Perfect World โลกอันสมบูรณ์แบบ 1256-1265

 1256 การขัดเกลาอันยาวนาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ไร้ข่าวคราวของฮวง ยังคงบำเพ็ญเพียรอยู่


สองเดือนผ่านไป ยังคงมีค่ายกลบดบังบริเวณที่ตั้งสำนักเทพสวรรค์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีข่าวอะไรแว่วออกมา


หลายคนข้างนอกต่างก็หยักยิ้ม อดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกว่าฮวงต้องเคราะห์ร้าย โอกาสแพ้มีมากกว่าชนะแน่นอน


“ผ่านไปตั้งสองเดือนแล้ว ยังบำเพ็ญเพียรไม่เสร็จ กำลังทำอะไรกันแน่ คลอดลูกเหมือนผู้หญิงหรือไง ฮ่าฮ่า!”


“คนของสำนักเซียนที่มีเมล็ดพันธุ์สูงส่ง ทยอยนิพพานกันแล้ว เดินออกจากการบำเพ็ญเพียร ฮวงไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ แต่ยังทำสมาธิ ยังกัดฟันทน หากพูดออกไปคงน่าขำแน่!”


สองเดือนผ่านไป ยังคงไร้วี่แววของฮวง ความเงียบแบบนี้ทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ นานาข้างนอก บางคนกำลังหัวเราะเยาะ


หลายคนคิดว่า การจำศีลแบบนี้ของเขานับว่าเป็นความล้มเหลว!


ไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับพรสวรรค์ ก็จะไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงชะตา เขาจะเอาอะไรมาทลายขีดจำกัด? ไม่มีทางผงาดได้เลยสักนิด


พรสวรรค์อย่างเขา การเป็นเจ้าสำนักที่แข็งแกร่งนั้นไม่มีปัญหาเลยสักนิด แต่ทุกคนรู้ดีว่าเขาไม่มีทางยอมจำนน มีข่าวแว่วมาแล้วว่า เขาเตรียมพร้อมทำศึกอยู่เสมอ อยากเป็นบุคคลชั้นยอด


แต่มันไม่สมจริงเอาเสียเลย ฝึกวิชาโบราณ แต่เขาไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม หากเลือกเส้นทางวิชาปัจจุบัน เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักปราชญ์เต็มที่ สองสำนักไม่เปิดประตูเหนือเมฆให้เขา!


สามเดือนแล้ว สือฮ่าวก็ยังเงียบงัน บริเวณที่พำนักของปรมาจารย์ในสำนักเทพสวรรค์มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ภายใต้การหล่อเลี้ยงจากพลังปราณ เรียกได้ว่าโตพรวดพราด สูงกว่าตัวคนแล้ว


ที่นี่มีหญ้าขึ้นรกร้าง ขาดพลังชีวิต ทิวทัศน์ทรุดโทรม


ไม่มีใครสนใจ เพราะปรมาจารย์เคยกำชับไว้ว่า ห้ามให้ใครเข้าใกล้เด็ดขาด จะได้ไม่รบกวนสือฮ่าวที่กำลังจำศีล


“ฮวงจะทลายขีดจำกัดที่น่าตะลึงได้จริงหรือ?”


“ต้องแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปแน่นอน แต่เขาไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม ถ้าอยากสู้กับพวกวิปริตเกินคนเหล่านั้น คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”


“น่าเสียดาย ไม่ได้รับความสำคัญจากสองสำนัก ฮวงต้องตกต่ำเป็นแน่ ยากจะบุกเบิกเส้นทางอันรุ่งโรจน์ วันหน้าเขาจะแข็งแกร่งกว่าข้ามากโข เหนือกว่าอัจฉริยะทั่วไป แต่สูญเสียสิทธิ์จะแข่งขันกับอัจฉริยะสูงส่งของสองสำนักแล้ว”


แม้แต่ลูกศิษย์บางส่วนที่หลงเหลือในสำนักเทพสวรรค์ก็คิดเห็นเช่นนี้ ไม่หวังในตัวสือฮ่าวอีก เพราะนี่เป็นความจริงอันโหดร้าย ขาดความช่วยเหลือจากสองสำนัก อนาคตของฮวงหมดสิ้นแสงสว่างแล้ว


คนในสำนักยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนนอก คนที่เคยเป็นปรปักษ์กับสือฮ่าวกำลังยิ้มเยาะ รอเย้ยหยันสือฮ่าว


ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออัจฉริยะยิ่งใหญ่เสร็จสิ้นการจำศีลคนแล้วคนเล่า รอยยิ้มของคนพวกนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เห็นสือฮ่าวลิ้มรสความแพ้พ่ายในเส้นทางอันมืดมิดแล้ว


“หึหึ ข้ารอเขาโผล่มา คาดหวังอยากเจอฮวงเหลือเกิน” มีคนแสยะยิ้ม สีหน้าเรียบเฉย เจือความเย็นชา


สือฮ่าวยังคงจำศีลเสมอมา ภายใต้การคาดเดาผู้คน ท่ามกลางเจตนาร้ายของคยบางส่วน


ตอนนี้ ณ ใต้ตีนเขาวิเศษ สือฮ่าวเปลี่ยนบ่อสมุนไพรแล้วไม่รู้ตั้งกี่บ่อ ทรมานนับครั้งไม่ถ้วน ขัดเกลาไม่หยุด ตั้งแต่แช่สมุนไพร พิษร้ายแรงกัดกร่อน ไปจนถึงคมดาบฟันกาย ไม่จบไม่สิ้น


เช่นเขาเคยถูกปรมาจารย์ใช้หอกสำริดตรึงเขาอย่างไม่ปรานี ปลายหอกคมกริบ เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลน่ากลัว อนาถสิ้นดี


จากนั้น ใช้สมุนไพรชะล้างตัวเขา ระหว่างนี้ สือฮ่าวต้องอดทนกับความเจ็บปวด กระตุ้นวิชาขัดเกลากระดูก บำเพ็ญเพียรราวกับอยู่ในขุมนรก


จากที่ปรมาจารย์พูด รุ่นของพวกสือฮ่าวดูเหมือนมากประสบการณ์ แท้จริงแล้วยังห่างไกลอย่างมาก ความทรมานและความทุกข์ที่พบเจอมีจำกัด ยังไม่เพียงพอ ต่างก็เป็นพวกคนอ่อนปวกเปียก


เมื่อความโกลาหลที่แท้จริงมาเยือน มันจะเป็นนรกบนดิน สู้ศึกต่อเนื่อง มีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนทุกเมื่อ หากไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่งดุจรูปปั้นหิน แค่ภาพพวกนั้นก็ทำให้ตกใจจนสูญสิ้นกำลังใจแน่นอน


นี่ไม่ใช่การทรมานโดยตั้งใจ แต่เป็นการขัดเกลากายเนื้ออย่างแท้จริง กำลังสร้างร่างกายให้อยู่ยงคงกระพัน ทำให้เขาบรรลุสภาพตามที่หวังไว้


“อยากใช้กายเป็นพันธุ์ หากไม่มีร่างกายที่สมบูรณ์แบบก็อย่าหวัง มิเช่นนั้นร่างกายจะแหลกสลายกลางทาง”


ระยะนี้ สือฮ่าวเคยถูกเขาเทพเจ้าทับจนร่างหัก แทบจะกลายเป็นเนื้อเละ ซ้ำยังเคยถูกคมดาบเฉือนจนเหลือแค่กระดูก


แม้จะเป็นแบบนี้ ปรมาจารย์ก็ให้สือฮ่าวใช้วิชาขัดเกลากระดูกอยู่ตลอด มีจะมีจิตใจแข็งแกร่งอย่างสือฮ่าวก็แทบจะสติแตกเช่นกัน


เขากัดฟันอดทน ไม่เคยพร่ำบ่นและโวยวาย มีเพียงต้องเดินไปให้ถึงที่สุด เพราะปรมาจารย์บอกว่า ทนทรมานตอนนี้เพื่อจะผงาดในวันหน้า เพื่อชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์สวยงาม!


ปรมาจารย์ก็เคยเดินบนเส้นทางนี้เช่นกัน แต่น่าเสียดายมาก เขาล้มเหลว จึงขัดเกลาสือฮ่าวนับครั้งไม่ถ้วน เห็นเขาเป็นเหล็กกล้า จะตีให้เป็นทองคำเซียน ต้องสำเร็จให้ได้!


เมื่อผ่านไปสามเดือน สือฮ่าวผ่านจากการขัดเกลากายเนื้อมาถึงการหลอมจิต เห็นได้ชัดว่าอย่างหลังอันตรายยิ่งกว่า


ระหว่างนี้ ปรมาจารย์ทำทุกวิถีทาง กระตุ้นพลังจิตของเขา เพื่อสร้างดวงจิต บีบคั้นศักยภาพของเขาไม่หยุด


“ดวงจิตที่สอง!”


ปรมาจารย์คาดหวังในตัวเขาอย่างมาก บีบคั้นให้เขาสร้างดวงจิตที่สอง เพราะพลังจิตของเขาแก่กล้าอย่างยิ่ง เหนือกว่าเทพสวรรค์ขั้นเดียวกันนานแล้ว


เปลวไฟพลังจิตสีเงินลุกโชน ดวงจิตที่สองของสือฮ่าวกำลังเติบโต สุดท้ายก็สมจริงราวกับมีชีวิต เหมือนดวงจิตแรกของสือฮ่าวราวกับแกะ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น


“นี่มัน…” ปรมาจารย์ตกใจ เขาแค่อยากทดสอบชายหนุ่มคนนี้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะสร้างดวงจิตได้เช่นนี้ เขาอยากใช้วิชานี้ขัดเกลาจิตและวิญญาณของเขา คิดไม่ถึงเลยว่าจะสำเร็จ


ตอนนี้ สือฮ่าวเกิดความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง ตัวเองสองคนในหนึ่งร่าง แปลกยิ่งนัก ช่างวิเศษจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นชีวิตใหม่


หากเป็นเช่นนี้ เขาสามารถทำเรื่องได้มากมายแล้วใช่ไหม?


เพียงแต่ว่า คำพูดต่อไปของปรมาจารย์ ทำลายความคิดของเขาจนหมดสิ้น


“ธรรมเรียบง่าย ตั้งใจจดจ่อ ทั้งแปลงร่าง ใช้จิตชักใย ธรรมกายที่สอง กายไร้พ่ายที่สามอะไรพวกนั้น เป็นทางอ้อม เป็นความโชติช่วงชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องทำลาย มีแค่ตัวตนที่แท้จริงเท่านั้นที่เป็นของจริง”


ธรรมเรียบง่ายที่ว่า ไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น ดวงจิตที่สอง แปลงร่างอะไรที่ว่าเป็นแค่วิธีบนเส้นทางของการฝึกตน ไม่ใช่หนทางสูงส่งที่ต้องเดินให้ได้


“ในโลกหล้า ตัวเราเองก็เป็นฟ้าดิน จักรวาล ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว สิ่งที่เราต้องทำคือยกระดับให้ถึงขั้นสูงสุด หลุดพ้นออกมา จากนั้นก็สร้างตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่การปรุงแต่ง เติมแขนขาและวิญญาณเพิ่มเติมให้ตัวเอง” ปรมาจารย์พูดอย่างตรงไปตรงมา


สิ่งที่เขาพูดอาจไม่ใช่หลักการที่ถูกต้องที่สุด แต่มันมีเหตุผล บางทีอาจเพราะข้อจำกัดทางชีวิต เขายังไม่ใช่มือดีขั้นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ สิ่งที่พูดอาจมีผิดบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันเป็นสัจธรรม


ไม่นาน ดวงจิตที่สองของสือฮ่าวก็ถูกตัวเขาใช้เป็นเปลวไฟ แผดเผาดวงจิตที่หนึ่งของตัวเอง ไฟลุกโชนไม่หยุด หายลับไปในดวงจิตหลัก


ดวงจิตที่สองกลายเป็นของบำรุง ทำให้ดวงจิตหลักแข็งแกร่งขึ้น


เรียกได้ว่า ตั้งแต่แบ่งออกเป็นดวงจิตที่สอง จนถึงหลอมรวมเป็นหนึ่ง มันเหมือนการสร้าง ขัดเกลานับครั้งไม่ถ้วน ปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ


 เห็นดวงจิตเป็นเหล็กกล้า หลอมและตีไม่หยุด ขจัดสารเจือปนในดวงจิต ทำให้มันบริสุทธิ์ผุดผ่อง กลายเป็นโลหะ ทองคำเซียนที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างโชกโชน


นี่ไม่ใช่การสิ้นสุด เป็นแค่การเริ่มต้น!


“วิชาขัดเกลากระดูกมาจากสำนักเซียน เห็นได้ชัดว่าอัจฉริยะของที่นั่นก็กำลังทำการแปรสภาพเช่นนี้ ขอเพียงเจ้าพยายามทำให้ดีกว่า ทำมากกว่าจึงจะดี!” ปรมาจารย์เตือน


กระทั่งสุดท้าย ปรมาจารย์ถ่ายทอดวิชาที่พิเศษยิ่งกว่า ไม่จำกัดแค่เคล็ดวิชาของสำนักเซียนแล้ว


เขาให้สือฮ่าวหลอมดวงจิตเป็นอาวุธ ไม่ใช่ดวงจิตที่สอง มันอันตรายอย่างยิ่ง แต่ขัดเกลาดวงจิตของตัวเอง เป็นหนทางมรณะอย่างหนึ่ง


หากล้มเหลวจะสิ้นชีพทันที ทิ้งกายเนื้อไร้ดวงจิตไว้ หากสำเร็จพลังจิตจะค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้น!


ตอนแรก ดวงจิตหลักยังอยู่ มือถืออาวุธที่หลอมจากพลังจิตเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น ช่างน่าตกใจนัก


แต่ต่อมา ดวงจิตหลักหายไป กลายเป็นกระบี่ เป็นหอกสีทอง สร้างดาบสวรรค์ไร้เทียมทานด้วยตัวเอง!


มันน่าตะลึงยิ่งนัก การหล่อหลอม ขัดเกลานับพันนับหมื่นครั้ง สร้างดวงจิตครั้งแล้วครั้งเล่า ขจัดสิ่งปนเปื้อนที่ว่า เหลือไว้เพียงส่วนสำคัญ แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกขั้น


สือฮ่าวพูดเสียงสั่นเครือว่า “นี่มันวิชาสยบความวุ่นวายไม่ใช่หรือ?”


หนึ่งในสามวิชากระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในยุคเซียนโบราณ เคยสังหารผู้รุกรานต่างแดนจนนองเลือด กระดูกกองเป็นภูเขา ทำให้ยุคสมัยสุขสงบ!


และวิชานี้แปลงดวงจิตให้เป็นกระบี่ มีอานุภาพไม่สิ้นสุด ทุกที่ที่มันผ่าน ภูเขาจะถล่ม ดวงดาวดับสูญ ไม่มีอะไรขวางมันได้!


“เป็นแค่วิชาไม่สมบูรณ์ ใช้มันมาขัดเกลาดวงจิตเท่านั้น หากจะใช้โจมตี มันยังห่างไกลอยู่มาก วิชาลึกลับชนิดนี้ยากลึกเกินหยั่งตั้งแต่ยุคเซียนโบราณ ไม่รั่วไหลสู่ภายนอก อยากได้มันมาครองนั้นยากเหลือเกิน”


ดวงจิตของสือฮ่าวถูกขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง มันแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ยิ่งใหญ่เป็นที่สุด


ต่อมาไม่นาน ปรมาจารย์ก็นำอาวุธชิ้นหนึ่งออกมา มันแดงฉานดุจหัวแร้ง รูปร่างคล้ายเหล็กท่อน มีทั้งหมดสิบแปดท่อน หลอมวิญญาณของคนโดยเฉพาะ


มันเป็นอาวุธวิญญาณ สร้างขึ้นเพื่อทลายดวงจิต


ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า หนทางต่อไปของสือฮ่าวจะน่ากลัวปานใด ใช้ดวงจิตต่อต้านอาวุธวิญญาณ มันอันตรายเป็นที่สุด เป็นไปได้สูงว่าอาจถึงตาย


“กายเนื้อของเจ้าต้านทานอาวุธวิเศษได้ ยิ่งใหญ่สุดแสนแล้ว กำลังแปรเปลี่ยนเป็นกายอมตะ ดวงจิตก็ควรเป็นเช่นนี้ด้วยจึงจะถูก ต้องต่อต้านอาวุธวิญญาณได้จึงจะดี!”


ปรมาจารย์บอกว่า ต่างแดนมีอาวุธวิญญาณที่น่ากลัวยิ่งนัก ตอนนั้นแดนนี้ปราชันในปลายยุคเซียนโบราณ นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายใช้อาวุธวิญญาณจำนวนมาก จึงทำให้สิ่งมีชีวิตในเก้าสวรรค์สิบพิภพประสบกับความสูญเสียอย่างมหาศาล


หนึ่งในนั้นมีอาวุธวิญญาณสูงส่งหลายชิ้นที่สังหารเซียน ทำลายดวงจิตของสิ่งมีชีวิตขั้นนั้น สะเทือนขวัญผู้คนในแดนนี้


สือฮ่าวได้ฟังก็สูดหายใจดังเฮือก เงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้ปรมาจารย์ใช้เหล็กท่อนโจมตีดวงจิตของเขาไม่หยุด เขาใช้ดวงจิตอันเปลือยเปล่าต่อต้านมัน


“ท่าทางวิชาสยบความวุ่นวายจะล้ำค่ากว่าที่คิด สักวันหนึ่ง จะไม่ใช่แค่กายเนื้อที่เป็นอมตะ แต่ข้าจะทำให้ดวงจิตเดินไปถึงขั้นนั้นด้วย ไม่กลัวการโจมตีใดๆ!” สือฮ่าวทำหน้าหนักแน่น


ชัดเจนมากว่า ในเมื่อวิชาสยบความวุ่นวายทำให้ดวงจิตกลายเป็นอาวุธ สังหารศัตรูมากเหลือคณานับ ทำลายทุกสิ่งกีดขวางได้ เช่นนั้นต้องทำให้ดวงจิตแข็งแกร่งจนถึงขั้นสุดยอด


แม้แต่การโจมตียังไร้พ่ายแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธวิญญาณป้องกันที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ มันเป็นวิชาสูงส่ง!


สี่เดือนผ่านไปแล้ว สือฮ่าวยังคงจำศีลอยู่เช่นเดิม


ห้าเดือนผ่านไป สำนักเทพสวรรค์ยังคงเงียบสงบ


ครึ่งปีผ่านไป คนภายนอกพากันส่ายหน้า อัจฉริยะไร้ความหวังคนหนึ่งจำศีลนานปานนี้ จะมีเรื่องน่ายินดีอะไรอีก?


“อัจฉริยะสำนักเซียนทำสำเร็จแล้วสี่คน คนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักปราชญ์หลายคนก็ปรากฏตัวกันแทบจะทุกคนแล้ว แต่กลับไร้วี่แววของฮวง ข้าพูดได้ไหมว่าเขาใจกล้ายิ่งนัก ฮ่าฮ่า…” มีคนหัวเราะลั่น


“ผู้สูงส่งเหล่านั้นมีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ ต่างก็ใช้เวลาไม่นานเท่าใดนัก แต่ฮวงกลับทรหดเช่นนี้ ไม่ยอมออกมา ช่างเหนียมอายและน่ารักจริงๆ หึหึ!”


หลายคนแสยะยิ้ม เยาะเย้ยและเหน็บแนมอย่างโจ่งแจ้ง คนไม่น้อยกำลังรอสมน้ำหน้าสือฮ่าว


1257 เหตุสะเทือนเก้าสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

การขัดเกลาตลอดหกเดือน ตั้งแต่กายเนื้อไปจนถึงดวงจิตของสือฮ่าว ต่างก็มีความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวง มันไม่ใช่การจำศีลขั้นเทพสวรรค์แล้ว แต่เป็นการขัดเกลาสำหรับเจ้าสำนักชัดๆ


ปรมาจารย์เข้มงวดอย่างยิ่ง แตกต่างจากความอัธยาศัยดีในเวลาปกติอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางปล่อยผ่านเลยสักนิด ขอเพียงมีจุดที่ไม่เป็นไปตามที่หวังก็จะขอให้เริ่มใหม่


“ฟิ้ว!”


อาวุธวิญญาณสีน้ำเงิน แฝงด้วยจิตสังหารอันเย็นเยือก พุ่งมาจากข้างหน้า โดยมีดวงจิตของสือฮ่าวเป็นเป้าหมาย


หากมีคนนอกอยู่ที่นี่ คงจะทำหน้าตกใจเป็นแน่ คลื่นแบบนั้นสามารถสังหารเทพสวรรค์ได้ง่ายดาย ง่ายมากจริงๆ


หอกสีน้ำเงินลอยมา สาดแสงสว่างไปทั่วฟ้าดิน พุ่งทะลุอากาศมา เทพสวรรค์ทั่วไปจะต้านทานได้อย่างไร? ต่อให้เป็นเจ้าสำนักก็ต้องหน้าถอดสี!


ในสายตาของผู้คน ไม่คิดว่ามันเป็นการขัดเกลา แต่เป็นการสังหารโดยเฉพาะ หากขั้นเทพสวรรค์ถูกโจมตีแบบนี้ ต้องตายเป็นแน่!


ในตอนนี้เอง ร่างเล็กขนาดเท่ากำปั้นหน้าหว่างคิ้วสือฮ่าวก็พุ่งขึ้นฟ้า เป็นฝ่ายไปประจันหน้า ปล่อยหมอกเซียนเลือนรางออกมาเป็นระลอกๆ แสงสว่างจางหาย มันดูเก่าและมัวหมองเล็กน้อย


เขาประสานอิน ชั่ววินาทีที่เบี่ยงตัว อินก็โจมตีด้ามหอกสีน้ำเงิน เกิดเสียงดังกังวาน ประกายไฟพวยพุ่ง เจิดจ้ายิ่งนัก


ร่างจิ๋วเรียบง่ายหม่นหมอง ประหนึ่งนักพรตละทางโลกคนหนึ่ง แต่ในช่วงเวลาสำคัญ จะสำแดงอานุภาพ การโจมตีนี้เรียกได้ว่าสะเทือนฟ้าดิน แต่เขากลับต่อสู้กับอาวุธวิญญาณด้วยมือเปล่า


สือฮ่าวจำศีลเป็นเวลานาน ทรมานราวกับขุมนรก มาถึงระยะหลังแล้ว นี่เป็นการทดสอบความสามารถของเขา


หอกสีน้ำเงินสว่างโชติช่วงยิ่งนัก ถูกโจมตีจนลอยขึ้นมาแล้วถูกอินทำให้กระเด็นออกไป!


“ใช้ได้!” ปรมาจารย์พยักหน้า


มากกว่าใช้ได้ หากเป็นคนอื่น อย่าว่าแต่โจมตีหอกสีน้ำเงินจนกระเด็นเลย แค่สัมผัสอาวุธวิญญาณ ก็คงถูกมันบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผง ต้านทานไม่ได้


เพราะของแบบนี้ถูกสร้างมาเพื่อสังหารดวงจิตโดยเฉพาะ


“ไป!” ปรมาจารย์ตะโกน เมื่อเขาเอ่ยปาก ดาบยาวสีม่วงก็พุ่งมา ปล่อยแสงที่แม้แต่ดวงตะวันยังต้องหม่นแสง พุ่งผ่านฟากฟ้ามา


อาวุธวิญญาณอีกเล่ม ดาบยาวสีม่วงฟันมิติ ทลายดวงวิญญาณ ลอยลงมาด้วยพลังไร้พ่าย!


ดวงจิตของสือฮ่าวว่องไวปานสายฟ้า กลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ยังคงมืดสลัว แต่กลับทนทานจนน่าตกใจ พุ่งเข้าไปจะประจัญบานแล้ว


ตอนนี้ แม้แต่ปรมาจารย์ก็ลุ้นระทึก มันอันตรายเหลือเกิน หากพลาดท่า สือฮ่าวอาจตายเพราะดวงจิตถูกฟันจนแหลกสลายได้!


“ตึง!”


มีเสียงดังกังวานดังมาจากอากาศ กระบี่และดาบชนกัน เกิดประกายแตกกระจาย จากนั้นท้องสองก็สู้กันดุเดือดไม่หยุดไม่หย่อน


“ดี ดีมาก ยอดเยี่ยม!” แม้แต่ปรมาจารย์ผู้เคร่งขรึมก็พูดว่าดีไม่หยุดปาก ทั้งดีใจและตื่นเต้น การบำเพ็ญทุกรกิริยาตลอดหลายวันมานี้ มีการเก็บเกี่ยวมหาศาลแล้ว


ชิ้ง!


สุดท้ายดาบยาวสีม่วงก็เหินเวหาไป ไม่สู้ต่อ กระบี่เล่มนั้นกลายเป็นร่างจิ๋วขนาดเท่ากำปั้น มันแข็งแกร่งจนน่าตกใจ แม้แต่อาวุธวิญญาณก็ทำอะไรมันไม่ได้!


ดวงจิตขั้นนี้หายากในปฐพี ทรหดเหลือเกิน!


