Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 997-999

ราชันเร้นลับ 997 : ‘เทพพนัน’ ดอน

 

กติกาการเล่นเท็กซัสโปเกอร์นั้นไม่ซับซ้อน ขอเพียงใช้นำไพ่สองใบในมือ ไปรวมกับไพ่กองกลางและเลือกชุดที่ดีที่สุดออกมาสามใบ จากนั้นก็นำของทุกคนมาเทียบกัน ใครใหญ่สุดชนะ การแจกไพ่กองกลางแบ่งออกเป็นสามรอบ รอบแรกสามใบ รอบที่สองหนึ่งใบ และรอบที่สามหนึ่งใบ แต่ละรอบผู้เล่นสามารถเลือกเล่น ‘หมอบ’ (เลิกเล่นรอบนั้น) ‘คอล’ (ลงเงินเดิมพันเท่ากับราคาบลายด์ปัจจุบัน) ‘เช็ก’ (ผ่านโดยไม่เพิ่มเงินเดิมพัน) และ ‘เรส’ (เพิ่มเงินเดิมพันให้สูงขึ้น) เกมจะดำเนินไปจนกระทั่งไม่มีใคร ‘เรส’ หรือเหลือคนสุดท้ายที่ยังไม่ ‘หมอบ’


ไคลน์ควงชิปในมือเล่น ผลการทำงานบอกว่ามันจะโชคดีในอีกสองสามรอบถัดไป ส่วนจะเป็นรอบไหนนั้นไม่ทราบแน่ชัด เพราะนี่เป็นเพียงการทำนายหยาบๆ


ด้วยเทคนิคนี้ การเล่นกับคนธรรมดาและผู้วิเศษระดับต่ำจะไม่มีปัญหาถ้าใช้กลยุทธ์ที่ดีประกอบ แต่ยังไม่มากพอจะรับมือกับครึ่งเทพ หรือแม้กระทั่งผู้วิเศษลำดับกลางที่มีพลังสอดคล้องกับการโกง ก็ยังถือว่าตึงมืออย่างมาก… ถ้าอย่างนั้น ทุกรอบที่เล่น เราต้องทำทีเป็นหลับตาและใช้เทคนิคทำนายฝัน? หึหึ ถ้าเป็นแบบนั้น ดอน·ดันเตสคงได้ฉายาว่า ‘เทพพนันนิทรา’ … ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เฝ้ามองการแข่งขันอย่างดุเดือดจากด้านข้าง – ปัจจุบัน มันแพ้ ‘บิ๊กบลายด์’ (ถูกบังคับให้วางเงินในรอบนั้นเต็มบลายด์) และ ‘สมอลบลายด์’ (ถูกบังคับให้วางเงินในรอบนั้นครึ่งบลายด์) ไปแล้วอย่างละหนึ่งครั้งในรอบของตัวเอง (รวมเป็นหนึ่งปอนด์ครึ่ง เพราะสำหรับตอนนี้ หนึ่งบลายด์เท่ากับหนึ่งปอนด์)


บลายด์ – ราคาเดิมพันขั้นต่ำของรอบนั้นๆ คนที่หมอบไปก่อนจะเล่นไม่ต้องลงบลายด์


ทันใดนั้น ไคลน์ชำเลืองไปเห็นรองผู้อำนวยการ MI9 โจนาส·โคลเกอร์กำลังเสียเงินยี่สิบปอนด์ให้พลเรือเอกอมิรุส


ติดสินบนสำเร็จแล้ว… นายพลอมิรุสน่าจะทราบว่าโจนาส·โคลเกอร์ใช้พลังบารอนแห่งการเน่าเปื่อย แต่ไม่ทราบว่ารองผู้อำนวยการ MI9 รายนี้เป็นครึ่งเทพ… รอบถัดไปต้องสนุกแน่… ไคลน์รู้สึกตื่นตัวเมื่อรอบใหม่เริ่มต้นขึ้น มันรับไพ่สองใบมาจากคนแจกโดยไม่เปิดดู จากนั้นก็ใช้ชิปทับไว้ราวกับจะไม่เปิดดูอีกเลย


หลังจากมีคนหมอบไปสองคน อมิรุส·รีเวลต์ที่ดูหัวโบราณและเอาจริงเอาจังตลอดเวลา ชำเลืองไพ่ตัวเอกสักพัก หยิบชิปมูลค่าห้าปอนด์โยนลงกลางโต๊ะ เป็นการ ‘เรส’ ที่ไม่มีใครแปลกใจ


คนถัดมาหมอบ ส่วนส.ส. มัคท์ ‘คอล’ ตามห้าปอนด์ แต่ทันทีหลังจากนั้น โจนาส·โคลเกอร์ที่มีร่างกายกำยำทำการ ‘เรส’ เพิ่มเงินเดิมพันให้เป็นยี่สิบปอนด์


พันเอกคาลวินตรวจสอบไพ่ตัวเองอีกครั้ง ตามด้วย ‘คอล’


หลังจากหมอบอีกหนึ่งคน ดอน·ดันเตสกำชิปโดยไม่ได้นับ จากนั้นก็โยนลงไป


“ยี่สิบปอนด์… คอล” คนแจกไพ่นับชิปและประกาศการเล่นของดอน·ดันเตส


“ผมคิดว่ามันจะมีมูลค่าห้าสิบปอนด์เสียอีก… ยังไม่ชินกับชิปพวกนี้สักที” ดอน·ดันเตสเจ้าของมาดสง่างาม กล่าวติดตลกพลางหัวเราะ


อย่างไรก็ตาม มันมิได้นำเงินสามสิบปอนด์ที่เหลือออกมาสมทบดังคำกล่าว


ขณะเดียวกัน ยังไม่มีใครทำอะไรเพิ่มเติม เพราะเป็นตาของนายพลอมิรุส


พลเรือเอกรายนี้ไม่แม้แต่จะมองหน้าผู้เล่นคนอื่น หยิบชิปสิบปอนด์ออกมาสิบแผ่น โยนลงไปบนโต๊ะ


“เรส”


อารมณ์ของมันสงบนิ่งจนน่าทึ่ง ราวกับสั่งชาดำสักถ้วยในคาเฟ่ แต่บรรยากาศกลับท่วมท้นไปด้วยความอึดอัดเหนือคำบรรยาย ผู้คนเริ่มประหม่าหลังจากมีการ ‘เรส’ หลายรอบติดๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นไพ่กองกลางทั้งสามใบ


ตามปรกติ สถานการณ์เช่นนักมักหมายถึง นายพลอมิรุสมีในมือสวย อาจเป็นคู่เอซหรือคู่คิง หรือไม่ก็เอซกับคิง


