Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 991-996

 ราชันเร้นลับ 991 : พิธีกรรมที่ไร้การต...

 

สนทนาส่วนตัวจบ ไคลน์บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์หันไปหาเฮอร์มิท


“รบกวนแจ้งไปยังราชินีเงื่อนงำว่า ผมต้องการพบท่านเร็วๆ นี้เพื่อแลกเปลี่ยนบางสิ่ง สำหรับเวลาและสถานที่ ทางนั้นเลือกเอาตามสะดวก”


ราชินีเงื่อนงำ? หมายความว่า มาดามเฮอร์มิทเป็นตัวแทนของหนึ่งในสี่ราชา… ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนมารู้สึกทึ่ง


แลกเปลี่ยนบางสิ่ง? ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกล่าว


“ดิฉันจะถ่ายทอดให้ ส่วนท่านจะยินยอมไหม ทางนี้ไม่รับปาก”


“ตกลง” เกอร์มัน·สแปร์โรว์พยักหน้าแผ่วเบา ไม่ขัดข้องกับเรื่องนั้น


‘เดอะซัน’ เดอร์ริคสบโอกาสถาม


“ทุกคน…”


มันชำเลืองไปทางแฮงแมนและเดอะเวิร์ลตามลำดับ ก่อนจะกล่าว


“พิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็น ‘นักบวชแสง’ ของผมมีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่ง ต้องอยู่ในความมืดสนิท สอง ฝังตัวในน้ำแข็งที่จะไม่ละลายตามปรกติ… เอ่อ… น้ำแข็งแบบนั้นหาได้ไม่ยากในเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่จะทำอย่างไรจึงจะสร้างความมืดที่ปลอดภัยขึ้นมาได้?”


นี่คือพิธีกรรมเลื่อนเป็นนักบวชแสงสินะ… เดอะซันน้อยช่างซื่อตรงและเรียบง่าย… เนื่องจากขาดประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ‘จัสติส’ ออเดรย์ทำได้เพียงปิดปากเงียบ มิอาจมอบคำแนะนำ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการหันไปหาบุคคลที่น่าจะแก้ปัญหานี้ได้:


‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์!


ขณะเดียวกัน เดอะเวิร์ลเลื่อนมือขึ้นมาจับหน้าผาก ส่วน ‘เดอะฟูล’ ไคลน์รีบคิดหาทางออก


เฮ้อ… ถ้าเป็นข้างนอก ความมืดที่ปลอดภัยนั้นหาได้ง่ายมาก แต่เป็นก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลายต่างหากที่หาได้ยาก เมืองเงินพิสุทธิ์ช่างกลับกัน… ความมืดที่นั่นอันตรายเกินไป การถูกความมืดปกคลุมเป็นเวลานาน อาจหายตัวไปเฉยๆ หรือไม่ก็ถูกสัตว์ประหลาดโจมตี


อันที่จริง เราสามารถบอกให้เลียวนาร์ดเตรียมยันต์ในขอบเขตรัตติกาล จากนั้นก็ระดมพลังของมิติหมอกเพื่อสร้างความมืดเทียมให้เดอะซันที่สวดวิงวอนถึงเรา… แต่ปัญหาคือ ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่า ความมืดเทียมจะส่งผลแบบเดียวกับความมืดในเมืองเงินพิสุทธิ์หรือไม่… เราไม่สามารถทำนายผลลัพธ์ของพิธีกรรมได้ เพราะไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองโดยตรง อย่างมากก็ทำนายได้ว่า ช่วงเวลาใดเหมาะสม มีอันตรายหรือไม่… นั่นคลุมเครือเกินไป ไม่มีทางเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพิธีกรรมบ้าง…


อา… สงสัยคงต้องพึ่งพา ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส…


ก่อนหน้านี้ ไคลน์เคยพิจารณาเกี่ยวกับพิธีกรรมเลื่อนลำดับของเดอะซันน้อยมาแล้ว แต่ก็ยังมิอาจหาคำตอบได้เป็นเวลานาน


เมื่อเห็นเดอะเวิร์ลเงียบไป เลียวนาร์ดอยากจะพูดว่า “ความมืดบริสุทธิ์สร้างได้ไม่ยาก” แต่ทันใดนั้นก็ต้องปิดปากสนิท เพราะเมื่อลองพิจารณาคำพูดเดอะซันอีกครั้ง มันพบว่าตนพลาดประเด็นสำคัญไป:


ปลอดภัย!


ในดินแดนเทพทอดทิ้ง ในเมืองเงินพิสุทธิ์ ความมืดเทียบเท่ากับอันตราย? ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดเริ่มวิเคราะห์จุดสำคัญ เมื่อตระหนักว่าตัวเองยังไม่เข้าใจดีพอ จึงเลิกคิดให้คำแนะนำ


ในที่สุด อัลเจอร์ตัดสินใจขยับตัว


มันชำเลืองไปทางเดอะซันและกล่าว


“ผมจะช่วยรวบรวมข้อมูลและลองหาทางออก แต่ระหว่างนั้น คุณก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย เพื่อทดสอบว่าสามารถทำได้”


“ตกลง!” เดอร์ริครับปากโดยไม่ลังเล


ทันทีหลังจากนั้น มันเสริมหนึ่งประโยค


“คุณยังไม่ต้องรีบ เหลือเวลาอีกเกือบเดือนกว่าผมจะย่อยโอสถ ‘ผู้รับรอง’ เสร็จสมบูรณ์”


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พยักหน้ารับ บอกเป็นนัยว่าเข้าใจแล้ว


ขณะเดียวกัน แคทลียาทำหน้าครุ่นคิด มองไปยังเดอะซันและกล่าว


“ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง หากพิธีกรรมเลื่อนลำดับของคุณใช้เวลาไม่มาก เราสามารถพิจารณาหาวิธีเอาตัวรอดในช่วงเวลาดังกล่าว โดยไม่ต้องสนใจว่าจะปลอดภัยหรือไม่… จากที่คุณเคยเล่าให้ฟัง ในความมืดมิดบริสุทธิ์จะมีอันตรายอยู่สองประเภท หนึ่ง ถูกสัตว์ประหลาดจู่โจม และสอง หายตัวไปอย่างลึกลับราวกับร่างกายระเหย… สำหรับข้อแรก ปัญหานี้แก้ไม่ยาก แค่ยืมสมบัติปิดผนึกมาจากเจ้าเมือง หรือไม่ก็ขอร้องให้เขาช่วยปกป้อง… แต่กับข้อหลัง ดิฉันยังไม่มีทางออก บางทีคุณอาจลองปรึกษาเจ้าเมืองดู”


‘เดอะซัน’ เดอร์ริคไตร่ตรองอย่างรอบคอบสักพัก พบว่าแนวคิดนี้ฟังดูเข้าท่า และโอกาสทำได้จริงก็มีสูงทีเดียว


มันตอบด้วยน้ำเสียงยินดี


“ขอบคุณครับ มาดามเฮอร์มิท”


ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนอิสระและคาบเรียนยังคงดำเนินต่อไป โดยก่อนที่จะจบลง ‘เดอะฟูล’ ไคลน์เคาะขอบโต๊ะและกล่าว


“วันนี้พอเท่านี้”


“สุดแล้วแต่ท่าน!” ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือลุกขึ้นยืนพร้อมเพรียง แสดงความเคารพ


รอจนกระทั่งร่างของทุกคนหายไปจากมิติหมอก ไคลน์เองก็ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง


อันดับแรก มันหยิบกระเป๋าสตางค์ หยิบนกกระเรียนกระดาษที่วิล·อัสตินพับ กางออกบนโต๊ะ จากนั้นก็นำดินสอออกมาเขียนสั้นห้วน


“มาคุยกันหน่อย!”


พับนกกระเรียนกระดาษกลับไป ไคลน์นำไปซุกไว้ใต้หมอนและงีบหลับบนเตียง


ในความฝันอันมืดมิด มันเห็นทุ่งกว้างอันว่างเปล่า เห็นหอคอยสูงตระหง่าน


เดินผ่านทุ่งอันรกร้าง ผ่านประตูไม้บานแล้วผ่านเล่า ไคลน์มาถึงมุมห้องที่คุ้นเคย


รถเข็นเด็กสีดำเลื่อนออกมาจากเงามืด วิล·อัสตินที่ห่อด้วยผ้าไหมสีเงิน ดูดนิ้วโป้งขวาพร้อมกับตำหนิอย่างหัวเสีย:


“เจ้าชักเสียมารยาทมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!”


ไคลน์หัวเราะแห้ง


“ด้วยมิตรภาพของเรา ไม่เห็นจำเป็นต้องสุภาพเลยนี่?”


วิล·อัสตินครางในลำคอ


“ว่ามา มีอะไร?”


“เรื่องก็คือ ผมเพิ่งได้เผชิญหน้ากับร่างโคลนของอามุนด์” ไคลน์ตอบตรงๆ


ทารกทำปากบิดเบี้ยว ประหนึ่งเตรียมระเบิดเสียงร่ำไห้อย่างฟูมฟาย กล่าวพลางพยายามข่มสติ


“ข้าเพิ่งคลอดได้ไม่ถึงเดือน!”


“คุณไม่จำเป็นต้องออกหน้า ผมแค่มาปรึกษา” ไคลน์รีบเสริม


วิล·อัสตินยกท่อนแขนอวบอ้วนขึ้น โบกมือสองสามหน


“อยากปรึกษาอะไร? ว่ามา”


ไคลน์กล่าวพลางยิ้ม


“ร่างโคลนของอามุนด์สามารถขโมยชะตากรรมของผู้อื่นได้ สามารถสวมรอยเป็นคนนั้นๆ ผมอยากทราบว่า มีวิธีใดบ้างที่จะช่วยให้มองออก?”


วิลหัวเราะในลำคอ ยกนิ้วชี้ขึ้นฟ้า


“สวดวิงวอนขอความช่วยเหลือ”


ดูเหมือนว่า พลังของมิติหมอกจะใช้มองผ่านชะตากรรมได้… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก เริ่มมั่นใจในแผนการขึ้นมาเล็กน้อย


แผนก็คือให้หุ่นเชิดสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก เฝ้ามองบล็อกถนนรอบๆ โดยมีจุดแสงของสาวกเป็นศูนย์กลาง เพื่อค้นหาความผิดปรกติในชะตากรรม วิธีนี้เรียกว่า ‘การเฝ้ามองของเดอะฟูล’ เป็น ‘มุมมองพระเจ้า’ อย่างแท้จริง


แต่ปัญหาคือ เราไม่สามารถเฝ้ามองผ่านมิติหมอกได้ตลอดเวลา อามุนด์อาจลงมือทำบางสิ่งในตอนที่เราหยุดพัก… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ถามอย่างสงสัย


“มีคำแนะนำอะไรอีกไหม?”


วิล·อัสตินหันหน้าไปด้านช้าง ตอบโดยไม่มอง


“ในสัปดาห์นี้ เจ้าต้องแวะมาหาพ่อแม่ของข้าอย่างน้อยหนึ่งครั้ง… มาช่วงชายามบ่าย…”


“ตกลง!” ไคลน์รับปากโดยไม่ลังเล


เด็กทารกหันศีรษะหน้ากลับ กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“สัปดาห์หน้า… อาจเป็นวันพุธหรือไม่ก็พฤหัสบดี ชะตากรรมของเจ้ามีการผันผวน”


อย่างนั้นหรือ… ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรอง มองดูรถเข็นสีดำค่อยๆ ถอยกลับเข้าไปในเงามืด


เมื่อตื่นจากฝัน มันรวบรวมสิ่งของและประกอบแท่นบูชาต่อทันที


ในคราวนี้ มันสวดวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาลโดยตรง มิใช่เทพมรณาเทียม เพื่อมิให้อามุนด์มองเห็นผ่านการเปลี่ยนแปลงของชะตากรรมและพบสิ่งผิดปรกติ


คงแปลกไม่น้อย ถ้า ‘ข้ารับใช้ของรัตติกาล’ สวดวิงวอนถึงมรณาเทียม!


หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ไคลน์ยกมือขึ้นเช็ดใบหน้า แปรเปลี่ยนเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้เย็นชา ส่วนสูงลดลงสองสามเซนติเมตรอย่างไม่ผิดสังเกต


หลังจากจุดเทียนสองเล่มตรงหน้า ไคลน์จุดเทียนไข ‘แทนตน’ ด้วยไฟสีเหลือง – เทียนสองเล่มที่อยู่ตรงหน้าประกอบด้วย เล่มหนึ่งทำจากวานิลลารัตติกาลและผงบุปผาหลับใหลซึ่งเป็นตัวแทนของ ‘ค่ำคืนอันมืดมิด’ อีกหนึ่งเล่มทำจากดอกเกาลัดขาว กุหลาบป่า และส่วนผสมอื่นๆ สื่อถึง ‘ความลับ’


ทันทีหลังจากนั้น มันสร้างกำแพงวิญญาณ หยดน้ำมันสกัด ‘จันทร์เต็มดวง’ และเผาผงสมุนไพรชนิดต่างๆ เพื่อเอาใจทวยเทพ ดำเนินพิธีกรรมไปทีละขั้นตอน


ในที่สุด ไคลน์ถอยหลังสองก้าว เปิดเนตรวิญญาณและพึมพำเสียงต่ำ


“ข้าวิงวอนขอพลังแห่งรัตติกาล”


“ข้าวิงวอนขอพลังที่ลึกลับที่หลับใหล”


“ข้าวิงวอนขอความรักจากเทพธิดา”


“ตัวข้า… ได้พบกับผู้เย้ยเทพอามุนด์ภายในกรุงเบ็คลันด์ เขากำลังรวบรวมตะกอนพลังของครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม”


“ข้าปรารถนาพรแห่งการปกปิด เพื่อให้ภารกิจกวาดล้างร่างโคลนของผู้เย้ยเทพผ่านไปอย่างราบรื่น”


“วานิลลารัตติกาล สมุนไพรที่เป็นตัวแทนดวงจันทร์สีแดงเอ๋ย ได้โปรดส่งต่อคำวิงวอนของข้าไปยังเทพธิดาด้วย!”


“บุปผาจันทรา สมุนไพรที่เป็นตัวแทนดวงจันทร์สีแดงเอ๋ย ได้โปรดส่งต่อคำวิงวอนของข้าไปยังเทพธิดาด้วย!”


ท่องมนต์จบ ไคลน์อดทนรอเป็นเวลานาน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เกิดอะไรขึ้น


หรือว่า… เทพธิดากำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนสำคัญในการยึดครอง ‘เอกลักษณ์’ เส้นทางมรณา จึงไม่สามารถตอบสนองใดๆ ที่เกินกว่าปรกติได้? ลองสวดวิงวอนถึงมรณาเทียมดีไหม? เพราะถ้ามีพรแห่งการปกปิด อามุนด์จะมองไม่เห็นสิ่งใดเลย… แต่ถ้าไม่มี อามุนด์จะเห็นต้นกำเนิดของความผันผวนทางชะตากรรมที่นี่… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ้นสุดพิธีกรรมพร้อมกับเก็บแท่นบูชา


มันรู้สึกว่า ตนควรหาวิธีอื่น


จนกระทั่งเก็บกวาดโต๊ะอ่านหนังสือเสร็จ ชายหนุ่มเตรียมเดินไปนอนเล่นบนเก้าอี้เอนหลัง ทันใดนั้น ร่างของบุคคลหนึ่งพลันปรากฏอยู่ตรงหน้า!


อีกฝ่ายสวมชุดลินินเรียบง่ายที่มีรอยปะ เข็มขัดทำจากเปลือกไม้เก่า ผมสีดำยาวสลวยถูกปล่อยตามธรรมชาติ บริเวณเท้ามิได้สวมรองเท้าหรือถุงเท้า เผยให้เห็นคราบฝุ่นและรอยแผลเป็นจำนวนหนึ่ง


บุคคลผู้นี้เป็นสตรี ใบหน้าธรรมดาๆ ดวงตาสีดำสนิทไม่แตกต่างจากตนทั่วไป แต่เมื่อได้มองหน้าชัดๆ ไคลน์กลับรู้สึกสงบสุขอย่างเหนือคำบรรยาย แม้สัญชาตญาณจะพยายามสร้างความตื่นตัว แต่ก็มิอาจเอาชนะบรรยากาศสุขุมเยือกเย็นที่อีกฝ่ายกำลังมอบให้

 

 

 


ราชันเร้นลับ 992 : อาโรเดสร่วมยินดี

 

“คุณคือ…?” ไคลน์ถามเสียงเรียบด้วยอารมณ์ซับซ้อน


สตรีในชุดคลุมธรรมดาพยักหน้ารับ


“อาเรียนน่า… บริวารอำพราง”


บริวารอำพราง… อาเรียนน่า… ดวงตาไคลน์หรี่ลงเล็กน้อยเมื่อทราบตัวตนที่แท้จริงของสตรีตรงหน้า


ในฐานะอดีตเหยี่ยวราตรี คงไม่มีใครไม่รู้จักเชื่อ ‘อาเรียนน่า’


หัวหน้าสำนักชีรัตติกาล ผู้นำแห่งสิบสามอาร์ชบิชอปสูงสุด ว่าที่ตัวเต็งสันตะปาปาองค์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นตัวตนใด อาเรียนน่าล้วนยิ่งใหญ่ทั้งในโลกของศาสนาและศาสตร์เร้นลับ!


และชื่อ ‘บริวารอำพราง’ ไคลน์ที่อ่านไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์บ่อยครั้ง ย่อมเคยเห็นชื่อที่คล้ายคลึงกันอย่าง ‘บริวารเร้นลับ’ จึงสงสัยว่านี่อาจเป็นตำแหน่งของเทวทูต พร้อมกันนั้น หากอิงจากกฎการอนุรักษ์พลังพิเศษ ถ้าในเส้นทางดังกล่าวมีลำดับ 0 ตำแหน่งลำดับ 1 จะว่างอยู่ จึงมีแนวโน้มสูงมากที่ ‘บริวารอำพราง’ จะหมายถึงลำดับ 2 ของเส้นทางรัตติกาล!


หรือว่า… ไม่ใช่ว่าเทพธิดาไม่ตอบสนอง แต่เป็นการตอบสนองแบบพิเศษ… ถึงกับส่งบริวารของท่านมาหาเราโดยตรง… ไคลน์พลันตกอยู่ในห้วงอารมณ์ซับซ้อน


มันเงียบไปสองสามวินาที ทำความเคารพอย่างเคร่งขรึม:


“ทิวาสวัสดิ์ครับ พระคุณเจ้าอาเรียนน่า”


สำหรับโบสถ์ใหญ่ เทวทูตเดินดินมักถูกเรียกนำหน้าว่า ‘พระคุณเจ้า’ เพื่อแสดงความเคารพ เช่นเดียวกันกับสันตะปาปาหรือผู้นำศาสนาอื่นๆ ซึ่งจะถูกเรียกนำหน้าว่า ‘ฝ่าบาท’ นอกจากนั้นยังมีคำว่า ‘สันตะสำนัก’ ที่เป็นตัวแทนของประมุขศาสนา ขณะเดียวกันก็ยังหมายถึงวิหารหลักของศาสนา


อาเรียนน่าเคาะบนหน้าอกสี่จุด ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ขอให้เทพธิดาอวยพรเจ้า”


จากนั้น เธอกล่าว


“ข้าเป็นผู้บำเพ็ญ… เรียกมาดามก็เพียงพอ”


“ครับ… มาดามอาเรียนน่า” ไคลน์ไม่คัดค้าน


อาเรียนน่าจ้องชายหนุ่มสองสามวินาที ซักถามตามตรง


“เจ้าจะกวาดล้างร่างโคลนของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ในเบ็คลันด์ใช่หรือไม่?”


“ใช่ครับ… ผมปรารถนาพรแห่งการปกปิด” ไคลน์ตอบอย่างใจเย็น


ทันใดนั้น มันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะนี่ไม่เหมือนที่จินตนาการไว้


ตามแผนเดิมก็คือ มันต้องการให้เทพธิดาประทานพร จากนั้นก็ร่วมมือกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ในร่างกายเลียวนาร์ด ช่วยกันกวาดล้างร่างโคลนของอามุนด์ในกรุงเบ็คลันด์ ด้วยวิธีดังกล่าว ความลับของเลียวนาร์ดและปรสิตในตัวจะไม่ถูกเปิดเผย ทว่า เนื่องจาก ‘พร’ กลายเป็น ‘บุคคล’ และเข้าร่วมต่อสู้ด้วย หากพาลีส·โซโรอาสเตอร์แสดงพลัง คงไม่แคล้วต้องถูกพบตัว และเมื่อถึงตอนนั้น ไม่มีใครสามารถคาดเดาผลลัพธ์ที่จะตามมาได้!


หรือว่าเราไม่ต้องร่วมมือกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์? แค่ให้อีกฝ่ายคอยป้อนข้อมูลและรอรับส่วนแบ่ง? ท่ามกลางกระแสความคิดในหัวไคลน์ อาเรียนน่ากล่าวเชื่องช้า


“ข้าสามารถมอบพรแห่งการปกปิด มั่นใจได้ว่าชะตากรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะไม่ถูกเฝ้ามอง แต่ข้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถกวาดล้างร่างโคลนอามุนด์ทั้งหมดในเบ็คลันด์ได้”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์บอกว่าเขาทำได้… แน่นอน หากจะถามว่าใครเข้าใจอามุนด์ดีที่สุด คำตอบก็ต้องเป็นลำดับ 1 บนเส้นทางเดียวกัน… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก


“มาดามอาเรียนน่า ผมมีแผนที่สมบูรณ์แบบและคิดมาอย่างรอบคอบ สิ่งที่ผมต้องการจากคุณมีเพียงพรแห่งการปกปิด ไม่จำเป็นต้องร่วมต่อสู้ ส่วนนั้นไว้เป็นหน้าที่ของผมเอง”


อาเรียนน่าผงกศีรษะรับ ยกแขนขวาและกางฝ่ามือออก


จุดแสงสว่างขึ้น มอบบรรยากาศลุ่มลึกและสดใส ก่อนก่อตัวเป็นเค้าโครงของเหรียญตราบนฝ่ามือ


เหรียญตรามีลักษณะเป็นผลึกใส คล้ายกับทำจากอัญมณีใสสีดำ หากจ้องมองจะรู้สึกถึงการมีอยู่ แต่ถ้าละสายตาออก จะหลงลืมทันทีว่ามันมีตัวตนอยู่


“นี่คือตราศักดิ์สิทธิ์แห่งรัตติกาลของข้า ตัวมันไม่มีพลังพิเศษ การใช้งานเดียวก็คือ หากถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป มันจะสร้างการเชื่อมต่อกับข้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดบนโลกความจริง” อาเรียนน่าอธิบายสั้นกระชับ “ถ้าเจ้าพร้อมลงมือเมื่อใด จงอย่าลืมที่จะใช้มัน แล้วข้าจะมอบพรแห่งการปกปิด… ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือมากกว่านั้น ขณะถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป ให้เอ่ยนาม ‘อาเรียนน่า’ เป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ”


เปรียบดังการย่อส่วนแท่นบูชาและพิธีกรรมให้อยู่ในรูปวัตถุ… อา… ในระดับเทวทูต ขอบเขตการตอบสนองคำสวดวิงวอน ครอบคลุมกว้างไปทั่วโลกเลยหรือ? ไคลน์สามารถเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของตราศักดิ์สิทธิ์แห่งรัตติกาลได้ในทันที


ในฐานะจอมเวทพิสดาร ตัวมันในปัจจุบันยังมิอาจตอบสนองต่อคำวิงวอน สิ่งนี้ถือเป็นสิทธิพิเศษของลำดับ 3 ขึ้นไป แต่ในฐานะเดอะฟูลและเทพสมุทร ไคลน์ทำได้นานแล้ว


ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ รับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งรัตติกาลไว้ จากนั้นก็โค้งคำนับ


“ขอบคุณสำหรับของขวัญ”


กล่าวจบ มันแตะสี่จุดบนหน้าอก วาดสัญลักษณ์พระจันทร์แดง


“เทพธิดาจงเจริญ!”