ดวงจิตของสือฮ่าวพุ่งกลับร่างดังฟิ้ว เขาก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ไม่ได้วิชาสยบความวุ่นวายไร้ที่ติ วิชาบกพร่องทำได้แค่นำมาขัดเกลาดวงจิตเท่านั้น ไม่อาจโจมตีอย่างไร้เทียมทานได้


สือฮ่าวมีรูปร่างสมส่วน สูงโปร่ง แม้จะดูไม่กำยำมากนัก แต่กลับแข็งแรงอย่างมาก มันเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นอาวุธมีคมในร่างมนุษย์


เพราะกายเนื้อของเขาในตอนนี้สะเทือนศาสตราวุธเทพสวรรค์จนแหลกสลายได้ ต้านทานอาวุธขั้นเจ้าสำนักได้ ยิ่งใหญ่และน่าตะลึง!


นอกจากนี้ หน้าผากของเขายังส่องแสง มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าพลังจิตอิ่มเอิบเป็นที่สุด เหนือกว่าอานุภาพที่เทพสวรรค์พึงมีนานแล้ว!


เขาเตรียมพร้อมแล้ว ใช้บ่อสมุนไพรไปหลายบ่อแล้ว ทั้งแปดกิเลน ต้นเทพสวรรค์ บัวชักนำวิญญาณ ไผ่พ้นภัย ผลน้ำพุเหลืองและวัตถุล้ำค่าอีกมากมายถูกดูดซึม ทำให้เขายกระดับจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ


“ตั้งแต่ข้าเกิดมา เจ้าเป็นเทพสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบ!” ปรมาจารย์ชมเปาะ ชื่นชมจากใจ


น้ำเสียงเจือความปลาบปลื้ม และเบิกบานใจ แต่ก็มีความเศร้าสลดและขมขื่นปะปนอยู่บ้าง


เพราะในที่สุดเขาก็มีลูกศิษย์สมดังใจหวังแล้ว ยิ่งใหญ่กับที่เขาจินตนาการไว้ไม่มีผิด บรรลุขั้นสุดยอดของเทพสวรรค์ พูดให้ถูกคืออยู่เหนือขั้นสุดยอดแล้วด้วยซ้ำ


ขณะเดียวกัน เขาก็นึกถึงอดีตของตัวเอง เส้นทางนี้เต็มไปด้วยอุปสรรค ใช้กายเป็นพันธุ์เช่นเดียวกัน แต่เขาล้มเหลว เกือบจะสิ้นชีวิต


สำเร็จหรือไม่ ต้องดูขั้นตอนสุดท้าย!


“ขอบพระคุณปรมาจารย์!” สือฮ่าวขอบคุณจากใจจริง ปรมาจารย์ทุ่มเทเพื่อเขาปานนี้ ใช้ทั้งแมลงและสมุนไพรหลากชนิดอย่างไม่เสียดาย ซ้ำยังคอยเฝ้าเขาขัดเกลากายและจิตเป็นเวลากว่าครึ่งปี


“ตอนนี้กายเนื้อของเจ้าเหนือกว่าข้าในตอนนี้ ไร้พ่ายในขั้นเทพสวรรค์ ความหวังจะสำเร็จมีมากกว่าข้า!” ปรมาจารย์พูด ตอนนี้เขาเป็นอัจฉริยะสะเทือนปฐพี ในยุคสมัยของเขาไม่มีใครเทียบเคียงได้


เขาพูดเสริมว่า “อีกอย่าง เจ้ามีเมล็ดพันธุ์วิเศษ กำลังเจริญเติบโต ตอนนี้มันเป็นดุจครรภ์ฟ้าดิน หากเจ้าอาศัยอยู่ข้างใน ความเป็นไปได้ของความสำเร็จจะเพิ่มขึ้น!”


สือฮ่าวเตรียมพร้อมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ขาดเพียงด่านสุดท้ายเท่านั้น


เพียงแต่ว่า เขาจะเข้าไปอยู่ในเมล็ดพันธุ์ประหลาดนี่ กลายเป็นครรภ์ที่ถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างไร?


เมล็ดพันธุ์เลือนรางถูกหมอกปกคลุม แผ่กลิ่นอายที่ดั้งเดิมที่สุด ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังผสานกันรางๆ


ตอนนั้น ในบริเวณแคว้นไฟ สือฮ่าวได้เมล็ดพันธุ์เม็ดนี้มาจากเหมืองของเผ่าพันธุ์เทพเจ้า


เมล็ดพันธุ์เดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน ไม่เคยถูกใช้งาน กระทั่งให้มันประกายแสงที่มันพึงมีในวันนี้!


“ใช้กายเป็นพันธุ์ ต้องสำเร็จแน่นอน!” ปรมาจารย์พูด ปลุกขวัญสือฮ่าว และให้กำลังใจตัวเองด้วย


นี่เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เขาตั้งใจสอนสั่ง และเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวในชีวิตที่เขาฝากฝังความหวัง ตอนนั้นเขาล้มเหลวบนเส้นทางนี้ จึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับสือฮ่าว


ปรมาจารย์ฉายประกายราวกับอยู่ในห้วงความฝัน พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เราไม่มีเมล็ดพันธุ์สูงส่ง จึงไม่สามารถหลอมรวมและยกระดับที่สมบูรณ์แบบได้ เช่นนั้นก็กายเป็นพันธุ์ สร้างฟ้าดินผืนหนึ่งแล้วหลุดพ้น!”


“ได้!” สือฮ่าวพยักหน้าจริงจัง


“ต่อไป จะเป็นปัญหาหลังเจ้าเข้าไปในเมล็ดพันธุ์แล้ว ต่อใช้เวลาหยั่งรู้ให้เต็มที่เพื่อหลุดพ้น ใช้วิชาและเส้นทางของการเปลี่ยนกายเป็นพันธุ์ที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้าตลอดครึ่งปีนี้ให้ถึงที่สุด สิ่งอื่นเจ้าไม่ต้องสนใจ!” ปรมาจารย์พูด


ชิ้ง!


ต่อมา ปรมาจารย์ก็เอากระบี่เซียนต้าหลัวของสือฮ่าวไป เติมพลังสูงส่งเข้าไป ทำให้มันเปล่งประกายเจิดจ้า ส่องปฐพีจนสว่างโชติช่วง แม้แต่ดวงดาวก็หม่นหมอง!


เขาตวัดกระบี่และฟันลงมา พร้อมกับเลือดหัวใจของสือฮ่าวหยดลง เมล็ดพันธุ์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอนปริแตก สาดแสงสว่าง เกิดเสียงดังไม่ขาดสาย ราวกับเทพเจ้ากำลังสวดมนต์


เขาแทงให้เลือดหัวใจของสือฮ่าวหยดลง ขณะเดียวกันก็ฟันเมล็ดพันธุ์เม็ดนั้น ปล่อยให้เลือดไหลเข้าไป นี่เป็นการเซ่นเลือด


เมล็ดพันธุ์ปริแตกเพราะปรมาจารย์ใช้กระบี่ฟัน!


สือฮ่าวพุ่งเข้าไปในเมล็ดพันธุ์โดยไม่ลังเลสักนิด กลายเป็นครรภ์ไร้เทียมทานที่ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ข้างใน!


ลำบากมาถึงขั้นนี้แล้ว จะผนึกเมล็ดพันธุ์นี่อย่างไร?


แท้ที่จริงแล้ว ชั่ววินาทีที่ตวัดกระบี่ เท่ากับชำแหละเมล็ดพันธุ์แล้ว มันจะค่อยๆ แห้งเหือด จากนั้นสูญเสียประสิทธิภาพที่พึงมี


“มันเป็นยาปิดฟ้า ข้าได้มาจากศาสนาปิดฟ้า ทำให้มันสมานกันได้” ปรมาจารย์พูด


สือฮ่าวได้ยินก็ตกใจ จิตใจระส่ำระสาย


โลกมนุษย์มีศาลาปิดฟ้า สามพันแคว้นมีสำนักปิดฟ้า แต่ในเก้าสวรรค์มีศาสนาปิดฟ้า นี่เป็นความจริงที่เขารู้


ขณะเดียวกัน เก้าสวรรค์ก็มีศาสนาตัดฟ้าเช่นกัน!


จากศาลาเป็นสำนัก จนกระทั่งเป็นศาสนา เห็นชื่อก็ทราบความหมายแฝง มันบ่งบอกทุกอย่างแล้ว!


เก้าสวรรค์มีเรื่องเล่าลือว่า ในศาสนาปิดฟ้ามียาอายุวัฒนะ บางทีอาจจะเรียกว่ายาไม่ได้ อาจเป็นหินเซียน ครรภ์เซียน มันสามารถปิดฟ้า หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งได้


ตอนนี้ ของที่ปรมาจารย์ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุชนิดนี้


สือฮ่าวของเหลวแวววาวบางส่วนไหลลงมา ทำให้เมล็ดพันธุ์ปริแตกสมานกันอย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ จากนั้นเขาก็ถูกผนึกอยู่ข้างใน


เดิมทีก็มีวิธีผนึกวิธีอื่นเช่นกัน แต่จะทำให้มันสูญเสียส่วนสำคัญไป ทว่าตอนนี้ไม่สูญเสียแม้แต่นิด ถึงขั้นว่าหล่อเลี้ยงมันด้วยซ้ำ


“ต่อไป ข้าจะไปฝังเมล็ดพันธุ์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ รอเจ้าสิ้นสุดการบำเพ็ญเพียร!” นี่เป็นเสียงสุดท้ายของปรมาจารย์


ต่อมา สือฮ่าวก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย เขาจะทำการเปลี่ยนแปลง ยกระดับขั้นลึกซึ้งของชีวิต จะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้


ชัดเจนยิ่งนักว่า เมื่อสือฮ่าวจำศีล ไม่ปรากฏตัว โลกภายนอกก็วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาแล้ว


มิหนำซ้ำ ครึ่งปีผ่านไปแล้วไม่เห็นเขาโผล่หน้ามา มันก็ดังระงมยิ่งกว่าเดิม


ผ่านไปแปดเดือนแล้ว ยังคงไร้วี่แววของสือฮ่าว


เก้าเดือนผ่านไป ราวกับฮวงหายสาบสูญไปแล้ว



หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ที่พำนักของปรมาจารย์แห่งสำนักเทพสวรรค์รกร้าง หญ้าขึ้นสูง เถาวัลย์เกาะเต็มไปหมด


“ราชันสิบสมัยใช้เวลาสิบสองเดือนในการหลอมเป็นหนึ่งกับต้นอ่อนของต้นไม้โลก ยกระดับอย่างสมบูรณ์แบบ ตอนที่เขาปรากฏกาย จู่ๆ ก็มีต้นไม้ใหญ่เปิดฟ้า สูงทะลุชั้นเมฆ ช่างน่าตะลึง!”


วันนี้มีข่าวแว่วมา สะเทือนปฐพี


ราชันสวรรค์มีนามว่าเทียนจื่อ เขาจำศีลเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มีข่าวคราว ทำการยกระดับครั้งที่สมบูรณ์แบบที่สุด แก่นแท้ของชีวิตก้าวหน้าอย่างไม่มีขีดจำกัด


วันนี้มีปรากฏการณ์หลายชนิดปรากฏให้เห็น ในสำนักเซียน มีน้ำพุผุดขึ้นมา น้ำค้างหยดลงมาจากฟ้า มีดอกบัวสีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศดอกแล้วดอกเล่า ทั้งยังมีมังกรวนเวียนบริเวณที่เขาจำศีล เสียงธรรมดังสนั่น ทำการตอบสนองกับเขา


ต้นไม้โลกเป็นสิ่งที่สะเทือนโลกาปานใด เซียนเห็นก็ต้องหายใจเข้าดังเฮือก แต่เขากลับโชคดีหลอมเป็นหนึ่งกับร่างกายได้ การแปรสภาพครั้งนี้ เรียกได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!


เขามีลักษณะสมชื่อ เคยเป็นราชันสิบสมัย มีชื่อว่าเทียนจื่อ เป็นดุจบุตรแห่งสวรรค์ องอาจห้าวหาญ!


วันที่เขาสิ้นสุดการจำศีล ชูหมัดมังกรทลายฟ้า!


ต่อมาไม่นาน หลายวันให้หลัง เหตุน่าตะลึงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง


มีหมอกลอยมาจากสำนักเซียน มันแผ่กระจายลงมาจำนวนมหาศาล ลุกลามไปสามหมื่นลี้!


“สวรรค์ มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าตะลึงยิ่งนัก ใครทำสำเร็จแล้ว ทำไมถึงตระการตาเช่นนี้?”


“ข้ารู้แล้ว มันเป็นหมอกปฐมกาล เป็นเมล็ดพันธุ์สูงส่งในตำนาน เคยเจิดจรัสในยุคเซียนโบราณ ถูกขนานนามว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ไร้พ่าย ไม่คิดว่าจะปรากฏให้เห็นในภพนี้อีกแล้ว”


ผู้คนรู้แล้วว่า มีคนในสำนักเซียนหลอมรวมกับพันธุ์หมอกปฐมกาลสำเร็จ และตอนนี้คนคนนั้นปรากฏตัวแล้ว!


อัจฉริยะอีกคนโผล่มาแล้ว และชัดเจนว่าเป็นผู้สูงส่งตามความหมายอย่างแท้จริง!


ว่ากันว่า สิ่งมีชีวิตที่หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สูงส่งชนิดนี้ได้ จะรุ่งโรจน์ไปชั่วชีวิต มีพรสวรรค์กวาดล้างเก้าสวรรค์สิบพิภพได้ ยากจะมีใครสู้ได้!


มหายุคมาเยือน ความโกลาหลจะบังเกิดอีกครั้ง!


1258 ฝังเมล็ดพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิ

โดย

Ink Stone_Fantasy

มหายุคมาเยือน แม้อาจจะเป็นจุดจบของยุคนี้ เรียกได้ว่าเป็นวันสิ้นโลก แต่ก็เป็นยุคที่โชติช่วงที่สุดเช่นกัน


ต้นอ่อนของต้นไม้โลกรวมเป็นหนึ่งกับมนุษย์ มันน่าตะลึงปานใดกัน?


จากนั้นเมล็ดพันธุ์ปฐมกาลก็โผล่มา มันเป็นเมล็ดพันธุ์ไร้พ่าย หมอกกระจายมาจากทิศตะวันออก แผ่ไปทั่วสามหมื่นลี้ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงอานุภาพอันไร้เทียมทาน


วันนี้ เผ่าพันธุ์ทั้งหลายในเก้าสวรรค์ต่างก็ตกตะลึง ผู้สูงส่งตามความหมายทยอยกันปรากฏขึ้น ผงาดในกลียุค สะเทือนขวัญทุกผู้ทุกคน


“ไม่คิดว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์โบราณแบบนั้น ต้องรู้ว่าแม้แต่ในยุคที่มีเซียน มันเป็นก็เป็นเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบ ผู้อมตะยังต้องตะลึง”


ไม่ว่าจะเป็นสำนักทั่วไป ตระกูลอมตะ หรือมือดีทั้งหลายต่างก็วิจารณ์กัน


ผู้คนสัมผัสได้ว่า นี่เป็นแค่การเริ่มต้น จะมีอัจฉริยะหนุ่มสาวสะเทือนโลกาถือกำเนิดอีก บางทีเมล็ดพันธุ์ที่สูงส่งที่สุดของยุคก่อนอาจจะรวมตัวกันในภพนี้ก็เป็นได้!


จุดประสงค์ไม่มีอื่นเรื่องอื่น เพียงแค่เจิดจรัสสักครั้ง แก้ไขความเสียดายในตอนนั้น เพื่อกำราบศัตรูต่างแดนให้พ่าย!


“เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ปรากฏให้เห็นพร้อมกัน ใครจะเป็นอันดับหนึ่งในหล้า ใครกันแน่ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ไร้พ่ายที่แท้จริง จะแสดงให้เห็นในยุคนี้ ตอนนั้นเมล็ดพันธุ์บางส่วนยังไม่เจริญวัยก็โรยรา ข้าคิดว่าคงจะได้เปล่งประกายในยุคนี้!”


ผู้คนตั้งหน้าตั้งตารอการปะทะกันระหว่างผู้สูงส่ง


แน่นอนว่า ชาวโลกไม่ต้องการให้เหล่าอัจฉริยะในแดนนี้เข่นฆ่ากันเอง แต่วัดด้วยผลสำเร็จในการสู้กับต่างแดน


“ข้าอยากเห็นขุนศึกคนแล้วคนเล่าผงาด ประหนึ่งดวงตะวันลอยเด่นกลางฟ้า ปะทะกันจนเกิดประกายที่เจิดจ้าที่สุด แต่เมื่อวันสิ้นโลกมาเยือน สามารถร่วมมือกันต่อกรกับต่างแดนได้!”


มีคนกำลังคาดหวัง กำลังพึมพำ อยากเห็นยุคสมัยที่รุ่งเรือง


ไม่มีใครอยากเห็นปฐพีที่พินาศในที่สุด จักรวาลเสื่อมโทรมที่เงียบสงัดและหนาวเหน็บ


ศึกในตอนนั้น เก้าสวรรค์สิบพิภพแพ้ยับเยิน ดินแดนทั้งผืนพินาศย่อยยับ แตกแยกเป็นสวรรค์ทั้งเก้า พิภพสิบผืน ตอนนี้ผู้คนปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงตอนจบ


แม้ทุกคนจะรู้ดีว่า มันลำบากแสนเข็ญ เมื่อใคร่ครวญว่าอาจไม่มีทางสำเร็จ แต่ก็ยังคงมีความหวัง!


“ใครเป็นเจ้าแห่งวงการ? ใครเป็นที่หนึ่งในหล้า? เมล็ดพันธุ์เม็ดไหนแข็งแกร่งที่สุด? จะได้รู้กันแล้ว!”


มันเป็นความในใจของคนมากมาย นับถือในความยิ่งใหญ่ มันเป็นความสามารถและพรสวรรค์ รวมถึงผู้เลื่องชื่อและผู้เฒ่าหลายคนต่างก็อยากรู้ว่า เมล็ดพันธุ์ใดจะสมควรถูกยกย่องเป็นพันธุ์ไร้พ่าย


ไม่ว่าจะเป็นสำนักทั่วไป หรือตระกูลอมตะที่ดำรงอยู่มาเนิ่นนานก็ตาม ล้วนรอคอย อยากเห็นโลกใบนี้เปล่งประกายอย่างโชติช่วงที่สุด


ขณะที่โลกภายนอกอึกทึกครึกโครม ผู้คนกำลังอุทานว่าเมล็ดพันธุ์ไร้เทียมทาน สำนักเทพสวรรค์ยังคงเงียบสงบ


แท้ที่จริงแล้ว สือฮ่าวไม่อยู่ที่นี่แล้ว ปรมาจารย์พาไปจากที่นี่เงียบๆ แล้ว


“ฝังเมล็ดพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิ ค่อยมาเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง” นี่เป็นเสียงของปรมาจารย์ และเขาทำเช่นนั้นจริงๆ


เขาฝังสือฮ่าวแล้วใช้ดินกลบ จากนั้นก็ไม่สนใจไยดี


ที่นี่ไม่ใช่สำนักเทพสวรรค์ ธาตุดินหนาแน่นประหนึ่งของเหลวพัวพันกันยุ่งเหยิง จากนั้นก็กลายเป็นน้ำหนืดข้น


แต่ที่นี่ไม่ฉุนจมูกแต่อย่างใด ไม่ใช่ฝุ่นผงของจริง เป็นแค่ไอ พลังฟ้าดินกลายเป็นธาตุดินเท่านั้น


ที่นี่ไม่อยู่ในสวรรค์ไร้ขอบเขตแล้ว เป็นอีกแดนของเก้าสวรรค์ มีชื่อว่าสวรรค์เลือนราง


มันเป็นดินแดนโบราณ ไม่เห็นสิ่งอื่น มีเพียงธาตุดินตลบอบอวล เหลือขมุกขมัว ราวกับมีสัตว์เกลือกกลิ้ง ทำให้ทรายฟุ้งตลบ


ในความเป็นจริงแล้ว ดินแดนผืนนี้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ไอดินโชติช่วง เป็นเหมือนควันและแสง หนาแน่นจนแยกไม่ออก มันเป็นพลังปราณธรรมชาติอย่างหนึ่ง


ตอนนี้ปรมาจารย์พาสือฮ่าวมาที่นี่แล้วฝังเขา เพื่อให้ได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังฟ้าดิน ให้เมล็ดพันธุ์ได้บำรุงครรภ์ที่อยู่ข้างในดียิ่งขึ้น


สือฮ่าวเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ ถูกฝังลงดิน รอวันที่เขาจะแตกหน่อ


ที่นี่ไม่เงียบสงบอีกต่อไป เมล็ดพันธุ์ประหลาดถูกหล่อเลี้ยง กำลังส่งเสียง ประหนึ่งปฐพีกำลังเคลื่อนไหว หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ


สิ่งอื่นสงบเงียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีการเคลื่อนไหวเช่นเดียวกันผืนแผ่นดินและจักรวาล กำลังตอบสนองกัน


ในความคิดของนักพรต มันเป็นเหมือนเสียงแห่งวิถีเซียน เหมือนเสียงคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดดังมาจากนอกโลก ดังบาดแก้วหู ทำให้คนบรรลุธรรม


มันเป็นความล้ำค่าของเมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ มันเป็นเหมือนครรภ์ฟ้าดิน เป็นผลิตจากการหลอมรวมของฟ้าดิน เชื่อมโยงกับสวรรค์ ผสานกับจักรวาล


ด้วยเหตุนี้ กฎเกณฑ์ทั้งหลายของโลกต่างก็มารวมตัวกัน


ครรภ์ฟ้าดิน ย่อมเกี่ยวพันกับจักรวาล ได้รับการอาบชำระจากหมื่นธรรม!


พลังกฎเกณฑ์และระเบียบล้อมรอบครรภ์ฟ้าดิน ทั้งมีรูปร่าง ไร้รูปร่างเชื่อมต่อเป็นรังไหม มันเป็นเปลือกนอกของเมล็ดพันธุ์เม็ดนี้


โดยเฉพาะเมื่อถูกฝังอยู่ในดินแดนที่มีธาตุดินหนาแน่น หรือก็คือดินแดนดั้งเดิม ผลลัพธ์จึงชัดเจนมากขึ้น


เพราะมันทำให้เมล็ดพันธุ์เข้าใกล้จักรวาลยิ่งขึ้น หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน!


มันไม่แปลกหน้าสำหรับสือฮ่าว ตอนนั้นฉีเต้าหลินเคยแนะนำเขาว่า หากต้องการสร้างพลังเซียนอาศัยเมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ได้ เพียงแค่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน


สือฮ่าววนเวียนอยู่ในพลังธรรม ถูกพวกมันห่อหุ้ม เห็นธาตุแท้ของฟ้าดินผืนนี้ เห็นหลักธรรมที่ดั้งเดิมและเรียบง่ายที่สุด


เขาเป็นเหมือนทะเลทรายแห้งผาก ดูดซึมหยาดน้ำฝนอย่างกระหาย สังเกตและหยั่งรู้ทุกสิ่งด้วยตัวเอง จากนั้นใช้วิจารณญาณของตัวเอง


เข้าใกล้ธรรมชาติ หยั่งรู้หลักธรรม นี่เป็นเรื่องที่ต้องทำหากจะทลายขั้นเทพสวรรค์!


หากเป็นไปได้ ผสานเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ หลอมรวมในพริบตา ผลสำเร็จของมันจะมีผลกระทบไปชั่วชีวิต!


อัจฉริยะทั้งหลายต้องการค้นหาเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบเพราะเหตุนี้ เมล็ดพันธุ์ไร้มลทินมีพลังของโลกแฝงเร้นมากมายเหลือเกิน หากหลอมรวมเป็นหนึ่งทันที เท่ากับว่านักพรตจะได้เห็นธาตุแท้ของปฐพีและบรรลุธรรม!


ผลลัพธ์แบบนี้ไม่ต้องคิดก็รู้!


ฉะนั้นผู้คนจึงออกค้นหาเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบ เพื่ออาศัยมันศึกษาหลักธรรมฟ้าดิน


ยิ่งไปกว่านั้น เมล็ดพันธุ์แบบนั้นไม่เหมือนพันธุ์ทั่วไป หากหลอมรวมกับตัวเอง บางทีอาจเป็นชั่วนิรันดร์ ไม่ใช่การบรรลุธรรมชั่วพริบตาเช่นเมล็ดพันธุ์อื่น


หลอมรวมตลอดกาลหมายความว่า ชั่วชีวิตนี้มีโอกาสหลายครั้งที่จะอาศัยเมล็ดพันธุ์มาหลอมรวมกับฟ้าดิน สามารถยกระดับบนเส้นทางการบำเพ็ญเพียรได้อย่างต่อเนื่อง


มีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบเท่ากับควบคุมชะตาของตัวเอง มันเป็นคำพูดที่เชื่อถือได้ที่สุดของยุคก่อน!


สือฮ่าวไม่มีเมล็ดพันธุ์แบบนี้ ย่อมต้องหาวิธีใหม่ และตอนนี้เขาเห็นพลังเหล่านี้ในครรภ์ฟ้าดิน เห็นธาตุทั้งหลายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง


“ใช้กายเป็นพันธุ์ ข้าไม่หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์ภายนอก แต่ใช้ตัวเองเชื่อมต่อกับฟ้าดิน เห็นหลักธรรมทั้งหมดประจักษ์แก่สายตา!”


