดน่าโอ้อวด ซูหมิงยังหวังอีกว่า…ตนจะไม่เปล่งเสียงแห่งรูปแบบชะตานี้อีก เพราะแบบนั้น บางทีอาจไม่มีความเจ็บปวด เพราะไม่มีความเจ็บปวด จึงหมายความว่ายอดเขาลำดับเก้า ท่านปู่ ใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้นยังอยู่ข้างกายตน
แต่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก
“ข้าจะพาเจ้าไปพบคนคนหนึ่ง หากเขายอมรับเจ้า เช่นนั้น…ขอเพียงหาแส้ดาราพบ เจ้าจะมีความมั่นใจในการแย่งชิงผลเต๋าในอีกสามร้อยปีมากขึ้น!” กู่ไท่มองซูหมิงด้วยสีหน้าเด็ดขาด เห็นได้ว่าคนคนนี้ที่เขากล่าวถึง ต่อให้เป็นเขา…ก็ยังไม่รบกวนง่ายๆ
กระทั่งมองจากความจริงจังของน้ำเสียงก็รู้ว่าคนคนนี้…ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!
“หากเขายอมรับเจ้า เจ้าจะได้อยู่ข้างกายเขา หากเป็นอย่างนั้น…ทั้งแคว้นกู่ทั้ง คนที่ทำร้ายเจ้าได้จึงมีแค่สองคน!
แต่ว่าเขามีนิสัยประหลาด ยากจะคาดคิด จะให้เขายอมรับเจ้าก็ต้องดูที่โชควาสนาเจ้า ดีที่เจ้าเคาะเสียงที่เก้าได้ อย่างไรเรื่องนี้ก็ทำให้เขาสนใจบ้างไม่มากก็น้อย”
“เขาเป็นใคร?” ซูหมิงละสายตามองทอดไกลกลับมามองกู่ไท่
“รอเขายอมรับเจ้าแล้ว เจ้าจะเดาได้เอง” กู่ไท่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับเนิบๆ
ซูหมิงไม่พูดต่อ
“ไปเถอะ หากเจ้าอยู่ที่นั่นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องสำนักเจ็ดจันทราแล้ว ที่นี่มีข้าจัดการอยู่ จะหาจุดที่แส้ดาราอยู่ให้เจ้าเอง!” ขณะกู่ไท่กล่าวขึ้น ซูหมิงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกมือขวาขึ้นในมือปรากฏแผ่นหยก เมื่อบีบแล้วหลับตาลงเบาๆ ครู่ต่อมาลืมตาขึ้นส่งแผ่นหยกให้กู่ไท่
“นี่คือเบาะแสที่ข้าได้มาจากปรมาจารย์ดารา”
กู่ไท่รับแผ่นหยกมาเก็บไว้เรียบร้อยแล้วก็มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ ตัวเขากลายเป็นสายรุ้งยาวทะยานฟ้าไป ซูหมิงมีสีหน้าปกติ หมุนตัวกลับกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนที่มองสวี่จงฝาน เขาประสานมือคารวะ ทำให้สวี่จงฝานยิ้มกว้างกว่าเดิม
จากนั้นซูหมิงขยับไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวตามกู่ไท่ไป บินไกลออกไป…หลันหลันก็ดี เต๋อซุ่นก็ดี เป้ยฉยงก็ดี ซูหมิงไม่อยากผูกความสัมพันธ์กับพวกเขามากนัก คนเหล่านี้…ในมุมมองซูหมิงก็ยังเป็นคนของโลกนี้ ไม่ใช่คนที่เขารู้จัก
เมื่อบินไกลออกไป หมอกใต้เท้ากู่ไท่หมุนตลบเหมือนข้ามผ่านมวลอากาศ พาซูหมิงหายวับไป ไม่นาน…ก็มาปรากฏอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นกู่จั้ง!
ระหว่างเทือกเขา ตรงชายแดนผืนป่า ร่างเงากู่ไท่เดินออกมาจากมวลอากาศ ข้างกายคือซูหมิง ซูหมิงเงียบมาตลอดทาง กู่ไท่ก็เช่นกัน เขาเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง จนกระทั่งตอนที่เดินออกมาจากป่าไม้ ซูหมิงมองออกว่ากู่ไท่มีความเคารพจากใจจริงต่อคนที่จะมาพบ
ถ้าไม่อย่างนั้น ด้วยพลังและฐานะเขาคงไม่เดินทีละก้าวในพื้นที่อีกฝ่าย แต่ใช้การเหาะแทน
จนกระทั่งเดินออกมาจากป่า ซูหมิงเห็นกลางเทือกเขามีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มันไม่ใหญ่ มีเกือบร้อยครัวเรือน มีหลายร้อยคน
ตอนนี้เป็นยามกลางวัน ควันหุงอาหารลอยโชย ทั้งยังมีเสียงเด็กเล่นกัน ทำให้ที่นี่ดูเต็มไปด้วยความสงบ เหมือนออกห่างจากความเจริญ ถอดสีออกจนสิ้นแล้วจึงมีแต่ความเรียบง่าย
เส้นทางระหว่างหมู่บ้านปูด้วยหินแตก ดูธรรมดามาก เพียงแต่พืชข้างทางเหมือนจะงดงามต่างจากที่นี่ ทำให้กลิ่นอายที่นี่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต
เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านนี้มีคนนอกมาน้อยมาก ดังนั้นการมาของกู่ไท่กับซูหมิง อันดับแรกดึงดูดความสนใจของเด็กน้อยที่เล่นกันเหล่านั้น พวกเขาหัวเราะพลางวิ่งอยู่ข้างหลังพวกซูหมิงสองคน มองพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อีกทั้งอาภรณ์ของซูหมิงกับกู่ไท่ยังต่างจากที่นี่ จึงทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านรีบเตือนเด็กเหล่านั้นให้กลับบ้านด้วยความระแวง
จนกระทั่งร่างเงากู่ไท่มาปรากฏอยู่นอกลานบ้านทางตะวันออกสุด หยุดอยู่ตรงนั้น มีเสียงปึกๆ ดังแว่วมา นั่นคือเสียงตัดฟืน
“ผู้เยาว์กู่ไท่ ตอนนั้นผู้อาวุโสเคยบอกว่าในชีวิตนี้ผู้เยาว์มาขอพบผู้อาวุโสได้ตามใจชอบหนึ่งครั้ง ผู้เยาว์ขอใช้โอกาสตอนนี้”
เมื่อเสียงกู่ไท่ดังขึ้น เสียงตัดฟืนค่อยๆ เงียบลง ในลานเงียบ ผ่านไปนานถึงเกิดเสียงเปิดประตูดังขึ้น ซูหมิงเห็นชายชราหลังค่อม เส้นผมสีดอกเลายืนอยู่ข้างในประตู
มือชายชราคนนี้เต็มไปด้วยรอยกระด้าง ดวงตาสองข้างขุ่นมัวเล็กน้อย ร่างกายซูบผอม เหมือนแค่ลมพัดก็ล้มแล้ว ดูแก่ชรามาก แต่เหมือนยังมีแรงอีกไม่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้นคงตัดฟืนไม่ได้
“คารวะผู้อาวุโส หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษที่มารบกวน” กู่ไท่ประสานมือคารวะชายชราลึกๆ ด้วยความเคารพ
ซูหมิงเงียบ แต่ก็ประสานมือคารวะเช่นกัน
“ที่นี่ไม่มีผู้อาวุโสอะไรทั้งนั้น มีแขกมาเยี่ยมก็เชิญเข้ามา” ดวงตามืดหม่นของชายชราไม่มองกู่ไท่กับซูหมิง เมื่อเปิดประตูแล้วก็หมุนตัวกลับเดินเข้าไปในลาน นั่งอยู่บนตอไม้
กู่ไท่ขานรับเสียงต่ำ พอเดินเข้าไปในลานแล้วก็ไม่รู้สึกประหม่าอีก จึงนั่งลงข้างชายชรา ซูหมิงตามมานั่งบนพื้น
ช่วงที่กู่ไท่กับซูหมิงนั่งลง ชายชราหยิบม้วนยาสูบข้างๆ ขึ้นมา เมื่อเคาะกับพื้นแล้วก็สูบไปทีหนึ่ง ไม่พูด เหมือนซูหมิงกับกู่ไท่ไม่อยู่ที่นี่
กู่ไท่ไม่มีสีหน้ารำคาญแม้แต่น้อย แต่นั่งนิ่งๆ ไม่พูดอะไร
เวลาผ่านไปช้าๆ จนฟ้าเริ่มมืด ช่วงที่แสงจันทร์สาดส่องลงพื้น ชายชราวางม้วนยาสูบลง ยืนขึ้นช้าๆ หมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน
กู่ไท่ถอนหายใจเบา ยืนขึ้นประสานมือคารวะชายชราแล้วมองซูหมิงอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ” กู่ไท่หมุนตัวกลับเดินไปยังประตูลานบ้าน ซูหมิงยังคงมีสีหน้าปกติ เขานั่งอยู่ที่นี่มาครึ่งวัน ในใจไม่มีระลอกคลื่นใดๆ เลย ยามนี้เมื่อยืนขึ้นก็ไม่หน้าเปลี่ยนสีเพราะชายชราไม่ยอมรับ แต่จังหวะที่สองคนจะเดินออกจากประตูลานบ้านนั้น มีเสียงแหบเบาๆ ของชายชราดังแว่วมาจากข้างหลัง
“หืม? เหตุใดถึงไปแล้วล่ะ คนชราไปได้ ส่วนเด็ก…ตลอดบ่ายนี้ไม่มีสายตาหลักแหลม ฟืนวางอยู่ตรงนั้น ข้ากระดูกร่างกายก็ไม่แข็งแกร่ง เจ้ายังหนุ่มยังแน่นเหตุใดถึงไม่ตัดฟืน”
ทันทีที่เสียงชายชราดังแว่วมา กู่ไท่พลันมีสีหน้าตกใจระคนดีใจ เขาหมุนตัวกลับมามองซูหมิงที่ยังอยู่ในลานบ้านยังไม่ได้เดินออกมา
“ในใจเจ้ามีคำตอบแล้ว” กู่ไท่พูดขึ้นเรียบๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนหมุนตัวกลับเหยียบแสงจันทร์ เดินไปยังฟ้ายามค่ำคืน
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนปิดประตูลานบ้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ภายใต้แสงจันทร์กลางลานบ้าน เสียงฟืนที่ไม่ได้ดังมาตลอดช่วงบ่ายดังต่อไปเป็นเพื่อนกับแสงจันทร์
ปึก ปึก ปึก…
…………………….
ตอนที่ 1423 : ตระหนักรู้ฟืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
แสงดาราสาดส่อง จุดดาราอยู่บนฟ้ายามค่ำคืน สว่างวาววับเหมือนกำลังมองซูหมิงกลางหมู่บ้านบนพื้นดินที่กำลังตัดฟืนอยู่ในลานบ้าน เขามีสีหน้าสงบนิ่งมาตลอด ฟืนที่ตัดไปแล้ววางอยู่ข้างๆ อย่างเป็นระเบียบมาก ดูต่างจากฟืนชายชราที่วางไว้ระเกะระกะก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
ขนาดฟืนของชายชราก็เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน หนาบางต่างกัน เมื่อตัดแล้วเต็มไปด้วยผงไม้ แต่ซูหมิง เมื่อตัดฟืนเสร็จแทบจะไม่ต่างกันเลย
กระทั่งเสียงตัดฟันยังมีจังหวะที่เป็นกฏเกณฑ์อย่างมาก จุดนี้ต่างกับชายชราเช่นกัน จนกระทั่งถึงยามเที่ยงคืน ประตูบ้านข้างหลังซูหมิงเปิดออกดังเอี๊ยด ชายชราสวมเสื้อกันหนาวตัวเล็กเอามือไพล่หลังเดินออกมายืนข้างซูหมิง เมื่ออาศัยแสงจันทร์มองฟืนที่ซูหมิงตัดเสร็จแวบหนึ่งแล้วก็ขมวดคิ้ว
“เจ้าตัดแบบนี้ไม่ถูก”
ซูหมิงวางขวานลง เงยหน้าขึ้นมองชายชรา
“ไม่ถูกที่ใด?” ซูหมิงพูดเป็นครั้งแรกในลานบ้านแห่งนี้
“ไม่ถูกทุกที่ เจ้าไม่ได้กำลังตัดฟืน แต่กำลังตัดคน ช่างเถอะ เสียงตัดฟืนเจ้าทำข้านอนไม่หลับ มาๆ ข้าจะสอนเจ้าเองว่าตัดฟืนอย่างไร” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงอบรม ก่อนเดินมาชนซูหมิงหมายจะให้เขายืนขึ้น
เมื่อซูหมิงยืนขึ้น ชายชราก็นั่งลงบนตอไม้ หยิบขวานขึ้น หยิบฟืนออกมาวาง จากนั้นใช้ขวานฟันบนฟืนดังปึก เสียงดังต่อเนื่องกันหลายทีถึงเกิดเสียงแตกออก ฟืนนั้นแยกออกเป็นสองส่วนเล็กใหญ่ต่างกัน เมื่อโยนไว้สองข้างตามอำเภอใจแล้ว ชายชราก็มองซูหมิงแวบหนึ่ง
“เข้าใจหรือไม่?”
“ไม่” ซูหมิงส่ายหน้า
“การทำความเข้าใจของเจ้าแย่มาก ดูให้ดี ข้าจะสาธิตให้เจ้าดูอีกครั้ง” ชายชราพูดพลางหยิบฟืนมาอีกท่อน ก่อนยกขวานขึ้นตัดฟืนแตกออกเป็นสองส่วนอีกครั้ง
“ครั้งนี้เข้าใจรึยัง?” ชายชรามองซูหมิงด้วยสีหน้าเฝ้ารอคอย
“ไม่” ซูหมิงขมวดคิ้ว ยังคงส่ายหน้า
“จะ เจ้า…ช่างเถอะๆ ข้าจะสาธิตให้เจ้าดูอีกครั้ง” ชายชราพ่นน้ำลายไปที่สองมือ ก่อนหยิบฟืนมาตัดอีกครั้ง
“เข้าใจรึไม่?”
“ไม่”
“ครั้งนี้เข้าใจรึยัง?”
