Perfect World โลกอันสมบูรณ์แบบ 1266-1269
ตอนที่ 1266
ยุคของผู้ยิ่งใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
สือฮ่าวรู้มาตลอดว่ามีถ้ำสวรรค์ใต้สำนักเทพสวรรค์ ไม่เคยถูกเปิด ถึงขั้นว่าเคยเห็นปรมาจารย์หย่อนเบ็ด โดยใช้ยาครอบจักรวาลเป็นเหยื่อ ยากล่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในถ้ำแห่งนั้นออกมา ปรากฏว่าหลายปีก็ยังไม่เป็นผล
ถ้ำสวรรค์แห่งนี้ลึกลับนัก แม้แต่พวกปรมาจารย์ที่มีพลังแก่กล้าของสำนักก็ปลดผนึกไม่ได้ จะเห็นได้ว่าแข็งแรงปานใด แตะต้องไม่ได้
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ข้างในมีขุมทรัพย์เซียนอันน่าตะลึง หากมิเช่นนั้น ไม่มีทางเปิดยากแบบนี้ กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ค่ายกลโบราณยังสมบูรณ์ ขัดขวางฝีก้าวของทุกคน
“เฮ้อ รู้สึกอัดอั้นจริงๆ ทั้งที่เป็นโบราณสถานของสำนักเทพสวรรค์แท้ๆ แต่จะถูกอัจฉริยะสองสำนักชิงเอาไป สุดท้ายพวกเราคงไม่ได้อะไรเลย”
“ใครใช้ให้เราสู้เขาไม่ได้เล่า ใครจะต้านทานอัจฉริยะสะเทือนปฐพีเหล่านั้นได้ ถูกยกย่องเป็นผู้สูงสุด แค่คนเดียวก็กวาดล้างลูกศิษย์ทั้งหมดของสำนักเราได้ ต้านทานไม่ไหว!”
หนุ่มสาวบางส่วนของสำนักเทพสวรรค์วิจารณ์กันด้วยความสลดใจ พวกเขาเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของแต่ละตระกูล จึงถูกส่งตัวมาที่นี่
แต่ในการคัดเลือกของสองสำนัก พวกเขาเป็นผู้ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับความสำคัญจากสำนักเซียนและสำนักปราชญ์ หากกล่าวตามหลักการแล้วเป็นผู้แพ้
ตอนนี้ถ้ำสวรรค์ใต้สำนักจะถูกสำรวจจากสามสำนัก แต่พวกเขากลับกลายเป็นคนนอก ไม่มีสิทธิ์ช่วงชิง อยากเข้าใกล้ก็ทำไม่ได้
เพราะมาโดยไม่ได้นัดหมาย คนที่เข้าไปในถ้ำสวรรค์ก่อนต้องเป็นผู้สูงส่งของสองสำนักแน่นอน เมื่อศิษย์สำนักเทพสวรรค์ลงไป คิดว่าคงไม่มีอะไรเหลือ
“หึหึ นี่มันสหายเผ่าพันธุ์กระทิงไม่ใช่หรือ มีศิษย์น้องจากเผ่าพันธุ์ช้างทองคำด้วย ท่าทางพวกเจ้าจะตำหนิกล่าวโทษตัวเอง ช่างน่าเห็นใจจริงๆ”
มีคนเดินมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ เผยให้เห็นฟันขาวทั้งปาก เจิดจ้าอย่างมาก แต่กลับทำให้คนที่กำลังสนทนากันไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
“คนของสำนักเซียนหรือ?” ชายหนุ่มเผ่าพันธุ์กระทิงถาม เขาร่างใหญ่และกำยำ ผมสีม่วงหนาดก มีเขาขนาดใหญ่คู่หนึ่งบนหัวชี้ขึ้นฟ้า
แม้จะเป็นร่างมนุษย์ แต่ยังมีลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ เช่นดวงตาที่กลมโตเป็นพิเศษ และน้ำเสียงก้องกังวานยามพูด ประหนึ่งสายฟ้าคำรามลั่น
ชายหนุ่มจากสำนักเซียนยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้ว เราอยากเข้าไปถ้ำสวรรค์ก็ไม่มีปัญหา ตามพวกเราเข้าไปได้”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ศิษย์อีกคนของสำนักเทพสวรรค์ถาม ผิวหนังของเขาเป็นสีทอง รูปร่างสูงใหญ่กำยำ เขาเป็นอัจฉริยะเผ่าพันธุ์ช้างทองคำ
“ได้ยินมานานแล้วว่า กระทิงกับช้างทองคำมีพละกำลังมหาศาล แบกแผ่นดินเดินเหิน เรียกได้ว่าง่ายดาย เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าไปช่วยขนอาวุธหนักบางส่วนในถ้ำสวรรค์ได้” ชายหนุ่มหัวเราะเยาะ
ชายหนุ่มเผ่ากระทิงระเบิดโทสะ เขาบนหัวเปล่งแสง เขาอยากตบหน้าชายคนนี้ยิ่งนัก เย้ยหยันกันเกินไปแล้ว!
เห็นพวกเขาเป็นตัวอะไร ช่วยชาวสำนักเซียนแบกอาวุธหนัก ไม่เห็นพวกเขาเป็นคู่แข่งเลยสักนิด ดูถูกกันเหลือเกิน เห็นพวกเขาเป็นแรงงานแบกหาม เป็นสัตว์เลี้ยงหรือ?
“สหาย อย่าคิดมาก อย่าโมโหไปเลย เป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้าไปในถ้ำสวรรค์ก็ดีมากแล้ว ต้องรู้ว่า พวกเจ้าช่วยผู้สูงส่งขนย้ายอาวุธหนักเชียวนะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งยังคงยิ้ม ท่าทางยังคงสุภาพอ่อนโยน
ชายเผ่ากระทิงหุนหันพลันแล่น หายใจฟึดฟัด ชายหนุ่มเผ่าช้างทองคำคว้าแขนเขาไว้ จากนั้นก็พูดกับคนคนนั้นว่า “เจ้ามีอาวุธทะลุมิติ ขนย้ายได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่ต้องการพวกข้าหรอก คิดจะให้พวกเราไปเป็นตัวรับกระสุนกระมัง?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ผู้คนจับจ้อง ผู้อาวุโสสำนักเทพสวรรค์อยู่ข้างนอก ใครจะกล้าทำเช่นนั้น? เพียงแต่ว่า ของในถ้ำสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่พูดว่าเก็บแล้วจะเก็บได้ ของบางอย่างทำได้แค่ขนย้าย”
“ดูถูกกันเกินไปแล้ว!” ชายหนุ่มเผ่ากระทิงคำราม
“แล้วแต่พวกเจ้าจะคิด ไม่ยอมไปก็ช่างเถอะ แต่ความโกลาหลจะมาเยือน สามสำนักรวมเป็นหนึ่ง ข้าคิดว่า พวกเจ้าสามัคคีกับมือดีสำนักเซียนไว้บ้างจะดีกว่า” คนคนนั้นพูดเสียงเรียบ จากนั้นก็เดินไป
คนของสำนักเทพสวรรค์อัดอั้นตันใจ เคียดแค้นและจนปัญญาจริงๆ สถานการณ์ในตอนนี้ สำนักเทพสวรรค์ไม่มีมือดีเลื่องชื่อเลยสักคน ไม่มีทางสู้สองสำนักได้เลย
อัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเข้าสองสำนักไปแล้ว สำนักเทพสวรรค์ในตอนนี้กลายเป็นธรรมดานานแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์ไม่มีมือดีที่โดดเด่น ศิษย์ของสองสำนักไม่มีทางเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในมุมหนึ่ง มันพอจะบ่งบอกสภาพในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน
ยามสือฮ่าวเดินผ่านที่นี่ แต่ไม่พูดอะไร ไม่แสดงทีท่าอะไร เดินเฉียดไหล่พวกเขาไป เพราะการแข่งขันในตอนนี้ไม่อยู่ในสายตาเขา
ศัตรูตัวฉกาจเป็นใคร เหตุโกลาหลของจริงจะเกิดขึ้นเมื่อใด สงครามในวันหน้าจะโหดร้ายถึงปานใด นั่นต่างหากเป็นสิ่งที่เขากังวล
“พวกเจ้าว่า ตอนนี้ใครเป็นที่หนึ่ง? ใครเล่าจะคิดว่า ภพนี้จะมีอัจฉริยะปรากฏตัวมากมายปานนี้ ก่อนหน้านี้เงียบเชียบ แต่สองปีมานี้ต่างก็รวมเป็นหนึ่งกับเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ สำเร็จอย่างต่อเนื่อง ช่างเป็นเรื่องที่สะเทือนปฐพีจริงๆ!”
มีคนกำลังอุทาน พูดถึงสถานการณ์ในสองปีนี้ด้วยใจที่คาดหวัง
สองสามปีมานี้ อัจฉริยะสำนักเซียนมีคนหลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สำเร็จอย่างต่อเนื่อง ต่างก็เป็นเมล็ดพันธุ์สูงส่งของยุคเซียนโบราณ สะเทือนขวัญผู้คน
ใครเล่าจะคิดว่า เมล็ดพันธุ์โบราณสมบูรณ์ที่โด่งดังตั้งแต่ยุคก่อนจะตกทอดมาถึงยุคนี้ ทยอยปรากฏให้เห็น ซ้ำยังถูกคนสืบทอดอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย
สามารถอนุมานจากสิ่งนี้ได้ สำนักเซียนทุ่มเทมหาศาล มิเช่นนั้นไม่มีทางได้มาครองแน่นอน
ก่อนหน้านี้มีคนคิดว่า ภพนี้ไม่สู้เซียนโบราณ เลือดต้องอาบผืนฟ้า ปิดฉากด้วยความหม่นหมอง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นอัจฉริยะสะเทือนโลกาปรากฏตัว หลายคนฮึกเหิมขึ้นมา เหล่าผู้เฒ่าบางส่วนต่างก็คาดหวังรอคอย
“ข้าคิดว่า เทพตะวันม่วงอาจเป็นใหญ่ในหล้า แน่นอนว่าบางทีราชันสวรรค์น้อยอาจเป็นที่หนึ่งก็ได้” มีคนพูดขึ้น
มีคนโต้แย้งว่า “ที่พวกเจ้าพูดถึงมีแต่คนของสำนักเซียน แต่ข้าไม่คิดเช่นนี้ นักพรตชีกู้อาจเป็นบุคคลไร้พ่าย ทลายขีดจำกัดไม่หยุด แปรสภาพถึงขั้นเหนือจินตนาการ เรียกได้ว่าไร้เทียมทานในวิชาปัจจุบัน”
“นักพรตชีกู้ นักพรตหนุ่มที่ชอบสวมชุดเทา ตีหน้าขรึม ไม่มีอารมณ์ขันคนนั้นหรือ? ได้ยินว่าแข็งแกร่งมาก พิลึกผิดมนุษย์ แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นอันดับหนึ่งในหล้า อย่างน้อย แค่ในสำนักปราชญ์ก็มีคนที่เหนือกว่าเขาแล้ว” มีคนข้างๆ ลุกขึ้นพูด
“เจ้าคงไม่ได้หมายถึงคนคนนั้นหรอกนะ นักปราชญ์ที่ลือชื่อเช่นเดียวกับราชันสวรรค์น้อย ภายหลังเอาแต่จำศีลไม่ยอมโผล่หน้ามาคนนั้นหรือ?”