สือฮ่าวรำพัน กำลังหยั่งรู้ท่ามกลางเสียงสวดมนต์


เพราะตามทฤษฎีของการใช้กายเป็นพันธุ์ ในกายเนื้อแฝงด้วยหลักการดั้งเดิมของฟ้าดิน กระตุ้นโลกภายในร่างกายผ่านการสังเกตฟ้าดิน


หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าอย่างไร ล้วนต้องอาศัยโลกใบนี้ พึ่งพาจักรวาล เพราะตัวเองเป็นเพียงส่วนหนึ่ง อาศัยอยู่ข้างใน


และการใช้กายเป็นพันธุ์ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม อยู่ในขั้นเดียวกับจักรวาล ไม่ด้อยกว่า


ถูกต้อง การใช้กายเป็นพันธุ์ ให้ตัวเองอยู่ในขั้นเดียวกับจักรวาล เห็นตัวเองเป็นดินแดน เป็นผืนฟ้า มองจักรวาลให้ทะลุปรุโปร่ง ศึกษาเพื่อฟื้นฟูตัวเอง


บนเส้นทางการใช้กายเป็นพันธุ์ ในทฤษฎีนี้ สิ่งมีชีวิตไม่ใช่เศษฝุ่นในโลกใบนี้ ไม่ใช่ผู้อิงอาศัยในปฐพี แต่สูงส่งเหนือสิ่งใด


การใช้กายเป็นพันธุ์ สิ่งที่จะพัฒนาคือตัวเอง สุดท้ายไม่อาศัยวัตถุภายนอก ไม่รับอะไรจากจักรวาล ในร่างกายของตัวเองมีประตูเซียนบานแล้วบานเล่า สามารถเปิดมันได้ แสดงศักยภาพได้อย่างต่อเนื่อง มีอานุภาพอันไม่สิ้นสุด


เมื่อเดินไปถึงปลายทาง ไม่อาจเปรียบเทียบอานุภาพด้วยขนาดของร่างกายได้ ต่อให้มีขนาดเล็กกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับดาราจักร ก็สามารถกระชากจักรวาลแล้วหลุดพ้นได้เช่นกัน!


ราวกับเสียงของปรมาจารย์ดังอยู่ในโสตประสาท มันเจือความเศร้าและเสียใจ


“ยุคที่แล้วเราแพ้พ่าย นั่นเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์บางส่วนในดินแดนเราแข็งแกร่งเป็นล้นพ้น แต่เมื่อไปอยู่ในแดนอมตะมันไม่เหมาะสม ตกเป็นรอง…”


ใช้กายเป็นพันธุ์เป็นเพราะมีคนคาดการณ์ตั้งแต่ยุคที่แล้วว่า มีภูมิหลังของยุคสมัยที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง


ตอนแรก แม้ตอนที่สู้กับต่างแดนจะเสียเปรียบ แต่ไม่ห่างกันมากนัก ประเด็นเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตทางแดนนั้นทำให้ประตูอมตะเปิด กระจายพลังดั้งเดิมของดินแดนออกมา สองแดนผสานกัน ทำให้แดนนี้ปรับตัวไม่ได้


มีสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่บางส่วนที่ไม่เคยชิน เมื่อหลักธรรมวุ่นวาย ฟ้าดินแปรเปลี่ยน


เพราะพวกเขาเคยชินกับการกลมกลืนกับฟ้าดิน รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็คือผสานกับธรรมชาติ รวมถึงขั้นที่สูงกว่าของเส้นทางนี้


“แม้เหตุการณ์แบบนั้นจะพิชิตได้ในภายหลัง แต่จะเห็นได้ว่า การมีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ที่แท้จริง จึงมีคนอยากใช้กายเป็นพันธุ์”


คำพูดของปรมาจารย์วนเวียนอยู่ในใจสือฮ่าว ทำให้เขาจริงจังมากเป็นพิเศษ!


สังเกตกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ธาตุแท้ของจักรวาล เข้าใจตัวจน เปิดประตูเซียนภายในร่างกาย นี่เป็นเรื่องที่สือฮ่าวต้องทำ


เพียงแต่ว่า เส้นทางที่ดูเหมือนเดินได้ แต่กลับเต็มไปด้วยอันตราย แม้กระทั่งว่าเสี่ยงอันตรายทุกฝีก้าว


อันดับแรก ไม่มีเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบ จึงสังเกตหลักการดั้งเดิมของฟ้าดิน มันเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นการผิดบัญชาสวรรค์


มันไม่ได้รับการยอมรับจากสวรรค์!


เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบทั้งหลาย เป็นโอกาสที่ฟ้าดินให้สิ่งมีชีวิตในปฐพี เป็นเรื่องที่ได้การยอมรับ ให้โอกาสพวกเขาได้เห็นธาตุแท้ทั้งหลายในโลก


และสือฮ่าวที่ซ่อนเร้นอยู่ในครรภ์ฟ้าดิน นับว่าเป็นการขโมยโอกาส นับว่าขัดต่อบัญชาสวรรค์!


แต่ละคนเข้าใจแตกต่างกัน การทำแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นการยั่วโทสะสวรรค์ จะปล่อยพลังมาลงทัณฑ์ และพูดได้ว่าเขาแอบขโมยรังนก ช่วงชิงโชคที่หล่อเลี้ยงอยู่ในครรภ์ฟ้าดิน ทำให้ถูกแว้งกัด


สือฮ่าวปักใจเชื่ออย่างหลังมากกว่า เขาไม่เชื่อว่าสวรรค์จะลงโทษเขา แต่กลับรู้สึกว่า ตอนนี้กำลังถูกแว้งกัดแล้ว!


ใช่ เขาพบกับวิกฤตตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง!


อยู่ในครรภ์ฟ้าดิน มีพลังประหลาดขัดขวางพลังกฎเกณฑ์ทั้งหลาย กำลังจัดการเขา!


“มันคืออะไร?” สือฮ่าวสงสัย รู้สึกว่ามันอันตรายอย่างยิ่ง


เมล็ดพันธุ์เม็ดนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน กลายเป็นครรภ์ฟ้าดิน ใหญ่ที่สุดก็มีขนาดเท่ายาวหนึ่งจั้งเท่านั้น


เพียงแต่ว่า ใครก็คิดไม่ถึง ภายในจะโล่งกว้าง เป็นเหมือนความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง จุคนหลายสิบหลายร้อยคนก็ไม่มีปัญหา


หมอกตลบอบอวล กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมที่นี่อย่างหนาแน่น พลังฟ้าดินผนึกกำลัง สือฮ่าวนั่งอยู่ตรงกลาง เขารู้สึกถึงพลังของสิ่งมีชีวิตอีกตนหนึ่ง กำลังจะสังหารเขา!


ครั้งที่อยู่ในสามพันแคว้น ฉีเต้าหลินเคยคิดว่าเมล็ดพันธุ์หล่อเลี้ยงทองคำเซียน เพียงแต่ยังไม่ก่อตัว แถมยังเคยวางแผน ให้สือฮ่าวอาศัยมันสร้างอาวุธเซียนสูงส่งยามนิพพาน


 และตอนที่อยู่เก้าสวรรค์ ปรมาจารย์กลับคิดว่าเป็นวัตถุชนิดอื่น กำลังถูกหล่อเลี้ยง


และตอนนี้สือฮ่าวหลอมรวมแล้ว และเมื่อมั่นคงแล้ว พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นสัตว์ยิ่งใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่!


การแว้งกัดเริ่มขึ้นแล้ว สือฮ่าวอยากใช้กายเป็นพันธุ์ ปรากฏว่าถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!


“นั่นมัน…” เมื่อแสงสว่างกะพริบ หมอกเลือนรางก็แผ่กระจาย สือฮ่าวเห็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างในแล้ว


หญิงสาวผมประบ่างดงามไร้ที่ติ งดงามราวกับภาพฝัน นั่งอยู่กลางมิติ ลืมตาขึ้นโดยพลัน!


1259 พบกันใหม่ยุคหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีหญิงคนหนึ่งอยู่ในเมล็ดพันธุ์ งดงามจนน่าตกใจ!


สือฮ่าวประหลาดใจมากจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า จะมีสิ่งมีชีวิตซ่อนเร้นอยู่ในเมล็ดพันธุ์ฟ้าดิน ซ้ำยังงามหยาดเยิ้มปานนี้


นางนั่นเองที่กำลังแผ่รังสีอำมหิต อยากกำจัดเขาให้สิ้นซาก!


พลังปราณขมุกขมัวสลายตัว เห็นตรงนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่เลือนรางอีกต่อไป หญิงสาวปรากฏกายท่ามกลางหมอกควัน


นางนั่งอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาเป็นประกาย!


หญิงสาวคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงที่สือฮ่าวเห็น ไม่มีลักษณะเหมือนนางฟ้าเช่นนั้น ดวงตาคู่งามของนางโตมาก แถมยังคมกริบ แม้จะงดงาม แต่กลับไม่อ่อนโยน นัยน์ตาเป็นเหมือนบ่อน้ำที่สาดลำแสงกระบี่!


แสงกะพริบระยิบระยับแบบนี้ กดดันจนแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องก้มหัว ไม่กล้าสบตา ภายใต้รัศมีของนาง รู้สึกว่าไม่มีทางจะเทียบเคียงได้


คิ้วของนางงดงาม ดำเงาดุจน้ำหมึก ทั้งเส้นเล็กและยาว แต่แทบจะกลืนไปกับไรผมแล้ว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว


นางเป็นหญิงที่เปี่ยมด้วยพลัง มีลักษณะน่าเกรงขาม แต่กลับสมบูรณ์แบบยิ่งนัก


 หน้าผากโหนกนูน ขาวดุจหยก ดวงตางามและมีพลังปราณพุ่งออกมา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากชุ่มชื่นแดงระเรื่อ เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเล็กน้อย


แม้นางจะนั่งขัดสมาธิ แต่มองออกว่ารูปร่างต้องสูงระหง มีทรวดทรงน่าตะลึงเป็นแน่ หากลุกขึ้นยืนคงจะสูงกว่าชายทั่วไป


และตอนนี้นางลุกขึ้นแล้ว ยืนอยู่กลางอากาศ มีหมอกขมุกขมัวรายล้อม ถูกใช้เป็นเสื้อผ้า หมอกขาวบดบังตำแหน่งสำคัญบางส่วนของนางไว้


แต่ว่าความงามอันพร่าเลือนกลับโดดเด่นยิ่งนัก เต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้


จำต้องพ฿ดว่า หญิงคนนี้ไม่เหมือนใคร หากมองแค่ภายนอก มันโดดเด่นเหนือใครจริงๆ


นางมีผมสีม่วง ปล่อยยาวมาถึงกลางหลัง มีข้างหน้าบางส่วนปกปิดเนินอกไว้ เอวคอดกิ่ว ขาเรียวยาวขาวประหนึ่งหยก


แม้สือฮ่าวจะเคยเห็นหญิงสาวงดงามมานักต่อนัก แต่ตอนนี้ก็ต้องทำหน้าตกใจ หญิงคนนี้งามจนเหมือนความฝัน นับว่าไร้ที่ติ มีลักษณะเฉพาะตัว


“เจ้ามันสมควรตาย!” นางส่งกระแสจิต ไม่ได้อ้าปากพูด เพราะนางไม่ได้ถือกำเนิดในโลกนี้ ไม่รู้ภาษาเก้าสวรรค์สิบพิภพ


แต่นางกลับมีพลังจิต สามารถสื่ออารมณ์ของตัวเองได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ มันน่าตกใจยิ่งนัก มีแต่กำเนิด นี่เป็นเทพเจ้า ไม่เคยศึกษาแต่รู้ทุกอย่าง


สือฮ่าวตกใจในตอนแรก และตอนนี้จิตใจก็ว้าวุ่นยิ่งกว่าเดิม


เขาทำอะไรลงไป? เข้ามาในเมล็ดพันธุ์ พบสิ่งมีชีวิตที่ยังมีลมหายใจ มันช่างน่าเหลือเชื่อ เป็นเรื่องที่สะเทือนปฐพี


แม้จะเคยได้ยินเรื่องราวประมาณนี้ แต่เพราะเป็นเพียงเรื่องเล่าลือ มีแค่ไม่กี่คนที่เคยเห็น


ตอนนี้ เขากำลังประสบด้วยตัวเองแล้ว!


ครรภ์ที่ถูกฟ้าดินหล่อเลี้ยง ถูกเขาเห็นเข้าแล้ว!


ยิ่งไปกว่านั้น เขาเสี่ยงอันตรายแล้ว ถึงขั้นเรียกได้ว่าทำร้ายหญิงคนนั้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว บุกเข้ามาในดินแดนที่หล่อเลี้ยงนาง เท่ากับช่วงชิงทุกอย่างของนาง


เรื่องนี้ไม่มีทางจบสวย ไม่มีวันเลิกรา อีกฝ่ายไม่ปล่อยนางเป็นแน่


“ขออภัย” สือฮ่าวพูดออกมาแค่สามคำ เมื่อเขาสงบลง สิ่งที่อยากทำไม่ใช่กระโจนเข้าไป แก้ปัญหาด้วยการต่อสู้ แต่เป็นการขอโทษจากใจจริง


หากคิดอีกแง่หนึ่ง ถ้าลองเปลี่ยนเป็นเขา เขาอาจเดือดดาลยิ่งกว่า มีคนคิดจะแย่งชิงทุกอย่างของเขา ทำลายหนทางบรรลุเซียนของตัวเอง มันเป็นความแค้นอย่างใหญ่หลวง


“เจ้าคิดว่าพูดสามคำนี้แล้วเรื่องจะจบหรือ?” หญิงคนนั้นพูด น้ำเสียงน่าฟัง ประหนึ่งเสียงธรรมชาติ


สือฮ่าวตะลึงงันทันที ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้ใช้กระแสจิต และเป็นการเปล่งเสียงโดยตรง สนทนาผ่านภาษาเก้าสวรรค์สิบพิภพ


“ฟ้ากำเนิดดินหล่อเลี้ยง ชั่ววินาทีที่เจ้าเข้ามา ข้าก็รู้สึกถึงข้อมูลมากมายของโลกหล้า จึงเรียนรู้จากมัน” หญิงสาวเฉยเชายิ่งนัก นัยน์ตาแววโรจน์


“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจำศีลอยู่ข้างใน ข้าคิดว่าเป็นแค่เมล็ดพันธุ์ฟ้าดิน มีทองคำเซียนซ่อนอยู่เสียอีก” สือฮ่าวพูด แต่เขาคิดว่าคำอธิบายใดๆ ล้วนไร้ความหมาย


ทว่า แม้เขาจะรู้สึกผิดต่อหญิงสาวคนนี้ แต่ไม่มีทางรออีกฝ่ายสังหารเขา เขาจะป้องกันตัว ไม่นั่งรอความตายแน่นอน


“เจ้าจะเป็นฝ่ายลงมือกับข้างั้นหรือ?” หญิงสาวคนนั้นเลิกคิ้ว ในดวงตาคู่งามส่องแสงสีม่วงระยิบระยับ หมอกเลือนรางข้างหน้ากระเพื่อม


“ข้าจะไม่ลงมือก่อน แต่จะไม่นั่งรอความตายเช่นกัน” สือฮ่าวพูด


ไม่นานสือฮ่าวก็มั่นใจว่า พลังของนางแก่กล้ากว่าเขา แต่เหนือกว่าปานใดกันแน่ กลับประเมินไม่ได้


หากนับแค่เรื่องขั้นบำเพ็ญ ต้องเป็นหญิงที่น่ากลัวมากคนหนึ่งแน่นอน!


เป็นเช่นเดียวกับตำนาน ภูตที่ถูกฟ้าดินหล่อเลี้ยง ครรภ์เซียนที่ถือกำเนิดจากดิน ล้วนยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ เหนือผู้สูงสุด ต้องบรรลุเป็นเซียนแน่นอน!


ทำไมถึงเรียกว่าครรภ์เซียน? เพราะเมื่อพวกเขาถือกำเนิด ใช้เวลาไม่นานก็จะกลายเป็นเซียนได้โดยตรง!


เคยมีคนบอกว่า พวกเขาเป็นทายาทแห่งสวรรค์ เพียงแค่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์หนึ่งหน จุดเริ่มต้นย่อมสูงกว่าสรรพสิ่ง และอยู่เหนือทุกผู้ทุกคน


เพียงแต่ว่าครรภ์เซียนหายากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่อดีตยันวันนี้ก็มีเพียงน้อยนิด หากถือกำเนิด จะเหตุการณ์แปรปรวน ฟ้าดินหม่นหมอง ขัดขวางได้ยากยิ่งนัก


แน่นอนว่า ขั้นตอนก่อตัวของพวกเขาเชื่องช้าอย่างยิ่ง ดีไม่ดีอาจนานนับหลายล้านปี หรืออาจจะนานกว่าด้วยซ้ำ!


เคยมีคนบันทึกว่า ในยุคเซียนโบราณ มีครรภ์เซียนที่ใช้เวลาหล่อเลี้ยงกว่าสิบล้านปี เพิ่งกำเนิดก็บรรลุเป็นเซียนทันที และขั้นบำเพ็ญยังก้าวหน้าไม่หยุด


แต่สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ก็มีจุดอ่อนเช่นกัน ระหว่างที่กำลังก่อตัว หากถูกคนรบกวนระหว่างทาง จะหยุดชะงัก เดินหน้าต่อไปไม่ได้อีก


มันหมายความว่า หากทำลายครรภ์ฟ้าดินแล้ว นางจะหยุดเติบโตทันที เพราะยังก่อตัวไม่สำเร็จ จะสูญสิ้นความหวังบนเส้นทางวิถีเซียน


“ชิ้ง!”


หญิงสาวลงมือแล้ว เมื่อยกมือก็ประสานอิน ทำให้มิติบิดเบี้ยวทันที ทุกอย่างตรงนั้นเปลี่ยนรูป


สีหน้าของสือฮ่าวเปลี่ยนไปทันที ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า พลังของหญิงคนนี้ยิ่งใหญ่เกินคาดคิด แค่ประสานอินก็เป็นถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่ได้จริงจังมากนัก


สือฮ่าวคิดว่า ต่อให้ผู้สูงส่งขนานแท้มาก็คงต้องตาย!


เป็นอย่างที่คิด แค่เขาสะบัดมือเบาๆ ที่นั่นก็พร่ามัว และระเบิดในเวลาต่อมา


จากนั้นนางก็ปล่อยให้อินสลายไปอย่างระมัดระวัง คล้ายว่าจะกลัวเมล็ดพันธุ์ได้รับแรงกระทบกระเทือน สูญสิ้นความหวังเป็นเพราะเหตุนี้


เมื่อครู่เป็นแค่การทดลองเท่านั้น แถมยังระวังตัวอย่างมาก เป็นการหยั่งเชิงง่ายๆ แต่กลับมีอานุภาพร้ายแรงถึงปานนั้นแล้ว


สือฮ่าวอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือหญิงคนนี้จะได้รับการหล่อเลี้ยงจนเสร็จสิ้น ใกล้จะถือกำเนิดแล้ว? หากเป็นเช่นนั้น ขั้นบำเพ็ญที่แท้จริงของนางจะประมาณไม่ได้!


ชิ้ง!


ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย ปล่อยลำแสงสีม่วงออกมา ทำให้มิติสั่นระริก จากนั้นก็พันธนาการที่นี่ ทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่ง


แม้กระทั่งเวลา ก็เหมือนจะหยุดเดินแล้ว!


เหตุการณ์นี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน แค่ชั่วอึดใจ แต่เสมือนยาวนานนับพันล้านปี


สือฮ่าวรู้สึกว่า ต่อให้ต่อต้านก็ไร้ความหมาย นอกจากมีปรมาจารย์สู้ศึก มิเช่นนั้นจะมองไม่เห็นความหวังเลยสักนิด


แต่ปรมาจารย์อยู่ข้างนอก ไม่รู้สถานการณ์ข้างในแต่อย่างใด เมล็ดพันธุ์ตัดขาดทุกสิ่ง ทำให้มองทะลุเข้ามาไม่ได้ หากมิเช่นนั้นคงจะเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน


การสู้กับครรภ์เซียนด้วยขั้นเทพสวรรค์ มันเปล่าประโยชน์


ห้วงมิติเงียบลงทันตา พลังทั้งหมดสลายไป ประกายในดวงตาของหญิงสาวหายไป แปรเปลี่ยนอ่อนโยน


“เจ้าใช้อะไร ทำให้เมล็ดพันธุ์สมานกัน?” นางถาม นี่เป็นปัญหาที่นางกังวล


“เป็นของวิเศษที่ได้มาจากศาสนาปิดฟ้า บางทีอาจเป็นยาอายุวัฒนะ หรืออาจเป็นหินวิเศษชนิดหนึ่งก็ได้ มันไม่ชัดเจน” สือฮ่าวตอบ


“ยังมีอีกไหม?” หญิงสาวถาม แววตาเจิดจ้าปานดวงตะวันขึ้นมา แผ่ซ่านไปถึงหัวใจ


“ยังมีอยู่” สือฮ่าวตอบอย่างมั่นใจ


“งั้นก็ดี ข้าจะให้เจ้ายืมครรภ์ฟ้าดิน เจ้าบำเพ็ญเพียรที่นี่ หากออกไปแล้ว ใช้ยาปิดฟ้าผนึกเมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ใหม่ เจ้าทำได้ไหม?” นางไม่ข่มขู่ เพียงแค่พูดด้วยน้ำเสียงเจรจา ซ้ำยังเป็นมิตรถึงเพียงนี้


สือฮ่าวคิดไม่ถึงเลยว่า นางจะว่าง่ายเช่นนี้ ไม่โกรธเคืองเขา แต่สุภาพแบบนี้ ไม่สอดคล้องกับลักษณะแข็งกร้าวเลย


“ข้าทำได้!” เขาตอบอย่างหนักแน่น


ยาปิดฟ้ามีสรรพคุณวิเศษ สือฮ่าวมั่นใจ ขอแค่ใช้ยาชนิดนั้นปิดผนึกเมล็ดพันธุ์ใหม่ มันจะไม่มีผลกระทบใด มันจะสมบูรณ์แบบเช่นดังเดิม!


“ข้าสังเกตกฎเกณฑ์ฟ้าดิน สัมผัสได้รางๆ ว่าจะมีหายนะมาเยือน ไม่คิดว่าจะมาไวปานนี้” หญิงสาวพึมพำ มีพลังฟ้าดินโยงใยรอบกาย กลิ่นอายของหมื่นดินแดนแผ่คลุมลงมา


มันเป็นการผสานระหว่างเมล็ดพันธุ์กับฟ้าดิน พลังทั้งหลายตอบสนอง สรรค์สร้างโซ่ระเบียบ เชื่อมต่อกับหมื่นธรรมของจักรวาล


จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น ผมสีม่วงเงางามพลิ้วไหว เผยให้เห็นใบหน้างามหมดจด มองดูมิติ เนื้อตัวเปล่งประกาย ตาที่สามปรากฏขึ้น ราวกับจะมองตลอดกาลให้ทะลุปรุโปร่ง


อักขระนานาชนิดปรากฏขึ้นรอบกาย มันเป็นอักขระชั่วนิรันดร์ไม่แปรเปลี่ยน เพราะผลผลิตจากการก่อตัวของธรรม กลายเป็นลวดลายห่อหุ้มนาง มีเสียงสวดมนต์ดังขึ้น เสมือนจะสะเทือนเก้าสวรรค์สิบพิภพ


แท้จริงแล้ว มันดังวนเวียนอยู่ในมิติ แต่กลับดังบาดแก้วหู


ชิ้นส่วนของกาลเวลาลอยล่อง ภาพวิเศษต่างๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับภาพฝัน


สือฮ่าวตะลึงงัน หญิงคนนี้กำลังคาดการณ์ ทำนายอนาคตของตัวเอง กำลังดูดวงชะตา มันเป็นฝีมือสะท้านปฐพีชัดๆ


“ข้าเห็นภาพที่เลือดสาดกระจายเต็มฟากฟ้า ศพกองเป็นภูเขาจากตัวเจ้าและภพนี้ มันจะเต็มไปด้วยการเข่นฆ่า ฟ้าดินถล่ม โหดร้ายเหลือเกิน หากข้าถือกำเนิด เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย สิ้นชีพอยู่ในกลียุคที่มืดมนที่สุด”


นางบ่นงึมงำ ราวกับละเมอ


สือฮ่าวพูดอย่างตกใจว่า “หากเจ้ากำเนิด ต้องกลายเป็นเซียนแน่นอน จะตายอีกหรือ?”


“เซียนก็รับมือไม่ไหว น่ากลัวเกินไป น่าจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ ใครก็ขวางไม่ได้” หญิงสาวพูดเสียงเรียบ


จากนั้นภาพข้างกายนางก็หายไป อักขระเหล่านั้นก็เช่นกัน


“นี่เป็นเจตจำนงสวรรค์ เจ้าเข้ามา ใช้เมล็ดพันธุ์ของข้าบำเพ็ญเพียร เมื่อถึงตอนนั้นเจ้ารับมือกับหายนะแทนข้า!” หญิงสาวพูดอย่างตรงไปตรงมา


“หากว่าแทนกันได้ ก็ไม่มีปัญหา!” สือฮ่าวไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด


“ยุคนี้ข้าจะไม่ปรากฏตัว หากเจ้ายังรอด พบกันใหม่ยุคหน้า!” หญิงสาวพูดแบบนี้


“ได้ พบกันใหม่ยุคหน้า!” สือฮ่าวพยักหน้า สีหน้าจริงจัง เขารำพันในใจว่า ต้องรอดชีวิตแน่นอน เขาจะไม่ตาย เขาจะเปลี่ยนแปลงจุดจบของชะตาของผู้คนมากมาย!


