Monster Paradise 1410-1425

 ตอนที่ 1410

 

หลังแองคิโลซอรัสถูกฆ่าตาย มันก็ใช้เวลากว่าสิบวินาทีประตูมิติถึงส่งความผันผวนอีกครั้ง


หลินฮวง ผู้จ้องประตูมิติเงียบๆไม่คิดรอดูว่ามอนสเตอร์ตัวใดจะออกมา เขาเริ่มโจมตีทันที


เขารู้ว่าเกมรอบนี้คือตัวตัดสิน


หลังเสร็จสิ้นการสังหารนี้ แผนของเทพอีกาจะถูกขัดขวางเป็นครั้งที่สาม มีโอกาสสูงที่เขาจะไม่พยายามตรวจสอบเป็นครั้งที่สี่ และมันก็มีแนวโน้มว่าเขาอาจยอมแพ้ต่อการรุกรานนี้


ในความว่างเปล่า ตัวดาบสีแดงพลันเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีม่วง พุ่งแหวกผ่านอากาศ


หลินฮวงไม่ออมแรงในการโจมตีนี้เลย


แม้แองคิโลซอรัสก่อนหน้าจะเป็นแค่เทพแท้จริงขั้น4 มันก็มีพลังป้องกันที่เทียบได้กับเทพแท้จริงขั้น6


แต่ทว่า แม้กระทั่งผู้สำรวจหนังหนาแบบนั้นก็ยังถูกฆ่าตายทันที ผู้สำรวจชุดสามที่ส่งมาโดยเทพอีกาย่อมแข็งแกร่งกว่านั้นและอาจครอบครองความสามารถพิเศษ


หลังได้ข้อสันนิษฐานนั้น หลินฮวงจึงไม่กล้าออมแรงเลยแม้แต่น้อย


แก่นแท้เต๋าดาบ การตรัสรู้ธาตุและพลังกฏเทพถูกรวมเข้าด้วยกัน


ปลายดาบกลายเป็นสายฟ้าสีม่วงและทะลุผ่านม่านแสงสีขาวจากประตูมิติที่ยังไม่สลายหายไป วินาทีต่อมา ศพที่ถูกผ่าเป็นสองส่วนก็ล้มลงกับพื้น


หลินฮวงเพิ่งตระหนักว่าสิ่งมีชีวิตที่เขาฆ่าไปคือนักล่ามิติ


นักล่ามิติคือมอนสเตอร์ประเภทมิติที่เชี่ยวชาญกฏมิติ


ตัดสินจากกลิ่นอายที่หลงเหลือจากศพ  ระดับพลังของนักล่ามิตินั้นเทียบได้กับเทพแท้จริงขั้น7


ตอนนี้หลินฮวงพอมีความคิดคร่าวๆถึงเจตนาของเทพอีกาแล้ว


ด้วยความที่ผู้สำรวจก่อนหน้าตายติดกันถึงสองครั้ง เทพอีกาจึงส่งนักล่ามิติมา


ในแง่หนึ่ง ระดับพลังของนักล่ามิติตนนี้สูงถึงขั้น7 และความแข็งแกร่งโดยรวมก็เหนือกว่าแองคิโลซอรัสมาก ยิ่งไปกว่านั้น มันยังใช้พลังที่เกี่ยวข้องกับมิติ ดังนั้นต่อให้มันพบศัตรูระดับเทพแท้จริงขั้น9 มันก็จะไม่ถุกฆ่าง่ายๆ


ในทางกลับกัน หากมีปัญหากับประตูมิติจริงๆ งั้นอัตรารอดชีวิตของนักล่ามิติก็ยังสูงกว่ามอนสเตอร์ประเภทอื่นเพราะพลังมิตจิมิมัน ตราบเท่าที่นักล่ามิติสามารถกลับมาแบบเป็นๆได้ พวกเขาก็จะสามารถระบุปัญหาได้และพิจารณามัน แต่ทว่า หากนักล่ามิติไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ นั่นก็หมายความว่าประตูมิตินั้นไม่เสถียรและไม่มีความหวังในการใช้มัน


แต่ทว่า ในช่วงการตรวจสอบชุดสามนี้ เทพอีกาได้คำนวณพลาดอีกครั้ง


เขาไม่คิดว่าจะมีใครในโลกกรวดที่สามารถฆ่านักล่ามิติระดับเทพแท้จริงขั้น7ได้


เขายิ่งคาดไม่ถึงว่าจะมีใครในโลกกรวดที่คำนวณการเคลื่อนไหวเขาตั้งแต่ต้น ชักนำเขาไปสู่ทางผิดๆและปล่อยให้เขาได้รับข้อสรุปที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า


เมื่อเห็นว่านักล่ามิติถูกฆ่าภายในชั่วพริบตา ร่างจำแลงเทพอีกาก็ตาเหลือก


ร่างจำแลงเทพอีกาครอบครองความทรงจำของเทพอีกาส่วนหนึ่ง มันจึงรู้ดีว่านักล่ามิติตนนี้เชี่ยวชาญการหลบหลีกมาก เทพแท้จริงขั้น9ทั่วๆไปไม่มีทางฆ่ามันได้ง่ายๆ นับประสาอะไรกับการฆ่ามันในชั่วพริบตา


แต่คนที่อยู่เบื้องหลังหลินฮวงกลับสามารถทำได้


 


“หรือจะเป็นเทพแท้จริงขั้นสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังเขา?!”

ขณะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ร่างจำแลงเทพอีกาก็หดหู่ใจ ระดับพลังต่อสู้ของร่างจริงมันอยู่ที่เทพแท้จริงขั้น9เท่านั้น และภายในขั้น9 พลังมันถือว่าอยู่ใกล้จุดสูงสุดเท่านั้น


ตอนนี้ มันดูเหมือนว่าคนเบื้องหลังหลินฮวงเองก็เป็นเทพแท้จริงขั้น9 ที่พลังไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างจริงของมัน ในความเป็นจริง มันอาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ


ทันใดนั้น มันก็ตระหนักว่าการพิชิตโลกกรวดนี้ยากกว่าที่มันคิดไว้มาก


ต่อให้ร่างจริงมันจุติลงมาเอง มันก็ยิ่งน่าอับอายหากเขาไม่สามารถสู้กับเทพแท้จริงขั้น9เบื้องหลังหลินฮวงได้  นอกจากนี้ การเตรียมการล่วงหน้าที่มันเฝ้าพยายามทำมาทั้งปีกลับสูญเปล่า


แต่ทว่า หลังคิดอย่างรอบคอบ ในไม่ช้ามันก็พบปัญหาอื่น


 


“ในโลกกรวดนี้ ไม่มีทางที่เทพแท้จริงจะสามารถอยู่ได้นาน ต่อให้ใช้วิธีพิเศษเพื่อขัดขวางเจตจำนงของโลกไว้ มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งระดับพลังสูง พวกเขาก็ยิ่งถูกปฏิเสธด้วยเจตจำนงของโลก ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาที่พวกเขาสามารถอยู่ได้สั้นลง หากข้าคำนวณตามร่างจริงข้า เทพแท้จริงขั้น9ที่ลงมายังโลกกรวดจะสามารถอยู่ได้มากสุดแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”


 


เมื่อคิดได้แบบนี้ ร่างจำแลงเทพอีกาก็รู้สึกเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จครั้งใหญ่


“ยอดฝีมือเบื้องหลังหลินฮวงสามารถอยู่ได้อีกไม่นาน ตราบเท่าที่เรารุกรานหลังเวลาของเขาหมดลง ปัญหาก็จะหมดไป…”


แต่ทว่า สิ่งที่มันไม่รู้ก็คือ’ยอดฝีมือเบื้องหลังหลินฮวง’ที่มันจินตนาการนั้นคือตัวหลินฮวงเอง


ในฐานะชาวพื้นเมืองของโลกกรวด ร่วมกับความจริงที่ระดับพลังเขายังไม่ถึงเทพแท้จริง หลินฮวงจึงสามารถอยู่ในโลกกรวดได้ตามใจชอบ


เขาเลื่อนสายตาออกจากศพสองส่วน หันกลับไปมองประตูมิติอีกครั้ง


เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเทพอีกาจะไม่ส่งผู้สำรวจออกมาอีก แต่ก็ยังต้องระวังไว้


หลังการตรวจสอบที่ไร้ผลลัพธ์ทั้งสามครั้ง หลินฮวงเกือบแน่ใจว่าเทพอีกาคงยกเลิกแผนรุกรานแล้ว


มันเป็นไปไม่ได้ที่เทพอีกาจะเร่งรวมกองทัพใหญ่และส่งพวกมันผ่านประตูมิติโดยปราศจากการตรวจสอบปัญหา


ตามตรรกะปกติ หากแม้แต่นักล่ามิติก็ยังไม่สามารถผ่านประตูมิติได้ งั้นมันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับคนอื่นที่จะเดินทางผ่าน นับประสาอะไรกับกองทัพใหญ่


เช่นเดียวกับที่หลินฮวงคาดไว้ เวลาผ่านไปหลายนาที และก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดจากประตูมิติ


เขายืนตรงนั้น รออยู่หลายนาที และเมื่อเห็นว่าประตูมิติไม่เปล่งแสงอีก เขาก็รู้ว่าเขาชนะเกมจิตวิทยาแล้ว!


เขาจงใจสร้างสถานการณ์ว่าประตูมิตินั้นมีปัญหา หลังการตรวจสอบอย่างรอบคอบสามครั้ง ในที่สุดเทพอีกาก็ตกหลุมพรางเขา และเชื่อในสถานการณ์หลอกๆ


เมื่อเห็นว่าประตูมิติไม่สว่างขึ้น ร่างจำแลงเทพอีกาก็ค่อยๆหมดกำลังใจ


มันสามารถมองเห็นได้ชัดจากทางฝั่งของโลกกรวดว่าประตูมิติไม่มีปัญหาอะไร แต่ร่างจริงมันกลับยอมแพ้ต่อการรุกราน


มันไม่ยากสำหรับมันที่จะเข้าใจการกระทำของร่างหลัก หากมันไม่เห็นฉากตรงหน้ากับตาตัวเอง มันก็คงได้ข้อสรุปเดียวกันกับร่างหลักมัน


 


“ข้าเกรงว่าร่างหลักเจ้าคงไม่คิดยุ่งกับโลกกรวดอีกแล้ว”หลังยืนยันว่าร่างหลักเทพอีกาล้มเลิกการรุกรานแล้ว หลินฮวงจึงหันไปยิ้มให้กับร่างจำแลงเทพอีกา


แม้รอยยิ้มเขาจะดูอบอุ่นและสง่างาม ร่างจำแลงเทพอีกาก็รู้สึกหนาวลงสันหลัง แม้จะแบบนั้น สีหน้ามันกลับยังสงบและไม่แยแส


 


‘หลินฮวง มาสู้กับข้าตัวต่อตัวหากเจ้าแน่จริง อย่าดีแต่พึ่งพาผู้ช่วย!”


นี่คือทางรอดเดียวที่มันคิดได้ หากคนเบื้องหลังหลินฮวงลงมือ มันอาจถูกฆ่าทันที


“ตัวต่อตัว?!”หลินฮวงอดเลิกคิ้วไม่ได้ มันแทบไม่ได้การเรียกร้องเช่นนี้เลย”เจ้าแน่ใจนะว่าอยากสู้กับข้าตัวต่อตัว?”

“หรือเจ้ากลัว?!”ร่างจำแลงเทพอีกาจ้องหลินฮวงอย่างแน่วแน่


 


มุมปากของหลินฮวงยกโค้งขึ้นหลังได้ยินคำยั่วยุนี้ แสงอาทิตย์ดันส่องบนแก้มเขาพอดี และภายใต้การผสมผสานของแสงและเงา เขาจึงดูหล่อเหลากว่าที่เคย


“งั้น..ก็ตามใจเจ้า”

 

 

 


ตอนที่ 1411

 

หลินฮวงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายท้าเขาสู้ตัวต่อตัว


เพราะพันหน้า ระดับพลังที่เขาแสดงออกไปจึงเป็นแค่เทพเสมือนขั้น3 แต่ระดับพลังจริงเขาเป็นเทพเสมือนขั้น6แล้ว


สำหรับร่างจำแลงเทพอีกา ระดับพลังมันแค่เทพเสมือนขั้น2


ระดับพลังมันอย่างเดียวก็ต่ำกว่าหลินฮวงถึงสี่ขั้นแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น หลินฮวงยังสามารถโค่นเทพแท้จริงขั้นกลางได้ตอนเขาเป็นแค่เทพเสมือนขั้น3 ตอนนี้ที่เขาเลื่อนเป็นเทพเสมือนขั้น6 พลังต่อสู้จริงเขาจึงไม่ด้อยไปกว่าเทพแท้จริงขั้น9ทั่วไป ถึงกระนั้น นี่ก็ยังไม่ถือเป็นหนึ่งในไพ่ตายเขา


ต่อให้เทพอีกาจุติลงมาเอง ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะตายเมื่อต้องเจอกับหลินฮวง นอกจากนี้ คู่ต่อสู้ปัจจุบันเขายังเป็นแค่ร่างจำแลงเทพอีกา และระดับพลังก็แค่เทพเสมือนขั้น2เท่านั้น


ร่างจำแลงเทพอีกามีความสุขมากเมื่อได้ยินว่าหลินฮวงตกลงรับคำท้ามัน


แม้หลินอวงจะเป็นเทพเสมือนขั้น3ซึ่งมีระดับพลังเหนือกว่ามัน มันก็ไม่กลัวเลย


 


“ในเมื่อมันคือการต่อสู้ตัวต่อตัว งั้นก็มาตั้งกฏกันล่วงหน้า ในระหว่างการต่อสู้ อนุญาตให้ใช้วิธีการใดก็ได้ หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องปล่อยข้าไปอย่างไร้บาดแผล”


“ไม่มีปัญหา แต่หากเจ้าแพ้ละ?”หลินฮวงถามด้วยรอยยิ้ม


“ข้าจะเลิกตั้งพิกัดเส้นทางมิติ และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแผนการบุกรุกโลกกรวดของร่างหลักข้าอีก”ร่างจำแลงเทพอีกาพยายามเสนอทางรอดให้ตัวเอง


“เจ้าไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำคือยอมเสียสละชีวิตเจ้า”หลินฮวงกล่าวพร้อมบอกความต้องการเขาเป็นนัยๆ


 


สีหน้ามันสลดลง แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่ทางเลือก หากมันอยากรอด มันต้องชนะ!


ในไม่ช้ามันก็สงบสติลง และความมั่นใจก็กลับคืนมาเมื่อนึกถึงไพ่ตายมัน


“งั้นก็มาสู้กันเลย ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด!หากข้าชนะ เจ้าต้องปล่อยข้าไปอย่างปลอดภัย”

“ไม่ต้องห่วง ขอแค่เจ้าชนะ ข้าจะปล่อยเจ้าไปแน่!”หลินฮวงพยักหน้า


 


ทั้งสองได้ข้อตกลงกันอย่างรวดเร็วและเสี่ยวโม่ก็ก้าวหลบออกไป


เขามั่นใจมากในความสามารถของหลินฮวง หากคู่ต่อสู้ของหลินฮวงเป็นเทพแท้จริง งั้นเสี่ยวโม่อาจกังวลบ้าง แต่ทว่า อีกฝ่ายแค่เทพเสมือนขั้น2 และระดับพลังเพียงอย่างเดียวก็นับว่าต่ำกว่าหลินฮวงแล้ว


เมื่อเสี่ยวโม่ได้ยินร่างจำแลงเทพอีกาเสนอการต่อสู้ตัวต่อตัว ในหัวใจเขากลับเยาะเย้ยต่อมัน


หลินฮวงยืนตัวตรง ไม่คิดขยับก่อน


ความแตกต่างในพลังระหว่างตัวเขาและร่างจำแลงเทพอีกาสูงเกินไป หากเขาโจมตีก่อน อีกฝ่ายคงไม่มีโอกาสเลย นอกจากนี้ หลินฮวงยังอยากดูว่าอีกฝ่ายมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรที่ทำให้มันมั่นใจนักหนา


ร่างจำแลงเทพอีกาเต็มไปด้วยความมั่นใจ มันยังใช้ไพ่ตายออกมาทันที


มันยืนบนหัวราชาทะเลและรูม่านตาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท


วินาทีต่อมา ดวงตาของราชาทะเลใต้เท้ามันก็กลายเป็นสีดำสนิทเช่นกัน และมันก็เปิดปากกว้าง


เพียงเมื่อหลินฮวงคิดว่าราชาทะเลกำลังจะโจมตี เงาร่างจำนวนมากก็พุ่งออกจากปากมัน


หลินฮวงหรี่ตามองและเห็นว่าพวกมันคือมอนสเตอร์ทะเล ทั้งหมดมีพลังระดับเทพเสมือน ตัวที่มีพลังต่ำสุดคือเทพเสมือนขั้น1 ส่วนระดับสูงสุดคือเทพเสมือนขั้น4 และพวกมันยังมีกันมากกว่าสามสิบตัว


เมื่อเห็นแบบนี้ ในที่สุดหลินฮวงก็รู้ว่าความมั่นใจของมันมาจากไหน


 


“นี่คือสิ่งที่ทำให้เจ้ากล้าท้าทายข้า?”

“มอนสเตอร์ทั้งหมด34ตัวคือเทพเสมือน สามตัวมีพลังของเทพเสมือนขั้น4 เจ้าสามารถยอมแพ้ได้เสียตอนนี้ก่อนที่ข้าจะโจมตี”ร่างจำแลงเทพอีกาคิดว่าตัวมันนั้นไร้เทียมทานแล้ว


“มันดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้จักข้าดีพอ”หลินฮวงส่ายหัวและยิ้ม”เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือผู้ควบคุม?”


จากนั้นหลินฮวงก็ดีดนิ้ว


วินาทีต่อมา เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าหลินฮวง


มันคือชายผมขาวสวมชุดดำ และมีเส้นเลือดวิ่งไหลบนเสื้อผ้า


ผู้ที่ถูกอัญเชิญในครั้งนี้ก็คือไป่


กลิ่นอายเทพแท้จริงของมันเผยออกมาชั่วขณะก่อนที่ไป่จะยับยั้งกลิ่นอายมัน รีบผนึกพลังมันเป็นเทพเสมือนขั้น9


ถึงกระนั้น ทันทีที่กลิ่นอายเทพเสมือนขั้น9ของไป่เล็ดรอดออกมา ร่างจำแลงเทพอีกาก็อ้าปากค้าง


แน่นอน มันรู้ว่าหลินฮวงคือผู้ควบคุม แต่มันมักคิดว่าไม่ว่ามอนสเตอร์ของหลินฮวงจะแข็งแกร่งแค่ไหน ระดับพลังก็ยังต้องถูกจำกัด เหนือสิ่งอื่นใด ระดับพลังของมอนสเตอร์อัญเชิญจะถูกจำกัดโดยระดับพลังของผู้ควบคุม แต่ทว่า มอนสเตอร์ตรงหน้ามันกลับมีกลิ่นอายที่เหนือยิ่งกว่านายของมันเสียอีก


 


“ไว้ชีวิตแค่เขา ที่เหลือจัดการให้หมด”


เมื่อสิ้นสุดเสียง ร่างของไป่ก็พุ่งตรงไปในฝูงมอนสเตอร์ เปิดฉากสังหารอยู่ฝ่ายเดียว


ในเวลาไม่ถึงสามวินาที มอนสเตอร์ระดับเทพเสมือนทั้ง34ตัวก็ถูกฆ่าตาย รวมถึงราชาทะเลใต้เท้าร่างจำแลงเทพอีกาด้วย


เช่นเดียวกับที่หลินฮวงกล่าว ไม่มีวิญญาณสักดวงที่ถูกละเว้น!


เสี่ยวโม่ ผู้เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ไม่ไกลก็ตกตะลึงเหมือนกัน เขาสัมผัสได้ชัดว่ามอนสเตอร์ที่ถูกควบคุมโดยร่างจำแลงเทพอีกามีพลังที่เหนือกว่าเขา แต่ทว่า มอนสเตอร์อัญเชิญแค่ตัวเดียวของหลินฮวงกลับฆ่าล้างพวกมันได้ง่ายๆราวกับพวกมันเป็นเพียงฝูงไก่กา


ร่างจำแลงเทพอีกาที่ก่อนหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจตอนนี้เป็นเหมือนนายพลไร้กองทัพ มันยังเสียที่ยืนไปด้วย


สีพลันถูกระบายออกจากหน้าของมัน มันได้ใช้ไพ่ตายไปแล้ว เดิม มันคิดว่าหากมันใช้ไพ่ตายตั้งแต่เริ่มต้น มันจะชนะได้โดยไม่ต้องวุ่นวายนัก แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้


หลังฆ่ามอนสเตอร์ทั้งหมด ไป่ก็เหลือบมองไปทางเทพอีกา ไป่ไม่ได้โจมตีต่อและกลับไปยืนข้างหลินฮวง


แม้ไป่จะไม่พูดอะไรสักคำ มันก็ยังทำให้ร่างจำแลงเทพอีกาประสาทแทบแตก


โดยเฉพาะเมื่อดวงตาสีแดงเลือดจ้องมองมัน เทพอีกาสามารถรู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดของอีกฝ่าย หากมันไม่ใช่ว่าคำสั่งของหลินฮวง เกรงว่ามันคงถูกเฉือนเป็นชิ้นๆไปแล้ว


 


“เจ้าแพ้แล้ว”หลินฮวงยิ้ม


เพียงเมื่อมันกำลังจะเปิดปากปฏิเสธ มันก็พลันเห็นว่าหลินฮวงได้หายไปโดยที่มันไม่รู้ตัว


เกือบจะพร้อมกัน มันก็รู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยที่คอมัน


มันหันหัวไปมองทางขวา เห็นหลินฮวงยืนอยู่ตรงนั้น ดาบสีเงินเล่มบางในมือหลินฮวงตอนนี้อยู่ด้านหน้าคอของมัน และดาบก็ได้ตัดไปในเนื้อมันประมาณหนึ่งมิลลิเมตร แผลบนคอมันเริ่มหลั่งเลือด


 


“บอกแผนการของเทพอีกามา”เสียงอันแน่วแน่ของหลินฮวงดังขึ้น


“ต่อให้ข้าบอกหรือไม่บอก ข้าก็ตายอยู่ดี ทำไมข้าถึงควรบอกเจ้า?”มันยังเลือกต่อต้าน


“ตราบเท่าที่เจ้าบอกข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตาย”หลินฮวงหันไปมองร่างจำแลงเทพอีกา”ต่อให้เจ้ามีชีวิต เจ้าก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น ใบหน้ามันก็ซีดเซียว มันไม่รู้ว่ามันควรดีใจที่ได้ยินหรือรู้สึกอับอายจากถ้อยคำดูถูก


แต่ทว่า มันก็ลังเลอยู่แค่ชั่วขณะก่อนตัดสินใจได้


“ข้าจะไม่พูดอะไร”


 


ในฐานะร่างจำแลงเทพอีกา แม้มันจะมีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่จิตสำนึกมันก็ยังภักดีต่อร่างหลัก ผลประโยชน์ของร่างหลักสำคัญกว่าชีวิตมัน


นี่คือสิ่งที่หลินฮวงคาดไว้แต่แรก


“ดี หากเป็นแบบนั้น ข้าคงต้องใช้วิธีอื่น”


ทันทีหลังหลินฮวงพูดเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าเขา


มันคือสิ่งมีชีวิตคล้ายแมวลักษณะแปลกๆ คล้ายกับเสือเขี้ยวดาบจมูกยาว


หลังถูกอัญเชิญ รูม่านตาของสิ่งมีชีวิตนั้นก็จับจ้องร่างจำแลงเทพอีกาและเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ราวกับมันแช่ในน้ำหมึก


ร่างจำแลงเทพอีกาพลันหยุดขยับ และรูม่านตามันก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท


หลังจากนั้นไม่นาน สมเสร็จฝันร้ายก็ส่งเสียงฮึดฮัด


รูม่านตาของร่างจำแลงเทพอีกาหม่นหมอง และเปลี่ยนเป็นสีแดง


ดวงตาคู่แดงนั้นพลันจับจ้องหลินฮวง


จากนั้น ลำแสงสีแดงเลือดก็พุ่งจากรูม่านตาของมัน แหวกผ่านอากาศเหมือนสายฟ้าฟาด


ความเร็วของการโจมตีนี้ไม่ด้อยไปกว่าเทพแท้จริงขั้น9


มันเห็นได้ชัดว่าคนที่โจมตีไม่ใช่ร่างจำแลงเทพอีกาอีก แต่เป็นร่างหลักเทพอีกา


หากมีใครจากโลกกรวดเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือหลับตาและรอความตาย


แต่ทว่า นี่คือหลินฮวง


มุมปากหลินฮวงยกโค้งขึ้นเล็กน้อยและสะบัดดาบในมือโดยไม่ลังเล


คลื่นดาบพลันเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีแดงและระเบิดด้วยความเร็วที่เหนือยิ่งกว่าการโจมตีของเทพอีกา


แสงสีแดงสองสายปะทะกัน และพลังเทวะไร้สิ้นสุดก็พวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง ส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า


แสงสีแดงแพรวพราวเปล่งประกายอยู่กว่าสิบนาทีก่อนจะค่อยๆสลายหายไป


มันเหลือแค่หลินฮวงที่ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ส่วนร่างจำแลงเทพอีกากลับสลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว


เห็นได้ชัดว่าร่างจำแลงเทพอีกาไม่สามารถรองรับพลังของเทพอีกาได้ หลังปลดปล่อยการโจมตี ร่างมันก็ไม่สามารถทนต่อพลังงานได้และระเบิดตัวตายไป


เมื่อเห็นว่าร่างจำแลงเทพอีกาสลายหายไปแล้ว หลินฮวงจึงหันหัวไปมองทางประตูมิติ


เขาปล่อยแก่นแท้เต๋าดาบ พลังกฏเทพและพลังตรัสรู้ธาตุเต็มแรง บีบอัดการโจมตีทั้งหมดไปที่ประตูมิติ


ไม่เหมือนกฏมิติของขอบเหวนรกที่มีรอยแยกมิติสะสมตลอดหลายร้อยล้านปี กฏมิติของประตูมิติที่สร้างขึ้นใหม่นี้ยังไม่เสถียรดี


ภายใต้อิทธิพลของพลังกฏเทพต่างๆ กฏมิติของประตูมิติจึงยิ่งไม่เสถียร


เมื่อเห็นว่าภายในประตูมิติกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง หลินฮวงจึงไม่ล้มเลิกความพยายาม เขากลับปลดปล่อยการโจมตีไม่หยุด สาดทุกการโจมตีใส่มัน


เขาทำอยู่อย่างนั้นกว่าครึ่งชั่วโมง สุดท้ายประตูมิติก็สั่นคลอนและพังทลายลง


รอยแยกมิติในโลกกรวดยังถูกปิดตัวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในเวลาไม่ถึงสามนาที รอยแยกก็หายไปอย่างสมบูรณ์


จากนั้นหลินฮวงถึงเก็บดาบเขาไปพร้อมกับถอนหายใจยาว

 

 

 


ตอนที่ 1412

 

ถอนรากถอนโคน

หลังจัดการกับเรื่องของเทพอีกาและทำการตรวจสอบว่าไม่มีปัญหาอะไรอีก จากนั้นหลินฮวงถึงพาตัวเสี่ยวโม่และกลุ่มทาสดาบกลับไปเมืองจักรพรรดิ


เรื่องของเทพอีกาได้รับการแก้ไขชั่วคราว แม้สมเสร็จฝันร้ายจะถูกขัดจังหวะตอนมันกำลังอ่านความทรงจำ มันก็ยังสามารถได้รับข้อมูลส่วนหนึ่งมาบ้าง


ในวังจักรพรรดิ หลินฮวงได้ตรวจสอบความทรงจำที่สมเสร็จได้รับมาก่อนก้มมองเสี่ยวโม่ด้านล่าง


 


“เรื่องของเทพอีกาถือว่าจบลงแล้ว เขาไม่น่าจะบุกซ้ำภายในอนาคตอันใกล้นี้ เสี่ยวโม่ เจ้าสบายใจได้แล้วและไปทำเรื่องส่วนตัวเถอะ แต่หากเจ้าพบความผิดปกติใด อย่าลืมบอกให้ข้ารู้ทันที”


 


หลังเขาพูดจบ หลินฮวงก็หันไปมองทาสดาบทั้ง12ที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามเสี่ยวโม่


“ภารกิจที่ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าลุล่วงแล้ว หลังจากนี้ พวกเจ้าควรเข้าร่วมพันธมิตรดาบ จากนั้น ก็รายงานดาบ103และปล่อยให้เขาจัดการสิ่งต่างๆตามที่เห็นว่าสมควร”

หลังส่งเสี่ยวโม่และคนอื่นไป หลินฮวงก็หรี่ตาลง หลังไตร่ตรองสักพัก เขาก็กดหมายเลข


ครู่ต่อมา ภาพวิดิโอก็เชื่อมต่อ ภาพที่ฉายคือเจียงฉาน ประธานแห่งรัฐบาลกลาง


“จักรพรรดิหลิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”ตามเคย เจียงฉายสวมชุดสูทหรู สวมรอยยิ้มจริงใจบนหน้า


กว่าปีก่อน หลินฮวงเป็นแค่ผู้เยาว์ในสายตาเขา แต่ทว่า ตอนนี้ที่ขัตติยะเติบโตจนเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ หลินฮวงซึ่งอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิจึงถือได้ว่าทัดเทียมกับเขาแล้วในแง่ของสถานะ


“มันก็ผ่านมากว่าปีแล้วที่เราไม่ได้พบกัน”หลินฮวงยิ้มและพยักหน้า”ประธานเจียง ข้าจะไปเยี่ยมและระลึกความหลังกับท่านวันอื่นเมื่อข้ามีเวลา วันนี้ข้าจะขอเข้าเรื่องโดยไม่คุยเรื่องยิบย่อย เหตุผลที่ข้าติดต่อท่านมาวันนี้เกี่ยวกับเรื่องการรุกรานของเทพอีกา”.


“การรุกรานของเทพอีกา?!”เจียงฉานผงะเมื่อได้ยิน


“ปีก่อนเทพอีกาส่งร่างจำแลงเขาลงมา พวกท่านควรรู้เรื่องนี้สินะ?”หลินฮวงถามเพราะต่อให้รัฐบาลกลางไม่ได้ร่วมสู้ด้วยในตอนนั้น การปะทะกันระหว่างเทพเสมือนก็คงไม่อาจเล็ดรอดหูตาของรัฐบาลกลางไปได้


“ไม่ใช่ว่าร่างจำแลงเทพอีกาถูกทำลายไปแล้วงั้นหรือ?”เจียงฉานรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นจริงๆ


“เรามักคิดว่าร่างจำแลงของเทพอีกาถูกทำลายไปแล้ว ข้าเพิ่งพบเรื่องนี้ตอนข้ากลับมาว่ามันหลบหนีไปด้วยจั่กจั่นทองคำลอกคราบ มันซ่อนในมหาสมุทรสันตินานเป็นปี เราต้องใช้เวลานานถึงสามเดือนเพื่อหาสถานที่ซ่อนมันและเราก็เพิ่งฆ่ามันไปสิบนาทีก่อน”


“ก่อนข้าจะฆ่ามัน ข้ายังสามารถได้รับข้อมูลจำนวนหนึ่งและแผนของเทพอีกา อีกสักพัก ข้าจะจัดการข้อมูลนี้เป็นเอกสารและส่งมันให้ท่าน นอกจากนั้น ยังมีวิดิโอที่ข้าถ่าย มันคือประตูมิติที่เปิดโดยร่างจำแลงเทพอีกา ข้าได้ทำลายมันไปแล้วและเทพอีกาก็ไม่ควรนำกองทัพผ่านมาได้สักพักหนึ่ง”


“แต่ทว่า สิ่งที่เทพอีกาทิ้งไว้ในโลกเราต้องไม่ได้มีแค่ร่างจำแลงเดียวเป็นแน่ หากพวกมันสามารถเปิดประตูมิติแรกได้ มันก็เป็นไปได้ว่าจะมีอันที่สองและสาม…”

“ท่านอยากเปิดศึกกับอีกาม่วงงั้นสินะ?!”เจียงฉานเข้าใจเจตนาของหลินฮวงทันที


“มันไม่ใช่ว่าข้าอยากจัดการกับอีกาม่วง แต่เราต้องกำจัดภัยอันตรายซ่อนเร้นนี้ทิ้ง”หลินฮวงจงใจเน้นคำว่า’เรา’


“ตราบเท่าที่อีกาม่วงดำรงอยู่ แผนการเปิดประตูมิติเพื่อต้อนรับการมาของเทพอีกาก็จะยังคงอยู่ตลอดไป”

หลินฮวงจ้องเจียงฉาน มันชัดเจนว่าหลินฮวงตัดสินใจไปแล้ว


 


เจียงฉานไตร่ตรองสักพัก”ท่านอยากให้รัฐบาลกลางทำอะไร?”

“มันง่ายมาก กระจายข่าวความพยายามที่ล้มเหลวของอีกาม่วงเพื่อปลดปล่อยเทพอีกา ขัตติยะสามารถจัดการเรื่องที่เหลือได้ ตอนนี้ความสนใจหลักของทุกคนอยู่ที่การพิชิตมิติบรรพกาลและแดนรกร้าง รัฐบาลกลางคงไม่สามารถเป็นขุมกำลังหลักเพื่อเก็บกวาดงานได้”


“แล้วทำไมท่านไม่ส่งเอกสารมาก่อนละ ข้าจะจัดประชุมหารือและติดต่อท่านไปทีหลัง”เจียงฉานเลือกดำเนินการอย่างระมัดระวัง


“งั้นก็เอาตามนั้น”


 


หลังวางสายกับเจียงฉาน หลินฮวงก็ใช้เวลาหลายนาทีจัดการเอกสารและจากนั้นก็ส่งให้เจียงฉานไปพร้อมวิดิโอ


เมื่อข้อมูลถูกส่ง เขาก็คิดสักพักและส่งต่อสำเนาเอกสารเดียวกันไปให้หวงเทียนฟู่และจื่อจี้ จากนั้นก็โทรหาสองหมายเลขพร้อมกัน


ไม่นาน สายก็เชื่อมต่อ ทั้งหวงเทียนฟู่และจื่อจี้ตกใจ นี่คือครั้งแรกที่หลินฮวงโทรหาพวกเขาพร้อมกัน


 


“ดูเอกสารที่ข้าเพิ่งส่งให้พวกเจ้าไป อีกไม่กี่วันข้างหน้า ระดมคนเตรียมพร้อมเปิดศึกกับอีกาม่วง เราจะกำจัดพวกมัน!”


“กำจัดอีกาม่วง?!”หวงเทียนฟู่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมหลินฮวงถึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน ตามความเข้าใจที่เขามีต่อหลินฮวง หลินฮวงไม่ใช่คนที่ชอบสร้างปัญหา


จื่อจี้เองก็เลิกคิ้วเช่นกัน แม้จะไม่ถาม สีหน้าเขาก็แสดงออกถึงความสับสน


“ร่างจำแลงเทพอีกาได้สร้างประตูมิติบนมหาสมุทรสันติ หากข้าพบช้าไป เทพอีกาคงลงมาพร้อมกองทัพเทพแท้จริงไปแล้ว สำหรับข้อมูลเฉพาะ พวกเจ้าสามารถดูได้บนเอกสารที่ข้าแนบไป”


“ข้าได้ติดต่อรัฐบาลกลางแล้ว เมื่อพวกเขาประกาศ ขัตติยะก็สามารถเคลื่อนไหวได้ทันที ผู้ปลดปล่อยสามารถเข้าร่วมด้วยได้ทีหลัง แค่ต้องรอให้องค์กรอื่นเข้ามาก่อน’


“อีกเรื่อง พวกเจ้าสองคนลอบรวบรวมกำลังคนไว้ด้วยกันก็พอ อย่าเผยรายละเอียดการเคลื่อนไหวใดๆเด็ดขาด นี่คือการป้องกันไม่ให้ข่าวรั่วไหลออกไปจนทำให้พวกอีกาม่วงหนีไปหลบซ่อนก่อนเราจะลงมือ”


 


เมื่อเขาออกคำสั่ง หลินฮวงก็วางสาย


ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเขาก็ได้รับคำขอสื่อสารจากเจียงฉาน


หลังสายเชื่อมต่อ ภาพของเจียงฉานก็แสดงให้เห็นชัดว่าเขาอยู่ในห้องประชุมและไม่ได้มีเขาแค่คนเดียว


“จักรพรรดิหลิน ขอบคุณที่รอ เราได้อ่านเอกสารและหารือแผนเบื้องต้นแล้ว…”


 


การประชุมทางวิดิโอกับรัฐบาลกลางกินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนสิ้นสุดลง


ในที่สุดมันก็ได้รับการตัดสิน อีกาม่วงจะถูกกวาดล้างโดยกองทัพที่นำโดยรัฐบาลกลาง


ตามคาด ทิศทางหลักการหารือของพวกรัฐบาลกลางยังเป็นการกระจายผลประดยชน์


หลินฮวงโยนงานหลังจากนี้ให้หวงเทียนฟู่และคนอื่น จากนั้นก็ปิดประตูบ่มเพาะอีกครั้ง


มันใช้เวลาสามวันในการกลั่นไฟเทวะของนักล่ามิติ ในบรรดาประกายไฟเทวะขั้น7ทั้งสิบส่วน ส่วนแรกได้รับการกลั่นเรียบร้อยแล้ว


แม้เขาจะไม่ได้เลื่อนเป็นเทพเสมือนขั้น7 หลินฮวงก็สามารถเพิ่งระดับพลังขั้นหนึ่งได้สั้นๆโดยไม่มีผลข้างเคียง


หลังกลั่นไฟเทวะ เขาก็ได้สอบถามความคืบหน้าการหารือกับรัฐบาลกลางจากหวงเทียนฟู่ เมื่อเขารู้ว่าเรื่องต่างๆเป็นไปด้วยดีและพวกเขาก็พร้อมลงมือแล้ว เขาจึงโล่งใจและปิดประตูบ่มเพาะต่อไป


ในวังจักรพรรดิ เขาบดขยี้การ์ดเห็นแจ้งทีละใบ เรียนรู้ทักษะดาบมากขึ้นทุกวัน….ห

 

 

 


ตอนที่ 1413

 

ห้องแห่งกาลเวลา

เนื่องจากเขาใช้การ์ดเห็นแจ้ง ความเข้าใจทักษะดาบของหลินฮวงเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าและจำนวนทักษะดาบใหม่ที่เขาเชี่ยวชาญก็เกินกว่าสามพันเกือบทุกวัน


หลังผ่านไปเกือบเดือน จำนวนทักษะดาบทั้งหมดที่เขาใช้ได้ก็เพิ่มจากเดิมสองแสนเป็นสามแสน


ภายใต้สถานการณ์ปกติ การเช่ยวชาญทักษะดาบสามแสนอันหมายถึงการเลื่อนเป็นแก่นแท้เต๋าดาบระดับ3


แต่ทว่า หลินฮวงไม่สามารถบรรลุความก้าวหน้า


เขายังตระหนักดีว่าการเลื่อนระดับขั้นแก่นแท้เต๋าดาบต้องใช้โอกาส เขาจึงไม่คิดบ่มเพาะทักษะดาบต่อ ดังนั้น เขาจึงหันทิศทางการบ่มเพาะไปยังพลังกฏเทพแทน


เขาบดขยี้การ์ดเห็นแจ้งอีกใบและเริ่มบ่มเพาะรอบใหม่


ความเร่งด่วนของสถานการณ์เป็นเพราะการรุกรานของมหาพิภพที่ใกล้เข้ามา


อีกเหตุผลคือเขาพบว่าพลังเขายังห่างไกลจากเทพแท้จริงขั้นสูง


ท่ามกลางเทพแท้จริงของมหาพิภพ ความสามารถของเทพอีกาถือเป็นช่วงกลางของขั้นสูง ไม่ห่างไกลจากเทพแท้จริงชั้นนำ ถึงกระนั้น เทพอีกาก็ยังใช้พลังกฏเทพได้ถึง108แบบ


แน่นอน หลินฮวงยังรู้ว่าเทพอีกาไม่ได้บ่มเพาะพลังกฏเทพทั้ง108ถึงจุดสูงสุด ไม่งั้นเขาคงเป็นเทพแท้จริงอันดับต้นๆไปแล้ว


เห็นได้ชัดว่าเทพอีกาเชี่ยวชาญพลังกฏเทพทั้ง108แค่ผิวเผิน


ถึงกระนั้น จำนวนพลังกฏเทพที่เทพอีกาใช้ได้ก็ยังทำให้หลินฮวงอิจฉา


นี่ทำให้เขาอุทิศตัวเองกับการบ่มเพาะพลังกฏเทพทันทีหลังเต๋าดาบเขาทะลวงผ่านไม่สำเร็จ


แต่ทว่า สิ่งที่หลินฮวงไม่รู้คือในระหว่างการปิดประตูบ่มเพาะเขา หลายสิ่งได้เกิดขึ้นบนโลกภายนอก


ในวันที่สองของการปิดประตูบ่มเพาะ รัฐบาลกลางได้ประกาศถึงอีกาม่วง ประกาศว่าองค์กรได้สมรู้ร่วมคิดกับเทพอีกาแห่งมหาพิภพเพื่อพยายามบุกโลกกรวดแต่ล้มเหลว


เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ผู้บ่มเพาะทั้งหมดก็ตกอยู่ในความโกลาหล


ผู้บ่มเพาะรู้กันดีว่าอีกาม่วงคือหนึ่งในองค์กรมืดชั้นนำและสมาชิกมันก็ได้ทำสิ่งน่ารังเกียจมากมาย แต่ทว่า ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะร่วมมือกับยอดฝีมือของมหาพิภพเพื่อพยายามบุกโลกกรวด


การกระทำของอีกาม่วงได้กระตุ้นความเกลียดชังของสาธารณชนทันที


แค่หนึ่งนาทีหลังรัฐบาลกลางประกาศ สมาคมนักล่าและขัตติยะก็ได้ออกมาประณามอีกาม่วงและเข้าร่วมกับฝ่ายเรียกร้องให้มีการกวาดล้างอีกาม่วง


เมื่อเห็นว่ายักษ์ใหญ่ทั้งสามได้ออกมาแสดงจุดยืน องค์กรอื่น ทั้งใหญ่และเล็กรีบทำตามและเข้าร่วมกองกำลังขับไล่


ในเวลาไม่นาน อีกาม่วงก็กลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจและถูกผู้บ่มเพาะทุกคนประณาม


วันเดียวกับที่รัฐบาลกลางออกประณาม พวกเขาได้รวมกลุ่มเทพเสมอืนและบุกตรงไปหาอีกาม่วง


สมาคมนักล่าและขัตตะได้เตรียมกลุ่มเทพเสมือนของตนและเข้าร่วมการกวาดล้างด้วย


ทางฝั่งขัตติยะ มีทาสดาบสองคนที่เข้าร่วมกลุ่มกวาดล้างอีกาม่วง


มีทั้งหมด37คนในกลุ่มเทพเสมือน ระดับพลังต่ำสุดคือเทพเสมือนขั้นสอง สูงสุดคือสองทาสดาบที่ระงับพลังไว้ ทั้งคู่คือเทพเสมือนขั้น9


ด้วยกลุ่มดังกล่าว มันใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีและต้องใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเพื่อทำลายศูนย์ใหญ่อีกาม่วง


สำหรับคนในอาคาร แน่นอน ไม่มีใครรอดชีวิต


รัฐบาลกลางนำกลุ่มไปกวาดล้างศูนย์ใหญ่อีกาม่วง ภายในไม่กี่วัน องค์กรใหญ่ต่างๆ


ในเวลาแค่สามหรือสี่วัน สาขาอีกาม่วงเกือบทั้งหมดถูกกำจัด สิ่งเดียวที่หลายคนได้ยินล่วงหน้าคืออีกาม่วงรู้ตัวและหนีไปก่อนสาขาจะถูกบุก


ครึ่งเดือนต่อจากนั้น องค์กรใหญ่ต่างๆก็ได้ปิดล้อมอีกาม่วงอย่างแข็งขัน ยพายามรับส่วนแบ่งจากการปล้นสะดม


หลังจบเรื่องของอีกาม่วง รัฐบาลกลางและองค์กรอื่นก็เริ่มสำรวจมิติบรรพกาลต่อ สะสมทรัพยากรกันอย่างเมามันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม


ในขณะเดียวกัน ขัตติยะและผู้ปลดปล่อยก็ยังคงค้นหาว่าสมาชิกอีกาม่วงที่เหลือหลบซ่อนอยู่ไหนและกำจัดพวกเขาด้วยวิธีที่ทั้งเปิดเผยและแอบแฝง


หลายวันผ่านไป จำนวนการตรัสรู้ธาตุที่หลินฮวงใช้ได้ก็เพิ่มขึ้นทุกเดือน ได้รับผลกระทบโดยการ์ดเห็นแจ้ง


ในชั่วพริบตา สามเดือนก็ผ่านไปทั้งอย่างนั้นและหลินฮวงก็ใช้การตรัสรู้ธาตุได้อีกสิบ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิม


เขาไม่ได้ออกจากการปิดประตูบ่มเพาะทันที แต่กลับโทรหาหวงเทียนฟู่ก่อน


 


“สถานการณ์ของโลกภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”

“สามเดือนที่ผ่านมาสงบดีครับ ยกเว้นช่วงการกวาดล้างอีกาม่วง องค์กรใหญ่ทั้งหมดได้กลับสู่สภาวะเดิม ภายใต้ความพยายามร่วมกันของเรากับผู้ปลดปล่อย สมาชิกอีกาม่วงที่หลบหนีไปได้ถูกจัดการอย่างสมบูรณ์แล้ว”


“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากที่ขอบเหวนรกครับ องค์กรใหญ่ทั้งหมดตอนนี้มีคนคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด ต่อให้เป็นเสียงมด เราก็ยังรู้”


“การสำรวจมิติบรรพกาลและการหาทรัพยากรเป็นไปอย่างราบรื่น ยกเว้นเดือนแรกที่เทพเสมอืนส่วนใหญ่เข้าร่วมการกำจัดอีกาม่วง ความคืบหน้าถึงชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ตอนนี้ก็กลับเป็นปกติแล้วครับ”

“แต่ทว่า มีเรื่องที่ข้าคิดว่าท่านควรรู้ รัฐบาลกลางอาจตระหนักถึงการดำรงอยู่ของทาสดาบ ในขณะที่เข้าร่วมการปิดล้อมศูนย์ใหญ่อีกาม่วง ดาบ168ได้ลงมือ แม้ระดับพลังจริงเขาจะถูกปกปิดได้ทันเวลา เขาก็ยังเป็นที่สังเกตเห็น”


“หากพวกเขารู้ งั้นก็ปล่อยให้รู้ไป”หลินฮวงไม่สนใจ”ขอแค่ไม่ทำตัวเด่นเกินไปก็พอ”

“มีอะไรเกิดขึ้นทางฝั่งผู้ปลดปล่อยไหม?”หลินฮวงถามอีกครั้ง


“นอกจากตอนจื่อจี้โทรหาข้าก่อนหน้าเพื่อคุยเรื่องการปราบปรามอีกาม่วง เราไม่ได้ติดต่อกันเลยครับ หลังรัฐบาลกลางและองค์กรอื่นถอนตัวจากการปิดล้อม คนของผู้ปลดปล่อยก็ปลอมตัวเองเป็นสมาชิกขัตติยะเพื่อเข้าร่วมการตามล่า คนนอกทุกคนต่างคิดว่าการตามล่าเป็นฝีมือเราขัตติยะเพียงลำพัง บทบาทของผู้ปลดปล่อยไม่ได้ถูกเปิดเผย”

“ข้าไม่รู้อะไรมากถึงสถานการณ์ทางฝั่งเขา และก็ไม่มีข่าวพวกผู้ปลดปล่อยบนเครือข่าย ข้าคิดว่าท่านควรถามจื่อจี้เองโดยตรง’”


หลินฮวงพยักหน้า”โอ้ ใช่ หลินซินออกมาหรือยัง?”