ส.ส. มัคท์ตัดสินใจหมอบ ส่วนโจนาส·โคลเกอร์ใช้มือลูบดั้งจมูก เหลียวซ้ายแลขวาด้วยดวงตาสีน้ำเงินเข้มก่อนจะกล่าว:


“คอล”


พันเอกคาลวินดูไพ่ในมือตัวเองราวสิบวินาที ก่อนที่จะเลือกหมอบ


ดอน·ดันเตสสัมผัสชิปเหล็กที่วางบนไพ่คว่ำของตัวเอง กล่าวพลางยิ้ม:


“คอล”


หลังจากทุกคนเล่นรอบแรกเสร็จ เหลือผู้เล่นในเกมนี้เพียงสามคน ถึงเวลาที่คนแจกไพ่ต้องเปิดไพ่กองกลางที่หมอบไว้กลางโต๊ะ


“สองโพดำ เก้าโพแดง คิงโพดำ”


คนที่ได้เล่นคนแรกคืออมิรุส·รีเวลต์ มันโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย กล่าวด้วยบรรยากาศดุดัน


“ห้าสิบปอนด์”


มันเพิ่มเงินเดิมพันจากเดิมอีกห้าสิบปอนด์!


ส.ส. มัคท์ พันเอกคาลวิน และคนที่เหลือ แม้จะไม่ได้เล่นรอบนี้ด้วยตัวเอง แต่กลับอึดอัดจนหายใจไม่ออก


“…” ร่างกายโจนาส·โคลเกอร์สั่นเทาเล็กๆ ก่อนจะตัดสินใจโยนชิปลงไปอีกห้าสิบปอนด์


ดอน·ดันเตสชำเลืองไปทางรองผู้อำนวยการ MI9 พลางยิ้มอย่างไม่กดดัน


“คอล”


ได้ยินประโยคดังกล่าว พันเอกคาลวินเอียงคอ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ดอน·ดันเตสเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินเข้มลุ่มลึกราวกับทะเลสาบยามค่ำคืน เป็นนัยว่า ‘ทำดีมาก’


ตามความเห็นของมัน คนที่ทั้งใจมาเล่นแพ้ให้นายพลอมิรุส ย่อมไม่เกิดความกดดันใดๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่คุกคามของอีกฝ่าย


ทันใดนั้น คนแจกไพ่ที่สวมกั๊กสีแดง ทำการแจกไพ่กองกลางใบที่สี่


“เก้าโพดำ”


โพดำออกมาทั้งสิ้นสามใบ มีโอกาสสูงมากที่จะเกิด ‘ฟลัช’ ทว่า พลเรือเอกอมิรุสยังคงปราศจากความลังเล ดันกองชิปออกไปด้านหน้าอย่างใจเย็น


“หนึ่งร้อยปอนด์”


โจนาส·โคลเกอร์ใช้นิ้วเคาะไพ่ตัวเองหลายครั้ง ท่าทีขาดความมั่นใจ แต่สุดท้ายก็ยังเลือกจะ ‘คอล’


ดอน·ดันเตสชำเลืองรองผู้อำนวยการ MI9 อีกครั้งด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะกล่าว


“คอล”


มาถึงจุดนี้ มันยังไม่เปิดไพ่ตัวเองมาตรวจสอบแม้แต่ครั้งเดียว นั่นทำให้พันเอกคาลวินเริ่มกังวลว่า ท่าทีเช่นนี้ไม่เป็นการยอมแพ้อย่างประเจิดประเจ้อเกินไปหรือ? นายพลอมิรุสที่เป็นพวกหัวโบราณ อาจไม่ยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้


ทันใดนั้น คนแจกไพ่ในกั้กสีแดงแจกไพ่กองกลางใบที่ห้า


“สองดอกจิก”


ไพ่กองกลางทั้งห้าใบถือว่าถูกเปิดอย่างครบถ้วน:


“สองโพดำ เก้าโพแดง คิงโพดำ เก้าโพดำ และสองดอกจิก”


“สองร้อยปอนด์” พลเรือเอกอมิรุสดันชิปโลหะออกไปด้วยบรรยากาศท่วมท้น


โจนาส·โคลเกอร์สูดลมหายใจยาว ดันชิปออกไปสองกองใหญ่


“ห้าร้อยปอนด์”


นี่คือจำนวนเทียบเท่าเงินเดือนครึ่งปีของมัน


กำลังบลัฟ? พันเอกคาลวินและส.ส. มัคท์มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าพฤติกรรมของรองผอ. โจนาสค่อนข้างเดาง่าย


ต้องไม่ลืมว่า ในการเล่มไพ่เท็กซัสโปเกอร์ นอกจากต้องจัดการความเสี่ยงและคำนวณความน่าจะเป็น ในหลายครั้งยังต้องเล่นเกมทางจิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นภาษากาย การแสดงออก สไตล์การเล่น


แน่นอน มีหลายคนที่จงใจทำตรงข้ามเพื่อทำให้คู่แข่งเข้าใจผิด


ดอน·ดันเตสจ้องโจนาส·โคลเกอร์สักพัก จากนั้นก็หัวเราะในลำคอและกล่าว:


“คอล”


พลเรือเอกอมิรุสยกมือขึ้น เตรียมดันชิปทั้งหมดออกไปด้วยบรรยากาศข่มขวัญสุดขีด


แต่ทันใดนั้น พฤติกรรมของมันชะงักกะทันหัน ใบหน้าที่ไร้อารมณ์เริ่มเผยความเคร่งขรึม


เงียบไปสักพัก มันกล่าวอย่างใจเย็น


“คอล”


มาถึงจุดนี้ ทุกคนเลือกจะเล่น ‘คอล’ จึงถึงเวลาเปิดไพ่ในมือและนำมาประกอบกับกองกลาง


นายพลอมิรุสเปิดไพ่เป็นคนแรก ในมือของมันมีเอซโพดำและสิบโพดำ เมื่อประกอบกับสองโพดำ เก้าโพดำ และคิงโพดำจะได้ ‘ฟลัช’ เป็นไพ่ในค่อนข้างใหญ่ มีใหญ่กว่าไพ่ชุดนี้ไม่มาก ประกอบด้วย ‘ฟูลเฮ้าส์’ ‘โฟร์การ์ด’ ‘สเตรทฟลัช’ และ ‘รอยัลฟลัช’


“ตาคุณแล้ว” อมิรุสเรียกดูไพ่โจนาส


โจนาสพลิกไพ่ใบแรก เป็นคิงข้าวหลามตัด เกิดเป็นกลุ่ม ‘คู่คิง’ และ ‘คู่เก้า’ จากกองกลาง


ทันทีหลังจากนั้น มันโยนไพ่ใบที่สองลงไปในสภาพหงาย หน้าไพ่ค่อนข้างพร่ามัว


แปะ!


