Monster Paradise 1492-1495

ตอนที่ 1492

 

หลังเลื่อนเป็นระดับกฏสวรรค์ หลินฮวงก็ใช้เวลาอันคุ้มค่าสี่วันเพื่อเรียนทักษะดาบระดับเทพสูงสุดอีกแสนสองหมื่นประเภท จากนั้นก็ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มกับการฝึกและรวบรวมมรดกทักษะดาบที่ต่ำกว่าเทพสูงสุด


 


จากนั้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนจุดสนใจไปยังทักษะดาบเทวะในความทรงจำของจอมเทพ


 


22 วันต่อมา ห้องแห่งกาลเวลาได้เปลี่ยนเป็นแสงดาวที่สลาย แต่หลินฮวงยังนั่งสมาธิจุดเดิม คอยสืบทอดทักษะดาบเทวะ…


 


20วันต่อมา เขายังนั่งจุดเดิมบนพื้นของวังจอมเทพ ไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับเขาเป็นรูปปั้นหิน


 


เขาไม่ใช้การ์ดห้องแห่งกาลเวลาอีก แต่ยังได้รับด้วยความเร็วปกติ


 


สามวันก่อนการเปิดแดนลับ ในที่สุดหลินฮวงก็ลืมตาขึ้น


 


เขาพ่นลมหายใจยาว”อย่างน้อยข้าก็ได้เห็นมันก่อนเข้าแดนลับ!”


 


หลินฮวงไม่ได้แค่นั่งเฉย ๆ เขาใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์เพื่อรับเอามรดกและบ่มเพาะมันจนสำเร็จ


 


ตั้งแต่นั้น เขาได้อ่านทักษะดาบเทวะนับพันที่เก็บไว้ในความทรงจำจอมเทพ เขาไม่ได้บ่มเพาะทักษะเหล่านี้ แต่กลับจงใจค้นหาวิธีใช้เต๋าดาบกฏสวรรค์ที่บรรจุภายในทักษะ จากนั้น เขาก็ทำการฝึกในหัว ซึ่งทำให้เขาต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนกับมัน


 


เมื่อเห็นเวลาและไม่มีอะไรที่ทำได้ในสามวัน หลินฮวงจึงลุกขึ้น เปิดประตูก้าวออกไป


 


“ท่านจอมดาบ!”เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายของหลินฮวง ความตื่นเต้นก็ฉายชัดในดวงตาของดาบ1 ในฐานะผู้บ่มเพาะดาบที่ทรงพลัง เขาสามารถสัมผัสได้ชัดว่าเต๋าดาบของหลินฮวงได้ทะลวงผ่านเป็นระดับกฏสวรรค์แล้ว


 


เขาตกใจมาก-จอมดาบปิดประตูบ่มเพาะแค่เดือนกว่า แต่ความสามารถของเขากลับพัฒนาจนน่ากลัว!


 


หลินฮวงไม่สนใจหน้าตาตื่นตกใจของดาบ1 และแค่ทักทายเขา ก่อนย้ายตัวเองออกแดนจอมเทพไป


 


หลังสวมพันหน้าและแหวนตัวตนใหม่ หลินฮวงก็เปลี่ยนตัวเองเป็นหวงมู่


 


ปัจจุบัน เขาอายุประมาณ 27หรือ28 ปี ตอนนี้เขามีหนวด เขายังสวมชุดคลุมดำและไว้ผมยาว


 


การสวมฮู้ดทำให้เขามีกลิ่นอายลึกลับ


 


ท่าทางของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตัวตนเดิม รวมถึงเซี่ยหลินด้วย


 


เขามั่นใจว่าไม่มีใครสามารถเชื่อมโยงตัวตนนี้กับเซี่ยหลินได้


 


ก่อนเข้าแดนลับ เขาไม่ต้องเตรียมอะไรเลย


 


อาวุธ เกราะ และอุปกรณ์อื่นของเขาคืออาวุธเซียนที่มีศักยภาพเติบโต เมื่อเขาพัฒนาเป็นเทพแท้จริง พวกมันก็แปลงตัวเองเป็นระดับสามและเทียบได้กับสมบัติเทพสวรรค์แล้ว


 


เขาสามารถใช้พวกมันเพื่อต่อสู้กับเทพสวรรค์ขั้นต้นหรือกลางได้ นอกจากนี้ ระดับพลังสูงสุดที่กำหนดให้เข้าแดนลับก็เป็นแค่เทพแท้จริงขั้น 9


 


แต่ทว่า เขาก็ยังเดินทางไปตลาดในเขตดาวนักล่าปีศาจเพื่อดูว่าเขาจะเจอของมีประโยชน์ไหม แต่จุดประสงค์หลักก็คือซื้ออาหาร


 


จริงๆแล้ว ยอดฝีมือระดับเทพแท้จริงสามารถอยู่รอดได้ในสุญญากาศเป็นเวลานาน ผู้ที่ใช้กฏแสงยังสามารถพึ่งพาการสะท้อนของแสงจากดาว พวกเขาไม่ต้องการแสงจากดาวโดยตรง แค่นี้ พวกเขาก็สามารถอยู่รอดได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว


 


หลินฮวงไม่มีความอยากอาหารหรือน้ำมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขายังคงรักษานิสัยการกินแบบเดิม


 


แม้เขาจะไม่ถือเป็นนักชิม เขาก็ถือเป็นคนที่มีรสนิยมสูงอย่างแท้จริง


 


ปัจจุบัน การกินได้เปลี่ยนจากความจำเป็นมาเป็นงานอดิเรก


 


เมื่อใดก็ตามที่เขามีเวลาว่าง เขาจะกินของว่าง เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่มีทางอ้วน


 


หลินฮวงใช้เวลาหนึ่งวันกับการเดินเล่นรอบเขตดาวนักล่าปีศาจ นอกจากการซื้ออาหาร เขาไม่พบอะไรน่าสนใจ เขาจึงเดินอ้อมไปยังจุดนัดพบที่ใต้สวรรค์บอก นั่นคือ-เมืองอันเดท


 


เมืองอันเดทคือเมืองระดับ6 ซึ่งยังเป็นศูนย์ใหญ่ขององค์กรระดับ 6 อย่างอันเดท


 