“ยังครับ คุณฟู่ได้ตรวจสอบแล้วเมื่อเดินก่อนและนางก็ยังปิดประตูบ่มเพาะอยู่”

“แล้วเสี่ยวโม่ละ?มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นไหม?”หลินฮวงยังไม่สบายใจเรื่องเทพอีกา


“เสี่ยวโม่ได้ปิดประตูบ่มเพาะตั้งแต่เขากลับมาเมื่อสามเดือนก่อน และยังไม่ได้ออกมาเลยครับ”หวงเทียนฟู่ตอบกลับ


“งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา…”หลินฮวงพึมพำเสียงเบา


“ฝ่าบาท ท่านจะออกจากการปิดประตูบ่มเพาะตอนไหน?”หวงเทียนฟู่อดถามไม่ได้


“ข้ายังไม่แน่ใจ..”หลินฮวงยังไม่พอใจกับการพัฒนาความสามารถเขาตลอดสามเดือนนี้และไม่เต็มใจออกจากการปิดประตูบ่มเพาะ”ข้าอาจต้องการเวลาอีกสักพัก”


หลังวางสายกับหวงเทียนฟู่ หลินฮวงก็คุยกับจื่อจี้เรื่องผู้ปลดปล่อย


นอกจากการเข้าร่วมกองกำลังกวาดล้างอีกาม่วง ทุกอย่างทางฝั่งผู้ปลดปล่อยก็ปกติดีเช่นกัน


หลังวางสายกับจื่อจี้ หลินฮวงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ความไม่พอใจเขาไม่ได้มาจากโลกภายนอก แต่มาจากภายในตัวเขาเอง


ปัจจุบัน ระดับพลังเขาไม่อาจพัฒนาได้อีก เขาทำได้แค่พัฒนาแก่นแท้เต๋าดาบและฝึกพลังกฏเทพกับพลังตรัสรู้ธาตุ


แต่ทว่า ต่อให้เขาใช้การ์ดเห็นแจ้ง การยกระดับแก่นแท้เต๋าดาบและการควบคุมพลังกฏเทพก็ยังต้องใช้เวลานาน


ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดสุดคือเวลา


เวลาผ่านไปปีครึ่งแล้วจากสามปีที่เขาคาดการณ์ไว้ และการรุกรานมหาพิภพอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ต่อให้การรุกรานไม่เริ่มไปอีกปีครึ่ง แต่ตามความคืบหน้าการบ่มเพาะเขา เวลาปีครึ่งคงไม่พอให้เขาพัฒนาอะไรขึ้นมากนัก


 


“เสี่ยวเฮย นอกจากการ์ดเห็นแจ้ง มีการ์ดอะไรอีกไหมที่สามารถเพิ่มความเร็วการบ่มเพาะฉันได้และยังไม่ทับกับผลของการ์ดเห็นแจ้ง?”หลินฮวงถาม


“มีอยู่มาก แต่อันที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันของเจ้าสุดจะเป็นการ์ดสิ่งของ ห้องแห่งกาลเวลา”

 

 

 


ตอนที่ 1414

 

ปิดประตูบ่มเพาะอย่างต่อเนื่อง

“ห้องแห่งกาลเวลา?”


“การ์ดห้องแห่งกาลเวลาคือการ์ดไร้ขีดจำกัดสี่ดาวที่สามารถเปิดใช้งานได้หลังท่านเลื่อนเป็นเทพเสมือน ระดับต่ำสุดมันก็ยังเป็นสี่ดาว.”


“ห้องแห่งกาลเวลาจะก่อตัวขึ้นใช้การ์ด มันจะเห็นได้และใช้งานได้โดยผู้ใช้เท่านั้น คนอื่นจะไม่สามารถเห็นหรือแตะต้องได้ หรือแม้แต่รับรู้การมีอยู่ของมัน”

“ในห้องแห่งกาลเวลาสี่ดาว ความเร็วของเวลาที่ปรับได้ช้าสุดคือ1%ของโลกภายนอกและเร็วสุดก็คือร้อยเท่าของโลกภายนอก แต่ทว่า การปรับต้องทำภายในสามนาทีแรกที่เข้าห้องแห่งกาลเวลา เมื่อตั้งค่าแล้ว มันจะไม่สามารถแก้ไขได้”

“การ์ดห้องแห่งกาลเวลาจะมีอายุการใช้งาน24ชั่วโมง มันจะหายไปเองหลังหมดเวลา แต่ทว่า การ์ดสามารถซ้อนทับกันได้ และแต่ละใบจะเพิ่มเวลา24ชั่วโมง”

“ระดับต่ำสุดคือสี่ดาว งั้นก็มีห้าดาวด้วย?”หลินฮวงรีบถาม”กระแสเวลาของห้องแห่งกาลเวลาห้าดาวเป็นยังไง?”

“สำหรับห้องแห่งกาลเวลาห้าดาว ความเร็วเวลาที่ปรับได้ช้าสุดคือหนึ่งต่อพันและเร็วสุดคือพันเท่า ในแง่อื่นๆจะเหมือนกับห้องแห่งกาลเวลาสี่ดาว”


เมื่อได้ยิน หลินฮวงก็ใช้เวลาพิจารณาสักพัก


ตั้งแต่เลื่อนเป็นเทพเสมือนและเปิดใช้บ่อการ์ดสี่ดาว เขาก็ไม่ได้ฆ่าเทพแท้จริงสักเท่าไร เขาสะสมการ์ดสี่ดาวได้แค่115ใบเท่านั้น เพื่อผนึกบุตรแห่งมารพุทธ เขาใช้การ์ด10ใบเพื่อแลกกับการ์ดผนึก ทำให้เขาเหลือแค่105ใบ


กล่าวอีกนัยหนึ่ง การแลกเปลี่ยนการ์ดห้องแห่งกาลเวลาจะแลกได้มากสุดสิบใบ การใช้แต่ละครั้งจะเท่ากับการบ่มเพาะร้อยวัน ดังนั้นสิบใบก็จะเป็นพันวัน


“โชคดี ข้าเป็นแค่เทพเสมือน ดังนั้นข้าจึงต้องใช้แค่การ์ดเห็นแจ้งสามดาว มันควรจะพอ”

เมื่อคิดได้ เขาก็ลงมือทันทีและกล่าวกับเสี่ยวเฮย”ข้าจะขอแลกการ์ดห้องแห่งกาลเวลาก่อนห้าใบ”

“ท่านยืนยันหรือไม่ที่จะใช้โอกาสสุ่มการ์ด4ดาว50ใบกับการ์ดห้องแห่งกาลเวลา5ใบ?”

“ยืนยัน!”

“กำลังใช้โอกาสสุ่มการ์ดสี่ดาวx50 กำลังแปลง..”

“ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านได้รับการ์ดห้องแห่งกาลเวลาx5!”


หลินฮวงหยิบการ์ดออกมาตรวจสอบ


ด้านหน้าการ์ดเป็นกระท่อมไม้เรียบง่ายกำลังลอยในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว


หลินฮวงพลิกการ์ดและตรวจข้อมูลด้านหลัง


คำอธิบายนั้นสอดคล้องกับที่เสี่ยวเฮยได้กล่าว


แต่ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่เสี่ยวเฮยไม่ได้หยิบยกขึ้นมา ซึ่งก็คือห้องแห่งกาลเวลามีคุณสมบัติกักขัง


คุณสมบัตินี้จะเพิ่มความเร็วเวลาไปอีกร้อยเท่าของขีดจำกัดสูงสุดทั่วไปในกระแสเวลาของการ์ด กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณสมบัติกักขังของห้องแห่งกาลเวลาสี่ดาวสามารถเพิ่มกระแสเวลาได้ถึงหมื่นเท่าของโลกภายนอก


อย่างไรก็ตาม ภายใต้คุณสมบัติกักขัง ทุกสิ่งมีชีวิตจะถูกปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งหมดยกเว้นความรู้สึกเรื่องเวลา นี่หมายความว่าพวกเขาจะรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเท่านั้น แม้กระทั่งสัมผัสพวกเขาที่มีต่อพลังเทวะ ไฟเทวะและพลังกฏเทพต่างๆของตนก็ยังถูกปิดกั้น กมันเป็นไปไม่ได้ที่จะบ่มเพาะภายใต้สภาพเช่นนี้


 


“คุณสมบัติกักขังนี้คือวิธีลงโทษสินะ?”หลินฮวงอดถามไม่ได้


“ห้องแห่งกาลเวลาเดิมเป็นของที่สร้างขึ้นเพื่อลงโทษ ห้องแห่งกาลเวลาอันแรกถูกใช้เพื่อลงโทษคนชั่ว”

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้าสามารถใช้การ์ดเพื่อกักขังคนไว้ข้างในได้สินะ?”หลินฮวงพบวิธีใช้แบบใหม่


“ใช่ แต่การ์ดสี่ดาวสามารถขังได้สูงสุดแค่เทพแท้จริง และจะใช้ได้เพียงวันเดียว เมื่อหมดระยะเวลา ห้องแห่งกาลเวลาจะหายไปเองและอีกฝ่ายจะได้รับการปลดปล่อย”

“อ่า ดูเหมือนจะมีค่าใช้จ่ายสูงเลยทีเดียว”หลินฮวงพูดไม่ออก


แม้อีกฝ่ายอาจรู้สึกว่าถูกขังเป็นเวลาหมื่นวัน แต่ในความเป็นจริง โลกภายนอกนั้นผ่านไปแค่วันเดียว


การใช้การ์ดประเภทนี้เพื่อจับศัตรูค่อนข้างไร้ประสิทธิภาพ


เมื่อพิจารณาแล้วว่าเขาอาจไม่มีพอจะใช้กับตัวเองด้วยว้ำ หลินฮวงจึงล้มเลิกความคิดที่จะใช้มันเพื่อกักขังศัตรู


หลินฮวงรู้สึกเบื่อที่จะคุยกับเสี่ยวเฮยแล้วและรีบขยี้การ์ดห้องแห่งกาลเวลา


การ์ดพลันเปลี่ยนเป็นจุดแสงดาวเล็กๆ ซึ่งควบแน่นกันเป็นกระท่อมไม้เรียบง่ายตรงหน้าเขา ห่างออกไปไม่ถึงสองเมตร


กระท่อมดูเหมือนภาพบนหน้าการ์ด เรียบง่ายมาก จากด้านนอก การตกแต่งภายในอาจกว้างประมาณสิบตารางเมตร ซึ่งวางได้แค่เตียงเท่านั้น


แต่ทว่า ตามประสบการณ์ของหลินฮวง แม้มันจะดูทรุดโทรมและมีขนาดเล็กจากภายนอก ภายในมันอาจไม่เป็นเหมือนด้านนอก เหนือสิ่งอื่นใด มีของมิติมากมายที่ภายนอกดูธรรมดา แต่มักมีของยิ่งใหญ่อยู่ภายในนั้น


หลินฮวงไม่คิดให้มากความ เขาผลักเปิดประตูและเดินเข้าไป


ทันทีที่เขาเข้าไป เขาก็ผงะทันที


เมื่อมองไรอบๆ เขาก็พบว่าภายในห้องถูกจัดวางให้เหมือนกระท่อมเล็กเรียบง่าย ซึ่งเกือบเหมือนกับที่เห็นจากภายนอก


พื้นที่ทั้งหมดมีประมาณสิบกว่าตารางเมตรและไม่มีเตียงนอน นับประสาอะไรกับโต๊ะ เก้าอี้หรือม้านั่ง มันแค่ห้องเปล่าที่มีพื้นกับเพดาน เว้นแต่ประตูไม้ กำแพงไม่มีอะไรเลย ไม่แม้แต่หน้าต่าง


 


“กระท่อมนี้แย่กว่าห้องที่ฉันเคยอยู่ตอนเรียนจบวิทยาลัยซะอีก…อย่างน้อยห้องนั้นก็มีหน้าต่างกับเตียง”หลินฮวงคิดว่ากระท่อมจะสอดคล้องกันทั้งภายในและภายนอก


 


แต่ทว่า เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เหนือสิ่งอื่นใด เขามีเวลาแค่สามนาทีเพื่อกำหนดความเร็วกระแสเวลา หากเขาไม่ทำภายในสามนาที กระแสเวลาจะเป็นเหมือนกับโลกภายนอก ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้การ์ดเล่น


 


“กำหนดความเร็วของเวลา”


ทันทีที่หลินฮวงพูดจบ หน้าปัดโปร่งแสงก็ปรากฏตรงหน้าเขา


“ความเร็วของเวลา”


“โลกภายนอก : ห้องแห่งกาลเวลา =1:1”


หลินฮวงขยับนิ้วไปยังตัวเลขด้านหลังและเริ่มรูดขีน้


ตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทีละหนึ่ง 1 2 3….


หลินฮวงเลื่อนไปที่100ก่อนจะไม่สามารถปัดขึ้นได้อีก


ตอนนี้ อัตราส่วนเวลาบนหน้าปัดเปลี่ยนไป


 


“โลกภายนอก : ห้องแห่งกาลเวลา = 1:100”


หลังเขาปรับเสร็จ กล่องข้อความโปร่งแสงก็ผุดขึ้นตรงหน้าหลินฮวงอีกครั้ง


“ล็อคความเร็วของเวลาหรือไม่?”

“ใช่”หลินฮวงคิดและยังตัดสินใจเหมือนเดิม


“กำหนดความเร็วของเวลาปัจจุบันเป็นความเร็วเริ่มต้นหรือไม่?”

“ใช่”หลินอวงคิดสักพักและเลือกใช่


 


หลังตั้งเวลา หน้าปัดด้านหน้าเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว จู่ๆหลินฮวงก็พบว่ามีนาฬิกาบนกำแพงตรงข้ามประตูไม้ เขาไม่รู้ว่ามันปรากฏตอนไหน


เขามั่นใจว่ามากตอนเขาเข้าห้อง ไม่มีการตกแต่งใดๆบนกำแพงเลย เป็นแค่กำแพงสีขาวว่างเปล่าสี่ด้านผนัง


แต่ทว่า เขาสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่านาฬิกาแขวนไม่ได้แสดงเวลา มันกลับกำลังนับถอยหลัง


 


“การนับถอยหลังเริ่มขึ้นแล้ว?”

หลินฮวงเลิกคิ้วและนั่งขัดสมาธิทันที ควบคุมลมหายใจ จากนั้นก็หยิบการ์ดเห็นแจ้งออกมา หลังบดขยี้มันหลินฮวงก็หลับตาลงและเริ่มบ่มเพาะการตรัสรู้ธาตุรอบใหม่…

 

 

 


ตอนที่ 1415

 

หลินฮวงออกจากการปิดประตูบ่มเพาะ

เวลาในโลกภายนอกผ่านไปทีละวัน และเวลาของหลินฮวงก็เร็วขึ้นร้อยเท่า เวลาด้านนอกที่ผ่านไปทุกวัน เขาจะบ่มเพาะในห้องแห่งกาลเวลาเป็นเวลาร้อยวัน


ผ่านการเร่งของห้องแห่งกาลเวลา จำนวนพลังกฏเทพที่เขาใช้ได้ก็พุ่งสูงขึ้นแทบทุกวัน


เขาใช้เวลาแปดวันเพื่อเรียนการตรัสรู้ธาตุใหม่86อัน จากนั้นก็สองวันเพื่อเรียนพลังกฏเทพใหม่24อัน


เมื่อมาถึงจุดนี้ พลังกฏเทพที่เขาใช้ได้ก็มากถึง120แล้ว


ความเชี่ยวชาญของเทพแท้จริงที่มีต่อพลังกฏเทพแบ่งเป็นสี่ระดับ ชั่วขณะ ชำนาญ ควบคุมและสมบูรณ์


หลินฮวงใช้การ์ดเห็นแจ้งเพื่อเลื่อนพลังกฏเทพทั้งหมดเป็นระดับควบคุม ซึ่งยังเป็นขีดจำกัดปัจจุบันของการ์ดเห็นแจ้ง เพื่อให้ถึงระดับสมบูรณ์ หลินฮวงประเมินว่าตามมาตรฐานปัจจุบันเขา ทุกพลังกฏเทพเขาต้องใช้การ์ดเห็นแจ้งเพิ่มอย่างน้อยหนึ่งใบ มันอาจต้องใช้สองหรือสามใบเพื่อเข้าถึงความสมบูรณ์


ในความเป็นจริง พลังกฏเทพสมบูรณ์คือรากฐานของการสร้างบัญญัติเทพ


แต่ทว่า เทพแท้จริงคนใดที่สามารถเข้าถึงพลังกฏเทพระดับสมบูรณ์ได้ก็เทียบเท่ากับการก้าวสู่ระดับเทพสวรรค์ไปครึ่งตัวแล้ว ท่ามกลางเทพแท้จริง นี่ถือเป็นจุดสูงสุด


หลินฮวงค่อนข้างพอใจกับความสามารถปัจจุบันเขา พลังกฏเทพทั้ง120ล้วนเป็นระดับสมบูรณ์และความสามารถเขาก็นับเป็นเทพแท้จริงชั้นนำแล้ว ต่อให้เขาไม่เก่งเท่าเทพแท้จริงขั้นสูงสุด อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามาก


แม้เทพอีกาจะมีพลังกฏเทพ108ชนิด ตามความสามารถทั่วไปเขา หลินฮวงเดาว่าพลังกฏเทพทั้ง108น่าจะอยู่ระดับเลือนรางเท่านั้น มีไม่มากที่อยู่ในระดับควบคุม


หลังสิบวันของการปิดประตูบ่มเพาะในห้องแห่งกาลเวลา ความสามารถโดยรวมของหลินฮวงก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง และความรู้สึกไม่มั่นคงก่อนหน้าเขาก็ลดน้อยลงแล้ว


 


“น่าเสียดาย หากข้ามีการ์ดห้องแห่งกาลเวลาอีก มันควรเป็นไปได้ที่จะยกระดับเต๋าดาบข้าเป็นขั้นความเป็นจริง”หลินฮวงยังรู้สึกว่ามันน่าเสียดาย แต่เขาก็เหลือแค่โอกาสสุ่มการ์ด4ดาว5ครั้ง ซึ่งไม่พอจะแลกเป็นการ์ดห้องแห่งกาลเวลา


ขณะเฝ้าดูห้องแห่งกาลเวลาตรงหน้าค่อยๆสลายตัวหายไป หลินฮวงก็ส่ายหัวและรวบรวมความคิดเขา


ตอนนี้เอง แหวนสื่อสารเขาเริ่มสั่นไม่หยุด


เนื่องจากสัญญาณสื่อสารถูกขวางโดยห้องแห่งกาลเวลา ข้อความจากก่อนหน้านี้จึงถูกสะสมไว้จนกระทั่งตอนนี้


หลินฮวงกดดูหน้าสื่อสารและพบว่าสามวันก่อน คุณฟู่ จื่อจี้และหวงเทียนฟู่ได้พยายามติดต่อเขา


สายแรกมาจากหวงเทียนฟู่ตอนประมาณแปดโมง สายสองมาจากจื่อจี้จากตอนประมาณเก้าโมง และสายสามมาจากคุณฟู่ตอนประมาณเที่ยง


หลินฮวงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเดาว่าคงมีเรื่องเกิดขึ้นแน่


เมื่อเห็นว่ายังมีข้อความที่ไม่ได้อ่านอีกมากในกล่องจดหมาย เขาก็รีบตรวจสอบ


ข้อความแรกถูกส่งมาโดยคุณฟู่ตอนประมาณตี5.15


 


“ศิษย์รัก ผนึกที่ขอบเหวนรกประสบกับความผันผวนผิดปกติ เราสงสัยว่ามันอาจถูกก่อกวนโดยกองกำลังภายนอก ข้าได้แจ้งรัฐบาลกลางแล้ว โปรดออกจากการปิดประตูบ่มเพาะให้เร็วที่สุด!”


ข้อความสองมาจากหวงเทียนฟู่ตอน8โมง22นาที


“ฝ่าบาท ผู้พิทักษ์ที่ขอบเหวนรกได้ส่งข่าวมาว่าผนึกของรอยแยกสามมิติสามอันเกิดความผันผวน และความผันผวนทางมิติของรอยแยกทั้งสามก็ยิ่งรุนแรง ข้าได้เรียกรวมเทพเสมือนของขัตติยะแล้ว”

ข้อความสามส่งมาโดยจื่อจี้ตอน8โมง41นาที


“ฝ่าบาท ผนึกของขอบเหวนรกแตกแล้ว ข้าได้เรียกรวมเทพเสมือนทั้งหมดแล้ว เรากำลังรอคำสั่งท่าน”

ข้อความสี่ส่งมาโดยคุณฟู่ตอนบ่าย


“ศิษย์รัก ข้าจะไปขอบเหวนรกเพื่อตรวจสอบสถานการณ์กับคนจากรัฐบาลกลาง ข้าจะแจ้งเจ้าและเทียนฟู่ถึงรายละเอียดทีหลัง”


ข้อความหลังจากนั้นถูกส่งมาโดยคุณฟู่พร้อมแนบรูปและวิดิโอ


หลินฮวงกดดูทั้งหมด ยิ่งเขาดู เขาก็ยิ่งขมวดคิ้ว


ในรูปที่คุณฟู่ส่งมา จำนวนผนึกที่แตกยังคงเพิ่มขึ้น


ตอนแรก มีเพียงสามผนึกที่ถูกทำลาย วันต่อมา มันกลายเป็นเจ็ด และในวันที่สาม มันกลายเป็น12…


ในวันที่สาม เทพเสมือนชุดแรกเริ่มถูกส่งมาผ่านรอยแยกมิติ


โชคดี รัฐบาลกลางเตรียมการมาดี ร่วมกับคุณฟู่ที่เป็นเทพเสมือนขั้น9 พวกเขาจัดตั้งค่ายกลรบและฆ่าศัตรูชุดแรกทันที


หลังค้นผ่านวิดิโอและรูปที่คุณฟู่ส่งมา หลินฮวงก็ไม่ลังเลและผลึกเปิดประตูวังจักรพรรดิออกไป


ดาบ101และดาบ102ทักทายเขาทันที


“พวกเจ้า เรียกรวมทาสดาบทั้งหมดและรีบไปขอบเหวนรกชั้นสามให้เร็วที่สุด!”