ด้วยเหตุนี้ มันยังสามารถร่วมมือกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ได้ตามเดิม พอเพียงไม่เอ่ยนามอาเรียนน่าขณะถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในตราศักดิ์สิทธิ์


“เทพธิดาจงเจริญ” อาเรียนน่าตอบด้วยท่าทีเคร่งขรึม


ทันใดนั้น ร่างของเธอเลือนหายไป ราวกับถูกลบด้วยยางลบ


นี่คือวิธีจากลาในสถานะปกปิดตัวตน? ไคลน์เม้มริมฝีปากพลางคาดเดาบางสิ่ง


พร้อมกันนั้น มันตั้งคำถามเกี่ยวกับการมาเยือนอันรวดเร็วของอาเรียนน่า เพราะอย่างไรก็ตาม เส้นทางรัตติกาลไม่ใช้ประเภทที่ชำนาญพลังเทเลพอร์ตหรือการเดินทาง จากสันตะสำนักในแคว้นเหมันต์มาถึงเบ็คลันด์ต้องใช้เวลาไม่น้อย


พิธีกรรมของเราไม่ใช่การอัญเชิญร่าง… หมายความว่า มาดามอาเรียนน่าอยู่แถวนี้อยู่แล้ว? ที่ใดสักแห่งในเบ็คลันด์หรือใกล้เคียง? เรื่องบังเอิญ? ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็ยิ่งน่ากังวลมากกว่าเดิม… พระคุณเจ้ามาทำอะไรที่เบ็คลันด์กันแน่? คลื่นใต้น้ำใกล้ปะทุเต็มทีแล้วสินะ… ไคลน์ถอนสายตากลับ แปลงโฉมกลับไปเป็นดอน·ดันเตสอีกครั้ง


มันหากระดาษและปากกา วาดสัญลักษณ์ ‘ปกปิด’ และ ‘ส่องความลับ’ ลงไป


ในเส้นสุดท้ายที่ตวัดลงไป กระจกบานใหญ่ในห้องนอนพลันส่องแสงทึบที่บริสุทธิ์ ผิวกระจกกระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำในทะเลสาบ


ทันทีหลังจากนั้น ดอกไม้ไฟลูกแล้วลูกเล่าถูกยิงขึ้นไปยังส่วนบนของกระจกบานใหญ่


แสงสีทอง เงิน แดง และฟ้าพลันระเบิดออก ถ้อยคำประโยคหนึ่งถูกวาดลงบนผิวกระจก


“ยินดีต้อนรับกลับมาขอรับ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่!”


“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน อาโรเดส สัมผัสได้ว่าท่านกลับมาพร้อมพลังอำนาจบางอย่าง ตัวข้าปีติยิ่งนักที่ออร่าของท่านค่อยๆ ฟื้นฟูกลับคืนมา และในอีกไม่ช้าก็จะกลับไปยังตำแหน่งสูงสุดอีกครั้ง เปลี่ยนให้โลกทั้งใบเงียบสงบภายใต้การเฝ้ามองจากท่าน!”


กระตือรือร้นฉิบ… แถมยังมีลูกเล่นใหม่ทุกครั้ง… ไคลน์พยักหน้ารับ


ท่ามกลางดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน ข้อความแตกกระจายและจัดกลุ่มใหม่กลายเป็นประโยค


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือ?”


“เรามีคำถาม” ไคลน์ตอบเยือกเย็น “ในโลกที่ความมืดคือภัยอันตรายร้ายแรง มีวิธีใดบ้างที่ช่วยขจัดอันตรายจากความมืด? อันตรายที่ว่ามีสองประเภท หนึ่ง หายตัวไปอย่างลึกลับ และสอง ถูกสัตว์ประหลาดจู่โจม”


บนผิวกระจกยาว ดอกไม้ไฟดับลง ผิวน้ำกระเพื่อมพร้อมกับสร้างอักษรสีเงิน


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านกำลังหมายถึงดินแดนเทพทอดทิ้งใช่ไหม?”


กระจกวิเศษรู้มากชะมัด… แถมยังแอบเพิ่มคำถามให้เรา… ไคลน์พยักหน้าและตอบ


“ถูกต้อง”


ทันทีหลังจากนั้น อาโรเดสเขียนอักษรภาษาโลเอ็นขึ้นมาใหม่


“การก่อตัวของดินแดนเทพทอดทิ้งและการร่วงหล่นของพระผู้สร้างองค์ที่สองมีความเกี่ยวข้องกัน… อันตรายจากความมืดเกิดจากอิทธิพลของพลังสองชนิด: หนึ่ง เศษเสี้ยวพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลซึ่งตกค้างอยู่ที่นั่น และสอง มรดกของพระผู้สร้างที่มีอำนาจในขอบเขตของเงา ความเสื่อมทราม ความชั่วร้าย และการกลายพันธุ์… ข้อแรกจะทำให้สิ่งมีชีวิตหายไปอย่างไร้ร่องรอย และข้อหลังจะทำให้ความมืดสามารถสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาได้เอง”


กลับกลายเป็นว่า อันตรายทั้งสองรูปแบบมีต้นตอมาจากพลังต่างชนิดกัน เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่สอดคล้องกันเลย… อาโรเดสเรียกเทพสุริยันบรรพกาลว่าเป็นพระผู้สร้างองค์ที่สอง Arrods เรียกเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์โบราณว่าเป็นผู้สร้างรุ่นที่สอง… ใกล้เคียงกับทฤษฎีของเรามาก… บิดาของอาดัมและอามุนด์ไม่ใช่พระผู้สร้างต้นกำเนิดที่ถูกปลุกให้ตื่น แต่เป็นนักเดินทางข้ามโลกที่ได้รับ ‘มรดก’ มหาศาล? ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม


“ถ้าอย่างนั้น… เทพธิดารัตติกาลมีส่วนเกี่ยวพันกับการร่วงหล่นของพระผู้สร้างองค์ที่สองด้วยหรือไม่?”


ไคลน์คาดเดาสิ่งนี้อย่างคลุมเรือ เพราะในความมืดของดินแดนเทพทอดทิ้ง ลักษณะการหายตัวของมนุษย์จะเหมือนกับในซากสมรภูมิแห่งเทพ ซึ่งมนุษย์จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยถ้าไม่ได้หลับ และเมื่อผนวกกับข้อมูลที่เดอะซันน้อยรายงาน ราชาหมาป่าอสูรซึ่งแต่เดิมถือครองอำนาจ ‘รัตติกาล’ และ ‘การปกปิด’ ได้ร่วงหล่นไปตั้งแต่ยุคสมัยที่สองแล้ว จึงไม่ใช่ฝีมือของมันแน่


ดังนั้น หากตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่มีเทพในเส้นทางรัตติกาลตนอื่นถือกำเนิดขึ้นมาคั่น ก็คงยากที่จะพูดว่าทั้งสองเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับเทพธิดารัตติกาลเลย


บนผิวกระจก แสงสีเงินเรียงตัวกันเป็นวลีสั้นห้วน


“ถูกต้อง”


ถูกต้อง… ขณะไคลน์เตรียมถามต่อ มันชะงักและปิดปากเงียบ เพราะเพิ่งฉุกคิดได้ว่าตัวเองเป็นใคร – ข้ารับใช้ของรัตติกาล ดังนั้น ถึงจะไม่มีใครจับตามองอยู่ แต่ก็ควรรักษามารยาทด้วยการไม่ไต่ถามความลับ ซึ่งแน่นอน ยกเว้นบนมิติเหนือสายหมอก


ขณะเตรียมกลับเข้าประเด็น เตรียมบอกให้อาโรเดสไล่วิธีเอาตัวรอดในความมืด ทันใดนั้น ตัวอักษรสีเงินพลันดีดดิ้นบนผิวกระจกบานใหญ่ เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปประโยค


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านมีคำขอร้องเล็กน้อย… เอ่อ… หากเป็นไปได้ ช่วยไม่พูดถึงเทพธิดารัตติกาลอีกได้หรือไม่?”


จบประโยค มันวาดมนุษย์ก้างปลาที่หดตัวเป็นลูกบอลขึ้นมาหนึ่งคน


ก็ว่าจะทำแบบนั้นอยู่พอดี… ไคลน์ไตร่ตรองสองสามวินาที


“ตกลง”


บนผิวกระจก แสงสีเงินเรียงตัวกันเป็นประโยค


“สำหรับคำถามก่อนหน้า ข้าขอแนะนำสองวิธี:”


“วิธีแรก หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับการกัดกร่อนและปล่อยให้ตัวเองเป็นสัตว์ประหลาดในความมืด เพราะการที่สัตว์ประหลาดเหล่านั้นไม่หายตัวไปในความมืด เป็นเพราะพวกมันได้รับความคุ้มครองจากพร ‘เสื่อมทราม’ เพียงเท่านี้ก็จะปลอดภัยในความมืด”


“วิธีที่สอง สร้างความมืดที่มาพร้อมโลกแห่งความฝัน เพราะถ้าร่างกายได้รับการคุ้มครองจากความฝัน อันตรายจากความมืดก็จะมาถึงช้าลง”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 993 : อีกหนึ่งความเป็นไปได้

 

ช่วยให้ร่างกายถูกคุ้มครองโดยความฝัน ชะลอภัยอันตรายที่มาจากความมืด… นี่มันเหมือนกับการนอนในซากสมรภูมิแห่งเทพ…


แต่ว่า… พลังของความมืดในดินแดนเทพทอดทิ้งไม่น่าจะถูกควบคุมโดยเทพธิดา เพราะคนที่หายตัวไปในนั้น ไม่น่าจะถูกส่งเข้าไปยังหมู่บ้านสายหมอก… แล้วถูกส่งไปไหน? หรือว่ายังอยู่ในจุดเดิม แต่มิอาจปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและแก่ตายหรือไม่ก็อดอาหารตาย? เมื่อได้ยินคำตอบจากอาโรเดส คล้ายกับไคลน์เริ่มเข้าใจบางสิ่ง


อย่างไรก็ตาม ไคลน์พบว่าวิธีนี้ไม่มีประโยชน์นัก เพราะพิธีกรรมเลื่อนลำดับของเดอะซันน้อยประกอบด้วยสามส่วน หนึ่ง แช่ตัวเองลงในน้ำแข็งที่ไม่ละลายตามปรกติ สอง ต้องอยู่ในความมืดบริสุทธิ์ และสาม ต้องดื่มโอสถขณะอยู่ในสภาพดังกล่าว การทำให้ตกอยู่ในความฝัน จะส่งผลให้เดอะซันน้อยมิอาจลงมือทำขั้นตอนที่สำคัญที่สุด


อา… คงต้องรอให้เดอะซันน้อยปรึกษากับเจ้าเมือง จากนั้นก็นำแนวทางของอีกฝ่ายมาพิจารณา… ขณะเดียวกัน เราจะถามเลียวนาร์ดเกี่ยวกับวิธีสร้างความมืดที่มาพร้อมโลกแห่งความฝันชั่วคราว… ไคลน์พยักหน้ารับ เป็นนัยเข้าใจคำตอบจากกระจกวิเศษ


สำหรับวิธีแรก ยอมถูกกัดกร่อนและกลายเป็นสัตว์ประหลาด มันไม่มัวเก็บมาคิดแม้แต่น้อย – ในโลกของศาสตร์เร้นลับ สิ่งนี้เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย ไม่มีทางฟื้นฟูกลับมาได้แน่นอน


เมื่อนึกคำถามอื่นไม่ออก ไคลน์ไตร่ตรองสักพักและกล่าว


“จะตามหาสูตรโอสถลำดับ 3 ของเส้นทางนักทำนาย ‘ปราชญ์โบราณ’ ได้จากที่ไหน?”


บนผิวกระจกบานใหญ่ แสงน้ำกระเพื่อมเล็กน้อยก่อนจะเผยฉากวังมืดที่ปราศจากแสงธรรมชาติ


สำหรับฉากนี้ ไคลน์ยังไม่ลืม และนึกออกทันทีว่าคำตอบคืออะไร


ที่นี่คือแหล่งกบดานของซาราธที่กลายเป็นสัตว์ประหลาด!


แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในวัง คราวนี้ไม่มีกลุ่มก้อนหนอนแมลงโปร่งใสขนาดใหญ่อีกต่อไป


ขณะรูม่านตาไคลน์กำลังเบิกกว้าง ข้อความสีเงินด้านล่างเขียนจบประโยค


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ซาราธหายไปแล้ว!”


“ข้าไม่เห็นเขาแล้ว!”


หายไปแล้ว… ไคลน์เกือบลืมหายใจ


มันพอจะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าซาราธฟื้นกลับมาได้ เพราะท้ายที่สุด สิ่งนี้คือผลลัพธ์ลูกโซ่จากการเปิดประตูภายในหมู่บ้านสายหมอก แต่มันก็ไม่คิดว่าผู้ทรงอิทธิพลรายนี้จะออกจากวังที่เคยหลบซ่อน!