แม้อันเดทจะเป็นหนึ่งในองค์กรระดับ6ทั่วไป มันก็มีความสัมพันธ์อันดีกับองค์กรระดับ 5 6 และ7 องค์กรใหญ่หลายแห่งจึงตั้งสาขาตนที่เมืองอันเดท


 


เคียวแห่งความตายเองก็มีสาขาที่นั่นและสาขาอันเดทก็คือหนึ่งในสามสาขาที่ใหญ่สุดรองจากศูนย์ใหญ่เคียวแห่งความตายเอง


 


นอกจากองค์กรระดับหกนับสิบ รวมถึงเคียวแห่งความตาย องค์กรระดับเจ็ดทั้งสาม ตาข่ายคลุมสวรรค์ ศาลาสมบัติ และวิหารเทพนักรบเองก็มาตั้งสาขาที่นี่


 


นอกจากนี้ อุตสาหกรรมบริหารของเมืองอันเดทยังเจริญรุ่งเรืองมาก


 


ยอดฝีมือเทพสวรรค์ยังปรากฏให้เห็นบ่อยที่นี่


 


เมื่อมาถึงเมืองอันเดท สิ่งแรกที่หลินฮวงทำไม่ใช่การมองหาโรงแรม แต่เป็นการเดินเล่นไปตามตลาด


 


หลังไปเยือนตลาดของศาลาสมบัติ หลินฮวงยังไปเยือนตลาดเล็กหลายแห่งจนค่ำ จากนั้นก็ไปแถวตลาดมืด


 


สุดท้าย เขาก็ยังมือเปล่า


 


มันไม่ใช่ว่าไม่มีของดี หลินฮวงเห็นของดีมาก แต่ไม่เสนอราคา


 


ในด้านหนึ่ง พวกมันไม่ใช่ของจำเป็น


 


ในส่วนของอาวุธ เกราะและของจำพวกนั้นมันมีถึงสมบัติเทพสวรรรค์ หลินฮวงยังเห็นชุดอาวุธพลังจิตสองชุด แต่ทว่า ปัญหาคือปัจจุบันเขามีอาวุธเซียนแล้วและเขาก็ไม่ต้องการของเหล่านี้


 


ในอีกด้านหนึ่ง เขาไม่เห็นสมบัติลับอะไรที่กระตุ้นความสนใจเขา


 


ไม่ว่าจะเป็นที่ตลาดหรือตลาดมืด ของดีทั้งหมดที่เขาเห็นมีราคาเหมาะสม แต่สำหรับการต่อรองราคา ด้วยการใช้สายตาเฉียบแหลมและพลังของจิตเทวะเขา เขาไม่พบของดีมากนัก


 


บางทีอาจมีของดีอยู่ก่อนหน้า แต่คงโดนคนอื่นซื้อไปแล้ว


 


เขาเดินเล่นรอบตลาดทั้งวัน ตอนที่เขาออกตลาดมืด มันก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว


 


หลินฮวงลำบากมากก่อนจะจองโรงแรมดีๆได้ ตอนเขาเช็คอิน มันก็เกือบ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว


 


เขาพักที่นั่นหนึ่งคืน หลังกินข้าวเช้า หลินฮวงก็ออกเดินทางไปยังสาขาเคียวแห่งความตายอย่างไม่เร่งรีบ


 


หลังมาถึงที่หมาย หลินฮวงก็เดินตรงเข้าไปห้องประชุมชั้นหนึ่ง


 


นี่คือสถานที่นัดพบที่ใต้สวรรค์จัดไว้


 


หลังเข้าห้องประชุม หลินฮวงก็พบว่ามีคนอยู่แล้ว


 


ยังมีคนคุ้นหน้ามากมาย


 


สำหรับทั้งเทพเสมือนกับเทพแท้จริงที่สามารถเข้าแดนลับ ดาวหาง โ๙คชะตาและแฝดล้วนได้รับเชิญด้วย


 


นอกจากทั้งสามคนที่เขารู้จัก หลินฮวงยังจำเวอชุโอโซ ผู้เป็นอันดับหนึ่งบนกระดานเคียวขาวได้


 


เขาดูเหมือนเดิม สวมชุดคลุมดำที่คลุมทั้งตัวและมีหน้ากากขาวบนหน้า


 


ทันทีที่หลินฮวงผลักเปิดประตูเดินเข้ามา สายตาของทุกคนก็เลื่อนมาหาเขา


 


นี่เพราะคนที่ได้รับจดหมายเชิญจากเคียวแห่งความตายต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งสุดบนกระดานเคียวดำและเคียวขาว ทุกคนจึงคุ้นเคยกันดี


 


สำหรับหลินฮวง  ทุกคนในปัจจุบันไม่คุ้นเคยกับใบหน้าเขาและจำไม่ได้ว่าเขาเข้าร่วมเคียวแห่งความตายตอนไหน


 


ภายใต้สถานการณ์ปปกติ หลินฮวงคงมีความคิดทักทายทุกคนก่อน แต่ทว่า ตัวตนปัจจุบันของเขาคือชายหนุ่มที่ไม่สนใจอะไรเลย เขาแค่เหลือบมองคนอื่น เดินตรงไปแถวหน้าที่ห่างจากคนอื่นและนั่งลง


 


ด้านหลัง เขาสามารถได้ยินเสียงซุบซิบ แต่ก็เลือกไม่สนใจ


 


“เขาต้องเป็นหน้าใหม่ใช่ไหม?ข้าไม่เคยเห็นเขาบนรายชื่อมาก่อน’


“กลิ่นอายของเขาไม่อ่อนแอเลย เขาเป็นเทพแท้จริงขั้น 9 แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน”


 


“เจ้าหน้าใหม่นี่อวดดีมากจนไม่คิดมาทักทายเลยหรือไง?”


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลินฮวงไม่สังเกตเห็นคือขณะที่คนอื่นกำลังซุบซิบกัน เวอชุโอโซกลับจ้องแผ่นหลังเขาด้วยแววตาสุขุม..