“ใช่ เขานั่นแหละ ได้ชื่อปราชญ์น้อยตั้งแต่สิบปีก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้”
“ข้าก็เคยได้ยินชื่อคนคนนี้เช่นกัน หลายปีมานี้เก็บตัวยิ่งนัก แต่ว่า เขาไม่น่าแข็งแกร่งกว่านักพรตชีกู้ในตอนนี้หรอกกระมัง นักพรตชีกู้ในตอนนี้ทลายขีดจำกัดหลายขั้น นิพพานหลายหน ราวกับพญาหงส์เกิดใหม่ ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที เกินความคาดหมายไปนานแล้ว!”
หลายคนวิจารณ์ เอ่ยถึงอัจฉริยะหลายคน แต่สือฮ่าวไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เขาอดอุทานไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปมากมายเหลือเกิน
ขณะเดียวกัน เขาก็รู้แล้วว่า เขาจากไปสองปีกว่า จวนสามปีแล้ว มันไม่ใช่เวลาสั้นๆ เลย โลกภายนอกชุลมุนวุ่นวาย
“จะว่าไป พวกเจ้าพลาดคนน่ากลัวไปคนหนึ่ง อยู่ในสำนักปราชญ์เช่นกัน ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะแห่งยุค ไม่มีใครเทียบ ต้องกำราบเหล่าวีรชนได้แน่นอน”
“ใครกัน?”
“พวกเจ้าน่าจะรู้จักหวางซี อัจฉริยะหญิงของตระกูลอมตะ มีคู่หมั้นคนหนึ่ง อยู่ในสำนักปราชญ์เช่นกัน นามว่าจินจ่าน ข้าคิดว่าบางคนคงเคยได้ยิน”
ตอนนี้ หลายคนฉงนใจ แต่กลับมีบางส่วนหายใจดังเฮือก
“จินจ่าน คนคนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือ เจ้าแน่ใจหรือ?!” มีคนพูดอย่างตกใจ
“แน่นอนว่ายังมีชีวิตอยู่ มิเช่นนั้น ตระกูลของแม่นางหวางซีจะพูดว่าจะเกี่ยวดองได้อย่างไร ต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน” มีคนพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่ใจอย่างยิ่ง
“ข้าคิดว่าเป็นคนอื่น คิดว่าเป็นปราชญ์น้อยเสียอีก! ที่แท้คู่หมั้นของนางคือจินจ่านนี่เอง หากคนคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ต่อไปใครจะกล้าล่วงเกินตระกูลหวาง ใครจะกล้าแตะต้องแม่นางหวางซี?” มีคนอุทานไม่ขาดสาย สีหน้าตึงเครียดและตื่นเต้น
ใครก็คิดไม่ถึงว่า คนในตำนานที่น่าจะตายไปแล้วยังมีอยู่โลกใบนี้
จินจ่าน เป็นอัจฉริยะในตำนานของสำนักปราชญ์ ไม่รู้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใด รู้เพียงว่ามีร่างมนุษย์ ยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยาย ถูกยกย่องเป็นผู้มีพรสวรรค์
เขาเคยบรรลุพร้อมกันสองขั้นภายในครึ่งปี ก้าวหน้าอย่างราบรื่น
ภายหลัง ร่ำลือกันว่าเขาอยากทลายขีดจำกัดสองขั้นในเวลาครึ่งปีอีกครั้ง คล้ายว่าอยากหลอมสิบถ้ำสวรรค์เป็นหนึ่งเดียว และจะสลักค่ายกลสังหารสูงส่งในตัว แต่กลับเกิดปัญหา
ดวงไฟปรากฏขึ้น แผดเผาร่างกาย ทำให้เขาสิ้นชีพวายชนม์
เรียกได้ว่า คนคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน เพียงเพราะตั้งเงื่อนไขไว้สูงเกินไป ปรารถนาความสำเร็จ ทำให้เสียชีวิต
ตอนนี้ เมื่อได้ยินคนเอ่ยถึงเขาว่า ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ตกใจได้อย่างไร ทุกคนต่างก็รู้สึกหวาดหวั่น ผู้คนรู้ดีว่า ใครเป็นที่หนึ่งในหล้านั้นพูดยากจริงๆ
สือฮ่าวตกใจ ไม่คิดว่าจะมีความลับเช่นนี้ด้วย ฟังบทสนทนาของผู้คน เขารู้สึกว่าสองสำนักเต็มไปด้วยอัจฉริยะ มีคนบางส่วนซ่อนตัว
“หากพูดถึงจินจ่าน เอ่ยถึงหวางซี ข้านึกถึงอีกคนหนึ่ง”
“ใคร?”
“ฮวง!”
เมื่อชื่อนี้หลุดออกมา ทุกคนต่างก็ชะงัก นานมากแล้ว ที่ไม่มีใครพูดถึงชื่อนี้ ระยะเวลาเกือบสามปี จะว่ายาวก็ยาว จะว่าสั้นก็สั้น
แต่ในยุคที่อัจฉริยะชูสลอน ผู้กล้าถูกคนลืมเลือนได้ง่ายมากจริงๆ
แต่เพราะฮวงนั้นพิเศษ เพิ่งพูดถึง ข่าวลือมากมายก็ผุดขึ้นมาในใจของหลายคน เหม่อลอยขึ้นมาชั่วขณะ
“เสียดายคนคนนี้ เป็นอัจฉริยะเช่นกัน แต่กาลเวลาผันผ่าน เขากลายเป็นอดีตไปแล้ว” มีคนส่ายหน้าถอนหายใจ
“พวกเจ้าว่า ตอนนั้นหากฮวงเข้าสำนักเซียน และได้เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์มาครอง ตอนนี้จะอยู่ในขั้นใด จะมีสถานะสูงส่งขนาดไหน?”
“ข้าคิดว่า…น่าจะแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งยิ่งนัก ในกลุ่มผู้สูงส่งต้องมีที่ของเขาแน่นอน ช่างน่าเสียดาย”
ความแข็งแกร่งและวีรกรรมอันน่าตะลึงในอดีตของเขา ทำให้ผู้คนลืมเลือนได้ยาก ผ่านไปเกือบสามปีแล้ว เมื่อพูดถึงเขาอีกครั้ง ก็ทำให้หลายคนรู้สึกสับสนเช่นกัน
“หึหึ ข้าคิดว่า หากเขาเข้าสำนักเซียน ได้เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์และหลอมรวมได้สำเร็จ ตอนนี้คงเกิดปัญหาเป็นแน่ หนีไม่พ้นถูกจินจ่านกำราบแน่นอน!” มีคนเอ่ยถึงปัญหานี้
ตอนที่ 1267
สี่ผู้สูงส่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“บางทีอาจเป็นเช่นนั้นจริง” มีคนพยักหน้า หลายคนรู้ดีว่า ฮวงเคยขัดแย้งกับแม่นางหวางซี ตระกูลหวางก็เคยเพ่งเล็งเขา แม้กระทั่งว่าสวมกำไลโลหะลงบนหัวเขา เพื่อให้เป็นข้ารับใช้
ตอนนั้น เรื่องนี้บานปลายใหญ่โต หลายคนในสำนักเทพสวรรค์ต่างก็รู้กันถ้วนทั่ว และฮวงเคยกำราบหวางซี อยู่ด้วยกันสองต่อสองทั้งคืน
หลายคนเคยได้ยินว่า ฮวงทำเพื่อลบล้างมลทินที่ตระกูลทำกับเขา แต่กลับทำให้ตระกูลอมตะตระกูลนี้ไม่พอใจอย่างยิ่ง
แต่ก็มีคนส่ายหัวแล้วพูดว่า “จินจ่านเป็นผู้มีพรสวรรค์ ต้ององอาจกล้าหาญเป็นแน่ แต่ไม่เห็นว่าจะไปหาเรื่องฮวงหลังบำเพ็ญเพียรเสร็จสิ้น”
“น่าเสียดาย เวลาผันผ่าน ฮวงในอดีต…” มีคนส่ายหน้า ด้วยความเสียดาย ผ่านไปสองสามปีแล้ว คนที่หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์ต่างก็โผล่มาแล้ว แต่คนที่ไม่มีเมล็ดพันธุ์กลับหายเข้ากลีบเมฆ ไม่ต้องคิดก็รู้ หลายคนต่างก็ได้ข้อสรุปแล้ว
ฮวงหายสาบสูญ ไม่ปรากฏตัว สามารถคาดเดาจุดจบได้!
“เป็นผู้เลือกเส้นทางเอง โทษผู้อื่นไม่ได้ ตอนนั้นสำนักเซียนไม่ให้เมล็ดพันธุ์แก่เขา หากเลือกจะเข้าร่วมสำนักปราชญ์ จะเป็นเช่นนี้หรือ? เรื่องราวจะกลับกัน!” มีคนพูดเสียงเรียบ
“ช่างเถอะ แม้เข้าร่วมสำนักปราชญ์แล้วฮวงจะได้เลือดหัวใจมังกรหรือ จะได้เลือดของมดเขาสวรรค์หรือ? ไม่ได้แน่นอน ถูกชีกู้กับปราชญ์น้อยครองแล้ว” มีคนพูดขึ้น
แสงสีฟ้ากะพริบอยู่ไม่ไกล หมอกขมุกขมัวโปรยปราย กลายเป็นม่านแสงสีฟ้า ดูเย็นสบายแต่ก็ลึกลับ
ตรงนั้นมีร่างเลือนรางปรากฏขึ้น รูปร่างสูงโปร่ง ขาเรียวยาว ชุดสีฟ้าพลิ้วไหว บดบังทรวดทรงอันน่าตะลึงนั่นไม่ได้
นางเป็นหญิงสาว ท่าทางอายุราวๆ ยี่สิบ ผิวขาวผุดผ่อง งดงามประหนึ่งหยก ก้าวออกมาจากหมอกควันสีฟ้า
เห็นชัดเจนแล้ว แม้แต่ดวงตาของนางก็เป็นสีฟ้า ซ้ำยังมีผมยาวสบายดุจคลื่นน้ำสีฟ้า เป็นประกายและนุ่มสลวย เปล่งประกายสีฟ้าเงางามยามนางเยื้องย่าง
แน่นอนว่า หญิงคนนี้งามเพริศพริ้ง ผิวขาวผ่องใส นัยน์ตามีชีวิตชีวา กลมโตและสวยงาม แพขนตายาวสั่นระริก ฉายประกายเจิดจ้า
“นางนั่นเอง หลานเซียน องค์หญิงของตระกูลหลาน ตระกูลอมตะ!” มีคนอุทาน เมื่อจำนางได้ ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา
ทุกคนพากันเหลียวหลัง สายตาจ้องมองนาง ไม่ใช่เพียงเพราะนางโดดเด่น รูปโฉมงามล่มเมือง แต่เป็นเพราะนางเป็นผู้สูงส่ง หญิงสาวที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สุด
นางเคยประมือกับเทพตะวันม่วง แค่หนึ่งฝ่ามือ ก็เฉือนยอดเขาของป่าหินทะเลเหนือ ต้องรู้ว่าที่นั่นแข็งแรงทนทาน ยากจะสะเทือนได้
ตลอดระยะเวลามานี้ หลายคนเคยไปทิ้งชื่อไว้ที่นั่น สำแดงพลังอันแก่กล้าและความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ขั้นบำเพ็ญไม่เหมือนกันเจอป่าหินแตกต่างกัน มันเป็นดินแดนโบราณที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
น้อยคนจะทำลายป่าหินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยอดเขาที่เป็นรองแค่ยอดเขาไร้เทียมทาน!