“ยังขาดอีกนิด…”
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปช้าๆ พริบตาเดียวก็หนึ่งชั่วยามกว่า ชายชราตัดฟืนไม่หยุด ส่วนซูหมิงส่ายหน้าไม่หยุดเช่นกัน จนกระทั่งฟืนในลานเหลืออันสุดท้าย ชายชรากลอกตา
“เจ้าเด็กผี เจ้าตั้งใจยั่วโมโหข้าใช่หรือไม่!” ชายชราโยนขวานในมือทิ้งไปแล้วมองซูหมิงด้วยความโกรธพลางนวดข้อมือ การตัดฟืนหนึ่งชั่วยามกว่าเหมือนทำให้ชายชราล้าเล็กน้อย
“ครั้งนี้เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ผู้อาวุโสชี้แนะ” ซูหมิงมีสีหน้าราบเรียบ มีท่าทีครุ่นคิด เมื่อมองชายชราพลางพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วก็ประสานมือคารวะด้วยความเคารพ
“เข้าใจ? เจ้าเข้าใจอะไร” ชายชราถลึงตามอง ถามขึ้นด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก
“ฟืนที่ข้าตัดทุกท่อนเรียบร้อยมาก มีมาตรฐานมาก แต่ความเรียบร้อยและมาตรฐานแบบนี้เป็นสิ่งที่จงใจ แม้เราจะไม่รู้สึกว่าทำแบบนั้น แต่ก็ยังเกิดผลแบบนี้เองโดยธรรมชาติ
ทว่าฟืนของผู้อาวุโสทุกท่อนมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลายแตกหรือขนาด ข้าหาสองชิ้นที่เหมือนกับไม่พบ เหมือนกับชีวิตคนเรา…ก็ไม่มีคนสองคนที่เหมือนกันอย่างแท้จริง อย่างมากสุดก็แค่คล้ายเท่านั้น
ผู้อาวุโสไม่ได้ตัดฟืน แต่ตัดชีวิตคน” ซูหมิงตอบกลับเนิบๆ น้ำเสียงดังก้องในคืนมืด พอชายชราได้ยินแล้วก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
“แค่การตัดฟันทำให้เจ้ามีบทความที่ยาวขนาดนี้เชียวรึ ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าตัดฟืนแบบนี้ก็เพราะแบบนี้มันติดไฟดีกว่า เข้าใจรึไม่? ตัดฟืนแบบนี้มันติดไม่ดี!” ชายชรายืนขึ้นถลึงตามองซูหมิงด้วยลมหายใจกระชั้น
“ผู้เยาว์ไม่รู้เพียงอย่างเดียวคือด้วยพลังและฐานะของผู้อาวุโส ท่านต้องการตัดช่วงชีวิตใดของตัวเอง แล้วเหตุใดต้องตัด แล้วก็…แม้ไม่รู้ว่าตัดมากี่ปีแล้ว แต่เหตุใด…ถึงยังตัดไม่ได้!” ซูหมิงมองชายชรา ไม่ได้มีน้ำเสียงเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เรียบนิ่ง
“พูดจาเหลวไหล นอนได้แล้ว เจ้าเด็กคนนี้ จากนี้ไปนอนข้างนอก ห้ามนอนในบ้าน!” ชายชราแค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนหมุนตัวจะเดินเข้าไปในบ้าน
“หรือบางทีผู้อาวุโสไม่ได้จะตัดชีวิตคน แต่เป็นปมจิตใจที่เกิดขึ้นจากการรวมชีวิตคนช่วงนั้น ต้องตัดปมจิตใจตัวเองถึงทำให้มหาเต๋าปรากฏใต้เท้าอย่างนั้นรึ…
ที่ผู้อาวุโสยังตัดปมในใจนี้ไม่ได้ หรือเป็นเพราะว่าต่อให้เป็นผู้อาวุโสก็ยังลังเลต่อปมในใจนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตัดดีหรือไม่?” ช่วงที่ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ชายชราไม่หันมามอง แต่เดินเข้าไปในประตูบ้าน ตอนที่ยกเท้าขึ้นจะก้าวเข้าไปนั้น ซูหมิงพลันมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
“หรือว่า…ที่ผู้อาวุโสลังเลว่าควรจะตัดดีหรือไม่นั้นเป็นเพราะผู้อาวุโสลังเลความจริงของปมในใจนี้? กลัวว่าตนจะตัดพลาด เลยลังเลตัดสินใจไม่ถูก ดังนั้น…จึงต้องให้จิตใจสงบในการตัดฟืน หากถามตัวเอง สู้ไปถามกฏแห่งสวรรค์ดีกว่า!” พริบตาที่ซูหมิงกล่าวขึ้น ชายชราที่ก้าวเข้าไปในประตูบ้านหยุดชะงัก เท้าข้างหนึ่งอยู่ข้างนอก อีกข้างอยู่ข้างใน เขาหมุนตัวกลับมาเนิบๆ มองซูหมิง เขาในตอนนี้มีสีหน้าที่ต่างจากตอนปกติเล็กน้อย
เหมือนมีความจริงจัง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยมองซูหมิง ตอนนี้เองแม้แต่ซูหมิงยังสังเกตเห็นได้ชัดว่าชายชราเหมือนต่างออกไป แต่ต่างที่ใดนั้นเขาบอกได้ไม่ชัดเจน
“เจ้า…” ชายชราพูดขึ้นเรียบๆ แล้วก็หยุดไป
“นอนกรนหรือไม่?” พูดจบ แม้แต่ซูหมิงยังอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ถ้ากรน ข้าจะทุบเจ้า” ชายชราพูดจบก็หมุนตัวกลับเดินเข้าไปในบ้าน
ซูหมิงยืนอยู่ข้างนอกพักหนึ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
‘ด้วยพลังของกู่ไท่ คนที่ทำให้เขาเคารพเช่นนี้ได้ คำตอบของเขาก็เท่ากับบอกกับข้าแล้ว แต่ในสามเทพเต๋าขั้นเก้า หนึ่งคือซิวหลัวเต้าแห่งฝ่ายอสุรา สองคือจักรพรรดิแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิ สาม…กลับมีน้อยคนมากที่รู้สำนักและนามเรียกขาน…’ ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองแสงไฟที่ดับลงในบ้าน ก่อนนั่งขัดสมาธิหลับตาลง
เมื่อยามเช้าตรู่มาถึง ทันทีที่ซูหมิงลืมตาก็หรี่ตาลงโดยพลัน เขาเห็นว่าฟืนที่ตัดไว้เมื่อคืนวานในลานบ้านรวมเข้าด้วยกันอีกครั้งราวกับกาลเวลาย้อนกลับ
“เหม่ออะไร ยังไม่ตัดฟืนอีก!” น้ำเสียงที่เหมือนโกรธอยู่เล็กน้อยดังขึ้นตามประตูบ้านเปิดออก ชายชราเปลี่ยนไปใส่ชุดกันหนาวอีกตัว ถือม้วนยาสูบเดินออก
ซูหมิงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ตอบ แต่เดินไปข้างตอไม้ หยิบขวานขึ้นมา มองฟืนนั้น หลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้น ในดวงตาไม่มีความรวดเร็วและดุดันของผู้ฝึกฌาน และก็ไม่เห็นกลิ่นอายพลังของผู้ฝึกฌานในตัว เหมือนว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกฌาน แต่กลายเป็นชายหนุ่มคนธรรมดา
จนกระทั่งตอนนี้เขาฟันขวานลงตามอำเภอใจ ไม้แตกเป็นสองส่วนไม่เรียบร้อย แต่ขนาดต่างกัน
ซูหมิงมองฟืนสองท่อนนั้นเหมือนย้อนคิดบางอย่าง ราวกับว่าไม่ได้มองฟืน แต่มีความรู้สึกราวกับสร้างชีวิตขึ้น ประหนึ่งว่า…โลกนี้เดิมทีไม่มีไม้สองท่อนที่ตัดแยกกันแบบนี้ แต่เพราะตน มันถึงปรากฏ
ความรู้สึกนี้มาเร็วและก็หายไปอย่างไร้รูป ราวกับว่าตอนที่ซูหมิงอยากจะสัมผัสมันอย่างละเอียดกลับหาไม่พบ มีความต่างจากการตัดฟืนในยามค่ำคืนอย่างชัดเจน
ขณะเงียบอยู่นี้เขาหยิบฟืนท่อนที่สองขึ้นตัดต่อไป หนึ่งท่อน หนึ่งท่อน…จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งวันเต็ม เขาเหมือนลืมเวลายามกลางวัน จวบจนยามโพล้เพล้ เขาเหม่อมองฟืนไม้ที่ตัดไว้หมดแล้ว
“หืม? วันนี้ตัดได้ไม่เลวเลย ช่างเถอะ อนุญาตให้เจ้าพักได้ เอาแบบนี้ เจ้าไปเปลี่ยนชุด แล้วเอาฟืนพวกนี้ไปให้ช่างไม้จางตรงสุดทางตะวันตกของหมู่บ้าน ไปแลกข้าวมา ข้ายังไม่ได้กินข้าววันนี้ หิวจะตายอยู่แล้ว” ชายชรานั่งสูบยาสูบอยู่บนธรณีประตูบ้าน มือตบชุดที่เตรียมไว้ให้ซูหมิงนานแล้วซึ่งโผล่มาข้างกายตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้พลางพูดอย่างอารมณ์ดี
ซูหมิงเดินเข้ามาเอื่อยๆ ไม่ประสานมือคารวะเหมือนเมื่อวาน แต่หยิบชุดไปเปลี่ยนในลานบ้าน นี่เป็นชุดผ้าเนื้อหยาบ ด้านบนยังมีรอยปะ ดูธรรมดามาก
เมื่อเปลี่ยนชุดแล้วซูหมิงก็มัดฟืนในลานบ้านไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ แบกขึ้นหลังเดินออกจากลานบ้าน เงาแผ่นหลังถูกยืดยาวไปใต้ตะวันอัศดง เข้าไปในกลางลานบ้าน อยู่ในสายตาชายชราที่กำลังสูบยาสูบ เขามองซูหมิงเดินไกลออกไปพลางวางยาสูบลงช้าๆ ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“แก่แล้วรึนี่ ไม่อยากเชื่อว่าแม้แต่เจ้าหนูคนนี้ยังอ่านเรื่องในใจข้าออก…ตัดไม่ขาด ตัดไม่ลง…โลกนี้…เป็นของจริงหรือปลอมกันแน่?” ชายชราพึมพำเบาๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ชีวิตแบบนี้สงบอย่างพบเห็นได้ยาก ไม่นานก็ผ่านไปสามเดือน สามเดือนนี้ซูหมิงยังคงตัดฟืน ทุกครั้งจะมีการตระหนักรู้ต่างออกไป แต่กลับขาดอีกเล็กน้อย…ขณะเดียวกันสามเดือนนี้ ซูหมิงรวมเข้าไปในหมู่บ้านนี้ เป็นที่ยอมรับของหมู่บ้าน
คนในหมู่บ้านรู้ว่าตาแก่ทางตะวันออกของหมู่บ้านรับลูกบุญธรรมมาคนหนึ่ง เด็กคนนี้มีนามที่ไพเราะ นามว่าซูหมิง
จนกระทั่งคืนฝนตกหลังผ่านไปครึ่งปี…
ฟ้าผ่าดังสนั่น สายฟ้าผ่าลงแผ่นดินใหญ่ ซูหมิงในลานบ้านนอนอยู่ในเพิงไม้ เขาอยู่ที่นี่มาตลอดครึ่งปี แม้ฝนจะตกข้างนอก แต่กลับไม่เข้ามาในเพิง เขานอนอยู่ที่นี่ก็ถือว่าสบายดี
ในคืนฝนตก ช่วงที่สายฟ้าผ่าลงมานอกหมู่บ้านแห่งนี้ มีร่างเงาสองคนเดินออกมาจากป่าไม้ สองคนนั้นหนึ่งอ้วนหนึ่งผอม สวมชุดคลุมเต๋าสีเทา ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นดั่งปราการไร้รูป สายฝนจึงไม่อาจเข้าใกล้ได้
คล้ายว่าพวกเขายืนอยู่ที่นี่เท่ากับยืนอยู่บนจุดสูงสุดของฟ้าดิน โดยเฉพาะพลังของสองคนนี้ หากมีผู้ฝึกฌานสังเกตเห็นจะต้องตกใจกลัวแน่ นั่นคือ…เต๋าสูงศักดิ์!
“ผู้อาวุโสใหญ่ทำนายฟ้าดินทั่วแคว้นกู่จั้ง ในที่สุดก็หาที่อยู่เขาพบ ไม่คิดเลยว่าจะซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านธรรมดาแบบนี้!” ผู้ฝึกฌานซูบผอมในสองคนกล่าวเรียบๆ น้ำเสียงค่อนข้างแหลม
“เขาต้องซ่อนตัวอยู่แล้ว แต่ในเมื่อหาพบแล้ว วันนี้ เขาหนีไม่พ้นแล้ว”
……………………..
1424 เต๋าสูงศักดิ์จู่โจม!
โดย
Ink Stone_Fantasy
พายุฝนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สายฝนตกลงบนพื้นดังซ่าๆ เสียงนี้เหมือนแฝงไว้ด้วยกฏบางอย่าง ทำให้ฟังนานๆ เข้าจะมีความรู้สึกว่าจะหลับตามเสียงนี้
ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือเพิงไม้ที่ซูหมิงอยู่ล้วนมีเสียงฝนต่างกัน เสียงเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นดั่งเสียงสวรรค์ เพียงแต่หากผู้ฝึกฌานใช้ใจฟังจะแยกไม่ออกถึงความต่างมากนัก มีเพียงใจของคนธรรมดาที่เงียบในยามกลางคืน อยู่ในระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่นเท่านั้นถึงสัมผัสได้ถึงเสียงสวรรค์นี้
เพียงแต่ว่าในคืนฝนตกมักจะมีเสียงที่หมายจะรบกวนเสียงฝน มันดังแว่วออกมาจากในบ้านช่วงที่ซูหมิงกำลังกึ่งหลับ
“เจ้าหนูข้างนอก ข้าความจำไม่ดี เจ้าจำเอาไว้นะ พรุ่งนี้ช่างเหล็กทางสุดตะวันตกของหมู่บ้านให้พวกเราพาสุนัขสองตัวกลับมา ถ้าไม่อย่างนั้นกลางดึกมีโจรมาขโมยขวานข้าจะซวยเอา”
เสียงชายชราดังแว่วมาจากในบ้าน ผ่านสายฝนเข้าไปถึงซูหมิงในเพิง ซูหมิงไม่ตอบ แต่ดวงตาขยับประกายวาว
เขารู้สึกได้ถึงอันตรายรางๆ กลางสายฝน เหมือนได้ยิน…เสียงที่ไม่ได้กระทบลงแผ่นดิน และก็ไม่ได้ตกลงบนบ้าน นั่นคือ…เหมือนเสียงตกลงกลางอากาศ ตกลงบนปราการไร้รูปบางอย่าง
‘มีคนมาแล้ว’ ซูหมิงซ่อนประกายในดวงตาเล็กน้อย แต่ส่วนลึกในดวงตากลับแผ่จิตสังหาร คนที่หาที่นี่พบได้จะต้องไม่ได้มาเพื่อสร้างปัญญาให้ชายชราคนนั้นแน่ ถึงอย่างไรที่ที่เขาอยู่ก็น่าจะเป็นที่ลับที่คนอื่นไม่รู้
ดังนั้นคนที่มาได้ เว้นแต่จะผ่านทางมา มิเช่นนั้น…จะต้องมาเพื่อหาซูหมิงอย่างแน่นอน
‘เสียงเต๋าเก้าเสียง หากไม่ตายจะได้เป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์อย่างแน่นอน สองประโยคนี้ บางทีวันนี้อาจเป็นจริง’ ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ตั้งแต่เปล่งเสียงรูปแบบชะตาหรือเสียงวิญญาณเต๋าที่เก้า เขาก็เข้าใจแล้วว่าในแคว้นกู่จั้ง โดยเฉพาะสำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุราจะต้องผู้ฝึกฌานคิดจะสังหารตนไม่น้อยแน่
‘สำนักเอกะเต๋า ฝ่ายอสุรา…ผู้ฝึกฌานฝ่ายอสุรายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง ส่วนสำนักเอกะเต๋า…หากข้ามีวันหนึ่งก้าวสู่มหาเต๋าสูงศักดิ์ ข้าจะฆ่าล้างสำนัก ให้โลหิตย้อมสำนักนี้!’ จิตสังหารในแววตาซูหมิงเกิดเป็นแสงสีแดง
ยามนี้เองมีสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมากลางฟ้า แสงพลันส่องสะท้อนแผ่นดิน เผยเป็นร่างเงาซูบผอมที่ลอยอยู่กลางอากาศของลาน และยังมีร่างเงาผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วนอีกคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังคาบ้านในลานตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้!