 

 

 


ตอนที่ 1493

 

ตอนแปดโมงตรง ใต้สวรรค์ก็มาถึง


 


ต่อหน้าสมาชิกเคียวแห่งความตาย เขาเปิดเผยโดยใช้รูปลักษณ์ดั้งเดิม ชายหนุ่มผมขาว สูงไม่ถึง 1.6 เมตร


 


ทันทีที่เขาเข้าห้อง เขาก็เห็นหลินฮวงนั่งอยู่แถวแรก ดูเหมือนจะไม่เข้ากับคนอื่น


 


หลังเห็นหลินฮวง เขาก็ผงะไปสักพัก แม้เขาจะไม่ใช่ผู้บ่มเพาะดาบ เขาก็คือคนที่มีชื่อเสียงในหมู่เทพสวรรค์ และเขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าเต๋าดาบของหลินฮวงไปถึงระดับกฏสวรรค์แล้ว


 


เมื่อละสายตาจากหลินฮวง เขาก็เห็นคนอื่นนั่งอยู่ด้านหลัง เมื่อเขาเห็นสีหน้าของคนอื่น เขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


 


เขาพูดกับหลินฮวง’ผู้มาใหม่ ทำไมเจ้าไม่แนะนำตัวเองสั้น ๆ หน่อยละ”


 


หลินฮวงพยักหน้า เขายืนขึ้น หันไปมองคนด้านหลังและถอดฮูด”ข้าซิว มู่ ข้าเพิ่งเข้าร่วมเคียวแห่งความตาย ขอฝากตัวด้วย”


 


หวงมู่คือชื่อจริงของตัวตนนี้ ส่วนซิว มู่คือชื่อรหัสที่เขาใช้เพื่อเข้าร่วมเคียวแห่งความตาย


 


หลังแนะนำตัวเองสั้นๆ หลินฮวงก็กลับไปนั่งลง


 


ใต้สวรรค์เลิกคิ้ว เขาเดาว่าหลินฮวงคงกำลังแสดงอยู่


 


คนอื่นในห้องประชุมค่อยข้างไม่พอใจ


 


“เขาบอกว่าขอฝากตัว แต่เขาไม่แสดงออกเลยว่าเขาต้องการให้เราช่วยดูแล”


 


“เขาอวดดีมาก แม้กระทั่งต่อหน้าผู้อาวุโสใต้สวรรค์!”


 


แน่นอน หลินฮวงได้ยินเสียงบ่นเหล่านี้ แต่เขาไม่สนใจ


 


มุมปากใต้สวรรค์ขยับขึ้นเล็กน้อย ในทางกลับกัน เขาพบว่าการสวมบทบาทของหลินฮวงดูน่าขบขัน


 


“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนรู้จักกันแล้ว ก็ไม่ต้องแนะนำตัวกันอีก”


“ทุกคนอยู่กันครบแล้ว งั้นเราก็จะไปกันเลย”


 


ทันทีที่พูด ใต้สวรรค์ก็เขย่าแขนเสื้อ และงูสีเขียวขนาดเท่านิ้วก้อยก็พุ่งออกมาบนโต๊ะประชุม


 


งูตัวน้อยเปิดปากขึ้น และหลินฮวงกับอีกหกคนก็หดเล็กลง เปลี่ยนเป็นอนุภาคขนาดเล็กเข้าไปในปากงู


 


หลังกลืนกินทั้งเจ็ด งูตัวน้อยก็เปลี่ยนเป็นงูหลามตัวโต และใต้สวรรค์ก็ขึ้นไปบนหัวมัน


 


วินาทีต่อมา วังวนสีดำก็ปรากฏขึ้น งูตัวโตเลื้อยเข้าไป


 


ไม่นานนัก ภาพมืดมนของพวกหลินฮวงก็หายไปเมื่องูพ่นพวกเขาออกจากปาก


 


หลินฮวงกวาดมองรอบ ๆ ใต้สวรรค์ยืนอยู่อีกด้าน เขาได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นชายกล้ามโตสูงกว่าสองเมตรแล้ว


 


ทั้งหกที่อยู่ในห้องประชุมก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ครบ


 


นอกจากผู้เข้าร่วมจากเคียวแห่งความตาย ยังมีองค์กรกว่าสิบแห่งที่มาถึง แต่ละองค์กรจับกลุ่มกัน


 


หลินฮวงเห็นองค์กรระดับเจ็ดสองแห่งที่ส่งคนมาแค่สิบคน เทพเสมือนห้าคนและเทพแท้จริงห้าคน


 


ขณะที่หลินฮวงกำลังสงสัยว่าแดนลับได้จำกัดจำนวนคนเข้าร่วม โชคชะตาก็อดพูดขึ้นไม่ได้


 


“ท่านใต้สวรรค์ แม้กระทั่งองค์กรระดับเจ็ดก็ยังส่งคนมาไม่มาก นี่เพราะแดนลับมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงั้นหรือ?”


 


“นั่นไม่ใช่เหตุผล”ก่อนใต้สวรรค์จะได้เปิดปาก เทพแท้จริงข้างพวกเขาก็ชิงพูดก่อน”มันเพราะการล่าในแดนลับนี้คือการต่อสู้เดี่ยว และแต้มการล่าจะโดนนับเป็นแบบส่วนตัว  นั่นทำให้องค์กรใหญ่คัดเลือกเฉพาะคนที่แข็งแกร่งสุดในองค์กรตน นี่ยังเพื่อป้องกันพวกกระจอกจากการเข้าร่วม ไม่งั้นชื่อเสียงของทั้งองค์กรจะตกต่ำถ้าได้รับแต้มการล่าน้อยไป”


 


เขาจงใจเหลือบมองหลินฮวงตอนพูดประโยคสุดท้าย


 


เทพแท้จริงคนนี้คืออสูรคลั่ง ผู้เป็นอันดับสามบนกระดานเคียวขาว เหตุผลหลักที่เขาไม่พอใจหลินฮวงคือก่อนหน้านี้ ใต้สวรรค์ได้ประกาศว่าจะมีเทพแท้จริงแค่สามคนจากเคียวแห่งความตายที่เข้าร่วมในปีนี้ เขาจึงต้องรักษาอันดับสามบนกระดานเคียวขาวสุดความสามารถ แต่ทว่า ที่ว่างนี้ที่เขาได้รับหลังพยายามอย่างหนักทั้งปีกลับโดนผู้มาใหม่เอาไปง่ายๆ