หลานเซียนเคยปะทะเทพตะวันม่วง ไม่รู้ผลแพ้ชนะ จบด้วยการเสมอกัน ทั้งสองไม่ประลองกันอีก คนนอกคาดเดาว่า พวกเขาคงหวาดกลัวกันและกัน
เดิมทีเป็นหญิงที่เลื่องชื่อเพียงเพราะรูปงาม นับจากศึกนั้นแล้ว ก็ดังกระฉ่อนไปทั่วหล้า ทุกคนต่างก็รู้ถึงความห้าวหาญของนาง ดูเหมือนเปราะบาง งามดุจนางฟ้า แท้จริงแล้วแข็งแกร่งหาตัวจับยาก
“นางหลอมรวมกับพันธุ์ผืนฟ้า ฟ้าครามดุจเพชร ตอนที่เมล็ดพันธุ์ชนิดนี้ถือกำเนิด เคยทำให้สำนักเซียนฉาบแสงสีฟ้าดุจฟากฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าเมล็ดพันธุ์หายไปไหน กระทั่งหลานเซียนหลอมรวมเป็นหนึ่งกับเมล็ดพันธุ์ ประมือกับเทพตะวันม่วง ผู้คนถึงได้กระจ่าง”
มีคนกระซิบ เอ่ยถึงภูมิหลังของเมล็ดพันธุ์ของหลานเซียน
สือฮ่าวนัยน์ตาลุกวาว เขารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของหญิงสาวคนนี้ได้ นี่หรือความสามารถของผู้สูงส่งในตอนนี้?
แต่เขาก็รู้ดีว่า หลานเซียนกักเก็บรัศมีสะเทือนปฐพีของตัวเอง มิเช่นนั้น ต้องน่ากลัวกว่านี้เป็นแน่ ที่เขารู้สึกได้บางส่วน เป็นเพราะสัญชาตญาณทั้งนั้น!
พันธุ์ผืนฟ้าที่ว่า เคยถูกยกย่องว่าล้ำค่าเหนือคำบรรยายในสมัยโบราณ กล้าใช้ผืนฟ้าตั้งชื่อเมล็ดพันธุ์ จะไม่สะเทือนปฐพีได้อย่างไร?
แค่เม็ดเดียวก็เรียกได้ว่าเป็นทั้งผืนฟ้าแล้ว!
ในอดีต พันธุ์หมอกปฐมกาลถูกขนานนามว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ไร้พ่ายที่หลอมรวมกันมนุษย์ สุดท้ายบรรลุเป็นเซียน อยู่ยงคงกระพัน เป็นพันธุ์ไร้เทียมทาน และสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมันก็คือพันธุ์ผืนฟ้า
พันธุ์ผืนฟ้าถูกกล่าวขานว่าสวรรค์ประทานให้ทายาท เป็นรางวัลที่มีค่าที่สุด เทียบเคียงพันธุ์หมอกปฐมกาลที่มีอานุภาพสะท้านโลกา
ตอนนี้ หญิงคนนี้มาถึงสำนักเทพสวรรค์ด้วยตัวเอง หมายความว่าเหล่าผู้สูงส่งปรากฏกายกันแล้วหรือ? ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอ
เทพตะวันม่วง หลานเซียน ราชันสวรรค์น้อย มหาโสดา ทั้งสี่คนมีชื่อกระฉ่อนไปทั่วเก้าสวรรค์สิบพิภพ เป็นตัวแทนของพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเซียน!
นอกจากนี้ ยังมีชีกู้ ปราชญ์น้อยและจินจ่าน ทั้งสามคนแข็งแกร่งกินกันไม่ลง เคยนิพพานหลายครั้ง ยากลึกหยั่งถึง
ใครเป็นอันดับหนึ่งของยุคนี้ ใครกันแน่ที่เป็นผู้สูงส่งอันดับหนึ่งที่แท้จริง?
หลายคนต่างพากันวิจารณ์ ซ้ำยังปรารถนาอยากรู้คำตอบอย่างแรงกล้า หลายวันมานี้ แม้แต่เหล่าผู้เฒ่าก็ไม่เว้น
“ที่จริงแล้ว ยังต้องเอ่ยถึงตู๋กูอวิ๋นทายาทผู้พิทักษ์ กับเทียนจื่อราชันสิบสมัย กับเซียนที่ลึกลับที่สุดคนนั้นด้วย!”
มีคนอุทานขึ้นมา เพราะทั้งสามคนไม่เคยทิ้งชื่อไว้ในป่าหินทะเลเหนือ และก่อนหน้านี้ไม่มีวีรกรรมที่รุ่งโรจน์มากเป็นพิเศษ จึงไม่มีใครรู้
แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่า พวกเขาต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน ซ้ำยังแข็งแกร่งจนคาดเดาไม่ได้
“ชายลึกลับแล้วอย่างไร ไม่ได้ยินว่าเขาได้เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ไปครองเสียหน่อย แต่ราชันสิบสมัยต้องน่ากลัวเป็นแน่ เพราะหลอมรวมกับต้นอ่อนต้นไม้โลกแล้ว”
“พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ความจริงเป็นเช่นใด ใครเล่าจะรู้? ข้าคิดว่ายังมีคนอื่นที่ยังไม่แสดงไพ่ตาย อาจจะแข็งแกร่งกว่าก็ได้”
แค่พูดถึงเท่านั้น ก็มีรายชื่อมือดีถึงสิบคนแล้ว พวกเขาเป็นบุคคลโดดเด่นที่ผู้คนพูดถึงตลอดสองปีกว่ามานี้
“สิบมือดี อาจจะมีบางคนที่ตัดออกได้ เพราะยังมีมือดีที่ซ่อนตัวอยู่อีก แต่อย่างน้อยก็มีสักหกเจ็ดคนที่แน่ใจ ไม่ถูกตัดออกง่ายๆ แน่นอน”
เช่นสุนัขนรก แม้จะเคยแพ้ให้สือฮ่าว แต่ก็มีคนคิดว่า บางทีเขาอาจมีสิทธิ์อยู่ในอันดับสิบมือดีได้เช่นกัน
อีกอย่าง มีข่าวลือแพร่สะพัดในสำนักปราชญ์ ชายหนุ่มที่มีนามว่ายี่หยี่ที่หลอมรวมกับเลือดมดเขาสวรรค์ อานุภาพเย้ยโลกา องอาจห้าวหาญ ต้องแข็งแกร่งไร้เทียมทานแน่นอน
นอกเหนือจากนี้ มีคนเชื่อว่า คนที่ได้พันธุ์หยินหยางไปครอง ไม่ใช่ชายลึกลับที่ผู้คนคิดกันในตอนแรก คนคนนั้นหลอมเป็นหนึ่งกับหยินหยาง มีพรสวรรค์เหนือข้อพิพาท
ผู้คนก็ร่ายชื่อออกมาสิบกว่าคน ต่างก็มีสิทธิ์อยู่ในอันดับสิบมือดี
เทพตะวันม่วง หลานเซียน ราชันสวรรค์น้อย มหาโสดาแห่งสำนักเซียน ชีกู้ปราชญ์น้อย จินจ่านจากสำนักปราชญ์ ล้วนเป็นผู้เหนือชั้นแน่นอน
และยังมีเทียนจื่อราชันสิบสมัย ชายลึกลับและตู๋กูอวิ๋นทายาทผู้พิทักษ์ รวมถึงสุนัขนรกที่แพ้พ่ายให้กับสือฮ่าวหลังรบกันหลายพันกระบวนท่า ยังมียี่หยี่ ชายนิรนามที่รวมเป็นหนึ่งกับพันธุ์หยินหยาง
ชิ้ง!
แสงสว่างสาดทออยู่ไม่ไกล ห้าสีผสมปนเปกัน เจิดจ้ายิ่งนัก
คนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปทันที จากนั้นทุกคนก็ชำเลืองมองแล้วพากันเคลื่อนไหว เพราะรู้สึกถึงพลังวิถีเซียนอันหนาแน่น ทะลักออกมาจากใต้พิภพ
ใครๆ ก็รู้ว่า มีถ้ำสวรรค์ใต้สำนักเทพสวรรค์ ถูกปิดตายมาตลอด บัดนี้ จะไม่ให้คิดมากได้อย่างไร!
“บ่อโคลน!”
มีคนอุทาน มันเป็นบริเวณที่ปรมาจารย์ชอบหย่อนเบ็ด หลายคนต่างก็คาดเดาว่า ปากถ้ำต้องอยู่ตรงนั้นแน่นอน ตอนนี้บ่อโคลนสาดแสง ทำให้ฮือฮาขึ้นมาทันที
ตูม!
แสงสีแดงซัดสาดมาจากสุดขอบฟ้า ม้วนมาพร้อมกันสายรุ้งสีทอง
มีบาตรสีแดงปรากฏขึ้นที่นั่น กำลังลอยลงมาปกคลุมบ่อโคลนไว้
“มหา…โสดา!”
มีคนร้องเสียงหลง คนที่ครอบครองสารีริกธาตุโผล่มาแล้ว คนที่ถูกยกย่องว่ามีร่างกายอมตะ อาจกลายเป็นเซียนได้!
บาตรเป็นการสื่อถึงมรดกของสงฆ์โบราณ ก่อตัวจากเคล็ดวิชาของมหาโสดา บรรจุดวงดาราได้ ตอนนี้เขาคิดจะเก็บบ่อโคลนนี้ไป
แสงสีฟ้ากะพริบ หมอกควันลึกลับกระจาย หญิงชุดฟ้าตรงนั้นกางแขนเสื้อโบกพลิ้ว สะเทือนบาตรจนกระเด็นออกไป นางยืนอยู่ตรงนั้น มีทรวดทรงองค์เอวน่าตะลึง มีเสน่ห์เย้ายวน หลานเซียนนั่นเอง
ใครก็คิดไม่ถึงว่า บ่อโคลนเพิ่งแผ่พลังวิถีเซียนออกมา สองผู้สูงส่งที่เลื่องชื่อที่สุดก็ลงมือปะทะกันแล้ว!