เมื่อเขาออกคำสั่ง หลินฮวงก็ใช้จิตเทวะและปรากฏในห้องทำงานของหวงเทียนฟู่ทันที


“ฝ่าบาท ท่านออกมาแล้ว!”

เมื่อเห็นหลินฮวง ในที่สุดหวงเทียนฟู่ก็ถอนหายใจ


“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

แม้เขาจะได้รับข้อความแนวหน้าจากคุณฟู่ทุกวัน หลินฮวงก็ยังอยากรู้สถานการณ์จากทางฝั่งหวงเทียนฟู่


 


“มันไม่ดีนัก มีผนึกถูกทำลายมากขึ้น และตลอดสองวันที่ผ่านมา มหาพิภพได้เริ่มส่งคนมาตรวจสอบสถานการณ์ทางฝั่งนี้”สีหน้าหวงเทียนฟู่ไม่สู้ดี


“เมื่อวาน ข้าขอให้ท่านไป่ยู่และตู้ฟู่พาเทพเสมือนครึ่งหนึ่งไปขอบเหวนรก ยังมีทาสดาบ7ตนไปกับพวกเขาด้วย”


หลินฮวงสังเกตเห็นว่านอกจากดาบ101และดาบ102ที่เฝ้าตรงทางเข้า ยังมีทาสดาบคอยเฝ้าหลินซินอยู่ด้วย


“แล้วทางฝั่งผู้ปลดปล่อยละ?”หลินฮวงถาม


“พวกเขาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเรา พวกเขายังส่งเทพเสมือนครึ่งหนึ่งไป”หวงเทียนฟู่อธิบาย”เมื่อวานรัฐบาลกลางได้ประกาศข่าวต่อโลกบ่มเพาะ และองค์กรที่มีเทพเสมือนก็ได้ส่งคนมาหนุนทัพแล้ว”

“ดีมาก”หลินฮวงพยักหน้า


“หลินซินและเสี่ยวโม่ยังไม่ออกมาอีกงั้นหรอ?”เขาถามอีกครั้ง ใช้จิตเทวะ และพบว่าพวกเขายังปิดประตูบ่มเพาะ


“ไม่ครับ พวกเขาปิดประตูบ่มเพาะกันตลอดและไม่เคยออกมาเลย”หวงเทียนฟู่ส่ายหัว


“ข้าจะเดินทางไปขอบเหวนรก หากข้าไม่ออกคำสั่ง ก็ไม่จำเป็นต้องส่งคนมาเพิ่ม”หลินฮวงพูดพร้อมกับส่งข้อความไปหาจื่อจี้ ให้คำสั่งคล้ายๆกัน


หลังปิดหน้าสื่อสาร หลินฮวงก็เรียกประตูมิติออกมาและแหงนมองหวงเทียนฟู่”เจ้าต้องดูแลศูนย์ใหญ่ขัตติยะไปก่อน หากข้าต้องการกำลังเสริมจริงๆ ข้าจะแจ้งเจ้า”


ทันทีที่เขาพูดจบ ก่อนหวงเทียนฟู่จะได้ตอบสนอง หลินฮวงก็หายไปแล้ว


หวงเทียนฟู่เปิดปากเพื่อจะพูดบางอย่าง แต่ก็เห็นว่าหลินฮวงได้เข้าประตูมิติไปแล้ว


ประตูมิติค่อยๆปิดตัว หลินฮวงยืนอยู่อีกฝั่งของมันแล้วและโบกมือให้หวงเทียนฟู่ด้วยใบหน้าสงบนิ่งราวกับเขาแค่จะไปเที่ยว…

 

 

 


ตอนที่ 1416

 

คุยกับรัฐบาลกลาง

เมื่อเขาก้าวออกประตูมิติ หลินฮวงก็ได้มาอยู่ตรงทางเข้าขอบเหวนรกแล้ว


หลังเก็บประตูมิติ เขาก็ทิ้งดิ่งไปในขอบเหวนรก ไปปรากฏตรงทางเข้าชั้นสอง


“กฏมิติที่ระดับควบคุมสะดวกจริงๆ”หลินฮวงพึมพำเสียงต่ำก่อนก้าวผ่านทางเข้าชั้นสอง


เมื่อก้าวเข้าชั้นสอง เขาก็ก้าวเท้าอีกก้าวและไปปรากฏตรงทางเข้าชั้นสาม


เมื่อชั้นสามของขอบเหวนรก หลินฮวงก็ปล่อยจิตเทวะและพบตำแหน่งพวกเขาคุณฟู่ในเวลาไม่นาน


วินาทีถัดมา ร่างเขาก็ปรากฏตรงจุดที่พวกคุณฟู่อยู่


คุณฟู่และเหล่าทาสดาบตอบสนองทันทีที่สัมผัสได้ถึงการมาของอีกคน พวกเขารีบหันไปมอง


“ศิษย์รัก?!”เมื่อคุณฟู่เห็นว่ามันเป็นหลินฮวง เขาก็กล่าว”เจ้าออกจากการปิดประตูบ่มเพาะแล้ว?”

“ครับ”หลินฮวงพยักหน้า เดินไปหาคุณฟู่”ข้าเพิ่งออกจากการปิดประตูบ่มเพาะวันนี้ และเห็นข้อความที่ท่านทิ้งไว้ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


เหตุผลที่หลินฮวงถามก็เพื่อถามความคืบหน้าจากเมื่อวาน เพราะวันนี้คุณฟู่ยังไม่ได้ส่งข้อความมาหาเขา


“ไม่ค่อยดีนัก”คุณฟู่ได้ยินคำถามและสีหน้ามีความสุขของเขาก็หายไป”ปัจจุบันมีรอยแยกกว่า30จุดบนขอบเหวนรกชั้นสามนี้ ซึ่งมากกว่าสองปีก่อนมาก”

“นี่เป็นเรื่องปกติ ในอดีต มีบางรอยแยกหลบซ่อน พวกมันปกปิดอยู่ภายในหน้าผาหินหรือลึกลงไปใต้ดิน มันยากที่จะตรวจพบหากพวกมันไม่ปล่อยความผันผวนใดๆ”หลินฮวงแสดงความคิดเห็น


“ปัญหาคือตั้งแต่เมื่อวาน มหาพิภพได้พยายามส่งคนมาสำรวจ ยิ่งไปกว่านั้น ระดับพลังของผู้สำรวจที่ส่งมายังสูงขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ยิ่งยากจะจัดการ”คุณฟู่แสดงความกังวล”หากรอยแยกทั้ง30นี้ส่งคนมาพร้อมกัน เราคงไม่มีกำลังคนพอจะรับมือ”


เนื่องจากเทพเสมือนส่วนใหญ่จากองค์กรใหญ่เป็นแค่เทพเสมือนขั้นต้น พวกเขาจึงต้องร่วมมือกันและสร้างค่ายกลต่อสู้


ตอนนี้ นอกจากคุณฟู่ ทุกคนยังเตรียมพร้อมต้อนรับศัตรู มีทาสดาบ7คนจากกลุ่มขัตติยะและทาสดาบ5คนจากกลุ่มผู้ปลดปล่อยที่ปลอมเป็นเทพเสมือนขั้นต้น แต่ละคนได้สร้างค่ายกลต่อสู้


ยกเว้นคุณฟู่ ปัจจุบันมีเพียง28กลุ่มในขอบเหวนรกชั้นสาม


“ไม่ต้องห่วง กำลังเสริมจะมาถึงในสองวัน”หลินฮวงกล่าวอย่างสบายใจ


 


เขาไม่กังวลเลยเพราะมีทาสดาบกว่าสองร้อยกำลังเดินทางมา


ทาสดาบเหล่านี้คือเทพแท้จริงขั้น6 ทันทีที่เจตจำนงของโลกกรวดถูกยับยั้ง ระดับพลังพวกเขาก็จะคลายผนึกเช่นกัน


ตอนนี้ที่นักสำรวจยังไม่ถูกส่งมา การปรากฏตัวของหลินฮวงจึงดึงดูดความสนใจของทุกคน


เหนือสิ่งอื่นใด ก่อนหน้านี้เขาไปมหาพิภพมา เขาถือเป็นคนดังของโลกบ่มเพาะ เป็นคนที่มียอดค้นหามากสุดของโลก คนทั้งหมดที่นี่ล้วนเป็นผู่บ่มเพาะชั้นยอด ต่อให้พวกเขาไม่เคยพบหลินฮวงมาก่อน ใบหน้าเขาก็ไม่ใช่แปลกหน้าอะไร แถมยังมีคนที่เคยพูดคุยกับเขาด้วย


ทาสดาบทั้งเจ็ดของขัตติยะมาทักทายหลินฮวงพร้อมสมาชิกคนอื่น


“ฝ่าบาท!”


ทั้งเจ็ดไม่ได้เรียกหลินฮวงว่าจอมดาบเพราะเขาสั่งไว้ ตอนนี้พวกเขากำลังปลอมเป็นสมาชิกขัตติยะ มันจึงเหมาะสมกว่าที่จะเรียกเขาเช่นนี้


หลินฮวงพยักหน้าเล็กน้อย สายตาเขาสลับไปมาระหว่างสมาชิกขัตติยะ จากนั้นก็เหลือบไปมองทางผู้ปลดปล่อยซึ่งมีทาสดาบทั้งห้า


เมื่อหลินฮวงละสายตาออกจากผู้ปลดปล่อย ตงฟางไป่ รองประธานของรัฐบาลกลาง ผู้นำกลุ่มรัฐบาลกลางก็เดินมาพร้อมกับกวนจง


“จักรพรรดิหลิน หากไม่ได้พบท่านวันนี้ ข้าคงคิดว่าข่าวการกลับมาของท่านครึ่งปีก่อนเป็นข่าวปลอม”ตงฟางไป่ทักทายหลินฮวงอย่างสุภาพ


“หัวหน้าตงฟาง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”หลินฮวงทักทายเขาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ”ข้าปิดประตูบ่มเพาะตั้งแต่กลับมา ข้าเคยพูดไว้ว่าหากข้ามีเวลา ข้าจะไปเยือนรัฐบาลกลางและจิบชากับท่าน แต่ข้าก็ไม่มีเวลาเลย”


“ข้าเพิ่งออกจากการปิดประตูบ่มเพาะก็วันนี้ เดิมข้าวางแผนจะหยุดพัก แต่ก็ได้รับข้อความเสียก่อนจึงรีบรุดหน้ามา”

“ท่านเป็นคนที่งานรัดตัวเสียจริง”ตงฟางไป่จับมือกับหลินฮวง


“มันก็ยังจัดการได้ มันไม่ยุ่งเท่ากับงานของพวกท่านหรอก”


“ปกติเราก็สบายดี แต่ช่วงนี้งานนั้นยุ่งมาก”ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนตงฟางไป่จะเข้าเรื่อง”แม้เราจะเตรียมการไว้แล้ว การเตรียมการของเราทั้งหมดก็ยังไม่พอ”

“จักรพรรดิหลิน ท่านมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการรุกรานนี้ไหม?”

“ข้อเสนอแนะข้าเรียบง่าย มาร่วมมือกัน หยุดเถียงกัน พยายามสุดความสามารถเพื่อจัดการกับศัตรูภายนอก หากมีความขัดแย้ง ก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น ตอนนี้เราไม่อาจเสียเวลาไปกับปัญหาภายในได้ ศัตรูเราทรงพลังมากกว่าเดิม โลกกรวดอาจตกเป็นดินแดนบริวารของคนอื่นหากเราไม่ระวัง”


เนื่องจากการสนทนาของทั้งสองไม่ได้กระทำผ่านคลื่นเสียง ทุกคนจึงได้ยินคำพูดของหลินฮวง


หลายคนเห็นด้วย แต่ก็มีคนที่ดูถูกเหยียดหยาม


 


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ทุกคนควรละทิ้งความแค้นใจไว้ชั่วคราวและร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้”ตงฟางไป่ยิ้ม


“เอาเป็นว่าเราอย่ามาคุยเรื่องเครียดๆกันเลย จักรพรรดิหลิน ข้าไม่เจอท่านมากว่าปีแล้ว ท่านจะไม่เชิญข้าไปจิบชาด้วยกันหน่อยหรือ?”


ทันทีที่ตงฟางไป่กล่าวเช่นนี้ หลินฮวงก็เข้าใจว่าเขาอยากคุยเป็นการส่วนตัว


คุณฟู่เหลือบมองและหลินฮวงก็เหลือบไปเห็นเต็นท์ที่อยู่ไม่ไกล เขายิ้มและพยักหน้า”หากท่านไม่รังเกียจก็เชิญ”


 


หลินฮวงนำตงฟางไป่และพวกเขาเข้าไปในเต็นท์ เหล่าทาสดาบกำลังจะตามมาแต่คุณฟู่ก็ส่งสายตาให้หยุด มีเพียงตัวเขาถึงตามเข้าไป


เต็นท์นี้ดูธรรมดาจากด้านนอก แต่จริงๆแล้วมันคือสมบัติเทพประเภทวังของคุณฟู่ และมันก็มีระดับเกือบเท่ากับวังจักรพรรดิ


การตกแต่งภายในสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ามันคือบ้านของคุณฟู่ หลินฮวงเคยมาที่นี่หลายครั้งในอดีต


 


“คุณฟู่ วังนี้ต้องแพงมากแน่ๆ!”ตงฟางไป่เห็นของระดับสูงมากมาย แม้กระทั่งเขาก็ยังอดอุทานไม่ได้


“เมื่อข้าซื้อมันมา ข้าใช้เงินเก็บข้าไปเกือบหมด”คุณฟู่ยิ้ม


 


สีหน้าของหลินฮวงไม่แยแส เขาไม่พูดอะไร เขามีสมบัติเทพสวรรค์ที่เหล่าเทพสวรรค์ใช้ นอกจากนี้ เขายังสะสมสมบัติกฏเทพไว้มาก เขายังมีอาวุธเซียนเจ็ดชิ้น เมื่อนำมันออกมา แค่ชิ้นเดียวก็มีค่ามากกว่าวังนี้แล้ว


ผู้คนพากันเดินเข้าโถง หลังจับจองที่นั่ง คุณฟู่ก็นำชุดชาล้ำค่าของเขาออกมา


ในที่สุดตงฟางไป่ก็น่งตัวตรงและเริ่มการสอบถามหลินฮวง


 


“หลินฮวง ท่านอยู่ในมหาพิภพมาปีหนึ่งเต็มๆ ท่านย่อมรู้อะไรมากกว่าเรา ช่วยบอกเราตรงๆ ระดับความสามารถของผู้บุกรุกครั้งนี้เป็นอย่างไร?ทักษะของพวกเขาเหนือกว่าเทพแท้จริงขั้นต่ำหรือไม่?”


หลินฮวงเหลือบมองคุณฟู่ คิดว่าเขาคงพูดอะไรบางอย่างกับรัฐบาลกลางมาบ้าง แต่ทว่า คุณฟู่กลับส่ายหัว บ่งชี้ว่าเขาไม่ได้พูดอะไร


ตงฟางไป่และคนอื่นๆสังเกตเห็นท่าทางเหล่านี้”จากที่ดูแล้ว พวกท่านคงปกปิดบางอย่างไว้จริงๆ”

หลินฮวงจำต้องพยักหน้า”ในเมื่อการรุกรานเริ่มขึ้นแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบังอีก”

“การรุกรานโลกชั้นต่ำโดยมหาพิภพมักเกิดขึ้นโดยเทพแท้จริงขั้นสูง ในหลายกรณี ผู้ริเริ่มคือเทพแท้จริงขั้น9ที่มีองค์กรอิสระของตนเอง มันอาจเป็นการร่วมมือของขุมกำลังระดับเทพแท้จริงขั้น9หลายองค์กรด้วยซ้ำ…”


 


เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของหลายคนก็สลดลง

 

 

 


ตอนที่ 1417

 

90%

ชั้นสามของขอบเหวนรก


เมื่อเห็นตงฟางไป่นำกลุ่มรัฐบาลกลางไปเต็นท์ของขัตติยะ เกือบทุกคนก็รู้ว่านั่นไม่ใช่แค่การจิบชาทั่วไป


หลายคนลอบเดาว่ารองหัวหน้ารัฐบาลกลางกับจักรพรรดิแห่งขัตติยะจะคุยเรื่องอะไรกัน


สิ่งที่ทำให้หลายคนแปลกใจคือพวกตงฟางไป่กลับเดินออกจากเต็นท์ในเวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยใบหน้าขมขื่น


 


“เกิดอะไรขึ้น?ทำไมคนของรัฐบาลกลางถึงทำหน้าแบบนั้น?!”

“สีหน้าเหล่านั้น…หรือว่าการเจรจาจะไม่ไปสวย?”

“ตามตำนาน รองหัวหน้ารัฐบาลกลางตงฟางไป่ไม่เคยแสดงความรู้สึกเขามาก่อน ต่อให้เขาเจอเรื่องพิเศษแค่ไหน ใบหน้าเขาก็จะไม่แสดงความผิดปกติ สิ่งที่คุณฟู่กับหลินฮวงพูดในวันนี้ถึงกับทำให้เขาไม่สามารถควบคุมการแสดงสีหน้าได้เชียว?!”


 


เมื่อพวกเขาเห็นสีหน้าของตงฟางไป่และคนอื่น ทุกคนก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น


หลังจากนั้น ผู้คนก็เห็นหลินฮวงกับคุณฟู่เดินออกมา ดูราวกับไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ความอยากรู้ของทุกคนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


พวกนอกรีตเองก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน


 


“หัวหน้า ไปถามสิว่าเกิดอะไรขึ้น”เด็กสาวผมม่วงแทงศอกใส่ซุนจ้าว


“ข้าไม่ไป!”ซุนจ้าวรีบละสายตาออกจากค่ายของพวกขัตติยะทันที


“เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองก็อยากรู้ ทำไมถึงไม่ไปถามละ?”เฉาหยากล่าว


“ข้าไม่ได้อยากรู้”ซุนจ้าวรีบหันเดินไปทางเต็นท์เขาด้วยใบหน้าเย็นชา


“ดูสายตาของเจ้าที่ทรยศปากตัวเองสิ อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นมันแค่เพราะเจ้าสวมหน้ากาก สายตานั่นกำลังบอกว่า’เกิดอะไรขึ้น ข้าอยากรู้จริงๆ!’..”

“หุบปาก หากเจ้าอยากรู้ก็ไปถามเองสิ!”ซุนจ้าวเดินตรงไปเต็นท์เขา


เมื่อเห็นว่านางไม่สามารถโน้มน้าวหัวหน้าตัวเองได้อีก เฉาหยาก็ยิ้มและหันไปมองรองหัวหน้า โจวตง


ก่อนนางจะได้พูดอะไร โจวตงก็แคะขี้มูกออกมาด้วยนิ้วก้อย แหงนหน้าขึ้นและดีดนิ้วก้อยเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย”เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่ง?ไปถามเองสิ!”


หลังเขาพูดจบ เขาก็ยัดนิ้วก้อยเข้าไปในรูจมูกอีกข้าง


เฉาหยาไม่พอใจ นางละสายตาจากโจวตง จากนั้นก็มองไปทางหลินฮวง


อาจเพราะเขารู้ว่ามีคนจ้องเขา หลินฮวงจึงหันหัวไปสบตากับเฉาหยาที่กำลังจ้องมองเขาอยู่


เฉาหยาถึงกับผงะ นางลังเล จากนั้นก็ค่อยๆเดินไปทางฝั่งของขัตติยะ


 


“ฝ่าบาท ท่านช่วยบอกข้าถึงเรื่องที่ท่านคุยกับตงฟางไป่ได้หรือไม่?”เฉาหยาตัดสินใจถามตรงๆ”ข้าแค่อยากรู้ หากท่านไม่พูดอะไร งั้นก็แค่ลืมๆไปซะ ถือว่าข้าไม่เคยถาม”


 


นางไม่ได้ใช้คลื่นเสียง ดังนั้นทุกคนจึงได้ยินคำพูดนางชัดเจน พวกรีบเงี่ยหูฟัง รอให้หลินฮวงตอบคำถามนี้


หลินฮวงเหลือบมองกลุ่มของตงฟางไป่ที่กำลังเดินห่างออกไป ตงฟางไป่เพิ่งบอกว่าหลังเขารายงานเรื่องนี้ต่อรัฐบาลกลาง ข่าวจะถูกประกาศทันที หากพวกเขายังคงปกปิดความจริง ผู้คนคงหมดสิ้นขวัญกำลังใจตอนเทพแท้จริงขั้นกลางหรือขั้นสูงจุติลงมา


หากมันประกาศเสียตอนนี้ แม้มันจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจบ้าง มันก็ยังมอบเวลาให้ทุกคนเตรียมใจ


 


“รัฐบาลกลางจะทำการประกาศในอีกสองวันข้างหน้า”หลินฮวงไม่ใช้คลื่นเสียงและมองข้ามเฉาหยาไปหาผู้คนด้านหลังนาง”ข้าสามารถเผยได้เพียงเรื่องเดียว หากเราอยากจัดการกับวิกฤต ทุกคนต้องเตรียมพร้อมกันให้มากกว่านี้”


 


แม้หลินฮวงจะไม่ได้พูดอะไรเฉพาะเจาะจง แต่คนส่วนใหญ่ก็เงียบไปกับคำพูดเหล่านั้น


แม้กระทั่งโจวตง ผู้กำลังแคะจมูกก็ยังหยุดมือเขาชั่วขณะ


มีการพูดคุยมากมายก่อนหน้านี้เพราะหลายคนคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย และอาจเกี่ยวข้องกับรัฐบาลกลางกับขัตติยะเท่านั้น


แต่ทว่า คำพูดของหลินฮวงก็บ่งชี้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับทุกคน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประเด็นที่พูดคุยระหว่างเขากับตงฟางไป่ในเต็นท์ไม่ได้เกี่ยวแค่กับทุกคนที่นี่ แต่อาจเกี่ยวกับทั้งโลกกรวด


เมื่อนึกถึงสีหน้าของตงฟางไป่ ทุกคนก็พอเดาได้ว่านั้นไม่ใช่ข่าวดี


เดิมเฉาหยามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่นางก็เงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบนี้ โดยไม่ถามเพิ่มเติม นางพยักหน้าเล็กน้อย จากั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปค่ายของพวกนอกรีต


คนส่วนใหญ่ที่นี่รู้ว่าหลินฮวงเคยอยู่ในมหาพิภพมา และความเข้าใจเขาก็เหนือกว่าทุกคนในโลกกรวด ในเมื่อเขาพูดแบบนั้น นั่นหมายความว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่าง นอกจากนี้ ด้วยตำแหน่งจักรพรรดิ ผู้นำของหนึ่งในหกองค์กรใหญ่ คำพูดเขาจึงมีน้ำหนักมากสำหรับทุกคน


หลายคนติดต่อศูนย์ใหญ่พวกเขาทันทีเพื่อรายงานคำพูดของหลินฮวง


ทางฝั่งรัฐบาลกลาง ตงฟางไป่พาพวกเขาเข้าเต็นท์ไป กลับไปวังและติดต่อหาเจียงฉาน


หลังจากนั้นไม่นาน สายก็เชื่อมต่อ


เมื่อเห็นสีหน้าของพวกตงฟางไป่บนภาพฉาย หัวใจของเจียงฉานก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


 


“เกิดอะไรขึ้น?!เกิดการรุกรานแล้ว?!”