 


หลินฮวงไม่รู้ว่าที่ว่างนี้ล้ำค่าแค่ไหน เขาขอใต้สวรรค์เพราะมันจำเป็นและใต้สวรรค์ก็ตอบตกลงทันที


 


แน่นอน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการถากถางในคำพูดอสูรคลั่ง แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเกลียดเขา เขาคิดว่าท่าทีก่อนหน้านี้ของเขาคงทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ


 


ในความคิดของหลินฮวง การยั่วยุระดับต่ำแบบนี้ไร้ความหมาย ถ้าอีกฝ่ายมีความสามารถจริง เขาก็ควรคิดถึงวิธีบดขยี้หลินฮวงในแง่ของแต้มการล่า แทนที่จะมาพูดถากถางเขา


 


เมื่อเห็นว่าหลินฮวงไม่กินเบ็ด อสูรคลั่งก็ไม่พูดต่อ


 


ในอีกด้านหนึ่ง ใต้สวรรค์ยังยืนอยู่ตรงนั้น อสูรคลั่งจึงไม่สามารถแสดงความเป็นศัตรูกับหลินฮวงได้ ขณะที่อีกด้าน ยังมีองค์กรอื่นมากมาย และมันคงไม่ดีหากให้คนอื่นมาเห็นความขัดแย้งภายในเคียวแห่งความตาย


 


ความจริงก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะเขากลัวใต้สวรรค์ เขาอาจเริ่มสู้กับหลินฮวงตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องประชุมไปแล้ว


 


แต่ทว่า สิ่งที่อสูรคลั่งไม่รู้ก็คือเขาโชคดี


 


ถ้าเขาเลือกโจมตีหลินฮวงตอนนั้น ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะหมดโอกาสเข้าสู่แดนลับทันที


 


โดยไม่สนใจเสียงบ่นของคนรอบข้าง หลินฮวงหันไปมององค์กรอื่น


 


ผู้เข้าร่วมจากองค์กรระดับเจ็ดทั้งสอง วิหารเทพนักรบและซีโน่มาถึงแล้ว เขายังเห็นคนหน้าคุ้น เช่นเทพนักรบไร้ผู้ต้านจากวิหารเทพนักรบและฟรอนเทียร์จากซีโน่…


 


เวลาผ่านไปกว่าปีแล้ว แต่คนรู้จักเก่าอย่างดาวหางกับคนอื่นก็ยังเป็นแค่เทพเสมือนขั้น 9 แต่ทว่า กลิ่นอายของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก


 


เพียงเมื่อหลินฮวงรู้สึกเสียใจที่ทิ้งคนกลุ่มนี้ไว้ไม่เห็นฝุ่น เงาร่างหนึ่งก็โน้มตัวมาจากด้านข้างเขา


 


“ข้าเคยเจอเจ้ามาก่อนหรือเปล่า?”


 


ด้วยความแปลกใจ ผู้พูดคือเวอชุโอโซ เสียงนี้เป็นกลางมาก ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นชายหรือหญิง


 


หลินฮวงหันไปมองเวอชุโอโซและยิ้ม”เจ้าคงต้องถอดหน้ากากให้ข้าดูก่อน ข้าถึงบอกได้ว่าเราเคยเจอกันหรือไม่”


 


ขณะที่สมาชิกเคียวแห่งความตายกำลังสงสัยว่าทำไมเวอชุโอโซถึงสนใจผู้มาใหม่ พวกเขาก็ได้ยินคำพูดของหลินฮวงและสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที


 


“เจ้าแน่ใจนะว่าอยากให้ข้าถอดหน้ากาก?”ภายใต้หน้ากากขาว ริมฝีปากสีแดงขยับขึ้นเล็กน้อย


 


แต่ทว่า หน้ากากได้ปกปิดริมฝีปากไว้ พูดตามตรง หลินฮวงไม่ควรเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ แต่เขากลับเห็นว่ามุมปากของอีกฝ่ายยกขึ้นจริงๆ


 


ตอนนี้ ใต้สวรรค์ไม่สามารถเงียบได้อีก”แดนลับกำลังจะเปิดในไม่ช้า พวกเจ้าสองคนไม่ควรสร้างปัญหา!”


 


หลินฮวงสังเกตเห็นความผิดปกติในน้ำเสียงของใต้สวรรค์ และเดาว่าอาจมีเรื่องเกิดขึ้นถ้าอีกฝ่ายถอดหน้ากาก ตัดสินจากสีหน้าคนอื่น มันไม่น่าจะใช่เรื่องดีอะไร


 


นี่ทำให้หลินฮวงอยากรู้เล็กน้อยถึงความสามารถของเพื่อนคนนี้ที่เป็นอันดับหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1494

 

แดนลับนี้ของนครหลวงเทพดำรงมานานกว่าเจ็ดแสนปีและยังเปิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน


 


หลังร่วมมือกับองค์กรใหญ่อื่นและรับนักโทษมากขึ้น ความถี่ของการเปิดสถานที่นี้ก็เพิ่มขึ้นมาก ปัจจุบัน มันสามารถเข้าถึงได้ทุกสองถึงสามร้อยปี


 


ดังนั้น ตอนแรก ผู้นำกลุ่มจากองค์กรใหญ่จึงเป็นเทพสวรรค์ขั้นสูงสุด มาตรฐานค่อย ๆ ลดลง จากนั้นก็กลายเป็นเทพแท้จริงขั้น 9 จนถึงทุกวันนี้ ความสามารถของผู้นำกลุ่มยิ่งต่ำ จนถึงจุดที่เทพสวรรค์ขั้นสูงขององค์กรบางแห่งยอมปล่อยให้พวกขั้นกลางนำกลุ่มถ้าพวกเขาไม่ว่าง  โดยพื้นฐาน มีกลุ่มน้อยมากที่ผู้นำจะเป็นเทพสวรรค์ขั้น 9


 


ดังนั้น ทุกคนจึงแปลกใจตอนเห็นใต้สวรรค์ สงสัยว่าทำไมเขาถึงนำกลุ่มเคียวแห่งความตายมา


 