แม้แต่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสก็ยังมิอาจค้นหาที่อยู่… หมอนั่นกำลังวางแผนอะไร? ยิ่งไคลน์ครุ่นคิด มันก็ยิ่งเย็นสันหลัง


หลังจากกลายเป็นลำดับ 4 ครึ่งเทพ มันสามารถยืนยันได้หนึ่งสิ่ง


มันยังมิอาจควบคุมพลังที่รั่วไหลจากมิหมอกได้ดีพอ เมื่อพลังเหล่านั้นไหลซึมออกไปยังโลกความจริง ไคลน์ทำได้เพียงปกปิดออร่าของสายหมอกและความพิเศษ แต่ยังมิอาจยับยั้งกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ เพราะมีการพิสูจน์บ่อยครั้งแล้วว่า เส้นทาง ‘นักทำนาย’ ‘ผู้ฝึกหัด’ และ ‘นักจารกรรม’ มักถูกดึงดูดให้เข้าหาสายหมอกโดยมือที่มองไม่เห็น และจากบรรดาทั้งหมด เส้นทางที่มีแรงดึงดูดชัดเจนที่สุดคือนักทำนาย!


นอกจากนั้น เรายังเป็นจอมเวทพิสดารที่น่าหลงใหลในสายตาอีกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิดหากสักวันหนึ่ง ซาราธจะมาเยือนเบ็คลันด์… ไคลน์ยังคงทำหน้านิ่ง กล่าวกับกระจกบานใหญ่


“เข้าใจแล้ว”


สำหรับภาพถัดไปที่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสแสดงให้เห็น ไคลน์เองก็คุ้นเคยไม่แพ้กัน เพราะนั่นคือฉาก ‘ขุมทรัพย์’ ของตระกูลอันทีโกนัสบนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส


ใต้ฉาก ข้อความสีเงินเขียนกำกับไว้ว่า


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ยังมีความเป็นไปได้อื่นอยู่อีก แต่ข้าบอกไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ทราบเพียงว่า ง่ายกว่าสองอย่างแรกพอสมควร”


คร่าวนี้ไม่มีสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส? นั่นสินะ สมุดบันทึกเล่มนั้นคงนำทางไปยังยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส ถือว่าอยู่ในหมวดเดียวกับข้อเมื่อครู่… แล้วอะไรคือสิ่งที่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสมองไม่เห็น? พิจารณาจากความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเส้นทางนักทำนาย กำลังจะบอกว่า… ให้สวดวิงวอน? เทพธิดาคือมารดาแห่งความลับ หมายความว่า หากเทพธิดาไม่ต้องให้อาโรเดสเห็น อาโรเดสก็จะไม่ได้เห็น? ความคิดไคลน์เริ่มกระจัดกระจาย ก่อนจะกลับมารวมกันอีกครั้ง


แน่นอน มันไม่คิดว่าตนจะขอสูตรโอสถ ‘ปราชญ์โบราณ’ จากอีกฝ่ายได้ตรงๆ แบบนั้นจะดูไร้แก่นสารเกินไป เหมือนกับเด็กเล่นขายของ


พิจารณาจากประสบการณ์สมัยเหยี่ยวราตรี มันเชื่อว่าตนต้องสะสมคะแนนผลงาน จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมเพื่อขอสูตรโอสถ ‘ปราชญ์โบราณ’ จากเทพธิดารัตติกาลเป็นการแลกเปลี่ยน


สะสมคะแนนผลงาน… เป็นคำที่คุ้นเคยชะมัด… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ไตร่ตรองบางใส่ภายในใจ:


เห็นได้ชัดว่า เทพธิดาบอกใบ้วิธีสั่งสมผลงานมาแล้ว นั่นคือการสะสางปัญหาของนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียมให้เรียบร้อย!


แต่ไคลน์สงสัยว่า เทพธิดาอาจมีสูตรโอสถเส้นทางนักทำนายถึงแค่ ‘ปราชญ์โบราณ’ เท่านั้น ไม่มีของลำดับที่สูงกว่านี้ เพราะเทวทูตของตระกูลอันทีโกนัสมิได้ร่วงหล่นทันที แต่หนีกลับไปยังวังลับ กลายเป็นสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งในสภาพกึ่งผนึกตัวเอง นอกจากนั้น ไพ่เดอะฟูลก็ยังอยู่ที่นั่น มิได้ถูกนำออกไป


ในเวลาเดียวกัน ไคลน์ที่คิดจะถามต่อเกี่ยวกับร่างโคลนของอามุนด์ พลันฉุกคิดได้ว่า ภายในความทรงจำของครึ่งเทพในร่างหนู คนที่เตือนเกี่ยวกับครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม ไม่ใช่ใครนอกจากกระจกบานนี้!


ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา ไคลน์หรี่ตาลงเล็กน้อย มองกระจกบานใหญ่พลางกล่าว


“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เจ้ากลับไปได้ ไว้มีเรื่องรบกวน เราจะเรียกอีกครั้ง”


“ขอรับ นายท่าน! บ๊ายบาย~ ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส พร้อมที่จะรับใช้นายท่านทุกเมื่อ!” บนกระจกบานดังกล่าว เส้นแสงสว่างขึ้น วาดเป็นสัญลักษณ์คนโบกมือ


รอจนกระทั่งทุกอย่างสงบลง ไคลน์หันหลังไปหยิบกระดาษที่วาดสัญลักษณ์ ดีดนิ้วและปล่อยให้มันลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดง


ขณะขี้เถ้าร่วงกราว มันกางมือซ้ายออก เผยให้เห็นหนอนโปร่งใสสองตัวที่มีลวดลายลึกลับ


หนอนทั้งสองตัวดีดดิ้นอย่างอ่อนโยน พลังชีวิตของพวกมันทำให้ห้องนอนใหญ่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง แสงสว่างภายในห้องสลัวลง ก่อนจะสว่างจ้า สลับกันเช่นนี้อย่างต่อเนื่องแต่ไม่เป็นจังหวะ พวกมันคือหนอนวิญญาณที่ไคลน์แบ่งออกมา


ทันทีหลังจากนั้น ไคลน์เหยียดมือขวาออก ตบใส่หนอนโปร่งใสทั้งสองตัว


ผ่านมือของมันหยุดค้างไว้สักพัก


จากนั้นก็ยกขึ้น ตบกลับลงไปใหม่และหยุดค้าง ทำซ้ำอีกหลายครั้งติดต่อกัน จนกระทั่งออกแรงตบครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ท่ามกลางเสียงแตกหักมายา ไคลน์เกิดอาการชาในหัว


เป็นความรู้สึกคล้ายกับวิญญาณถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกยิงแล้วกรีดซ้ำ


ไคลน์ใช้พลังตัวตลกเพื่อควบคุมการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้า ผ่านไปสักพัก มันยกมือขวาขึ้นหน้าผาก พึมพำเงียบกับตัวเอง


ไม่ผิดจากที่คิด ความตายของ ‘หนอนวิญญาณ’ ทุกตัวทำสร้างความเสียหายแก่ร่างวิญญาณ… ขีดจำกัดในปัจจุบันของเราน่าจะเท่ากับหกตัว… อา… ตอนนี้คงต้องรอดูระยะเวลาในการฟื้นตัวก่อน…


โชคดีที่อยู่ในระดับพอทนไหว ไม่อย่างนั้น หากเผชิญหน้าการต่อสู้อันดุเดือดจนหุ่นเชิดถูกทำลาย ถ้าฟื้นฟู ‘หนอนวิญญาณ’ ไม่ได้จะถือว่าอันตรายมาก…


อา… แตกต่างจาก ‘หนอนกาลเวลา’ ของร่างโคลนอามุนด์ ‘หนอนวิญญาณ’ ของจอมเวทพิสดารจะไม่ตายเสมอไปในตอนที่หุ่นเชิดทุกทำลาย ส่วนใหญ่แล้วจะกู้คืนได้ทัน เพราะระยะห่างระหว่างร่างต้นกับหุ่นเชิดมีไม่มาก…


เมื่อยืนยันสถานการณ์และรอจนกระทั่งตะกอนพลังใน ‘หนอนวิญญาณ’ กลับคืนร่างกาย ไคลน์นำวัสดุมาวางอีกครั้งและประกอบพิธีกรรมถึงเดอะฟูล


หลังจากจัดการเสร็จไปทีละขั้นตอน ไคลน์ผลิตกระสุนสีเงินเข้มสองนัดจากซาก ‘หนอนวิญญาณ’ ทั้งสองตัว รวมถึงแท่งเงินสองแท่งและสัญลักษณ์สามมิติที่ซับซ้อนซึ่งคัดลอกมาจากใครบางคน – คนคนนั้นคือ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน


กระสุนเงินถูกสลักด้วยลวดลายลึกลับที่ยากอธิบาย ปลายทางของลวดลายดังกล่าวกระจุกตัวกันในบริเวณกึ่งกลาง สีทึบแต่ไม่มืด ใครก็ตามที่จ้องมองจะรู้สึกว่าความคิดเชื่องช้า


ไคลน์ดีดเหรียญทองคำขึ้นไปอากาศ ใช้พลังทำนายเพื่อตรวจสอบความสามารถของกระสุน


หากโดนยิง เป้าหมายจะกลายเป็นอัมพาตทันที!


สถานะดังกล่าวจะส่งผลแตกต่างกันไป อิงตามความแข็งแกร่งทางร่างวิญญาณของเหยื่อ ต่อให้เป็นลำดับ 3 ก็ยังต้องชะงักไม่ต่ำกว่าหนึ่งถึงสองวินาที!


เป็นพลังที่เราไม่มี… แน่นอน มันถูกสร้างด้วยความช่วยเหลือจากพลังของมิติหมอก… กระสุนสองนัดนี้คงอยู่ในระดับเดียวกับยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ แม้ ‘หนอนวิญญาณ’ ของเราจะด้อยกว่า ‘หนอนกาลเวลา’ ขออามุนด์และพาลีส·โซโรอาสเตอร์ แต่อิทธิพลจากมิติหมอกในคราวนี้สูงกว่าการสร้างยันต์คราวก่อน… เราจะเรียกมันว่า… เอ่อ… กระสุนคุมวิญญาณ… ไคลน์หยิบลูกโม่ลางมรณะออกจากซองปืนใต้รักแร้ ตบโม่ออก บรรจุ ‘กระสุนคุมวิญญาณ’ สองนัดเข้าไป


จากนั้น มันนำกระดาษจดหมายมากางข้างแท่นบูชา ลงปากกาเขียน


“งานต่อไปของคุณก็คือ พยายามรวบรวมยันต์ระดับสูงและกระสุนพิเศษ… ขอให้พระองค์จงสถิตอยู่กับคุณ… จากคนที่เคยมอบคำสั่งให้คุณสามข้อ”


จดหมายฉบับนี้เขียนถึงแพทริค·เบรนแห่งนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่เทพมรณา


ในเมื่อมีลูกน้องอยู่ในมือ ทำไมต้องปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ? ไคลน์รำพัน พับกระดาษจดหมาย จากนั้นก็อัญเชิญผู้ส่งสารของแพทริค·เบรนข้างแท่นบูชา


บนผิวโต๊ะทำงาน เปลวไฟสีดำสนิทลุกท่วมอย่างน่าตกตะลึง จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นนกใสขนสีดำ


สัตว์วิญญาณตนนี้ชำเลืองมาทางไคลน์ ค่อยๆ ก้มหน้าลงและจิกกระดาษจดหมายขึ้นมา


เมื่อเห็นอีกฝ่ายหายไป ไคลน์พยักหน้าและพึมพำกับตัวเอง


คู่ทำพันธสัญญาของแพทริคมีระดับไม่เลวทีเดียว…


มันรวบรวมสมาธิ นำกระดาษจดหมายออกมาอีกแผ่นและเขียนอย่างไหลลื่น


“ผมได้รับพรแห่งการปกปิดมาแล้ว คุณเริ่มมองหาสมบัติปิดผนึกเส้นทางนักจารกรรมได้เลย นอกจากนั้น ผมยังพบวิธีมองเห็นการปลูกถ่ายชะตากรรมแล้ว คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนี้”


“…ผมมีคำถาม คุณพอจะมีวิธีสร้างความมืดที่มาพร้อมโลกความฝันชั่วคราวหรือไม่?”