จากนั้นร่างของหญิงสาวก็กะพริบ ถอยหลังไปอีกมุมหนึ่ง หลีกทางให้เขาอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลาง ตรงนั้นมีแท่นหินราบเรียบ เก่ายิ่งนัก หากไม่สังเกตอาจถูกมองข้ามได้ แทบจะกลืนไปกับอากาศแล้ว


นางเดินไปอยู่อีกมุม ให้สือฮ่าวนั่งลงตรงนั้น


เมื่อสือฮ่าวเดินเข้ามาใกล้และนั่งลงแล้ว ก็ต้องตะลึงงัน แท่นหินเรียบยาวไม่ถึงสามเซี๊ยะ แต่กลับเต็มไปด้วยลวดลายเก่าแก่ ยากลึกหยั่งถึง


มันเป็นส่วนสำคัญของเมล็ดพันธุ์!


เมื่อนั่งลงไป หมื่นธรรมก็ลอยลงมาจากฟ้า มาจากทุกสารทิศจนท่วมท้นสือฮ่าว เสียงสวดมนต์ลึกลับดังก้องในใจ!


1260 บรรลุธรรมในเมล็ดพันธุ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

มันวิเศษมากเหลือเกิน เมื่อเขามาอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลาง ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม บทสวดมนต์ดุจคลื่นน้ำ เหมือนริ้วคลื่น กำลังผนึกกำลังที่นี่ กระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง!


เสียงบาดแก้วหู ทำให้คนตื่นรู้!


เพียงเสี้ยววินาที สือฮ่าวก็ใกล้จะบรรลุธรรมแล้ว พลังฟ้าดินทั้งหลายห้อมล้อม ลอยอยู่ในทะเลแห่งธรรม ในใจเกิดการหยั่งรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด


เมื่ออยู่ที่นี่ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนต้นไม้เหี่ยวเฉา ได้รับการหล่อเลี้ยงจากหยาดฝน การสาดส่องจากแสงแดดอุ่น จวนจะกลับมามีชีวิตชีวา จากนั้นเจริญเติบโตด้วยความแข็งแรง


นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการ เป็นการบำรุงวิญญาณ เป็นการหลุดพ้นจากชีวิต เป็นการยกระดับตัวตน


หนทางการบำเพ็ญเพียรต้องก้าวหน้า ให้การยกระดับของชีวิตหลุดพ้นจากพันธนาการ เจิดจรัสเช่นดวงดารา ดำรงอยู่คู่ฟ้าดิน ไม่ดับสูญตลอดไป


นี่เป็นปลายทางของใครหลายคน เป็นเป้าหมายสุดท้ายของนักพรต


“ข้าจะเป็นอมตะ ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ชั่วชีวิตไร้ที่สิ้นสุด แต่ไม่อยู่คู่ฟ้าดิน ไม่เปล่งประกายเหมือนดวงดาว เพราะทุกอย่างในโลกนี้ต้องมีวันดับสูญ”


ขณะที่สือฮ่าวทำสมาธิ เขาไม่เคลิบเคลิ้ม แต่ได้รับการจุดประกาย แสงแห่งปัญญากะพริบไม่หยุด


เพราะเขารู้ดีว่าเส้นทางของเขานั้นแตกต่าง หากต้องการอยู่เหนือบรรพชนในยุคโบราณ จำต้องบุกเบิกเส้นทางใหม่


เห็นได้ชัดว่า การได้ครองเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบ ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน ดำรงอยู่คู่จักรวาล ไม่ใช่หนทางของเขา เพราะเขาไม่มีเมล็ดพันธุ์โบราณแบบนั้น


ไม่ได้รับโชคชั้นใหญ่ ไม่ถือเป็นลูกรักของสวรรค์ ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเดินบนเส้นทางที่ปรมาจารย์กับเขาร่วมกันศึกษา!


ครืน!


ม่านแสงหย่อนลงมาจากฟากฟ้า สะเทือนขวัญผู้คน


โซ่ระเบียบเส้นแล้วเส้นเล่าเทลงมาจากนอกโลก ราวกับธารน้ำตกสว่างไสว ภาพที่ตระการตาแบบนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่มีวันลืมเลือน


นี่เป็นการเริ่มต้นแปรสภาพของเขา ไม่ใช่อักขระที่สลักขึ้นสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เป็นการศึกษาอย่างตั้งใจ สอดคล้องกับโลกภายในร่างกาย พิสูจน์ทั้งสองด้าน จะเทียบเท่าจักรวาล แม้กระทั่งว่าอยู่เหนือกว่า


“เศษฝุ่นถมทะเล หนึ่งต้นหญ้าทลายดวงดาว…”


สือฮ่าวพึมพำ นี่เป็นการหยั่งรู้ที่ดั้งเดิมแต่ลึกซึ้งที่สุด ไม่ใช่การรำพัน แต่เป็นการตระหนักรู้อย่างแท้จริง


แม้ตัวเองเล็กกระจ้อยร่อย เหมือนฝุ่นผงเมื่อเทียบกับดวงดาว เล็กจนแทบมองไม่เห็นเมื่อเทียบกับดาราจักร ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ อาจถูกมองข้ามได้


แต่ไม่ว่าบุคคลใด ก็ล้วนแต่สมบูรณ์ ล้วนมีดินแดนที่ไร้มลทินรอคอยให้เปิดมัน บางทีอาจเรียกว่าเป็นประตูเซียนหลายบานก็ได้


การกล่าวตามหลักการทั่วไป มีขุมทรัพย์ในร่างกายมนุษย์มากมาย สามารถเปิดมันได้ไม่มีที่สิ้นสุด!


ร่างกายมนุษย์ดุจเศษฝุ่น แม้จะเล็ก แต่เมื่อเปิดขุมทรัพย์ภายในร่างกาย เช่นนั้นมันจะไร้ขีดจำกัด กว้างใหญ่และไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้!


เงื่อนไขแรกคือ เจ้าต้องเปิดมัน ทุกตำแหน่ง เปิดมันอย่างไม่สิ้นสุด!


สือฮ่าวถูกโซ่ระเบิดจำนวนมากห้อมล้อม ราวกับถูกจองจำที่นี่ กลายเป็นศิลาอมตะ ไม่ขยับไม่เขยื้อน นั่งขัดสมาธิบนแท่นหิน ได้รับการชำระล้าง


นี่เป็นการสะท้อน เป็นการศึกษา และเป็นได้ข้อคิดจากการหยั่งรู้ครั้งนี้อีกด้วย


หากต้องการเทียบเท่าจักรวาล ไม่สามารถเลียนแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ มีเพียงแสงแห่งปัญญากะพริบอย่างแท้จริง มีเส้นทางและวิชาของตัวเอง เปิดประตูเซียนในตัวเท่านั้นจึงจะมีความหมาย


โซ่ระเบียบสวยงามอย่างมาก ลุกลามไปทั่วมิติ ประหนึ่งขนหางของพญาหงส์ ประกายท่ามกลางความพร่างพราย เจิดจ้าจนลืมตาไม่ขึ้น


สือฮ่าวใช้มือลูบไล้เบาๆ มันอุ่นยิ่งนัก ตอนนี้พวกมันไม่ใช่สายน้ำบ้าระห่ำอีก แต่อ่อนโยน ทุกอย่างเป็นเพราะแท่นหินที่เขานั่งอยู่


นี่เป็นการได้รับการยอมรับ เห็นเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกหล่อเลี้ยง เพราะตอนนี้เขาเป็นครรภ์เซียนที่อยู่ในเมล็ดพันธุ์ฟ้าดิน


กฎเกณฑ์ที่ดั้งเดิมที่สุด พลังที่เก่าแก่ที่สุด ตอนนี้สำแดงให้เห็นต่อหน้าสือฮ่าวอย่างไม่ปิดบัง ไม่มีความลับอะไร


นัยน์ตาของเขาสุกใส ค่อยๆ แววโรจน์มากขึ้น ราวกับปรารถนา มองโซ่ที่ดั้งเดิมที่สุดของฟ้าดิน ถ้าเป็นปกติจะได้รับมันอย่างง่ายดายได้อย่างไร?


แน่นอนว่า มันไม่ใช่เคล็ดวิชา ไม่ใช่ญาณวิเศษที่ทำลายล้างทุกสิ่งได้ ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ที่พื้นฐานและเรียบง่ายที่สุด แต่เป็นเพราะมีโซ่เหล่านี้อยู่ สามารถเชื่อมต่อกันไม่หยุด กลายเป็นพลังที่ซับซ้อนที่สุด


สือฮ่าวเคลิบเคลิ้ม กระทั่งสุดท้าย เขาก็สัมผัสได้ว่า มันคล้ายคลึงกับการหยั่งรู้ดั้งเดิมอยู่บ้าง มีสิ่งที่ดั้งเดิมที่สุด!


สือฮ่าวชะงักงัน จากนั้นก็ตกใจ มันเพราะอะไรกัน? ทุกครั้งที่คิดว่าศึกษาการหยั่งรู้ดั้งเดิมจนถ่องแท้แล้ว แต่เมื่อเหลียวมองกลับพบว่า มีการค้นพบใหม่ มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน


ใช่ เขาบรรลุธรรมแล้ว บรรลุเพราะการหยั่งรู้ดั้งเดิมอีกครั้ง


ดวงจิตของเขาเปล่งประกายในพริบตา อักขระที่เกิดจากการหยั่งรู้ดั้งเดิมในตอนแรกประทับลงในดวงจิต ประหนึ่งสวมเกราะหนึ่งชั้น ตอนนี้มันกำลังตอบสนองแล้ว


ต่อมา กฎเกณฑ์ทั้งหลาย โซ่จำนวนมากก็เทลงมา เจิดจ้าเหมือนสายรุ้ง พร่างพรายราวกับกระบี่ หลอมรวมกับดวงจิต มุดเข้าไปในอักขระการหยั่งรู้ดั้งเดิม


ทั้งสองสาดแสงระยิบระยับไม่หยุด สุดท้ายก็ส่องสะท้อนกัน


“ดี!”


สือฮ่าวอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ จิตใจฮึกเหิม นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการ เขาอยากเข้าใจพลังดั้งเดิมของจักรวาล เข้าใจธาตุแท้ของฟ้าดิน


แน่นอนว่า ตอนนี้การหยั่งรู้ดั้งเดิมกับกฎเกณฑ์ที่เรียบง่ายที่สุดกำลังตอบสนองกัน ทำให้เขาเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ลึกซึ้งเป็นที่สุด


ต่อมา ดวงจิตของเขาก็เปล่งแสง อักขระการหยั่งรู้ดั้งเดิมที่ปกคลุมโชติช่วงอย่างยิ่ง พวกมันกำลังสาดแสง เกิดการตอบสนองกับฟ้าดิน


จากนั้น กฎเกณฑ์ทั้งหลายและโซ่ระเบียบก็เทลงมา ราวกับจะทำลายล้าง


สือฮ่าวยื่นมือออกไป ใช้ใจสัมผัส ลูบกฎเกณฑ์และพลังอ่อนโยนเหล่านั้น จากนั้นเขาก็ลองทำให้พวกมันแหลกสลาย กลายเป็นฝุ่นที่ดั้งเดิมที่สุด


เขาทำสำเร็จแล้ว โซ่เส้นแล้วเส้นเล่ากลายเป็นฝุ่นสีทองด้วยมือของเขา ประหนึ่งดวงตะวันที่ย่อขนาดลง


สือฮ่าวตะลึงพรึงเพริด เขากำลังสัมผัสปัจจัยของกฎเกณฑ์ กำลังสัมผัสธาตุแท้ของฟ้าดิน กำลังสังเกตการณ์ในระยะที่ใกล้ชิด


ในมุมที่ไกลออกไป หญิงสาวที่งดงามจนเลือนรางไม่สมจริงกำลังมองดูเงียบๆ ตอนแรกยังนิ่งสงบ สุดท้ายก็ทำหน้าตกใจ


นางไม่คิดเลยว่า แค่ชายหนุ่มคนหนึ่ง สามารถจับต้องธาตุแท้ของจักรวาลได้ตั้งแต่แรก จุดเริ่มต้นสูงจนน่าตกใจ กำลังศึกษาแสงแห่งปัญญาของเส้นทางที่สูงที่สุด


แม้สือฮ่าวจะเคลิบเคลิ้ม แต่ไม่ลุ่มหลง มีสติอย่างมาก วนเวียนอยู่ในปัจจัยเหล่านี้ โซ่ระเบียบแตกสลายเป็นฝุ่นสว่างไสวดุจดวงตะวัน


สือฮ่าวลงมือ ใช้พลังจิตของตัวเองควบคุมฝุ่นเหล่านี้ ทดลองรวมพวกมันอีกครั้ง หากไม่ระวัง ทำให้พวกมันชนกัน อาจเกิดผลลัพธ์ที่น่ากลัว มิติถล่มจากนั้นดับสูญในพริบตา!


หญิงคนนั้นที่อยู่ไม่ไกลตกใจ หากที่นี่พินาศย่อยยับ หนทางบรรลุธรรมของนางก็จะจบสิ้น


แต่หายนะไม่บังเกิด เพราะแท่นหินที่สือฮ่าวนั่งกำลังเปล่งแสง ลวดลายเรียบง่ายลุกลาม ขัดขวางทุกอย่าง ทำให้กฎเกณฑ์บ้าระห่ำสงบลง


แท่นหินสยบทุกสิ่ง เพราะมันเป็นศูนย์กลางของครรภ์ฟ้าดิน เป็นผลผลิตจากการหลอมรวมกับฟ้าดิน ไม่ถูกลงโทษ ได้รับการคุ้มครอง


“ไม่มีการแว้งกัด สวรรค์ไม่ลงทัณฑ์” สือฮ่าวรำพันในใจ สิ่งมีชีวิตตนนั้นไม่ทำร้ายเขา และตอนแรกมีอันตราย ปรากฏว่าถูกสือฮ่าวขจัดทิ้งอย่างง่ายดาย


มันราบรื่นอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกกังวล


เพราะนี่เป็นการช่วงชิงพลังสวรรค์ ไม่มีทางที่ธรรมจะให้อภัย ต้องถูกลงโทษแน่นอน


มันไม่เหมือนพวกราชันสิบสมัย พวกเขามีเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ ได้รับการยอมรับจากเบื้องบน การครอบครองเมล็ดพันธุ์แบบนั้นเท่ากับผสานกับฟ้าดิน ได้รับการคุ้มครอง ไม่มีอันตราย


ทุกการกระทำของสือฮ่าวในตอนนี้ เป็นการทำตรงกันข้าม แย่งชิงความลับของฟ้าดิน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้รับการยอมรับ


ตอนนี้มันยังเงียบสงบ วิกฤตถูกขจัด เป็นเพราะเขาปกปิดโชคชั้นใหญ่ชั่วคราว ยังไม่มีช่องโหว่อะไรให้เห็น


แต่เมื่อรั่วไหล คาดว่าต้องเกิดวิกฤตกับเขาแน่นอน!


ต่อให้เป็นลิขิตของโชคชะตาก็ดี หรือเป็นการทำร้ายจากครรภ์เซียนก็ช่าง ล้วนเป็นสาเหตุเดียวกัน


แต่สือฮ่าวเชื่ออย่างหลัง ไม่เชื่อการกำหนดของโชคชะตา


เวลาล่วงเลยไปอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกถึงการเดินหน้าของกาลเวลา เขานั่งทำสมาธิเพียงลำพัง กำลังทำให้กฎเกณฑ์แหลกสลาย


สือฮ่าวค่อยๆ จมลงไปในภวังค์ ลืมเลือนทุกอย่าง ใคร่ครวญอยู่ในวังวนของพลัง


ที่นี่ดังครืนครันไม่หยุด เสียงสวดมนต์ดังไม่ขาดสาย มันเป็นแสงที่เกิดจากกฎเกณฑ์ กลายเป็นมหาสมุทร ปกคลุมเขา สว่างไสวอย่างยิ่ง!


ดวงจิตของสือฮ่าวเจิดจ้าเป็นที่สุด การหยั่งรู้ดั้งเดิมกำลังสั่นสะเทือน ปล่อยเสียงสวดมนต์ออกมาด้วยตัวเอง


หลังบทสวดมนต์ตอบสนอง ทำให้ปัจจัยของกฎเกณฑ์เกิดปฏิกิริยา ราวกับฝุ่นสีทองทั้งหลายขยายใหญ่ขึ้น ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถูกสือฮ่าวมองจนทะลุปรุโปร่ง


จากนั้นสือฮ่าวก็เรียงลำดับ ปัจจัยเหล่านี้เคลื่อนไหว เป็นเหมือนดวงดาวที่กำลังโคจร ก่อตัวเป็นดาราจักร เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นไปตามๆ กัน


ตูม!


จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีประตูโผล่ขึ้นมาในตัวบางส่วน ขยับไปพร้อมกับปัจจัยธาตุแท้เหล่านั้น


สือฮ่าวรวมพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่า ปัจจัยเหล่านั้นเรียงลำดับตามอักขระการหยั่งรู้ดั้งเดิม จากนั้นก็วิวัฒนาการวิชาของเทพหลิว ไม่สำแดงเป็นเคล็ดวิชาเช่นที่ผ่านมา แต่เริ่มจากสิ่งที่ดั้งเดิมที่สุด สร้างพลัง สร้างเคล็ดวิชาด้วยตัวเอง


มันทำให้เขาลุ่มหลง เขารู้สึกว่ามันวิเศษมาก สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดสร้างญาณวิเศษที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ที่สุด ขั้นตอนนี้ทำให้เขารู้อะไรมากมาย


จากนั้นวิชาอื่น เคล็ดวิชาอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ถูกเขาวิวัฒนาการครั้งแล้วครั้งเล่า


กระทั่งต่อมา ฝุ่นสีทองที่ตอบสนองกับการหยั่งรู้ดั้งเดิมก็แหลกสลาย เป็นเหมือนลำแสงที่ใช้เนตรสวรรค์มองก็แทบจะมองไม่เห็น


แต่สือฮ่าวมองมันด้วยใจ กลับเห็นมันอย่างชัดเจน ล้วนปรากฏขึ้นในห้วงความคิด


สือฮ่าวดำดิ่งอยู่ข้างใน ลืมเลือนทุกสิ่ง ตอนนี้เขาลุ่มหลงมัวเมา รู้สึกมหัศจรรย์ยิ่งนัก


ตูม!


จู่ๆ ค้อนสีทองก็ลอยลงมาจากฟ้า กระแทกใส่สือฮ่าว ทำให้เขากระอักเลือด ร่างแทบแหลกสลาย โชคดีที่ไม่กระเด็นออกจากแท่นหิน


เขาได้สติทันที มันเกิดอะไรขึ้น การลงทัณฑ์ของสวรรค์เริ่มขึ้นแล้วหรือ?


ไม่ใช่ มันเกิดจากพลังกฎเกณฑ์ นี่เป็น…การแสดงออกของธรรม กลายเป็นอาวุธมีรูปร่าง โจมตีร่างกายเขา


เขาก้มหน้ามอง แท่นหินข้างล่างเปล่งประกาย เมื่อครู่ก่อตัวเป็นโล่ ขวางการโจมตีส่วนใหญ่ของค้อนสีทอง มิเช่นนั้นเขาคงแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว


“ข้าจมจ่ออยู่กับการแยกโซ่เหล่านั้น ดำดิ่งอยู่ในขอบเขตของการศึกษาฝุ่นสีทอง มองข้ามภาพกว้าง พูดให้ถูกก็คือละเลยการหยั่งรู้สูงส่งของธรรม”


สือฮ่าวได้สติ รู้แจ้งโดยพลัน


ดึงดันอยู่ในจุดเล็กๆ มองข้ามท้องฟ้าทั้งผืน ธรรมอันยิ่งใหญ่ต่างหากที่เป็นธาตุแท้ บางครั้งการควบคุมภาพรวม ไม่ต้องใช้เล่ห์กลใดๆ


ทุกอย่างถูกบดขยี้ภายใต้อานุภาพยิ่งใหญ่


สือฮ่าวหยั่งรู้ บรรลุธรรมในขั้นที่ลึกซึ้งกว่า


ในเมล็ดพันธุ์ประหลาด ภายในครรภ์ฟ้าดิน เท่ากับเขากำลังดูดซึมสารอาหาร สร้างความแข็งแกร่งให้กับกายเนื้อ รับผลผลิตจากธรรม


นี่เป็นเส้นทางการแปรสภาพ เขากำลังแข็งแกร่งขึ้น กำลังทลายขีดจำกัด เป็นหนทางนิพพานที่มีผลกระทบไปชั่วชีวิต!


1261 ธรรมในกาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ธรรมในฟ้าดิน กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา!


มันไร้สถานะ ไม่มีขนาดที่แน่นอน และไม่มีรูปร่างที่แท้จริง มันสูงส่งเกินเอื้อม


ตอนนี้ คลื่นขนาดใหญ่ลอยลงมา ทำให้จักรวาลสั่นระริก สือฮ่าวอกสั่นขวัญแขวน วิญญาณแทบแตกสลาย หากไม่มีแท่นหินข้างล่างคุ้มครอง คงจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว


เขาเช็ดเลือดออกจากมุมปาก จดจ้องมิติ สัมผัสความตระการตาแบบนั้น แม้จะไม่เห็นธรรมที่แน่นอน แต่ลำแสงทั้งหลาย และพลังไร้รูปร่างแบบนั้นก็สะเทือนขวัญมากแล้ว


พลังมหาศาล ธรรมอันยิ่งใหญ่!


สือฮ่าวหลับตา ดึงพลังจิตออกจากการศึกษาปัจจัยอันละเอียด ไม่วนเวียนอยู่ในส่วนประกอบพื้นฐานของกฎเกณฑ์อีก แต่เริ่มลงมือจากธรรมที่เรียบง่ายที่สุด


พลัง ธรรมที่ว่า เป็นสิ่งที่นามธรรมที่สุด ไม่เหมือนโซ่ระเบียบ จำต้องสรรค์สร้างมัน


หากต้องการสรรค์สร้างมัน มันก็คือการเชื่อมต่อของโซ่มากเหลือคณานับ ส่งผลซึ่งกันและกัน สร้างขอบเขตที่ไร้รูปร่างในจักรวาล


แต่ธรรมแบบนี้ จะอนุมานอย่างไร จะอธิบายอย่างไร แทบจะไม่เข้าใจ มันแปรเปลี่ยนตลอดเวลา!


อยากเลียนแบบ แม้กระทั่งว่าสลักมัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


การบรรลุธรรม ครอบครองมันนั้น แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป ไม่มีทางเป็นหลักการขั้นสุดยอดของธรรม


หรืออาจพูดได้ว่า เป็นเศษเสี้ยวของธรรมแห่งฟ้าดินที่สิ่งมีชีวิตสัมผัส ได้ชิ้นส่วนมาครอง หยั่งรู้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การครอบครองทั้งหมด


หากรู้ทั้งหมดของธรรม เช่นนั้นก็จะหลุดพ้น ไม่ใช่แค่เป็นอมตะ แต่อาจจะเรียกได้ว่าขึ้นสวรรค์แล้วกระมัง


สือฮ่าวสงสัยว่า ต่อให้เป็นเซียนก็ไม่อาจหยั่งรู้ธรรมอย่างถ่องแท้ รู้ทั้งหมดได้


“หมื่นธรรมที่ว่า คงจะเป็นธรรมอันไม่สิ้นสุด ธรรมหลากหลายชนิดหรือ? หากเป็นเช่นนั้น จะศึกษาให้รู้ถ่องแท้ได้อย่างไร” สือฮ่าวพึมพำ


ไกลออกไป หญิงสาวงดงามผุดผ่องที่มีผมสีม่วงคนนั้นเปล่งประกาย นัยน์ตาฉายแววบางอย่าง นางตกใจอย่างมาก เป็นแค่ชายหนุ่มคนหนึ่ง ขั้นบำเพ็ญไม่สูงมากนัก แต่กลับมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ?