“ยัง”


เมื่อตงฟางไป่พูดเช่นนี้ เจียงฉานก็ถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ได้ยินประโยคถัดมา


“มีข่าวร้ายกว่านั้น!”


หัวใจของผู้นำรัฐบาลกลางเริ่มเต้นกระหน่ำอีกครั้ง


“หลินฮวงบอกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก เขาจึงปิดบังข้อมูลไว้ ระดับพลังสูงสุดของผู้รุกรานไม่ใช่เทพแท้จริงขั้น3 แต่เป็นเทพแท้จริงขั้น9 นอกจากนี้ มันอาจไม่ใช่เทพแท้จริงขั้น9แค่คนเดียว..”


 


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเจียงฉานก็ซีดขาวไร้สีเลือด


ในเวลาเดียวกับที่เจียงฉานกำลังคุยกับตงฟางไป่ คุณฟู่เองก็คุยกับหลินฮวงผ่านคลื่นเสียง


“มันดูเหมือนว่าระดับพลังเจ้าจะไม่พัฒนาขึ้นเลยจากการปิดประตูบ่มเพาะครั้งก่อน”

“การปิดประตูบ่มเพาะรอบนี้ไม่ใช่เพื่อยกระดับพลัง แต่เป็นการฝึกพลังกฏเทพเพิ่ม”


“แล้วความสามารถเจ้าละ?เจ้าเคยบอกไว้ว่าหากเทพแท้จริงขั้น9ลงมาจริงๆ เจ้าไม่อาจรับประกันได้ว่าจะชนะ แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร?”คุณฟู่ถามอีกครั้ง


“มันไม่ควรเป็นปัญหาแล้ว”หลินฮวงยิ้ม


“เจ้ามั่นใจแค่ไหน?”คุณฟู่ถามย้ำ


“90%”หลินฮวงมั่นใจมาก


“90%?!”คุณฟู่ถามอย่างไม่แน่ใจ เขากลัวว่าหลินฮวงจะจงใจหลอกเพื่อให้เขาสบายใจ


“ตราบเท่าที่ข้าไม่เจอพวกกึ่งเทพสวรรค์ ข้าควรสามารถรับมือได้”หลินฮวงไม่ปิดบังอะไรจากคุณฟู่


“ดี!”


 


ในที่สุดคุณฟู่ก็รู้สึกโล่งใจหลังได้ยินคำเหล่านี้ เขารู้จักศิษย์เขาดี และหากหลินฮวงกล่าวเช่นนั้น งั้นเขาก็ต้องมั่นใจมาก

 

 

 


ตอนที่ 1418

 

ข่าวร้าย

เมื่อความจริงเปิดเผยต่อรัฐบาลกลาง เจียงฉานก็ได้จัดการประชุมทางวิดิโอทันที


ผลลัพธ์สุดท้ายของการหารือคือสถานการณ์จริงจะถูกแบ่งปันให้กับเทพเสมือนทั้งหมด แต่จะไม่เปิดเผยต่อพวกระดับล่าง


มีบุคคลที่ต่ำกว่าเทพเสมือนมากมหาศาล หากข่าวกระจายออกไป มันมีแต่จะทำให้เกิดความตื่นตระหนกในวงกว้าง ซึ่งยากต่อการควบคุม


นอกจากนี้ สงครามนี้กับผู้รุกรานยังเป็นการต่อสู้ระหว่างเหล่าเทพ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับเหล่ายอดฝีมือระดับเทพเสมือนเท่านั้น มันไม่สำคัญว่าคนทั่วไปจะรับรู้ถึงสถานการณ์หรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สงบ การปกปิดความจริงจึงเป็นทางออกที่ดีสุด


หลังกำหนดแผนปฏิบัติการของพวกเขา ตอนบ่ายของวัน ตงฟางไป่ก็รวมกลุ่มคนในขอบเหวนรก


เมื่อเทพเสมือนหลายคนเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของตงฟางไป่ พวกเขาก็สามารถเดาได้แล้วว่าเรื่องที่จะประกาศย่อมไม่ใช่ข่าวดี


 


“สิ่งที่ข้าอยากประกาศครั้งนี้คือข่าวร้าย หลังได้ยินมัน ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ตื่นตระหนก”


“ระดับพลังสูงสุดของผู้รุกรานที่เรากำลังเผชิญครั้งนี้ไม่ใช่เทพแท้จริงขั้นต่ำ แต่เป็นเทพแท้จริงขั้นสูง มันอาจเป็นเทพแท้จริงขั้น9..”


ทันทีที่ตงฟางไป่กล่าวเช่นนี้ เกือบทุกคนก็สับสน


ขั้นต่ำกับสูงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ไม่มีเทพแท้จริงในโลกกรวด หากศัตรูเป็นเทพแท้จริงขั้นต่ำ พวกเขาอาจสามารถพึ่งพาคุณฟ่และเทพเสมือนขั้นสูงคนอื่นได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจยังมีโอกาสชนะบ้าง


แต่ทว่า หากศัตรูคือเทพแท้จริงขั้นสูง มันหมายความว่าจะไม่มีโอกาสพลิกกระดานเลย


ไม่ว่าค่ายกลจะแกร่งแค่ไหน มันก็ยังมีขีดจำกัด


ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันของโลกกรวด ต่อให้คุณฟู่ ผู้เป็นเทพเสมือนขั้น9และเทพเสมือนขั้นสูงหลายคนร่วมมือกันสร้างค่ายกล ระดับสูงสุดที่พวกเขาจะสำแดงได้ก็แค่เทพแท้จริงขั้น3


หากพวกเขาพบเทพแท้จริงขั้น4 พวกเขาก็แทบไม่มีความสามารถสู้กลับแล้ว นับประสาอะไรกับเทพแท้จริงขั้นสูง


 


“เราจบสิ้นแล้ว กลับบ้านไปนอนกันเถอะ อย่างน้อยก็ยังหาความสุขใส่ตัวได้บ้าง”

“แล้วเรามาที่นี่เพื่ออะไร?ทุกอย่างที่เราทำมาตลอดนั้นทำไปเพื่ออะไร?”

“หากศัตรูเป็นแค่ขั้นต่ำ เราอาจมีหวังบ้าง แต่ด้วยเทพแท้จริงขั้นสูง มันไม่หลงเหลือความหวังใดเลย!”


..


เมื่อเห็นความสามัคคีตลอดหลายวันที่ผ่านมาสลายหายไป ตงฟางไป่ก็กำหมัด เขาคาดไว้แล้วว่าสถานการณ์แบบนี้คงเกิด


 


“พลังของศัตรูเหนือกว่าเรา เราสามารถพูดได้ว่าเราแทบไม่มีโอกาสชนะเลย แต่ทุกคนจะเต็มใจส่งมอบโลกเรา บ้านเกิดเราให้กับผู้รุกรานเหล่านั้นหรือ?!”


“เมื่อโลกเรากลายเป็นโลกบริวาร ทรัพยากรทั้งหมดของเราจะกลายเป็นของผู้รุกราน ไม่ใช่แค่แร่ธาตุต่างๆ แกนผลึกในมอนสเตอร์และแม้กระทั่งแก่นเทวะในตัวเราก็จะตกเป็นเป้าหมายล่าของพวกมัน”

“ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บ่มเพาะบางคนอาจถูกขายเป็นทาส และผู้บ่มเพาะหญิงก็อาจตกเป็นเป้าสุด พวกมันไม่สนใจว่าสิ่งมีชีวิตของโลกบริวารจะอยู่หรือตาย พวกมันจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นคนของเรา”


“มันเป็นไปได้ว่าหลังผ่านไปร้อยปี พวกมันจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดของโลกนี้จนหมด เพื่อป้องกันเราจากการล้างแค้น พวกมันจะฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกเรา!”

“พวกเจ้าอยากให้อนาคตของเรากลายเป็นแบบนั้นหรือยังไง?!”

“เราอาจตายหากเราต่อต้าน แต่ถ้าเราไม่ต่อต้าน พวกเราทุกคน หรือแม้แต่ลูกหลานเราจะมีชีวิตที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย!’



แม้แต่หลินฮวงก็ยังได้รับผลกระทบโดยคำพูดนี้


หลายคนที่หมดสิ้นความหวังแล้วถูกจุดประกายไฟขึ้นใหม่


การต่อต้านอาจนำไปสู่ความตาย แต่อย่างน้อยมันก็ได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรี


แทนที่จะถูกตามล่าเหมือนสุนัข มันดีกว่าที่จะสู้ตายเหมือนหมาป่า


แต่ทว่า มีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับแรงบันดาลใจจากคำพูดของตงฟางไป่และเลือกถอนตัว


 


“หัวใจจักรพรรดิจะส่งข่าววันนี้ไปยังแหวนหัวใจจักรพรรดิทั้งหมดของเหล่าเทพเสมือน แต่มันจะถูกส่งไปในรูปแบบเข้ารหัส ข้อความไม่สามารถส่งต่อได้และจะถูกลบเองภายในสิบวินาทีหลังถูกอ่าน หวังว่าทุกคนจะไม่เผิดเผยข่าวนี้ต่อสหายหรือญาติพี่น้องเพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก”


“หากพบว่ามีใครจงใจกระจายข่าวนี้ เราจะประหารชีวิตคนๆนั้นทันที!”


 


จริงๆแล้ว ตงฟางไป่ได้เก็บความลับบางอย่างไว้ เช่น หัวใจจักรพรรดิจะคอยจับตาดูแหวนหัวใจจักรพรรดิของเทพเสมือนทุกคน คำหลักทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการรุกรานของมหาพิภพจะถูกปิดกั้น และข้อมูลที่เกี่ยวข้องจะถูกลบโดยอัตโนมัติ


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังตงฟางไป่พูดจบ รัฐบาลกลางก็ออกประกาศต่อเทพเสมือนทั้งหมด


ด้านนอกขอบเหวนรก ทุกคนที่อ่านประกาศนี้ต่างตกตะลึง


เมื่อพวกเขาได้สติ ข่าวก็ถูกลบไปแล้ว หลายคนติดต่อรัฐบาลกลางเพื่อขอความชี้แจง ทุกคนที่ได้รับคำตอบต่างใจสลาย


ด้านข้างของขอบเหวนรก คนเจ็ดคนกำลังพยายามถอนตัวจากปฏิบัติการ


สำหรับคนที่อยู่ ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่เพราะถูกหว่านล้อมด้วยคำพูดของตงฟางไป่ แต่เป็นเพราะทุกคนได้วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้แล้ว


หากพวกเขาอยู่และต่อต้าน อย่างน้อยพวกเขาก็ได้สู้


หากพวกเขาไม่ต่อต้าน พวกเขาคงใช้ชีวิตอย่างไร้สาระได้สักพัก เมื่อผู้รุกรานชนะ ไม่ช้าพวกเขาก็คงถูกกำจัดไปเช่นกัน ความเป็นไปได้มีอยู่สองอย่าง ไม่ถูกล่าก็เป็นทาส


คนที่สามารถกลายเป็นเทพเสมือนได้คือยอดฝีมือในแง่ความคิดพวกเขา หลังต่อสู้มานับไม่ถ้วน พวกเขาแทบไม่เคยถอย ดังนั้น ต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าโอกาสชนะนั้นเป็น0 ส่วนใหญ่ก็ยังเลือกกัดกระสุนและต่อสู้กับมัน สำหรับพวกเขา การถอยโดยไม่สู้เป็นเส้นทางของผู้อ่อนแอ


เมื่อเห็นว่าคนส่วนใหญ่อยู่ หลินฮวงก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เขาเองก็กังวลว่าข่าวอาจทำให้ทุกคนท้อใจ เหนือสิ่งอื่นใด ศัตรูของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าและแทบไม่มีโอกาสชนะเลย โชคดี สภาพจิตของทุกคนมั่นคง บนหน้าหลายๆคน เขายังเห็นถึงความมุ่งมั่น


 


“ทุกคนมีกำลังใจกันมาก อย่างน้อยนี่ก็เป็นข่าวดี”คุณฟู่ยิ้ม


“ครับ ข้าเองก็กังวลว่าจิตใจของทุกคนจะแหลกสลายก่อนสงครามเริ่ม”หลินฮวงยิ้มและพยักหน้า”แต่จากที่เห็น คนเหล่านี้ไม่กลัวเลย”


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังคุย จู่ๆก็ความผันผวนทางมิติก็บังเกิดขึ้น


เกือบจะพร้อมกัน ความผันผวนถูกรายงานในสามสถานที่ที่ต่างกัน หลินฮวงสำรวจสภาพแวดล้อมด้วยจิตเทวะทันทีและพบว่ามีรอยแยกมิติ8แห่งกำลังปล่อยความผันผวน…

 

 

 


ตอนที่ 1419

 

ข้าคือผู้ควบคุม

เมื่อความผันผวนมิติกระจาย กลุ่มเทพเสมือนในขอบเหวนรกก็กลับไปยังพื้นที่ที่พวกเขาเฝ้าปกป้อง สร้างค่ายกลและเข้าสู่สภาวะพร้อมรบ


หลินฮวงใช้จิตเทวะ ความหนาแน่นของกลิ่นอายเบื้องหลังความผันผวนมิติแค่เทพเสมือนขั้นต้น ดังนั้นเขาจึงเมินเฉย


เมื่อเขามาถึง มีค่ายกลทั้งหมด28ค่ายกล ต่อให้คนเจ็ดคนถอนตัวไป หลังปรับโครงสร้างใหม่ ตอนนี้ก็ยังมีถึง26กลุ่ม ซึ่งมากพอจัดการกับผู้รุกรานทั้งแปด


คุณฟู่ไม่ได้ลงมือใดๆแต่กลับเฝ้าดูอยู่เงียบๆ


ไม่กี่อึดใจต่อมา นักสำรวจก็คลื่อนผ่านรอยแยกมิติทั้งแปดเกือบจะพร้อมกัน


ทั้ง26กลุ่มที่สร้างค่ายกลไม่ลังเล พวกเขาเคลื่อนไหวทันทีและฆ่านักสำรวจทั้งแปดภายในไม่กี่วินาที


อันตรายถือว่าผ่านไปชั่วคราว


แต่ทว่า สีหน้าคุณฟู่ไม่ผ่อนคลายเลย


“วันนี้มีนักสำรวจมากกว่าเมื่อวาน เมื่อวาน อย่างมาก ก็มีการเคลื่อนย้ายพร้อมกันมากสุดแค่สาม แต่วันนี้กลับมีถึงแปด”

“นั่นเพราะพวกเขากำลังเพิ่มการทดสอบ”หลินฮวงไม่แปลกใจอะไร มีคำอธิบายโดยละเอียดในข้อมูลที่เจ้าแดงจัดหาให้


“อุโมงค์มิติกว่า30ที่นี่ถูกใช้มาหลายครั้งแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ อุโมงค์มิติที่สัมผัสกับกฏมิติมานานไม่น่ามีปัญหาด้านความเสถียร ต่อให้มีปัญหา มันก็แค่ยิบย่อย”

“สิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวานไม่ใช่เพื่อทดสอบว่าอุโมงค์มิติมีประสิทธิภาพไหม แต่เป็นการทดลอง เมื่อวานพวกเขาพยายามใช้อุโมงค์มิติทีละอัน บางอันยังถูกทดลองมากกว่าครั้ง และนักสำรวจทั้งหมดก็ถูกฆ่าภายในชั่วพริบตา ในแง่ของความน่าจะเป็นที่อุโมงค์มิติจะเสียหาย นี่เป็นไปได้น้อยมากและพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้ดี”


“หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาจะต้องเดาได้ว่ามีใครบางคนทางฝั่งเรากำลังแทรกแซง ดังนั้น วันนี้พวกเขาจึงควรจะทำการทดลองหลายครั้งเพื่อพิจารณาว่ามีคนฆ่านักสำรวจของพวกเขาหรือไม่”

“จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้นำของผู้รุกรานต้องมีนิสัยที่ขี้ระแวงมาก”

“หากข้าเป็นผู้นำของผู้รุกรานเหล่านี้ ข้าจะเพิ่มจำนวนนักสำรวจและระดับพลัง อย่างน้อยสุด ข้าจะหาอุโมงค์ที่ข้ามั่นใจเต็มร้อย เมื่อข้าพบอุโมงค์เช่นนั้น ข้าจะใช้มันทำการรุกรานรอบแรก!”


 


เมื่อเขาได้ยิน สีหน้าของคุณฟู่ก็ยิ่งจริงจัง


หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถาม”เจ้าอยากเรียกกำลังเสริมไหม?”

หลินฮวงคิดสักพัก”เราสามาถรเรียกหาพวกเขาได้ตอนนี้เลย  ใช่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด สงครามนี้ควรเริ่มอย่างเป็นทางการภายในสองวันข้างหน้า”

เมื่อคุณฟู่ได้ยินแบบนี้ เขาก็รีบติดต่อรัฐบาลกลาง


หลินฮวงยังส่งข้อความหาหวงเทียนฟู่และจื่อจี้


ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา รัฐบาลกลางก็ส่งการแจ้งเตือนไปยังทุกองค์กรที่มีเทพเสมือน แจ้งให้ทุกคนทราบถึงสถานการณ์ในขอบเหวนรก และเรียกเชิญพวกเขามาเข้าร่วมกองกำลังต่อต้าน


เมื่อเทพเสมือนส่วนใหญ่เห็นข่าว พวกเขาก็รีบเก็บของและออกเดินทางมาขอบเหวนรก


แน่นอน ยังมีคนที่เลือกรอดู


ทางฝั่งจักรวรรดิ นอกจากหวงเทียนฟู่และทาสดาบที่คอยปกป้องหลินซิน รวมถึงเสี่ยวโม่ที่ยังปิดประตูบ่มเพาะ เทพเสมือนทั้งหมดล้วนถูกส่งมา


ทางฝั่งผู้ปลดปล่อย นอกจากจื่อจี้ รวมถึงทาสดาบทั้งห้า เทพเสมือนคนอื่นเองก็ถูกส่งมาเช่นกัน


แต่ทว่า ในช่วงครึ่งชั่วโมงระหว่างตอนคุณฟู่แจ้งข่าวให้รัฐบาลกลางและทำการประกาศ ผู้รุกรานอีกสามระลอกก็มาถึง


ทั้งสามระลอกเกิดขึ้นพร้อมกันบนรอยแยกมิติ8หรือ9แห่ง แต่ละระลอกจะออกมาไม่ซ้อนทับรอยแยกเดิม


มีผู้รุกรานมาถึงทั้งหมดสี่ระลอก และอุโมงค์มิติทั้ง33ก็ถูกทดสอบ


หลินฮวงเดาว่าอีกฝ่ายอาจมีอุโมงค์กว่า33แห่งในมหาพิภพและควรมีอุโมงค์มิติบางอันที่ได้รับความเสียหายหนัก ส่งผลให้เคลื่อนย้ายไม่สำเร็จ


หลังการทดสอบ ทุกคนก็ตื่นตัวเต็มที่และพร้อมรับมือกับการมาของนักสำรวจอีกระลอก


โชคดี ก่อนระลอกห้าจะมาถึง เทพเสมือนก็เริ่มมาสมทบแล้ว


เทพเสมือนหลายคนได้ระบุตำแหน่งทางเข้าขอบเหวนรกไว้ บางคนยังเอาของใช้ชีวิตประจำวันใส่แหวนและออกเดินทางทันที พวกเขาจึงมาถึงเร็วกันมาก


เทพเสมือนที่เพิ่งมาใหม่เหล่านี้เข้าสู่สภาวะพร้อมรบอย่างรวดเร็วและจัดตั้งค่ายกล


เมื่อนักสำรวจระลอกห้ามาถึง ค่ายกลก็เพิ่มเป็น29อัน


แต่ทว่า ในการบุกรอบนี้ จำนวนอุโมงค์มิติที่ปล่อยความผันผวนกลับเพิ่มขึ้นสองเท่าจาก8เป็น16


วินาทีต่อมาหลังความผันผวนมิติเกิดขึ้น หลินฮวงก็เลิกคิ้ว


 


“นักสำรวจได้เปลี่ยนจากเทพเสมือนขั้น3เป็นขั้น4!”


จิตเทวะเขาตรวจพบว่าระดับพลังของอีกฝ่ายสูงขึ้น


อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กังวลนัก ยกเว้นทาสดาบสองกลุ่ม ค่ายกลต่อสู้ปัจจุบันทั้ง29มีเทพเสมือนขั้น3เป็นกลาง และพลังของค่ายกลทั้งหมดก็เกือบถึงเทพเสมือนขั้น5 ยังมีสามกลุ่มที่ใช้เทพเสมือนขั้น4เป็นแกน และพลังของค่ายกลก็เทียบเคียงได้กับเทพเสมือนขั้น6 ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนของค่ายกลยังมากกว่าศัตรูถึงสองเท่า


การตัดสินของหลินฮวงถูกต้อง ศัตรูทั้ง16นี้ถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว


เมื่อนักสำรวจระลอกที่หกมาถึง ค่ายกลต่อสูทั้ง29ในโลกกรวดก็เพิ่มเป็น31


นักสำรวจทั้ง17จากระลอกใหม่นี้เองก็ถูกฆ่าอย่างง่ายดายเช่นกัน


มันค่อนข้างง่ายที่จะต้านทานผู้รุกรานทีละระลอก


แต่ทว่า สีหน้าของทุกคนกลับไม่ผ่อนคลายเลย เพราะพวกเขารู้ว่าการรุกรานรอบใหม่ต้องยากขึ้น


“เรามีกำลังคนไม่พอ..”คุณฟู่กำลังจะเข้าไปร่วมสู้แต่ก็ถูกหยุดโดยหลินวง


“อาจารย์ ท่านลืมความชำนาญของข้าไปหรือเปล่า?”หลินฮวงถามด้วยรอยยิ้ม


 


คุณฟู่ดูแปลกใจ แต่จากนั้นหลินฮวงก็บดขยี้การ์ดมอนสเตอร์จำนวนหนึ่ง


ทีละตัว มอนสเตอร์อัญเชิญได้รับการปลดปล่อยและยืนกันตรงหน้าเขา


หลินฮวงอัญเชิญมอนสเตอร์อัญเชิญมาทั้งหมดสิบตัว ชุดคลุมเลือด ปีศาจมาลาเชี่ยน อิมพ์ อสรพิษจันทรา อัศวินแห่งความตาย อัศวินอมตะ ราชาเฮอคิวเลี่ยน ปิงหวาง และอสรพิษจันทร์ทมิฬสองตัว


มอนสเตอร์ทั้งสิบไม่ถือว่าเก่งสุด แต่ระดับพลังพวกมันเป็นเทพแท้จริงขั้น3แล้ว(หลังบรรลุระดับเทพแท้จริง การ์ดมอนสเตอร์ที่ต่ำกว่าเทพสูงสุดจะไม่เพิ่มระดับพลังตามเจ้านายอีก พวกมันต้องล่าเองเพื่อเพิ่มระดับพลังตน”


เมื่อสัมผัสได้ถึงการปฏิเสธของโลกร่วมกับคลื่นเสียงที่หลินฮวงส่งมา เหล่ามอนสเตอร์จึงรีบผนึกพลังตัวเองเป็นเทพเสมือนขั้น9


การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของมอนสเตอร์ทั้งสิบดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที

 

 

 


ตอนที่ 1420

 

อัญเชิญเพิ่ม

“ข้าได้ยินว่าหลินฮวงไม่ใช่แค่ผู้บ่มเพาะดาบ แต่ยังเป็นผู้ควบคุมด้วย ข้ามักคิดว่าผู้ควบคุมไม่ใช่สายถนัดเขา แต่มอนสเตอร์เขากลับทรงพลังถึงเพียงนี้!”