ทันทีที่ร่างเงาสองคนนี้เผยออกมากลางแสงฟ้าผ่าอย่างชัดเจนนั้น เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นฟ้าสะเทือนแผ่นดิน
“องค์ชายสาม เจ้าหาตัวยากมาก” ผู้ฝึกฌานซูบผอมที่ลอยอยู่กลางอากาศของลานยิ้มเล็กน้อย สวมชุดคลุมเต๋าอยู่ในพายุฝน เหมือนว่าร่างกายเขาเป็นขอบเขตปกคลุมฝน ทำให้ที่เขายืนอยู่ที่นี่ พื้นดินในลานจึงไม่มีฝนตกแม้แต่น้อย
ซูหมิงเดินออกมาจากเพิงไม้ สวมชุดผ้าเนื้อหยาบ มองผู้ฝึกฌานซูบผอมกลางอากาศอย่างเย็นชา ก่อนจะมองผู้ฝึกฌานอีกคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังคาบ้าน
ความรู้สึกต่อสองคนนี้เหมือนเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักเจ็ดจันทรา เห็นได้ชัดว่ามีพลังเต๋าสูงศักดิ์!
ขอบเขตจิตเต๋าขั้นเจ็ด จากวิญญาณเต๋าจะเปลี่ยนเป็นสูงศักดิ์ กลายเป็นเต๋าสูงศักดิ์ หากก้าวอีกก้าวก็จะเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่เป็นที่จับตามองทั่วแคว้น เพียงแต่การเดินหนึ่งก้าวนี้ ระดับความยากของมันนั้น…ตั้งแต่โบราณมา ในแคว้นกู่จั้งมีไม่ถึงสามสิบคนที่ทำได้
‘เคาะเสียงวิญญาณเต๋าเก้าเสียงถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะได้บรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ น่าเสียดาย…หากเจ้าไม่ใช่องค์ชายสาม ไม่ว่าสำนักใดก็จะมองเจ้าเป็นสมบัติล้ำค่า น่าเสียดาย…ชีวิตเจ้าไม่มีโอกาสได้บรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์แล้ว’ ผู้ฝึกฌานซูบผอมถอนหายใจเบา พลันยกมือขวาขึ้นกลางอากาศกดไปยังซูหมิง
ช่วงที่กดมือขวาไป พลันปรากฏวงแหวนอาคมห้าเหลี่ยมที่รวมจากควันดำขึ้นเหนือซูหมิงก่อนกดลงมา ในวงแหวนอาคมห้าเหลี่ยมปรากฏควันดำเข้มข้น คล้ายว่ากลายเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าซูหมิงอย่างแรง
การคว้านี้ดูเหมือนธรรมดา แต่ความจริงผนึกทุกพื้นที่รอบตัวซูหมิงเอาไว้แล้ว ทำให้ที่นี่ถูกผนึกจากฟ้าถึงดิน!
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ สองมือประสานมุทราโบกไปยังวงแหวนอาคมห้าเหลี่ยม เกิดเสียงอึกทึกดังขึ้นราวกับฟ้าผ่า ผู้ฝึกฌานซูบผอมยิ้มเยาะมุมปาก แต่ไม่ทันไรก็หรี่ตาลงโดยพลัน
ยามนี้เองร่างเงาซูหมิงเดินออกมาจากมวลอากาศข้างหลังผู้ฝึกฌานซูบผอมด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า ช่วงที่ยกมือขวาขึ้นดวงจิตสี่โลกแท้จริงรวมถึงพลังขอบเขตวิญญาณเต๋าหลอมรวมด้วยกันกลายเป็นหนึ่งนิ้วมือ!
นิ้วมือนี้เลิศล้ำเป็นที่สุด พริบตาที่ผู้ฝึกฌานซูบผอมหน้าเปลี่ยนสีพร้อมหมุนตัวกลับสะบัดแขนเสื้อนั้น ก็เข้าปะทะกับนิ้วพอดี!
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องอีกครั้ง ซูหมิงโลหิตไหลจากมุมปาก ร่างถอยไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผู้ฝึกฌานซูบผอมเดินตามเข้ามา แต่ซูหมิงกลับหายไป มาปรากฏอีกทียืนอยู่ในลานบ้าน
ผู้ฝึกฌานซูบผอมกลางอากาศก้มหน้ามองมือซ้ายตนเองแวบหนึ่ง มือซ้ายเขาเป็นรูแผลเหวอะหวะ โลหิตภายในไหลออกมา ซ้ำยังมีกลิ่นอายพลังที่ทำให้เขารู้สึกจัดการยากเล็กน้อยกำลังแผ่คลุมไปทั่วร่างผ่านเลือดเนื้อ
“ด้วยพลังของขอบเขตวิญญาณเต๋า แม้จะใช้วงแหวนอาคมที่เจ้าวางไว้ที่นี่ แต่ทำร้ายข้าได้ เจ้าจงภูมิใจเสีย” ผู้ฝึกฌานซูบผอมมีสีหน้าทะมึนทึบ เขาไม่สนใจบาดแผลนี้ แม้จะแปลกอยู่บ้าง แต่เขามั่นใจว่าจะขจัดไปได้ แต่มาบาดเจ็บต่อหน้าสหายร่วมสำนักแบบนี้ มันทำให้เขาโกรธแล้ว
เป็นอย่างที่ผู้ฝึกฌานซูบผอมว่าไว้ ด้วยความระวังของซูหมิง หลายเดือนมานี้เขาได้วางวงแหวนอาคมและอาวุธสังหารไว้ในลานบ้านไม่น้อย หากมีคนเข้ามา ขอเพียงซูหมิงคิดก็จะให้วงแหวนอาคมกับอาวุธสังหารทำงานได้ทันที
ตอนนี้ซูหมิงยืนอยู่ในลาน แม้จะหน้าขาวซีด แต่ตอนที่เงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกฌานซูบผอม นัยน์ตาเขามีความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ยกมือขวาสะบัดไปข้างๆ เบาๆ สายฝนในลานพลันกลายเป็นหมอกขาว ภายใต้หมอกขาวนี้ เม็ดทรายบนพื้นดินจึงสั่นไหว
“จะสู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ไสหัวไป พูดอยู่ได้หนวกหู!” จังหวะที่ซูหมิงกล่าวอย่างเย็นชา ควันขาวจากสายฝนในลานพลันลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน วูบเดียวก็รวมเป็นวงแหวนอาคมวงกลมกลางอากาศ มันเพิ่งปรากฏก็หมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงครึกโครมดังก้อง ซูหมิงใช้มือขวาคว้าอากาศไปบนพื้นดิน เม็ดทรายเหลือคณานับบนพื้นลอยขึ้นพร้อมกันเป็นการเปิดออก ก่อนเม็ดทรายทุกเม็ดที่ซูหมิงลงตราประทับมาหลายเดือนจะพุ่งขึ้นฟ้าไป
“ยังอ่อนแอเกินไปจริงๆ” ผู้ฝึกฌานซูบผอมกล่าวราบเรียบด้วยท่าทีสงบนิ่งมาก แต่ความจริงดวงตาหรี่ลง เห็นถึงความตกใจภายในใจ
เพียงแต่ว่า บางทีอาจคิดว่าตนมีพลังค่อนข้างสูง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเสียชื่อเสียงแน่ โดยเฉพาะมีคนดูอยู่ข้างๆ ดังนั้นจึงมีสีหน้าเฉยเมย ส่วนระดับความตื่นตัวในใจมีเพียงเขาที่รู้
ขณะกล่าวอยู่นี้ผู้ฝึกฌานซูบผอมยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือกดลงแผ่นดิน ทันใดนั้นเกิดเสียงครึกโครมกึกก้อง บนฟ้าเหนือเขาเหมือนถูกฉีกออกเป็นรอยแยก ก่อนมีแสงทองส่องลงมากลายเป็นตราประทับใหญ่สีทองตรงไปยังแผ่นดิน
ตราประทับสีทองกดลงมาพร้อมเสียงอึกทึก ควันขาวรอบตัวผู้ฝึกฌานซูบผอมสลายไปทันที ก่อนกดลงไปอีกครั้ง เม็ดทรายเหล่านั้นแตกออกพร้อมกัน แต่ทันใดนั้นเอง ซูหมิงเกิดจิตสังหารขึ้นอีกครั้ง
เขายกมือขวาขึ้น ไข่มุกวิญญาณหวนคืนพลันสว่างวาบ พลังมหาศาลแผ่มาจากในไข่มุก ชั่ววูบเดียวก็ปกคลุมร่างผู้ฝึกฌานซูบผอม ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็กลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแค่นเสียงขึ้นจมูก ช่วงที่เดินหน้ากำลังจะลงมือนั้น ไข่มุกวิญญาณหวนคืนขยับแสงอีกครั้ง ครั้งนี้แรงสะท้อนกลับรุนแรงปะทุขึ้น ส่งผลให้ร่างผู้ฝึกฌานซูบผอมต้องถอยไปหลายก้าว เขาหรี่ตาแคบลง ตั้งใจมองไข่มุกวิญญาณหวนคืนแวบหนึ่งแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
“นี่มัน…ผลพิสูจน์เต๋า!”
แทบเป็นช่วงที่ผู้ฝึกฌานซูบผอมกล่าวขึ้น ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วนที่นั่งขัดสมาธิบนหลังคายิ้มมองการต่อสู้นัยน์ตาพลันเป็นสมาธิ ด้วยพลังเขาคงยากจะไม่เกิดความละโมบ จึงไม่พูดไม่จาเดินหน้าหนึ่งก้าวตรงไปหาซูหมิง
ตอนนี้ผู้ฝึกฌานซูบผอมถอนหายใจภายใน เขาจงใจพูดแบบนั้นออกไป เพราะซูหมิงสร้างแรงกดดันให้เขาไม่น้อย แต่มีปัญหาเรื่องเกียรติยศ เขาเลยต้องทำสีหน้าสงบนิ่งไว้ ดังนั้นแล้วเมื่อรู้ว่านั่นคือไข่มุกวิญญาณหวนคืนจึงพูดออกไปทันที ให้อีกคนลงมือ ให้ช่วยจัดการสถานการณ์น่าปวดหัวนี้
เผชิญหน้ากับเต๋าสูงศักดิ์หนึ่งคน ซูหมิงอาศัยวงแหวนอาคมที่วางไว้กับกลอุบาย ประกอบกับมีไข่มุกวิญญาณหวนคืนที่มีพลานุภาพไม่ธรรมดา รวมขั้นพลังและดวงจิตแล้วก็ยังพอจัดการได้ แต่ว่า…หากเต๋าสูงศักดิ์สองคนลงมือ ซูหมิงยากจะรับมือไหวจริงๆ
ตอนที่เห็นว่าสถานการณ์ย่ำแย่เข้าตาจนนั้น มีเสียงกระแอมไอดังออกมาจากในบ้าน
“เจ้าดูซิ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าไปเอาสุนัขจากทางสุดตะวันตกของหมู่บ้านมาเฝ้าบ้านสักสองตัว เป็นอย่างไร ข้าพูดถูกหรือไม่ มีโจรมาขโมยขวานพวกเราจริงด้วยๆ! นั่นเป็นของที่อยู่กับบ้านเรามาตั้งแต่แรกสุด จะ เจ้า เจ้ายังไม่หยิบขวานขึ้นมาอีก หากให้ใครเอาไปข้าจะเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด”
ตอนที่เสียงนี้ดังแว่วมา เต๋าสูงศักดิ์สองคนนั้นอึ้งไป ไม่คาดคิดการต่อสู้ที่นี่จะมีคนธรรมดาซ่อนอยู่ในบ้าน ซ้ำเห็นการต่อสู้แล้วยังกล้าพูดแบบนี้อีก บอกว่าพวกเขาเป็นโจร
ดวงตาซูหมิงเป็นประกาย เหมือนเข้าใจอะไรบางอน่าง จึงยกมือขวาคว้าขวานที่อยู่ไม่ไกล ขวานนั้นจึงลอยมาอยู่ในมือ ทันทีที่กำขวานแล้วเงยหน้าขึ้นมองสองคนที่เข้ามานั้น ในใจเขาสั่นสะท้าน
เขาเหมือนไม่ได้มองผู้ฝึกฌาน แต่เป็น…ฟืนสองท่อน!
1425 สุนัขใหญ่สีขาวสองตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยามนี้เมื่อซูหมิงเข้าใจแล้วก็ยกขวานในมือขวาขึ้นฟันไปทางผู้ฝึกฌานซูบผอมที่เล็งไว้ในสายตาเหมือนตัดฟืนมาตลอดหลายเดือนนี้
ซูหมิงฟันขวานด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่เกิดคลื่นอารมณ์ใดๆ เหมือนจิตสำนึกทุกอย่างหลอมรวมเข้าไปในขวาน ขวานฟันลงในความสงบนิ่งทำให้ฟ้าดินเหมือนสั่นสะเทือน ท้องฟ้าพังทลายลงพร้อมกัน!
ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วนที่จะคว้าไข่มุกวิญญาณหวนคืนหรี่ตาลงดูตกใจตื่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาถอยร่นไปอย่างรวดเร็วและไม่ลังเล ทว่าผู้ฝึกฌานซูบผอมที่ซูหมิงเล็งเป้าเอาไว้เกิดขนลุกไปทั้งตัว เกิดความรู้สึกถึงอันตรายเป็นตายขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาคิดว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หรืออาจพูดได้ว่าอันตรายนี้ไม่มีทางเกิดจากองค์ชายสามขอบเขตวิญญาณเต๋าตรงหน้า!
กระทั่งเขายังไม่ทันตรึกตรองอะไร ยังไม่ทันคิดหลบก็ร้องโหยหวน เมื่อขวานฟันลง แขนขวาพลันหลุดออกจากร่าง
โลหิตพุ่งกระฉูด ภาพนี้สร้างความตกใจแก่ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วน ทั้งยังทำให้ผู้ฝึกฌานซูบผอมหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ดูหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็ถอยไปอย่างรวดเร็ว ยามที่มองซูหมิงมีความตื่นกลัว แต่ไม่นานก็มองขวานในมือซูหมิง!
ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วนได้สติกลับมา ก่อนจ้องขวานในมือซูหมิงตาเขม็ง
“จะ จะเจ้า ตัดฟืนแบบนี้อีกแล้ว ข้าชักจะโมโหเจ้าแล้ว” ตอนนี้เองประตูบ้านถูกผลักออก ชายชราสวมชุดกันหนาวตัวเล็กเดินออกมาด้วยความโมโห ไม่มองผู้ฝึกฌานแข็งแกร่งสองคนบนฟ้า แต่เดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงแล้วแย่งขวานในมือไป
“สิ้นเปลือง เจ้าตัดขาสุนัขดีๆ แบบนี้ทิ้งเสียได้ ดูซะ ข้าจะสอนเจ้าอีกครั้ง ตัดฟืนต้องตัดแบบนี้!” ชายชราถลึงตามองซูหมิง ก่อนใช้มือขวายกขวานฟันลงในช่วงที่ผู้ฝึกฌานอ้วนผอมสองคนบนฟ้าหรี่ตาลง
ตอนนี้ท้องฟ้าเหมือนหายไป ในความขุ่นมัวมีเสียงคำรามแหลมนับไม่ถ้วน แผ่นดินก็หายไปเช่นกัน แต่กลายเป็นเหวลึกอเวจี ฟ้าดินปั่นป่วน ตอนนี้เองผู้ฝึกฌานซูบผอมมีสีหน้าหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ราวกับความหวาดผวาจะจมชีวิตเขา
เขาตัวสั่น นัยน์ตาฉายแววตื่นกลัวเด่นชัด ซูหมิงยังเห็นอีกว่าเมื่อชายชรายกขวานขึ้น เหมือนกับว่าฟ้าดินมีกลิ่นอายพลังที่บอกไม่ถูกเพิ่มมา ซูหมิงคุ้นกับกลิ่นอายพลังนี้ นั่นคือดวงจิตที่เขาคิดว่าไม่มีใครมีในแคว้นกู่จั้ง!
พลังของดวงจิตนี้ ระดับความใหญ่ของมันเหนือกว่าซูหมิงมากๆ ทันทีที่ดวงจิตปรากฏก็ปกคลุมผู้ฝึกฌานซูบผอม นอกตัวเขา…ปรากฏสิ่งที่คนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่คนที่มีดวงจิตจะมองเห็นชัดเจนขึ้น!
นั่นคือ…รูปแบบชะตาที่รวมจากหมอกขาวหลายสายเหมือนวงแหวนอาคมซับซ้อนวงกลม!
ในรูปแบบชะตาเต็มไปด้วยอักขระ อักขระทุกตัวหมายถึงความทรงจำช่วงหนึ่งของคนนี้ พริบตาที่รูปแบบชะตาปรากฏ ขวานของชายชรา…ฟันลง!
เขาไม่ได้ฟันร่างผู้ฝึกฌานซูบผอม แต่ฟันรูปแบบชะตาของผู้ฝึกฌานซูบผอม
ไม่มีเสียงครึกโครม ไม่มีความเลิศล้ำ เพียงขวานธรรมดาๆ ฟันรูปแบบชะตาผู้ฝึกฌานซูบผอม ทำลายอักขระภายใน ทำให้รูปแบบชะตา…เหมือนรวมขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งบิดเบี้ยว หลังจากชายชราฟันลงจนเสร็จแล้ว รูปแบบชะตาบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง ก่อนหายไปจากหัวผู้ฝึกฌานซูบผอม
ขณะเดียวกันผู้ฝึกฌานซูบผอมตัวสั่น ร่างกายบิดเบี้ยวตาม ชั่วขณะที่มีสีหน้าเหลือเชื่อและตื่นกลัวยากจะบรรยายนั้น ตัวเขาไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อยราวกับถูกอุดไว้ในลำคอ จนกระทั่งล้มลง ร่างบิดเบี้ยวในลานบ้าน อาภรณ์หลุดออก ทั้งตัว…กลายเป็นสุนัขขาว!
ตอนนี้ในที่สุดมันก็เห่าเสียงดังเหมือนอัดอั้นมานาน ในเวลาเดียวกันซูหมิงเห็นว่าในแววตาสุนัขสีขาวนั้นมีความหวาดกลัวเด่นชัด ซ้ำยังตัวสั่น
นี่คือ…สุนัขขาวสามขา!
ตอนนี้ผู้ฝึกฌานค่อนข้างอ้วนบนฟ้าหวาดกลัวกว่าคนที่กลายเป็นสุนัขสีขาวหลายเท่า เขาตัวสั่นพลางถอยไปคิดจะหนีโดยไม่สนสิ่งใด ไม่คาดคิดเลยว่าในหมู่บ้านภูเขาธรรมดาจะมี…ผู้แข็งแกร่งน่ากลัวแบบนี้อยู่!
ในมุมมองเขา ความแกร่งของอีกฝ่ายจะต้องเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์อย่างแน่นอน แต่เขาไม่เข้าใจ เพราะต่อให้มหาเต๋าสูงศักดิ์ในสำนักก็ยังไม่มีอภินิหารเปลี่ยนคนให้เป็นเดรัจฉานแบบนี้!
ด้วยพลังเขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่การแปลงกายธรรมดา ถึงขั้นไม่ใช่การสร้างภาพมายา นี่คือการเปลี่ยนต้นกำเนิดชีวิต ให้ผู้ฝึกฌานซูบผอมเปลี่ยนเป็นเดรัจฉานจากต้นกำเนิดชีวิต!
นี่ต่างหากคือสาเหตุที่เขาหวาดกลัว ยามนี้ในความคิดไม่มีความละโมบต่อสมบัติของซูหมิงอีก ทั้งยังไม่มีจิตสังหารต่อซูหมิงเลย มีอยู่เพียงความคิดเดียวคือหนีสุดชีวิต!
ขณะห้อเหยียด เขาได้ฉีกมวลอากาศออกเข้าไปได้ครึ่งก้าวแล้ว
“เห็นรึยัง นี่ต่างหากคือการตัดฟืน หึหึ ข้าเก่งใช่หรือไม่” ชายชราเชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจแล้วยกขวานในมือขวาขึ้นพร้อมฟันลงไปยังฝึกฌานค่อนข้างอ้วนที่หายเข้าในมวลอากาศ
“จะให้สุนัขอ้วนหนีไปไม่ได้ ข้าจะให้มันเฝ้าบ้าน หิวเมื่อไรก็เอาเนื้อมากินได้จริงหรือไม่” ขณะชายชรากล่าว ผู้ฝึกฌานที่เข้าไปในมวลอากาศตัวสั่นงันงก ร่างเขากระเด็นถอยออกมาตกลงในลานบ้าน ร่างกายบิดเบี้ยวพลางส่งเสียงอู้อี้ ก่อนกลายเป็น…สุนัขใหญ่สีขาว
มันตัวสั่น ยามที่มองชายชรา ความหวาดกลัวในแววตาคือสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต
“เห็นรึยัง ไม่เห็นรึ ตกลงเห็นหรือไม่” ชายชราชี้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวพลางพูดไม่หยุด มองซูหมิงแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่ต่างหากคือการตัดฟืน หึหึ ในแคว้นกู่จั้งมีแต่คนยอมเลียหัวแม่เท้าข้า มีแต่คนจะมาตัดฟืนให้ข้ากันทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เจ้ากู่น้อยในตอนนั้นเคยพาข้าไปเที่ยวสุขสำราญยิ่ง ข้าคงไม่ช่วยเขา
จำเอาไว้ ตัดฟืน ฟันขวางลงไป หากเจ้ามองเป็นฟืน เจ้าจะตัดฟืน แต่หากไม่มองเป็นมัน บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้ตัดฟืน เละเทะจริงๆ ข้าไม่เคยมีลูกศิษย์อะไรมาก่อน และก็ไม่เคยสอนใครด้วย เจ้าค่อยๆ ศึกษาเอาเองแล้วกัน
จำเอาไว้ การตัดฟืนมีสามขั้น ขั้นแรกคือตัดคน สองคือตัดไม้ สามคือตัดไม้หรือคนที่เจ้าไม่ชอบ” ชายชราเกาหัว พูดมานานก็รู้สึกมึนงง จึงโยนขวางทิ้งไว้บนพื้นแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน
ขณะจะเข้าบ้านเขาพลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง หันหน้ากลับมาเล็กน้อย เอียงศีรษะให้ซูหมิง เขาในท่าทางแบบนี้เหมือนต่างออกไปอีกครั้ง ความไม่จริงจังต่อโลกหายไปเล็กน้อย แต่มีการผ่านโลกมาเนิ่นนานเพิ่มมาเล็กน้อย
“ซูหมิง” เขาพูดขึ้นเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงแก่ชรา
ซูหมิงเข้าใจคำพูดชายชราก่อนหน้านี้เล็กน้อยแล้ว ตอนนี้เงยหน้าขึ้นมองชายชรา
“ตั้งชื่อให้สุนัขสองตัวนี้ด้วย หากไม่สื่อสัตย์ก็ฆ่ามันเสีย พรุ่งนี้เราจะได้กินน้ำต้มเนื้อสุนัขกัน” พูดจบชายชราก็เดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าราบเรียบ
ภายในลานบ้าน ฝนยังคงตก ตอนนี้สุนัขสีขาวสองตัวตัวสั่นในสายฝน
ซูหมิงไม่ได้สนใจสุนัขใหญ่สองตัวนี้ แต่หยิบขวานขึ้นแล้วกลับไปในใต้เพิงไม้ มองขวานด้วยแววตาครุ่นคิด สีหน้าเรียบนิ่ง แต่ความจริงเกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจ
เขาไม่เคยสงสัยพลังของชายชรามาก่อน แต่ไม่นึกเลยว่าแค่ท่าตัดฟืนจะน่าตกใจถึงเพียงนี้ นี่เหนือกว่าวิชาอภินิหารทุกอย่าง
‘ตัดรูปแบบชะตา…’ ดวงตาซูหมิงแวววาว เขาลืมภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ลง กระทั่งในมุมมองเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฌานจะทำได้ แต่ก็ได้กลายเป็นโชควาสนาแล้ว!
“โชควาสนา…” ซูหมิงพึมพำ สายตามองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวในลาน ขณะตรึกตรองก็ยกมือขวาขึ้น อาภรณ์และถุงเก็บวัตถุของสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวลอยมาหาเขาทันที
“เจ้าชื่อต้าไป๋!” ซูหมิงชี้สุนัขขาวค่อนข้างอ้วน
“เจ้าชื่อซานไป๋!” ซูหมิงมองสุนัขขาวที่มีสามขา
สุนัขสองตัวนั้นเงียบ มีสีหน้าเศร้าหมอง ท่ามกลางสายฝน พวกมันเหมือนจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากตัวสั่น พลังในร่างกายถูกผนึกไว้ทั้งหมดหลังกลายเป็นเดรัจฉาน ตอนนี้ต่อให้มีชีวิต แต่ก็ตายเสียจะดีกว่า
ความอัปยศและความหวาดกลัวทำให้สุนัขใหญ่ขาวมีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจ
พวกเขาไม่ใช่สุนัข แต่เป็นผู้ฝึกฌาน เป็นผู้อาวุโสเต๋าสูงศักดิ์ของสำนักเอกะเต๋า พวกเขามีพลังควบคุมธรรมชาติในแคว้นกู่จั้งได้ กระทั่งยืนอยู่จุดสูงสุดแล้ว แต่ตอนนี้…
พวกเขารับความแตกต่างที่เกิดขึ้นไม่ได้
“จะตายก็ตายไม่ได้ ดูท่าต่อให้พวกเจ้าตายก็จะมีวิธีให้พวกเจ้ากลับมาเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่นี่อีก หากพวกเจ้าซื่อสัตย์ หลังผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ข้าอาจจะขอร้องตาแก่นั่นให้โอกาสพวกเจ้ากลับมาเป็นผู้ฝึกฌานอีกครั้ง” ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าใคร่ครวญหนึ่งคืน” ซูหมิงพูดจบก็ก้มหน้ามองขวานในมือ ตกอยู่ในห้วงความคิด
1426 เจ้าดูถูกข้า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สายฝนค่อยๆ หยุดลงยามเช้าตรู่ เมื่อตะวันแรกขึ้นฟ้า ซูหมิงตื่นจากห้วงความคิด เงยหน้าขึ้นมองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวที่กำลังส่ายหาง มองตนอย่างน่าสงสาร
เห็นได้ชัดว่าด้วยสติปัญญาของสองคนนี้ พวกเขาไม่ยอมตายแบบนี้แน่ แม้จะมีโอกาสเสี้ยวหนึ่งก็ไม่ละทิ้ง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับยิ้มเยาะ เขาไม่ใช่คนที่ชอบสงสารศัตรู คำพูดตอนกลางคืนก็ไม่ได้หลอก แต่จะเป็นจริงหรือไม่ต้องดูการกระทำในอนาคตของสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว
“ต้าไป๋ ซานไป๋ ไปกันเถอะ” ซูหมิงยืนขึ้นเดินออกจากประตูลานบ้าน ผลักประตูเดินออกไป สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวรีบตามมาข้างหลัง โดยเฉพาะตัวสามขา มันวิ่งได้ไม่ช้าเท่าไรนัก
ซูหมิงเดินไปทางสุดตะวันตกของหมู่บ้านเหมือนเมื่อก่อน เมื่อแลกไหสุราให้ตาแก่แล้ว ระหว่างทางก็เจอกับชาวบ้านไม่น้อย ทุกคนยิ้มในยามเช้าตรู่ ทักทายกัน และก็ดูสนใจสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวข้างหลังซูหมิงมาก
โดยเฉพาะเด็กๆ เข้ามาล้อมสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว และดูประหลาดใจเป็นพิเศษว่าเหตุใดสุนัขสามขาถึงวิ่งเร็วนัก
ไม่นานเมื่อซูหมิงกลับมาถึงลานบ้าน เด็กๆ ข้างนอกถึงแยกย้ายไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ละคนดูอยากรู้อยากเห็น เห็นได้ชัดว่าจะกลับไปเล่าเรื่องในวันนี้ให้บิดามารดาฟัง
ซูหมิงปิดประตูลาน นำไหสุราวางไว้ข้างประตูบ้าน ก่อนขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว
“พวกเจ้าเคยเป็นผู้ฝึกฌานมาก่อน คงไม่ต้องกินข้าวหรอก?”
สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวมีสีหน้าเศร้ายิ่งกว่าเดิม ก่อนพยักหน้า
ซูหมิงไม่ตอบ แต่หยิบขวานมานั่งบนตอไม้แล้วเริ่มตัดฟืนของวันนี้ ทุกครั้งที่ยกขวานขึ้น สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวนั้นจะตัวสั่น เห็นได้ว่ายังเงามืดเมื่อคืนยังไม่หายไปในเวลาสั้นๆ
เสียงปึกๆ ดังก้องในหมู่บ้านยามเช้า ผู้คนล้วนรู้ว่าชายหนุ่มนามซูหมิงเริ่มตัดฟืนอีกแล้ว
จนกระทั่งดวงตะวันห่างจากพื้นสามคันเบ็ด ใกล้จะถึงยามกลางวัน ประตูบ้านเปิดออก ชายชราสวมชุดกันหนาวตัวเล็กถึงเดินบิดขี้เกียจออกมา เพิ่งออกมา สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวก็ตกใจจนหางรีบ วิ่งมาหาซูหมิง เหมือนว่าในมุมมองพวกมัน ซูหมิงอบอุ่นกว่าชายชราเยอะ
แต่ชายชราน่ากลัวที่สุดในใต้หล้าเท่าที่พวกเขาเคยพบมา
“ฮ่าๆ นอนเร็วตื่นเช้าสุขภาพดี นอนจนตื่นเป็นธรรมชาติสุขภาพดี เมื่อตื่นเล้วดื่มสุรา สุขภาพดี!” ชายชราหิ้วไหสุราเดินมาในลานบ้าน มองดวงตะวันบนฟ้ายามเที่ยงวันพลางพูดเสียงดัง
“ดื่มสุราแล้วกินเนื้อสุนัขสุขภาพดี!” ดวงตาชายชราเป็นประกายมองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวใต้เท้าซูหมิง มองซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังตรึกตรองว่าวันนี้จะกินตัวไหน
“ซูหมิง เจ้าว่าวันนี้พวกเราจะกินตัวไหนดี?” ชายชราเดินเข้ามาหลายก้าวเร็วๆ นั่งยองมองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวพลางกลืนน้ำทีละอึก
ซูหมิงไม่สนใจชายชรา แต่ยังคงตัดฟืนอย่างจริงจัง ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นการฟันขวานสองครั้งของชายชราเมื่อคืนวานอย่างต่อเนื่อง
ชายชราเห็นซูหมิงไม่ตอบจึงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ก่อนมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง นั่งยองลงตะโกนใส่
“ตื่นๆ!”
ซูหมิงขมวดคิ้ว เขายอมรับนิสัยประหลาดของตาแก่นี่ได้ แต่มีเพียงตอนที่ตาแก่ตะโกนเสียงดังราวกับคนบ้าที่ยังไม่ค่อยชินนัก
โดยเฉพาะตอนที่กำลังตกอยู่ในห้วงตระหนักรู้บางอย่าง การตะโกนแบบนี้ทำให้เขาตื่นทันที
“เจ้าหนู การตระหนักรู้ของเจ้าแกร่งเกินไปแล้ว เจ้าดูข้าตอนตัดฟืนเคยงีบหลับเมื่อไรกัน ข้าตัดฟืนทุกท่อนจะตื่นตลอด อย่าคิดถึงการตระหนักรู้อะไร ตระหนักรู้หรือ ตระหนักรู้ไปตระหนักรู้มาเจ้าไม่เหนื่อยรึ?
อย่าตระหนักรู้มั่วซั่ว ตัดฟืนก็คือการตัดฟืน อย่าแอบหนีไป ต้องจริงจัง! ในความคิดอย่ามีภาพอื่น แค่จริงจังกับการตัดฟืนก็พอ เอาล่ะ มาคุยเรื่องจริงจังกันดีกว่า เจ้าว่าวันนี้พวกเราจะกินตัวไหนดี?” ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวขึ้นแทบจะเรียกว่าจริงจัง
“ข้าคิดว่าอย่าเพิ่งกินสองตัวนี้จะดีกว่า ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องการสุนัขเฝ้าบ้าน” หลายเดือนมานี้ ซูหมิงเรียนรู้ว่าจะคุยกับตาแก่นี่อย่างไร ตอนนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงตอบกลับอย่างจริงจัง
เมื่อซูหมิงแสดงสีหน้าแบบนี้ ชายชราก็ยังคงจริงจังเช่นกัน เขามองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวที่ตอนนี้ตกใจจนตัวสั่นอย่างตั้งใจ จากนั้นลูบคางเหมือนกำลังใคร่ครวญคำพูดซูหมิง
“อืม มีเหตุผล มีเหตุผลมาก มีเหตุผลมากๆ มีเหตุผลอย่างยิ่ง!” ชายชราคิดอยู่นานก่อนพยักหน้าอย่างจริงจังมาก
พูดจบ สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวถอนหายใจโล่งอก มองซูหมิงด้วยความซึ้งใจ แต่ว่า…
“แต่ข้าอยากกิน” ต่อมาชายชราก็มองซูหมิงอีกครั้ง
ดังนั้นแล้วสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวจึงตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันพลันรู้สึกว่าชายชราเป็นคนบ้า ส่วนซูหมิงปกติเล็กน้อย
“ยังมีโอกาสอีก น่าจะอีกไม่นานก็จะมีสุนัขใหญ่สีขาวปรากฏตัวอีกไม่น้อย ถึงตอนนั้นพวกเราจะเลี้ยงไว้ให้เยอะขึ้น ท่านอยากกินตัวไหนก็กิน” ซูหมิงขบคิดอย่างตั้งใจอีกครู่หนึ่งแล้วตอบกลับอย่างจริงจัง
ชายชราได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่ไม่นานกลับรีบเก็บอารมณ์ไป เผยท่าทีจริงจัง ตรึกตรองอยู่นานมากถึงพยักหน้า
“อืม มีเหตุผล มีเหตุผลมาก มีเหตุผลมากๆ มีเหตุผลอย่างยิ่ง!” ชายชราถูมือ แต่ไม่นานก็เบะหน้าร้องไห้
“แต่ข้าอยากกินตอนนี้”
สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวใกล้จะสิ้นหวังแล้ว ตอนนี้นอนหมอบตัวสั่น เหมือนความกล้าในการหนีได้หายไปจนสิ้น พวกมันได้แต่หวังว่าซูหมิงจะช่วยพวกมันได้
ซูหมิงเงียบ หยิบขวานขึ้นตัดฟืนต่อไม่สนใจชายชราอีก ครั้งนี้เขาไม่ได้ตระหนักรู้ ไม่ได้ตั้งใจ แต่ฟันขวานลงแบบตามอำเภอใจ ตัดฟืนไปทีละครั้งๆ
“หืม? เหตุใดเจ้าถึงเงียบไป?”
“จะจะเจ้า ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะกล้าเมินเฉยต่อคนชรา!”
“เจ้ายังไม่พูดอีกรึ?”
“ข้าจะบอกให้ ข้าจะโกรธแล้ว เจ้ายังไม่พูดอีกรึ!” ทุกครั้งที่ชายชราพูดขึ้นจะเปลี่ยนตำแหน่ง โดยเฉพาะตอนกล่าวประโยคสุดท้าย ซานไป๋ที่ขวางอยู่ตรงหน้าซูหมิงถูกเตะลอยไป จากนั้นมองซูหมิงอย่างเคร่งขรึม
ทว่าพอเห็นซูหมิงไม่พูดแต่ยังคงตัดฟืน ชายชราก็กลอกตา ช่วงที่ซูหมิงฟันขวานลง เขาใช้มือขวาหยิบฟืนนั้นออกอย่างรวดเร็ว ทำหลายครั้งเข้าแล้วก็หัวเราะเสียงดัง
ซูหมิงชินกับเรื่องนี้แล้ว หลายเดือนมานี้ขอไม่บอกว่าทุกวัน แต่ทุกช่วงหลายวันตาแก่จะมาเล่นแบบนี้ข้างๆ ด้วยท่าทีมีความสุขมาก
แต่วันนี้มีความต่างออกไปเล็กน้อย ตาแก่หิ้วหางต้าไป๋ที่กำลังจะหนีไปเงียบๆ วิ่งกลับมาวางบนฟืน ตอนที่ซูหมิงฟันขวานลง เขาก็หิ้วต้าไป๋หนีไปอย่างรวดเร็ว
เขาเล่นอย่างสนุกสนาน ซูหมิงยังคงสีหน้าเรียบนิ่ง แต่สำหรับต้าไป๋แล้ว นี่เป็นอันตรายเป็นตายหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาใจสั่นไหวไม่รู้กี่ครั้ง
จนกระทั่งยามโพล้เพล้ ชายชราหัวเราะเสียงดัง เขาโยนต้าไป๋ที่ผ่านความเป็นตายมาตลอดช่วงบ่ายจนเฉยชาไว้ข้างๆ แล้วยืนขึ้นยืดตัวบิดขี้เกียจ
“ไม่สนุก ไม่สนุกเลย ซูหมิง พรุ่งนี้เจ้าไปหาสตรีมาให้ข้า อืม เอาก้นใหญ่ๆ ล่ะ!” ชายชรากำชับด้วยสีหน้าจริงจัง
พูดจบซูหมิงฟันขวานลงเอียงไปข้างๆ ฟืน เมื่อจัดการผงไม้เสร็จแล้วก็เงยหน้ามองชายชราด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นคำขอที่ซูหมิงอึ้งที่สุดตลอดหลายเดือนมานี้
“หืม? เหตุใดเจ้าทำหน้าแบบนี้ จะจะเจ้า…เจ้าดูถูกข้า!” ชายชราเห็นสีหน้าซูหมิงแล้วก็กระโดดลอยขึ้น ตะโกนเสียงดังด้วยความโมโหและอับอายอย่างยิ่ง
“เจ้าดูถูกข้า เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้าเองก็เป็นบุรุษ เป็นบุรุษนะ ข้าต้องการสตรีบ้างแล้วอย่างไร คำขอข้าเกินไปรึ มันไม่เกินไปสักนิด ข้าต้องการสตรีก้นใหญ่ๆ!” ลมหายใจก่อนหน้านี้ชายชรายังโมโหและอับอาย ลมหายใจต่อมาดวงตาพลันเปล่งประกาย
“ว่าแต่เจ้าชอบสตรีก้นใหญ่ๆ หรือไม่?” ชายชรานั่งย่อตัวลงมองซูหมิงอย่างมีชีวิตชีวา
ซูหมิงเงียบ
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าไม่พูดอีกแล้ว”
“จะจะเจ้า หากเจ้าไม่พูด ข้าจะขอสตรีก้นใหญ่สามคน!”
ซูหมิงถอนหายใจเบา
“ผู้อาวุโส ท่านทำแบบนี้จะไม่มีใครตัดฟืนให้ท่าน”
“หืม? เพราะเหตุใด ข้ามเรื่องนี้ไปก่อน เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าเจ้าชอบสตรีก้นใหญ่หรือไม่?” ชายชราเหมือนรู้สึกว่านั่งยองจนเหนื่อย จึงคว้าซานไป๋สามขามารองก้นนั่ง แล้วรีบมองซูหมิงอย่างรอคอยคำตอบ
ซูหมิงเงียบ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นร่างเงาสตรีสามคน ผ่านไปพักใหญ่ถึงส่ายศีรษะ แต่ไม่ว่าจะส่ายหน้าอย่างไรก็สลัดความเสียใจที่อบอวลในใจจากความทรงจำไม่ได้
เหมือนว่าชายชราจะสังเกตเห็นความเสียใจจึงเงียบลงเช่นกัน ผ่านไปพักหนึ่งซูหมิงถึงยกขวานตัดฟืนต่อ
ปึก ปึก ปึก…เสียงแบบนี้ดังกังวานในยามโพล้เพล้ ดังออกจากลานบ้านไปกังวานในหมู่บ้าน และก็ไปถึงสตรีคนหนึ่งที่กำลังเดินมาช้าๆ จากข้างนอกใต้ตะวันยามอัศดง
นางสวมชุดคลุมเต๋า แม้จะก้าวสู่วัยกลางคน แต่ใบหน้ายังคงงดงามมีบุคลิก นางเดินมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่เมื่อเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เดินผ่านข้างกายไม่สนใจราวกับมองไม่เห็น
ชุดคลุมเต๋าตัวใหญ่เหมือนจะปกปิดรูปร่าง แต่ร่างกายอ่อนช้อยยามเดินกลับทำให้รู้สึกได้ว่าร่างกายใต้ชุดคลุมเต๋ามีความงามของส่วนเว้าโค้งน่าตกตะลึง
1427 แม่นาง ข้ารักเจ้า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากเมื่อคืนวานที่ผู้ฝึกฌานสองคนมาหาซูหมิงก็รู้แล้วว่านับจากนี้จะไม่สงบอีก ไม่ว่าจะเป็นสำนักเอกะเต๋าหรือฝ่ายอสุรา จะมีคนมาหาตนเรื่อยๆ เพราะเก้าเสียงนั้น
บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่กู่ไท่หวัง เพราะที่ที่ซูหมิงอยู่พูดได้ว่าเป็นหนึ่งในที่ที่ปลอดภัยที่สุดในแคว้นกู่จั้ง
โดยเฉพาะตาแก่ในลานบ้าน ไม่ว่าจะนิสัยหรือคำพูดล้วนทำให้บางครั้งซูหมิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ดังนั้นเขากลับหวังไว้มากว่าจะให้คนที่มาสังหารตนมากันเร็วๆ จะได้สัมผัสถึงความแกร่งของตาแก่คนนี้ด้วยกัน
ช่วงที่เสียงตัดฟืนดังก้องในลานบ้าน ในยามโพล้เพล้ อุณหภูมิที่ควรจะเป็นฤดูร้อนกลับเกิดความหนาวขึ้น บนฟ้ามีหิมะตก หิมะมีความพร่างพราว ตอนที่ค่อยๆ ตกลงมานั้น มันตกลงบนตัวสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว ตกลงบนอาภรณ์ซูหมิง และก็ตกลงตรงปลายจมูกชายชรา
ชายชราตัวสั่นขึ้นมาทันที ช่วงที่กำลังบ่นพึมพำ ดวงตาซูหมิงเป็นประกายดุดันขึ้นทีละน้อย หิมะเหล่านี้ไม่ได้เกิดการจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ แต่มีแขกมาเยือน
โดยเฉพาะสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว ตอนนี้ตัวสั่นมองประตูใหญ่ของลานบ้านพร้อมกัน
“สนใจอย่างอื่นอีกแล้ว!” ชายชราเดินเข้ามาตบหัวซูหมิงทีหนึ่ง ทำให้ความดุดันในแววตาหายไป