ไม่นานสือฮ่าวก็ส่ายหน้า เขาเข้าใจทันที หมื่นธรรมที่ว่าเป็นรูปธรรมเหลือเกิน มันเป็นความเท็จ


ธรรม มีเพียงหนึ่ง ก็คือธรรม หากจะแบ่งออกเป็นหลายชนิดอย่างที่มนุษย์ทำ มันผิด


เขารู้ดีว่า นักพรตขั้นสูงต่างก็รู้ ธรรมไร้รูปร่าง ไม่มีความแน่นอน จับต้องไม่ได้ มีเพียงความสูงส่งเท่านั้น


เพียงแต่ว่า แต่ไหนแต่ไรมา ผู้คนบรรลุธรรม จะได้เศษเสี้ยวของธรรมเป็นครั้งคราว ก็คิดว่าบรรลุธรรม เข้าใจหลักการแล้ว


ด้วยเหตุนี้ จึงมีการแบ่งประเภท ทั้งสามพันธรรม หมื่นธรรม สิบวิถีปราชญ์ ปัญจธรรม ล้วนถูกนิยามภายใต้สถานการณ์แบบนี้


ธรรมนั้นไร้นาม ฟ้าดินถือกำเนิดจึงมีนาม เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งทั้งหลาย


ธรรมไม่มีรูปร่าง ไม่มีทางบรรยายออกมาได้ กว้างใหญ่และอยู่ทุกหนแห่ง จับต้องไม่ได้


สือฮ่าวรู้แจ้งแล้ว ทั้งสามพันธรรม หมื่นธรรมที่ว่า ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ เรียกว่าธรรมไม่ได้ เป็นแค่การแบ่งโดยบรรพชนเท่านั้น เป็นร่องรอยบางส่วนของธรรม


บางที การรวมกฎเกณฑ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน จึงจะบรรยายธรรมที่แท้จริงออกมาได้


ที่ผ่านมา สือฮ่าวก็กล่าวถึงหมื่นธรรม หวังจะอยู่เหนือมัน ปรารถนาจะศึกษาให้ถ่องแท้เพื่อหลุดพ้น


“ข้าต้องครอบครองหมื่นธรรมเหมือนคนโบราณบางคนก่อน จากนั้นจึงจะได้โครงร่างเลือนรางของธรรมหรือ?” สือฮ่าวพึมพำ


เขาเข้ามาอยู่ในเมล็ดพันธุ์ เพื่อสัมผัสกฎเกณฑ์ทั้งหลาย จากนั้นค่อยศึกษา หยั่งรู้ เข้าใกล้ธรรมที่แท้จริงหนึ่งเดียว


สือฮ่าวยื่นมือออกไป ให้ระเบียบ กฎเกณฑ์ที่ลอยลงมาจากฟ้าพันปลายนิ้ว จ้องพวกมันด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย จะรวบรวมพวกมันจนเกิดเป็นธรรมหนึ่งเดียวที่เรียบง่ายและดั้งเดิมที่สุดได้อย่างไร?


เวลาผ่านไป หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…


ชิ้นส่วนกาลเวลาอันตรธานหายไป ไม่รู้สึกถึงกาลเวลา มีเพียงมันที่เคลื่อนไหว ส่วนคนทำสมาธินั้นแข็งเป็นหินไปแล้ว นิ่งไม่ไหวติง ราวกับดับสูญไปแล้ว


หลายวัน หรืออาจเป็นหลายสิบวัน หลายร้อยวันกว่าสือฮ่าวจะฟื้นคืน สำหรับเขามันเหมือนผ่านไปชั่วพริบตา ไม่รู้สึกอะไรมากนัก


เขารวบรวมกฎเกณฑ์ทั้งหลาย อยากแสดงภาพรวมออกมา อยากสำแดงอานุภาพของธรรม แต่กลับพบว่า ทุกคำอธิบายเป็นความว่างเปล่า เขาแสดงภาพรวมอันยิ่งใหญ่ออกมา แต่ยังคงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมัน บรรลุธรรมแล้ว แต่เป็นแค่ร่องรอยท่อนหนึ่งของธรรมอันเรียบง่าย ได้เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น


“ธรรมที่ว่า ไม่ใช่ธรรมที่แท้จริง นามที่เรียก ไม่ใช่นามที่แท้จริง ทุกอย่างจับต้องไม่ได้ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ฝืนไปไร้ประโยชน์ ไม่มีอิสระ”


สือฮ่าวถอนหายใจอย่างจนปัญญา


หากกลายเป็นมือดี เขาคงทำได้แล้ว มันเพียงพอแล้ว เพราะเขาบรรลุธรรมไม่หยุด สัมผัสถึงกฎเกณฑ์อันวิเศษไม่ขาดสาย ซึ่งก็คือธรรมชนิดหนึ่งตามความหมายที่แท้จริง


แต่ว่า มันนับว่าเป็นแค่กฎเกณฑ์เท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมดของธรรม


เขาต้องการมากกว่านี้ เพราะเขารู้ดีว่า การศึกษาสามพันธรรม หรือพูดให้ถูกก็คือการศึกษากฎสามพันข้อ มันไม่เพียงพอ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของธาตุแท้แห่งธรรมที่บรรพบุรุษศึกษาได้


และศัตรูในอนาคตจะร้ายกาจปานใด? ต้องแข็งแกร่งกว่าบรรพบุรุษแน่นอน มิเช่นนั้นบรรพชนจะแพ้พ่ายได้อย่างไร!


“อยู่เหนือหมื่นธรรม มันบ้าระห่ำมากหรือ อาจเป็นเช่นนั้น วัยหนุ่มอวดดี มักจะพูดจาโอ้อวด” สือฮ่าวเยาะเย้ยตัวเอง


เขารู้ว่า ต้องอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งหมด จึงจะถือว่าบรรลุธรรมอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ความเป็นจริงไม่มีความหมายมากนัก มันเป็นการต่อสู้กับกฎเกณฑ์ทั้งหลาย ไม่ใช่ธรรม


“ธรรม!”


สือฮ่าวนั่งขัดสมาธิ มือลูบแท่นหิน ดวงตาลุกวาว ในใจฮึกเหิม เขาคิดไปต่างๆ นานา ค้นหาจากภายนอกมากมายจนถึงปลายทางแล้ว บางทีอาจต้องเริ่มจากภายใน


“ธรรม ไร้รูปร่าง สรรพสิ่งในโลก ต้นไม้ทุกต้น ทุกอย่างล้วนอยู่ใต้หลักธรรม อยู่ในการปกครองของมัน”


สือฮ่าวรำพึงรำพัน จากนั้นก็สำรวจภายในร่างกายของตัวเอง มองตัวเองเป็นฟ้าดิน


“ร่างของข้า เป็นจักรวาล จิตของข้า เลือดของข้า ทุกอย่างในตัวข้าเป็นธรรม ธรรมนั้นไร้นาม ฟ้าดินถือกำเนิดจึงมีนาม เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งทั้งหลาย ย้อนแย้งหรือไม่”


ตัวเองเทียบเท่าโลกใบใหญ่อย่างแท้จริง!


สือฮ่าวรู้สึกว่า ตัวเองอวดดี ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มองตัวเองเป็นโลกหล้า เทียบเท่าจักรวาล จึงกล้าทำแบบนี้


“ร่างของข้าเป็นจักรวาล ต่อให้จะเล็กเหมือนฝุ่นผงเมื่อเทียบกับดาราจักร ดวงจิตของข้าก็คือธรรมในตัวข้า”


ผมดำของสือฮ่าวปล่อยสยาย นัยน์ตาแววโรจน์ หากว่ายำเกรง หากเอาแต่คิดถึงหมื่นธรรม ยกย่องกฎเกณฑ์ฟ้าดิน เช่นนั้นจะมีความจองหองเช่นนี้ได้ยาก


เขาสำรวจตัวเอง หยุดสนใจสิ่งรอบข้างชั่วคราว


“นี่เป็นแก่นแท้ของการบรรลุธรรม มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว เช่นนั้นก็ยกระดับเสีย เพราะหมื่นธรรมในฟ้าดินเข้าสู่ร่างกาย ตอบสนองกับร่างกายของตัวเอง เปรียบเทียบกัน จึงจะเห็นและหยั่งรู้ธรรมที่อยู่ในร่างกายของตัวเอง”


“สิ่งที่ข้าต้องการคือธรรมของตัวเอง!”


เขายอมรับธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของจักรวาล และรู้ดีว่า ไม่มีทางจับต้องภาพรวมแบบนั้นได้ ไม่สามารถบรรยายออกมาได้


เช่นนั้น ก็ทำได้เพียงเริ่มจากภายในแล้ว!


ฟ้ากำเนิดสรรพสิ่ง และร่างกายก็เป็นจักรวาลแห่งหนึ่ง เป็นความสมบูรณ์แบบ สามารถสร้างธรรมสูงส่งเกินเอื้อมได้เช่นกัน


แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับตัวเองแล้ว มันก็เป็นหนึ่งเดียวเช่นกัน


“ตูม!”


แท่นหินสั่นสะเทือน สือฮ่าวกำลังทำเช่นนั้นจริง มันอันตรายยิ่งนัก ชักนำโซ่ระเบียบทั้งหลายเข้าตัว สร้างรูปร่าง เปรียบเทียบกับภายในร่างกาย


กฎเกณฑ์เจิดจ้าดั่งดาราจักร กระจายไปทั่วร่างกาย จากนั้นก็ทวีจำนวนขึ้น แทบจะบดขยี้ให้แหลกสลายแล้ว


แน่นอนว่าแท่นหินสำแดงเดช คุ้มครองสือฮ่าว ไม่ปล่อยให้เขาดับสูญ


เพราะอยู่ในเมล็ดพันธุ์ อยู่ในครรภ์ฟ้าดิน ได้รับการคุ้มครองจากแดนนี้ กำลังหล่อเลี้ยงบุตรแห่งฟ้าดิน


ตอนนี้สือฮ่าวมาแทนที่ นั่งตรงตำแหน่งนี้ ย่อมได้รับสิทธิพิเศษเป็นธรรมดา


มันเป็นโอกาสที่เหนือความคาดหมาย ศึกษากฎเกณฑ์หมื่นชนิด เชื่อมต่อและยืดขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด


ขณะที่เลือดเนื้อของเขาปริแตก โซ่ทั้งหลายกำลังส่องแสงสว่าง และเลือดเนื้อของเขาก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วภายใต้พลังของแท่นหิน


มันน่ากลัวมาก และโหดร้ายมาก แต่ก็สว่างไสวมากเช่นกัน!


เลือดของสือฮ่าวกำลังไหล ตอบสนองกับกฎเกณฑ์เหล่านี้ ลุกลามไปทั่วอวัยวะและกระดูก มันเป็นการเติบโตของหลักธรรม เส้นเลือดในตัวเขากำลังสั่น เปล่งประกายไม่หยุด มันเป็นชิ้นส่วนของธรรม มันสั่นสะเทือนไปตามๆ กัน


กระดูกของเขากำลังส่งเสียงดัง มันเป็นโครงทั้งหลายของธรรมในร่างกาย เป็นส่วนสำคัญ


เลือดเนื้อของเขาก็กำลังขยับเช่นกัน ปรัหนึ่งใบไม้จำนวนมหาศาลกำลังพลิ้วไหว มันเป็นรูปร่างของธรรม กำลังซ่อมแซมส่วนที่ขาดหาย ทำให้มันสมบูรณ์


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สือฮ่าวตกใจตื่นจากภวังค์ เขาเกือบจะถูกกฎเกณฑ์ทั้งหลายจากข้างนอกแผดเผาจนเป็นเถ้าถ่าน แท่นหินทำให้เขาคืนชีพ


“กระดูก เลือดและเนื้อหนังในร่างกายของเขาก็คือธรรมในกายหรือ?” สีหน้าของสือฮ่าวซีดเผือด


มันดูไม่สมจริงเอาเสียเลย หากคนอื่นรู้เข้าล่ะก็ คงจะดูน่าขำไม่น้อย


“ธรรมไร้รูปร่าง ไม่มีสถานะที่แน่นอน เป็นได้ทุกอย่าง และไม่เป็นอะไรเลยก็ได้” แววตาของสือฮ่าวค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมา แปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่น


“ใช่แล้ว ธรรมในกายข้า อยากให้มันเป็นอะไรก็จะเป็นอันนั้น กายของข้าเป็นจักรวาล ทุกอย่างในตัวล้วนเป็นธรรม” สือฮ่าวจริงจัง


หญิงงามที่อยู่ไกลออกไปตะลึงงัน นางคิดว่าชายหนุ่มคนนั้นอาจจะถูกอะไรครอบงำแล้ว กำลังใคร่ครวญว่าจะช่วยเหลือดีหรือไม่


“ข้าไม่ได้เสียสติ เส้นทางนี้แหละ แสวงธรรมในกาย! ฝุ่นผงถมทะเลได้ ทลายจักรวาลได้ และร่างกายของข้า แม้จะเล็กกระจ้อยร่อย แต่ก็ทลายธรรมแห่งจักรวาลได้เช่นกัน!”


ต่อมา สือฮ่าวก็นิ่งไม่ไหวติง กฎเกณฑ์ทั้งหลายลอยลงมารายล้อมเขา ยังคงศึกษา ยังคงวิเคราะห์


ร่างของเขาสอดคล้องกับจักรวาล ธรรมในร่างกายตอบสนองกับธรรมสูงส่งข้างนอก


เขาทำความเข้าใจกับส่วนประกอบของโซ่ระเบียบก่อน ซึ่งก็คือปัจจัยเล็กๆ พวกนั้น จากนั้นก็ศึกษาธรรมที่มีขนาดใหญ่ สือฮ่าวจมอยู่ในนิพพานที่สูงที่สุด


ตอนนี้ เขาเป็นเหมือนคนตาย


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด กฎเกณฑ์เหล่านั้น โซ่หลักธรรมมากเหลือคณานับที่ลอยลงมาจากฟ้าก็พันรอบตัวสือฮ่าว ก่อตัวเป็นตาข่าย จากนั้นก็ถักทออย่างต่อเนื่อง


สุดท้าย เมื่อกฎเกณฑ์ทั้งหมดโยงใยกัน กลายเป็นรังไหมเรียบง่าย หม่นหมอง พันธนาการสือฮ่าวไว้ข้างใน


“ใช้กายเป็นฟ้าดิน ธรรมอยู่ภายใน”


มีเสียงแผ่วเบาแว่วมาจากรังไหม แต่กลับทำให้หญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลตกใจสะดุ้งโหยง นางรู้สึกว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน


ตูม!


ต่อมา ดวงไฟก็พุ่งออกจากรังไหม มีขนาดเท่ากำปั้น กลายเป็นกระจก ปล่อยพลังธรรมออกมาอย่างไม่สิ้นสุดก่อน จากนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟ กระจายหมอกปฐมกาล มันเริ่มเผารังไหมแล้ว


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เนิ่นนานราวกับร้อยพันภพ


เปลวไฟแผดเผารังไหม เสียงสวดมนต์ดังไม่ขาดสาย ใยไหมมัดตัวสือฮ่าวอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็หายไป สุดท้ายก็ขาดสะบั้น


กระทั่งสุดท้าย ตรงนั้นไหม้เกรียม รังไหมกำลังเสียหาย!


“รังแห่งธรรม?” ผู้ชมเพียงหนึ่งเดียว หญิงคนนั้นตะลึงงัน


ใช้ธรรมภายนอกเป็นรังไหม ห่อหุ้มตัวเอง แสวงธรรมจากภายใน จากนั้นแตกรังกลายเป็นผีเสื้อ


หญิงคนนั้นรู้สึกว่า ชายหนุ่มคนนี้เสียสติ บ้าไปแล้ว ถึงกล้าทำแบบนี้ จะบีบคั้นให้ธรรมในตัวออกมางั้นหรือ?


เพียงชั่วครู่ นางก็หายใจเข้าดังเฮือก เมื่อเห็นส่วนหนึ่งของร่างกายโผล่ออกมาจากรังไหมดำเกรียม หม่นหมองแต่ไม่ถูกแผดเผา นางคิดว่า ชายหนุ่มคนนี้อาจทำสำเร็จก็เป็นได้!


1262 สำเร็จ

โดย

Ink Stone_Fantasy

รังไหมฉีกขาด ค่อยๆ หลุดออกมา มันประหลาดและน่าตกใจ


รังไหมที่สร้างจากหลักธรรมถูกเผาจนเสียหาย มันเป็นเหมือนก้อนถ่าน ค่อยๆ แตกออก เผยให้เห็นคนที่อยู่ข้างใน ผิวหนังของเขาหม่นหมอง ในหลักธรรมมีกลิ่นอายเรียบง่ายแฝงอยู่ ไม่เหมือนร่างที่มีพลังชีวิต แต่เหมือนอาวุธมากกว่า


ตูม!


 จู่ๆ รังไหมดำเกรียมก็เจิดจ้าขึ้นมา มีเปลวไฟลุกโชน มันเป็นกฎเกณฑ์ เป็นระเบียบ โชติช่วงอย่างที่สุด กำลังท่วมท้นสือฮ่าว


ตอนแรกที่รังไหมถูกเปลวไฟลึกลับขนาดเท่ากำปั้นแผดเผา มันไม่เจิดจ้าขนาดนี้ ตอนนี้กลับลุกโชนขึ้นมา พร่างพรายอย่างยิ่ง


ขณะเดียวกัน มันก็น่ากลัวเช่นกัน สื่อถึงการปะทะ ดับสูญของกฎเกณฑ์ทั้งหลาย สือฮ่าวที่อยู่ตรงกลางจะต้านทานได้อย่างไร?


หญิงงามที่อยู่ไม่ไกลร้องเสียงหลง ขณะที่นางคิดว่าสือฮ่าวอาจทำสำเร็จ กลับเกิดการแปรสภาพแบบนี้ขึ้น โดยที่ไม่คาดคิด


เป็นเช่นนั้นจริง สือฮ่าวเจอปัญหาใหญ่คับฟ้าแล้ว!


 ผิวหนังหมองมัวลุกไหม้ขึ้นมาทันที สว่างเป็นที่สุด เพราะเขากลายเป็นคบเพลิง ถูกกฎเกณฑ์ทั้งหลายปกคลุม ลุกโชนพร้อมกับรังไหมนั่น


มันเป็นไฟแห่งธรรม เปลวไฟที่เกิดจากหมื่นธรรม น่ากลัวยิ่งนัก!


 ไม่ว่าอะไรก็วอดวายได้ ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าธุลี


ธรรม ในฟ้าดินมีเพียงหนึ่งเดียว แต่กลับแบ่งออกเป็นกฎเกณฑ์นับหมื่นได้ ตอนนี้มันเป็นเปลวเพลิงที่ก่อตัวจากพวกมัน ทำลายล้างสรรพสิ่งได้


ร่างของสือฮ่าวเต็มไปด้วยบาดแผล สภาพดูไม่ได้ แต่กลับไม่มีเลือด มีเพียงรอยแผลและรูพรุน แถมยังดำจนแทบดูไม่ได้


เขาเป็นเหมือนก้อนถ่านที่แตกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากนั้นก็ถูกก้อนหินกระแทกจนไม่เป็นชิ้นดี


ตอนนี้ เขาเข้าใกล้ความตายแล้ว ร่างและจิตดับสูญได้ทุกเมื่อ


สือฮ่าวถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่า จะราบรื่นปานนั้นได้อย่างไร หากว่าง่ายดาย สำเร็จได้โดยตรง คงจะมีคนโบราณนั่งบัลลังก์สูงส่งไปนานแล้ว ไยต้องรอจนถึงวันนี้ จนตอนนี้ยังไม่มีใครข้ามเส้นทางนี้ไปได้!


 ขณะเดียวกัน ดวงไฟลึกลับขนาดเท่ากำปั้นที่อยู่ไม่ไกลกำลังเคลื่อนไหว ถูกพลังเซียนและแสงห้อมล้อม แลดูขมุกขมัว ลี้ลับเป็นที่สุด


สือฮ่าวเคยสงสัยว่ามันเป็นไฟเซียน เป็นเปลวเพลิงปฐมกาล ไฟอันดับหนึ่งในเก้าสวรรค์สิบพิภพ


แต่ตอนนี้เขาเริ่มกังขาขึ้นมาแล้ว พูดได้ยากว่ามันเป็นอะไรกันแน่ มันสามารถกลายเป็นกระจกสะท้อนธรรมที่ลึกซึ้งที่สุด และกลายเป็นเปลวไฟ แผดเผาสรรพสิ่งได้


เมื่อครู่นี่เอง มันเคยเผารังไหมที่ก่อตัวจากกฎเกณฑ์จนเสียหายยับเยิน!


 และตอนนี้มันกลับหยุดนิ่ง ไม่สนใจไยดี ราวกับรอคอยผลลัพธ์เงียบๆ


สือฮ่าวประสบกับวิกฤต อาจตายได้ทุกเมื่อ ถูกเผาจนแทบไม่เหลือพลัง ผิวหนังแห้งแตก กระดูกเกือบจะหัก ไขมันซึมออกมาจากกายเนื้อดำเกรียมของเขา มันน่าสยดสยอง


อย่างน้อย หญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลก็รู้สึกขนลุกเช่นกัน อยากห้ามปรามและช่วยเหลือ แต่ก็ไม่รู้ว่าจำเป็นหรือไม่


เพราะสือฮ่าวยังมีชีวิตอยู่ ยังคงต่อต้าน ยังหยั่งรู้อยู่


นางรู้สึกว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนบ้าเสียสติ!


 สือฮ่าวอยู่ในภวังค์สมาธิจริง เรียกได้ว่าทำอะไรหลายอย่าง แม้กระทั่งว่ายามสติเลือนราง ยังคงนึกถึงเรื่องราวมากมาย ทุกอย่างในอดีตผุดขึ้นในใจอย่างต่อเนื่อง


อันตรายแบบนี้ เขาเคยประสบพบเจอมาแล้ว ตอนที่บำเพ็ญเพียรพลังเซียนในวันวาน ก็เคยถูกไฟแห่งธรรมแผดเผา เรียกได้ว่าแทบเอาตัวไม่รอด เกือบตายเสียแล้ว


ตอนนี้ ถูกไฟแห่งธรรมเผา เขาเห็นความหมายสำคัญของอักขระที่ดั้งเดิมที่สุด เห็นปัจจัยสำคัญของจักรวาล เห็นองค์ประกอบ


เขาศึกษาอย่างละโมบโลภมาก เปรียบเทียบกับตัวเอง ใช้มันกระตุ้นธรรมภายใน ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงชีวิต หากตัวเองตายไป ทุกอย่างก็จบเห่


ร่างกายของสือฮ่าวถูกเผาจนแทบวอดวาย เลือดเนื้อเกือบจะหมดสิ้น เหลือเพียงโครงกระดูก ถูกหนังห่อหุ้มอยู่


เพียงแต่ว่า เขาไม่ตาย ร่างกายมีภูมิคุ้นกันอย่างหนึ่ง ยับยั้งการรุกรานของไฟแห่งธรรม มันเป็นเพราะตอนนั้นเขาเคยถูกเผา เคยประสบกับชะตากรรมแบบนี้ จึงมีไฟในร่างกายเกิดการตอบสนอง


 “ตอนนั้น ข้าเคยเดินบนเส้นทางนี้ ตอนนั้นที่ข้ารอดมาได้เป็นปาฏิหาริย์ เท่ากับเริ่มกระตุ้นธรรมในกายแล้ว มันนั่นเองที่กำลังขัดขวาง ต่อสู้กับธรรมในจักรวาล!”


 สือฮ่าวรู้แล้ว เข้าใจถ่องแท้ในทันที


ตูม!


 แต่ตอนนี้เปลวไฟลุกโชนยิ่งขึ้น เจิดจ้ากว่าไฟแห่งธรรมในตอนนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเสียอีก


ครั้งนั้น เขาแค่อาศัยไฟหล่อหลอมตัวเอง แผดเผาให้เกิดพลังเซียน เป็นแค่การเผาในขั้นแรก แต่ตอนนี้มีกฎเกณฑ์เต็มท้องนภา เทกระหน่ำลงมาจากฟ้าประหนึ่งธารน้ำตก มาจากทุกสารทิศไม่ยั้ง


พลังแบบนี้ ไม่อาจต้านทานได้จริงๆ พร้อมจะเผาเขาให้เป็นผุยผงทุกเมื่อ!


 ต่อให้แท่นหินเปล่งแสง คุ้มครองเขาสุดความสามารถ ผลลัพธ์ก็ไม่ชัดเจนมากปานนั้นแล้ว สือฮ่าวมีโอกาสทุกเผาจนเป็นเถ้าธุลีตลอดเวลา


ตูม!


 สุดท้ายก็มีแสงปรากฏขึ้นในตัวสือฮ่าว ไม่สว่างมากนัก แต่กลับชัดเจนอย่างยิ่ง มันมาจากประตูบานหนึ่ง


เขาเปิดขุมทรัพย์กายเนื้อ ประหนึ่งเปิดประตูเซียน กายมนุษย์มีประตูมากมาย ตอนนี้เขาเริ่มเปิดมัน เพื่อปลดปล่อยพลังแบบนี้


 นี่ก็คือธรรมในกายที่ว่า มันดำรงอยู่คู่ฟ้าดินได้


เศษฝุ่นถมทะเลได้ หมายความว่าเช่นนี้ แม้มนุษย์จะกระจ้อยร่อย เทียบดาราจักรไม่ได้ แต่เมื่อเปิดประตูในร่างกาย เช่นนั้นก็จะหลุดพ้นได้


ตูม!


 ไฟหมื่นธรรมกลายเป็นรูปประหลาดแล้วลอยลงมา ไม่เป็นรูปร่างของเปลวไฟอีก จะบดขยี้สือฮ่าวให้แหลกสลาย


ขณะเดียวกัน ในตัวเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน มีแสงปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย ต่างก็ลึกลับ รวมตัวกันเป็นรูปภาพ กำลังต่อต้านพลังด้านนอก


 “นั่นมัน…” หญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลคนนั้นตกใจอย่างยิ่ง แสงเหล่านั้นมาจากประตูเหล่านั้น


เพียงชั่วพริบตา ก็มีประตูมากมายปรากฏขึ้นในตัวสือฮ่าว ต่างก็แง้มออก มีแสงเล็ดลอดออกมาสู้กับแรงกดดันข้างนอก


สือฮ่าวตื่นเต้นยิ่งนัก มันเป็นธรรมในกาย เป็นพลังของกายมนุษย์ ยืนยันว่าเส้นทางที่เขาเดินนั้นถูกต้อง!