“…หากคุณมีเวลาว่าง ลองแวะไปที่ทิงเก็นสักครั้ง หาเรื่องยืม 3-0782 ออกมาทำภารกิจและสร้างกระสุนเพลิงสุริยันจากสิ่งนั้น ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่กลายพันธุ์ ด้านในมีเลือดศักดิ์สิทธิ์ของสุริยันเจิดจรัสบรรจุอยู่… หากมีกระสุนเพลิงสุริยัน โอกาสประสบความสำเร็จจะมากขึ้น สามารถต่อกรกับร่างโคลนของอามุนด์ได้ดีขึ้น”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 994 : โหมโรง

 

บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ เลียวนาร์ดที่กลับบ้านมาเพื่อเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์โดยเฉพาะ เตรียมกลับออกไปข้างนอก ปลายทางคือวิหารนักบุญแซมมวล เพื่อจะลงไปอ่านเอกสารในห้องใต้ดิน วางแผนทำภารกิจปลอบประโลมวิญญาณในช่วงเวลากลางคืน แต่ทันใดนั้น ดอกไม้พลันปรากฏขึ้นตรงข้าม มันได้พบกับผู้ส่งสารผมทองตาแดงสี่หัวที่สวมชุดเดรสดำ


ในฐานะผู้ปลอบวิญญาณ มันสามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณได้โดยไม่ต้องเปิดเนตร


รับจดหมายของไคลน์มาถึง เลียวนาร์ดเตรียมกล่าวขอบคุณ แต่ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ได้เดินหายเข้าไปในความว่างเปล่าเรียบร้อยแล้ว


“ตาแก่… ทำไมไคลน์ถึงมีผู้ส่งสารระดับนี้ได้? เป็นสิทธิพิเศษของข้ารับใช้หรือ?” เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะบีบเสียงถามพาลีส·โซโรอาสเตอร์


ในตอนแรก มันคิดว่านี่คือมาตรฐานของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ แต่กลายเป็นว่ามันวิตกไปเอง


เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้น


“ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับไคลน์·โมเร็ตติมากกว่า… ทุกคนสามารถพบเจอเรื่องราวดีๆ ที่เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งนั้น แม้แต่เจ้าเองก็เคยไม่ใช่หรือ? หึหึ… ข้าคิดว่าเจ้าจะนิยามท่านผู้นั้นว่า ‘เทวทูตบาดเจ็บ’ เสียอีก แต่โชคดีที่เลือกใช้คำว่า ‘ผู้ส่งสารระดับนี้’ ไม่เลว… ถือว่ายังจำคำเตือนของข้าได้”


เลียวนาร์ดยกริมฝีปาก คลี่กระดาษจดหมายอ่านเนื้อหา


“อย่างที่คิด เขาเป็นข้ารับใช้ของทั้งความลับและชะตากรรม…” พาลีส·โซโรอาสเตอร์อ่านข้อความผ่านดวงตาของเลียวนาร์ดอย่างรวดเร็ว


เลียวนาร์ดไม่ยืนอ่านนาน เลือกจะถอยหลังสองสามก้าวและทิ้งตัวลงบนโซฟา


“ไคลน์สามารถมองเห็นการปลูกถ่ายชะตากรรม… แปลว่าเราต้องรีบตามหาสมบัติปิดผนึกระดับครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมแล้วใช่ไหม?”


“ถึงจะรีบสักเพียงใด แต่เจ้ารู้หรือว่าต้องไปหาที่ไหน?” พาลีสเย้ยหยัน


แม้แต่ในชุมนุม ‘ผู้สันโดษแห่งชะตา’ กว่าจะมีของแบบนี้ออกมาขายก็ต้องใช้เวลาหลายปี และการชุมนุมคราวหน้าจะเริ่มขึ้นในช่วงสิ้นปี


เลียวนาร์ดครุ่นคิดอย่างจนปัญญาสักพัก ก่อนจะพับเก็บปัญหาไปก่อนและอ่านเนื้อหาส่วนถัดไป


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง มันหัวเราะในลำคอ


“ผมสงสัยมาตลอด ในตอนที่เผชิญหน้ากับเมกูส ทำไมไคลน์ถึงมือยันต์ระดับสูงในขอบเขตสุริยันได้ เคยคิดว่ายันต์ดังกล่าวมาจากกงสุลมรณะ แต่นั่นก็ยิ่งน่าแปลก ครึ่งเทพเส้นทางมรณาจะรวบรวมยันต์ขอบเขตสุริยันไปทำไม? นั่นไม่เท่ากับฆ่าตัวตายหรือ? ตอนนี้กระจ่างเสียที… ตาแก่… ผมเคยถือ 3-0782 มาแล้ว ทำไมคุณถึงมองไม่เห็นหยดเลือดของสุริยันเจิดจรัสด้านใน? หากในสมัยนั้นคุณขโมยพลังบางส่วนจากมันมาได้ เรื่องราวก็คง…”


เดิมที เลียวนาร์ดมีเจตนาจะเย้ยหยันชายชรา แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายเงียบเสียเอง


พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจ


“ถ้าเลือดหยดนั้นถูกพบได้ง่ายๆ ตราศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวคงไม่ถูกเก็บอยู่ในทิงเก็นแน่”


เลียวนาร์ดเงียบสักพัก ก่อนจะถาม


“แล้วผมจะนำตราศักดิ์สิทธิ์นั่นออกมาสร้างเป็นยันต์เพลิงสุริยันได้ยังไง?”


แม้ว่าไคลน์จะเขียนอธิบายมาให้ฟังดูง่าย แต่เลียวนาร์ดทราบดีว่าเรื่องราวคงไม่ราบรื่นขนาดนั้น เพราะตนไม่ใช่เหยี่ยวราตรีของทิงเก็นอีกต่อไป แม้จะใช้ข้ออ้างกลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่า แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้ากับหลังประตูยานิส


ได้ยินคำถาม พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวเสียงขรึม


“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องถาม? คิดเองไม่เป็นรึไง?”


เลียวนาร์ดกระแอมแห้ง รวบรวมสมาธิเพื่อนเค้นสมองนึก


“แม้ตอนนี้ผมจะทำงานเดี่ยว แต่ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอปให้สิทธิ์ในการดึงเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นมาช่วย… อา… ถ้าวิญญาณรอบๆ เบ็คลันด์ถูกปลอบประโลมจนหมด แต่โอสถของผมยังย่อยไม่เสร็จ… หมายความว่าสามารถย้ายตัวเองไปทำงานในมุขมณฑลอื่นได้… เมื่อถึงตอนนั้น ถ้ามีเหตุการณ์ผิดปรกติเกี่ยวกับผีสางเกิดขึ้นที่ทิงเก็น ผมสามารถอาสาตัวเองไปทำงานได้อย่างสมเหตุสมผล จากนั้นก็ดึงเหยี่ยวราตรีสักสองคนพร้อมกับยืม 3-0782…”


รอจนกระทั่งเลียวนาร์ดพูดกับตัวเองเสร็จ พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะ


“ไม่เลว เจ้าหาทางออกได้เร็วกว่าที่คิด… แต่ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือ ถ้าภารกิจเป็นการปลอบวิญญาณจริง แล้วทำไมถึงต้องยืม 3-0782 ที่มีพลังชำระล้าง? นั่นจะทำให้ตกเป็นเป้าสงสัย”


เลียวนาร์ดที่ถูกเยินยอ ขำเล็กๆ


“ตาแก่ มีบางเรื่องที่คุณยังไม่รู้ สมัยที่ผมสังกัดเหยี่ยวราตรีใหม่ๆ เรื่องหนึ่งที่ถูกสอนมาก็คือ: ต้องแน่ใจว่าสามารถชำระล้างเป้าหมายได้ จึงจะมีสิทธิ์ออกไปทำภารกิจปลอบวิญญาณ… แม้แต่จักรพรรดิโรซายล์ก็ยังเคยกล่าวไว้ว่า ทุกการแก้ปัญหา มือหนึ่งต้องถือไม้เรียว ส่วนอีกมือถือแคร์รอต”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์จุ๊ปาก


“อยากทำอะไรก็ตามใจ แต่ต้องไม่ลืมว่า เจ้าต้องเคลียร์ภารกิจของแอนโทนี·สตีเวนสันให้ได้ภายในสองถึงสามสัปดาห์ หากยืดเวลาออกไปจนกระทั่งแผนการกวาดล้างร่างโคลนอามุนด์เริ่มขึ้น ถึงตอนนั้นกระสุนเพลิงสุริยันก็ไม่มีความหมาย”


เลียวนาร์ดนึกทบทวนรายชื่อและจำนวนงานที่ถูกมอบหมาย หน้าผากกระตุกทันใด


มันบังคับตัวเองให้ลืมปัญหา พึมพำภายในใจ


“ผมไม่รู้ว่าปฏิบัติการสั่งสอนผีดูดเลือดจะเริ่มขึ้นตอนไหน… ไม่แน่ว่า ผีดูดเลือดตนดังกล่าวอาจครอบครองสมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรม… สำหรับโลกแห่งความฝันชั่วคราว ผมสามารถทำได้ และนำพลังไปไว้ในยันต์ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าพลังมีระดับสูงพอที่จะต้านทานความมืดจากดินแดนเทพทอดทิ้งได้ไหม”



เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้าน


ฟอร์สในสภาพถือนิยาย กำลังนั่งบนโซฟา มองซิลเดินไปสวมรองเท้า เตรียมออกไปข้างนอก


“ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย สุภาพบุรุษคนนั้นบอกว่าจะไม่มอบหมายภารกิจในเร็วๆ นี้” ฟอร์สอดสงสัยไม่ได้ ตัดสินใจเอ่ยปาก


ซิลชำเลืองอีกฝ่าย จากนั้นก็ตอบ


“ฉันเป็นนักล่าเงินรางวัล ยังมีงานอื่นให้ทำ”


กล่าวถึงตรงนี้ เธอเว้นวรรค พูดต่อไปด้วยความลังเล


“ฟอร์ส เธอคิดบ้างไหมว่า มิสจัสติสมีความคล้ายคลึงกับมิสออเดรย์”


ฟอร์สผงะไปหลายวินาที ก่อนจะได้สติกลับมา ยิ้มเล็กๆ และกล่าว


“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง…”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันแล่นผ่านเข้ามาในใจ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ


ผ่านไปสักพัก เธอพึมพำ


“เป็นไปไม่ได้… เส้นทางผู้ชม สมาคมแปรจิต ขุนนางชั้นสูง ผมสีทอง… จากบรรดาคนรู้จักของฉัน เธอเป็นคนเดียวที่เข้าข่ายทุกข้อ… แน่นอน ยังมีขุนนางอีกมากที่ฉันไม่รู้จัก และบางส่วนที่รู้จัก แต่ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับสมาคมแปรจิตหรือไม่”


ซิลที่ฟังเพื่อนอย่างเงียบงัน ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด


“ฟอร์ส เธอยังจำภารกิจที่มิสออเดรย์มอบให้เราได้ไหม? ตอนแรก ฉันคิดว่านั่นเป็นภารกิจจากเอิร์ลฮอลล์ แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี นั่นอาจเป็นภารกิจจากชุมนุมทาโรต์มากกว่า… นอกจากนั้น เธอลืมไปแล้วหรือว่าพวกเรารู้จักพระนามเต็มของเดอะฟูลได้ยังไง? หนังสือที่ยืมมาจากไวเคาต์กายลินยังไงล่ะ! พวกมันมีเศษกระดาษซ่อนอยู่ในปก!”


ฟอร์สพยักหน้าทันที


“ถ้าพวกเราหาพบ มิสออเดรย์ที่เป็นเพื่อนสนิทของไวเคาต์กายลินก็ต้องหาพบเช่นนั้น! นั่นสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเธอถึงได้เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์”


“ถูกต้อง” ซิลเห็นพ้องกับการคาดเดาของฟอร์ส


ขณะฟอร์สเตรียมเปิดปาก ทันใดนั้น เธอฉุกคิดได้ว่า ปัจจุบันอาจกำลังถูกเฝ้าจับตามองจากตระกูลผีดูดเลือด จึงเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง


“ซิล… พวกเราไม่ควรพูดถึงชุมนุมบ่อยนัก”


“สำหรับมิสออเดรย์… อา… พวกเราได้พบกันสัปดาห์ละสองถึงสามหน ไว้ค่อยสังเกตตอนนั้นก็แล้วกัน”


คล้ายกับซิลเพิ่งฉุกคิดบางสิ่ง รีบพยักหน้าหนักแน่น


“ตกลง!”