“ตั้งใจตัดฟืน อย่าสนใจอย่างอื่นเพราะการเปลี่ยนแปลงภายนอก การตัดฟืนคือวิชาแขนงหนึ่ง ข้าตัดมาเกือบทั้งชีวิตแล้ว เจ้ายังฝึกน้อยอยู่” ชายชรามีท่าทีใช้อำนาจบาตรใหญ่ เขาหดตัวกระชับชุดกันหนาวไว้แน่น ก่อนเงยหน้ามองหิมะบนฟ้าพลางแสยะยิ้ม
“ฮ่าๆ หิมะมาได้เวลาจริงๆ ข้าชอบดูหิมะตกที่สุด”
ซูหมิงเงียบ ไม่ตรึกตรองคำพูดชายชรา แต่หลับตาลง ไม่นานก็ลืมตาขึ้น แววตาสงบนิ่ง เพียงแต่ความสงบนั้นมีความมัวหมองเล็กน้อย เหมือนว่าเขาในตอนนี้ไม่มีสติ ไม่ดูเตะตาแม้แต่น้อย ราวกับชายหนุ่มธรรมดาจริงๆ ที่ยกขวานขึ้นตัดฟืนต่อ
ชายชราวิ่งไปวิ่งมาในลานบ้านไม่หยุด ตบหิมะที่ตกลงมาเหมือนกำลังสนุกสนานมาก ส่วนสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวตื่นตัวในทุกด้าน จ้องประตูลานบ้านตาเขม็งด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งยังส่งเสียงเห่าเกือบเรียกว่าข่มขู่โดยจิตใต้สำนึก
ซูหมิงยังคงก้มหน้าตัดฟืน เขานึกถึงตอนที่ตนกับกู่ไท่มาที่นี่ครั้งแรก ชายชราก็เป็นเหมือนตนตอนนี้ ก้มหน้าตัดฟืนเงียบๆ
ไม่นานมีเสียงเคาะประตูลานบ้านดังขึ้น เสียงก๊อกๆ มีจังหวะมาก เหมือนพอคนได้ยินแล้วจะกายใจสงบลง แต่เมื่อเข้ามาในลานกลับทำให้สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวส่งเสียงเห่าดังกว่าเดิม
“หืม? ยังไม่ไปเปิดประตูอีก ไม่ได้ยินคนเคาะประตูรึ ไปดูหน่อยว่าใคร” ชายชราตบหิมะพลางหันมาพูดกับซูหมิง
ซูหมิงเงยหน้าขึ้น วางขวานลงด้วยสีหน้ายังคงเฉยชา ดวงตามัวหมอง จนเมื่อเดินมาเปิดประตูแล้วก็เห็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดคลุมเต๋าตัวใหญ่ยืนอยู่นอกประตู นางมีใบหน้างดงาม มองซูหมิงด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“มาหาใคร” ซูหมิงกวาดสายตามองสตรี คิ้วขมวดพลางถามขึ้น
“มาหาเจ้า” สตรีงามยิ้ม ไม่รอให้ซูหมิงตอบก็เดินผ่านข้างกายเข้าไปในลานบ้าน พริบตาที่เข้ามา ชายชราที่กำลังตบหิมะพลันหยุดชะงัก มองสตรีงามอึ้งๆ มุมปากยังมีน้ำลายไหล
แต่ก็สงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน
หญิงงามเห็นการกระทำชายชราแล้วก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม ในมุมมองนางชายชราคนนี้เป็นคนธรรมดา ไม่มีความพิเศษอะไร แต่นางมีความมั่นใจในรูปโฉมตัวเอง เลยไม่ได้ถือสาที่จะมีชายชราคนธรรมดาหลงใหลรูปโฉมตน
นางเพียงแค่ประหลาดใจเล็กน้อยว่าเหตุใดชายชราถึงเข้าไปในบ้านอย่างกะทันหัน
แต่เรื่องนี้เล็กมาก หญิงงามมองในลานบ้านแวบหนึ่ง ตอนที่มองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวก็ไม่เห็นพิรุธอะไร จากนั้นถึงมองซูหมิง
“เจ้าคือองค์ชายสามรึ? มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก็หาง่ายดี แต่ที่นี่ก็ไม่ธรรมดา เทือกเขาล้อมรอบเป็นวงแหวนอาคมธรรมชาติ หลบหลีกการตามหาด้วยจิตทั้งหมด ซ้ำที่นี่ยังซ่อนรูปแบบชะตาเอาไว้ หากไม่มีพลังมากพอก็ยากจะรู้ถึงที่นี่” หญิงงามกวาดสายตามองรอบหนึ่งก็เห็นถึงเงื่อนงำที่นี่ ด้วยความแกร่งของพลังตนจึงมองได้เป็นจุดๆ
“อีกทั้งในลานนี้ยังวงแหวนอาคมเหล่านี้ไว้ด้วย อืม…มีความรู้สึกยุ่งเหยิงเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะเร็วๆ นี้มีคนมาก่อนหน้าข้า ดูจากกลิ่นอายพลังแล้ว…” หญิงงามลืมตาขึ้นเล็กน้อยแล้วยิ้มทีหนึ่ง
“เป็นเต๋าสูงศักดิ์สองคน ดูท่าข้าคงจะดูถูกที่นี่ไม่ได้จริงๆ คนที่ทำแบบนี้ได้ในสำนักเจ็ดจันทราน่าจะเป็นกู่ไท่” ฟังจากน้ำเสียงหญิงงามแล้วเหมือนอยู่ระดับเดียวกับกู่ไท่ และยังเผยพลังของนางว่า…ไม่ใช่เต๋าสูงศักดิ์อย่างแน่นอน!
นางพลันแผ่ขยายจิตสัมผัส แต่ก็ต้องขมวดคิ้วอย่างรวดเร็ว ขณะกำลังจะกล่าวนั้น ซูหมิงนั่งลงบนตอไม้อีกครั้งแล้ว หยิบขวานขึ้นตัดฟืนต่อ
“เจ้าหนูนี่สนใจ” หญิงงามมองซูหมิงด้วยรอยยิ้มเบิกบานกว่าเดิม ตอนที่เดินเข้ามาใกล้ซูหมิง นางก้มตัวลงเล็กน้อย เผยส่วนเว้าโค้งงดงามใต้ชุดคลุมเต๋าตรงสะโพก
“ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ข้าจีอู๋เมิ่ง ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายอสุรา เซียนเยือกเย็น องค์ชายสามไม่สนใจมาฝึกที่ฝ่ายอสุรารึ?” หญิงงามมีใบหน้างดงามมาก ผิวหนังขาวผ่อง จึงทำให้ใบหน้านางมีความรู้สึกที่คนอื่นต้องใจสั่นไหว
แต่ซูหมิงยังคงตัดฟืนด้วยสีหน้าอึมครึม
หญิงงามยังคงยิ้ม ทันทีที่ยืนขึ้น ประตูบ้านในลานถูกเปิดออก ร่างเงาสวมชุดคลุมบัณฑิตที่ค่อนข้างใหญ่สีเขียวทั้งตัว สวมหมวกบัณฑิต เส้นผมยุ่งเหยิงในตอนแรกตอนนี้ถูกรวบไว้บนบ่าลวกๆ ในมือถือพัดพังๆ อันหนึ่งเดินออกมา…
คนนี้…ก็คือตาแก่นั่น ก่อนหน้านี้เขากลับเข้าไปในบ้านและเปลี่ยนชุดให้เร็วที่สุด ตอนนี้เดินถือพัดออกมาด้วยใบหน้าตื่นเต้น ดวงตาฮึกเหิม ทั้งยังกระแอมไปหลายที
“สวัสดีแม่นาง”
ซูหมิงหยุดชะงักขวานในมือ เขายอมรับว่าความสงบนิ่งทุกอย่างของตนในตอนนี้พังลงเมื่อชายชราเอ่ยขึ้น หญิงงามข้างๆ ก็อึ้งไปเช่นกัน แต่ไม่นานก็ปิดปากหัวเราะ มองชุดกับท่าทางของชายชรา
ดวงตาสองข้างกลายเป็นจันทร์เสี้ยว
“แม่นางอย่าหัวเราะ ข้าชอบสตรีก้นใหญ่ๆ มากที่สุด เจ้าอย่ายืนตรงหน้าศิษย์ของข้า เจ้าหนูนั่นไม่ชอบสตรีก้นใหญ่ แต่ข้าชอบ” ชายชราคลี่พัดออก เผยหน้าพัดที่มีคราบน้ำมันติดอยู่เล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้น มีท่าทีที่เขาคิดว่าสง่างาม
“คืนวันนี้ทิวทัศน์สวยงาม หิมะขาวโปรยปราย เหมาะจะเป็นวันที่นัดกับสตรีก้นใหญ่ แม่นาง พวกเราอยู่ด้วยกันในคืนหิมะเถอะ ในลานแห่งนี้ ให้ฟ้ายามค่ำคืนเป็นผ้าห่ม ให้ลานเป็นเตียงสำหรับการบรรเลงรักอย่างดุเดือดของเรากันดีกว่า
แม่นาง ข้ารักเจ้า…” ชายชรามีสีหน้ารักใคร่ เขาเดินเข้ามาเร็วๆ หลายก้าวจนมาอยู่ตรงหน้าหญิงงามที่ตอนนี้ยิ้มไม่ออก แต่กำลังอึ้ง
“จีอู๋เมิ่งรึ นามดีๆ เซียนเยือกเย็น นามนี้ไม่ดี เยือกเย็นๆ นี่น่าจะเป็นนามที่ไม่คู่ควรกับสตรีก้นใหญ่ เจ้าน่าจะใช้นามว่า…เซียนก้นใหญ่มากกว่า! ไม่ผิด นามนี้แหละดีมาก ซูหมิง เจ้าว่านามนี้เป็นอย่างไร” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ซูหมิงเงียบ ยังคงยกขวานตัดฟืนต่อไป เขาเข้าใจแล้ว เมื่อคืนวานชายชราบอกว่าต้องการสุนัขสองตัว ดังนั้นจึงปรากฏสุนัขสองตัวตอนกลางคืนจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าต้องการสตรีก้นใหญ่ ดังนั้น…เซียนเยือกเย็นคนนี้จึงมาจริงๆ
เซียนเยือกเย็นจีอู๋เมิ่งดวงตาเป็นประกายเย็นชา แต่กลับยิ้มมุมปากทีละน้อยอีกครั้ง มองชายชราตรงหน้า ในมุมมองนางอีกฝ่ายไม่มีพลังอะไรเลย เป็นเพียงชายชราธรรมดาเท่านั้น แต่คนธรรมดาเว้นแต่จะเป็นพวกหมกมุ่นในกามรมณ์ มิเช่นนั้นแล้วจะไม่ทำเรื่องไร้สาระแบบนี้
“องค์ชายสาม นี่คือคนที่สำนักเจ็ดจันทราให้ปกป้องเจ้ารึ?” เซียนเยือกเย็นยิ้มเย็นชากว่าเดิม
“เฮ้! แม่นางก้นใหญ่ เจ้าอย่าคุยกับเขาได้หรือไม่ ข้าอิจฉา!” ชายชราพูดขึ้นอย่างจริงจัง แต่เพิ่งกล่าวจบ เซียนเยือกเย็นพลันยกมือขวาขึ้นโบก ความน่าเกรงของมหาเต๋าสูงศักดิ์พลันปกคลุมทั้งฟ้าดิน ทำให้โลกนี้เหมือนถูกผนึกด้วยน้ำแข็ง ไอหนาวแผ่กระจายไปรอบๆ หิมะโปรยปรายปกคลุมโลก
แต่ว่า…นางกลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เพราะมือขวาที่นางยกขึ้นถูกชายชราจับเอาไว้ บีบไปบีบมาด้วยสีหน้าถ่อยทราม
“เจ้า!” ตอนนี้ในใจหญิงงามเกิดความหวาดกลัว นางรู้ชัดว่าด้วยพลังตน ผู้แข็งแกร่งในโลกนี้ที่คว้ามือตนไว้ตอนใช้วิชาได้มีไม่เกินยี่สิบคน แต่ชายชราตรงหน้า…กลับบีบมือขวาตนแบบสบายมากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขณะจะถอย นางก็พบว่าร่างอ่อนยวบไปทั้งตัว นางในตอนนี้ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวกลางลานไม่ไกลนักกำลังมองนางอย่างมีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์เหมือนตน
“ผู้อาวุโส…” หญิงงามหน้าซีดขาวขาว มองชายชราที่บีบมือขวาตนด้วยความตื่นกลัว
“ชู่ว์!” ชายชราดึงนิ้วมือนางมาตรงริมฝีปากตน มองหญิงงามอย่างจริงจังมาก ลูบมือนางไปพลางกดนิ้วไล่เป็นจุดๆ ด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังถามอย่างจริงจัง
“เจ้าก้นใหญ่หรือไม่?”
ซูหมิงยกขวาขึ้นหยุดชะงักอีกครั้ง ก่อนถอนหายใจไม่สนใจทุกเรื่องภายนอกอีก แต่ตั้งใจตัดฟืน เขารู้สึกว่าด้วยความประหลาดของชายชรา ในแคว้นกู่จั้งคงมีไม่กี่คนจริงๆ ที่ขวางเขาได้
“หืม? เหตุใดเจ้าไม่ตอบ?”
“จะจะเจ้า เจ้าก็ดูถูกข้าเหมือนกันรึ!” ชายชราโกรธขึ้นมาทันที ซ้ำยังตะโกนเสียงดัง หญิงงามหน้าซีดกว่าเดิม ความตื่นกลัวในแววตาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกชัดว่าพลังตนกำลังถูกชายชราสูบไป โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายโกรธ ความเร็วในการสูบจะมากขึ้นเรื่อยๆ
1428 ความหมายลึกซึ้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“มะ…ไม่ใหญ่…” ตอนนี้หญิงงามไม่สนใจเกียรติแล้ว ชายชราตรงหน้าให้ความรู้สึกที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ระดับความน่าสยดสยองทำให้นางอดนึกถึงตำนานหนึ่งไม่ได้!
สามเทพเต๋าขั้นเก้าแห่งแคว้นกู่จั้งในตำนาน หนึ่งคือจักรพรรดิ มีร่างมโหฬาร ฟ้าดินต้องกราบไหว้ ใช้สายเลือดราชวงศ์กับเต๋าสืบทอดสร้างบารมีไปทั่วหล้า ไม่ต้องทำสงครามก็ชนะหมื่นสนามรบ!
อีกคนหญิงงามไม่แปลกตา นั่นคือบรรพบุรุษสูงสุดของฝ่ายอสุรา ซิวหลัวเต้า!
อาศัยความบ้าอำนาจสูงสุดให้ฟ้าดินศิโรราบ ให้ทุกชีวิตยำเกรง ความบ้าอำนาจนั้นคือสิ่งสำคัญที่สุดในเต๋าของฝ่ายอสุรา!
คนสุดท้าย คนอื่นไม่รู้จักนาม แต่หญิงงามที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายอสุรามีปีหนึ่งเคยพบกับบรรพบุรุษซิวหลัวเต้า เคยได้ยินเขาพูดจึงรู้ความลับที่คนอื่นไม่รู้ อย่างเช่นนามของเทพเต๋าขั้นสามคนที่สาม นั่นคือกูหง!
คนนี้ใช้ชีวิตโดดเดี่ยว นิสัยประหลาด คุ้มดีคุ้มร้าย เปลี่ยนไปราวกับเมฆ ต่างกับจักรพรรดิและซิวหลัวเต้าอย่างชัดเจน ทำตัวตามอำเภอใจ กระทั่งตอนที่บรรพบุรุษซิวหลัวเต้าพูดถึงคนนี้ สีหน้ายังไม่อาจสงบลงได้ เกิดคลื่นอารมณ์เล็กน้อย มีเพียงแค่ประโยคเดียวสำหรับเทพเต๋าขั้นเก้าคนที่สามนี้
‘ไร้ยางอายที่สุด!’