เมื่อตกถึงพื้น หน้าที่เผยออกมาก็คือ:


“เก้าดอกจิก!”


“อะไรกัน…” ส.ส. มัคท์และคนที่เหลือต่างตกตะลึง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง


หรือก็คือ ชุดไพ่ของโจนาส·โคลเกอร์จะกลายเป็น ‘ฟูลเฮ้าส์’ คู่คิงและตองเก้า!


ไพ่ที่สูงกว่าฟลัช!


“เสียใจด้วยนะครับ ฟูลเฮ้าส์” โจนาสมองไปทางพลเรือเอกอมิรุส กล่าวพลางยิ้ม


จากนั้น มันมองไปทางดอน·ดันเตส


“ถึงตาคุณเปิดไพ่แล้ว”


“ผมเองก็อยากทราบเหมือนกันว่าพวกมันหน้าอะไร” ดอน·ดันเตสอมยิ้มพลางเลื่อนชิปโลหะออกจากหลังไพ่ พลิกหงายด้วยท่าทีผ่อนคลาย


“อะไรกัน…”


“ได้ยังไง?”



พันเอกคาลวินและคนที่เหลือต่างพากันขยี้ตา


ไพ่ในมือดอน·ดันเตสเป็นคู่ที่ต่ำมาก


“สองโพแดง สองข้าวหลามตัด”


แต่ในไพ่กองกลางก็มีคู่ที่เล็กไม่ต่างกัน:


“สองโพดำ สองดอกจิก”


แต่เมื่อนำไพ่เล็กๆ ทั้งสี่ใบมาประกอบกัน พวกมันจะสูงกว่า ‘ฟูลเฮ้าส์’ ทุกหน้า!


“เทพธิดาจงเจริญ!” ดอน·ดันเตสจ้องด้วยสีหน้าตกตะลึง วาดจันทร์แดงกลางหน้าอกอย่างคาดไม่ถึง


“เป็นเกมที่น่าสนใจ” พลเรือเอกอมิรุสผงะเล็กน้อย ปรบมือให้เบาๆ


โจนาส·โคลเกอร์จ้องหน้าดอน·ดันเตสเป็นเวลานาน ถอนหายใจและยิ้ม


“คาดไม่ถึงว่าผู้ชนะคนสุดท้ายจะเป็นคุณ”


ไคลน์ยิ้มตอบ รำพันในใจ


ฉันต้องชนะอยู่แล้ว… ในแง่หนึ่ง นายพลอมิรุสอาจชอบใช้บรรยากาศข่มขวัญคู่แข่ง แต่เขาไม่ได้ใช้พลังพิเศษในการโกงไพ่… ส่วนนายสนใจเพียงนายพล จึงใช้พลังพิเศษไปกับเขาโดยไม่สนใจฉัน… และเหนือสิ่งอื่นใด คนที่กำลังเล่นไพ่กับพวกนายไม่ใช่ฉัน แต่เป็น ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนต่างหาก…


โดยไม่ต้องมองไพ่ในมือ มันก็มั่นใจว่าไพ่จะต้องออกมาเป็นหน้าที่โชคดีสุดๆ!


ในวินาทีที่ไคลน์โยนชิปลงบนหลังไพ่ มันได้สลับตำแหน่งกับเอ็นยูนพร้อมกับสลับใบหน้า!


แม้พันเอกคาลวินจะกำชับให้มาเสียไพ่ แต่หลังจากเห็นโจนาส ไคลน์ตัดสินใจใช้พลังแห่งโชคเพื่อกินรอบใหญ่


มิใช่ว่ามันไม่ต้องการเสียเงิน แต่จุดประสงค์ของรอบเมื่อครู่ก็คือ ดึงดูดความสนใจจากครึ่งเทพรองผอ. ของ MI9 รายนี้ เป็นการสร้างบทสนทนาและสานต่อเส้นสาย!


หากสำเร็จ ไคลน์จะมีโอกาสได้รับข่าวสารจากโจนาส·โคลเกอร์ หรือแม้กระทั่งลอบสังหารอีกฝ่าย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด อีกฝ่ายเป็นครึ่งเทพ แถมที่นี่ยังเป็นเบ็คลันด์ การจะลงมือทำอะไรต้องรอบคอบ หากปลิดชีพไม่ได้ในพริบตา หรือมิอาจล่ออีกฝ่ายออกจากเบ็คลันด์ การลงมือส่งเดชคงไม่แคล้วถูกล้อมจับโดยเหล่าครึ่งเทพและเทวทูต


ในเกมถัดมา ไคลน์สลับแพ้ชนะ แต่นอกจากจะไม่เสียเงินหนึ่งพันปอนด์ มันยังทำกำไรได้เกือบหนึ่งพันปอนด์ ระหว่างนี้ พันเอกคาลวินพยายามสะกิดให้จงใจแพ้หลายหน แต่ไม่ว่าดอน·ดันเตสจะลงไพ่อย่างไร ผลลัพธ์กลับลงเอยด้วยความโชคดีแบบงงๆ เสมอ


เมื่อเกมจบ คนแรกที่เดินไปหาดอน·ดันเตสและยิ้มให้ ไม่ใช่ใครนอกจากรองผอ. โจนาส·โคลเกอร์

 

 

 


ราชันเร้นลับ 998 : สานสัมพันธ์

 

ด้วยดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ โจนาส·โคลเกอร์เจ้าของทรงผมสั้นเกรียนที่หาได้ยากในแวดวงชนชั้นสูง เดินถือแก้วแชมเปญไปหาดอน·ดันเตส ยิ้มและทักทาย


“วันนี้คุณโชคดีมาก แถมยังเต็มไปด้วยความกล้าหาญ”


ถ้าหมายถึงการหมอบทันทีหลังจากถูก ‘ติดสินบน’ หลีกเลี่ยงการเสียเงินก้อนใหญ่ นั่นไม่ใช่โชค แต่เป็นความรู้… สำหรับฉัน ดวงของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาผลาญเล่นในวงไพ่… ไคลน์เขย่าแก้วที่เต็มไปด้วยเหล้าสีทองในมือ ถอนหายใจและยิ้ม


“ถ้าเล่นโดยไม่สนใจผลลัพธ์ ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องกลัว… ฮะฮะ! เทพธิดาจงเจริญ”


ประโยคเมื่อครู่สื่อเป็นนัยตามแบบฉบับโลเอ็นว่า ตนจงใจมาที่นี่เพื่อเสียไพ่ แต่ดันดวงดีเป็นพิเศษ จึงขอยกความดีความชอบให้ทวยเทพ มิได้เกี่ยวกับตัวเอง