ฟิ้ว!
ในตอนนี้เอง ชายชุดเทาคนหนึ่งปรากฏกาย ยืนกลางบ่อโคลน สายลมกรรโชก เศษหินปลิวว่อน ต้นไม้จำนวนมากลอยเหนือพื้นดิน
เขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เป็นแค่พลังที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติ ก็สะเทือนวัตถุทั้งหลายแล้ว
มันเป็นลมธรรมชาติ รักษาตัวไม่ให้เปื้อนมลทิน มีคนเรียกมันว่าลมเซียนเช่นกัน เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาลและพลังที่แก่กล้า
“ชีกู้ เขาก็มาด้วย!” ผู้คนตกใจ ผู้สูงส่งสำนักปราชญ์ปรากฏตัวแล้ว
เขายังหนุ่มมาก รูปโฉมธรรมดา ขณะเดียวกันก็ดูเคร่งขรึม ปราศจากรอยยิ้ม ใบหน้าเรียบเฉย
เขาเป็นคนที่นิพพานหลายครั้ง ประหนึ่งพญาหงส์ที่ถือกำเนิดจากการอาบไฟ ทลายขีดจำกัดของวิชาปัจจุบันหลายหน น่ากลัวเป็นล้นพ้น
“สหายชีกู้มาแล้ว ข้าขอร่วมสนุกด้วยคน” หมอกสีม่วงกระเพื่อมกลางนภา กลิ่นอายสงบฟุ้งตลบ ปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ
หมอกลอยมาทางทิศตะวันออก!
มันเป็นหมอกล้ำค่าเหนือคำบรรยาย กระจายไปทั่วสามหมื่นลี้
ชัดเจนว่าเทพตะวันม่วงมาแล้ว ผู้สูงส่งในหมู่มวลชน แม้แต่อัจฉริยะที่ถือกำเนิดพร้อมกับความลึกลับก็มาถึงที่เกิดเหตุแล้ว
ถ้ำเทวสถิตทำให้ผู้สูงส่งหนุ่มสาวที่แข็งแกร่งที่สุดหลายคนแห่กันมา มันช่างน่าตะลึงเหลือเกิน
“ข้ารู้แล้ว ถ้ำใต้สำนักเทพสวรรค์อาจตกทอดมาจากราชันเซียน มรดกต้องสะเทือนปฐพีแน่นอน!” มีคนคาดการณ์เช่นนี้
หลายคนใจเต้นระส่ำ คิดว่ามีเหตุผล ใต้พิภพอาจเป็นแดนลับของราชันเซียนก็ได้!
บ่อโคลนเปล่งประกาย หมอกกระเพื่อมออกมา ราวกับจะมีบางอย่างโผล่มา ทำให้เป็นที่ฮือฮา ทุกคนพุ่งตัวออกไป ล้วนอยากแย่งชิง
ปรากฏว่ามือดีทั้งสี่ลงมือพร้อมกัน มหาโสดาไม่กระโจนออกไป แต่บาตรปรากฏให้เห็นอีกครั้ง พลังของเซียนแผ่กระจาย ทำให้ผู้กล้าหลายคนยำเกรง ไม่กล้าเข้าใกล้
จากนั้นหลานเซียนก็ประสานอิน ผืนฟ้าดังครืน กำลังกดลงมา ผืนฟ้ากลายเป็นคัมภีร์ ปกคลุมอยู่ข้างบน!
ตูม!
เทพตะวันม่วงเถรตรงยิ่งกว่า ประมือกับนักพรตชีกู้ ทำให้เกิดริ้วคลื่นสะเทือนสิบทิศ
โชคดีที่มีค่ายกล ขัดขวางคลื่นน่ากลัวนั่นไว้
“อย่าเบียด อย่ารุดหน้ามากไป!” มีคนลุกขึ้นมาจัดระเบียบ
“คนของสองสำนักอยู่ข้างหน้าสุดได้ สำนักเทพสวรรค์อยู่ข้างหลัง!” เสียงนี้ทำให้คนของสำนักเทพสวรรค์เดือดดาล
เห็นได้ชัดว่า ผู้สูงส่งทั้งสี่อยู่กลางบ่อโคลน อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางได้ หากถ้ำเซียนเปิด สามารถพุ่งเข้าไปก่อนผู้อื่นได้
ต่อมาเป็นคนของทั้งสองสำนัก กำลังเข้าใกล้ที่นั่น ตามมือดีทั้งสี่ไปติดๆ
แม้ที่นี่จะเป็นสำนักเทพสวรรค์ แต่ศิษย์ในสำนักกลับต้องอยู่รั้งท้าย ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้
“มีสิทธิ์อะไรกัน นี่เป็นสำนักเทพสวรรค์ของเรา ทำกับเราเช่นนี้ได้อย่างไร?” ศิษย์สิบกว่าคนของสำนักเทพสวรรค์ไม่พอใจ
“สิทธิ์ที่สำนักเทพสวรรค์ใช้ไม่ได้ ไม่มีใครออกมาสู้ได้ โชคชั้นใหญ่จะเป็นของผู้กล้า คนที่ไร้ความสามารถต้องรู้ตัวเอง!” มีคนดูถูกกันอย่างยิ่ง
เรียกได้ว่าเป็นความเยาะเย้ย แต่สำหรับศิษย์ในสำนักเทพสวรรค์แล้ว นี่เป็นความอดสู เหลืออดยิ่งนัก
เฝ้าขุมทรัพย์ของสำนักในพื้นที่ของตัวเอง แต่กลับไม่มีสิทธิ์ ต้องถอยไปอยู่หลังสุด ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่พอใจ กล้ำกลืนฝืนทนไม่ได้
ชิ้ง!
ในตอนนี้เอง มีลำแสงขมุกขมัวพุ่งออกจากบ่อโคลน ห่อหุ้มบางอย่างไว้ สะเทือนขวัญทุกคน ผู้สูงส่งทั้งสี่ต่างก็ลงมือแล้ว
พวกเขาเกิดการปะทะกันขึ้นมา
หลานเซียนประมือกับมหาโสดา ชีกู้สู้กับเทพตะวันม่วง!
คนอื่นอยากลงมือแย่งชิง แต่ก็หวาดกลัว เกรงว่าจะทำให้สี่ผู้สูงส่งพิโรธ
ในตอนนี้เอง มีคนก้าวออกมาจากกลุ่มของศิษย์สำนักเทพสวรรค์ เมื่อยกมือขึ้น แสงสีขาวก็หลั่งไหล กระชากวัตถุชิ้นนั้นมาทันที
ทุกคนชะงักงัน ใครอาจหาญชิงอาหารจากปากผู้สูงส่งทั้งสี่?!
เขาเป็นใครกัน หรือจะผู้สูงส่งอีกคนโผล่มาหรือ? ทุกคนต่างมองเป็นตาเดียว!
“ทำไม…เขาดูคุ้นตาเช่นนี้?”
“นี่มัน…สวรรค์ เขาคือฮวง คนที่หายสาบสูญไปนานแล้ว!”
ตอนที่ 1268
สงสัย
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนส่วนหนึ่งจำสือฮ่าวได้ จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ชื่อนี้ไม่ถูกเอ่ยถึงมานานมากแล้ว ปีแรกที่เขาหายตัวไปยังมีคนพูดถึง ตอนหลังก็ค่อยๆ เงียบลง วันนี้กลับมีคนตะโกนออกมาอีกครั้ง
ฮวง!
เขาจริงๆ หรือ? ทุกคนเหลียวหลัง หลายคนต่างก็เพ่งมอง!
คุ้นตายิ่งนัก เป็นเขาจริงๆ ด้วย! เพียงแค่ดูสุขุมกว่าเมื่อก่อน ความจองหองลดลง เงียบขรึมลงไม่น้อยเลย
บางส่วนในที่นี้เคยเห็นฮวงมาก่อน ตอนนี้ต่างก็ทำหน้าตกใจ ทำไมเขาถึงโผล่มาได้? จากที่ทุกคนรู้ เขาสูญเสียตำแหน่งผู้สูงส่ง ไม่มีทางปรากฏตัวอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีใครคิดเลยว่า ในวันนี้ เขาจะปรากฏตัวในสำนักเทพสวรรค์อีกครั้ง
“เขาจริงๆ ด้วย ฮวงกลับมาแล้ว!”
หายตัวไปเกือบสามปี เขาไปอยู่ที่ใด ทำอะไร? หลายคนต่างก็ฉงนใจ
“ฮวง อดีตผู้สูงส่ง เพียงเพราะไม่มีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ สุดท้ายจึงตกต่ำ เขากลับมาตอนนี้หมายความว่าอย่างไร หรือจะหลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์แล้ว?”
หลายคนตื่นเต้น โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่เหลือในสำนักเทพสวรรค์ ไม่ได้รับความสนใจและไม่ถูกเลือกเข้าสองสำนัก ต่างก็แสดงสีหน้าลุ้นระทึก
“ใช่ว่าสำนักเทพสวรรค์ของเราจะไร้คนมีฝีมือ เพียงแค่ก่อนหน้านี้ไม่กลับมา ตอนนี้มีผู้สูงส่งขนานแท้โผล่มาแล้ว แม้แต่สุนัขนรกก็พ่ายให้กับเขา ซ้ำยังเคยหาเรื่องราชันสวรรค์น้อยอีกด้วย!” หลายคนหัวเราะลั่น ฮึกเหิมยิ่งนัก
เพราะตลอดสองปีนี้ สำนักเทพสวรรค์ตกต่ำไม่เป็นชิ้นดี อัจฉริยะขนานแท้ถูกคัดเลือกไป ไม่หวนกลับอีกเลย
ในสำนักไม่มีศิษย์โดดเด่นหลงเหลืออีกต่อไป ภายใต้การกดขี่ของสองสำนัก เรียกได้ว่าตกต่ำหม่นหมอง สูญเสียความรุ่งโรจน์ที่เคยมีในอดีต
สำนักเทพสวรรค์ในตอนนี้ตกต่ำอย่างมาก ไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะไม่มีลูกศิษย์ที่โดดเด่น คนที่เหลือล้วนเป็นไม้ผุในสายตาของสองสำนัก ไม่ควรค่าให้ลงทุนลงแรง
ศิษย์ของสำนักเทพสวรรค์ไม่มีจุดยืน โงหัวไม่ขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าสองสำนัก เพราะไม่มีใครสู้กับศิษย์ทั้งสองสำนักได้
ภายในสถานการณ์ที่ศิษย์ทั้งสองสำนักปรากฏตัว ศิษย์สำนักเทพสวรรค์ถูกกีดกัน แม้กระทั่งว่าตวาดอย่างจริงจัง ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด ขาดความเคารพที่พึงมี
“ฮวง เป็นเจ้าจริงๆ หรือ?” มีคนตะโกนลั่นพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามา
ที่ผ่านมา ตอนที่สือฮ่าวอยู่ในสำนักเทพสวรรค์ ไม่คบค้ากับลูกศิษย์พวกนี้ แต่เคยเกิดการขัดแย้ง และเกิดการประลองกับอัจฉริยะขั้นสุดยอดหลายคน เช่นลวี่ถัว หวางซีเป็นต้น
แต่ทว่า เวลาผ่านไป เหลือแค่พวกเขากับสือฮ่าว อัจฉริยะที่ว่าเหล่านั้นไปกันหมดแล้ว มีคนส่วนน้อยเฝ้าสำนัก ต่อให้เผชิญหน้ากับสือฮ่าวที่ไม่สนิทสนม พวกเขาก็เกิดความรู้สึกดีอย่างล้นหลาม ประหนึ่งได้เจอเพื่อนรู้ใจ
บางคนถึงขั้นสะอื้นด้วยความดีใจ เลือดลมพลุ่งพล่าน อยากจะกู่ร้องให้รู้แล้วรู้แล้ว เพราะที่ผ่านมาทนกับความอยุติธรรมและความอัปยศมากมายเหลือเกิน
อย่างเช่นครั้งนี้ อยู่ในอาณาเขตสำนักเทพสวรรค์ แต่เมื่อถ้ำเซียนใต้ดินจะเปิด ศิษย์สำนักเทพสวรรค์กลับถูกตวาดและสั่งให้ถอยหลัง ไม่ให้เข้าใกล้
มันเป็นความกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง เป็นความอัปยศอดสู ทำให้รู้สึกอับอาย ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่กลับทำอะไรไม่ได้!