ตอนนี้หญิงงามจีอู๋เมิ่งตัวสั่นหวาดกลัวในใจ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นนามที่บรรพบุรุษซิวหลัวเต้าเคยพูดถึง
เทพเต๋ากูหงผู้มีชื่อเสียงพอๆ กับเทพเต๋ากู่ตี้และซิวหลัวเต้า!
“ไม่ใหญ่รึ?” ตาแก่อึ้งไป กะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าลังเล เพิ่งกล่าวขึ้นเขาก็ใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในชุดคลุมเต๋าหญิงงามด้วยความถ่อยทรามยิ่ง จับเข้าที่ก้นนาง ดวงตาพลันเบิกโต เหมือนคลำเจอบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ…
“จะจะ…เจ้ากล้าหลอกข้า! เอ่อ…ไม่ใช่ๆ อะแห่ม ข้าต้องคลำดูให้ละเอียดก่อนถึงจะรู้ว่าจริงหรือไม่ หึหึ อย่าคิดปิดบังข้าเชียว” เดิมทีชายชรายังโกรธอยู่ แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นดวงตาเป็นประกายวาว รีบกระแอมไอหลายที มือซ้ายคลำในชุดคลุมเต๋าหญิงงามไม่หยุด
ยามนี้หญิงงามไม่ได้มีสีหน้ากระดากอาย นางอายุเท่านี้แล้วมีอะไรไม่เคยผ่านมาบ้าง จึงไม่อยากขัดเรื่องนี้ แต่จะให้ความร่วมมือ…
โดยเฉพาะตอนที่คาดเดาฐานะชายชรา ความตื่นกลัวในใจทำให้ลืมการต่อต้านไปแล้ว ถึงขั้น…ไม่อยากต่อต้านมากนัก
“หึหึ เจ้าหลอกข้าจริงๆ ด้วย แต่ข้าเป็นคนมีเหตุผล เอาแบบนี้ ข้าจะขอศึกษาอีกสักครู่ ดูว่าเจ้าพูดโกหกจริงๆ หรือไม่” ชายชรารีบคลึงอีกหลายที มีสีหน้าตรึกตรองอย่างจริงจัง
“หืม? เหตุใดถึงไม่รู้สึกเลย เฮ้อ คงอายุเยอะ ไม่ได้การ เพื่อความบริสุทธิ์ของแม่นางก้นใหญ่ท่านนี้ ข้าจะต้องทำการศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง” ขณะที่ชายชรากำลังเล่นสนุกจนลืมเหนื่อย ซูหมิงเมินเฉยต่อทุกอย่างที่ได้ยิน ตาแก่จะเล่นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว แต่ยกขวานขึ้นฟันลงหลายต่อหลายครั้ง ตัดฟืนแบ่งออกเป็นสองท่อน
จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ช่วงที่ใบหน้าหญิงงามเริ่มแดงเรื่อ ชายชราถึงดึงมือออกมาจากใต้ชุดคลุมเต๋าหญิงงามอย่างไม่อยากจาก ดวงตาถลึงโตเหมือนจะปะทุเพลิงความโกรธ
“สมควรตาย จะจะเจ้า เจ้าหลอกข้าอีกจริงๆ ก้นเจ้านี่ถือว่าเล็กรึ มีความยุติธรรมหรือไม่ มีกฏหมายบ้านเมืองหรือไม่ ฟ้าดินหนอ ดวงตะวันใหญ่บนฟ้ามองเห็นหรือไม่ ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะกล้าบอกว่าตัวเองก้นเล็ก!” ชายชราโกรธอย่างยิ่ง พูดพลางชี้ผืนฟ้า
แต่ท้องฟ้าในตอนนี้…เป็นคืนมืด
มองไม่เห็นฟ้าดิน และก็ไม่เห็นดวงตะวันใหญ่อะไรนั่นด้วย แต่ชายชราเหมือนจะไม่สนใจ ตอนนี้ขณะตะโกน หญิงงามตัวสั่นแรงขึ้น พลังมากกว่าครึ่งถูกชายชราสูบไป ความรู้สึกร่างกายอ่อนยวบทำให้นางใช้สายตาอ้อนวอน
ตอนนี้ในใจนางรู้สึกเสียใจภายหลังถึงขีดสุด เกลียดตัวเองที่ไม่ควรมาหมู่บ้านภูเขาประหลาดนี่ มาสร้างปัญหาให้ซูหมิง ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่เจอกับคนที่นางหวาดกลัวคนนี้
“ข้า…” ขณะหญิงงามกำลังจะกล่าว ความโกรธของตาแก่เหมือนจะถึงขีดสุด จึงตะโกนเสียงดังไปทางซูหมิง
“ซูหมิง ซูหมิง เจ้าหยุดตัดฟืนก่อน หึหึ ไม่อยากเชื่อว่าแม่นางก้นใหญ่จะกล้าหลอกข้า เห็นๆ อยู่ว่านางก้นใหญ่ แต่กลับโกหก สมควรตายๆ หรือว่ามือข้าเล็กเกินไปกันแน่?
ไม่ได้การ นี่เป็นเรื่องที่จริงจังอย่างยิ่ง จะต้องมีพยาน มาๆๆ เจ้าโยนขวานทิ้งไปก่อน มาคลำดูแล้วบอกข้าว่าใหญ่หรือเล็ก!” ขณะชายชรากำลังตะโกนด้วยความโกรธ เดิมทีซูหมิงคิดว่าจิตใจตนสงบแล้ว แต่ตอนนี้กลับปั่นป่วนขึ้นมา เขาหยุดชะงัก หันหน้าไปยิ้มเฝื่อนมองตาแก่
“หืม? ยิ้มแบบนี้ เจ้าหนู หรือเจ้าเองก็ชอบแม่นางก้นใหญ่คนนี้ ฮ่าๆ ดูท่าพวกเราสองสองคนจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ ไม่เสียแรงที่ข้าให้เจ้ากินเจ้าดื่ม ให้สุนัขขาวกับเจ้า ช่างถอะๆ ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา มีคุณธรรมเสมออยู่แล้ว!
ตอนนั้นเจ้าหนูกู่ไท่กับข้ายังเคยไป…อะแห่มๆ เรื่องในอดีตช่างมันเถอะ เจ้าซูน้อย วางใจเถอะ คืนวันนี้จะให้เจ้านอนในบ้าน พวกเราสองคนจะคุยเรื่องความรักกับแม่นางก้นใหญ่อย่างดุเดือดด้วยกัน!” ชายชรายิ้มประมาณว่า ‘ข้าเข้าใจ’ พลางพูดกับซูหมิงอย่างตรงไปตรงมามาก
หญิงงามได้ยินดังนั้นก็หน้าซีดเผือด แต่ในใจกลับไม่ได้หวาดกลัวเรื่องนี้เท่าไรนัก นางกลัวอยู่อย่างเดียวคือตอนนี้ต้องทำอย่างไรถึงหนีจากตาแก่คนนี้ได้
ช่วงที่ซูหมิงกำลังจะอธิบายเรื่องที่ตาแก่เข้าใจผิด ทันใดนั้นเองชายชราหมุนตัวกลับไปสบตากับสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวพอดี ตอนนี้ในใจหญิงงามเต้นระรัว ใบหน้าซีดขาว กระทั่งแก่นแท้ของความตื่นกลัวยังย้ายมาอยู่ที่นี่
ตาแก่ลังเล
เขามีสีหน้าลังเล แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตรจริงๆ เป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ตอนนี้จึงสะบัดแขนเสื้อ ก่อนตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่เห็นๆ อยู่ว่าสนใจมาก แต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ
“ช่างเถอะๆ มีขนก็ไม่เป็นไร พวกเจ้าโชคดีแล้ว หึหึ คืนวันนี้…รอพวกเราสองคนคุยเรื่องรักจบก่อน จะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองรสชาติรักด้วย”
“ผู้อาวุโสกูหง!” ความตื่นกลัวทางสีหน้าหญิงามรุนแรงกว่าก่อนหน้า นางกล่าวเสียงแหลมด้วยความร้อนรน เชื่อว่าด้วยฐานะและพลังของตาแก่ ในเมื่อพูดแล้วก็จะต้องทำอย่างแน่นอน
“เจ้าพูดอะไร เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ สมควรตาย นี่เป็นความลับ จะจะเจ้า…ข้าชื่อกูหง แต่นี่เป็นความลับ ข้าเกลียด ข้าเกลียด ซูหมิง เจ้ายังไม่มาพิสูจน์อีกว่านางก้นใหญ่หรือไม่!” ตอนนี้ตรงหัวชายชราเหมือนมีควันสีขาวลอยขึ้น ดวงตามีเส้นเลือดฝอย ตอนที่มองซูหมิง เหมือนว่าหากซูหมิงไม่มาคลำเขาจะระเบิดออก คิดว่าซูหมิงดูถูกเขา
ซูหมิงเงียบ แต่ไม่นานก็ยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มคู่กับสีหน้าเฉยเมย ทั้งยังกวาดสายตามองร่างหญิงงามแล้วพูดขึ้นช้าๆ
“เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสว่าไว้ สตรีท่านนี้พูดโกหกจริงๆ”
“หืม? เจ้ายังไม่คลำก็รู้แล้วรึ?” ตาแก่มองซูหมิงอย่างสงสัย
“ชีวิตนี้แซ่ซูทำได้ถึงระดับที่ไม่ต้องสัมผัสก็แยกแยะได้ตั้งนานแล้ว จุดนี้ผู้อาวุโสยังต้องฝึกอีกเยอะ” ซูหมิงยิ้มตอบกลับด้วยสีหน้าเฉยๆ
พูดจบ ตาแก่อึ้งไป ผ่านไปพักใหญ่สายตาที่มองซูหมิงพลันฉายแววเร่าร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งยังมีความรู้สึกของคนที่เข้าใจกันและกัน
“อะแห่มๆ บอกข้าที เจ้า…เจ้ามองออกได้อย่างไร? สอนข้าที ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราก็มาตกลงกัน ข้ามีข้าวของไม่น้อย และยังมีคาถาซับซ้อนอีกเล็กน้อย” ชายชรารีบพูดขึ้น
“ได้แค่ให้สัมผัส จะพูดถ่ายทอดให้ไม่ได้”
“มีเหตุผล มีเหตุผลมาก มีเหตุผลมากๆ มีเหตุผลอย่าง…หืม? ย่ามันเถอะ ก้นสุนัข เจ้าหลอกข้า!” ชายชราพยักหน้าโดยจิตใต้สำนัก แต่พูดได้ครึ่งหนึ่งก็เหมือนรู้ตัว จึงโกรธขึ้นมาโดยพลัน
ซูหมิงเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นรวดเร็วและดุดัน เมื่อมองเรือนร่างหญิงงามแล้ว หลายลมหายใจต่อมาก็พูดขึ้นเรียบๆ
“ฝึกเต๋าสามหมื่นแปดพันเจ็ดร้อยเก้าสิบสองปี เสียพรหมจารีตอนอายุสามสิบเก้า ชีวิตนี้มีคู่ชีวิตสิบเก้าคน สะโพกใหญ่สี่ฝ่ามือ!” ซูหมิงมีสีหน้าราบนิ่งมาก แต่เมื่อกล่าวขึ้น ตาแก่กลับมีสีหน้าตกตะลึง
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” หญิงงามกำลังจะพูดขึ้นก็ถูกความเลื่อมใสทั่วทั้งใบหน้าของตาแก่ขัดเสียก่อน
“ยอดฝีมือ ยอดฝีมือ ไม่คิดเลยว่าเจ้าซูน้อยจะเป็นยอดฝีมือ!”
“ยังต้องขอบคุณที่ผู้อาวุโสชี้แนะ” ซูหมิงยิ้มน้อยๆ
“มิกล้าให้คำชี้แนะ เรียกว่าเรียนรู้ซึ่งกันและกันดีกว่า เอ่อ…ฟ้าก็มืดแล้ว ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ต้องคุยเรื่องรักกับแม่นางก้นใหญ่ท่านนี้” ดวงตาชายชราเปล่งประกาย เขาจับมือหญิงงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว หญิงงามไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำได้เพียงถูกลากเข้าไปในบ้าน
“ผู้อาวุโสกูหง ข้าคือผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายอสุรา ท่าน…ท่านอย่าทำแบบนี้ บรรพบุรุษซิวหลัวเต้าเขา…” หญิงงามรึบพูดขึ้น แต่ยังพูดไม่จบ ตาแก่ก็ตะโกนเสียงดังขึ้น
“สมควรตาย อย่าพูดถึงไอ้บัดซบซิวหลัวเต้า! ข้าจะหาสตรีก้นใหญ่ ทั้งแคว้นกู่จั้งไม่มีใครกล้าไม่บอกนามข้า แต่ไอ้บัดซบซิวหลัวเต้ามันกล้า!
ไม่ว่าจะเป็นไอ้บัดซบนั่นหรือจักรพรรดิสมควรตายล้วนมีบ้านมีกิจการ ข้าตัวคนเดียว ใครจะกล้าล่วงเกิน!” ตาแก่พูดอย่างโอหังถึงขีดสุด ก่อนพาหญิงงามกลับเข้าไปในบ้าน ปิดประตูดังปัง
“หืม เจ้าซูน้อย เหตุใดยังไม่เข้ามาอีก รีบเข้ามาเร็ว” ไม่นานประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ตาแก่มองซูหมิงอย่างจริงจัง
“นี่เป็นโชควาสนาของเจ้า เจ้าต้องคิดให้ดี จะเข้าหรือไม่เข้า”
1429 เมื่อตัดลง ข้าจะบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงตาซูหมิงเป็นสมาธิ แม้ชายชราจะมีสีหน้าจริงจังบ่อยครั้ง ทำให้คนอื่นยากจะแยกออกว่าตอนใดจริงจังจริงๆ ตอนใดจริงจังหลอก ทว่าตอนนี้ที่ซูหมิงมองชายชรากลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหมือนมีความรู้สึกว่าชายชราจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่า…นี่คือโชควาสนาจริงๆ
ขณะเงียบ ดวงตาซูหมิงฉายแววครุ่นคิด ตาแก่ไม่พูด แต่กลับเข้าไปในบ้าน เปิดประตูไว้ครึ่งบานดั่งการเลือก
“เข้าประตู…” ซูหมิงพึมพำ ประตูเปิดครึ่งหนึ่งเป็นการชี้ให้เห็นที่ง่ายมาก หากก้าวเข้าประตูก็จะเท่ากับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของชายชรา!
ทว่ามีฐานะของศิษย์นี้ มีอาจารย์บ้าอำนาจในแคว้นกู่จั้ง พูดได้ว่าเส้นทางในอนาคตของซูหมิงจะราบเรียบ จะเห็นได้ว่านี่คือเป้าหมายของกู่ไท่ เขาพาซูหมิงมาที่นี่เพราะเรื่องนี้!