ในคืนนี้ โจนาสมิได้เสียไปมากมาย ราวหนึ่งถึงสองร้อยปอนด์เท่านั้น จริงอยู่ เงินจำนวนดังกล่าวฟังดูเยอะหากเทียบกับเงินเดือนปรกติของมัน แต่สำหรับรองผอ. MI9 ที่เป็นครึ่งเทพ รายได้หลักของโจนาสมิได้มาจากเงินเดือนอยู่แล้ว มันจึงไม่แยแสนัก


“มนุษย์มิอาจจะมองเห็นชะตากรรมล่วงหน้าสินะ… คุณเป็นคนที่น่าสนใจมาก ยินดีที่ได้รู้จัก”


ประโยคส่วนหลัง ครึ่งหนึ่งเป็นคำชมตามมารยาท ครึ่งหนึ่งเป็นการตัดบทสนทนา


ทว่า สำหรับไคลน์ที่ ‘เสแสร้ง’ มาตลอดทั้งคืนเพื่อตีสนิทกับครึ่งเทพเส้นทางจักรพรรดิมืด มันไม่มีทางยอมถอดใจแค่นี้ ก่อนอื่น มันตอบกลับไปว่า ‘ผมเองก็เช่นกัน ดีใจที่ได้รู้จักคุณ’ จากนั้นก็ถามต่อ


“ท่านรองผอ. พอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในเขตชานเมืองเบ็คลันด์บ้างไหมครับ? ถ้ามีป่าสำหรับล่าสัตว์จะดีมาก”


จากข้อมูลที่ไคลน์ได้รับจากมิสจัสติส โจนาส·โคลเกอร์ รองผู้อำนวยการ MI9 มักไม่จัดงานเลี้ยงเต้นรำ งานเลี้ยงรับประทานอาหาร หรือซาลอนที่บ้านของตัวเองนัก และถึงจะถูกชวนก็ไม่ไปไหน ไม่มีใครทราบว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวหรือเพราะหน้าที่การงาน


เอกลักษณ์ของมันไม่ซับซ้อน หนึ่งคือการสูบซิการ์ โดยเฉพาะ ‘ซิการ์หัวหน้าเผ่า’ ที่ผลิตในแคว้นมิโคเฮนที่ถูกขนานนามให้เป็นซิการ์อันดับหนึ่งของโลก สองคือ มันชอบเล่นไพ่ โดยเฉพาะไพ่เท็กซัสโปเกอร์ และสาม มันชอบล่าสัตว์ มักตระเวนไปตามชานเมืองของเบ็คลันด์ในช่วยฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว แถมพักหลังยังไปล่าที่แคว้นอาโฮว่าหรือเชสเตอร์ตะวันออกเป็นต้น


เดิมที ไคลน์แค่ต้องการจะซื้อคฤหาสน์ชานเมืองสักหลัง เพียงเพื่อจะใช้เงินและเข้าร่วมแวดวงชนชั้นสูง ไม่เคยคิดเรื่องการล่าสัตว์มาก่อน จนกระทั่งได้พบกับโจนาส·โคลเกอร์ จึงเสริมเงื่อนไขดังกล่าวเข้าไป หวังจะดึงดูดความสนใจจากอีกฝ่าย หากมีโอกาส มันสามารถเชิญรองผอ. MI9 ไปล่าสัตว์แถบชานเมืองในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จากนั้นก็หาโอกาสลงมือ


โจนาส·โคลเกอร์จิบแชมเปญ คิดสักพักก่อนจะตอบ


“ผมจะช่วยดูให้ ถ้าเจอหลังที่เหมาะ ผมจะส่งคนไปหาที่… เอ่อ… ถนนเบิร์คลุนใช่ไหม? อา… ผมจะส่งคนไปหาที่ถนนเบิร์คลุน”


“ขอบคุณมาก” ไคลน์ตอบจากใจ


ขณะเดียวกัน มันรู้สึกผิดต่อริชาร์ดสัน อดีตบุรุษรับใช้ที่กลายมาเป็นผู้ช่วยพ่อบ้าน ในระยะหลัง ริชาร์ดสันกระตือรือร้นที่จะออกไปตั้งแต่เช้าและกลับดึก คอยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคฤหาสน์และที่ดินในเขตชานเมืองเบ็คลันด์ให้นายจ้าง ตรวจสอบว่าที่ใดตรงตามข้อกำหนด และต้องพร้อมขาย จากนั้นก็เข้าไปสำรวจด้วยตัวเองทีละหลัง ยืนยันให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา โดยจะไม่ยอมให้นายจ้างต้องผิดหวังหลังจากดูข้อมูลและชื่นชอบหลังใดหลังหนึ่ง แต่พอจะติดต่อขอซื้อกลับไม่ขาย หรือไม่ก็หลังที่สภาพจริงแย่กว่าที่เขียนอธิบายไว้ในข้อมูล


แน่นอน ในวินาทีที่ไคลน์เพิ่มเงื่อนไขใหม่ ความพยายามทั้งหมดที่ริชาร์ดสันทำมาแทบจะกลายเป็นหมันทันที


นายจ้างใจร้ายสินะ… อา… ไว้เสร็จงานนี้ เราจะให้ทาเนญ่าขึ้นค่าจ้างรายปีให้เขาห้าปอนด์… ในฐานะผู้ช่วยพ่อบ้าน ค่าจ้างย่อมต้องสูงกว่าที่เคยรับในสมัยยังเป็นบุรุษรับใช้เล็กน้อย… ห้าปอนด์… แค่เรา ‘เรส’ สักครั้งสองครั้งก็ลอยหายไปกับสายลม… ค่าจ้างรายปีของริชาร์ดสันนำไปเล่นเท็กซัสโปเกอร์ได้แค่ไม่กี่เกม… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ทันใดนั้นก็พบว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมาทางตน


มันมองกลับโดยไม่เก็บซ่อน และพบว่าเป็นนายพลอมิรุสที่กำลังจ้องมา


ชายวัยกลางคนหัวโบราณมาดขรึมพยักหน้ารับก่อนจะถอนสายตากลับ ไม่มีความตั้งใจที่จะสนทนากับดอน·ดันเตส ไม่คิดจะจับกุมผู้วิเศษเถื่อน เพราะท้ายที่สุด เศรษฐีรายนี้เป็นพันธมิตรกับกองทัพ เป็นนักธุรกิจที่มีเส้นสายกว้างขวางในทวีปใต้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะดื่มโอสถเข้าโดยบังเอิญ


ทันใดนั้น พันเอกคาลวินและส.ส. มัคท์เดินมาหาดอน·ดันเตสพร้อมกับแก้วไวน์ในมือ


“คุณทำได้ยังไง?” คาลวินลดเสียงลง ถามอย่างจนปัญญา


เนื่องจากดอน·ดันเตสชนะรัวๆ จนได้ไพ่ไปเกือบพันปอนด์ มันและส.ส. มัคท์ที่ไม่ต้องการให้นายพลอมิรุสเสียไพ่ จึงต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เสียเอง จากที่แอบทำลับๆ กลายเป็นลงมืออย่างประเจิดประเจ้อ สูญเงินไปหลายร้อยปอนด์ด้วยความปวดใจ


ลงเอยด้วย เนื่องจากมีเหยื่อต้องสังเวยเป็นจำนวนมาก นายพลอมิรุสจึงได้ไพ่ไปราวสองสามร้อยปอนด์


สำหรับคำตอบ ไคลน์กางมือออก


“ผมไม่ได้ดูไพ่ตัวเองด้วยซ้ำ!”