เพราะเคยมีคนต่อสู้ด้วยความไม่พอใจ แต่จำต้องพูดว่า ในบรรดาลูกศิษย์ที่ไม่ถูกเลือกสู้พวกเขาไม่ได้
ในความขัดแย้งหลายครั้ง อย่าว่าแต่ผู้สูงส่งขนานแท้อย่างเทพตะวันม่วง ชีกู้หรือมหาโสดาเลย เด็กรับใช้ ผู้ติดตามของพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะลงมือด้วยซ้ำ คนอื่นออกหน้า ก็สามารถกำราบคนพวกนี้ได้
หลายคนถูกโจมตีจนกระอักเลือด โยนใส่ประตูสำนักเทพสวรรค์ แต่ก็ทำได้แค่อดทน พูดอะไรไม่ได้ ให้เหตุผลไม่ได้ กล้ำกลืนฝืนทน ถอยหลังไปเงียบๆ
คนอื่นไม่มีใครพุ่งมา แต่ต่างก็สงสัย ล้วนเป็นศิษย์ของสองสำนักทั้งนั้น
สำหรับฮวงแล้ว เรียกได้ว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จัก เมื่อสองสามปีก่อน เขาก็เป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง เคยมีวีรกรรมรุ่งโรจน์เช่นกัน ทั้งเห็นแล้วกำราบมั่วเต้า อัจฉริยะหนุ่มต่างแดนที่มีพลังเซียนสามเส้นเป็นผู้ติดตาม ซ้ำยังเอาชนะสุนัขนรกอีกด้วย
สองสามปีที่แล้ว หากพูดถึงฮวง หลายคนต่างก็ยำเกรง หวั่นเกรง กลัวจะเป็นศัตรูกับเขา
เพียงแต่ว่า เวลาผ่านไป อัจฉริยะชูสลอน คนที่หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง เขายังมีฐานะเช่นเมื่อก่อนอีกหรือ? เกรงว่าจะเป็นเช่นอดีตไม่ได้แล้ว!
เมื่อคิดพิจารณา หลายคนต่างก็คิดว่า สือฮ่าวคงสูญเสียประกายในขั้นเทพสวรรค์ไปแล้ว เพราะเขาไม่มีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์!
สือฮ่าวถูกรุมล้อม ศิษย์สิบกว่าคนของสำนักห้อมล้อมเขา ความคาดหวังในดวงตาทำให้เขาทำตัวไม่ถูก ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจ สองสามปีมานี้สำนักเทพสวรรค์ถูกดูหมิ่นเกินไป พบเจอกับความไม่ยุติธรรมต่างๆ นานา
“นั่นอะไรน่ะ?”หลายคนที่อยู่ไกลออกไปถามด้วยความสงสัย พร้อมกันจดจ้องมือของสือฮ่าว
มันกะพริบระยิบระยับ ในมือเขามีตลับหินเก่าแก่แต่ก็ลึกลับ กระจายหมอกขาวออกมาเป็นสายๆ ซ้ำยังมีแสงสว่างทะลักออกมา
มันทำให้หลายคนหวั่นไหว มันเป็นตลับวิเศษ!
มันเป็นฝ่ายพุ่งออกมาเองจากใต้บ่อโคลน เห็นได้ชัดว่ามีพลังแล้ว ทำให้ทุกคนจิตใจร้อนรุ่ม อยากจะพุ่งเข้าไปแย่งชิงเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แม้แต่หลานเซียน เทพตะวันม่วง และพวกชีกู้ก็ฉงนสนเท่ห์ ในตลับมีอะไรกันแน่
สือฮ่าวประเมินครู่หนึ่ง จากนั้นเตรียมจะเปิดมัน แต่ก็มีพูดขึ้นมาเดี๋ยวนั้นว่า “ช้าก่อน!”
“เจ้ามีอะไร?” สือฮ่าวไม่หยุด ไม่แยแส ยังคงวิเคราะห์ตลับหินชิ้นนี้ มันถูกลำแสงห่อหุ้ม เจือด้วยกลิ่นอายที่เป็นมงคล แข็งแรงอย่างมาก ทดลองครั้งแรก แต่เปิดมันไม่ออก
“สหายท่านนี้ ตลับหินลอยออกมาจากบ่อโคลน น่าจะมาจากถ้ำเซียน เป็นวัตถุไร้เจ้าของ ไม่ควรเป็นของเจ้า” สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สูงใหญ่กำยำเป็นผู้พูด
บนหัวมีนอสีทอง นัยน์ตาเป็นสีทองอ่อน ผมยาวเปล่งแสงดุจเปลวเพลิง ร่างกายกำยำชวนให้รู้สึกกดดัน
เห็นได้ชัดว่าเขาจำสือฮ่าวได้ รู้ว่าเขาคือฮวง แม้เมื่อก่อนจะไม่เคยเจอ แต่เมื่อครู่ต้องได้ยินคนอื่นวิจารณ์เป็นแน่ แต่ตอนนี้เขาไม่ก้าวออกมา แสดงทีท่าเช่นนี้ออกมา!
ทุกคนทำหน้าตกใจ พวกเขารู้ว่า คนคนนี้ไม่ประสงค์ดี นี่เป็นการท้าทายอำนาจของสือฮ่าว ประเมินความสามารถที่แท้จริงในตอนนี้ของเขา
แม้คนคนนี้จะพูดจาอ้อมค้อมมาก ไม่ฉีกหน้าโดยตรง แต่ท่าทีและน้ำเสียงแบบนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็จงใจขัดขวางชัดๆ
“ในเมื่อไร้เจ้าของ เจ้าตะโกนบอกว่าช้าก่อนหมายความว่าอย่างไร วัตถุไร้เจ้าของตกมาอยู่ในมือของข้า ก็นับว่ามีเจ้าของแล้ว” สือฮ่าวกวาดตามองเขาอย่างเย็นชา
เมื่อสิ่งมีชีวิตที่มีเขาสีทองถูกมองแวบหนึ่ง ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ใจเต้นระส่ำ ฮวงคนนี้…ยังคงน่ากลัวเช่นเดิม ไม่ได้หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมไม่ใช่หรือ?!
เขามีผมดุจเปลวเพลิงยาวสยาย ดวงตาสีทองฉายแววชั่วร้าย เขาไม่ถอยแต่อย่างใด กลับเดินเข้าไปใกล้หลายก้าวแล้วพูดว่า “มันไม่มีเจ้าของ จำต้องส่งมอบ สุดท้ายต้องได้รับการหารือจากทุกคน ดูสิว่าจะตกเป็นของใคร!”
หลายคนไม่พูดไม่จา มีแค่ดวงตาที่แวววับ รอชมความสนุก ผู้คนรู้แล้วว่าคนคนนี้ตั้งใจจะขวางสือฮ่าว ไม่ให้เขาได้ตลับหินไปครอง
ศิษย์หลายคนของสำนักเทพสวรรค์เกิดไฟโทสะสุมทรวง ต่างก็โมโหอย่างยิ่ง ข่มเหงกันเกินไปแล้ว หากคนอย่างมหาโสดาและพวกหลานเซียนได้มันไป คนคนนี้จะกล้าหรือ?
คนคนนี้เห็นฮวงกลับมาแล้ว หรือคิดว่าเขาไม่ทรงพลังเช่นวันวาน จึงก้าวออกมาท้าทายหรือ?
คนของสำนักเทพสวรรค์พูดอย่างโมโหว่า “เจ้าเป็นแรดนอทองของสำนักเซียนใช่ไหม ข้ารู้จักเจ้า ญาณวิเศษแรดไม่ธรรมดา กายเนื้อแข็งแกร่ง พลังป้องกันน่าตะลึง มีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่อหังการแบบนี้ ไม่รู้จักกาลเทศะ มีสิทธิ์อะไรมาขวางคนของสำนักเทพสวรรค์?”
“สหายตลกนัก ข้าแค่พูดไปตามเนื้อผ้า เพื่อความยุติธรรม ต้องเป็นเช่นนี้จึงจะถูก หรือเจ้าคิดว่าเป็นคนของสำนักเทพสวรรค์จะไม่เคารพระเบียบก็ได้งั้นหรือ?” แรดนอทองยิ้มเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็มองเหล่าวีรชนอีกครั้ง “ทุกท่านว่าอย่างไร ตามหลักแล้วทุกคนควรหารือกัน มันเป็นวัตถุไร้เจ้าของ สหายทุกท่านคิดอย่างไร?”
ศิษย์สำนักเทพสวรรค์โมโห คนนี้กำลังจงใจหาเรื่อง ดูถูกว่าในสำนักเทพสวรรค์ไม่มีมือดีหรือ?