หลังผ่านการทดสอบมาหลายเดือน ตอนนี้เขาได้รับการยอมรับจากตาแก่ ดังนั้น…ถึงมีประตูเปิดไว้ครึ่งบาน
หากเป็นองค์ชายสามจริงๆ เช่นนั้นการเข้าประตูจะเท่ากับก้าวไปสู่จักรพรรดิครึ่งก้าวแล้ว เดินอยู่หน้าองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง กระทั่งด้วยนิสัยของตาแก่ก็คงจะเป็นพวกที่ยกหางพวกตัวเองด้วย
แต่ว่า…สิ่งที่ขวางก้าวนั้นของซูหมิงไม่ใช่สำนัก ไม่ใช่พึ่งชายชราคนนี้ และไม่ใช่การคุยเรื่องรักกับหญิงงามอะไรนั่น เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเขาเข้าใจว่าชีวิตนี้บางครั้งสิ่งที่เห็นกับตาตัวเอง สิ่งที่ได้ยินกับหูตัวเองก็ไม่ใช่ความจริงเสมอไป ชายชราทำแบบนี้ย่อมมีความหมายแฝงอยู่ โดยเฉพาะประตูที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ซูหมิงเข้าใจความคิดชายชราแล้ว เพียงแต่…สิ่งที่เขาสนใจ…คือ…
เขาไม่ใช่องค์ชายสาม ความคิดนี้วนเวียนในหัวไม่หยุด เขาบอกกับตัวเองตลอดว่านี่คือการยึดร่างระหว่างเขากับเสวียนจั้ง!
เขาเข้าสำนักเจ็ดจันทราได้ รู้จักกู่ไท่ได้ ยอมรับสวี่จงฝานได้บ้าง แต่ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้คือเปลือกนอก ภายในใจเขาไม่ยอมรับทุกคนกับเรื่องราวในโลกนี้แม้แต่น้อย
เพราะเขาไม่อยากอยู่โลกนี้ ไม่อยากให้เกิดการการผูกพันและข้อผูกมัด หากเกิดขึ้น…เขากลัวว่าจะแยกไม่ออกจริงๆ ว่าตนอยู่ข้างใด
การเป็นศิษย์เป็นเรื่องเล็ก แต่ด้วยนิสัยซูหมิงย่อมเข้าใจว่าหากเลือกเข้าประตูบานนั้น เขาจะผูกมัดกับชายชราจริงๆ และหากเกิดการผูกมัด ก็เท่ากับเกิดเส้นแรกกลางตาข่ายใหญ่ที่เตรียมถักขึ้น จนกระทั่งถักขึ้นทีละเส้นๆ จนออกมาเป็นตาข่ายใหญ่สมบูรณ์แล้ว มันจะขังเขาไว้ข้างใน…
จะไม่ให้เขาเงียบได้อย่างไร
เวลาผ่านไปช้าๆ จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม ประตูบ้านเปิดออกทั้งหมด หญิงงามเดินออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว อาภรณ์ยังอยู่ครบ ช่วงที่เดินมาถึงลานบ้าน นางหันกลับไปมองบ้านแวบหนึ่งด้วยความตื่นกลัว ทั้งยังมองซูหมิงอย่างซับซ้อนก่อนประสานมือคารวะลึกๆ
“เรื่องก่อนหน้านี้ล่วงเกินไปมาก นับจากนี้เจ้าอยู่ที่นี่ อู๋เมิ่งจะหลีกเลี่ยง หากเจ้าสำเร็จเต๋าสูงศักดิ์ อู๋เมิ่งจะส่งของขวัญมาให้” หญิงวัยกลางคนพูดพลางประสานมือคารวะลึกๆ อีกครั้ง ก่อนเป็นสายรุ้งยาวขึ้นฟ้าหายไปในพริบตา
คล้อยหลังหญิงงาม ตาแก่เดินออกมาจากในบ้าน มานั่งอยู่ตรงธรนีประตู ไม่มีสีหน้าล้อเล่นอีก แต่ถอนหายใจเบา
“ชีวิตนี้ข้าไม่เคยรับศิษย์มาก่อน และก็ไม่รู้ว่าควรจะรับอย่างไร ดูท่าการรับศิษย์คงต้องให้ของขวัญด้วย ก็เลยคิดอยู่ว่าจะมอบพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ให้กับเจ้า หลังสูบพลังจากจีอู๋เมิ่งมาแล้วก็จะถ่ายในตัวเจ้า ภายใต้การช่วยเหลือของข้า ต่อให้ไม่สำเร็จมหาเต๋าสูงศักดิ์ ก็มากพอจะก้าวสู่เต๋าสูงศักดิ์
ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่เข้าใจ เหตุใด…ถึงปฏิเสธ?”ชายชรานั่งอยู่บนตอไม้ กล่าวพลางหยิบม้วนยาสูบออกมา มองซูหมิงในคืนมืดพร้อมถามขึ้นเนิบๆ
ซูหมิงเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี อยู่กับตาแก่มาหลายเดือน เขาชอบชีวิตแบบนี้มาก ชอบการตัดฟืนแบบนี้ มองออกว่าตาแก่ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อตนแม้แต่น้อย ในทางกลับกันมันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก
“เจ้าก็รู้ว่าการเป็นศิษย์ข้า ด้วยสายเลือดราชวงศ์ของเจ้าแล้ว ข้าพาเจ้าไปเมืองหลวงพบบิดาเจ้าได้เลย เมื่อข้าบอกความต้องการแล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิแห่งกู่จั้งก็ต้องเห็นด้วยที่ให้เจ้าเป็นองค์รัชทายาท!
หากเขาไม่เห็นด้วย ข้าจะสังหารองค์ชายสองคนนั้น! ต่อให้ไอ้บัดซบซิวหลัวเต้ามาขวาง แม้ข้าจะสังหารเขาไม่ได้ แต่ก็ทำลายฝ่ายอสุราเขาได้!
เจ้ารู้หรือไม่ว่า…เจ้าปฏิเสธโชควาสนาอะไรลงไป! นี่คือการรับศิษย์ครั้งแรกของข้า ตั้งแต่ที่ข้าฝึกเต๋ามาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าตรึกตรองอย่างจริงจังนานมากว่าควรจะเตรียมโชควาสนาอะไรไว้ให้ศิษย์ ควรจะอุ้มชูศิษย์อย่างไรเพื่อให้เดินไปถึงจุดสูงสุดของแคว้นกู่จั้ง!
มีข้าเป็นอาจารย์ เจ้ายังมีโอกาสก้าวสู่เทพเต๋าขั้นเก้า! เจ้า…เพราะเหตุใดถึงปฏิเสธ! ปฏิเสธชายชราน่าสงสารคนนี้ ปฏิเสธชายชราผู้โดดเดี่ยว…เจ้าทำลงคอได้อย่างไร!” ชายชราพูดไปพูดมาก็ถอนหายใจ
“สุนัขสองตัวนั่น เดิมทีเป็นของที่อาจารย์เตรียมไว้ เป็นสัตว์วิญญาณในภายภาคหน้าของเจ้า เพราะในมุมมองข้า สัตว์วิญญาณทั้งหมดในแคว้นกู่จั้งไม่คู่ควรกับศิษย์ของข้า สัตว์วิญญาณข้างกายศิษย์ข้าจะต้องเป็นผู้ฝึกฌานแปลงกาย มีแต่แบบนี้เท่านั้นมากพอจะโอหัง!
แต่เจ้า…จะจะเจ้า เจ้ากลับกล้าปฏิเสธข้า เจ้าดูถูกข้า!” ชายชราถลึงตามองซูหมิงด้วยความโกรธ
ซูหมิงมองตาแก่เงียบๆ ในใจสั่นสะเทือนแล้ว จากประสบการณ์ แม้ชายชราจะแกร่งกว่าเขามากๆ อายุก็มากกว่าไม่รู้เท่าไร แต่ซูหมิงไม่ใช่ผู้ฝึกฌานธรรมดา ประสบการณ์ในชีวิตทำให้เขาแยกออกว่าใคร…ดีต่อเขาจริงๆ
อย่างเช่นชายชราคนนี้ แม้จะอยู่ด้วยกันหลายเดือน แต่เขาเป็นคนที่จริงใจต่อซูหมิงซึ่งมีไม่กี่คนที่พบในแคว้นกู่จั้ง
ซูหมิงถอนหายใจเบา เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองดาราบนฟ้า ยกมือขวาขึ้นโบก สุนัขสองตัวพลันหัวเอนล้มลงหมดสติไป ตั้งแต่ที่ซูหมิงตั้งชื่อให้พวกมัน เขาก็รู้ความคิดชายชราแล้ว นั่นไม่ใช่การตั้งชื่อ แต่เป็นการประทับรูปแบบชะตา
“หากข้าเป็นองค์ชายสามจริงๆ บุญคุณครั้งนี้ ข้าย่อมเป็นศิษย์ผู้อาวุโส” ซูหมิงพูดขึ้น เขารู้ว่าจะพูดแบบนี้ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังพูดออกไป บางครั้งก็ไม่ต้องใคร่ครวญมากนัก ต้องถามใจตัวเอง
ชายชราอึ้งไป ก่อนเงยหน้าเพ่งมองซูหมิง
“ข้าไม่ใช่องค์ชายสาม เหมือนกับที่ข้าบอกไว้กับผู้อาวุโสก่อนหน้า ข้ามีนามว่าซูหมิง ไม่ใช่…เสวียน” ซูหมิงพูดเสียงเบา คำพูดดังก้องไปรอบๆ
ชายชราหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนพูดต่อเนิบๆ
“ว่าต่อไป”
“ข้าน่าจะไม่ใช่คนของโลกนี้ บ้านเกิดข้าคือผีเสื้อที่มีนามว่าซางเซียง กำเนิดบนปีกของมัน นั่นคือ…โลกสามรกร้าง สุดท้ายซางเซียงตายลง ถูกผู้ฝึกฌานนามว่าเสวียนจั้งสังหาร ส่วนข้า…หลังจากเห็นญาติพี่น้องทุกคนตายหมดแล้ว ข้าก็เลือกยึดร่างเสวียนจั้ง!
ตอนที่ข้าตื่นขึ้น ข้ามาอยู่ที่นี่ ถูกเรียกว่าองค์ชาย มีนามใหม่คือเสวียน” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อเบาๆ
เงียบ ในยามค่ำคืนในลานนี้ เมื่อซูหมิงพูดจบก็เงียบสงัด เขาไม่ได้พูดต่อ ส่วนชายชราหลับตาลงเงียบไป
จนผ่านไปครึ่งชั่วยาม ชายชราลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าสงสัยว่าที่นี่เป็นของปลอม คิดว่านี่คือโลกที่เกิดขึ้นจากความทรงจำของเสวียนจั้งตอนที่เจ้ายึดร่างเขา กระทั่งเจ้ายังกังวลว่าทุกอย่างเจ้าที่ประสบมา ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่เสวียนจั้งเคยผ่านมาในอดีต!
ดังนั้น เจ้าถึงไม่อยากผูกพันกับทุกคนที่นี่ เจ้าคิดแค่จะฝึกฝนที่นี่จนอยู่ระดับเดียวกับเสวียนจั้ง เจ้าก็จะยึดร่างสำเร็จ!
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เจ้าไม่ยอมเป็นศิษย์ข้า ทว่าเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากที่นี่…เป็นของจริงล่ะ?” ชายชราถามขึ้นเบาๆ พูดจบ ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองชายชราอย่างไม่ลังเล
“บ้านเกิดข้าอยู่สามรกร้าง!”
ชายชราเงียบ หนึ่งก้านธูปต่อมาก็ถอนหายใจ ดวงตาเหมือนจะสับสน เสียงแหบแห้งดังก้องในคืนมืด
“ยังจำวันแรกที่เจ้ามาที่นี่ได้หรือไม่ เจ้าถามข้าว่าอะไร?”
“ข้าถามผู้อาวุโสว่าจะตัดอะไร” ผ่านไปครู่หนึ่งซูหมิงถึงตอบกลับ
“เมื่อนานมาแล้ว หลังจากข้าก้าวสู่เทพเต๋าขั้นเก้า ตอนที่ข้าโด่งดังไปทั่วแคว้นกู่จั้ง ตอนที่ข้าแสวงหาขอบเขตพลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ข้าเห็นเงาสะท้อนตัวเองในทะเลสาบ ข้าพลันเกิดความสับสน…
ว่าคนนั้นในทะเลสาบคือข้าหรือคนนอกทะเลสาบคือข้ากันแน่ เจ้าซิวหลัวเต้าบัดซบบอกว่าข้าบ้า กู่หวงตาแก่สมควรตายก็บอกว่าข้าเดินผิดทาง แต่ข้ารู้ใจตัวเองดีว่าตอนที่มองในทะเลสาบ ข้ากำลังถามตัวเอง
แต่ข้า…หาคำตอบไม่พบ
ข้าฝึกฝนมาทั้งชีวิต เข้าใจทุกอย่าง แสวงหาความจริง แสดงหาการขัยข้อสงสัย แต่ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจความสับสนนี้ จากนั้นมาข้าก็ไม่เข้าใจว่าโลกที่ข้าอยู่เป็นจริงหรือหลอก…ข้าก็คิดว่าบางทีข้าอาจจะบ้า ดังนั้น…
ข้าถึงตัดฟืนอยู่ที่นี่ ทว่าข้ายกขวานขึ้นกลับไม่รู้ว่าจะตัดความจริงทางซ้ายคือตัดการหลอกทางขวา! ตอนที่ข้าฟันขวานลง ข้าจะบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด! นี่เป็นเหตุผลสามส่วนว่าเหตุใดซิวหลัวเต้ากับกู่หวงถึงยำเกรงข้า” ชายชราพูดขึ้นเนิบช้า ในน้ำเสียงมีความสับสน กลายเป็นเสียงถอนหายใจเบา
“เพราะว่าข้าพบความหมายแท้จริงของโลกนี้! และตอนนี้…คำพูดของเจ้าตรงกับเต๋าของข้า ซูหมิง…เจ้าว่าเจ้าควรมาเป็นศิษย์ของข้าดีหรือไม่ ช่วยข้าตัดเต๋านี้ ว่าอย่างไร!” ชายชรายืนขึ้นช้าๆ มองซูหมิง
“หากโลกนี้เป็นจริง เราศิษย์อาจารย์สองคนจะไม่หวั่นเกรงผู้ใดในแคว้นกู่จั้ง หากโลกนี้เป็นของปลอม อาจารย์จะตัดเต๋าตัวเองและช่วยให้เจ้ายึดร่างสำเร็จ!” ทันทีที่ชายชราเหยียดตัวตรง มีพลังที่ทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนแผ่มาจากตัวเขาอย่างชัดเจน
นั่นคือหนึ่งคำพูดหนักประหนึ่งเก้าหม้อใหญ่ นั่นคือคำพูดยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองใคร!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น