ความหายของมันก็คือ ทั้งหมดนี้คือพรจากทวยเทพ


ในปัจจุบัน เทพ เทวทูต และ ‘ตัวตนลึกลับ’ ที่มีอำนาจบนเส้นทาง ‘ชะตากรรม’ เท่าที่ทราบประกอบไปด้วยเทพธิดารัตติกาล เดอะฟูล อสรพิษปรอท พาลีส·โซโรอาสเตอร์ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ และ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุส


“นี่มันหายนะจริงๆ” ส.ส. มัคท์และคาลวินยิ้มแห้งพลางส่ายหน้า “ผมกับคาลวินเสียหนักเกินกว่าจะกลับบ้านได้”


พวกมันสูญเสียเงินไปกว่าครึ่งของรายได้ประจำปี


ดอน·ดันเตสเจ้าของจอนสีขาว เผยสีหน้าประหลาดใจ


“เล่นยังไงถึงเสียไพ่จนเข้าขั้นวิกฤติ?”


จากนั้นก็ชี้ไปยังกองชิปที่วางอยู่ด้านหน้าเก้าอี้ของตน


“ผมขอแค่เงินค่าชิปตั้งต้นหนึ่งพันปอนด์คืน ที่เหลือเป็นของพวกคุณ”


พันเอกคาลวินและส.ส. มัคท์ต่างเผยสีหน้าตกตะลึง หันมายิ้มให้กัน


“พวกเราประหม่าและกังวลเกินไป ทำให้คำนวณพลาด” คาลวินพยักหน้ารับ


ไคลน์หัวเราะ ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงมองไปทางอาหารที่วางบนโต๊ะกาแฟด้านข้าง



เมืองเงินพิสุทธิ์ ภายในหอคอยคู่


เป็นอีกครั้งที่เดอร์ริค·เบเกอร์ได้พบกับโคลิน·อีเลียด ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโส


“คุณบอกว่า มีอะไรจะถามผมใช่ไหม” โคลินเจ้าของรอยแผลเป็นเก่าบนใบหน้า มองไปยังเด็กหนุ่มที่ยังมีส่วนสูงไม่มาก ถามเสียงเรียบ


เดอร์ริคทำความเคารพ ตอบอย่างใจเย็น


“ใช่ครับ ท่านเจ้าเมือง การเลื่อนขั้นเป็นนักบวชแสงของผม หนึ่งในเงื่อนไขคือการอาศัยอยู่ท่ามกลางความมืดบริสุทธิ์ และเนื่องจากมันอันตรายมาก ผมจึงยังหาทางออกไม่ได้”


โคลิน·อีเลียดฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าและกล่าว


“คุณต้องแยกแยะก่อน เงื่อนไขคือความมืดบริสุทธิ์ หรือความมืดที่ไร้แสง? สองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างมากในเชิงโครงสร้าง… หากเป็นอย่างหลัง คุณสามารถทำได้โดยการลงไปอยู่ในคุกใต้คอหอย คุณเคยอยู่ที่นั่นมาแล้วนี่ น่าจะทราบว่าผมหมายถึงอะไร”


คุกใต้หอคอย เดอร์ริคพลันสั่นเทาเล็กๆ เมื่อนึกถึง เพราะสถานที่ดังกล่าวคือจุดที่ได้พบกับ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ครั้งแรก ไม่เพียงจะเห็นอดีตกัปตันกลายพันธุ์ต่อหน้าต่อตา แต่ยังถูกปรสิตสิงร่าง หากไม่จำเป็นก็ไม่อยากนึกถึงสักเท่าไร


ปัจจุบัน เมื่อได้รับคำแนะนำจากเจ้าเมือง มันค่อยๆ ทบทวนความจำเกี่ยวกับคุกใต้หอคอย แม้ว่าแต่ละห้องขังจะแจกเทียนไข แต่เมื่อเทียนไหม้หมด คนที่ถูกขังต้องรอให้เจ้าหน้าที่นำเทียนมาเปลี่ยนใหม่ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ราวสามวันต่อหนึ่งครั้ง และทุกครั้งจะเกิดขึ้นค่อนข้างนาน


ท่ามกลางสภาพแวดล้อมดังกล่าว สัตว์ประหลาดกลับไม่โผล่ออกมา แถมยังไม่มีใครเคยหายตัวไป


เดอร์ริคสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ เพราะมันเองก็เคยผ่านความมืดมิดที่ไร้แสงโดยปราศจากอันตราย


ครุ่นคิดสักพัก มันลังเลและพูด


“ความมืดไร้แสงภายใต้หอคอย… เกิดจากอิทธิพลของพลังพิเศษภายนอก?”


เป็นพลังที่สามารถต่อต้านความมืดที่ทำให้ผู้คนหายตัวไป รวมถึงสัตว์ประหลาดปรากฏกาย?


โคลิน·อีเลียดชำเลืองดาบยาวสองเล่มที่แขวนบนผนัง ถอนหายใจพลางพยักหน้า


“ถูกต้อง… เราจะเรียกที่นั่นว่าความมืดไร้แสง มิใช่ความมืดบริสุทธิ์”


เดอร์ริคขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับครุ่นคิดบางสิ่ง


ผ่านไปไม่กี่วินาที มันกล่าวด้วยความลังเล


“หากจะกล่าวเช่นนั้น ความมืดด้านนอกคุกใต้หอคอยก็ไม่ใช่ความมืดบริสุทธิ์เช่นกัน เพราะจากบันทึกทางประวัติศาสตร์มากมาย ทุกเล่มยืนยันตรงกันว่า ก่อนจะเข้าสู่ยุคมืด ความมืดภายในโลกไม่ได้ทำให้สิ่งมีชีวิตหายตัวไป ไม่ได้สร้างสัตว์ประหลาดเหมือนกับทุกวันนี้”