“ทั้งหมดนี้คือมอนสเตอร์อัญเชิญของหลินฮวงจริงๆ?!ตัดสินจากกลิ่นอายพวกมัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันคือเทพเสมือนขั้นสูง!”

“เขาไม่ใช่จักรพรรดิแค่ฉากหน้า หากมอนสเตอร์ทั้งสิบเหล่านี้ร่วมมือกัน ข้าเกรงว่าทั้งโลกกรวดคงไม่มีใครสู้เขาได้!”


เมื่อเห็นการปรากฏตัวของชุดคลุมเลือดและตัวอื่น ทุกคนก็เริ่มคุยกัน


แม้คนส่วนใหญ่จะบอกได้ว่าทั้งสิบคือเทพเสมือนขั้นสูง แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะรู้ชัดว่าทั้งสิบคือเทพเสมือนขั้น9


ทางฝั่งรัฐบาลกลาง สีหน้าของตงฟางไป่เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกลับคืนสภาพปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


กวนจงที่ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำเสียงต่ำ”เขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อปีครึ่งก่อนมาก….”

ทางฝั่งนอกรีต ซุนจ้าวรีบละสายตาจากกลุ่มมอนสเตอร์อัญเชิญ หันไปมองโจวตงและเฉาหยา”ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต พวกเราต้องไม่เป็นศัตรูกับขัตติยะเด็ดขาด!”

“มอนสเตอร์ทั้งสิบทรงพลังถึงขนาดนั้นเชียว?”เฉาหยาอดถามไม่ได


“พวกมันไม่ใช่ได้มีระดับแค่เทพเสมือนขั้น9 แต่พวกมันล้วนเป็นมอนสเตอร์กลายพันธุ์สี่ครั้ง!”เหตุผลที่ซุนจ้าวรู้เรื่องนี้เพราะเขามีสมบัติเทพประเภทตรวจจับ เพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้เขาหมดแรงยืนแล้ว


“ทั้งสิบเป็นพวกกลายพันธุ์สี่ครั้ง?!”เฉาหยาแทบจะตะโกนลั่น


 


มอนสเตอร์กลายพันธุ์สี่ครั้งหาได้น้อยมากในโลกกรวด นางไม่เคยเห็นสักตัวแม้จะใช้เวลาหลายสิบปีในการค้นหา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นางตกใจมากเมื่อเห็นพวกมันสิบตัวพร้อมกัน


ถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้รายละเอียดชัดเจนถึงมอนสเตอร์ทั้งสิบเหล่านี้ แต่ก็ยังมีบางคนที่สามารถสัมผัสระดับพลังพวกมันได้ พวกเขาตระหนักดีว่า ในโลกกรวดนี้ จักรพรรดิแห่งขัตติยะนั้นไร้คู่ต่อกร พวกเขาลอบติดต่อกับผู้นำกองกำลังตนเงียบๆและส่งข่าวกลับไป


หลินฮวงสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเหล่านี้ แต่ก็ไม่พยายามหยุดอะไร เขารู้ดีว่ามันเป็นแค่เรื่องก่อนเวลาก่อนที่พลังเขาจะถูกเปิดเผย


ต่อให้มันถูกปิดไว้ตอนนี้ มันก็จะเปิดออกมาอยู่ดีตอนสงครามเริ่มขึ้น มันไม่แตกต่างกันมากนัก


หลินฮวงละสายตาจากกลุ่มอื่น มาหยุดที่มอนสเตอร์ทั้งสิบตรงหน้าเขา


 


“ข้าคิดว่ารอบนี้พวกเจ้าคงไม่ต้องลงมือเอง แต่เมื่อความผันผวนรอบหน้ามาถึง พวกเจ้าทั้งหมดต้องลงมือ โจมตีพวกมันทันทีที่มาถึง และสังหารทิ้งหากทำได้ อย่าคิดว่านี่เป็นเหมือนเกม นี่คือสงคราม!”


“ปัจจุบัน เจตจำนงของโลกกรวดยังไม่ถูกข่มเต็มที่ ดังนั้นระดับพลังพวกเจ้าจึงถูกจำกัดไว้ที่เทพเสมือนขั้น9ชั่วคราว พวกเจ้าสามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่เมื่อเจตจำนงโลกถูกยับยั้งอย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลา พวกเจ้าจะไม่รู้สึกถึงการปฏิเสธอีกต่อไป”


ชุดคลุมเลือดและตัวอื่นพยักหน้า อดทนรอให้การต่อสู้เริ่มขึ้น


ไม่นานหลังหลินฮวงพูดจบ นักสำรวจระลอกเจ็ดก็มาถึง


แต่ทว่า การรุกรานระลอกนี้เหนือความคาดหมายของทุกคน ความผันผวนมิติส่งมาจากอุโมงค์มิติทั้ง33จุดพร้อมกัน


แม้กระทั่งหลินฮวงและคุณฟู่ก็ยังตกตะลึง


 


“ข้าคิดว่าพวกเจ้าควรลงมือในรอบนี้ด้วย”หลินฮวงเปลี่ยนความคิดทันทีและสั่งมอนสเตอร์เขา


หลังได้รับคำสั่งให้ลงมือ ชุดคลุมเลือดและตัวอื่นก็พุ่งออกไป รีบไปยังตำแหน่งของรอยแยกมิติ!


วินาทีที่ชุดคลุมเลือดและตัวอื่นลงมือ เหล่าผู้บ่มเพาะที่สร้างค่ายกลต่อสู้ทั้ง31ก็ทำการเคลื่อนไหวเช่นกัน เคลื่อนไปทางรอยแยกมิติ23จุดที่เหลือ พวกเขารู้ว่าพลังของมอนสเตอร์อัญเชิญตัวเดียวนั้นเหนือกว่าพวกเขาทั้งหมดรวมกันเสียอีก และไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ


ผ่านความผันผวนมิติ จิตเทวะของหลินฮวงสัมผัสดึ้งเทพเสมือนขั้น4ที่ถูกส่งมา


เขาโล่งใจเล็กน้อย หากพวกมันแข็งแกร่งขึ้น ค่ายกลต่อสู้ระดับเทพเสมือนจากโลกกรวดคงยากที่จะฆ่าพวกมัน


ไม่นาน เทพเสมือนขั้น4ทั้ง33ก็ถูกส่งมาและถูกซุ่มโจมตีทันที


ชุดคลุมเลือดและมอนสเตอร์ตัวอื่นทำการสังหารทันที ไม่คิดรอให้พวกมันก้าวออกมาทั้งตัว


ทางฝั่งผู้บ่มเพาะนั้นช้ากว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถฆ่าพวกมันได้ภายในไม่กี่วินาที


ขณะที่ทุกคนกำลังจะถอนหายใจโล่งอก มอนสเตอร์หลายตัวก็คลานออกจากกองซากศพ


ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจ พวกเขาก็เห็นอสรพิษจันทราขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเปิดปากมันกว้าง แรงดูดทรงพลังพลันปกคลุมมอนสเตอร์ที่คืนชีพทั้งสามและพวกมันก็ถูกกลืนหายไปในพริบตา


 


“ไม่คิดเลยว่าจะมีสายพันธุ์อันเดทซ่อนตัวอยู่ด้วย!’


ตงฟางไป่และคนอื่นหลั่งเหงื่อเย็น


สายพันธุ์อันเดท…การฆ่าพวกมันในเวลาอันสั้นนั้นยากมาก เว้นแต่จะใช้พลังกฏเกณฑ์หรือวิธีพิเศษ หากมันไม่ใช่ว่าเจ้างูน้อยนั่นกลืนสายพันธุ์อันเดททั้งสามไป เกรงว่าเหล่าคนในมหาพิภพคงตัดสินใจว่าอุโมงค์มิติที่อันเดททั้งสามใช้นั้นไม่มีปัญหา


ต้องขอบคุณเจ้างูน้อยที่ลงมือได้ทันท่วงที พวกเขาจึงชนะเกมจิตวิทยาในรอบนี้


 


“ในการสำรวจรอบหน้า พวกมันต้องเพิ่มจำนวนหรือระดับพลังเป็นแน่ มันดูเหมือนว่ามอนสเตอร์อัญเชิญสิบตัวคงจะไม่พอรับประกันความปลอดภัยของเรา…”การ์ดจำนวนหนึ่งปรากฏในมือหลินฮวง


 


บุตรแห่งมารพุทธ มอนสเตอร์ชั้น5(เทพสูงสุด) ไป่ผู้เป็นชั้น4.5(กึ่งเทพสูงสุด) และชาโคล ไทแรนด์ ตัวตลก แลนเซล็อต จอมสังหาร จอมปีศาจ ราชาจักรกล สายฟ้าและแม่มดที่เป็นมอนสเตอร์ชั้น4ล้วนถูกเรียกออกมา


เหล่านี้คือการ์ดมอนสเตอร์ทั้งหมดในการครอบครองของหลินฮวงที่เป็นมอนสเตอร์ระดับบรรพกาลและเหนือกว่านั้น นอกจากการ์ดเผ่าแมลง


หลังการ์ดถูกบดขยี้ มอนสเตอร์ทั้ง11ก็ก่อตัวตรงหน้าหลินฮวงอย่างรวดเร็ว


บุตรแห่งมารพุทธสวมชุดขาว ใบหน้าครึ่งหนึ่งเป็นพระ ครึ่งหนึ่งเป็นปีศาจ แต่ทว่า ตอนนี้ กลิ่นอายที่ปล่อยออกจากตัวมันไม่ได้ดุร้ายหรือเกรี้ยวกราดเลย ระดับพลังมันนับว่าสูงสุด ตอนถูกผนึก ระดับพลังมันคือเทพแท้จริงขั้น9 และมันก็ยังเป็นยอดฝีมือครึ่งก้าวเทพสวรรค์ ตอนนี้ ระดับพลังมันได้รับผลโดยเจ้านายและถูกระงับไว้ที่เทพแท้จริงขั้น6


สายตาของหลินฮวงหยุดที่บุตรแห่งมารพุทธ”นับแต่นี้เป็นต้นไป ชื่อของเจ้าคือ-กู่หรง”


“ขอบคุณนายท่านที่มอบชื่อให้ข้า!”


 


บุตรแห่งมารพุทธประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันและก้มหัวให้หลินฮวง เหมือนกับพระที่บรรลุการตรัสรู้


หลังหลินฮวงพูดจบ รังสีแสงสีทองก็พลันสว่างจากระหว่างคิ้วของบุตรแห่งมารพุทธ และใบหน้าครึ่งปีศาจก็เริ่มรักษาด้วยความเร็วสูง ในชั่วพริบตา ใบหน้าส่วนนั้นก็กลายเป็นเรียบเนียนประดุจหยกเหมือนใบหน้าอีกครึ่งซีก


แสงประหลาดสว่างวาบในดวงตาของบุตรแห่งมารพุทธ พลังงานหุบเหวที่ทำให้มันต้องทนทุกข์มานานวันได้หายไปอย่างสมบูรณ์


มันเพ่งดูการบ่มเพาะและตระหนักว่าพลังงานไม่ได้หายไปหมด แต่กลับอยู่เฉยๆ นอกจากนั้น พลังงานที่เดิมไร้การควบคุมกลับอยู่ภายใต้การควบคุม


หลังตรวจสอบสั้นๆ กู่หรงก็คืนสติกลับสู่ความเป็นจริงและกดฝ่ามือเข้าด้วยกัน ก้มให้หลินฮวงอีกครั้ง แม้จะไม่พูดอะไร หลิน ฮวงก็เข้าใจเหตุผลของการกระทำนี้


หลังพยักหน้าคืนให้กู่หรง สายตาของหลินฮวงก็หยุดที่ไป่กับตัวตลก


ท่ามกลางทั้ง11 นอกจากกู่หรง ไป่และตัวตลกมีระดับสูงสุด ทั้งคู่คือเทพแท้จริงขั้น4 ส่วนแลนเซล็อต ชาโคลและคนอื่นคือเทพแท้จริงขั้น3


ระดับพลังของทั้ง11แสดงออกมาแค่ตอนถูกอัญเชิญ และพวกมันก็ผนึกพลังตัวเองภายใต้การกระตุ้นของหลินฮวง มันถูกระงับให้เป็นเทพเสมือนขั้น9


เมื่อมองมอนสเตอร์ทั้ง11ที่จู่ๆก็ปรากฏตรงหน้าหลินฮวง เทพเสมือนจำนวนมากก็พูดไม่ออก…

 

 

 


ตอนที่ 1421

 

ระลอกที่แปด

“เขาอัญเชิญมอนสเตอร์มาอีก11ตัว?!”


“พวกมันดูเหมือนมนุษย์ พวกมันคงไม่ใช่โปรตอสหรอกนะ?!”


ทุกคนเริ่มคุยกัน พวกเขาสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่ากู่หรง ไป่ ตัวตลก ไทแรนด์ แม่มดและตัวอื่นมีลักษณะคล้ายมนุษย์มาก


ตามความรู้ที่พวกเขามี พวกเขาสรุปได้ทันทีว่าไป่และคนอื่นคือโปรตอส


ในความเป็นจริง โปรตอสมีสามรูปแบบและครอบครองร่างมนุษย์ แต่ทว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะครอบครองร่างมนุษย์สมบูรณ์


โปรตอสคือชื่อทั่วไปของกลุ่มชนเผ่าต่างๆที่ถูกเรียกร่วมด้วยกันโดยชื่อนั้น ชนเผ่าที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์และเต็มใจเข้าร่วมโปรตอสจะถูกเรียกว่าโปรตอส


ถึงกระนั้น บางเผ่าในมหาพิภพที่ครอบครองสามรูปแบบและมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ทั้งหมดสำหรับการเข้าร่วมก็ยังไม่เข้าร่วมเพื่อรักษาเอกราชของเผ่าตน


ยังมีบางเผ่าที่อยู่มานานก่อนการก่อตั้งโปรตอส แม้พวกเขาจะไม่เข้าร่วมโปรตอส แต่โปรตอสที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ก็ยังให้ความเคารพพวกเขา


ตัวอย่างเช่น ชนเผ่าผู้สังเกต ที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบมนุษย์สมบูรณ์ ไม่มีใครรู้ว่นี่เป็นเพราะความสะดวกสบายหรือเหตุผลอื่น  แต่ผู้สังเกตทั้งหมดจะดูเหมือนชายวัยกลางคนหัวล้าน แม้แต่หน้าตาก็ยังคล้ายกัน70-80% สิ่งเดียวที่แตกต่างคือความสูงและรูปร่าง


ยังมีตำนานในแดนเทพซึ่งอ้างว่าผู้บ่มเพาะมนุษย์หัวล้านเคยมาเยือนแดนเทพโดยบังเอิญและได้รับการต้อนรับอย่างสุภาพเพราะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้สังเกต


แต่ทว่า คนในโลกกรวดไม่รู้เรื่องนี้ นอกจากหลินฮวงและทาสดาบ ทุกคนรวมถึงคุณฟู่อาจไม่เคยเห็นโปรตอสตัวจริง ข่าวที่โปรตอสดูเหมือนมนุษย์แค่ถูกส่งต่อผ่านคำบอกเล่า


ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของทางขัตติยะและผู้ปลดปล่อยที่ร่วมสร้างค่ายกลนั้นเป็นโปรตอสตัวจริง ยังมีโปรตอสเลือดบริสุทธิ์สองคนในหมู่พวกเขา!


หลินฮวงเลือกเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของทุกคน


“พวกเจ้า11คน คุ้มกันอุโมงค์มิติคนละอัน ฆ่าใครก็ตามที่ข้ามผ่านมาทันที ไม่สำคัญว่าจะมีมากแค่ไหน”


เมื่อได้รับคำสั่ง กู่หรง ไป่และคนอื่นก็เลือกรอยแยกมิติเพื่อป้องกัน


มอนสเตอร์อัญเชิญทั้งสองชุดที่ถูกเรียกมาโดยหลินฮวงยึดครอง21จุดและทุกคนก็หมดความกังวล


นี่ไม่ใช่เวลามาสู้เพื่อแย่งทรัพยากร ทุกคนไม่มีกำลังคนพอ และนักสำรวจก็จะเพิ่มจำนวนและพลังขึ้นเรื่อยๆ การปรากฏของมอนสเตอร์อัยเชิญได้ช่วยลดภาระมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนหวัง


ค่ายกลทั้ง31มอบหมายงานให้ตัวเองใหม่เพื่อจัดการรอยแยกมิติที่เหลืออีก12


แต่ทว่า หลินฮวงก็ต้องขมวดคิ้วขณะมองรอยแยกมิติทั้ง12ที่ไม่ได้รับการปกป้องจากมอนสเตอร์


ท่ามกลางค่ายกลทั้ง31 สามอันมีเทพเสมือนขั้น4เป็นแกน และพลังของค่ายกลก็เกือบเท่าเทพเสมือนขั้น6 ที่เหลือมีเทพเสมือนขั้น3เป็นแกน พลังต่อสู้พวกเขาแค่เกือบถึงเทพเสมือนขั้น5


ด้วยพลังเช่นนี้ หากพวกเขาพบมอนสเตอร์ระดับเทพเสมือนขั้น6 พวกเขาย่อมแพ้แน่


หลินฮวงลังเล เขาควรเรียกอสูรแมลงมาเติมเต็มทั้ง12จุดนี้ไหม หรือจะเปิดเผยพลังของทาสดาบ?


เหตุผลที่เขาลังเลที่จะเรียกแมลงออกมาเพราะผู้ควบคุมทั่วไปไม่มีทางควบคุมเผ่าแมลงได้


ผู้ใช้แมลงอาจเคยถูกมองเป็นสายย่อยของผู้ควบคุม แต่ก็ได้แยกตัวออกมานานแล้วและพัฒนาเป็นระบบที่แตกต่าง


ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่มีผู้ควบคุมจะเสียเวลาไปเรียนเรื่องของผู้ใช้แมลง พวกเขาจะใช้เวลาหามอนสเตอร์เพิ่มเพื่อยกระดับพลัง


อีกเหตุผลคือคนจากมหาพิภพ รวมถึงโลกกรวดนั้นมีความประทับใจแย่ต่อเผ่าแมลง นั่นทำให้จำนวนผู้ใช้แมลงนั้นน้อยกว่าผู้ควบคุม


หลินฮวงกำลังพิจารณาว่าเขาควรเปิดเผยพลังของทาสดาบไหม


เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อพลังของทาสดาบเผยออกมา มันจะได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บางคนจะสังเกตเห็นผู้บ่มเพาะดาบระดับเทพเสมือนคนใหม่ในผู้ปลดปล่อย หากพวกเขาขุดลึกลงอีก มันคงม่ายากที่จะพบความสัมพันธ์ระหว่างหลินฮวงกับผู้ปลดปล่อย


หากนี่เป็นช่วงเลวาอื่น หลินฮวงคงไม่สนใจนัก


แต่ทว่า นี่คือช่วงสงคราม และหลินฮวงก็ไม่อยากกระตุ้นความสงสัยของรัฐบาลกลาง สมาคมนักล่าและขุมกำลังอื่นพร้อมกันและทำให้เกิดความไม่ลงรอย


ขณะที่หลินฮวงยังพิจารณาว่าเขาควรจะเรียกแมลงหรือเผยพลังของทาสดาบ…


ผู้รุกรานระลอกที่แปดก็มาถึงแล้ว!


มีอุโมงค์มิติ33แห่งที่ปล่อยความผันผวนมาพร้อมกัน


เมื่อหลินฮวงส่งจิตเทวะเขาไปตรวจสอบจำนวนกับระดับพลัง เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้


นักสำรวจที่ถูกส่งมาครั้งนี้คือเทพเสมือนขั้น5 แต่ทว่า ความแตกต่างที่มากกว่าคือจำนวนที่ส่งมานั้นเพิ่มจากหนึ่งเป็นสิบ!


คนที่สองที่ตรวจพบคือคุณฟู่ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและร่างเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศทันที ลอยอยู่เหนือกลุ่มผู้บ่มเพาะทั้งสิบสอง เตรียมพร้อมยื่นมือเข้าช่วย


เมื่อเขาเห็นแบบนี้ หลินฮวงก็คิดจะเปิดปากเพื่อหยุด แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร


หลังเห็นคุณฟู่ลงมือ เทพเสมือนหลายคนก็ค่อยๆสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ และใบหน้าพวกเขาก็ขาวซีด


บางคนยังเห็นหลินฮวงผู้นั่งนิ่งมาตลอดเวลากลับแสดงท่าทางอยากจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย


แต่ทว่า ทุกคนไม่คัดค้านอะไรต่อท่าทีเขา เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้ส่งมอนสเตอร์อัญเชิญทั้ง21มาช่วยสู้แล้ว สำหรับผู้ควบคุม การควบคุมมอนสเตอร์มากขนาดนั้นย่อมเป็นภาระต่อร่างกาย


นอกจานกี้ ยังมีความเห็นพ้องต้องกันโดยปริยายในหมู่ผู้บ่มเพาะว่าคนที่เป็นผู้ควบคุมจะไม่มีความแข็งแกร่งสูงนัก และส่วนใหญ่จะพึ่งพามอนสเตอร์เพื่อสู้อย่างเดียว ดังนั้น บนสนามรบ มันจึงเป็นปกติสำหรับผู้ควบคุมที่จะเรียกมอนสเตอร์อัญเชิญมาสู้เป็นแนวหน้า ส่วนตัวเองพวกเองจะอยู่แนวหลัง


แม้กระทั่งกวนจงกับคนอื่น ผู้รู้ถึงพลังของหลินฮวงก็ยังมีความคิดเดียวกันตอนเห็นเขาไม่เข้าร่วม ‘ตามคาด การอัญเชิญมอนสเตอร์ระดับเทพเสมือนขั้น9พร้อมกันมากขนาดนี้ก็ยังเป็นภาระต่อหลินฮวง’


แน่นอน การกระทำเล็กน้อยของเขากลับทำให้หลายคนมองเขาผิดๆ


เขาไม่ใช่ผู้ควบคุมจริงๆด้วยซ้ำ เขาพึ่งพาการ์ดมอนสเตอร์เพื่ออัญเชิญมอนสเตอร์ ซึ่งไม่สร้างภาระให้เขาแม้แต่น้อย


เหตุผลที่เขาไม่เคลื่อนไหวเองเพราะเขารู้ดีว่าต่อให้ค่ายกลทั้ง31จากโลกกรวดไม่อยู่ ไป่ และตัวอื่นก็มีความสามารถพอจะจัดการปัญหาทั้งหมดได้!