ในฐานะบุคคลชั้นนำในหมู่เทพสวรรค์ ใต้สวรรค์อาจกล่าวได้ว่าเหนือกว่าทุกคนที่นี่ ไม่ว่าจะในแง่ความสามารถหรือความอาวุโส


 


ทันทีที่เขามาถึง หัวหน้ากลุ่มทั้งหมดขององค์กรอื่นก็เริ่มทักทายเขา แม้กระทั่งผู้นำกลุ่มขององค์กรระดับเจ็ดทั้งสองก็ด้วย


 


นี่ยิ่งชัดเจนสำหรับกลุ่มที่มาถึงหลังเคียวแห่งความตาย ด้วยผู้นำบางคนที่เข้าหาเขาเองเพื่อทักทาย เหนือสิ่งอื่นใด ด้านนอกของเคียวแห่งความตาย มันยากมากที่คนอื่นจะได้ติดต่อกับใต้สวรรค์


 


ตอนประมาณ 8 โมง 50 นาที ทุกคนมากันครบ


 


หลินฮวงยังเห็นไคลี่กับเจ้าแดงในหมู่พวกคนจากเผ่าเนฟิลิก ผู้หญิงทั้งสองนั้นจำหลินฮวงได้ผ่านพันธสัญญา


 


แต่ทว่า ทั้งสามสบตากันชั่วขณะก่อนหลบสายตากัน


 


สิ่งที่ทำให้หลินฮวงพอใจคือไคลี่เป็นเทพแท้จริงขั้น 9 แล้ว ขณะที่เจ้าแดงก็เลื่อนเป็นขั้น8


 


ผู้นำกลุ่มจากเผ่าเนฟิลิกเป็นเทพสวรรค์ขั้น 9 อีกคน


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามาถึง และเห็นใต้สวรรค์ เขากลับทักทายเขาด้วยคำว่า”ท่าน”


 


‘หลังเข้าไป พวกเจ้าจะถูกสุ่มเคลื่อนย้ายไปยังเขตที่ตรงกับระดับพลังพวกเจ้า เทพเสมือนขั้น 9 จะถูกส่งไปยังบริเวณนักโทษเทพเสมือนขั้น 9 ส่วนเทพแท้จริงขั้น 9  ก็จะถูกส่งไปยังบริเวณที่นักโทษเทพแท้จริงขั้น 9 อยู่.


 


“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าจะได้รับแต้มการล่าโดยการล่านักโทษที่มีระดับพลังเท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น เจ้าจะไม่ได้รับแต้มถ้าล่านักโทษที่ระดับต่ำกว่า”


“อีกอย่างหนึ่ง-ข้าได้ย้ำเรื่องนี้ในข้อมูลที่ส่งให้ไปแล้ว นักโทษเหล่านี้ไม่ใช่มอนสเตอร์สติปัญญาต่ำที่เจ้าเคยล่า พวกมันจะใช้ทุกวิธีการเพื่อพยายามฆ่าเจ้าและเอาชีวิตรอด”


 


“ตามกฏ ไม่อนุญาตให้นักล่าและนักโทษจับกลุ่มกัน และทุกการต่อสู้จะต้องเป็นแบบตัวต่อตัว นักโทษจะใช้สภาพแวดล้อมของพวกเขาเป็นจุดแข็ง พวกเขาอาจวางกับดัก”


 


“ความผันผวนพลังงานที่เกิดจากการต่อสู้จะเปิดเผยตำแหน่งของเจ้าและดึงดูดนักโทษเหล่านี้ให้มา เจ้าควรรู้ว่าบุคคลที่โดนกักขังในสถานที่แบบนี้ต้องเป็นพวกบ้า ต่อให้พวกมันจะไม่ได้บ้าก่อนโดนขังที่นี่ แต่ก็คงใช้เวลาไม่นานนักก่อนจะเปลี่ยนเป็นพวกบ้าถ้าอยู่ที่นี่”


 


“เจ้าอยากล่านักโทษเหล่านี้เพื่อรับแต้ม ส่วนพวกมันก็อยากล่าเจ้าเพื่อรับทรัพยากร!”


 


“ทุกอย่างที่ข้าพูดรวมอยู่ในข้อมูลที่ข้าส่งไปให้กว่าเดือนก่อน ข้าเน้นย้ำอีกครั้งเพราาะกลัวว่าพวกเจ้าบางคนจะไม่ได้อ่านข้อมูล”ใต้สวรรค์กวาดมองกลุ่มหลินฮวง จงใจหยุดที่เวอชุโอโช มันเห็นได้ชัดว่าเขาหมายถึง

เวอชุโอโช


 


เวอชุโอโชไม่ได้ใส่ใจคำพูดของใต้สวรรค์ แต่ทว่าทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขา


 


เหมือนกับหลินฮวง พวกเขาไม่ค่อยสนใจคำพูดใต้สวรรค์นัก


 


ใต้สวรรค์ยังสังเกตเห็นความสนใจของเวอชุโอโช เขากระแอม”มีเรื่องสุดท้ายที่ข้าอยากย้ำอีกครั้ง อาณาเขตของนักโทษอยู่ภายใต้การดูแลของนครหลวงเทพ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรภายในนั้น เราสามารถเห็นได้ชัดจากภายนอก  ระหว่างการล่า พวกเจ้าได้รับอนุญาตให้แค่ล่านักโทษและมอนสเตอร์จากแดนลับ ห้ามโจมตีนักล่าที่เป็นสมาชิกขององค์กรอื่น และโดยเฉพาะห้ามโจมตีสมาชิกขององค์กรตัวเอง!”


 


ใต้สวรรค์เหลือบมองทั้งเวอชุโอโชและหลินฮวงตอนเขาพูดเช่นนี้ เขากังวลเล็กน้อยว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งคู่จะทำให้ทั้งสองเริ่มสู้กันในแดนลับ


 


“เมื่อพบว่ามีคนโจมตีผู้เข้าร่วมคนอื่น พวกเขาจะโดนลงโทษอย่างหนักตอนออกมา!”