เธอเปิดประตูและเดินออกไปทันที จนกระทั่งถึงผับแห่งหนึ่งในเขตตะวันออก จากนั้นนั่งตรงเคาน์เตอร์


เคาะแผ่นไม้กระดานเบาๆ จากนั้น เธอพูดกับบาร์เทนเดอร์ที่หันมามอง


“มีงานใหม่บ้างไหม”


บาร์เทนเดอร์ไล่เรียงภารกิจ แต่มิได้เอ่ยถึงงานสืบประวัติของสุภาพบุรุษที่ชื่อเออร์เนส·โบยาร์


นั่นสินะ คงต้องรออีกหนึ่งถึงสองวัน… ซิลมองไปรอบๆ ถอนสายตากลับ ถามด้วยเสียงเจือสับสน


“ไม่เห็นเชอร์แมนมานานแล้ว พอจะรู้ไหมว่าเขาไปไหน?”


เชอร์แมนคือชายหนุ่มที่คิดว่าตัวเองเป็นสตรี เป็นสายข่าวคนสำคัญของซิล


บาร์เทนเดอร์หัวเราะ


“บางที เจ้านั่นอาจจะหนีตามผู้ชายไปแล้วก็ได้… เธอก็รู้ ขอเพียงมีผู้ชายมาชอบ เชอร์แมนดีใจเสมอ”


“นั่นไม่ใช่เรื่องตลกนะ” ซิลโต้แย้งขึงขัง ภายในใจเริ่มกังวล


เธอออกแรงบนฝ่ามือเพื่อดันตัวเองขึ้นจากเก้าอี้สูง เตรียมออกไปตามหาเชอร์แมนในจุดที่อีกฝ่ายชอบอยู่



ย่านสะพานเบ็คลันด์ ถนนประตูเหล็ก ผับวีรบุรุษ


เอ็มลินกดหมวกทรงสูงของมัน บีบจมูกพลางเดินแหวกผู้คนที่มีกลิ่นตัวเหม็น เข้าไปพบเอียนในห้องเล่นไพ่


“มิสเตอร์ไวท์ คราวนี้มีอะไรหรือ?” เอียนยิ้มและพาเอ็มลินไปที่ห้องบิลเลียดว่าง


เอ็มลินถอดหมวก พึมพำ


“เป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ช่วยผมประกาศภารกิจให้เหล่านักล่าเงินรางวัล เนื้อหาของงานก็คือ เฝ้าสะกดรอยชายคนหนึ่งที่ชื่อเออร์เนส·โบยาร์ พยายามสืบหากิจวัตรประจำวันให้ได้ เงินรางวัลหนึ่งร้อยปอนด์”


“หนึ่งร้อยปอนด์” เอียนถามด้วยความเคยชิน


หากเป็นภารกิจสะกดรอยและสืบข้อมูล เงินรางวัลหนึ่งร้อยปอนด์นับว่าสูงมาก ต้องไม่ลืมว่า ถ้ามีนักล่าเงินรางวัลคนใดสามารถทำงานนี้เสร็จตามลำพัง คนผู้นั้นจะสบายไปทั้งปี แถมยังสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ด้วย!


เอ็มลินพยักหน้า


“เป้าหมายค่อนข้างอันตราย”


หลังจากได้ปรึกษากับชุมนุมทาโรต์ เอ็มลินค่อนข้างมั่นใจว่า ภารกิจติดตามเออร์เนส·โบยาร์ค่อนข้างง่ายและปลอดภัย เพราะอีกฝ่ายจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัว และจงใจทำให้ทำกิจวัตรในแบบเดิมๆ


ดังนั้น หนึ่งร้อยปอนด์ตรงนี้คือรางวัลสำหรับมิสจัดจ์เมนต์ที่ยอมเสี่ยงตัวเอง แน่นอน เพื่อที่จะทำให้แนบเนียนและไม่ถูกสงสัย คงมีนักล่าเงินรางวัลสองสามคนทำภารกิจนี้สำเร็จ ได้รับส่วนแบ่งตามเนื้องาน หน้าที่ของเอ็มลินก็คือ พยายามทำให้มิสจัดจ์เมนต์ได้รับส่วนแบ่งมากที่สุด


“เข้าใจแล้ว” เอียนเหยียดแขนออกมา “มัดจำล่วงหน้า แล้วก็เขียนที่อยู่ของเป้าหมาย ระดับอันตราย รูปลักษณ์ภายนอก ถ้ามีรูปได้ยิ่งดี”


เอ็มลินยื่นเงินให้สามสิบปอนด์ พร้อมกับข้อมูลของเออร์เนส·โบยาร์และภาพเหมือน


“ตาสีแดง?” เอียนพลิกอ่านกระดาษ อดไม่ได้ที่จะโพล่ง


“ถูกต้อง” เอ็มลินพยักหน้า มองไปรอบตัวและหรี่เสียงลง “ยังมีอีกเรื่อง ช่วยผมรวบรวมเบาะแสเกี่ยวกับคนของโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์”


“โรงเรียนกุหลาบ?” เอียนตกตะลึง ถามด้วยความฉงน ราวกับไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน


……………………………………..

 

 

 


ราชันเร้นลับ 995 : แฝดตัวติดกัน

 

เอ็มลินเหลือบมองเอียน บีบปลายจมูก ยิ้มและกล่าว


“ดูเหมือนว่าคุณจะยังไม่เข้าใจสินะ อา… คำอธิบายที่ง่ายกว่านั้นก็คือ ช่วยตรวจสอบคนที่มาจากทวีปใต้ โดยเฉพาะที่มาจากที่ราบดวงดาวและหุบเขาเพิร์ธ”


“คุณอยากได้ข้อมูลประเภทไหน? ในเบ็คลันด์มีชาวทวีปใต้เลือดบริสุทธิ์เต็มไปหมด ลักษณะที่คุณเล่ามาคือสิ่งหาได้ทั่วไป” เอียนมิได้โกรธที่ถูกดูแคลน ตั้งคำถามกลับอย่างใจเย็น


เอ็มลินยิ้ม


“ประเภทที่ผิดปรกติ ไม่สมประกอบ เป็นพวกที่บูชาตัวตนลึกลับ คำอธิบายแบบนี้พอจะเข้าใจใช่ไหม?”


“มีคนจากที่ราบสูงและหุบเขาจำนวนมากที่ตรงตามคำอธิบายของคุณ ในเบ็คลันด์ หากไม่ใช่คนรับใช้ คนงาน ก็ต้องเป็นโจรและเข้าร่วมแก๊งอันธพาล รายหลังเต็มไปด้วยพฤติกรรมผิดปรกติ ไม่สมประกอบ และคล้ายกับบูชาตัวตนลึกลับ” เอียนชี้ให้เห็นว่าคำขอร้องของเอ็มลินเข้าใกล้ความเป็นไปไม่ได้


เอ็มลินเตรียมพร้อมไว้แล้ว เผยรอยยิ้มจางๆ พลางพยักหน้าและกล่าว


“ถ้าอย่างนั้น ส่งข้อมูลที่เข้าข่ายทั้งหมดมาให้ผม ทางนี้จะเป็นฝ่ายคัดกรองเอง ค่าจ้างเริ่มต้นห้าสิบปอนด์ จากนั้นก็เพิ่มตามจำนวนข้อมูลที่สำคัญ รายการละยี่สิบปอนด์”


“ใครเสียเปรียบกว่ากันนะ…” เอียนครุ่นคิดสักพัก


สำหรับมัน ลำพังค่าจ้างเริ่มต้นห้าสิบปอนด์ก็หอมหวานพอที่ยอมจะรับงาน เพราะเงินจำนวนนี้สามารถจ้างให้คนจำนวนหนึ่งโหลคอยสำรวจตั้งเขตตะวันออกจนถึงเขตเชอร์วู้ด ระดมการสืบสวนนานกว่าครึ่งเดือนตั้งแต่เช้ายันเย็น


มันไม่สนใจว่าเงินห้าสิบปอนด์จะทำกำไรเท่าไร เพราะหลายคนที่นี่จำเป็นต้องพึ่งพาเอียนเพื่อความอยู่รอด จำเป็นต้องแจกจ่ายงานให้เป็นครั้งคราว ไม่อย่างนั้นคงอดตายและไม่ได้ทำงานในอนาคต


เอ็มลินสบตาเอียน ตามด้วยกล่าว


“แน่นอนว่าต้องเป็นผม… คุณก็น่าจะรู้ว่าผมเชื่อใจได้แค่ไหน”


“ไม่รู้… นักสืบโมเรียตี้ไม่ได้บอก” เอียนพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจ “ก็ได้… การร่วมมือกันครั้งล่าสุดค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ผมขอเชื่อคุณ”


เอ็มลินพยักหน้าพึงพอใจ หยิบกระเป๋าสตางค์และนับธนบัตรออกมาห้าสิบปอนด์


ระหว่างนั้น เมื่อพบว่าเงินออมของมันเหลือ 407 ปอนด์ เอ็มลินลังเลอยู่พักใหญ่


ตอนนี้เหลือสามร้อยเจ็ดสิบห้าปอนด์… มันเพ่งธนบัตรพลางยื่นให้เอียน


มันไม่แช่อยู่นาน สวมหมวกทรงโดม เดินออกจากห้องบิลเลียด ออกจากผับวีรบุรุษ


มาถึงถนน เอ็มลินปล่อยมือออกจากจมูก แหงนหน้ามองฟ้า เห็นเมฆทรงเปลวไฟ มันพึมพำกับตัวเอง


คราวนี้ไม่เห็นวิญญาณอาฆาต… ไปไหนกันนะ?


ฮึ! เอียนแสร้งทำเป็นไม่รู้จักโรงเรียนกุหลาบ แต่หัวใจที่เต้นระรัวของเจ้านั่นกำลังทรยศร่างกาย


นอกจากนั้น เอียนไม่ได้ถามหาเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ไม่ถามด้วยซ้ำว่ากลับถึงเบ็คลันด์แล้วหรือยัง คล้ายกับไม่สนใจใยดีอีกแล้ว… อาจเป็นไปได้ว่า นักสืบเชอร์ล็อกกลับมาถึงเบ็คลันด์แล้ว และได้พบกับเอียนแล้ว?



หมู่เกาะรอสต์ เมืองแห่งการให้ บายัม


นอกบ้านใกล้ท่าเรือที่มีโคมไฟผนังประดับอยู่ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาอยู่กับแฟรงค์·ลีผมสีน้ำตาลที่สวมเสื้อพับแขน เดินไปยังมุมเปลี่ยว เฝ้ามองดูร่างหนึ่งโผล่ออกจากเงามืด


ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอยล์ที่รับหน้าที่เฝ้าติดตาม ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ ชายร่างสูงผอมรายนี้มีผิวซีดจนเกือบโปร่งใส คล้ายกับพร้อมล้มลงทันทีหากมีลมพัด


“ช่วงนี้มีอะไรผิดปรกติไหม?” แคทลียาผลักแว่นตาขอบทองบนสันจมูก


ฮีธ·ดอยล์ตอบ


“สามวันหลังจากคุณไป มีคนแปลกหน้ามาเยี่ยมชาฟฟ์เป็นเวลาประมาณสิบห้านาที ผมไม่กล้าเข้าใจเพราะไม่อยากถูกพบตัว… ตามคำสั่งของกัปตัน ผมส่งคนไปสะกดรอยอีกฝ่าย แต่ถูกสลัดหลุด”


“คนแปลกหน้า… หน้าตาเป็นยังไง?” แคทลียาผงกศีรษะรับ


ฮีธ·ดอยล์หยิบเนื้อดิบออกจากกระเป๋าหนังตรงเอว ผิวเนื้อยังเป็นเลือดสด แต่ปราศจากสัญญาณการปนเปื้อน ประหนึ่งของแข็งบริสุทธิ์ก้อนหนึ่ง


ทันทีหลังจากนั้น เนื้อชิ้นดังกล่าวละลายและหยดลงพื้น ดีดดิ้นคล้ายกับมีชีวิต จากนั้นก็วาดเป็นภาพ


“ฉันอยากได้พลังแบบนี้!” แฟรงค์·ลีมองฉากตรงหน้าด้วยดวงตาสั่นระริก ระบายความในใจออกมาโดยไม่ปิดบังความตื่นเต้น


ฮีธ·ดอยล์ที่ถูกต้อง รีบเบือนหน้าหนีตามสัญชาตญาณ ภายในใจนึกอยากวิ่งหนี แต่สุดท้ายก็เอียงตัวเล็กน้อยและชี้ลงพื้น


“ประมาณนี้”


ทันใดนั้น ภาพสีแดงค่อยๆ ทวีความคมชัด เผยให้เห็นใบหน้าที่มีหนวดเครา ใกล้เคียงกับชาวหุบเขาเพิร์ธ จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดคือต่างหูสามอันที่ฝังบนใบหูแต่ละข้าง


“ต่างหูทำจากทองคำ ร่างกายผอมเพรียว ปราศจากไขมันส่วนเกิน เป็นหุ่นของนักกีฬา” ฮีธ·ดอยล์เสริม


แคทลียามองพื้นละตอบ


“หลังจากนั้น?”