“ไม่เลว… คิดได้แบบนี้ แสดงว่าคุณโตขึ้นแล้ว… ย้อนกลับมาที่คำถาม คุณต้องการความมืดบริสุทธิ์ หรือแค่ความมืดไร้แสง?” โคลินเจ้าของดวงตาสีฟ้าอ่อน ถอนหายใจเล็กน้อย


หืม… จากข้อมูลข้างต้น นอกดินแดนเทพทอดทิ้งจะมีความมืดบริสุทธิ์เหมือนเราไหม? ถ้าไม่มีและการเลื่อนลำดับต้องใช้มัน พวกเขาทำยังไง? เดอร์ริคครุ่นคิดสักพัก รวบรวมสมาธิและตอบ


“ท่านเจ้าเมือง ผมเองก็ไม่แน่ใจ ขอเวลาคิดดูก่อน”


มันเชื่อในตัวแฮงแมนที่ปราดเปรื่องและรอบรู้ รวมถึงเดอะเวิร์ลและสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์ที่ถนัดในการแก้ปัญหา


โคลิน·อีเลียดไม่ซักไซ้ พยักหน้าและตอบ


“เชิญ… เมื่อเลื่อนเป็นลำดับ 5 ถึงแม้อีกนานกว่าคุณจะได้เป็นครึ่งเทพ แต่ทางเราก็จะมอบสมบัติปิดผนึกบางชิ้นให้คุณใช้งาน”



กรุงเบ็คลันด์ เขตฮิลสตัน ซิลแต่งกายด้วยเสื้อนอกสีน้ำตาล สวมหมวกแก๊ป แสร้งทำให้ผู้ชายตัวเตี้ยทั่วไป


เธอรับทำภารกิจอย่างเป็นทางการแล้ว เริ่มด้วยการตามสะกดรอยสุภาพบุรุษรามว่าเออร์เนส·โบยาร์และคนใกล้ตัว แน่นอน ยังมีนักล่าเงินรางวัลอีกสองสามคนรับงานนี้ด้วยเช่นกัน


เออร์เนส·โบยาร์ประคองหมวกทรงสูงบนศีรษะ ชี้ไม้ค้ำไปด้านหน้าพร้อมกับสั่งคนขับรถม้า


“ไปเขตนักบุญจอร์จ”


สถานที่ดังกล่าวอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเบ็คลันด์ ต้องข้ามแม่น้ำทัสซอค


เมื่อขึ้นรถม้าและนั่งลง เออร์เนสสูดลมหายใจเข้าออก มองไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะพ่นลมเย้ยหยัน


มันเป็นถึงไวเคาต์ผีดูดเลือด กับแค่การสะกดรอยของนักล่าเงินรางวัล มันจะไม่ทราบได้อย่างไร?

 

 

 


ราชันเร้นลับ 999 : กระตุ้น

 

เฝ้ามองเออร์เนสขึ้นรถม้าและจากไป นักล่าเงินรางวัลหลายคนที่ซ่อนอยู่ใกล้ๆ เดินออกมาทันที บ้างไม่สนใจต้นทุนภารกิจ รีบโบกรถม้าไล่ตามทันที บ้างจดจำเอกลักษณ์ของรถม้าเป้าหมาย วางแผนอ้อมไปดักด้านหน้า บ้างปั่นจักรยานที่เตรียมไว้ สั่นกริ่งเสียงดังแหวกทางผ่านกลุ่มผู้คน


จากบรรดาทั้งหมด มีเพียงซิลคนเดียวที่ยังเยือกเย็น เฝ้ามองเพื่อนร่วมอาชีพหลายคนจากไป


การเดินทางด้วยจักรยานมีประโยชน์มากกว่าที่คิด เข้าใจแล้วว่าทำไมนักล่าค่าหัวจำนวนมากถึงยอมซื้อเพื่อประหยัดค่ารถม้า รวมทั้งไม่เสียเวลาเดิน… และถ้าได้ทำภารกิจแกะรอยที่คล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง การจะเก็บเงินซื้อจักรยานรุ่นใหม่ก็ไม่ใช่เรื่อง… แต่ปัญหาเดียวก็คือ ปัจจุบันยังมีพาหนะชนิดนี้อยู่แค่ไม่กี่แบบ ทั้งหมดเป็นรุ่นเบาะสูง… ซิวครุ่นคิดหลายสิ่ง


ทันใดนั้น รถม้ารางวิ่งตรงมาจากทางแยก หยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว


ดูเหมือนว่าซิลจะกำลังยืนอยู่ตรงป้าย


ชำเลืองมองรถม้าสองชั้นที่จอดบนรางเหล็ก ซิลล้วงหยิบเหรียญทองแดงหนึ่งเพนนี เดินขึ้นไปหาและที่นั่งริมหน้าต่าง


รถม้าประเภทนี้สามารถบรรทุกคนได้เกือบห้าสิบรวมชั้นบนและล่าง ช่วงเวลานี้ผู้คนยังไม่พลุกพล่าน ช่วยให้ซิลสำรวจทัศนียภาพอย่างไม่อึดอัด


แต่หญิงสาวมิได้ดื่มด่ำไปกับวิวทิวทัศน์ ภายในหัวกำลังร่างภาพเป้าหมาย:


ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีแดง โครงหน้าชัดลึก จมูกโด่งเป็นสันจนดูเหมือนผิดรูป ในมือถืออัลบัมภาพสีน้ำมัน


อาศัยความช่วยเหลือจากพลัง ‘เจ้าพนักงาน’ ประกอบกับการที่ระยะห่างไม่ไกลเกินไป ซิลสามารถจับตำแหน่งปัจจุบันของเป้าหมาย รวมถึงทิศทางที่อีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าไปอย่างคลุมเครือ


ส่งผลให้หญิงสาวใจเย็นอย่างมาก กระทั่งถอดหมวกแก๊ปออกและใช้เงาสะท้อนจากหน้าต่างสางผมสีทองที่แข็งกระด้างเล็กน้อย


หลังจากผ่านไปหลายป้าย ซิลลุกขึ้นและเดินลงจากรถ


ที่นี่คือย่านสะพานเบ็คลันด์ ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเธอจะเปลี่ยนเส้นทาง เตรียมขึ้นสะพาน


ซิลเร่งฝีเท้าทันที วางแผนใช้เส้นทางด้านหน้าอ้อมไปยังถนนอีกเส้น ขึ้นรถม้าไปทางทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค


โชคของเธอยังดีอยู่ ทันทีที่มาถึงป้าย รถม้าสาธารณะก็ขับผ่านมาพอดี


ซิลถอนหายใจโล่งอก หยิบเศษเงินที่เตรียมไว้ออกมา ภายในใจนึกอยากซื้อจักรยานมากกว่าเดิม


รถม้าสาธารณะคันนี้หนาแน่นเป็นพิเศษ แต่ซิลอาศัยพลังข่มขวัญของผู้ตัดสิน แหวกผ่านฝูงชนอย่างง่ายดายจนกระทั่งขึ้นชั้นสองและหาที่นั่ง


เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ซิลมองออกไปด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ทันใดนั้น ดวงตาหญิงสาวพลันแข็งทื่อ


เธอเห็นเชอร์แมนที่ไม่ได้เห็นนานมากแล้ว!


ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นหญิงคนนี้ กำลังถือถุงกระดาษที่บรรจุขนมปังยาวหลายก้อน รวมถึงหนังสือพิมพ์ปึกหนึ่ง เดินเข้าซอยที่คับแคบ


ผมสีน้ำตาลที่เคยยาวประบ่า ปัจจุบันยาวขึ้นมาก กางเกงสีเทาลายทางค่อนข้างรัดรูป


แม้ว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวและหายไปในพริบตา ชนิดที่คนทั่วไปมิอาจจำแนกออก แต่สำหรับซิลที่เป็นเจ้าพนักงาน ง่ายมากที่จะยืนยันในสิ่งนี้


เชอร์แมนเลิกเช่าห้องที่ฝั่งตะวันออก และย้ายมาอยู่แถวนี้แทน? เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสบายดี และตนยังติดภารกิจสะกดรอย ซิลข่มใจไม่ให้กระโดดลงไปไถ่ถามสถานการณ์อีกฝ่าย



ในสภาพถือถุงกระดาษที่บรรจุขนมปังยาวหลายก้อนและปึกหนังสือพิมพ์ เชอร์แมนเดินไปตามตรอกซอกซอยของถนน อ้อมเป็นเวลานาน ก่อนจะเข้าไปในหอพักหลังหนึ่ง เดินไปตามบันไดแคบๆ จนถึงชั้นสาม หยิบกุญแจออกมาไขประตูห้อง


ดูเหมือนว่าเธอจะมีทักษะในการต่อต้านการสะกดรอยที่ไม่เลว


ท่ามกลางเสียงประตูเสียดสีและเปิดออก ดวงตาเชอร์แมนส่องประกายเมื่อได้เห็นสตรีสวมชุดดำ


สตรีผู้นี้มีใบหน้าอ่อนหวานและอ่อนโยน ท่าทางสงบเสงี่ยมสงวนกิริยา แม้จะยืนริมหน้าต่าง บดบังแสงแดดจนบรรยากาศรอบข้างดูมืดมน แต่คล้ายกับร่างของเธอกำลังถูกเคลือบด้วยชั้นทองคำ ทั้งศักดิ์สิทธิ์และสง่างามเหนือคำบรรยาย


“คุณมาที่นี่ทำไม” เชอร์แมนจ้องอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ สำรวจขึ้นลงอย่างมิอาจควบคุม


ลูกกระเดือกที่ลำคอขยับเล็กน้อย กลืนน้ำลายหนึ่งอึก


วินาทีถัดมา มันเบือนหน้าหนีด้วยความเด็ดขาด มองไปด้านข้าง คล้ายกับไม่กล้ามองตรงๆ


“มาดาม… ทริสซี่…” เชอร์แมนทักทายตะกุกตะกัก


รอยยิ้มของทริสซี่ค่อยๆ เบ่งบาน ห้องที่มีแสงสลัวราวกับกำลังเจิดจ้า จากนั้น เธอถามด้วยเสียงเย้ายวน


“ทำไมถึงไม่กล้ามองหน้าฉัน?”


“ม…ไม่รู้เหมือนกัน ฉ…ฉันชอบผู้ชายไม่ผิดแน่ แต่ทำไมเวลาเจอคุณต้องเกิดความคิดแปลกๆ ตลอด” เชอร์แมนตอบขณะเบือนหน้าหนี


สีหน้าทริสซี่เผยอารมณ์ซับซ้อนครู่หนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“สตรีก็สามารถชื่นชมความงามของสตรีด้วยกันได้”


เธอเว้นวรรค ตามด้วยกล่าวต่อ


“ฉันมาที่นี่เพื่อมอบหมายภารกิจ ในช่วงแรก เธอทำงานได้เร็วมาก เร็วจนฉันพึงพอใจ แต่พักหลังดูเหมือนจะชะงักไป”


ทันใดนั้น ใบหน้าเชอร์แมนเผยความกลัว ผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณ


“ฉ…ฉันคิดว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”


เมื่อเห็นว่าทริสซี่ไม่โต้แย้ง คำพูดอีกชุดหนึ่งพรั่งพรูออกมาจากปากเชอร์แมน


“ฉันไม่อยากยุยงให้คนอื่นขโมย ปล้น และเข่นฆ่า… แบบนี้มันมากเกินไป มันโหดร้ายเกินไป! แม้แต่… แม้แต่ในช่วงแรกที่คุณให้ฉันลอบสังหาร นั่นก็รู้สึกว่าออกจะเกินไปสักหน่อย… แม้พวกเขาจะดุด่าฉัน ใช้กำลังทุบตีฉัน เหยียดเพศและกลั่นแกล้งเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขของตัวเอง แต่ว่า… แต่ว่าความผิดของพวกเขาก็ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”


ทริสซี่ยิ้ม กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“ตอนแรกเธอไม่ได้พูดแบบนี้ เธอบอกว่าเกลียดพวกมัน อยากฆ่าพวกมันให้ตายทันทีที่ได้รับพลังพิเศษ ตัวฉันมีหน้าที่แนะนำเพียงเล็กน้อย เป็นเธอต่างหากที่วางแผนฆ่าหลายครั้งด้วยตัวเอง… ฉันยังจำได้ ภาพของเธอที่ยืนตัวสั่นและชุ่มไปด้วยเลือด แต่เผยรอยยิ้มพึงพอใจ”


ได้ยินเช่นนั้น เชอร์แมนถอยหลังอย่างมิอาจควบคุม จนกระทั่งถูกหยุดไม้ด้วยประตูที่ปิดลงตอนไหนก็มิอาจทราบได้ สองมือยกขึ้นมาปิดหน้าพลางตะโกน


“ไม่! ตอนนี้ฉันฝันร้ายทุกคืน ฝันเห็นพวกมันที่ชุ่มเลือดพยายามไล่ล่าฉัน ไล่กัดฉัน…”


ตุ้บ! ถุงกระดาษตกพื้น ขนมปังยาวหลายก้อนหล่นกระจัดกระจาย กองหนังสือพิมพ์หล่นลงข้างๆ


“นั่นเป็นเรื่องปรกติ” ทริสซี่ตัดบทคำพูดของเชอร์แมนด้วยสีหน้าเยือกเย็น “นี่คือขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงในเชิงจิตวิทยา นักฆ่าทุกคนต้องเผชิญอย่างมิอาจเลี่ยง… ลองคิดดูให้ดี สิ่งที่พวกมันเคยกับทำเธอ พวกมันไม่สมควรตายจริงๆ หรือ?”