 


เมื่อได้ยิน เวอชุโอโชก็อดไม่ได้ที่จะม้วนปาก จ้องหลินฮวงด้วยรอยยิ้ม”กฏน่าเบื่อ”


หลินฮวงหัวเราะเบาๆ เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเวอชุโอโชไม่ได้ดูข้อมูลที่ใต้สวรรค์ส่งไปเลย แต่หลินฮวงได้อ่านมัน ดังนั้น เขาจึงรู้ดีว่าใต้สวรรค์จงใจอธิบายกฏเพื่อป้องกันตัวเขาเองและเวอชุโอโชจากการสู้กัน


 


ในความเป็นจริง กฏของแดนลับคือคนเราสามารถโจมตีนักล่าอื่นได้ภายในระยะจำกัด อนุญาตให้แบ่งแต้มกันได้ ตราบเท่าที่ไม่ได้ฆ่าหรือทำให้ผู้อื่นไร้ความสามารถ ยังสามารถลอบโจมตีหรือจงใจวางกับดักได้


 


ตราบเท่าที่นักล่าประพฤติตัวเหมาะสม พวกเขาก็สามารถสู้กันเองได้


 


นครหลวงเทพสนับสนุนให้มีการปล้นแต้ม ตราบเท่าที่ทั้งสองฝ่ายตั้งจำนวนกันล่วงหน้า ผู้แพ้จะต้องจ่ายแต้มให้ผู้ชนะตามตกลงกัน


 


แม้แต่นักล่าคนอื่นก็สามารถใช้แต้มตัวเองเพื่อวางเดิมพันกับผู้ชนะหรือผู้แพ้ได้ถ้าพวกเขาเป็นผู้ชม


“ข้ามีคำถาม”เวอชุโอโชดูเหมือนจะนึกอะไรได้ เขาถามใต้สวรรค์”ถ้านักล่าคนอื่นโจมตีข้าก่อน ข้าสามารถฆ่าพวกมันได้ไหม?”


“เจ้าสามารถสู้กลับได้ แต่ไม่สามารถฆ่าหรือทำให้พิการได้”หลังใต้สวรรค์พูดเช่นนี้ เขาก็ย้ำอีกครั้ง”ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรในแดนลับ โลกภายนอกจะเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะมีเจตนาร้ายหรือไม่ ข้าเชื่อว่าทุกคนคงมองออก”


 


“กฏเหล่านี้ไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กเล่นกันในบ้าน”เวอชุโอโชบ่นด้วยความไม่พอใจ


 


“เอาล่ะ ถ้าเจ้ามีคำถามอื่น ถามมาเลย”ใต้สวรรค์มองเวลา”แดนลับจะเปิดในเวลาไม่ถึงห้านาที”


 


“ข้ามีคำถาม”หลินฮวงไม่ถามเสียงดัง แต่ส่งให้ใต้สวรรค์ผ่านคลื่นเสียง”ในแดนลับ การเก็บแต้มล่าจะวัด

ตามระดับพลังจริงหรือระดับพลังหลังปลอมแปลง?”


“หลังปลอมแปลง พูดให้ถูก มันเป็นระดับพลังที่เจ้าลงทะเบียน”ใต้สวรรค์ตอบกลับ”แต้มการล่าเจ้าจะคำนวณโดยเจ้าหน้าที่ของนครหลวงเทพตามจำนวนการล่าและระดับของเป้าหมาย ในความเป็นจริง พวกเขาไม่สามารถมองระดับพลังเจ้าออกผ่านหน้าจอตรวจสอบ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่คำนวณตามข้อมูลที่เจ้าลงทะเบียน”


 


“ไม่เคยมีกรณีทุจริตเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาก่อน ในแง่หนึ่ง องค์กรใหญ่เต็มไปด้วยคนที่ภาคภูมิใจ ในการแข่งขันเล็กๆแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องฉ้อโกง เพราะถ้ามันถูกพบ พวกเขาจะเป็นที่หัวเราะเยาะไปทั่วแดนเทพ ในอีกแง่หนึ่ง ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นเทพเสมือนกับเทพแท้จริงขั้น 9 มีน้อยคนที่จะอยู่ระดับอื่น เมื่อพวกเขาปรากฏ องค์กรใหญ่อาจสังเกตเห็น มันจึงยากที่จะโกง”เมื่อใต้สวรรค์พูด เขาก็เหลือบมองเจ้าแดงจากเผ่าเนฟิลิก


 


“งั้น ระดับพลังที่ท่านลงทะเบียนให้ข้า…”หลินฮวงถาม


 


“เจ้าขอให้ข้าลงทะเบียนว่าเจ้าเป็นเทพแท้จริงขั้น 9 ไม่ใช่หรือ?”ใต้สวรรค์ตอบกลับ


 


‘ไหนบอกว่าไม่เคยมีการโกงมาก่อนไง?!’


 


หลินฮวงอุทานในใจเงียบๆ เขาถามเพราะเขากังวลว่าใต้สวรรค์จะลงทะเบียนให้เขาเป็นขั้น 1


 


แต่อย่างไม่คาดคิด ใต้สวรรค์กลับตอบเขาด้วยความมั่นใจ 

 

 


ตอนที่ 1495

 

ตอนเก้าโมงเช้า ผู้นำระดับเทพสวรรค์ของนครหลวงเทพได้เปิดประตูสู่แดนลับ


 


นักล่าจากองค์กรกว่า 20 แห่งก้าวไปข้างหน้าทีละกลุ่ม


 


กลุ่มแรกเป็นองค์กรระดับเจ็ด


 


ผู้นำกลุ่มเทพสวรรค์ของนครหลวงเทพมองกลุ่มเคียวแห่งความตายต่อ


 


“ผู้อาวุโสใต้สวรรค์ เชิญ”


 


แต่ละคนจะถูกส่งไปยังสถานที่ที่ต่างกันและนักล่าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ปล้นกัน ลำดับที่พวกเขาเข้าแดนลับไม่เกี่ยวข้องกันเลย


 


ทุกคนไม่มีความเห็นเรื่องที่เคียวแห่งความตายได้เข้าก่อนใครเพื่อนหลังองค์กรระดับเจ็ด เพราะมันเองก็เป็น 1 ใน องค์กรระดับ 6 ชั้นนำ และใต้สวรรค์ก็ยังเป็นผู้นำกลุ่มเองในรอบนี้


 