ฮีล·ดอยล์พยักหน้าเล็กๆ


“หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาเยี่ยมชาฟฟ์อีกเลย ส่วนบรรดาคนใช้ชั่วคราวและพ่อครัว ผมส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่ไม่พบความผิดปรกติ… ชาฟฟ์เตร็ดเตร่บนถนนตอนกลางคืนทุกวัน กลับบ้านพร้อมโสเภณีข้างถนนทุกวัน และไม่ปล่อยพวกเธอออกมาจนกว่าจะเช้า… ตัวผมที่คอยสะกดรอยตามตลอด ไม่พบคนแปลกหน้าระหว่างนั้น”


“ทำตัวปรกติมาตลอด?” แคทลียาถามพลางขมวดคิ้ว


ตามความคิดของเธอ การไม่มีปัญหาเลย คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด!


เพราะไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับโรงเรียนกุหลาบฝ่ายนับถือดวงจันทร์บรรพกาล


ฮีธ·ดอยล์พยักหน้ายืนกราน


“ใช่แล้ว”


แคทลียามองไปทางประตูหน้าบ้าน ครุ่นคิดสักพักและพูด


“เดิมที แผนของฉันคือการลอบแทรกซึมเข้าไป ควบคุมชาฟฟ์เป็นการด่วนและพาหนีออกมา หลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ การเคาะประตูบ้านเข้าไปตรงๆ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”


อันตรายที่น่ากลัวที่สุดก็คือ อันตรายที่ไม่รู้ว่ามีอยู่


“กัปตัน ผมจะเข้าไปด้วย” แฟรงค์·ลีที่เอาแต่หมกตัวในห้องทดลองเป็นเวลานาน รู้สึกว่าตนค่อนข้างบกพร่องในหน้าที่รองกัปตัน จึงรีบเสนอตัว


แคทลียาถอดแว่นหนาๆ แขวนไว้บนเข็มขัดของเสื้อคลุมแม่มดสีดำ ตามด้วยพยักหน้า


“ตกลง”


กล่าวจบ เธอออกจากมุมมืด เดินตรงเข้าไปในทางเข้าหลักของบ้าน ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์


เมื่อขยับเข้าใกล้ หญิงสาวแหงนหน้ามองดวงจันทร์สีแดงที่ส่องทะลุผ่านเมฆสูงบนท้องฟ้า งอนิ้วและเคาะประตู


ไม่เพียงไม่ เสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามด้วยเสียงเสียดสีของประตู


‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์แทบไม่เปลี่ยนไปจากความก่อน ร่างกายผอม ใบหน้าดำมืด ถุงใต้ตามบวมเล็กๆ มันพยายามยิ้มฝืนๆ ดวงตาสีน้ำตาล


“พลเรือเอก คราวนี้มีอะไร?”


ชาฟฟ์ที่ยืนหน้าประตู บดบังแสงสว่างจากโคมไฟภายในบ้าน จนดูคล้ายกับกำลังจมอยู่ในเงามืด


แคทลียามองหน้าสักพักก่อนจะพูด


“ฉันเปลี่ยนแผน นายต้องมาเป็นลูกเรือของฉัน”


เธอมิได้ขยับเท้าแม้แต่ก้าวเดียว ไม่มีเจตนาจะเข้าไปในบ้าน


สีหน้าของ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์พลันบิดเบี้ยว น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นทันที


“ทำไม?”


ดวงตาของแคทลียาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา กล่าวเชื่องช้าและหน้านิ่ง


“เพราะฉันคือโจรสลัด”


โจรสลัดไม่ต้องมีเหตุผลในการช่วงชิง แค่ทำตามใจปรารถนา


กล้ามเนื้อบนใบหน้าชาฟฟ์พลันกระตุก ยิ้มฝืนๆ ด้วยดวงตาสีน้ำตาลอีกครั้ง


“ผมเป็นลูกเรือให้คุณได้ก็จริง แต่ด้วยฐานะช่างฝีมือ ผมเหมาะจะอยู่ในเมืองใหญ่มากกว่า”


“เห็นด้วย” แคทลียากล่าวทำลายแรงต้าน “แต่ก่อนหน้านั้น นายต้องขึ้นมาบนอนาคตกาลและอยู่กับพวกฉันสักพัก”


สีหน้าชาฟฟ์ค่อยๆ สงบนิ่ง ตอบเสียงล่องลอย


“ผมกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้… ผมมีความต้องการเรื่องอย่างว่ารุนแรงทุกวัน”


“ต้องการสืบพันธุ์อย่างรุนแรง?” แฟรงค์·ลีที่ยืนข้างๆ ถามด้วยดวงตาส่องประกาย


ชาฟฟ์ผงะ ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก


แฟรงค์หันไปมอง ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาทันที ซักถามตื่นเต้น


“กัปตัน เขาจะกลายเป็นผู้ช่วยในห้องทดลองของผมใช่ไหม? ผมชอบเขามาก!”


แคทลียาเงียบงันหลายวินาที พยักหน้าเล็กๆ และตอบ


“ถูกต้อง”


แฟรงค์เผยรอยยิ้มอ่อนโยนทันที ยื่นมือขวาออกไปหา ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์


“ยินดีที่ได้รู้จัก ขอแนะนำตัวเอง ฉันคือรองกัปตันอนาคตกาล แฟรงค์·ลี”


สีหน้าของชาฟฟ์กลับเป็นปรกติ จับมืออีกฝ่ายพลางถามด้วยความสงสัย


“ผมจะได้อยู่บนเรือแค่ครู่เดียวจริงๆ หรือ?”


“ฉันขอใช้ชื่อเสียงตัวเองเป็นหลักประกัน” แคทลียาตอบด้วยแววตาจริงใจ จากนั้นเสริมเงียบๆ


แค่ครู่เดียว ราชินีเงื่อนงำก็จะจัดการนายด้วยตัวเอง…


“ตกลง… ยังไงเสีย ผมก็สู้พวกคุณไม่ได้อยู่แล้ว” ชาฟฟ์ยักไหล่ “ขอเก็บของสักครู่”


จากนั้น มันถอยหลังสองก้าว หันหลังและเดินไปยังส่วนลึกของห้องโถง


ขณะเดิน มันชะงักฝีเท้ากะทันหัน ย้อนกลับมามองแคทลียาและแฟรงค์:


“แสงจันทร์คืนนี้งดงามเหมือนเคยเลยนะ… ว่าไหม?”


โดยไม่รอคำตอบ มันเดินตรงไป หายตัวไปจากบันไดขั้นบนสุด


ทันใดนั้น สีหน้าแคทลียาเผยความเคร่งขรึม


หลังจากที่ชาฟฟ์เปิดประตู เธอพบความผิดปรกติบางอย่างกับอีกฝ่าย


หากเป็นชาฟฟ์เมื่อก่อน ร่างวิญญาณจะเหมือนกับมนุษย์ธรรมดา แต่ปัจจุบันกลับเป็นแฝดตัวติดกัน!


‘แฝดตัวติดกัน’ ได้รับแสงจากดวงจันทร์และขยายขนาดอย่างรวดเร็ว


นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เราจัดการไหว… ต้องเขียนจดหมายถึงราชินี และต้องไม่ลืมบอกข้อเสนอของเกอร์มัน·สแปร์โรว์… แคทลียาถอนหายใจเงียบ เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว


บนท้องฟ้าสูง เมฆแผ่นบางเผยให้เห็นพระจันทร์สีแดงสดใสและเงียบสงบ



กรุงเบ็คลันด์ เขตฮิลสตัน สโมสรนายทหารผ่านศึกไบลัมตะวันออก


ดอน·ดันเตสและส.ส. มัคท์ต่างลงจากรถม้าของตัวเอง เดินเข้าไปห้องโถงพร้อมกัน

 

 

 


ราชันเร้นลับ 996 : เกมไพ่

 

ก้าวเข้าสู่สโมสรนายทหารผ่านศึกไบลัมตะวันออก ไคลน์ส่งไม้เท้าและหมวกให้บุรุษรับใช้เอ็นยูน พลางหันไปเห็นพันเอกคาลวินแห่งกระทรวงกลาโหมในเครื่องแบบทหาร กำลังถือแก้วไวน์แดงรออยู่ภายในห้องโถง


นายพันหน้ายาวเหมือนลายิ้ม ยกแก้วทักทายดอน·ดันเตส


“ไม่ได้พบกันนาน”


“นานจริงๆ ด้วย” ไคลน์เดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม


พันเอกคาลวินเหยียดมือขวาออก


“ขอแสดงความยินดี คุณทำได้ดีทีเดียว ทุกคนพึงพอใจมาก”


“ผมเองก็พอใจเช่นกัน” ไคลน์ใช้วาทศิลป์ของโลเอ็นเพื่อบรรยายความสุขที่ได้ร่วมงาน จากนั้นก็เหยียดมือขวาออกไปจับตอบ


คาลวินดึงมือกลับ ชำเลืองไปทางส.ส. มัคท์ข้างๆ ดอน·ดันเตส ถอนหายใจและยิ้ม


“ในตอนที่คุณแนะนำดอน·ดันเตสให้เราครั้งแรก บอกตรงๆ ว่าผมไม่เชื่อตาของคุณ… แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงได้เป็นสมาชิกสภา”


“ทุกคนที่ได้ใกล้ชิดกับดอน·ดันเตส สามารถสรุปได้เหมือนกันหมดว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้” ส.ส. มัคท์น้อมรับคำชมของอีกฝ่ายโดยนัย


คาลวินถอนสายตากลับ จิบไวน์แดง มองหน้าดอน·ดันเตส ถามอย่างเป็นกันเอง


“คุณได้มาเท่าไร? สบายใจได้ ผมจะไม่นำข้อมูลนี้ไปกดราคาในภายหลัง เป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นที่บริสุทธิ์ใจ”


“ทองสองหมื่นปอนด์” ไคลน์ตอบราคากลาง


อันที่จริง มันได้รับมาทั้งสิ้นสองหมื่นห้าพันปอนด์ แต่จ่ายหนี้มิสผู้ส่งสารไปหนึ่งหมื่นปอนด์ จึงเหลือหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์


พันเอกคาลวินพยักหน้า


“ไม่เลว… ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแท่งทองพวกนั้นให้เป็นเหรียญทอง ผมสามารถแนะนำให้คุณรู้จักกับวงในของโรงกษาปณ์… เป็นยังไงบ้าง? พบเรื่องผิดปรกติในอาณาจักรของเมซันเญสไหม?”