เห็นได้ชัดเจนว่า ทุกคนต่างก็เห็นแก่ตัว ในเมื่อมีคนขวางสือฮ่าว ในบรรดาเหล่าผู้กล้าหลายย่อมไม่ยอมให้วัตถุล้ำค่าตกอยู่ในมือผู้อื่นแน่ ต่างๆ คล้อยตามกับแรดนอทอง
บางคนพยักหน้า บ่งบอกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของแรดนอทอง ในเมื่อไร้เจ้าของ ควรหารือกันก่อนค่อยตัดสินใจ
“หากมหาโสดาหรือเทพตะวันม่วงได้ไป พวกเจ้าจะกล้าทำเช่นนี้ไหม?” ศิษย์สำนักเทพสวรรค์ตวาด ขณะเดียวกันก็เคียดแค้นแรดนอทองยิ่งนัก คนนี้กำลังปลุกปั่นความคิดผู้คนชัดๆ
“ฮวง สหายสือ ต้องขออภัย ข้าไม่ได้เพ่งเล็งเจ้า แต่เรื่องนี้ต้องยุติธรรม เจ้าส่งตลับหินมาเถอะ” แรดนอทองยิ้ม ไม่ใช่แค่นัยน์ตาที่ส่องแสงสีทอง แม้แต่ผิวหนังก็เปล่งประกายสีทอง “เจ้าดูสิ นี่เป็นเจตนาของทุกคน ไม่ใช่ความคิดของข้าคนเดียว พวกเราต่างก็ต้องการให้ที่นี่สุขสงบ หลีกเลี่ยงการนองเลือด ให้ความยุติธรรมกับทุกคน”
ศิษย์สำนักเทพสวรรค์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แรดนอทองช่างจริงจังหนักแน่น ถึงพูดออกมาเช่นนี้
“เจตนาของทุกคน เจตนาของเจ้า หรือเจตนาของคนเบื้องหลังเจ้า เจ้าอยากได้ก็เข้ามาชิงสิ” สือฮ่าวมองเขาแวบหนึ่งอย่างเหยียดหยาม
ท่าทางของเขาเรียบเฉย ไม่แยแสเรื่องพวกนี้เลยสักนิด
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?!” แรดนอทองรู้สึกเจ็บกระดองใจกับคำพูดเย็นชา และสายตาเยาะเย้ยของเขา ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอดสู คนที่สูญเสียความรุ่งเรืองในอดีตแล้ว แต่กลับดูถูกเขาแบบนี้!
ยิ่งไปกว่านั้น แววตาของอีกฝ่ายนั้นซื่อตรง ไม่ปิดบังเลยสักนิด ราวกับกำลังมองการแสดงของคนที่เลวทรามและต่ำช้าที่สุด
“ข้าเคยได้ยินมาว่า หากใครได้ไปก็เป็นของผู้นั้น เจ้าเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทำเพื่อใครล่ะ มหาโสดา เทพตะวันม่วงหรือหลานเซียน?” สือฮ่าวพูดอย่างไม่ยี่หระ
แรดนอทองอยากตวาด โต้เถียงเขายิ่งนักว่าเป็นเจตนาของทุกคน แต่ก็เกรงว่าจะทำให้สี่ผู้สูงส่งไม่พอใจ ไม่กล้าพูดออกไปโดยตรง ตกที่นั่งลำบากขึ้นมาทันที
“อยากได้ก็เข้ามา ไม่ต้องการก็ไสหัวไป!” สือฮ่าวตรงไปตรงมา
“เจ้า!” แรดนอทองเลือดขึ้นหน้า เขาเพียงแค่อยากประเมินความสามารถของสือฮ่าวสักหน่อย แต่ตอนนี้กลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดเสียงเรียบว่า “งั้นก็ดี ข้าไปชิงด้วยตัวเองในนามของสหายทุกท่าน!”
“เจ้าเป็นแค่ตัวเจ้า เป็นตัวแทนให้ใครไม่ได้ อย่ายกตัวเองให้สูงส่งปานนี้ มิเช่นนั้นเดี๋ยวจะรับไม่ได้!” สือฮ่าวพูดอย่างเยือกเย็น
ทุกคนต่างก็ตกใจ นี่แหละนิสัยของฮวง ก่อนหน้านี้เห็นเขาสุภาพแต่ก็โดดเด่น เสมือนขาดความแข็งแกร่งในอดีต ตอนนี้ดูท่าเขาจะไม่เคยเปลี่ยนไปเลย!
แรดนอทองก้าวออกไปแล้วจริงๆ เขาระวังตัวยิ่งนัก ร่างกายขยายใหญ่ ครึ่งบนกลายเป็นแรดวิเศษ มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ ผิวส่องแสงสีทองอ่อน
นอแรดสว่างเจิดจ้า ปล่อยกระแสไฟออกมา พร้อมกับพลังปราณธาตุโลหะ น่ากลัวเป็นที่สุด มีลำแสงกระบี่พุ่งออกมา
ท่อนล่างของเขายังคงเป็นร่างมนุษย์ ตอนนี้พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว หมายจะแย่งตลับหินไป เขาโจมตีแล้ว
ขณะที่เขาเข้าใกล้ สือฮ่าวก็เคลื่อนไหว เคลื่อนตัวหลบหลีก ลงมือปานสายฟ้าฟาด แต่กลับดูงดงาม กระทั่งแสงสว่างจางหาย กลับคืนสู่ความสงบ ปราศจากร่องรอยใด
ผู้คนตาลาย สือฮ่าวประสานอินแล้วกระโดดขึ้น ทำลายการป้องกันขั้นเจ้าสำนักของแรดนอทอง จากนั้นก็หักนอของเขาดังแกรก
เงียบสงัดชั่วครู่ แรดนอทองส่งเสียงร้องโหยหวน ปฐพีสั่นสะเทือน ยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปจะถล่มแล้ว ก้อนหินปลิวว่อน
ความสามารถของเขายิ่งใหญ่ มีพลังวิเศษที่น่ากลัว แต่ตอนนี้ กลับเสียนอสีทองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สร้างชื่อจากมันไปเสียแล้ว!
ทุกคนตะลึงงัน เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็สิ้นสุดลงแล้ว แค่กระบวนท่าเดียว แรดนอทองก็เสียนอวิเศษที่เป็นแหล่งรวมพลังปราณไปแล้ว!
“ใช้พลังเทพสวรรค์ สะเทือนพลังป้องกันของแรดนอทอง แถมยังหักมันด้วย ฝีมือดี!” ในตอนนี้เอง นางฟ้าชุดฟ้าที่อยู่อีกฝั่งก็เอ่ยขึ้น
ผู้คนชะงัก หลานเซียนกำลังวิจารณ์ พูดเหตุการณ์ออกมาแบบนี้
ทุกคนต่างก็ตกใจ พลังเทพสวรรค์ทำลายพลังป้องกันขั้นเจ้าสำนัก มันช่างน่าเหลือเชื่อ นั่นมันข้ามขั้นเชียวนะ!
“น่าสนใจ ใช้พลังเทพสวรรค์โจมตีจุดป้องกันที่เปราะบางที่สุดของมือดีขั้นเจ้าสำนัก จากนั้นก็อาศัยพลังพลังของศัตรู หักนอของตัวเอง” หลานเซียนพูด
ผู้คนตะลึงงัน ฮวงตอบโต้ด้วยตาต่อตา ฟันต่อฟัน ใช้พลังของแรดนอมองหักนอของเขา มันน่ากลัวอย่างมาก!
“เจ้า…” แรดนอทองเจ็บปวด นั่นเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เขาบรรลุธรรมในวันหน้า ถูกทำลายแบบนี้ มันทำให้เขาเจ็บแค้นจนอยากฆ่าตัวตาย
“เจ้ายังต้องการตลับหินอีกไหม?” สือฮ่าวถามเสียงเรียบ
แรดนอทองคำรามลั่น หันหลังเดินจากไปทันที เขารู้แล้วว่า ฮวงน่ากลัวมาก ต่อให้ไม่มีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ ตอนนี้แม้แต่เขาก็รับมือไม่ไหว
“ใครให้เจ้าไป ได้ยินว่าเนื้อแรดไม่เลวเลย เจ้าอยู่ก่อน” สือฮ่าวพูด
“อ๊าก…” แรดนอทองร้องลั่น ประหวั่นพรั่นพรึง ตอนนี้กลับคืนสู่ร่างเดิม กลายเป็นแรดสีทองขนาดเท่าขุนเขา หันหลังแล้วหนีทันที
เพราะเขาเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างว่า ตอนที่ฮวงรุ่งโรจน์ ชื่นชอบการย่างสัตว์นานาชนิดที่สุด น่ากลัวยิ่งนัก เป็นราชันปีศาจ
“จะไปไหน?” สือฮ่าวพูดไล่หลัง
ในตอนนี้เอง เสียงลมกรรโชกก็แว่วมา แสงสีม่วงกระจายตัว ชายหนุ่มคนหนึ่งลอยลงมาจากฟ้าพร้อมกันหมอกสีม่วง
“จื่อท๋งช่วยข้าด้วย!” แรดนอทองตะโกนลั่น เขาตกใจแทบแย่ จึงอดร้องขอความช่วยเหลือต่อหน้าผู้คนไม่ได้
แม้ฮวงจะจากไปหลายปีแล้ว แต่พลังอำนาจยังคงอยู่ หลังแรดนอทองลองหยั่งเชิงแล้ว ก็หวาดกลัวแล้วอย่างสิ้นเชิง
“จื่อท๋ง เด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง!” มีคนกระซิบ ผู้ที่มาเยือนเป็นเด็กรับใช้ผู้ยิ่งใหญ่ที่ติดตามเทพตะวันม่วงนั่นเอง
“แรดนอทองเจ้ามายืนข้างข้า ดูสิว่าใครจะกล้าแตะต้องเจ้า!” เด็กรับใช้ที่มีนามว่าจื่อท๋ง ยืนอยู่ตรงนั้น พูดเสียงเรียบขึ้นมาด้วยความมั่นใจ
สือฮ่าวแสยะยิ้มแล้วเดินออกไป แรดนอทองกล้าท้าทายเขา ที่แท้ก็มีเด็กรับใช้คนนี้คอยหนุนหลัง เป็นคนของเทพตะวันม่วง!
“จื่อท๋งเจ้าถอยไป” ในตอนนี้เอง ผืนฟ้าก็สว่างไสว ดวงตะวันสีม่วงก็ลอยลงมา น่ากลัวเป็นที่สุด
ในดวงตะวันสีม่วง มีร่างเลือนรางอยู่ข้างใน กระจายคลื่นพลังวิเศษอันน่าตะลึง ราวกับจะทับดวงดาวถล่ม เทพตะวันม่วงนั่นเอง
“เจ้าน่ะหรือฮวง? แม้จะเคยเจอกันครั้งแรก แต่ได้ยินชื่อมานานแล้ว!” เทพตะวันม่วงเอ่ยปาก
ตอนที่ 1269
ไร้น้ำยา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภาพแบบนี้น่าตะลึงยิ่งนัก ดวงอาทิตย์สีม่วงลอยอยู่กลางอากาศ กลมมนและมหึมา ส่องแสงสีม่วงเจิดจ้า ไอสีม่วงกระจายไปทั่วผืนฟ้า
รอบๆ มีลำแสงเจิดจ้า แสงสีม่วงไหลหลั่งลงมาปานธารน้ำตก
ไม่มีใครเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของเทพตะวันม่วง ราวกับร่างเลือนรางยืนอยู่นอกโลกอันไกลโพ้น มีแค่ยามเขากะพริบตาเท่านั้น ที่จะรู้สึกถึงพลังชีวิตอันเต็มเปี่ยมที่ไหลทะลักออกมา
ใครก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อฮวงหวนกลับ เทพตะวันม่วงจะปะทะกับเขา ทั้งสองจะเปิดศึกกันไหม?