 เป็นเช่นนั้นจริง กายมนุษย์เทียบเท่าจักรวาล ธรรมในกายสู้กับธรรมข้างนอกได้ ซ้ำยังสูสีคู่คี่ สิ่งสำคัญคือจะทำให้มันถือกำเนิดได้อย่างไร


ครืน!


 ไฟหมื่นธรรมลอยลงมา รูปภาพที่ก่อตัวขึ้นปล่อยปลาพลังหยินตัวหนึ่งออกมา ทับสือฮ่าวจนกระดูกแทบหัก บิดจนมันเบี้ยว


ส่วนในตัวสือฮ่าว มีแสงสว่างรวมตัวกันเป็นปลาพลังหยิน พุ่งออกจากตัว เบียดตัวอยู่อีกด้านของตัวเขา


 “นี่มัน…” หญิงคนนั้นเบิกตากว้าง ตกใจอย่างยิ่ง มีแค่นางที่เห็นฉากนี้ หรือนี่จะเป็นเส้นทางของชายคนนี้?


มันทำให้นางตะลึงพรึงเพริด มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของธรรม


ธรรมจักรวาลลอยลงมา รวมตัวกับร่างกายและธรรมในกาย ก่อตัวเป็นแผนภาพหยินหยาง


หากมนุษย์เป็นผู้แสดงพลังฟ้าดิน วาดมันออกมาก็แล้วไป มันไม่เท่าใด แต่ตอนนี้กลับก่อตัวภายในสถานการณ์แบบนี้


ต้องรู้ว่า ตอนนี้ชายหนุ่มคนนั้นกำลังทุกข์ทรมาน อาจตายได้ทุกเมื่อ ไม่มีทางตั้งใจแสดงพลังแบบนี้ออกมา มันเกิดจากธรรมชาติ


ความเจ็บปวด ความทรมานและประสบการณ์แบบนี้ ทำให้เกิดแผนภาพสูงส่งแบบนี้


ตอนนี้ทุกอย่างหยุดชะงัก ทุกอย่างนิ่งไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอากาศหรือเวลา ก็เหมือนกับตกอยู่ในความเงียบสงัดตลอดกาล


เวลาหยุดเดิน


เพียงเสี้ยววินาที ราวกับสือฮ่าวได้รับความเป็นอมตะ การหยุดนิ่งแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าอันลึกล้ำ ยาวนานยิ่งนัก


ชั่วเวลากะพริบตา เสมือนเขาข้ามผ่านกาลเวลาแล้ว


 ประหนึ่งเขากำลังอยู่ในวัฏสงสารที่ผ่านกาลเวลาอย่างโชกโชน มีความมืดมิดอย่างไม่สิ้นสุด


ชิ้ง!


 สุดท้ายพันธนาการก็ถูกปลดเปลื้อง ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ ร่างกายของสือฮ่าวทรุดโทรม แสงเหล่านั้นสลายตัว หายเข้าไปในตัวเขา


ขณะเดียวกัน ไฟหมื่นธรรมรอบตัวก็มอดดับ มลายหายไปแล้ว


 “นี่เป็นเส้นทางของเจ้าหรือ?” หญิงที่อยู่ไม่ไกลถามเสียงสั่น


 “ไม่ใช่!” สือฮ่าวปฏิเสธ มันเป็นแค่ความบังเอิญ เป็นแค่เรื่องชั่ววูบ แต่ไม่ใช่ปลายทาง


จักรวาลไม่ใช่เขา และเขาก็ไม่ต้องการรวมเป็นหนึ่งกับจักรวาล บางทีอาจมีสักวัน เขาอาจจะจากไป


สิ่งที่เขาพึ่งพาได้มีแค่ตัวเขา แค่ร่างกายของเขา และดวงจิตของเขา มีเพียงต้องยิ่งใหญ่ด้วยตัวเองเท่านั้น!


 ตูม!


 ประตูเซียนในร่างกายเปิดออกบานแล้วปานเล่า ราวกับฟ้าดินถล่ม มันเป็นเหมือนภูเขาไฟหลายลูก กำลังปล่อยศักยภาพ ปล่อยพลังออกมาจำนวนมหาศาล


เขาถูกแสงสว่างเอ่อท่วม ทำให้สว่างไสว


 “หากข้ายอม จะทำให้เกิดแผนภาพแบบนั้นออกมาหลากหลายชนิด” สือฮ่าวพูด


ฉะนั้นจึงมีแผนภาพหยินหยางไม่รู้เท่าใดปรากฏขึ้นทั้งในตัวและนอกกายเขา หลั่งไหลไปทั่วเส้นเลือด ประทับตราลงในกระดูก


บางส่วนกำลังขยายใหญ่ ปรากฏขึ้นข้างนอกแล้วห่อหุ้มเขา ทำให้เขากลายเป็นเส้นโค้งหยินหยางอันงดงามและยิ่งใหญ่


แต่สุดท้ายพวกมันก็สลายหายไป


เขารู้ว่า การแสวงธรรมในกาย ใช่ว่าต้องอธิบายด้วยแผนภาพเช่นนี้เท่านั้น


ตอนนี้สือฮ่าวกำลังศึกษาธรรม กำลังแสวงหาพลังอันยิ่งใหญ่ บางทีอาจใช้คำว่าแสวงหา เพราะเขาไม่แสวงหา เพียงแค่เปิดขุมพลังของตัวเอง มันเป็นของเขาอยู่แล้ว


อันดับแรกคือ การเข้าใจตัวตนที่แท้จริงอย่างถ่องแท้


ก่อนหน้านี้ไม่นาน ฟ้าดินหยุดนิ่ง เวลาหยุดเดิน เสมือนเขาข้ามผ่านประวัติศาสตร์ เหลียวมองกาลเวลาอันยาวนาน ชั่ววินาทีนั้นเขาตกใจยิ่งนัก จึงบรรลุธรรม เปิดประตูในร่างกายได้หลายบาน


 “ยาม…เปิดประตู…มีจำกัด เพราะเจ้า…ยังไม่เติบโตถึงขั้นนั้น”


 ในตอนนี้เอง มีเสียงหนึ่งดังขึ้น มันขาดๆ หายๆ ประหนึ่งแสงเทียนกลางสายลม ซ้ำยังแหบพร่า เจือความอ่อนแรง แฝงกลิ่นอายราวกับใกล้สิ้นใจแล้ว


มันเป็นดวงไฟขนาดเท่ากำปั้น ถูกพลังเซียนปกคลุม มีแสงปฐมกาลห่อหุ้ม ทำให้ดูลึกลับกว่าเดิม


และในตอนนี้เอง สือฮ่าวก็เบิกตากว้าง เพราะเขาเห็นอีกด้านของไฟดวงนี้ มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว


ไฟสูงเท่ากำปั้น แถมยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่ขยายใหญ่ แต่เขาเห็นร่างจำนวนมากเหลือคณานับ กำลังต่อสู้ แผดร้อง โหยหวนและเลือดมหาศาล


สรรพสัตว์กำลังคร่ำครวญ วิญญาณนับไม่ถ้วนกำลังจู่โจม


ตูม!


 กระทั่งสุดท้าย ตรงหน้าก็กลับสู่ความสงบ เสียงในหูหายไป ราวกับดวงไฟกลับสู่สภาพปกติ


 “ไฟวงนี้เป็นอะไรกันแน่?” เสียงของสือฮ่าวขมขื่น


จากนั้น สือฮ่าวก็สำรวจในร่างกาย ประตูเหล่านั้นสว่างเจิดจ้า กำลังแสดงธรรมอันกว้างไกล ปล่อยโซ่ที่ลึกลับที่สุดออกมา


มันเป็นธรรมในกาย เป็นหนทางของเขา!


 และตอนนี้เป็นแค่การทลายขีดจำกัด จะบรรลุเป็นมือดีขั้นเจ้าสำนักเท่านั้น ไม่ใช่การยืนบนจุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นแค่ของชั่วคราว เขาจำต้องเปิดประตูทั้งหมดในวันข้างหน้า


 “ใช้กายเป็นพันธุ์ เป็นอย่างที่ข้าคาดการณ์ไว้” สือฮ่าวพึมพำ เขากำลังเดินบนเส้นทางของตัวเอง คล้ายคลึงกับสิ่งที่ปรมาจารย์ถ่ายทอดให้เขา


การแสวงธรรมในกาย พึ่งพาตัวเอง ไม่ใช่ธรรมของจักรวาล นี่แหละเส้นทางของเขา


การใช้กายเป็นพันธุ์ จำต้องเปิดประตูในร่างกาย ปลดปล่อยธรรมของตัวเอง นี่เป็นการเริ่มต้น มันเหมือนกับการหว่านเมล็ดพันธุ์จริงๆ


ประตูทั้งหลายในตัวเขายังไม่ถูกเปิดอย่างสิ้นเชิง มันปิดลงช้าๆ สุดท้ายก็ทิ้งช่องเล็กๆ ปล่อยแสงสว่างออกมา


สุดท้ายแสงเหล่านั้นก็ผนึกกำลัง ก่อตัวเป็นเมล็ดพันธุ์ จากนั้นก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกับกายเนื้อ


สิ่งที่ผู้อื่นแสวงหาคือเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ที่ถูกหล่อเลี้ยงโดยจักรวาล หลอมรวมกับตัวเอง ได้รับการยอมรับจากจักรวาล เท่ากับเป็นบุตรแห่งสวรรค์


และบุตรแห่งสวรรค์ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากกฎเกณฑ์ฟ้าดิน สำแดงอานุภาพฟ้าดินได้!


 เพียงแต่ว่า สุดท้ายก็เป็นการพึ่งพาจักรวาลอยู่ดี


สือฮ่าวใช้กายเป็นพันธุ์นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง


ตอนนี้ เขาสร้างเมล็พันธุ์ได้แล้ว เป็นตัวเขานั้นเอง สิ่งที่ต้องพึ่งพาในวันหน้าก็คือตัวเอง!


1263 ตบตาสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมล็ดพันธุ์ก่อตัวแล้ว!


 ในตัวสือฮ่าวมีประตูมากมาย บานแล้วบานเล่า ไม่ปิดอย่างสมบูรณ์ ต่างก็ทิ้งช่องไว้ มีแสงเล็ดลอดออกมา บรรจบกันและก่อตัวเป็นเมล็ดพันธุ์


มันดูลึกลับอย่างมาก มีประตูมากมาย ตอนนี้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก แต่กลับดูลึกลับกว่าเดิม


ประตูเหล่านั้นเป็นเหมือนขุมทรัพย์ ราวกับเชื่อมต่อกับดินแดนอมตะ ถ่ายทอดพลังงานสูงส่ง สือฮ่าวเกิดอารมณ์ชั่ววูบ อยากยื่นมือไปเปิดประตู ดูว่าข้างในมีอะไรกันแน่


เพียงแต่ว่า ตอนนี้ยังทำไม่ได้


 “พลังของกายเนื้อ” หญิงที่อยู่ไกลออกไปพึมพำ นางตะลึงงันแล้วจริง ทำสำเร็จแล้วหรือ?


นางเห็นความมหัศจรรย์ มีคนกำลังบุกเบิกเส้นทางที่แตกต่างต่อหน้านาง มันพิลึกอย่างมาก และอันตรายสุดแสน เกือบตายแล้ว แต่สุดท้ายก็สำเร็จ


สงบลงเพียงครู่เดียว ก็เหมือนมีฟ้าผ่าลงกลางใจนางดังเปรี้ยง แม้แต่วิญญาณก็สั่นไหวตามกัน นางรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่คับฟ้า!


 เส้นทางที่ไม่เคยมี มีคนบุกเบิกแล้ว!


สือฮ่าวปราศจากคลื่นอารมณ์ หลับตาลงคิดพิจารณาเงียบๆ ประสบการณ์เมื่อครู่อันตรายมาก ดูเหมือนราบรื่น แต่หากพลาดท่าอาจถึงตายได้


ยิ่งไปกว่านั้น มาถึงขั้นนี้แล้ว ใจเขายังคงว้าวุ่น มีความรู้สึกวิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้


ทำไมเป็นแบบนี้?


เขาอยากศึกษาเมล็ดพันธุ์ หนทางของเขาสำเร็จในขั้นต้นแล้ว การใช้กายเป็นพันธุ์สำเร็จแล้ว เมล็ดพันธุ์ลอยอยู่ในจุดลึกสุดของร่างกาย กำลังส่องแสงสีเขียว หลอมรวมกับกายเนื้อและพลังจิต ไม่แยกจากกัน อุดมสมบูรณ์และเต็มเปี่ยม


สือฮ่าวใช้พลังจิต เมล็ดพันธุ์เปล่งประกาย ระดมพลังจากประตู เขารู้สึกว่าภายในร่างกายพลุ่งพล่าน แสงสีเขียวเบียดเสียดยัดเยียด ราวกับสังหารปีศาจเทพเจ้าให้สิ้นซากได้!


 ความรู้สึกแบบนี้มันดียิ่งนัก อดไม่ได้อยากแหงนหน้าตะโกน กายเนื้อและพลังจิตแข็งแกร่งยิ่งนัก เพียงยากมือก็เด็ดดวงดาวได้แล้ว


แต่จิตใจเขายังคงว้าวุ่น ไม่วางใจ สือฮ่าวลืมตาขึ้น ประกายฉายวาบในดวงตา เขาจะทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่มากขึ้น


แน่นอนว่า การใช้กายเป็นพันธุ์สำเร็จแล้ว ตอนนี้ใช้มันพร้อมกับเคล็ดวิชา วิชาสวรรค์ของตัวเอง จะน่าตะลึงยิ่งกว่า และมีเอกลักษณะเฉพาะตัว


 “ข้าจะเริ่มจากตรงไหนดี?”


 สือฮ่าวลังเล จะเพิ่มพลังโจมตีหรือการป้องกันดีล่ะ?


ไม่นานเขาก็ตัดสินใจจากสัญชาตญาณ เขาเลือกวิชาเทพหลิวก่อน เขาคิดว่าต้องป้องกันตัวก่อนจึงจะถูก


เพราะกล้ามเนื้อกำลังหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายยิ่งขึ้น


ความรู้สึกแบบนี้พิลึกเหลือเกิน ร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนหรือ? สือฮ่าวแปลกใจและหวาดหวั่น ประตูวพกนั้นถูกเปิด ทำให้กายเนื้อของเขาลึกลับมากขึ้น


วิชาของเทพหลิวให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะพลังชีวิต สุดท้ายก็คืออมตะ


มีโซ่นับพันนับหมื่นพุ่งออกจากตัวสือฮ่าวทันที ขณะเดียวกันเมล็ดพันธุ์ก็กำลังเปล่งแสง เมื่อเจอกับโซ่วิเศษพวกนั้น ก็เกิดการตอบสนองกัน


เมื่อจดจ้องโซ่สีทองเหล่านี้ ดวงตาของสือฮ่าวก็ลุ่มลึกเป็นที่สุด ราวกับมองเห็นธาตุแท้ของทุกสรรพสิ่งในโลก เขากำลังถอดความของวิชานี้


เพียงชั่วพริบตา แสงสีเขียวที่เกิดจากเมล็ดพันธุ์ก็เริ่มทอโซ่เหล่านั้น ยังคงเป็นสีทอง แต่แตกต่างไปจากเดิมลวดลายกำลังเปลี่ยนแปลง


นี่เป็นการถอดความและเรียบเรียงใหม่ จากนั้นใช้อักขระของธรรมในกายอธิบายวิชาของเทพหลิว มันเป็นวิชาที่เริ่มทำความเข้าใจและศึกษาจากสิ่งที่ดั้งเดิมที่สุด


แน่นอนว่ามันเป็นขั้นตอนที่ยิ่งใหญ่!


 ตอนนี้หากสือฮ่าวถอดความได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใช้อักขระของธรรมในกายเรียงรายใหม่ได้สำเร็จล่ะก็ มันจะน่าตะลึงสุดแสน แม้กระทั่งว่าสะเทือนปฐพี


ตอนนี้ เขาจมดิ่งอยู่ในภวังค์อันวิเศษ เนื้อตัวส่องแสงสีเขียว สำแดงวิชาชีวิตของเทพหลิว ทุกอย่างเลือนราง หายไปอย่างไม่รู้ตัว


กาลเวลายาวนาน ฟ้าดินกว้างใหญ่ เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นปุยขาวของต้นหลิว ห่อหุ้มเมล็ดพันธุ์ลอยล่อง สุดท้ายตกลงไปในชั้นดิน


เดิมที ที่นี่แห้งผาก ไม่มีแอ่งน้ำ ถูกแสงแดดแผดเผาตลอดทั้งปี ทำให้เมล็ดพันธุ์ของเขาปางตาย


สุดท้ายละอองฝนก็ตกลงมา มันดูดซึมอย่างกระหาย จากนั้นก็ปล่อยพลังชีวิตที่น่าตะลึง เริ่มแตกหน่อหยั่งราก หลุดพ้นจากสภาพเหี่ยวเฉา


 “ช่างเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่นัก!”


 แม้แต่ในภวังค์สมาธิ สือฮ่าวก็อดอุทานไม่ได้ เพราะเมล็ดพันธุ์เล็กๆ เมื่ออยู่ในชั้นดิน กาลเวลาผ่านไป ด้านบนมีหินก้อนใหญ่วางทับ หลังเมล็ดพันธุ์แตกหน่อ กลับดันก้อนหินออก แม้กระทั่งมุดออกมาจากซอกหิน สุดท้ายก็ทำให้แท่นหินแตก


มันเป็นพลังชีวิต ยามเห็นครั้งแรกเหมือนอ่อนโยน แต่กลับทรงพลังที่สุด


สือฮ่าวตะลึงพรึงเพริด ที่ผ่านมาก็เคยเห็น มีต้นหญ้ามุดออกจากหนทางที่ถูกปิดตาย ทำให้พื้นที่ทำจากหินอันทนทานแตกระแหง


และตอนนี้มุมมองลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในภวังค์ของสมาธิ


กลิ่นอายของชีวิตใหม่หนาแน่นและมหาศาล!


 สุดท้ายเขากลายเป็นต้นอ่อน เจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผ่านการอาบชำระของลมฝน ค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน


กระทั่งวันหนึ่ง มันอุดมสมบูรณ์ สูงค้ำฟ้า ชักนำสายฟ้ามา ฟาดยอดไม้ของมันจนหัก เกิดประกายไฟทั่วทั้งต้น



แต่เขารอดชีวิตมาได้ จากนั้นก็พบเจอกับความทรมานนับครั้งไม่ถ้วน


ต้นไม้กลายเป็นภูต เพราะเป็นพืช เป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และสิ่งที่เขาเผชิญมันไม่เหมือนใคร จะถูกฟ้าดินลงทัณฑ์


หายนะจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าฟาดลงมา ทำให้เขากลายเป็นเถ้าถ่าน เหลือเพียงตอตะโก ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ปี เขาฟื้นคืนชีพ แตกหน่อหยั่งรากอีกครั้ง


ต่อมา เขาแข็งแกร่งมากขึ้น พลังชีวิตล้นทะลัก


นี่เป็นประสบการณ์ของเทพหลิวหรือ? ไม่คิดว่ามันจะแฝงเร้นอยู่ในกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของเคล็ดวิชา!


 จากนั้นสือฮ่าวก็รู้อะไรอีกมาก ต้นหลิวถูกสายฟ้าฟาดหลายครั้งจนนับไม่ได้ สุดท้ายก็ยกระดับเป็นการพิฆาตของกระบี่เซียน


ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นมีพลังของเทพารักษ์ รวมถึงมีแสงของวิถีเซียนปกคลุม


ลึกล้ำ ทรมาน นี่เป็นเส้นทางอมตะที่อันตรายเป็นที่สุด และเป็นสุดยอดเส้นทางของชีวิตเช่นกัน


 “ข้าอยากเห็นว่าเทพหลิวเจออะไรในเซียนโบราณ และอยากเห็นว่าทำไมถึงลงมาอยู่ที่หมู่บ้านหินผา”


 น่าเสียดาย ร่องรอยชีวิตเหล่านั้นซับซ้อนเกินไป แม้เขาจะกำลังไขลักษณะดั้งเดิมของเคล็ดวิชา แต่บางอย่างก็ไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สือฮ่าวดำดิ่งอยู่ในมหาสมุทรพลังชีวิต ถูกแสงสีเขียวห่อหุ้ม ได้รับการอาบชำระจากแสงทอง สองสีเชื่อมต่อกัน


สิ่งหนึ่งเป็นพลังชีวิตแต่กำเนิด อีกหนึ่งเป็นพลังที่เกิดจากการอาบชำระและสั่งสมในภายหลัง


ในที่สุดสือฮ่าวก็ได้สติกลับคืนมาอย่างสิ้นเชิง เขาใช้อักขระของธรรมในกายอธิบายวิชาชีวิตของเทพหลิว ไปจนถึงแก่นแท้ มันลึกล้ำมากแค่ไหน ตอนนี้ไม่อาจพิสูจน์ได้


 “เจ้าไปได้แล้ว มีเมล็ดพันธุ์ในร่างกายแล้ว ศึกษาที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในนี้แล้ว” หญิงคนนั้นพูด


สือฮ่าวพยักหน้าแล้วลุกขึ้น รังไหมขาดรุ้งริ่งตามตัวขาดดังเปรี๊ยะ หายไปทั้งหมด เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแน่น


มันไม่ได้ผุดผ่องแวววาว แต่กลับแน่นตึง มีแสงมันเงาของพลังวชีวิต!


“ต้องออกไปแล้ว ผ่านไปกี่เดือนแล้ว หรือกี่ปีกันนะ?” สือฮ่าวไม่รู้เลย ยามบำเพ็ญเพียร จะไม่รู้สึกถึงกาลเวลา เขาลืมเลือนทุกสิ่งแล้ว


 “หือ?”


 สือฮ่าวพรั่นพรึง ยามนี้ขนลุกขนชัน ชั่ววินาทีที่เขาลึกขึ้น รู้สึกถึงวันสิ้นโลก ความกระวนกระวายก่อนหน้านี้กลายเป็นจริงแล้ว


ชิ้ง!


 ลำแสงพุ่งลงมาจากฟ้า จะฟันคอสือฮ่าว!


 มันเป็นการโจมตีจากใคร? ไม่ใช่หญิงคนนั้นแน่ เพราะนางก็ตกใจมากเช่นกัน กำลังนั่งอยู่กลางอากาศ


เคร้ง!


 สือฮ่าวอ้าปากพ่นแสงสีเขียวออกไป มีเป็นพลังจากเมล็ดพันธุ์ ก่อตัวเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ปะทะกับลำแสงจนเกิดประกายไฟ


 “แข็งแกร่งนัก!”


 สือฮ่าวขนหัวลุก เพราะลำแสงแหลมคมเหลือเกิน บั่นคอเทพสวรรค์ทั้งโขยงได้อย่างง่ายดายแน่นอน


 “ตึง!”


 จากนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นพร้อมกันหลายสิบใบ ลอยลงมาจากฟ้า ปล่อยริ้วคลื่นออกมา จะบดขยี้เขา


มันน่ากลัวเหลือเกิน ทำลายปีศาจและเทพเจ้าจำนวนมากได้ ไม่มีสิ่งใดขวางได้


นี่มันอะไรกัน? เขางุนงงไปหมดแล้ว!


 “ฟ้าดินลงโทษ!”


 ตอนนี้มีแสงผุดขึ้นในหัวสือฮ่าว รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ความวิตกของเขา ความว้าวุ่นใจของเขา มาจากสิ่งนี้เอง


เข้ามานั่งสมาธิในครรภ์ฟ้าดิน เขาไม่ถูกทำร้าย หญิงคนนั้นตกลงง่าย เดิมทีคิดว่าจะราบรื่นเสียอีก


แต่ใครเล่าจะคิดว่า วิกฤตที่แท้จริงอยู่ในช่วงเวลาสุดท้าย!


 ลำแสงจำนวนมากพุ่งมา สว่างไสวจนบาดตา พุ่งตรงมาจากสุดขอบโลก


ระฆังดังกังวาน เจดีย์ตั้งเรียงราย อาวุธหลายชนิดปรากฏให้เห็น ลอยลงมาจากฟ้าหมายกำราบสือฮ่าว!


 มันเป็นหายนะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน น่าตกใจจนน่ากลัว ร้ายแรงกว่าวิกฤตใดที่สือฮ่าวเคยเผชิญ มันต้องการกำจัดเขา!


 หญิงคนนั้นตะลึงงัน แม้แต่นางก็คาดไม่ถึงว่าตอนจบจะเป็นแบบนี้ เคยคาดการณ์ แต่ไม่เคยเห็นฉากนี้มาก่อน


นี่มันหนทางหายนะชัดๆ!