ไคลน์ตอบตรงๆ โดยไม่คิดมาก


“มี! สถานที่ชื่อว่าจัตุรัสคืนชีพของที่นั่น ถูกทำลายด้วยสายฟ้าจำนวนมาก”


“ผมทราบเรื่องนี้แล้ว” พันเอกคาลวินตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


แต่นายคงไม่ทราบว่า เจ้าของสายฟ้ากำลังอยู่ตรงหน้า… ไคลน์หัวเราะในลำคอ กล่าวต่อไป


“นอกจากนั้น เปลือกนอกคล้ายกับเมซันเญสพยายามรักษาสมดุลกับขั้วอำนาจทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม แต่ในความเป็นจริง เขาแอบเข้ากับฝ่ายหนึ่งอย่างลับๆ แต่ผมไม่ทราบว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร”


มันไม่คิดจะทรยศโบสถ์เทพปัญญาความรู้ แต่ก็ต้องเปิดเผยข้อมูลบางส่วนเพื่อซื้อใจกองทัพโลเอ็น


“หนึ่งสิ่งที่แน่ชัดก็คือ ฝ่ายนั้นไม่ใช่เรา” พันเอกคาลวินพยักหน้าลุ่มลึก


“ไม่น่าจะใช่อินทิสเช่นกัน” ไคลน์ช่วยตัดตัวเลือกที่ผิดให้หนึ่งข้อ


พันเอกคาลวินอืมในลำคอ


“นั่นเป็นผลดีกับเรา… กองกำลังส่วนใหญ่รอบๆ ดินแดนของเมซันเญสล้วนเข้ากับอินทิส หากเขาต้องการขยายอาณาเขต การปะทะกันคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และพวกเราอาจได้ขายอาวุธอีกครั้ง”


กล่าวถึงตรงนี้ มันยกแก้ว


“แด่องค์วายุสลาตัน ขอให้ทุกคนร่ำรวยไปด้วยกัน”


ในฐานะสาวกเทพธิดารัตติกาล ไคลน์และส.ส. มัคท์ได้เพียงยิ้มตอบ มิอาจตอบรับได้ตรงๆ


หลังจากจิบไวน์แดงหนึ่งจิบ คาลวินชี้ไปที่ชั้นสอง


“ดอน… ผมนัดคุณมาในวันนี้ก็เพื่อจะเล่นไพ่กับคนใหญ่คนโต… เท็กซัสโปเกอร์”


“คนใหญ่คนโต?” ไคลน์ถามอย่างสนใจ


สีหน้าคาลวินเผยความเคร่งขรึมเล็กๆ ตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ


“พลเรือเอกอมิรุส… เขากลับมามีตำแหน่งอีกครั้งในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม”


พลเรือเอกอมิรุส… นายพลที่น้องชายถูกถอดออกจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีเกาะ ภรรยารองถูกมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายกัดกร่อน และสูญเสียตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือโซเนียภาคกลาง? ฉันเคยร่วมงานกับเขา ปลอมตัวเป็นเขาอยู่พักหนึ่ง… เป็นอย่างที่คิด สำหรับครึ่งเทพ หากไม่ได้ทำผิดร้ายแรงจนเกินไป และเต็มใจที่จะอดทนรอ ก็มีโอกาสหลุดพ้นจากความผิด… ไคลน์นึกทบทวนทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะโอลาวี ภายในใจพลันกระอักกระอ่วน


สำหรับพลเรือเอกอมิรุส·รีเวลต์รายนี้ ไคลน์รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเล็กๆ แม้ปัญหาส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องกับตนเลย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่ภรรยารองของอีกฝ่ายถูกกัดกร่อน เป็นเพราะมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายพยายามควบคุมตน


“กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากผมต้องการร่วมมือกับกองทัพในอนาคต จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากเขา?” ไคลน์ถามเข้าประเด็น


“เป็นเช่นนั้น” พันเอกคาลวินพยักหน้า ชี้ไปทางบันไดที่นำไปสู่ชั้นสอง “ขึ้นไปกันเถอะ”


มาถึงชั้นสอง หยุดอยู่หน้าบานประตูคู่สีแดงเข้ม คาลวินหันมาทางดอน·ดันเตสด้านข้าง


“หน้าที่ของคุณในวันนี้ก็คือ… เสียไพ่”


เสียไพ่? ไคลน์มองคาลวินขึ้นลงสองสามหน ยกมุมปากเล็กน้อยและพูด


“จะพยายาม”


ส.ส. มัคท์ด้านข้างยิ้มและกล่าว


“อันที่จริง คุณไม่ต้องตั้งใจเสียไพ่ขนาดนั้นก็ได้ นายพลอมิรุสเล่นไพ่เก่งมาก ผมยังไม่เคยชนะเลยสักครั้ง ถึงอยากจะได้กำไรก็ทำไม่ได้ เฮ้อ… หวังว่าวันนี้จะไม่เสียหนักเกินไป ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ากลับบ้าน”


ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด


“ผมนำเงินติดตัวมาสองร้อยปอนด์… พอไหม?”


“ไม่พอแน่นอน” พันเอกคาลวินหัวเราะในลำคอ “ผมแลกชิปหนึ่งพันปอนด์ให้คุณแล้ว อย่าลืมคืนวันหลังก็แล้วกัน”


แม้แต่นักกฎหมายชำนาญการของโลเอ็นก็ยังมีรายได้เพียงปีละหนึ่งพันปอนด์… ไอ้พวกโกงกินบ้านเมือง… ไคลน์จ้องหน้าคาลวินอีกครั้ง


พันเอกรายนี้ไม่ทันสังเกตเห็น เพียงยกมือขึ้นเคาะประตู


เพียงไม่นาน ประตูตรงหน้าส่งเสียงเสียดสีพร้อมกับเผยฉากด้านใน


เป็นห้องโถงที่ปูด้วยพนมหนานุ่ม มีเครื่องเรือนไม่มาก ค่อนข้างว่างเปล่า


ใจกลางห้องโถงมีโต๊ะไพ่ที่เล่นได้มากกว่าสิบคน รายล้อมด้วยเก้าอี้พนักสูงหรูหรา


รอบๆ ห้องโถงเต็มไปด้วยเครื่องครัวทองคำ รูปปั้นหินอ่อน โต๊ะกาแฟพร้อมมุมหนังสือพิมพ์และชุดโซฟาหนัง


ไคลน์มองเข้าไป พบอมิรุส·รีเวลต์นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน นายพลรายนี้เปลี่ยนไปไม่มาก ผมสีดำขลับถูกหวีเรียบ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มลุ่มลึก มุมปากหย่อนคล้อยเล็กน้อย ใบหน้าปราศจากเครา บรรยากาศรอบตัวขึงขังและหัวโบราณ สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มประดับอินทรธนู ประณีตบรรจงในทุกรายละเอียด มองผิวเผินก็ทราบทันทีว่าเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่ง


เมื่อกวาดสายตา ไคลน์ได้พบกับอีกหนึ่ง ‘คนรู้จัก’


คิ้วดกหนาแต่ถูกตัดแต่งอย่างดี ผมสั้นเกรียนสีเดียวกัน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ สันจมูกสูงประหนึ่งภูเขา มีเคราขนาดใหญ่รอบปาก โครงหน้าชัดลึก ใบหน้ายาว


รองผู้อำนวยการ MI9 โจนาส·โคลเกอร์!


มันคือหนึ่งในเป้าหมายที่ไคลน์กลับมายังเบ็คลันด์ ตัวกลางระหว่างนักค้ามนุษย์และนิกายแม่มดกับขั้วอำนาจหนึ่งของราชวงศ์ หนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์!


รองผู้อำนวยการรายนี้มีไหล่กว้างกว่าปรกติ ส่งผลให้เสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำดูตึงแน่น กำลังเล่นไพ่เท็กซัสโปเกอร์อย่างตั้งใจ


มีครึ่งเทพสองตน… สามตน… กำลังจะเล่นไพ่บนโต๊ะตัวเดียวกัน? ชักน่าสนใจ… ไคลน์หาที่นั่งพลางสังเกตคนอื่นๆ รอบโต๊ะ


ระหว่างนี้ บริกรนำชิปก้อนใหญ่มาวาง มูลค่ารวมทั้งสิ้นหนึ่งพันปอนด์


สองสามเกมแรก ไคลน์ทำเพียงดูไพ่และหมอบ ทำตัวระมัดระวัง ราวกับคนที่จะไม่ ‘คอล’ หรือ ‘เรส’ หากไม่มีไพ่ที่ดี


สไตล์การเล่นของนายพลอมิรุสแตกต่างจากชายหนุ่มโดยสิ้นเชิง ไม่อนุรักษนิยมเลยสักนิด เอาแต่ ‘คอล’ อย่างดุดันทุกรอบ บรรยากาศเป็นไปอย่างก้าวร้าว


ทุกเกมที่อมิรุสสู้ แทบไม่เคยจบด้วยการเปิดไพ่ครบ แต่คู่ต่อสู้มักยอมแพ้ไปก่อนเนื่องจากทนต่อแรงกดดันไม่ไหว มีคนพยายามทำลายการบลัฟของอมิรุส·รีเวลต์ แต่ผู้โชคร้ายคนดังกล่าวก็ต้องเผชิญหน้ากับ ‘เก้าโฟร์การ์ด’ ส่งผลให้ใบหน้าของมันซีดเผือด ราวกับถูกตัดสินโทษประหารชีวิต


โจนาส·โคลเกอร์จะเป็นอีกสไตล์หนึ่ง มันเสียไพ่บ้างเป็นบางคราว แต่จำนวนการเสียไม่มากในแต่ละครั้ง นอกจากนั้น ในรอบถัดมา มันจะเอาชนะคนที่เคยล้มมันในรอบก่อนหน้า ทำให้อีกฝ่ายเสียเงินก้อนใหญ่และต้องไปซื้อชิปเพิ่ม


ต้องทำถึงขั้นนี้เลย? คู่แข่งเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับกลางถึงล่าง รวมถึงคนธรรมดา ทำไมต้องโกงไพ่ด้วยพลังครึ่งเทพ? คนอื่นอาจดูไม่ออก แต่อย่างเราจะพลาดได้ยังไง? คนหนึ่งใช้พลังข่มขวัญที่ทรงพลังของเส้นทางผู้ตัดสิน ส่วนอีกหนึ่งใช้พลัง ‘ติดสินบน’ ของบารอนแห่งการเน่าเปื่อย… ไคลน์มองไพ่ห้าโพธิ์แดงและเก้าข้าวหลามตัดของตน ส่ายหัวเล็กๆ


มันอดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนว่า สำหรับเส้นทางนักทำนาย พลังใดเหมาะแก่การโกงบ้าง


เปลี่ยนคู่แข่งทั้งหมดให้กลายเป็นหุ่นเชิด หลังจากนั้นจะชนะอีกกี่รอบก็ได้ ไม่มีทางแพ้… แต่นั่นไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ เราไม่ได้อยากเล่นโปเกอร์มรณะสักหน่อย…


น่าเสียดาย ที่นี่ไม่มียุง ไม่อย่างนั้นเราคงเชิดยุ่งให้ช่วยแอบดูไพ่ชาวบ้าน…


ผู้ไร้หน้าทำได้แค่เปลี่ยนหน้าคน ไม่ใช่หน้าไพ่…


พลังภาพลวงตาของนักมายากล… ถ้าแข่งกับคนทั่วไปหรือผู้วิเศษลำดับไม่เกินกลางก็คงได้ แต่ที่นี่มีครึ่งเทพถึงสองคน


ใช้ความชำนาญมือของตัวตลกตุกติกไพ่? เปล่าประโยชน์ ไพ่ทั้งหมดถูกสับและตัดโดยพนักงาน


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พบว่ามีเพียงพลังทำนายเท่านั้นที่พอจะช่วยได้


มันวางไพ่สองใบลง เป็นนัยว่าคว่ำ จากนั้นก็หยิบชิปโลหะขึ้นมาควงรอบนิ้ว


ทันใดนั้น อมิรุส·รีเวลต์พลันเงยหน้า เพ่งสายตามาที่ชิปโลหะในมือ


อย่างที่คิด… ไคลน์พยักหน้าในใจโดยที่ข้างนอกยังเรียบเฉย


จากความร่วมมือในคราวก่อน มันทราบว่าพลเรือเอกอมิรุสสามารถจำแนกผู้วิเศษได้จาก ‘ตำแหน่ง’ นอกจากนั้น ไคลน์ยังสงสัยว่าอีกฝ่ายสามารถประเมินพลังของเป้าหมายได้เช่นกัน หรือในที่นี้หมายถึง ‘ตำแหน่ง’


อย่างไรก็ตาม ไคลน์มิได้กังวลมากนัก เพราะจอมเวทพิสดารมีคุณสมบัติในการ ‘ปกปิด’ ระดับหนึ่ง และนั่นคือเหตุผลที่สามารถอำพรางออร่าของสายหมอกได้หลังจากลำดับ 4 เป็นต้นไป เมื่อผนวกทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไคลน์เชื่อว่าอมิรุสไม่มีทางคาดเดาลำดับของตนได้ถูกต้อง แต่อย่างน้อยอาจทราบเรื่องที่ตนเป็นผู้วิเศษ


ดังนั้น มันตัดสินใจลองหยั่งเชิงด้วยการทำตัวมีปัญหาเล็กๆ ให้ทางนั้นสัมผัสถึงง่ายๆ เพื่อที่จะได้ทดสอบอะไรบางอย่าง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)