เพียงแต่ว่า ตอนนี้พลังของสือฮ่าวเป็นอย่างไรแล้ว หายตัวเกือบสามปี ไม่มีใครรู้ความสามารถที่แท้จริงในตอนนี้ของเขา ไม่มีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ จะสู้เทพตะวันม่วงได้ไหม?
ผู้คนคาดหวังขึ้นมาทันที อยากรู้ว่าฮวงในตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่
“เจ้าให้แรดนอทองมาหยั่งเชิงข้าหรือ?” น้ำเสียงของสือฮ่าวเย็นเยือก ปราศจากความอ่อนโยน
และเทพตะวันม่วงก็อยู่ตรงข้ามเขาพอดี แม้ดวงตะวันจะทรงพลัง ลอยเด่นกลางนภา แต่น้ำเสียงกลับสุภาพ เจือความนิ่งสงบ “เด็กรับใช้ดื้อรั้น สมุนหาเรื่อง อย่าได้ถือสาเลย”
เรียกได้ว่าพูดอย่างขอไปที เขาต้องการให้จบเรื่องเมื่อครู่
นัยน์ตาของสือฮ่าวแวววับ ไม่พูดอะไร หากไม่ใช่เพราะชายคนนี้มีแผนการ คิดว่าต่อให้สมุนของเขาใจกล้าก็ไม่มีทางเกินหน้าเกินตามากไป
“สุนัขนรกเป็นสหายของข้า เป็นเพื่อนรักของข้า!” เทพตะวันม่วงพูดออกมาโดยตรง
สือฮ่าวแปลกใจ นี่คิดจะปิดปากเขาหรือ กลัวเขาจะถามหรือพูดจาไม่น่าฟัง? จึงพูดมูลเหตุบางอย่างออกมาโดยตรง
“อ๋อ สุนัขนรกหรือ เขาสบายดีไหม? ไม่เจอกันนาน ไม่รู้ว่าตอนนี้พลังของเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว” สือฮ่าวพูดเสียงเรียบ
“ตอนนั้นเขาต่อสู้กับเจ้าอย่างลำบากกว่าหลายพันกระบวนท่า สุดท้ายก็แพ้ยับเยิน สะเทือนใจไม่น้อยเลย เคยมีช่วงเวลามืดมน แต่ละอายใจจึงแก้ไข พึ่งพาตัวเองเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง ได้เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์มาครอง หลอมรวมเป็นหนึ่งแล้ว!” เทพตะวันม่วงพูด
“ละอายใจจึงแก้ไขหรือ เจ้าคิดว่าที่เขาแพ้ข้าเป็นความอัปยศงั้นหรือ?” สือฮ่าวจ้องดวงอาทิตย์สีม่วงดวงใหญ่กลางอากาศ
“สหายคิดมาไปแล้ว” เทพตะวันม่วงยังคงยิ้มอ่อนโยน แต่กลับทำให้รู้สึกเข้าไม่ถึง ดวงอาทิตย์สีม่วงเจิดจ้ายิ่งขึ้น ลอยเด่นกลางฟ้า ประหนึ่งเป็นผู้กุมชะตาของสรรพสัตว์
“เจ้ามาหาข้า อยากสู้กับข้าหรือ?” สือฮ่าวถาม
“ตอนที่ข้าบำเพ็ญเพียรเสร็จสิ้น ได้ยินว่าสุนัขนรกแพ้ ก็ตกใจไม่น้อย แต่ก็เข้าใจ ข้ารู้ว่านิสัยอวดดีอย่างเขาต้องแพ้สักวัน ได้รับบทเรียนแบบนี้จึงจะผงาดได้ ขณะเดียวกัน ข้าก็คาดหวังยิ่งนัก อยากประลองกับคนที่เอาชนะเขาได้ เพียงแต่ว่า ตอนที่ข้าคิดจะตามหาเจ้า กลับได้ยินว่าเจ้าไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม จึงหายตัวไป ทำให้เขาเสียดายยิ่งนัก เสียดายที่ไม่ได้สู้กับเจ้าในขั้นเทพสวรรค์ ต่อไปคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” เทพตะวันม่วงพูดเสียงเรียบ
เมื่อจบประโยคสุดท้าย ทำให้หลายคนชะงัก ต่างก็ทำหน้าตกใจ
เห็นได้ชัดว่าเทพตะวันม่วงเหนือชั้น ยิ่งใหญ่และผยอง ความหมายของเขาชัดเจนมาก ทั้งคู่ไม่ได้ต่อสู้กันในขั้นเทพสวรรค์ เช่นนั้นหากเข้าสู่ขั้นเจ้าสำนัก มันไม่มีความหมายแล้ว
เพราะสือฮ่าวไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ จะทิ้งระยะห่างจากคนอย่างเทพตะวันม่วงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทางตามทันตลอดไป!
“แต่เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าลงมือ คิดว่าคงเข้าใจอะไรผิดไป ฝีมือแบบนั้นใช่ว่าคนทั่วไปจะทำได้ จัดการแรดนอทองด้วยขั้นเทพสวรรค์ ไม่ธรรมดาจริงๆ!” เทพตะวันม่วงชื่นชม
ผู้คนได้ยินคำพูดของเขา ใจก็เต้นระส่ำ หมายความว่าอย่างไร หรือเขากำลังสงสัยว่าฮวงก็มีเมล็ดพันธุ์เหมือนกัน หลอมรวมสำเร็จแล้ว? แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร พันธุ์ไร้พ่ายมีเพียงน้อยนิด มีจำนวนจำกัด!
“เมื่อขั้นบำเพ็ญถึงระดับหนึ่งแล้ว อยากหาคู่ต่อสู้สักคนยังยาก ฮวง เจ้านับว่าเป็นปาฏิหาริย์ ข้าชื่นชมเจ้า ได้ยินข่าวลือของเจ้ามากมาย วันนี้ อาจมีโอกาสสมดั่งใจหวัง!” เสียงของเทพตะวันม่วงแหบพร่า มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
โดยเฉพาะสำหรับนักพรตหญิง พรสวรรค์ของเขาเหนือชั้น ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้สูงส่งที่แข็งแกร่งที่สุด บวกกับมีลักษณะโดดเด่น เป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคนี้
ไข่มุกของแต่ละสำนัก หญิงงานทั้งหลาย นักพรตหญิงโฉมงามมากมายนัยน์ตาเป็นประกาย จ้องตะวันสีม่วงบนฟ้าไม่วางตา
อัจฉริยะ ชายหนุ่มของแต่ละเผ่าพันธุ์ แม้จะอิจฉา แต่ก็อดอุทานไม่ได้ เทพตะวันม่วงมีพรสวรรค์เย้ยโลกาจริง เทียบเคียงไม่ได้!
“เจ้าอยากสู้กับข้าหรือ?” สือฮ่าวถาม ผมดำหนาดำ แต่นุ่มสลวยเงางาม แผ่ปรกแผ่นอกและแผ่นหลัง
รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ผิวหนังผุดผ่อง หน้าตาหล่อเหลา เรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะเหนือสามัญ เป็นดุจเซียนตกสวรรค์
แต่ในสายตานักพรตหญิงบางส่วน เทพตะวันม่วงดึงดูดมากกว่า เพราะเขายิ่งใหญ่และลึกลับ ตั้งแต่หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์หมอกปฐมกาลแล้ว ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันของเก้าสวรรค์สิบพิภพจะมีกี่คนสู้เขาได้?
นับถือผู้กล้า ยำเกรงอัจฉริยะ เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ด้วยเหตุนี้ตลอดสองปีนี้ เทพตะวันม่วงจึงมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างยิ่ง เป็นที่เคารพและโปรดปรานของนักพรตหญิงทั้งหลาย
แต่สือฮ่าวหายไปนานปานนั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะไม่ได้หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ สูญเสียสิทธิ์ของผู้สูงส่งไป ตอนนี้ชื่อเสียงจึงสู้เทพตะวันม่วงที่เป็นดาวค้างฟ้าไม่ได้
“ใช่ ข้าอยากสู้กับเจ้า เจ้าจะยอมไหม?” เทพตะวันม่วงพยักหน้า ร่างเลือนรางในตะวันม่วงปรากฏกาย หมอกกระจาย มีลักษณะทรงพลัง
ทุกคนต่างก็ตกใจ สุดท้ายอัจฉริยะทั้งสองจะประมือกัน แต่ไม่รู้ว่าฮวงในตอนนี้จะสู้ได้หรือไม่ จะเป็นคู่ต่อสู้ของเทพตะวันม่วงได้ไหม?!
“ไม่มีปัญหา!” สือฮ่าวพยักหน้า ไม่แยแสแต่อย่างใด ตอบรับทันใด เพราะเขาอยากทดลองผลลัพธ์ของการจำศีลเกือบสามปี
เขาหายไปนานเหลือเกิน หลายคนแทบลืมเขาแล้ว แม้แต่นอแรกทองยังกล้าท้าทายอำนาจเขา บางทีอาจต้องสู้กันสักตั้งเพื่อข่มขวัญเหล่าวีรชน
“นายท่าน ท่านจำเป็นต้องต่อสู้กับเขาด้วยตัวเองหรือ ให้เป็นหน้าที่ข้าได้หรือไม่?” เด็กรับใช้ข้างๆ เอ่ยปาก ทำให้หลายคนได้ยินแล้วก็ออกอาการตกใจ
พูดว่าเป็นเด็กรับใช้ ที่จริงเจริญวัย อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีแล้ว เป็นช่วงอายุที่มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม เขาโด่งดังเพราะบารมีของเทพตะวันม่วง
เขาคอยเคียงข้างเทพตะวันม่วงทุกวัน ทั้งยามอ่านคัมภีร์ต่างๆ หรือศึกษาวิชาสวรรค์สะเทือนปฐพี ความสามารถจึงเพิ่มทะยาน แข็งแกร่งจนน่ากลัว น้อยคนจะต่อกรได้
“แม้แต่เด็กรับใช้ยังกล้าทำแบบนี้ ช่างมั่นใจยิ่งนัก!” ศิษย์ของสำนักเทพสวรรค์ทั้งตกใจและโมโห มีคนลุกขึ้นตะโกนเสียงดัง สือฮ่าวมีใคร ต่อให้เด็กรับใช้ยิ่งใหญ่ น้อยคนในสำนักเซียนจะสู้ได้ แต่อย่างไรเสียก็เป็นแค่ข้ารับใช้ จะประมือกับฮวงได้อย่างไร?
“ถอยไป” เสียงของเทพสวรรค์ต่ำ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ จึงตวาดเด็กรับใช้
เด็กรับใช้นามว่าจื่อถงหน้าตาจิ้มลิ้ม รูปโฉมงดงาม ได้ยินก็เม้มปาก แต่สุดท้ายก็ถอยหลังไปยืนกับแรดนอทองด้วยความไม่สบอารมณ์
“สหายสือลึกลับยิ่งนัก หายไปสองสามปี ไม่รู้ว่าเจ้าหลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์อะไร?” เทพตะวันม่วงถาม
เขาสงสัยมากจริงๆ ในโลกหล้า ตั้งแต่อดีตยันวันนี้ เมล็ดพันธุ์ที่นับว่าไร้พ่าย มีเพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น ใช้นิ้วนับได้
จากที่เขารู้ เมล็ดพันธุ์พวกนั้นมีเจ้าของแทบจะทั้งหมด ส่วนใหญ่หลอมรวมกับมนุษย์แล้ว สือฮ่าวไปหาเมล็ดพันธุ์มาจากไหน?