 

 

 


ตอนที่ 1422

 

วิญญาณต่อสู้เผยตัว!

กู่หรงยืนอยู่ตรงหน้ารอยแยกมิติด้วยตาที่ปิดครึ่งหนึ่ง ราวกับเขากำลังเพิกเฉยความผันผวนมิติตรงหน้าที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด เขาสวมชุดคลุมพระสีขาว เสื้อผ้าเขากระพือตามแรงลมที่เกิดจากความผันผวน ทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้า


วินาทีที่ผู้รุกรานมาถึง เขาก็พลันลืมตาขึ้น


แม้จะไม่ขยับร่างกาย แต่ร่างของมอนสเตอร์ระดับเทพเสมือนทั้งสิบกลับเริ่มสลายตัวทีละนิ้วทันทีที่พวกมันปรากฏ ไม่ใช่แค่ร่างพวกมัน แต่แม้กระทั่งวิญญาณพวกมันก็ยังสลายตัวอย่างรวดเร็ว


ในชั่วพริบตา นักสำรวจทั้งสิบก็หายไป ไม่เหลือแม้แต่เลือดสักหยด


ไม่ไกลจากกู่หรง ไป่สวมชุดดำสนิท ผมขาวมันปลิวตามแรงลม


มันจ้องรอยแยกมิติ ด้วยใบหน้าที่ปราศจากอารมณ์


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ความผันผวนก็มาถึงจุดสูงสุดและเงาสิบร่างก็ค่อยๆเผยตัว


ตอนนี้เอง ไป่ชี้นิ้วไปในอากาศและเลือดสิบสายก็พุ่งออกมาเหมือนสิ่งมีชีวิต ทันใดนั้น มันก็พุ่งใส่ร่างของผู้มาใหม่ทั้งสิบ


วินาทีต่อมา ร่างทัง้สิบก็เริ่มเหี่ยวเฉา และเพียงไม่กี่อึดใจ พวกมันก็กลายเป็นศพแห้งเหี่ยว แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด หลังผ่านไปประมาณครึ่งวินาที ศพแห่งก็เริ่มย่อยสลายด้วยตัวมันเอง เปลี่ยนเป็นเศษฝุ่น


ไทแรนด์ตรงไปตรงมามากกว่าใคร


ทันทีที่นักสำรวจทั้งสิบถูกส่งมา มันก็กระโจนไป ชกทีละตัว บดขยี้พวกมันเป็นเศษเนื้อ


ในทางกลับกัน ชาโคลกลับเปิดปากกว้างและพ่นเพลิงมังกรออกมา แผดเผาผุ้รุกรานทั้งหมดเป็นเถ้าถ่าน


ส่วนทางด้านราชาจักรกล มันกลับวางป้อมปืนขนาดเล็กไว้ตรงหน้ามัน


วินาทีที่นักสำรวจมาถึง ป้อมปืนนับสิบก็แผดเสียงคำรามพร้อมกัน และเปลวไฟก็ได้กลืนผู้รุกรานทั้งสิบ


เมื่อถึงเวลาที่ประกายไฟดับ มอนสเตอร์ทั้งสิบก็กลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าลักษณะเดิมองพวกมันเป็นอย่างไร


เมื่อเห็นว่าพวกมันไม่หลงเหลือแม้แต่ซากศพ หลินฮวงก็อดร่ำร้องในใจไม่ได้’ช่างเสียเปล่าจริงๆ!’


แลนเซล็อต จอมสังหารและตัวอื่นมีแผนการมากกว่าและใช้วิธีสังหารแบบเดิม ความแตกต่างคือความเร็วการสังหารของพวกมันเหนือกว่าเดิมมากและก็กำจัดศัตรูได้ภายในไม่กี่วินาที


นั่นคือทั้งหมด ยกเว้นตัวลก ที่เป็นคนโอ้อวดสุด


วินาทีที่ผู้รุกรานทั้งสิบมาถึง ตัวตลกก็ควบคุมร่างพวกมันและส่งพวกมันเดินกลับไปแดนเทพเอง


สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ไม่มีใครรู้


มอนสเตอร์อัญเชิญทั้ง21กำจัดศัตรูได้แทบจะทันที


แต่ทว่า ทางฝั่งของผู้บ่มเพาะไม่ได้ราบรื่นแบบนั้น


ต่อให้พวกเขาจะมีมากกว่า แต่ก็มีเพียงสามกลุ่มที่มีเทพเสมือนขั้น4เป็นแกนถึงสามารถฆ่าได้อย่างหมดจด แต่ทว่า พวกเขาสามารถฆ่าได้แค่สองหรือสามผู้รุกราน


เมื่อเห็นแบบนี้ คุณฟู่ก็ลงมือ


แต่ทว่า ตอนนี้อง คลื่นพลังสีแดงเลือดนับร้อยสายกลับระเบิดมาพร้อมกัน ก่อนการโจมตีของคุณฟู่จะไปถึง คลื่นพลังเหล่านั้นก็พุ่งทะลุร่างมอนสเตอร์ที่เหลือ112ตัวไปแล้ว


อย่างน่าประทับใจ คนที่โจมตีคือไป่ ผู้จัดการงานตัวเองเสร็จแล้ว


ก่อนหน้านี้ หลินฮวงได้ย้ำว่าหากจัดการทางตัวเองเสร็จแล้ว พวกมันควรยื่นมือมาช่วยเหลือทางอื่น


ดังนั้น หลังเสร็จภารกิจแรก มันจึงหันมาจับจ้องนักสำรวจที่เหลือทั้งหมดและลงมือทันที!


คลื่นพลังเจาะไปในตัวของมอนสเตอร์เหมือนสายฟ้าฟาดและสิ่งมีชีวิตก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็วเป็นซากศพแห้งด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนจะสลายตัวไป


เมื่อเห็นแบบนี้ คุณฟู่ก็ถอนการโจมตีด้วยสีหน้าอึดอัดใจ


เหล่าเทพเสมือนที่สร้างค่ายกลเผยสีหน้างุนงงตอนเห็นฉากตรงหน้า


การโจมตีเช่นนี้ทำให้พวกเขาตกใจ


มอนสเตอร์ที่พวกเขาหลายคนรุมกลับถูกจัดการได้ง่ายๆ นี่ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจใหม่ต่อพลังของหลินฮวง


 


“นั่นคือเทพเสมือนขั้น5 และพวกมันยังถูกฆ่าในชั่วพริบตา!เป็นความสามารถที่น่ากลัวมาก!”


“ข้าบอกแล้ว มอนสเตอร์ผมขาวนั่นดูเหมือนมนุษย์มาก มันต้องเป็นโปรตอสแน่!พวกเจ้ายังสงสัยกันอีกไหม?!”


“มอนสเตอร์ผมขาวนั่นอาจเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งสุดภายใต้หลินฮวงแล้วก็ได้?หรือจะมีตัวที่แข็งแกร่งกว่านี้?”

..


ขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน กำลังเสริมอีกระลอกก็มาถึง


กำลังเสริมชุดนี้ประกอบด้วยคนกว่า20 หลินฮวงเห็นหน้าคุ้นเคย เหล่านั้นคือทาสดาบภายใต้บัญชาเขา


เหตุผลที่ทาสดาบมาสายเพราะส่วนใหญ่ไม่เคยมาขอบเหวนรก นับประสาอะไรกับการระบุพิกัด


พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางมาเองผ่านประตูมิติทีละอัน จากนั้นก็ค่อยบินมา


มีเพียงผู้ใช้กฏมิติได้ถึงมาถึงก่อนใคร แต่ก็มีคนเช่นนั้นน้อยมากในหมู่ทาสดาบ นี่ทำให้ทาสดาบมาถึงช้ากว่ากำลังเสริมจากขุมกำลังอื่น


ณ จุดนี้ นับรวมทาสดาบทั้ง20ที่อยู่  เทพเสมือนกว่า260จากโลกกรวดต่างถูกส่งมา


เกือบ80%ของเทพเสมือนจากโลกกรวดได้รวมกันที่ชั้นสามขอบเหวนรก


ตัดสินจากสถานการณ์ก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่ากองกำลังขนาดเล็กที่ประกอบด้วยคน7-8คนไม่พอจะรับมือกับการรุกรานอีก


ตงฟางไป่จึงเริ่มหารือเรื่องการจัดค่ายกลใหม่


ในฐานะจักรพรรดิแห่งขัตติยะ หลินฮวงย่อมเข้าร่วมด้วย แต่เขาไม่ได้แสดงความเห็นใดๆเลย


เขายังคงพิจารณาว่าเขาควรเรียกแมลงออกมาหรือเผยพลังของทาสดาบ


ตงฟางไป่สังเกตเห็นว่าหลินฮวงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างและอดถามไม่ได้”จักรพรรดิหลิน หากท่านมีความเห็นใด โปรดแจ้งให้เราทราบ”

“ข้า…”เพียงเมื่อหลินฮวงกำลังจะพูด ความปั่นปวนก็พลันมาจากภายในตัวเขา มันคือเพลิงนิรันดร์(นิ้วทองคำของฉีหมิงเซี่ยง)ที่ส่งข้อความหาเขา’ข้าสามารถให้พลังงานวิญญาณแก่รูปแกะสลักเทพได้”


เหตุผลที่หลินฮวงไม่เคยคิดใช้วิญญาณต่อสู้รูปแกะสลักเทพเพราะพวกมันมีกันแค่สิบ ส่วนรอยแยกมิติที่เหลือมีอีก12 แม้จะยังมีรูปแกะสลักเทพที่ไม่ได้ใช้มากมาย แต่เขาก็ไม่มีทางใช้พวกมันได้และคนอื่นก็ไม่มีทางปลดปล่อยพลังพวกมันได้ต่อให้ใช้มัน


แต่ทว่า ตอนนี้เพลิงนิรันดร์กลับกล่าวเช่นนั้น เขาจึงเรียกรูปแกะสลักเทพออกมาเพิ่มอีกสองอันและปิดกั้นรอยแยกมิติทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แล้ว


“ปล่อยอุโมงค์มิติที่เหลือทั้ง12ให้ข้า พวกท่านสามารถใช้เวลานี้ฝึกฝนค่ายกลและเริ่มเตรียมการสำหรับสงครามได้”หลินฮวงพิจารณาสักพักก่อนตัดสินใจพูดอย่างเปิดเผย


ทุกคนตกตะลึง


คุณฟู่กังวลเล็กน้อย”มันไม่เป็นไรจริงๆหรือ?”

“ข้าสามารถจัดการได้”หลินฮวงพยักหน้า จากนั้นก็เรียกวิญญาณต่อสู้ทั้งสิบออกมา อย่างจิ้งจอกเก้าหาง รวมถึงรูปแกะสลักเทพอีกสองที่ได้รับพลังงานจากเพลิงนิรันดร์


ภายใต้คำสั่งของหลินฮวง วิญญาณต่อสู้ทั้ง12รีบเข้าไปประจำตำแหน่งใกล้กับรอยแยกที่เหลืออีก12และกลายเป็นผู้พิทักษ์คนใหม่

 

 

 


ตอนที่ 1423

 

จุดบอดในความรู้ของคุณฟู่

รอยแยกมิติทั้ง33ล้วนได้รับการจัดการโดยมอนสเตอร์อัญเชิญและวิญญาณต่อสู้ ดังนั้นเหล่าเทพเสมือนจากโ,กกรวดจึงสามารถพักหายใจได้


หลายคนมองหลินฮวงด้วยอารมณ์ซับซ้อน ความสามารถเขาเหนือกว่าที่ทุกคนคิด พวกเขาล้วนตกใจกับความจริงที่ว่าหลินฮวงทรงพลังแค่ไหน และในเวลาเดียวกัน พวกเขายังกลัวเขา


ทุกคนตระหนักว่าต่อให้เป็นเทพเสมือนทั้งหมดของโลกกรวด การป้องกันของพวกเขาย่อมแตกในไม่ช้า แต่ทว่า ด้วยการคงอยู่ของหลินฮวง ผู้รุกรานจากมหาพิภพย่อมล้มเหลวจนกว่าเทพแท้จริงจะมาถึง


อย่างไรก็ตาม มอนสเตอร์ทั้ง33ที่หลินฮวงอัญเชิญมานับเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อทุกคน เขาสามารถฆ่าเทพเสมือนทั้งหมดของโลกกรวดได้ง่ายๆเหมือนการพลิกฝ่ามือหากเขาต้องการ(คนส่วนใหญ่คิดว่าวิญญาณต่อสู้คือมอนสเตอร์อัญเชิญ)


รัฐบาลกลางตกใจสุดกับความสามารถสุดจินตนาการของหลินฮวง ไม่ใช่เพราะเขาแกร่งเกิน แต่ยังเพราะเขาคือจักรพรรดิแห่งขัตติยะ นี่นับเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา


กว่าแปดร้อยปี รัฐบาลกลางเป็นตัวแทนของทั้งโลกกรวด ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่อยากให้ตำแหน่งพวกเขาถูกองค์กรอื่นชิงไป


ด้วยความกังวลนี้ในใจ ตงฟางไป่จึงอดถามหลินฮวงไม่ได้


“จักรพรรดิหลิน หากเราโชคดีชนะศึกนี้ ท่านคิดจะทำอะไรต่อ?”


คำถามนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที


คุณฟู่เลิกคิ้ว เหลือบมองตงฟางไป่ด้วยความไม่พอใจ


คำถามของตงฟางไป่อาจดูสุ่มๆ แต่คนที่ตาถึงจะเข้าใจความหมายเบื้องหลัง


“หากเราโชคดีชนะ?”หลินฮวงหันมามองตงฟางไป่“ในศึกนี้ เราต้องชนะ ไม่มีทางเลือกอื่น!”

ทุกคนตกตะลึงกับคำพูดของหลินฮวง แต่ก็รีบฟื้นสติ พวกเขาต่างรู้สึกว่าหลินฮวงกำลังเปลี่ยนเรื่องและจงใจหลีกเลี่ยงคำถาม


เพียงเมื่อตงฟางไป่กำลังจะหัวเราะและปล่อยเรื่องให้ผ่านไป หลินฮวงก็พูดขึ้นอีกครั้ง


 


“หากท่านกำลังถามถึงแผนส่วนตัวข้าหลังสงคราม ข้าคิดพาซินเอ๋อร์กับคนอื่นไปมหาพิภพกับข้า โลกกรวดไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะที่ข้าต้องการอีก แต่ทว่า นี่คือบ้านข้า หากเรามีเวลาในอนาคต ข้าจะพาพวกซินเอ๋อร์กลับมาเที่ยว และพบกับเพื่อนเก่าเพื่อกินหรือดื่ม“

แน่นอน หลินฮวงรู้ถึงเจตนาของตงฟางไป่ ดังนั้นเขาจึงให้คำตอบที่ตงฟางไป่อยากได้ยินสุด


สำหรับความจริง นั่นคือสิ่งที่เขาคิดทำอยู่แล้ว ในสถานการณ์ปัจจุบันเขา มันไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในโลกกรวดต่อ มีเพียงมหาพิภพถึงจะทำให้ระดับเขาพัฒนาต่อได้


ยิ่งไปกว่านั้น มีโอกาสสูงที่หลินซินจะสามารถทะลวงผ่านระดับเทพเสมือนได้หลังการปิดประตูบ่มเพาะครั้งนี้ เมื่อพวกเขาไปมหาพภพ นางน่าจะมีความสามารถพอปกป้องตัวเองบ้าง


ระดับพลังของคุณฟู่มาถึงขั้น9แล้ว หากเขาอยากประสบความสำเร็จจนเป็นเทพแท้จริง เขาต้องไปมหาพิภพเท่านั้น


สำหรับคนของขัตติยะและผู้ปลดปล่อย หลินฮวงรู้สึกว่าหากบางคนอยากเดินทางไปกับเขา เขาจะพาไปด้วย หากไม่ เขาก็จะปล่อยพวกเขาไว้ที่นี่


หลังได้รับการตอบสนองเช่นนี้จากเขา ตงฟางไป่ก็ถอนหายใจโล่งอก


เขาไม่สงสัยคำพูดของหลินฮวงเพราะเขารู้ว่าจุดประสงค์หลักของการเดินทางหลินฮวงนั้นคือเพื่อเพิ่มพลัง ตอนนี้ที่เขากลับมา  มันย่อมไม่มีทรัพยากรในโลกกรวดที่เหมาะสมกับเขาอีก


แม้คำตอบของหลินฮวงจะทำให้รัฐบาลกลางพึงพอใจ ตงฟางไป่ก็ยังต้องแสดงสีหน้าเฉยเมย


 


“ยังไงซะนี่ก็คือบ้านเกิดเรา และครอบครัวเราก็ล้วนอยู่ที่นี่ หากข้าไปมหาพิภพเข้าสักวัน ตัวข้าเองก็อจอยากกลับมาพบเพื่อนและครอบครัวบ้าง“

เมื่อผู้คนรอบๆได้ยินว่าหลินฮวงคิดจะไป พวกเขาก็มีความคิดผสมปนเปกัน


บางคนพิจารณาว่าพวกเขาควรไปกับหลินฮวงไหม


เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาเป็นเทพเสมือนแล้ว ในโลกกรวด พวกเขามีข้อจำกัดมาก มีทรัพยากรไม่มากที่จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาต่อได้


พวกเขาไม่เคยเดินทางไปมหาพิภพเพราะก่อนหน้านี้มีหลายคนที่ไปและไม่เคยกลับมาอีก บางคนทิ้งตะเกียงวิญญาณและของเช่นนั้นไว้ก่อนออกเดินทาง และตะเกียงวิญญาณก็มอดดับไป บ่งชี้ว่าพวกเขาตายแล้ว นี่พอจะพิสูจน์ว่าการไปมหาพิภพนั้นอันตรายมากแค่ไหน


แม้จะเป็นเช่นนั้น หลินฮวงก็ไม่เพียงจะไปมหาพิภพ แต่เขายังกลับมาได้ นี่พิสูจน์ว่าเขามีเส้นทางที่ปลอดภัย


ยังมีบางคนที่รู้สึกว่าการจากไปของหลินฮวงจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ขัตติยะเสื่อมถอย


พวกเขารู้สึกว่าองค์กรตนอาจมีโอกาสได้รับตำแหน่งของขัตติยะ หนึ่งในยักษ์ใหญ่


ทุกคนต่างมีความคิดของตน


ในไม่ช้ารอยแยกมิติก็เริ่มส่งสัญญาณความผันผวนอีกครั้ง


ระลอกที่เก้าเริ่มขึ้นไม่นานหลังจากนั้น


คราวนี้ อุโมงค์มิติทั้ง33เปิดขึ้นพร้อมกัน


ระดับพลังของนักสำรวจเลื่อนขึ้นอีกครั้ง และจำนวนก็ยังเพิ่มขึ้นด้วย!


ระดับพลังของนักสำรวจทั้งหมดเพิ่มเป็นเทพเสมือนขั้น6 และจำนวนก็ยังเพิ่มเป็น20ต่ออุโมงค์มิติ!


หากมันไม่ใช่พเราะหลินฮวงสนับสนุนอุโมงค์มิติด้วยวิญญาณต่อสู้ เทพเสมือนของดลกกรวดย่อมได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีรอบนี้แน่


จาก33ค่ายกล 28ค่ายกลถูกนำโดยเทพเสมือนขั้น3 และพลังก็แค่เทียบได้กับเทพเสมือนขั้น5  หากพวกเขาเจอกับกลุ่มเทพเสมือนขั้น6 ค่ายกลย่อมแตก


แต่ทว่า ต่อหน้าไป่กับมอนสเตอร์ตัวอื่น เทพเสมือนขั้น6ไม่นับเป็นอะไร


เพียงแค่ยกแขนขึ้น เทพเสมือนขั้น6กว่า600ก็ถูกกำจัดทันที ไม่หลงเหลือสักตัว การต่อสู้ทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีตั้งแต่ต้นจนจบ


เทพเสมือนทั้งหมดทำได้แค่แสดงสีหน้าตื่นตระหนก


จากสิ่งที่ทุกคนเห็น ผู้รุกรานที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากกลับเปรียบเสมือนมดต่อหน้ามอนสเตอร์อัญเชิญของหลินฮวง ระดับพลังมันแตกต่างกันเกินไป!


แม้แต่คุณฟู่ก็ยังรู้สึกสลดใจ


เขาไม่คิดว่ากลุ่มเด็กน้อยที่ต้องการคำสอนของเขาในอดีตจะทรงพลังกว่าตัวเขาแล้ว ในฐานะเทพเสมือนขั้น9 คุณฟู่รู้สึกว่าเขามีโอกาสน้อยมากที่จะชนะมอนสเตอร์อัญเชิญสักตัวของหลินฮวง


“ศิษย์รัก มอนสเตอร์อัญเชิญของเจ้า พวกมันคือมอนสเตอร์ระดับบรรพกาลกันหมดเลยสินะ?”

คุณฟู่อดถามไม่ได้


“ส่วนใหญ่คือบรรพกาล แต่ยังมีกึ่งเทพสูงสุดและเทพสูงสุดด้วย”หลิฯฮวงพยักหน้าตอบ


“ว่าไงนะ?!”คุณฟู่กลืนน้ำลาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องกึ่งเทพกับเทพสูงสุด เขามักคิดว่าระดับบรรพกาลคือขีดจำกัด


“ไป่คือกึ่งเทพสูงสุด และกู่หรงคือเทพสูงสุด”เมื่อเขาพูดจบ หลินฮวงก็กลัวว่าคุณฟู่จะไม่รู้ว่าใครคือกู่หรง”กู่หรงคือพระน้อยที่สวมเสื้อคลุมพระสีขาว”


 


‘มีระดับเทพสูงสุดด้วย?!’คุณฟู่กรีดร้องในใจ แต่ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ศิษย์ตัวเองรู้ว่าเขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมอนสเตอร์ที่เหนือกว่าบรรพกาล เขายังลอบมองหลินฮวงและเมื่อไม่พบปฏิกิริยาใดๆ เขาก็พยักหน้าอย่างสงบ”พระน้อยดูแข็งแกร่งจริงๆ ข้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นถึงเทพสูงสุด”

 

 

 


ตอนที่ 1424

 

มหาพิภพไม่ใช่จุดหมายสุดท้ายของข้า!