หลินฮวงเหลือบมองไปยังทิศทางของเผ่าเนฟิลิก เดินตามกลุ่มเคียวแห่งความตายเข้าแดนลับไป


 


ทันทีที่เขาก้าวผ่านประตู หลินฮวงก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังมิติที่ห่อหุ้มตัวเขาและดึงเขาเข้าไป


 


เมื่อได้สติ เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ที่ต่างไปจากเดิม


 


พื้นดินแห้งแตกอยู่ด้านหน้าเขา ไม่มีร่องรอยของชีวิตเลย ไม่แม้แต่ใบหญ้า


 


เขาเดาว่าอุณหภูมิในอากาศคงสูงอย่างน้อยสองร้อยองศา ร่วมกับคลื่นความร้อนเป็นครั้งคราว มันรู้สึกราวกับเขาอยู่ในหม้อทอดอบลมร้อน


 


เห็นได้ชัดว่าสภาพอากาศดังกล่าวไม่เหมาะกับการใช้ชีวิต อุณหภูมิที่สูงเพียงอย่างเดียวมากพอจะเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ผู้หลุดพ้นให้แห้งตาย


 


เมื่อมองไปทั่ว มันแทบจะไม่มีพืชเลย นับประสาอะไรกับสัตว์


 


หลินฮวงสำรวจสภาพแวดล้อมเขาอีกครั้ง จากนั้นก็เปิดใช้จิตเทวะ


 


หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


“สมกับเป็นคุก การยับยั้งจิตเทวะรุนแรงมาก..”


 


หลังหลินฮวงวิวัฒนาการเป็นเทพแท้จริง พลังของจิตเทวะก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ร่วมกับการบ่มเพาะไร้รอยต่อ ภายใต้สภาวะปกติ พลังของจิตเทวะของเขาควรมีระยะพอคลุมทั้งดาว


 


แต่ทว่า ในดินแดนลับนี้ จิตเทวะของเขาซึ่งเทียบได้กับเทพสวรรค์กลับโดนจำกัดอยู่ที่ระยะ 30 กิโลเมตร และพลังการยับยั้งก็ยังเหนือยิ่งกว่าสนามรบมังกรหุบเหว


 


เมื่อเห็นว่าจิตเทวะของเขาโดนยับยั้งอย่างหนัก เขาก็สามารถเดาได้ว่าจิตเทวะของนักล่าคนอื่นจะโดนยับยั้งไปมากแค่ไหน


 


“กฏประเภทมิติถูกห้าม…”หลินฮวงลอบระดมพลังกฏต่างๆ และพบว่ากฏมิติของแดนลับนี้โดนยับยั้งเช่นกัน


 


หลังปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ หลินฮวงก็หันไปมองทิศทางหนึ่ง


 


ก่อนหน้านี้ ขณะตรวจสอบด้วยจิตเทวะเขา บุคคลสองคนปรากฏตัวในระยะตรวจจับ ทั้งคู่คือเทพแท้จริงขั้น 9 และคนที่อยู่ใกล้สุดก็ห่างจากเขาไม่ถึง 5 กิโลเมตร


 


บุคคลนี้เป็นชายหัวล้าน รูปร่างสันทัด สูงกว่าสองเมตร กล้ามเนื้อของเขาเป็นก้อนจนน่ากลัว


 


ตัดสินจากรูปลักษณ์อย่างเดียว มันเป็นไปได้มากว่าเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะสายต่อสู้


 


“เขาดูแข็งแกร่งมาก”ถ้าหลินฮวงเปรียบเทียบบุคคลสองคนที่เขาตรวจพบ ตามกลิ่นอาย ชายหัวล้านที่อยู่ใกล้กว่านั้นแข็งแกร่งกว่า


 


หลินฮวงรีบเลือกเป้าหมายการล่าเขา ในการเคลื่อนไหวแค่ครั้งเดียว เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าชายหัวโล้นแทบจะทันที


 


สิ่งที่เขาใช้ไม่ใช่กฏมิติ แต่เป็นการตรัสรู้ธาตุแสง


 


เขาอยากคว้าโอกาสนี้ล่าเทพสวรรค์บางคน แต่เนื่องจากทุกการเคลื่อนไหวโดนจับตามอง นั่นจะทำให้ความสามารถของเขาโดนเปิดเผยอย่างเลี่ยงไม่ได้


 


ดังนั้น เขาจึงไม่มีเจตนาปิดบังพลังเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจใช้เต๋าดาบหรือมอนสเตอร์อัญเชิญ


 


ชายหัวล้านเห็นหลินฮวงปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน หน้าของเขาถึงกับเปลี่ยนสี


 


เขาคือผู้บ่มเพาะสายต่อสู้ และพลังจิตเทวะก็อ่อนแรงมาก ภายในคุกนี้ รัศมีการตรวจจับของจิตเทวะเขาไม่ถึง 1 กิโลเมตร มันน้อยกว่าระยะสายตาซะอีก


 


ดังนั้น ทุกครั้งที่เกิดการทดสอบ เขาจะรอให้นักล่าคนอื่นเข้าหาเขาก่อน


 


ครั้งนี้ก็ไม่เว้น แต่เขาไม่คิดว่านักล่าจะเข้าถึงตัวเขาเร็วขนาดนี้


 


เมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของหลินฮวงก็แค่เทพแท้จริงขั้น 9 ทั่วไปไร้พรสวรรค์ของอัจฉริยะ มุมปากของเขาก็ยกยิ้มเป็นรอยยิ้มโหดเหี้ยม


 


ไม่มีความกลัวในสายตาเขาตอนเขามองหลินฮวง ในความเป็นจริง มันราวกับเขากำลังมองลูกแกะ


 


“เจ้าโชคร้ายมากที่วิ่งมาเจอข้าเป็นคนแรก เจ้าหนู เจ้าทำได้แค่โทษตัวเองที่โชคร้ายแล้วล่ะ”ชายหัวล้านแสยะยิ้ม


 


“ข้าคิดว่าเจ้าอาจสับสนว่าใครกันแน่ที่โชคร้าย”หลินฮวงยิ้ม


 


“ปากเก่งนักนะ! ’


 