ไม่ใช่แค่เขาที่อยากรู้ คนอื่นก็กลั้นหายใจ อยากรู้ว่าสือฮ่าวมีประสบการณ์อย่างไร มีสิทธิ์ได้เป็นผู้สูงส่งอีกครั้งใช่หรือไม่
ทุกคนจับจ้อง ทุกสายตาจ้องมองสือฮ่าว
“ทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ที่จำกัด มีแค่ไม่กี่เม็ด ข้าไม่ได้มาครอง สำนักเซียนไม่ยอมให้ข้า” สือฮ่าวพูดตามความจริง
เมื่อสิ้นประโยคนี้ ปฏิกิริยาของทุกคนแตกต่างกันออกไป
บางคนรู้สึกไม่พอใจแทนสือฮ่าว รู้สึกเจ็บใจแทนเขา อัจฉริยะในอดีต หนึ่งในผู้สูงส่งที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ไม่มีใครเห็นความสำคัญ ไม่ให้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมแก่เขา มันหมายความว่าอย่างไร? นับจากนี้ไป ทางของเขาจะตกต่ำลง ไม่มีทางไร้เทียมทาน เสียสิทธิ์ที่จะแข่งขันกับจื่อรื่อและมหาโสดาไปแล้ว!
แต่ก็มีคนมากมายถอนหายใจ เช่นคนของทั้งสองสำนัก รู้สึกเหมือนแรงกดดันลดฮวบลง ไม่หวาดหวั่น ไม่หวาดกลัวอีกต่อไป
ถึงขั้นว่ามีบางคนแสยะยิ้ม ไม่ได้หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สูงส่ง ฮวงคงจะธรรมดาลงทุกวัน ไม่มีทางเย้ยหยันมวลชนอีกต่อไป!
“น่าเสียดาย แม้จะแสดงทีท่าแข็งแกร่ง กลับมากะทันหัน แต่สุดท้ายก็ยังห่างอีกมากโข เทียบผู้สูงส่งขนานแท้ไม่ได้”
“หากเป็นข้าล่ะก็ คงจะหาที่หลบซ่อน ฝังชื่อตัวเอง จะโผล่มาทำไม ถูกคนกำราบ รสชาติแบบนั้นสบายใจนักหรือ?”
หลายคนสะใจ การหมดสภาพของสือฮ่าว บ่งบอกว่าพวกเขาไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว
ศิษย์บางส่วนของสำนักเทพสวรรค์รู้สึกหมดแรง ขณะเดียวกันก็เศร้าสลด นี่เป็นความจริง หลังสิ้นศึกนี้ สำนักเทพสวรรค์คงโงหัวไม่ขึ้นอีกแล้ว
“น่าเศร้าจริงๆ” อู๋ไท่เหน็บแนม เขาเคยถูกสือฮ่าวจัดการและชิงเกราะฟ้าครามที่เขายืมมาจากราชันสวรรค์น้อยไป ทำให้เขาเคียดแค้นสือฮ่าวยิ่งนัก
“ได้เท่านี้อีกหรือ! ไม่มีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ จะทำอะไรได้? ให้ข้ารบกับเขาเถอะ” เด็กรับใช้พูดอีกครั้ง ความฮึกเหิมพิ่มพูน
“เจ้าหลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์ที่เป็นรองเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์หรือ?” จื่อรื่อถามอีกครั้ง
“เปล่า ไม่มี” สือฮ่าวส่ายหน้า
“ฮ่าฮ่า…” อู๋ไท่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ได้ ถูกชิงเกราะฟ้าครามไป ทั้งยังถูกสือฮ่าวโจมตี ทำให้เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาเคยลั่นวาจาว่า จะรอสือฮ่าวในขั้นต่อไป หากไม่มีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ สือฮ่าวต้องตกต่ำลงแน่นอน เขาจะแก้แค้นเมื่อถึงตอนนั้น!
เขาคิดว่าโอกาสจะมาถึง วันที่รอคอยมาถึงแล้ว เห็นศัตรูตกที่นั่งลำบาก เขาก็สบายอุรายิ่งนัก
“นายท่าน ให้ข้าไปเองเถอะ คนแบบนี้อยู่ต่ำกว่าข้าที่ได้เมล็ดพันธุ์มาครอง เขาไม่คู่ควรให้ท่านลงมือ ปล่อยให้เป็นหน้าข้าเถอะ!” เด็กรับใช้พูดอีกครั้ง
หลายคนในสำนักเซียนพากันหัวเราะ ผ่อนคลายเหลือเกิน เพราะเคยมีคนกลุ่มหนึ่งขัดแย้งกับสือฮ่าว ตอนนี้พวกเขาโล่งใจ ไม่กังวลเรื่องศัตรูคนนี้อีกต่อไป
ที่นี่ดังเจี๊ยวจ๊าว วุ่นวายขึ้นมาทันที
“ใครกล้ารังแกสหายของข้า?!” ในตอนนี้เอง ก็มีลำแสงปรากฏขึ้นบนฟ้า ร่างแล้วร่างเล่ากำลังขี่สายรุ้งมา
ตึง!
ฝุ่นตลบอบอวล คนพวกนั้นกระโดดลงพื้น ผู้นำเป็นชายอ้วนคนหนึ่ง แก้มย้อยเหมือนลูกซาลาเปา สวมชุดสีขาว เฉาอวี่เซิงนั่นเอง
ข้างเขาเป็นหญิงสาวที่มีผมสีเงินเงางาม ท่าทางอายุสิบห้าสิบหก ดวงตากลมโตสุกใสแวววาวราวกับเพชร กระต่ายน้อยนั่นเอง
กระต่ายดวงจันทร์ถลึงตา แยกเขี้ยวเผยให้เห็นฟันสีขาว โวยวายว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นแค่เด็กรับใช้ ยังกล้าหาเรื่องฮวง คนอย่างเจ้า หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนล่ะก็ คงถูกพวกเรากินไปนานแล้ว!”
ข้างหลังเป็นฉางกงเหยี่ยน ปีศาจสาว เฟิ่งหวู่ เจิ้นกู่ เถิงยีของเผ่าพันธุ์ทองคำไฟและธิดามังกร หนุ่มสาวที่มาจากสามพันแคว้นเลือกเข้าร่วมสำนักปราชญ์เป็นส่วนใหญ่ เพิ่งมาถึงที่นี่
เด็กรับใช้โกรธแค้น ติดตามเทพตะวันม่วงมาหลายปี ใครกล้าล่วงเกินเขา? มีใครกล้าเพ่งเล็งเขาบ้าง ต่างก็เคารพเขา แต่วันนี้กลับถูกตวาดแบบนี้ มันเป็นความอัปยศสำหรับเขา!
“พวกเจ้า…ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ! ฮวงทำไม ข้ายอมรับที่ผ่านมาเขาแข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้จะเท่าใดกัน ไม่มีแม้แต่เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ ผลสำเร็จต้องจำกัดแน่นอน!” เด็กรับใช้โวยวาย
“แม้จะไม่มีเมล็ดพันธุ์ แต่เขาคือฮวง ก็ชี้เป็นชี้ตายเจ้าได้เช่นกัน!” กระต่ายน้อยร้องลั่น ใบหน้าขาวหยวกแดงระเรื่อเพราะความโมโห ถลึงตาจนกลมกว้าง โกรธแค้นยิ่งนัก
“ใช่ ตอนนั้นที่ฮวงเป็นใหญ่ในหล้า ไอ้เวรอย่างเจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้!” เฉาอวี่เซิงตะโกนเสียงดัง
“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าตลอดสองปีนี้เกิดอะไรขึ้นกับสือฮ่าว แต่ข้าเชื่อว่า แค่เขากระดิกนิ้วเจ้าก็ล้มได้!” ปีศาจสาวยิ้ม มีความงามอันน่าหลงใหล เชื่อในความยิ่งใหญ่ของสือฮ่าวอย่างไร้ข้อกังขา
“ใช่ แค่กระดิกนิ้วก็จัดการเจ้าได้แล้ว!” กลุ่มนักพรตของสามพันแคว้นตะโกนอยู่ข้างหลัง
สือฮ่าวรู้สึกอุ่นใจ ผ่านไปนานขนาดนี้ คนพวกนั้นเพิ่งโผล่มาก็ปกป้องเขาแบบนี้แล้ว ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างมาก
เด็กรับใช้หน้าดำหน้าแดง โมโหเดือดดาลแล้ว สำหรับเขา ไม่เคยอับอายเช่นนี้มาก่อน เลือดขึ้นมาทันที ก้าวออกไปแล้วพูดว่า “ข้าดูสิว่าใครจะชี้เป็นชี้ตายข้าได้!”
ที่นี่เงียบสงัด มีเพียงลมหายใจถี่กระชั้นของเขา ทุกคนพากันมองมา เพราะเขาเข้าใกล้สือฮ่าวแล้ว
“ตามที่เจ้าต้องการ!” สือฮ่าวพูดเสียงเรียบ เขาไม่ได้ว่องไวมากนัก แต่กลับหนักแน่น ยื่นนิ้วชื่อมือขวาออกไปข้างหน้า
“เจ้าลองดูสิ!” เด็กรับใช้แสยะยิ้ม เนื้อตัวเปล่งแสง ปล่อยเคล็ดวิชาน่าตะลึงออกมา หมอกสีม่วงแผ่นกระจาย ม้วนตัวไปทั่วฟากฟ้า!
มือข้างนั้นของสือฮ่าวขยายใหญ่ขึ้น ความเร็วคงที่ หนักอึ้งดุจขุนเขา ค่อยๆ กดลงมา ทำให้เขาหายใจไม่ออก แทบจะหยุดหายใจ!
เด็กรับใช้เบิกตากว้าง เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี อยากจะหนีไป แต่กลับทำไม่ได้!
หลังนิ้วขยายใหญ่ขึ้น ทับลงราวกับเป็นภูเขา ไม่ว่าจะสำแดงวิชาใดก็หนีไม่พ้น ทำให้เขาพรั่นพรึง!
ปัง!
นิ้วข้างนั้นสัมผัสตัวเขา มีเสียงกระดูกแตกดังออกมาจากตัวเด็กรับใช้ เขากระอักเลือด จากนั้นก็กระเด็นออกไป
หน้าอกของเขายุบลงไป ตำแหน่งอื่นบิดเบี้ยว จินตนาการได้ยากเหลือเกินว่าแบกรับการโจมตีที่น่ากลัวปานใด ราวกับร่างจะแหลกสลายแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น