ไป่และคนอื่นจัดการกับมอนสเตอร์ระลอกที่9ได้อย่างง่ายๆ ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้เทพเสมือนของโลกกรวดเห็นความสามารถแท้จริงของหลินฮวงได้


นี่ยังกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนเกี่ยวกับมหาพิภพ


จากสิ่งที่พวกเขาเห็น ความสามารถของหลินฮวงเพิ่มขึ้นมากหลังผ่านไปหนึ่งปีในมหาพิภพ และตอนนี้เขาก็นับว่าไร้เทียมทานแล้วหลังกลับมาโลกกรวด


หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาจะก้าวหน้าเช่นนี้ไหมหากพวกเขาเดินทางไปมหาพิภพ


แต่ทว่า สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือหลินอวงสามารถบรรลุความก้าวหน้าดังกล่าวได้เพราะเขาอาศัยนิ้วทองคำ ด้วยพลังต่อสู้ระดับเทพเสมือนขั้นต้นของพวกเขา การเอาชีวิตรอดในมหาพิภพนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย


หลังมอนสเตอร์ระลอกที่9มาถึง เหล่าทาสดาบก็มาถึงขอบเหวนรกกันเพิ่ม


คิ้วของกวนย่นเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าไม่คุ้นเคยหลายสิบที่มีพลังระดับเทพเสมือน


ในฐานะหัวหน้าหน่วยพิเศษของรัฐบาลกลาง เขามีข้อมูลเกี่ยวกับโลกกรวดทั้งหมด ต่อให้มันเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลกลางจะรวบรวมข้อมูลของเทพเสมือนทั้งหมดในโลกกรวด แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องมีบันทึกของเทพเสมือนกว่า95% อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับเทพเสมือนกว่า50คนที่เพิ่งมาถึงนี้ นอกจากพวกเขาเหล่านี้ ยังมี5หรือ6คนที่เขาไม่รู้จักท่ามกลางกลุ่มกำลังเสริมก่อนหน้านี้


แต่คนแปลกหน้าเหล่านี้กลับดูเหมือนจะรู้จักหลินฮวง บางคนยังก้าวไปทักทายเขา


ด้วยความสงสัยนี้ กวนจงจึงหันสายตาไปทางค่ายขัตติยะ ดวงตาเขากวาดไปทั่วบริเวณและพบว่ามีอีก9คนที่เขาไม่รู้จัก เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นข้อมูลของทั้งเก้าคนนี้ในฐานข้อมูล


หลังพบความผิดปกตินี้ กวนจงก็แจ้งตงฟางไป่ทันที


ตงฟางไป่ขมวดคิ้วหลังได้ยิน


 


“ทำไมเจ้าถึงเพิ่งรู้?”

“อย่างแรก ขัตติยะคือพันธมิตร ข้าจึงไม่ได้ให้ความสนใจทางฝั่งพวกเขานัก แถม หลินฮวงกับคุณฟู่ยังอยู่ที่นั่น พวกเขาสามารถขัดขวางสัมผัสข้าได้ง่ายๆ ดังนั้นข้าจึงพยายามเลี่ยงการมองไปทางนั้น ข้าเพิ่งได้เหลือบมองเมื่อสักครู่และพบว่ามีคนแปลกหน้ามากมายทางฝั่งของขัตติยะ”

“เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนของหลินฮวงหรือเปล่า?”ตงฟางไป่ถาม


“พวกเขาอาจไม่ใช่ลูกน้องเขา แต่ก็ต้องมีความสัมพันธ์กันแน่!”กวนจงไตร่ตรองสักพักก่อนพูดต่อ”ข้ายังสงสัยว่าคนเหล่านี้อาจไม่ใช่คนของโลกกรวดเรา!”


“ทำไมเจ้าถึงพูดแบบนั้น?”ตงฟางไป่ถามด้วยความงงงวย


“ข้าแสร้งทำเป็นเหลือบมองไปตรงนั้นเพื่อสังเกตและพบว่าแหวนหัวใจจักรพรรดิบนมือคนเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าตลาดมืด คนส่วนใหญ่คงไม่พบความแตกต่าง แต่หลังทำงานในสายข่าวมานาน ข้าสามารถบอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างของตลาดมืดและแหวนหัวใจจักรพรรดิทั่วไป”


“งั้นตัวตนของคนเหล่านี้ก็เป็นของปลอม?!”ดวงตาของตงฟางไป่เบิกกว้าง เขารีบหันไปมองหลินฮวง


 


ตอนนี้เอง หลินฮวงเองก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของตงฟางไป่และมองเขากลับ


เมื่อพวกเขาสบตากัน ตงฟางไป่ก็ยิ้มและพยักหน้าให้หลินฮวง จากนั้นก็รีบเบือนหน้าหนี


หลินฮวงเลิกคิ้ว”แปลก”


“ทำไมเราถึงไม่ไปถามหลินฮวงตรงๆละครับว่าคนเหล่านี้มาจากไหน?”กวนจงถาม


“เจ้าคิดว่าเขาจะบอกความจริงไหมหากเขาซ่อนแผนการลับไว้?”ตงฟางไป่ส่ายหัว


“งั้นเราควรทำอย่างไรกันดี?เราไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์เลย เราควรรายงานเรื่องนี้หรือไม่?”กวนจงถามอีกครั้ง


“แจ้งเรื่องนี้กับเฒ่าเจียงก่อน บอกเขาถึงข้อสงสัยของเจ้า”ตงฟางไป่ครุ่นคิดสักพักก่อนตัดสินใจผลักส่งปัญหานี้ให้เจียงฉาน


 


กวนจงพยักหน้า หลังกลับไปเต็นท์เขา เขาก็ติดต่อเจียงฉานทันที เล่าทุกอย่างที่เขาพบว่าแปลก


หลังได้ยินสิ่งนี้ เจียงฉานก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง


“ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”


 


เพียงเมื่อมอนสเตอร์ระลอกสิบมาถึง แหวนสื่อสารของคุณฟู่ก็ดังขึ้น เขาเปิดหน้าสื่อสาร พบว่าคนโทรมาก็คือเจียงฉานจากรัฐบาลกลาง


หลังสับสนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กดรับสาย


“มีเรื่องอะไร เสี่ยวเจียง?”

“เฒ่าฟู่ ข้าได้ยินจากกวนจงว่ามีเทพเสมือนแปลกหน้าได้ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาดูเหมือนจะรู้จักหลินฮวงด้วย ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?”


“ข้ารู้ กำลังเสริมเหล่านี้เป็นคนที่หลินฮวงนำกลับมาจากมหาพิภพ ทั้งหมดมีมากกว่าสองร้อยคน”คุณฟู่พยักหน้า เขาเดาไว้แล้วว่ารัฐบาลกลางต้องถามถึงเรื่องนี้


“กว่าสองร้อย และทั้งหมดยังเป็นเทพเสมือน?!”เจียงฉานตกตะลึง ตามสิ่งที่เขาได้ยินจากกวนจง ตอนนี้มีคนแปลกหน้าปรากฏแค่ประมาณ70คนเท่านั้น


“พวกเขาทั้งหมดเป็นเทพแท้จริง”คุณฟู่แก้ไข


“หือ?”เจียงฉายคิดว่าเขาหูฝาด”ว่าไงนะ ทั้งหมดเป็นเทพแท้จริง?!”


“ใช่ มีมากกว่าสองร้อยคนและทั้งหมดก็เป็นเทพแท้จริง”คุณฟู่ยืนยันอีกครั้ง


 


เจียงฉานอ้าปากค้าง ไร้คำพูดที่เล็ดลอดออกมา


หากหลินฮวงนำยอดฝีมือระดับเทพเสมือนกว่าสองร้อยกลับมา เขาอาจสงสัยว่าหลินฮวงกำลังวางแผนโค่นล้มอำนาจรัฐบาลกลาง หรือแม้กระทั่งกำจัดองค์กรอื่นด้วย เช่นนั้น ขัตติยะก็จะเป็นผู้ปกครองโลกกรวด


แต่ทว่า เนื่องจากคนที่หลินฮวงนำกลับมาล้วนเป็นเทพแท้จริง เขาจึงไม่เกิดความสงสัยเช่นนั้น เพราะหากหลินฮวงอยากปกครองโลกจริงๆ การนำเทพแท้จริงกว่าสองร้อยกลับมาก็มากพอจะกำจัดองค์กรทั้งหมดในโลกกรวดแล้ว  ไม่จำเป็นที่เขาต้องมาเสียเวลาวางแผนร้ายอะไรเลย


 


“เทพแท้จริงเหล่านี้..เราสามารถเชื่อใจพวกเขาได้ไหม?”เจียงฉานถามหลังรวบรวมสติ”เป็นไปได้ไหมว่าองค์กรบางแห่งจากมหาพิภพกำลังใช้หลินฮวงเพื่อแทรกแซงโลกเรา..”

“คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของหลินฮวง พวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งเขาทุกอย่าง จากการสังเกตของข้า ข้าเองก็ไม่พบปัญหาอะไร”คุณฟู่เผยข้อมูลอีกส่วน ซึ่งทั้งเขาและหลินฮวงได้ตกลงกันแล้วว่าสามารถเปิดเผยได้


เขาและหลินฮวงเดาไว้แล้วว่าทาสดาบต้องเป็นที่สังเกตในไม่ช้าก็เร็ว หลินฮวงไม่มีเจตนาจะปกปิดตัวตนของทาสดาบอยู่แล้ว หากพวกเขาเป็นกำลังเสริมที่เขาหยิบยืมมาจากมหาพิภพ พวกเขาคงกังวลใจ แต่ทว่า หากคนเหล่านี้เป็นคนของหลินฮวงเอง งั้นความกังวลของทุกคนก็จะลดลง อย่างน้อยหลินฮวงก็เป็นคนท้องถิ่นและคงไม่มีใครอยากให้บ้านเกิดตัวเองถูกทำลายหรือยึดครอง


 


“ข้าขอคุยกับหลินฮวงหน่อยได้หรือไม่?”

“ไม่มีปัญหา”คุณฟู่หันภาพฉายไปทางหลินฮวงที่อยู่ไม่ไกล


“หลินฮวง คนเหล่านี้เชื่อใจได้จริงๆหรือ?”เจียงฉานถามเขาตรงๆ


“พวกเขาเป็นคนของข้า ไม่มีปัญหาอะไรแน่”หลินฮวงพยักหน้า


“งั้นข้าขอถามอีกคำถาม ข้าหวังว่าเจ้าจะตอบตามตรง”สีหน้าของเจียงฉานดูจริงจัง หลังเงียบไปสักพัก เขาก็จ้องตาหลินฮวง”ข้าเชื่อใจเจ้าได้หรือไม่?”

หลินฮวงพยักหน้า”ท่านสามารถวางใจได้ นี่คือบ้านข้า ข้าก็เหมือนกับพวกท่าน ข้าไม่อยากให้ความสงบสุขของโลกกรวดถูกทำลาย”

“ข้ามีแค่สองจุดประสงค์ในการกลับมา หนึ่งคือแก้วิกฤตในโลกกรวด สองคือนำเพื่อนสนิทกับครอบครัวข้าไปกับข้า”

“มีอีกเรื่องที่ท่านสามารถวางใจได้ ข้าไม่มีแผนอะไรเกี่ยวกับโลกนี้ ต่อให้จะมีปัญหาบ้างในการพัฒนารัฐบาลกลางตลอดแปดร้อยปี  แต่โดยรวม รัฐบาลกลางก็ถือว่าทำสุดความสามารถแล้ว หากข้าเป็นหัวหน้ารัฐบาลกลาง ข้าคงไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยขนาดนี้”

“ถ้าข้าเป็นผู้นำองค์กร ข้ายังพอจัดการได้ แต่ทว่า หากข้ากลายเป็นผู้ปกครองโลก ข้ารู้ดีว่าข้าไม่สามารถทำได้ ด้วยตำแหน่งท่าน ท่านมีหลายสิ่งให้ต้องกังวล ไม่ใช่แค่เรื่องผู้บ่มเพาะ แต่ท่านยังต้องคำนึงถึงพลเมืองธรรมดาอีกนับไม่ถ้วน….”

“สำหรับตัวข้า ข้าอยากมุ่งเน้นการพัฒนาตัวเอง ข้าชอบสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จัก และข้าก็สนุกกับการรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นรวมถึงความตื่นเต้นที่เกิดทุกๆการต่อสู้..”

“ข้าไม่เชื่อว่ามหาพิภพจะเป็นจุดหมายสุดท้ายของข้า ข้าอยากไปสู่จักรวาลที่กว้างใหญ่กว่ามหาพิภพ…”

 

 

 


ตอนที่ 1425

 

เทพเสมือนขั้นสูงเป็นได้แค่เบี้ย

หลังสิ้นสุดการโทรกับหลินฮวง เจียงฉานก็เงียบไปอยู่นาน


เมื่อเขายังเด็ก เขาเคยคิดเช่นกันว่าหากวันหนึ่งเขาเป็นเทพเสมือน เขาต้องไปมหาพิภพเพื่อดูโลกกว้างที่แท้จริง


แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปและระดับพลังบ่มเพาะเขาเพิ่มขึ้น เขากลับก้าวสู่ตำแหน่งนี้ในรัฐบาลกลางและต้องละทิ้งความฝัน


เขาคิดว่าเขาคงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก


แต่ทว่า การสนทนาของเขากับหลินฮวงในวันนี้ก็ทำให้เขานึกถึงความฝันเมื่อนานมาแล้ว


 


“ข้าเป็นเทพเสมือนแล้ว แต่ข้ากลับไม่สามารถไปเยือนมหาพิภพได้…”เจียงฉานพูดกับตัวเองด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว


เขารู้ว่าหลินฮวงไม่มีแผนอะไรทีเกี่ยวกับโลกกรวดเลย


สำหรับหลินฮวง โลกกรวดเล็กเกินไป เวทีของเขาตั้งอยู่บนทะเลดวงดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล!


หลังจากนั้นไม่นาน เจียงฉานก็ติดต่อตงฟางไป่และอธิบายบทสรุปให้เขาฟัง


ตงฟางไป่และกวนจงพูดไม่ออกหลังได้ยิน


 


“เฒ่าเจียง เจ้าไม่ได้หูฝาดแน่นะ?เขาบอกว่าเขาพาเทพแท้จริงมากว่า200เนี่ยนะ?!”

“คุณฟู่คือคนที่พูดเอง มันไม่ควรเป็นเรื่องโกหกเจียงฉานพยักหน้า


ตงฟางไป่ครุ่นคิดสักพักก่อนถาม”คิดว่าเราจะไว้ใจหลินฮวงได้ไหม?”

เจียงฉานพยักหน้าโดยแทบไม่ลังเล


“ข้าไม่คิดว่าหลินฮวงจะเป็นปัญหานัก เขาคือพลเมืองของโลกกรวดเรา และย่อมไม่อยากให้บ้านเกิดตัวเองตกเป็นของคนอื่น แถม เขาดูเหมือนจะไม่มีความปรารถนาใดต่อสถานะหรืออำนาจ หากเขาอยากยึดโลกกรวดจริงๆ ด้วยความสามารถเขาคนเดียวก็ทำได้แล้ว สุดท้ายคือเขาอายุเพียง20ปี ความปรารถนาเขาในการสำรวจยังเต็มเปี่ยม และสำหรับเขา  โลกกรวดนั้นเล็กเกินไป”

หลังได้ยินแบบนี้ ตงฟางไป่ก็เงียบไปก่อนพยักหน้า”ข้าเข้าใจแล้ว งั้นเราควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไง?ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น?”

“ใช่”เจียงฉานพยักหน้า”นอกจากนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับกำลังหนุนก็ให้รู้แค่เราสาม ไม่ต้องบอกฝ่ายอื่น ยิ่งคนรู้มาก ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดปัญหาอื่นๆตามมาเท่านั้น ผู้คนอาจใช้สิ่งนี้เป็นโอกาสในการปลุกปั่นปัญหา ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ความสามัคคีนั้นสำคัญสุด”


“ข้าเข้าใจ”ตงฟางไป่เห็นด้วย


“แล้วสถานการณ์ทางขอบเหวนรกเป็นอย่างไร?”เจียงฉานสอบถามหลังคุยเรื่องหลินฮวงจบ


 


ใบหน้าของตงฟางไป่เปลี่ยนไปหลังได้ยินคำถามนี้


“สำหรับตอนนี้ ผู้รุกรานระลอก10กำลังพยายามฝ่าเข้ามา ระลอก10ที่มานั้นมีมากถึง990ตน และระดับพลังก็ยังเป็นถึงเทพเสมือนขั้น7….”

ใบหน้าของเจียงฉานดำมืด


“แต่ทว่า ผู้พิทักษ์ปัจจุบันของรอยแยกมิติทั้ง33ล้วนเป็นมอนสเตอร์อัญเชิญของหลินฮวง และพวกมันต่างก็เป็นเทพเสมือนขั้น9”นี่คือสิ่งที่ตงฟางไป่รู้สึกอับอาย เขามีคนมากกว่าสองร้อย แต่ทั้งหมดกลับเป็นได้แค่คนดู


“ระดับเทพเสมือนขั้น9…ดูเหมือนจะทนได้อีกไม่นานนัก”สีหน้าของเจียงฉานไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย”การเตรียมการก่อนสงครามเป็นอย่างไรบ้าง?”

“การเตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว”ตงฟางไป่ตอบ


“ดี”เจียงฉานพยักหน้า”นั่นคือไพ่ตายเรา..มันดีกว่าที่จะไม่ใช้เว้นแต่จะอยู่ในสถานการณ์วิกฤตถึงขีดสุด”


“เข้าใจแล้ว”ตงฟางไป่พยักหน้า


..


ย้อนกลับไปที่ค่ายขัตติยะ หลังวางสายกับเจียงฉาน คุณฟู่ก็อดถามหลินฮวงไม่ได้


‘เจ้าคิดพาซินเอ๋อร์ไปจากโลกกรวดหลังสงครามจริงหรือ?”

“ข้าอาจพักสักเดือนหรือสองเดือนก่อนไป”หลินฮวงพยักหน้า”เราต้องจัดเตรียมแผนในอนาคตสำหรับขัตติยะกับผู้ปลดปล่อยก่อน.”

“นอกจากนี้ ยังมีหลายพื้นที่ในโลกกรวดที่เรายังไม่ได้ไป ซินเอ๋อร์อาจจะยังอยากไปเยือนสถานที่เหล่านั้น ก่อนไป เราควรไปเที่ยวรอบโลกก่อนเพราะเราไม่รู้ว่าครั้งหน้าที่เรากลับมาจะผ่านไปนานแค่ไหน”

“อาจารย์ ท่านควรมากับเรา ไปมหาพิภพกับข้า!”หลินฮวงพลันเปลี่ยนเรื่องและกล่าวกับคุณฟู่อย่างตื่นเต้น


 


คุณฟู่ลังเล เขาไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับ


“ทางฝั่งโลกกรวด ตราบเท่าที่เรากำจัดผู้นำของผู้รุกรานได้ การรุกรานเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีกในอนาคต เหนือสิ่งอื่นใด ตำแหน่งทางเข้าของอุโมงค์มิติที่เชื่อมต่อมหาพิภพกับโลกกรวดนั้นห่างไกลกันมาก โดยปกติแล้วมันไม่ได้ถูกค้นพบกันง่ายๆ”


“ไม่ใช่แค่นั้น แต่โอกาสเกิดสงครามภายในโลกกรวดหลังศึกนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้ ตราบเท่าที่หกองค์กรใหญ่สามารถหาสมดุลกันได้ พวกเขาควรรักษาสันติภาพไว้ได้เป็นเวลานาน”

“นอกจากนี้ ข้าคิดว่าท่านควรคิดถึงตัวเองบ้าง อาจารย์ ท่านไม่สามารถปกป้องโลกกรวดไปได้ตลอด อนาคตของโลกนี้ควรตกอยู่ในมือของคนรุ่นหลัง”

“ตอนนี้เจ้าหายดีจากบาดแผลแล้ว และระดับพลังท่านก็ถึงเทพเสมือนขั้น9แล้ว ไม่มีทางที่ท่านจะเลื่อนขั้นความสามารถได้อีกในโลกกรวด แต่ทว่า ในมหาพิภพ ไม่เพียงท่านจะกลายเป็นเทพแท้จริงได้ แม้แต่เทพสวรรค์ก็ยังเป็นไปได้!หากท่านอยากกลับมาโลกกรวด ท่านก็สามารถผนึกลพังตัวเองและกลับมาได้”


 


คุณฟู่ถูกโน้มน้าว


“ข้าจะพิจารณาข้อเสนอเจ้าตอนเราชนะสงคราม แต่ทว่า สำหรับตอนนี้ เราต้องให้ความสำคัญกับสงครามก่อน”


“โอ้ใช่ ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากมีผู้รุกรานพยายามทดสอบอุโมงค์มิติแต่ไม่สำเร็จ พวกเขาจะชะลอการเริ่มของสงครามไหม?เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะล้มเลิกการรุกราน?”คุณฟู่สงสัย


“หากมันเป็นอุโมงค์มิติเปิดใหม่และการทดสอบก็ยังล้มเหลวซ้ๆ งั้นผู้รุกรานอาจละทิ้งการบุกรุกชั่วคราว”


“แต่ทว่า อุโมงค์มิติทั้ง33ของขอบเหวนรกดำรงอยู่มานานมาก และก่อนหน้าก็มีหลายกรณีที่ประสบความสำเร็จในการเคลื่อนย้าย ในแง่ของความน่าจะเป็น แม้จะมีปัญหากับอุโมงค์มิติ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดปัญหากับทั้งหมด ผู้รุกรานจากมหาพิภพต้องรู้อย่างแน่นอนว่าสาเหตุของความล้มเหลวเป็นเพราะการแทรกแซงจากฝั่งเรา ดังนั้น พวกเขาย่อมไม่ยอมแพ้ต่อการรุกราน”


“พวกเขาจะไม่ชะลอการเริ่มสงคราม พวกเขาทดสอบเช่นนี้เพราะการยับยั้งโลกกรวดยังไม่บรรลุผลดี เมื่อเจตจำนงโลกกรวดถูกยับยั้ง พวกเขาถึงเริ่มสงครามเต็มรูปแบบ”


“แต่พวกเขาไม่รู้ว่าอุโมงค์มิติใดได้ผล  พวกเขาจะไม่เสียหายครั้งใหญ่หากทำสงครามภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หรือ?”คุณฟู่ถามอย่างสงสัย


“พวกเขาจะส่งเทพเสมือนขั้นต้นและกลางจำนวนมากมาเพื่อปูทาง และจะไม่ทดสอบด้วยคนแค่ไม่กี่สิบแบบนี้ พวกเขาจะส่งมานับหมื่นผ่านแต่ละรอยแยก เมื่อพบอุโมงค์ที่พวกเขาสงสัยว่าใช้งานได้ พวกเขาจะส่งเทพเสมือนขั้นสูงจำนวนมากมาเป็นการสำรวจรอบสอง หลังส่งพวกเบี้ยมาสองรอบ เทพแท้จริงจะเข้ามาเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น พวกเขาจะมาถึงพร้อมกองทัพและกำจัดโลกกรวดทั้งหมด..”


“เทพเสมือนขั้นสูงเป็นแค่เบี้ย?”คุณฟู่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“ในมหาพิภพ เทพเสมือนแค่จุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะ มีเผ่าที่ทรงพลังมากมายในมหาพิภพที่มีลูกหลานเป็นเทพเสมือนตั้งแต่เกิด พอโต พวกเขาจะกลายเป็นเทพแท้จริงเอง สำหรับบางเผ่าชั้นนำ ทารกแรกเกิดอาจเป็นเทพแท้จริงเลยด้วยซ้ำ และจะเลื่อนเป็นเทพสวรรค์ตอนโตเต็มวัย”


“นอกจากนี้ มหาพิภพยังเชื่อมต่อกับโลกขนาดเล็กนับไม่ถ้วน และทรัพยากรที่มีก็มากกว่าโลกขนาดเล็กนับล้านเท่า กฏและลำดับนั้นสมบูรณ์ เต็มไปด้วยพลังงานหลากประเภท และการบ่มเพาะก็ง่ายกว่ามาก การเป็นเทพเสมือนที่นั่นง่ายกว่าโลกกรวดนับร้อยเท่า จำนวนเทพเสมือนในมหาพิภพมากกว่าจำนวนผู้หลุดพ้นทั้งหมดในโลกกรวดเราซะอีก”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)