“…สมควร” เชอร์แมนออกอาการลังเล


ทริสซี่หัวเราะในลำคอ


“ให้คิดเสียเวลา ตัวเธอที่ถูกรังแกมาตลอด ตัดสินใจขัดขืนและพลั้งมือฆ่าพวกมัน”


ในคำพูดของเธอแฝงไว้ด้วยพลังการโน้มน้าวอย่างน่าประหลาด ใครได้ยินเป็นต้องอยากทำตาม ส่งผลให้เชอร์แมนสงบลงอย่างรวดเร็ว


“เมื่อลองคิดแบบนี้… ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว…”


ประโยคดังกล่าวทำให้ทริสซี่เผยลักยิ้ม กล่าวด้วยเสียงขี้เล่น


“นอกจากนั้น ในยามที่มีชีวิตอยู่ พวกมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ นับประสาอะไรกับตอนที่ตายไปแล้ว? ต่อให้มันกลายเป็นภูตผีหรือวิญญาณจริง แต่นั่นก็มิได้สลักสำคัญ ขอเพียงเธอตั้งใจประกอบ ‘พิธีกรรม’ ให้เสร็จ ดื่มโอสถอีกหนึ่งขวด เธอจะมีพลังในการแผดเผาวิญญาณพวกมันจนมอดไหม้!”


“ต…แต่ว่า ฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นผู้คนกลายเป็นบ้า กลายเป็นคนเลวภายใต้การกระตุ้นของฉัน” ดูเหมือนเชอร์แมนยังคงลังเลที่จะลงมือ


ทริสซีขดริมฝีปากเล็กน้อยจนเกือบมองไม่เห็น กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“ความคิดชั่วร้ายเหล่านั้นคือจิตใต้สำนึกในใจพวกมัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ ต่อให้เธอไม่ได้กระตุ้น แต่ความคิดเหล่านั้นก็จะระเบิดออกมาในสักวัน… นอกจากนั้น ภารกิจทั้งหมดที่ฉันมอบหมายให้เธอล้วนเกี่ยวกับกลุ่มอันธพาล เธอไม่รู้หรือว่าพวกมันมีสันดานเป็นยังไง? การกระตุ้นให้พวกมันเข่นฆ่ากันเองภายใน นับเป็นการสร้างบุญคุณแก่ชาวเขตตะวันออกจำนวนมาก”


เชอร์แมนอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว แต่มิได้กล่าวคำใด ปิดปากกลับไปอีกครั้ง


มันเงียบงันเป็นเวลานาน


ทริสซี่ชำเลืองเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่ว


“เธออยู่ห่างจากเป้าหมายอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น หากจัดการพิธีกรรมที่เหลือเสร็จ เธอสามารถดื่มโอสถถัดไปและกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัว… เมื่อถึงตอนนั้น เธอสามารถใช้ชื่อเชอร์มาเน่ที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ได้… อา… ฟังดูเป็นชื่อที่ดี… หลังจากนั้นเธอก็ออกจากเบ็คลันด์ ไปอยู่ที่แคว้นเลียบทะเลหรือเดซีย์และเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่… เธอจะเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล จะถูกผู้ชายดีๆ จำนวนมากตามจีบ จงเลือกคนที่เจ้าพึงพอใจมากที่สุด จากนั้นก็เข้าสู่ร่มเงาแห่งการแต่งงาน ให้กำเนิดลูกที่น่ารัก อบรมสั่งสอนให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ พาพวกเขาไปเล่นสกีที่แคว้นเหมันต์ พักผ่อนที่อ่าวเดซีย์ ไปล่าสัตว์และเพลิดเพลินความสนุกสนานในแบบขุนนาง… เพื่อจะนำตัวตนที่แท้จริงกลับคืนมา ไม่ใช่ว่าเธอยินดีที่จะทำทุกอย่างหรอกหรือ?”


ริมฝีปากเชอร์แมนขยับสองสามหน ปิดสนิทไปพักหนึ่ง ก่อนจะอ้าอีกครั้งและกล่าว


“มาดามทริสซี่ ฉันเข้าใจแล้ว… จะทำตามที่คุณบอก”


กล่าวจบ คล้ายกับมันสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด ร่างกายสั่นระริกและซวนเซ รีบเอื้อมมือไปจับราวแขวนผ้าหน้าห้องโดยไม่รู้ตัว


ระหว่างนี้ ดวงตาบังเอิญเหลือบไปเห็นปึกหนังสือพิมพ์บนพื้น


หนังสือพิมพ์อยู่ในสภาพคลี่ออก เผยให้เห็นหัวข้อข่าว:


“…มิสเตอร์ดอน·ดันเตส เศรษฐีจากอ่าวเดซีย์ สนใจที่จะเข้าซื้อกิจการของบริษัทเหล็กกล้าลาริวีย์ โดยมองว่ามีแนวโน้มในการพัฒนาและสามารถทำกำไรได้”



“นายท่านต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทเหล็กกล้าลาริวีย์จริงหรือ?” ณ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน บุรุษรับใช้เอ็นยูนถามขณะเดินขึ้นชั้นบน


ดอน·ดันเตสส่ายหน้าและยิ้ม


“ข่าวนี้ถูกนั่งเทียนขึ้นมาเอง เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมกับมิสเตอร์ฟิล·ลาริวีย์เพิ่งได้พบกันในงานเลี้ยงเต้นรำและพูดคุยกันเพียงเล็กน้อย”


วอลเตอร์ พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านข้าง กล่าวอย่างโล่งอกกึ่งถอนหายใจ


“มิสเตอร์ลาริวีย์กำลังหาคนมาซื้อกิจการจริงๆ ด้วย… ตอนนี้มีคนให้ความสนใจไม่น้อย”


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข่าวนี้ถูกปล่อยออกมาเองโดยฝีมือของนักข่าวที่รับเงินจากฟิล เพื่อให้ราคาประเมินของบริษัทสูงขึ้น? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด เดินเข้าไปในห้องกึ่งเปิดโล่งที่มีระเบียงใหญ่ เตรียมส่งตัวเองเข้าสู่หมอกสีเทา อาศัยคำสวดวิงวอนของสาวกเอ็นยูนเป็นศูนย์กลาง ตรวจสอบว่ามีความผิดปรกติเกิดขึ้นที่บ้านของเฮเซลหรือไม่


นี่คือสิ่งที่มันหาโอกาสทำเป็นประจำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)