 ไม่มีความหวังหลงเหลือเลยสักนิด จึงมีลำแสงต่างๆ อาวุธทั้งหลายพุ่งมา ไม่ว่าสิ่งไหนก็สังหารบุคคลยิ่งใหญ่เช่นเจ้าสำนักได้


การกำจัดอันโหดเหี้ยม ลบล้างร่องรอยทั้งหมด!


 นี่แหละการลงทัณฑ์ของฟ้าดิน เพราะสือฮ่าวช่วงชิงพลังฟ้าดิน จึงมอบการตอบโต้ที่โหดร้ายที่สุดให้เขา จะสังหารให้สิ้นซาก


เดิมทีเส้นทางของเขามันผิดธรรมชาติ ขัดต่อสวรรค์ สาเหตุที่การใช้กายเป็นพันธุ์ล้มเหลวตลอดมา มันเป็นเพราะสิ่งนี้ ถูกสวรรค์กำจัด


คนอื่นเจอเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ หลอมรวมกับตัวเอง ได้รับการยอมรับและคุ้มครองจากสวรรค์ เพราะพวกเขาเดินตามเจตจำนงของสวรรค์


แต่การใช้กายเป็นพันธุ์นั้นแตกต่าง เป็นการทำตนให้แข็งแกร่ง ให้เทียบเท่าจักรวาล สุดท้ายอาจถึงขั้นหลุดพ้นจนอยู่เหนือกว่า!


  แม้ตอนนี้จะเป็นแค่เมล็ดพันธุ์ แต่ต้นอ่อนงอกเงยแล้ว จึงถูกกำจัดอย่างไม่ปรานี!


 เต็มไปด้วยอาวุธมีคม มากเหลือคณานับ ลอยลงมาโจมตีสือฮ่าว ตอนนี้แท่นหินถอยออกไป ไม่คุ้มครองอีกแล้ว


เพราะมันต้านทานไม่ไหว หากช่วยปกป้องสือฮ่าว ช่วยปิดบังอีกต่อไป แม้แต่มันก็อาจพลอยเดือดร้อนไปด้วย


ต่อให้มันเป็นครรภ์ฟ้าดินก็เถอะ บางอย่างเอาชนะไม่ได้ จะเกี่ยวพันมากไปไม่ได้!


 เจดีย์ ระฆัง ดาบสวรรค์ กระบี่เซียนห้อมล้อมสือฮ่าว หลบหลีกไม่ได้ และถอยไม่ได้เช่นกัน ทำได้แค่ต้านทาน รับมันไว้


สายฟ้าจำนวนมากกะพริบแปลบปลาบ!


 หญิงคนนั้นตะลึงงัน หากสวรรค์พิโรธ ทำลายครรภ์ฟ้าดินของนาง เช่นนั้นเส้นทางของนางจะขาดสะบั้น สีหน้าของนางซีดเผือดราวกับหิมะ


ตูม!


 สือฮ่าวยิ่งใหญ่ปานนี้ แต่เลือดเนื้อก็กระเด็นกระดอนเช่นกัน เลือดแดงฉานย้อมมิติ ฉูดฉาดเป็นล้นพ้น


โชคดีที่ความสามารถของเขาเพิ่มทะยานนานแล้ว และตอนนี้เขาไม่ยับยั้งอีกต่อไป ทลายขีดจำกัด บรรลุเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ขั้นเจ้าสำนัก


นี่เป็นการประลองตัดสินชะตา สวรรค์พิโรธ สือฮ่าวกำลังดิ้นรน เขายิ่งใหญ่จนบรรลุอีกขั้นแล้ว แต่ก็ต้านทานไม่ได้


แน่นอนว่า สำหรับนักพรตคนหนึ่ง สำหรับคนที่เพิ่งผงาดแล้ว นี่เป็นผลกระทบอันร้ายแรง ทำลายเจ้าในตอนที่เจ้าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุด


อาวุธทั้งหมดก่อตัวจากสายฟ้า พวกมันสมจริงอย่างมาก มิเช่นนั้นจะมีอาวุธปรากฏขึ้นในเมล็ดพันธุ์ได้อย่างไร?


สุดท้ายกระแสไฟเหล่านี้ก็เกินขอบเขตที่บุคคลขั้นเจ้าสำนักจะรับมือได้ มันอยู่เหนือกว่า และเมื่อกำราบอย่างเต็มกำลัง จึงต้านทานไม่ได้


หญิงคนนั้นถอนหายใจ ชายหนุ่มคนนี้จบเห่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีใครต้านทานสายฟ้าที่อยู่เหนือกว่าได้


มิหนำซ้ำ อานุภาพของสายฟ้าไม่ได้เหนือกว่าแค่ขั้นเดียว


เพราะสวรรค์พิโรธแล้ว จักรวาลแผ่รังสีอำมหิต จะขุดรากถอนโคนชีวิตของคนที่ช่วงชิงพลังฟ้าดิน ไม่ทำตามคำสั่งคนนี้


ปัง!


 เมื่อผ่านการต่อสู้ที่น่ากลัวแล้ว สือฮ่าวก็ถูกฟาดจนระเบิด เนื้อตัวดับสูญ ภาพนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก และสะเทือนขวัญเช่นกัน ทำให้หญิงสาวคนนั้นหวาดผวา


นางจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยไหม? เพราะนางก็เกี่ยวข้องเช่นกัน


ดับสูญแล้วหรือ?


แม้จะต่อสู้อย่างเหนื่อยยาก ไม่ยอมจำนน แต่ร่างของชายหนุ่มก็หายไปแล้ว ที่นั่นเหลือเพียงเถ้าธุลีและเลือด


แต่หายนะสวรรค์ยังไม่ยอมหยุด กลับฟาดลงมาไม่หยุดไม่หย่อน ราวกับพลิกจักรวาล ปกคลุมที่นี่ดุจผืนทะเลกว้างใหญ่


บดขยี้ต่อเนื่อง ระเบิดไม่ขาดสาย


หญิงคนนั้นอกสั่นขวัญแขวน มันยังไม่ยอมหยุด จักรวาลไม่ปรานี จะทำลายที่จำศีลของนางด้วยหรือ?


เดิมทีหญิงสาวเป็นชิ้นส่วนที่ได้รับการหล่อเลี้ยง ได้รับการคุ้มครองจากฟ้าดิน แต่ตอนนี้จะถูกทอดทิ้งแล้วหรือ? มันทำให้นางสิ้นหวัง


นางอยากต่อต้าน แต่ก็กลัวจะชักนำหายสวรรค์มา ฟาดจนนางสิ้นใจ ไม่เหลืออะไรเลย


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน สายฟ้าหายไปแล้วในที่สุด ที่นี่กลับสู่ความสงบ ครรภ์ฟ้าดินรอดมาได้ ไม่ถูกทำลาย หญิงคนนั้นถอนหายใจ


 “เอ๊ะ?” จู่ๆ นางก็ชะงัก มองเถ้าถ่านข้างแท่นหินเงียบๆ


ในกองขี้เถ้า ในกระดูกดำเกรียมที่แตกเป็นเสี่ยงๆ มีแสงสีเขียวกะพริบ มันเป็นเมล็ดพันธุ์ ค่อยๆ ลอยขึ้น ห่อหุ้มพลังปราณและดวงจิต


ตบตาสวรรค์!


 ลมหายใจของนางถี่กระชั้น นี่มันตบตาสวรรค์ ข้ามผ่านไปได้ หลอกสวรรค์ได้!


 ราวกับเมล็ดพันธุ์แตกหน่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงช้าๆ กำเนิดใหม่ในกองขี้เถ้า นิพพานในความตาย ดวงจิตของสือฮ่าวรอดมาได้ ลิ่มเลือดขยับ อวัยวะกำเนิดใหม่อย่างต่อเนื่อง


ขั้นเทพสวรรค์อวัยวะจะงอกใหม่ได้ ขั้นที่สูงกว่าย่อมไม่มีปัญหา


ยิ่งไปกว่านั้น สือฮ่าวศึกษาวิชาชีวิตของเทพหลิวในช่วงเวลาสุดท้าย ใช้ธรรมในกายของตัวเองอธิบายออกมาอย่างลึกซึ้ง จึงรอดชีวิตจากสายฟ้าที่มีพลังสูงกว่าได้


นี่เป็นปาฏิหาริย์ ห้ามลอกเลียนแบบ


ไม่เคยมีใครข้ามผ่านความพิโรธของสวรรค์ได้


สือฮ่าวถอนหายใจ ตอนนั้นที่เทพหลิวลงมายังหมู่บ้านหินผา ก็เคยเป็นเช่นนี้ ประสบกับหายนะสวรรค์ เกิดใหม่ท่ามกลางความสิ้นหวัง นิพพานอีกครั้ง


ตอนนี้เขาผ่านสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ต้านทานหายนะสวรรค์ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็เขาคืนชีพ พลังกำเนิดใหม่ตลบอบอวล ตอนนี้เขามีพละกำลังอย่างเต็มเปี่ยม


อวัยวะของเขางอกขึ้นใหม่ ดวงจิตกะพริบ นัยน์ตาอ่อนโยน ดวงจิตกับเลือดเนื้อเป็นหนึ่งเดียวกัน


การใช้กายเป็นพันธุ์สำแดงความน่ากลัวของมันครั้งแรก แม้แต่สถานการณ์แบบนี้ก็รอดชีวิตมาได้


 “ขอบใจเจ้ามาก!” สือฮ่าวขอบคุณหญิงสาวอย่างจริงใจที่สุด


จากนั้นเขาก็เฉือนครรภ์ฟ้าดิน จะเดินออกไป


เขาไม่รู้ว่าตัวเองจำศีลมานานแค่ไหน ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว บางทีอัจฉริยะคนอื่นคงผงาดนานแล้ว เขาไม่เผยโฉมหน้านานแล้ว ถึงเวลาออกไปแล้ว


1264 อัจฉริยะชูสลอน

โดย

Ink Stone_Fantasy

สายลมโชยปะทะหน้า เห็นภูมิทัศน์ข้างล่างชัดเจน กว้างใหญ่ไพศาล


สือฮ่าวเหินเวหา ข้ามผ่านมหาสมุทร ผ่านทะเลทรายสีทองไร้ที่สิ้นสุด และภูเขานับล้านอันอุดมสมบูรณ์


สวรรค์ไร้ขอบเขตมีชื่อในเก้าสวรรค์มาก มีขนาดใหญ่ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


ยอดเขาสีแดงข้างหน้าเป็นเหมือนปะการังในท้องทะเล แดงพร่างพรายจนแทบโปร่งแสง วิเศษยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นดินวิเศษ


ภูเขาแทบจะโปร่งใส แต่ยังคงเต็มไปด้วยพืชพรรณมากมาย ล้วนเป็นยาวิเศษ และยังมีสมุนไพรทั้งหลายงอกเงยตามซอกหินของภูเขา


ยิ่งไปกว่านั้น มีควันเบาบางลอยขึ้น พร้อมกับแสงสีแดงอ่อน ที่นี่เหมือนดินแดนเทวสถิต บวกกับภูเขาขนาดมหึมา ดึงดูดสายตามากเป็นพิเศษ


เมื่อสือฮ่าวผ่านมาที่นี่ ก็หยุดลง


ที่นี่มีนักพรตไม่น้อยเลย ผู้คนขวักไขว่ คึกคักอย่างมาก และมีนักพรตชราบางส่วนกำลังจับยามสามตา ตรวจสอบรากฐานใต้พิภพ เห็นได้ชัดว่าจะสร้างสำนักขึ้นที่นี่


สือฮ่าวทะยานลงมา เอ่ยถามคนคนหนึ่งว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องทำแบบนี้?


 “เจ้าไม่รู้หรือว่า ตอนนี้สำนักเซียนรุ่งโรจน์ สำนักปราชญ์รุ่งเรือง ต่างก็มีบุคคลไม่ธรรมถือกำเนิด คนของพวกเขากำลังค้นหาถ้ำสวรรค์แน่ะ” มีคนตอบ


สือฮ่าวแปลกใจ ทั้งสองสำนักล้วนมีแดนสุขาวดี ตัดขาดจากภายนอก เป็นสถานที่ซึ่งมีพลังปราณหนาแน่นที่สุด ยังต้องหาถ้ำสวรรค์อีกหรือ?


ไม่นานเขาก็ทราบสถานการณ์ ผู้คนสัญจรเยอะยิ่งนัก จึงมีคนอธิบาย


 “ตอนนี้ สำนักเซียนและสำนักปราชญ์รุ่งเรืองยิ่งนัก แต่สองสำนักไม่พอใจแต่อย่างใด กำลังพิจารณาเรื่องร่วมมือ จะรวมตัวกัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนของลูกศิษย์ เพื่อรับมือกับหายนะ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน”


 สือฮ่าวชะงัก มันไม่กะทันหันเลย เขานึกถึงเรื่องที่สองสำนักไปคัดเลือกศิษย์ในสำนักเทพสวรรค์ ก็เคยมีข่าวลือแล้วว่า สามสำนักจะร่วมมือกัน


เมื่อถึงตอนนั้น จะถอนรากฐานใต้ดินของสามสำนักแล้วเคลื่อนมาอยู่ด้วยกัน แม้กระทั่งว่าย้ายถ้ำสวรรค์ของเซียนใต้สำนักไปด้วย


เมื่อถึงตอนนั้น พลังปราณฟ้าดินจะต้องหนาแน่นจนแยกจากกันไม่ได้ กลายเป็นดินแดนบำเพ็ญเพียรที่น่าตะลึงที่สุดในเก้าสวรรค์


 “เลือกตำแหน่งที่นี่หรือ?” สือฮ่าวเอ่ยถาม


 “นี่เป็นเพียงหนึ่งในเป้าหมายเท่านั้น ยังไม่แน่ใจ มีเป้าหมายหลายแห่ง กระจายอยู่ในเก้าสวรรค์ ตอนนี้กำลังเลือกและตัดสินใจขั้นสุดท้าย”


 สำนักเซียนกับสำนักปราชญ์เลือกตำแหน่ง ต้องขุดเจอร่องรอยเซียนที่น่าตะลึงที่สุดแน่นอน มันต้องน่าตะลึงอย่างยิ่ง แท้ที่จริงแล้วความลับแพร่สะพัดนานแล้ว ผู้เฒ่าเหล่านั้นกำลังค้นหาถ้ำวิถีเซียนหลายแห่งในตำนาน!


 การค้นหามาอย่างยาวนาน พวกเขารู้พิกัดคร่าวๆ แล้ว ตอนนี้หากจะเลือกเป้าหมายที่แท้จริง คงจะตั้งอยู่บนดินแดนโบราณเป็นแน่


 “หากเจอแดนลับของราชันเซียน มันจะเหนือจินตนาการ ได้รับมรดกขั้นสุดยอดของราชันเซียน!”


“ชู่ว อย่าพูดส่งเดช มันยังไม่ถูกเปิดเผย ระวังผู้อาวุโสในสำนักจะลงโทษเจ้า!” มีคนแทรกคำพูดของคนคนนั้น


มันทำให้สือฮ่าวตื่นตะลึง ดินแดนโบราณหลายแห่งในตำนาน ถ้ำสวรรค์ที่เหล่าผู้เฒ่าตามหา มันเป็นแดนลับราชันเซียนหรือ? น่าตะลึงนัก!


 ตั้งแต่อดีตยันวันนี้ จะมีราชันเซียนกี่คนกัน?


สือฮ่าวหายใจเข้าดังเฮือก ต้องรู้ว่า จวบจนวันนี้ ไม่มีแม้แต่เซียนขนานแท้ ไม่มีให้เห็นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ในเซียนโบราณ ผู้อมตะก็มีจำนวนน้อยจนนับได้


แต่ตอนนี้กลับขุดเจอแดนลับราชันเซียน จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร?!


 นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ใหญ่ที่สุดของเก้าสวรรค์สิบพิภพอย่างไม่ต้องสงสัย!


 หมอกลอยมาทางทิศตะวันออก กลิ่นอายความเป็นมงคลลอยลงมาจากฟากฟ้าราวกับธารน้ำตก อาบย้อมเทือกเขา


สือฮ่าวแปลกใจ เขาเป็นใครกัน ทรงพลังไม่น้อยเลย ขี่เมฆมาเช่นนี้ ขั้นบำเพ็ญคงจะไม่ธรรมดาอย่างมาก


 “นั่นคงจะเป็น…เด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง มาเลือกถ้ำสวรรค์ที่นี่” มีคนกระซิบ ท่าทางเหมือนหวาดกลัวมาก


จากบทสนทนาของผู้คน สือฮ่าวจึงทราบว่า อัจฉริยะขั้นสุดยอดบางส่วนของสำนักเซียนส่งผู้ติดตามมา เพื่อชิงถ้ำสวรรค์ในเทือกเขาที่คิดว่าจะได้เป็นแดนแห่งการบำเพ็ญเพียรในวันหน้า


เมื่อเลือกตำแหน่งแล้ว จุดที่มีพลังปราณหนาแน่นที่สุดคงจะถูกมอบให้อัจฉริยะสะเทือนโลกาเหล่านั้น


เทพตะวันม่วงโด่งดังมากหรือ สือฮ่าวส่ายหน้า เขาไม่เคยได้ยิน รู้จักแค่สุนัขนรกกับราชันสวรรค์น้อย คนอื่นไม่เคยได้ยิน


หมอกขมุกขมัวเป็นเหมือนผ้าบาง ปกคลุมเทือกเขา ให้ความรู้สึกสุขสงบอย่างน่าประหลาด ทำให้เกิดความรู้สึกตอบสนอง อยากจะก้มลงกราบคารวะ


เป็นแค่เด็กรับใช้จริงหรือ? สือฮ่าวตกใจเล็กน้อย คงจะอยู่ในขั้นเจ้าสำนักแล้ว แต่ท่าทางของคนคนนี้อวดดีไม่เบาเลย


 “เด็กรับใช้คนนี้ ช่าง…ไร้เดียงสาเสียจริง” มีคนอยากแสยะยิ้ม พูดจาไม่น่าฟังออกมา แต่สุดท้ายก็ต้องกลับคำ


 “สหายโปรดระวังคำพูด อย่าล่วงเกินเขา แต่เขาอายุยังน้อยมากจริงๆ สำรวมต่อหน้าเทพตะวันม่วงจนชิน ออกมาได้ยาก มีกิริยาเช่นนี้ ย่อมเข้าใจได้” เทพสวรรค์ชราอายุไม่น้อยแล้วคนหนึ่งพูดขึ้นมา


สือฮ่าวเริ่มหมดความอดทนแล้ว จึงถามว่าเทพตะวันม่วงเป็นใครกันแน่ เด็กรับใช้ของเขาทำให้คนหวาดกลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?


หลายคนเผลอปรายตามองเขาหลายครั้งราวกับเห็นตัวประหลาด ดูแปลกใจอย่างมาก


 “สหายคนนี้คงจะจำศีลเป็นเวลานาน ไม่ออกมามองโลก จึงไม่รู้ความเหนือชั้นและความรุ่งโรจน์ของเทพตะวันม่วง” มีคนพูดยิ้มๆ


ครู่หนึ่งสือฮ่าวก็ได้รู้ว่าเทพตะวันม่วงไม่ธรรมดาอย่างไร ยามคนเหล่านี้พูดถึง ต่างก็เคารพยำเกรงอย่างยิ่ง


เทพตะวันม่วงมาจากตระกูลอมตะ ซึ่งมีชื่อว่า จวนม่วง เป็นหนึ่งในแดนโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดในเก้าสวรรค์สิบพิภพ!


 ตระกูลนี้มีต้นกำเนิดจากยุคก่อน บางทีอาจเรียกได้ว่าผู้อมตะเป็นผู้บุกเบิก มีอานุภาพสูงส่งในอดีต สว่างโชติช่วงราวกับดวงอาทิตย์กลางผืนฟ้า


เทพตะวันม่วงอายุไม่มาก เป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง ตอนที่เขากำเนิดมีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในมาตุภูมิของตระกูล เช่นสัตว์เทพเจ้าและปักษาเซียนแผดร้อง


นอกจากนี้ สิ่งที่น่าตะลึงที่สุดคือ ดวงอาทิตย์สีม่วงคล้อยลงมาจากฟากฟ้า สาดส่องไปทั่วปฐพี บดเบียดเต็มนภา


สุดท้ายมันก็หดเล็กลง ตกลงไปในห้องคลอด ผ่านไปไม่นาน เทพตะวันม่วงก็ถือกำเนิด


เรื่องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำนาน หลายคนไม่เชื่อ แต่ก็มีคนส่วนหนึ่งเชื่อ ซ้ำยังบอกว่ามีหลักฐาน คิดว่าเขาเป็นบุคคลวิถีเซียนกลับชาติมาเกิด


และเขาถูกส่งตัวเข้าสำนักเซียนตั้งแต่เด็ก เพื่อรับการศึกษาจากเหล่าผู้เฒ่า ได้รับทรัพยากรชั้นยอดจากตระกูล และได้รับสมุนไพรล้ำค่าที่เหล่าผู้เฒ่าสำนักเซียนประทานให้ ถูกอาบชำระด้วยยาขั้นเทพนานาชนิด ว่ากันว่าฝึกตนจนมีร่างคงกระพันแต่เยาว์วัย ถูกขนานนามว่าอมตะ!


 จากนั้น สิ่งที่เหมือนตำนานยิ่งกว่านั้นคือ ยามเหล่าผู้เฒ่าสำนักเซียนขุดเจอถ้ำสวรรค์ใต้พิภพ เทพตะวันในวัยเยาว์ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีเมล็ดพันธุ์สีม่วงลอยออกมาจากถ้ำ ซึมลงไปในตัวเขา


 “รู้ไหมว่ามันเป็นเมล็ดพันธุ์อะไร ธาตุปฐมกาล เมล็ดพันธุ์สูงส่งที่หายากในประวัติศาสตร์ เลื่องชื่อในยุคเซียนโบราณยิ่งนัก ว่ากันว่าหากรวมเป็นหนึ่ง จะกวาดล้างเก้าสวรรค์สิบพิภพได้ มันเป็นเมล็ดพันธุ์ไร้พ่าย!”


 มีคนอุทานขึ้นมา คนอื่นก็ทำหน้าอิจฉา แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเล่าของเทพตะวันม่วง แต่ยังคงรู้สึกว่าคนคนนี้เหนือชั้น นี่มันบุตรแห่งสวรรค์ ได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ชัดๆ


ส่วนพลังต่อสู้ของเขานั้นยิ่งไร้เทียมทาน ตอนนี้เขารวมเป็นหนึ่งกับธาตุปฐมกาลอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว วันที่ออกจากการจำศีล หมอกกระจายไปทั่วสามหมื่นลี้ สะเทือนปฐพี


ปรากฏการณ์น่าตะลึงแบบนี้ เหนือกว่าตำนานในสมัยโบราณ เหนือกว่าบรรพชนเสียอีก!


“พวกเจ้ารู้จักป่าหินทะเลเหนือใช่ไหม ผู้มีพลังแก่กล้าไปทิ้งชื่อไว้ได้ สลักชื่อของตัวเอง หลังเทพตะวันม่วงไปที่นั่น ก็สลักชื่อไว้บนยอดของลานประลองแห่งหนึ่งได้สำเร็จ เปล่งประกายไปทั่วเก้าสวรรค์!”


 เมื่อฟังถึงตรงนี้ สือฮ่าวก็พูดไม่ออก ภูมิหลังชีวิตของคนคนนี้เจิดจรัสเหลือเกิน ไม่อยากเลื่องชื่อลือชาก็ไม่ได้


เมื่อก่อน เทพตะวันม่วงจำศีลมาตลอด จึงไม่มีใครล่วงรู้ หลังเสร็จสิ้นการบำเพ็ญเพียร จึงกระฉ่อนไปทั่ว


และสือฮ่าวก็รู้แล้วว่าทำไมเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วงจึงยิ่งใหญ่ปานนี้ เพราะเทพตะวันม่วงโปรดปรานการอ่านคัมภีร์เป็นชีวิตจิตใจ เด็กรับใช้คนนี้จะคอยอยู่เคียงข้าง เมื่อสั่งสมเป็นเวลานาน เด็กรับใช้จึงบรรลุธรรม พลังก้าวหน้า เหนืออัจฉริยะทั่วไป


ตูม!


 มีเสียงปะทะอย่างรุนแรงดังมา ทำให้ยอดเขาสีแดงสั่นสะเทือน


มีคนกำลังต่อสู้กับเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง แสงสีแดงไหลเวียน ประหนึ่งดวงตะวันยามอรุณรุ่งระเบิด และเหมือนลาวาจำนวนมหาศาลไหลหลั่งกลางอากาศ โชติช่วงจนน่าตกใจ


 “เอ๊ะ นั่นใครน่ะ ถึงกล้าต่อสู้กับเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง คิดจะกำราบหรือ?”


 ทุกคนต่างก็แปลกใจ ต้องรู้ว่าเทพตะวันม่วงในตอนนี้เป็นดั่งดวงตะวัน ส่องแสงไปทั่วหล้า เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายต่างฝากความหวังไว้ที่เขา น้อยคนจะกล้าท้าทาย


 “กล้าแตะต้องคนของเทพตะวันม่วง ใครกัน?”