เมื่อชายหัวล้านพูด ตัวของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


ผมสีแดงเลือดงอกขึ้นบนหัวที่เคยล้านของเขา เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ปล่อยกลิ่นเหม็นของเลือดออกมา


 


ตัวของเขาขยายอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา เขาก็สูงกว่าสิบเมตร กล้ามเนื้อของเขาพองจนเป็นสีม่วงเข้ม ผิวหนังของเขาควบแน่นเป็นชั้นเกล็ดหนา


 


กระดูกสันหลังของเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ด้วยการขยายร่างกาย กระดูกสันหลังครึ่งหนึ่งของเขาจึงแทงออกจากผิวหนัง กลายเป็นเปลือกสีม่วงเข้มที่ปกคลุมส่วนหลังคล้ายตะขาบ แม้กระทั่งกระดูกก้นกบของเขาก็ยังยื่นไปกว่าสิบเมตรจนถึงเท้า เปลี่ยนเป็นหางเดือยกระดูกยาว


 


เมื่อเห็นฉากนี้ หลินฮวงก็เข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายโดนจองจำ


 


“โปรตอสหุบเหว…”


 


โปรตอสหุบเหวเป็นผลมาจากการที่โปรตอสโดนกัดกินด้วยพลังงานหุบเหว


 


โปรตอสเป็นเผ่าพันธ์ุที่ภาคภูมิใจตัวเองสูง และมักมองว่าโปรตอสหุบเหวเหล่านี้ที่โดนพลังงานหุบเหวกัดกินคือศัตรู องค์กรที่เกิดจากโปรตอสสายเลือดบริสุทธิ์ เช่น นครหลวงเทพซึ่งยิ่งชิงชังและจะฆ่าโปรตอสหุบเหวทันทีโดยไม่ถามไถ่ ความจริงที่ชายหัวล้านตรงหน้าเขายังมีชีวิตและโดนขังในคุกแห่งนี้ก็หมายความว่าเขาน่าจะโดนส่งมาโดยองค์กรอื่นที่ไม่ใช่นครหลวงเทพ


 


หลินฮวงดึงความสนใจของผู้ชมจำนวนมากนอกแดนลับ


 


“เร็วมาก มีคนพบกับไป๋หลินแล้ว โชคร้ายยิ่งนัก! ”


 


“แม้พลังของไป๋หลินจะไม่สูงนัก แต่การป้องกันของเขาก็ไม่ใช่อะไรที่เทพแท้จริงขั้น 9 ทั่วไปจะทำลายได้ การจะทำลาย มันต้องใช้กฏเทพระดับควบคุมเป็นอย่างน้อย แต่ทว่า กฏระดับควบคุมอย่างมากก็ได้แค่ทำลายการป้องกันของเขา มันยังยากเกินจะฆ่าเขาจริงๆ เจ้าหนูนี่อาจล้มเหลว…”


“ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้าคิดว่าเจ้าหนูนี่เป็นเด็กใหม่ในเคียวแห่งความตาย? ”ทันทีที่มีคนพูดเช่นนั้น เหล่าเทพสวรรค์ก็หันไปจ้องใต้สวรรค์


 


สีหน้าของใต้สวรรค์สงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเจตนาจะแสดงความคิดเห็นใด


 


ต่อหน้าความเงียบของใต้สวรรค์ คนอื่นมีการคาดเดาทุกประเภท แต่ทว่า ส่วนใหญ่รู้สึกว่าความสามารถของเด็กใหม่นี่น่าจะธรรมดา


 


“ทำไมเราไม่มาวางเดิมพันกันละ? ”บางคนเสนอ


 


“ข้าขอลงข้างไป๋หลินด้วยสมบัติเทพสวรรค์ขั้นกลางสองชิ้น! ”


 


“ข้าขอลงข้างไป๋หลินด้วยสมบัติเทพสวรรค์ขั้นสูงหนึ่งชิ้น! ”



เทพสวรรค์กว่าสิบเข้าร่วมการเดิมพันและส่วนใหญ่ก็ลงข้างไป๋หลิน


 


เมื่อเห็นว่ามีคนกว่าสิบคนที่ยังไม่ร่วมเล่น เจ้ามือก็ตะโกน”มีใครอีกไหม? ”


 


“สมบัติเทพสวรรค์ขั้นสูง 10 ชิ้น..”ใต้สวรรค์ปรากฏตัวข้างโต๊ะเดิมพัน”ข้าพนันข้างซิวมู่”


 


เมื่อเห็นใต้สวรรค์ส่งมอบสมบัติเทพสวรรค์สิบชิ้นให้เจ้ามือ หลายคนก็หน้าซีด


 


เหนือสิ่งอื่นใด ใต้สวรรค์เป็นคนเดียวที่รู้ถึงความสามารถของเด็กใหม่


 


 


นอกจากนี้ เขายังลงเดิมพันด้วยสมบัติเทพสวรรค์ขั้นสูง 10 ชิ้น มันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ทำมันเพื่อศักดิ์ศรีของเคียวแห่งความตาย แต่มันมาจากความมั่นใจ


 


ใบหน้าของเจ้ามือก็ซีดลงเล็กน้อยเมื่อเห็นของที่ใต้สวรรค์ส่งให้เขา เขายิ้มให้ใต้สวรรค์ขณะพูด”ท่านใต้สวรรค์ เราแค่เล่นกัน ไม่จำเป็นที่ท่านต้องวางเดิมพันก้อนโตแบบนี้”


 


ใต้สวรรค์จ้องเจ้ามือ


 


หลังจากนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าใต้สวรรค์ปฏิเสธที่จะรับของคืน เจ้ามือก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับการเดิมพัน


 


“มีใครอยากเดิมพันอีกไหม? ถ้าไม่ ข้าจะปิดโต๊ะแล้วนะ”


 


ทันทีที่เขาพูด เทพสวรรค์หลายคนก็เข้าร่วม พวกเขาทำตามใต้สวรรค์ ลงข้างหลินฮวง แต่ไม่ลงมากนัก


 


เมื่อทุกคนวางเดิมพันเรียบร้อย เจ้ามือก็ปิดโต๊ะทันที


 


ทุกคนต่างหันไปมองภาพวิดิโอ รอคอยผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)