“แสงสีแดงฉานนั่น เป็นเหมือนอินขนาดใหญ่” มีคนพูดด้วยความสงสัย จากนั้นนัยน์ตาก็แววโรจน์ “ข้ารู้แล้ว ถึงว่ากล้าแตะต้องเด็กรับใช้คนนั้น”


“เขาเป็นผู้ติดตามของมหาโสดา ย่อมไม่กลัวคนของเทพตะวันม่วง เพราะทั้งสองสูสีคู่คี่กัน”


 สือฮ่าวเงียบงัน ดูแล้วมีบุคคลเหนือข้อพิพาทปรากฏกายในช่วงที่เขาจำศีล และเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย


ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่า มหาโสดาคนนั้นต้องน่าตะลึงยิ่งเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะเทียบเคียงเทพตะวันม่วงได้อย่างไร


แน่นอนว่าเขาต้องเอ่ยถามคนข้างๆ


 “มหาโสดา เป็นบุคคลเหนือธรรมชาติ ผลสำเร็จในวันหน้าจะน่ากลัวเหนือจินตนาการ กลายเป็นเซียนแน่นอน” มีคนอุทาน


มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? สือฮ่าวไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใดนัก ตอนนี้ในโลกไม่มีผู้อมตะแล้ว จะมีกี่คนกล้าพูดว่าตัวเองจะบรรลุเป็นเซียน?!


“เจ้ารู้จักนักพรตที่มีนามว่าสงฆ์หรือไม่?” คนคนนั้นกระซิบถาม


 “รู้จัก!” สือฮ่าวย่อมรู้จัก นักพรตแบบนั้นเคยมีอยู่ในยุคเซียนโบราณ แถมยังยิ่งใหญ่สุดแสน และลึกลับยิ่งนัก เป็นเซียนโบราณประเภทหนึ่ง


เพียงแต่ว่า มันสูญสิ้นไปแล้ว ไม่มีให้เห็นในยุคนี้แล้ว


 “มหาโสดาไม่ได้หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์เช่นคนอื่น เขามีความเฉพาะตัว พบสารีริกธาตุของสงฆ์โบราณในโบราณสถานแห่งหนึ่ง จึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน”


 ตามข่าวที่แว่วมาจากสำนักเซียน สารีริกธาตุของสงฆ์รูปนั้นสะเทือนฟ้าดิน มีพลังที่น่ากลัวเกินจินตนาการแฝงอยู่ ร่ำลือกันว่าเป็นพลังปราณทั้งชีวิตของเซียนโบราณท่านหนึ่ง


สารีริกธาตุของสงฆ์ขั้นเซียน หลอมรวมเป็นหนึ่งกับมหาโสดา ย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ เขาได้รับมรดกของสงฆ์รูปนั้น ความสามารถยากลึกหยั่งถึง


ประสิทธิภาพของสารีริกธาตุไม่ด้อยกว่าเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบ มีคนคาดการณ์ว่า สงฆ์โบราณที่นิพพานอาจมีภูมิหลังสะเทือนเก้าสวรรค์


 สือฮ่าวออกเดินทางพร้อมกับความตกใจและแปลกใจ มุ่งหน้ากลับสำนักเทพสวรรค์ เขาไม่คิดว่าหลังปรากฏตัวจะมีสถานการณ์แบบนี้ มีอัจฉริยะวิปริตเช่นนั้นทยอยกันถือกำเนิด


ต่อมาไม่นาน เขาก็กลับมาถึงสำนักเทพสวรรค์ พบว่าที่นี่คึกคักยิ่งกว่า มีคนจำนวนมากที่มาจากสำนักเซียนและสำนักปราชญ์


เสียงคนดังอึกทึก หลายคนกำลังวิจารณ์ กำลังเปรียบเทียบว่าใครยิ่งใหญ่ที่สุด กลายเป็นบุคคลผู้สูงสุดของรุ่นหนุ่มสาว


ทำไมครื้นเครงแบบนี้? สือฮ่าวฉงนใจ


จากนั้น บทสนทนาของคนอื่นก็ทำให้เขาเข้าใจ เพราะมีถ้ำสวรรค์ใต้สำนักเทพสวรรค์ ถ้ำที่ไม่เคยถูกเปิด ตอนนี้สามสำนักจะรวมเป็นหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้ย่อมจะได้เห็นแสงตะวันแล้ว


ด้วยเหตุนี้ อัจฉริยะทั้งสองสำนักจึงโผล่มา เพื่อช่วงชิงโชคชั้นใหญ่ที่นี่


 “เฮ้อ น่าเสียดาย นี่เป็นถ้ำโบราณของสำนักเทพสวรรค์ แต่กลับไม่มีอัจฉริยะช่วงชิงกับสองสำนัก สุดท้ายต้องกลายเป็นของคนอื่น เจ็บใจนัก!” มีคนไม่พอใจ


เพราะตอนนี้ สำนักเทพสวรรค์เรียกได้ว่าขาดแคลนอัจฉริยะ บุคคลเหนือชั้นขนานแท้ถูกสองสำนักเลือกไปแล้ว คนที่เหลือเมื่อเทียบกันแล้วความสามารถไม่เพียงพอ


1265 อัจฉริยะชูสลอน

โดย

Ink Stone_Fantasy

สายลมโชยปะทะหน้า เห็นภูมิทัศน์ข้างล่างชัดเจน กว้างใหญ่ไพศาล


สือฮ่าวเหินเวหา ข้ามผ่านมหาสมุทร ผ่านทะเลทรายสีทองไร้ที่สิ้นสุด และภูเขานับล้านอันอุดมสมบูรณ์


สวรรค์ไร้ขอบเขตมีชื่อในเก้าสวรรค์มาก มีขนาดใหญ่ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


ยอดเขาสีแดงข้างหน้าเป็นเหมือนปะการังในท้องทะเล แดงพร่างพรายจนแทบโปร่งแสง วิเศษยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นดินวิเศษ


ภูเขาแทบจะโปร่งใส แต่ยังคงเต็มไปด้วยพืชพรรณมากมาย ล้วนเป็นยาวิเศษ และยังมีสมุนไพรทั้งหลายงอกเงยตามซอกหินของภูเขา


ยิ่งไปกว่านั้น มีควันเบาบางลอยขึ้น พร้อมกับแสงสีแดงอ่อน ที่นี่เหมือนดินแดนเทวสถิต บวกกับภูเขาขนาดมหึมา ดึงดูดสายตามากเป็นพิเศษ


เมื่อสือฮ่าวผ่านมาที่นี่ ก็หยุดลง


ที่นี่มีนักพรตไม่น้อยเลย ผู้คนขวักไขว่ คึกคักอย่างมาก และมีนักพรตชราบางส่วนกำลังจับยามสามตา ตรวจสอบรากฐานใต้พิภพ เห็นได้ชัดว่าจะสร้างสำนักขึ้นที่นี่


สือฮ่าวทะยานลงมา เอ่ยถามคนคนหนึ่งว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องทำแบบนี้?


 “เจ้าไม่รู้หรือว่า ตอนนี้สำนักเซียนรุ่งโรจน์ สำนักปราชญ์รุ่งเรือง ต่างก็มีบุคคลไม่ธรรมถือกำเนิด คนของพวกเขากำลังค้นหาถ้ำสวรรค์แน่ะ” มีคนตอบ


สือฮ่าวแปลกใจ ทั้งสองสำนักล้วนมีแดนสุขาวดี ตัดขาดจากภายนอก เป็นสถานที่ซึ่งมีพลังปราณหนาแน่นที่สุด ยังต้องหาถ้ำสวรรค์อีกหรือ?


ไม่นานเขาก็ทราบสถานการณ์ ผู้คนสัญจรเยอะยิ่งนัก จึงมีคนอธิบาย


 “ตอนนี้ สำนักเซียนและสำนักปราชญ์รุ่งเรืองยิ่งนัก แต่สองสำนักไม่พอใจแต่อย่างใด กำลังพิจารณาเรื่องร่วมมือ จะรวมตัวกัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนของลูกศิษย์ เพื่อรับมือกับหายนะ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน”


 สือฮ่าวชะงัก มันไม่กะทันหันเลย เขานึกถึงเรื่องที่สองสำนักไปคัดเลือกศิษย์ในสำนักเทพสวรรค์ ก็เคยมีข่าวลือแล้วว่า สามสำนักจะร่วมมือกัน


เมื่อถึงตอนนั้น จะถอนรากฐานใต้ดินของสามสำนักแล้วเคลื่อนมาอยู่ด้วยกัน แม้กระทั่งว่าย้ายถ้ำสวรรค์ของเซียนใต้สำนักไปด้วย


เมื่อถึงตอนนั้น พลังปราณฟ้าดินจะต้องหนาแน่นจนแยกจากกันไม่ได้ กลายเป็นดินแดนบำเพ็ญเพียรที่น่าตะลึงที่สุดในเก้าสวรรค์


 “เลือกตำแหน่งที่นี่หรือ?” สือฮ่าวเอ่ยถาม


 “นี่เป็นเพียงหนึ่งในเป้าหมายเท่านั้น ยังไม่แน่ใจ มีเป้าหมายหลายแห่ง กระจายอยู่ในเก้าสวรรค์ ตอนนี้กำลังเลือกและตัดสินใจขั้นสุดท้าย”


 สำนักเซียนกับสำนักปราชญ์เลือกตำแหน่ง ต้องขุดเจอร่องรอยเซียนที่น่าตะลึงที่สุดแน่นอน มันต้องน่าตะลึงอย่างยิ่ง แท้ที่จริงแล้วความลับแพร่สะพัดนานแล้ว ผู้เฒ่าเหล่านั้นกำลังค้นหาถ้ำวิถีเซียนหลายแห่งในตำนาน!


 การค้นหามาอย่างยาวนาน พวกเขารู้พิกัดคร่าวๆ แล้ว ตอนนี้หากจะเลือกเป้าหมายที่แท้จริง คงจะตั้งอยู่บนดินแดนโบราณเป็นแน่


 “หากเจอแดนลับของราชันเซียน มันจะเหนือจินตนาการ ได้รับมรดกขั้นสุดยอดของราชันเซียน!”


“ชู่ว อย่าพูดส่งเดช มันยังไม่ถูกเปิดเผย ระวังผู้อาวุโสในสำนักจะลงโทษเจ้า!” มีคนแทรกคำพูดของคนคนนั้น


มันทำให้สือฮ่าวตื่นตะลึง ดินแดนโบราณหลายแห่งในตำนาน ถ้ำสวรรค์ที่เหล่าผู้เฒ่าตามหา มันเป็นแดนลับราชันเซียนหรือ? น่าตะลึงนัก!


 ตั้งแต่อดีตยันวันนี้ จะมีราชันเซียนกี่คนกัน?


สือฮ่าวหายใจเข้าดังเฮือก ต้องรู้ว่า จวบจนวันนี้ ไม่มีแม้แต่เซียนขนานแท้ ไม่มีให้เห็นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ในเซียนโบราณ ผู้อมตะก็มีจำนวนน้อยจนนับได้


แต่ตอนนี้กลับขุดเจอแดนลับราชันเซียน จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร?!


 นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ใหญ่ที่สุดของเก้าสวรรค์สิบพิภพอย่างไม่ต้องสงสัย!


 หมอกลอยมาทางทิศตะวันออก กลิ่นอายความเป็นมงคลลอยลงมาจากฟากฟ้าราวกับธารน้ำตก อาบย้อมเทือกเขา


สือฮ่าวแปลกใจ เขาเป็นใครกัน ทรงพลังไม่น้อยเลย ขี่เมฆมาเช่นนี้ ขั้นบำเพ็ญคงจะไม่ธรรมดาอย่างมาก


 “นั่นคงจะเป็น…เด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง มาเลือกถ้ำสวรรค์ที่นี่” มีคนกระซิบ ท่าทางเหมือนหวาดกลัวมาก


จากบทสนทนาของผู้คน สือฮ่าวจึงทราบว่า อัจฉริยะขั้นสุดยอดบางส่วนของสำนักเซียนส่งผู้ติดตามมา เพื่อชิงถ้ำสวรรค์ในเทือกเขาที่คิดว่าจะได้เป็นแดนแห่งการบำเพ็ญเพียรในวันหน้า


เมื่อเลือกตำแหน่งแล้ว จุดที่มีพลังปราณหนาแน่นที่สุดคงจะถูกมอบให้อัจฉริยะสะเทือนโลกาเหล่านั้น


เทพตะวันม่วงโด่งดังมากหรือ สือฮ่าวส่ายหน้า เขาไม่เคยได้ยิน รู้จักแค่สุนัขนรกกับราชันสวรรค์น้อย คนอื่นไม่เคยได้ยิน


หมอกขมุกขมัวเป็นเหมือนผ้าบาง ปกคลุมเทือกเขา ให้ความรู้สึกสุขสงบอย่างน่าประหลาด ทำให้เกิดความรู้สึกตอบสนอง อยากจะก้มลงกราบคารวะ


เป็นแค่เด็กรับใช้จริงหรือ? สือฮ่าวตกใจเล็กน้อย คงจะอยู่ในขั้นเจ้าสำนักแล้ว แต่ท่าทางของคนคนนี้อวดดีไม่เบาเลย


 “เด็กรับใช้คนนี้ ช่าง…ไร้เดียงสาเสียจริง” มีคนอยากแสยะยิ้ม พูดจาไม่น่าฟังออกมา แต่สุดท้ายก็ต้องกลับคำ


 “สหายโปรดระวังคำพูด อย่าล่วงเกินเขา แต่เขาอายุยังน้อยมากจริงๆ สำรวมต่อหน้าเทพตะวันม่วงจนชิน ออกมาได้ยาก มีกิริยาเช่นนี้ ย่อมเข้าใจได้” เทพสวรรค์ชราอายุไม่น้อยแล้วคนหนึ่งพูดขึ้นมา


สือฮ่าวเริ่มหมดความอดทนแล้ว จึงถามว่าเทพตะวันม่วงเป็นใครกันแน่ เด็กรับใช้ของเขาทำให้คนหวาดกลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?


หลายคนเผลอปรายตามองเขาหลายครั้งราวกับเห็นตัวประหลาด ดูแปลกใจอย่างมาก


 “สหายคนนี้คงจะจำศีลเป็นเวลานาน ไม่ออกมามองโลก จึงไม่รู้ความเหนือชั้นและความรุ่งโรจน์ของเทพตะวันม่วง” มีคนพูดยิ้มๆ


ครู่หนึ่งสือฮ่าวก็ได้รู้ว่าเทพตะวันม่วงไม่ธรรมดาอย่างไร ยามคนเหล่านี้พูดถึง ต่างก็เคารพยำเกรงอย่างยิ่ง


เทพตะวันม่วงมาจากตระกูลอมตะ ซึ่งมีชื่อว่า จวนม่วง เป็นหนึ่งในแดนโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดในเก้าสวรรค์สิบพิภพ!


 ตระกูลนี้มีต้นกำเนิดจากยุคก่อน บางทีอาจเรียกได้ว่าผู้อมตะเป็นผู้บุกเบิก มีอานุภาพสูงส่งในอดีต สว่างโชติช่วงราวกับดวงอาทิตย์กลางผืนฟ้า


เทพตะวันม่วงอายุไม่มาก เป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง ตอนที่เขากำเนิดมีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในมาตุภูมิของตระกูล เช่นสัตว์เทพเจ้าและปักษาเซียนแผดร้อง


นอกจากนี้ สิ่งที่น่าตะลึงที่สุดคือ ดวงอาทิตย์สีม่วงคล้อยลงมาจากฟากฟ้า สาดส่องไปทั่วปฐพี บดเบียดเต็มนภา


สุดท้ายมันก็หดเล็กลง ตกลงไปในห้องคลอด ผ่านไปไม่นาน เทพตะวันม่วงก็ถือกำเนิด


เรื่องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำนาน หลายคนไม่เชื่อ แต่ก็มีคนส่วนหนึ่งเชื่อ ซ้ำยังบอกว่ามีหลักฐาน คิดว่าเขาเป็นบุคคลวิถีเซียนกลับชาติมาเกิด


และเขาถูกส่งตัวเข้าสำนักเซียนตั้งแต่เด็ก เพื่อรับการศึกษาจากเหล่าผู้เฒ่า ได้รับทรัพยากรชั้นยอดจากตระกูล และได้รับสมุนไพรล้ำค่าที่เหล่าผู้เฒ่าสำนักเซียนประทานให้ ถูกอาบชำระด้วยยาขั้นเทพนานาชนิด ว่ากันว่าฝึกตนจนมีร่างคงกระพันแต่เยาว์วัย ถูกขนานนามว่าอมตะ!


 จากนั้น สิ่งที่เหมือนตำนานยิ่งกว่านั้นคือ ยามเหล่าผู้เฒ่าสำนักเซียนขุดเจอถ้ำสวรรค์ใต้พิภพ เทพตะวันในวัยเยาว์ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีเมล็ดพันธุ์สีม่วงลอยออกมาจากถ้ำ ซึมลงไปในตัวเขา


 “รู้ไหมว่ามันเป็นเมล็ดพันธุ์อะไร ธาตุปฐมกาล เมล็ดพันธุ์สูงส่งที่หายากในประวัติศาสตร์ เลื่องชื่อในยุคเซียนโบราณยิ่งนัก ว่ากันว่าหากรวมเป็นหนึ่ง จะกวาดล้างเก้าสวรรค์สิบพิภพได้ มันเป็นเมล็ดพันธุ์ไร้พ่าย!”


 มีคนอุทานขึ้นมา คนอื่นก็ทำหน้าอิจฉา แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเล่าของเทพตะวันม่วง แต่ยังคงรู้สึกว่าคนคนนี้เหนือชั้น นี่มันบุตรแห่งสวรรค์ ได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ชัดๆ


ส่วนพลังต่อสู้ของเขานั้นยิ่งไร้เทียมทาน ตอนนี้เขารวมเป็นหนึ่งกับธาตุปฐมกาลอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว วันที่ออกจากการจำศีล หมอกกระจายไปทั่วสามหมื่นลี้ สะเทือนปฐพี


ปรากฏการณ์น่าตะลึงแบบนี้ เหนือกว่าตำนานในสมัยโบราณ เหนือกว่าบรรพชนเสียอีก!


“พวกเจ้ารู้จักป่าหินทะเลเหนือใช่ไหม ผู้มีพลังแก่กล้าไปทิ้งชื่อไว้ได้ สลักชื่อของตัวเอง หลังเทพตะวันม่วงไปที่นั่น ก็สลักชื่อไว้บนยอดของลานประลองแห่งหนึ่งได้สำเร็จ เปล่งประกายไปทั่วเก้าสวรรค์!”


 เมื่อฟังถึงตรงนี้ สือฮ่าวก็พูดไม่ออก ภูมิหลังชีวิตของคนคนนี้เจิดจรัสเหลือเกิน ไม่อยากเลื่องชื่อลือชาก็ไม่ได้


เมื่อก่อน เทพตะวันม่วงจำศีลมาตลอด จึงไม่มีใครล่วงรู้ หลังเสร็จสิ้นการบำเพ็ญเพียร จึงกระฉ่อนไปทั่ว


และสือฮ่าวก็รู้แล้วว่าทำไมเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วงจึงยิ่งใหญ่ปานนี้ เพราะเทพตะวันม่วงโปรดปรานการอ่านคัมภีร์เป็นชีวิตจิตใจ เด็กรับใช้คนนี้จะคอยอยู่เคียงข้าง เมื่อสั่งสมเป็นเวลานาน เด็กรับใช้จึงบรรลุธรรม พลังก้าวหน้า เหนืออัจฉริยะทั่วไป


ตูม!


 มีเสียงปะทะอย่างรุนแรงดังมา ทำให้ยอดเขาสีแดงสั่นสะเทือน


มีคนกำลังต่อสู้กับเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง แสงสีแดงไหลเวียน ประหนึ่งดวงตะวันยามอรุณรุ่งระเบิด และเหมือนลาวาจำนวนมหาศาลไหลหลั่งกลางอากาศ โชติช่วงจนน่าตกใจ


 “เอ๊ะ นั่นใครน่ะ ถึงกล้าต่อสู้กับเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง คิดจะกำราบหรือ?”


 ทุกคนต่างก็แปลกใจ ต้องรู้ว่าเทพตะวันม่วงในตอนนี้เป็นดั่งดวงตะวัน ส่องแสงไปทั่วหล้า เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายต่างฝากความหวังไว้ที่เขา น้อยคนจะกล้าท้าทาย


 “กล้าแตะต้องคนของเทพตะวันม่วง ใครกัน?”


“แสงสีแดงฉานนั่น เป็นเหมือนอินขนาดใหญ่” มีคนพูดด้วยความสงสัย จากนั้นนัยน์ตาก็แววโรจน์ “ข้ารู้แล้ว ถึงว่ากล้าแตะต้องเด็กรับใช้คนนั้น”


“เขาเป็นผู้ติดตามของมหาโสดา ย่อมไม่กลัวคนของเทพตะวันม่วง เพราะทั้งสองสูสีคู่คี่กัน”


 สือฮ่าวเงียบงัน ดูแล้วมีบุคคลเหนือข้อพิพาทปรากฏกายในช่วงที่เขาจำศีล และเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย


ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่า มหาโสดาคนนั้นต้องน่าตะลึงยิ่งเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะเทียบเคียงเทพตะวันม่วงได้อย่างไร


แน่นอนว่าเขาต้องเอ่ยถามคนข้างๆ


 “มหาโสดา เป็นบุคคลเหนือธรรมชาติ ผลสำเร็จในวันหน้าจะน่ากลัวเหนือจินตนาการ กลายเป็นเซียนแน่นอน” มีคนอุทาน


มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? สือฮ่าวไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใดนัก ตอนนี้ในโลกไม่มีผู้อมตะแล้ว จะมีกี่คนกล้าพูดว่าตัวเองจะบรรลุเป็นเซียน?!


“เจ้ารู้จักนักพรตที่มีนามว่าสงฆ์หรือไม่?” คนคนนั้นกระซิบถาม


 “รู้จัก!” สือฮ่าวย่อมรู้จัก นักพรตแบบนั้นเคยมีอยู่ในยุคเซียนโบราณ แถมยังยิ่งใหญ่สุดแสน และลึกลับยิ่งนัก เป็นเซียนโบราณประเภทหนึ่ง


เพียงแต่ว่า มันสูญสิ้นไปแล้ว ไม่มีให้เห็นในยุคนี้แล้ว


 “มหาโสดาไม่ได้หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์เช่นคนอื่น เขามีความเฉพาะตัว พบสารีริกธาตุของสงฆ์โบราณในโบราณสถานแห่งหนึ่ง จึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน”


 ตามข่าวที่แว่วมาจากสำนักเซียน สารีริกธาตุของสงฆ์รูปนั้นสะเทือนฟ้าดิน มีพลังที่น่ากลัวเกินจินตนาการแฝงอยู่ ร่ำลือกันว่าเป็นพลังปราณทั้งชีวิตของเซียนโบราณท่านหนึ่ง


สารีริกธาตุของสงฆ์ขั้นเซียน หลอมรวมเป็นหนึ่งกับมหาโสดา ย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ เขาได้รับมรดกของสงฆ์รูปนั้น ความสามารถยากลึกหยั่งถึง


ประสิทธิภาพของสารีริกธาตุไม่ด้อยกว่าเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบ มีคนคาดการณ์ว่า สงฆ์โบราณที่นิพพานอาจมีภูมิหลังสะเทือนเก้าสวรรค์


 สือฮ่าวออกเดินทางพร้อมกับความตกใจและแปลกใจ มุ่งหน้ากลับสำนักเทพสวรรค์ เขาไม่คิดว่าหลังปรากฏตัวจะมีสถานการณ์แบบนี้ มีอัจฉริยะวิปริตเช่นนั้นทยอยกันถือกำเนิด


ต่อมาไม่นาน เขาก็กลับมาถึงสำนักเทพสวรรค์ พบว่าที่นี่คึกคักยิ่งกว่า มีคนจำนวนมากที่มาจากสำนักเซียนและสำนักปราชญ์


เสียงคนดังอึกทึก หลายคนกำลังวิจารณ์ กำลังเปรียบเทียบว่าใครยิ่งใหญ่ที่สุด กลายเป็นบุคคลผู้สูงสุดของรุ่นหนุ่มสาว


ทำไมครื้นเครงแบบนี้? สือฮ่าวฉงนใจ


จากนั้น บทสนทนาของคนอื่นก็ทำให้เขาเข้าใจ เพราะมีถ้ำสวรรค์ใต้สำนักเทพสวรรค์ ถ้ำที่ไม่เคยถูกเปิด ตอนนี้สามสำนักจะรวมเป็นหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้ย่อมจะได้เห็นแสงตะวันแล้ว


ด้วยเหตุนี้ อัจฉริยะทั้งสองสำนักจึงโผล่มา เพื่อช่วงชิงโชคชั้นใหญ่ที่นี่


 “เฮ้อ น่าเสียดาย นี่เป็นถ้ำโบราณของสำนักเทพสวรรค์ แต่กลับไม่มีอัจฉริยะช่วงชิงกับสองสำนัก สุดท้ายต้องกลายเป็นของคนอื่น เจ็บใจนัก!” มีคนไม่พอใจ


เพราะตอนนี้ สำนักเทพสวรรค์เรียกได้ว่าขาดแคลนอัจฉริยะ บุคคลเหนือชั้นขนานแท้ถูกสองสำนักเลือกไปแล้ว คนที่เหลือเมื่อเทียบกันแล้วความสามารถไม่เพียงพอ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)