Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 987-990

ราชันเร้นลับ 987 : “ล้างสต๊อก”

 

ทักทายกันเสร็จ จัสติสออเดรย์เหลือบมองไพ่เย้ยเทพสามใบด้านข้างเดอะฟูล ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เธอลืมรวบรวมไดอารีโรซายล์จากสมาคมแปรจิต


มัวแต่กังวลเรื่องของเฮอร์วิน·แรมบิส… ออเดรย์ที่เริ่มปรับความคิด กลับมาหดหู่อีกครั้ง


พร้อมกันนั้น ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาชำเลืองไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว ก้มหน้าลงและกล่าว


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ สัปดาห์นี้ก็ยังไม่ได้รับไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์”


ราชินีเงื่อนงำไม่ส่งไดอารีสองสัปดาห์ติดๆ … มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเธอ? ‘เดอะฟูล’ ไคลน์กำลังนั่งผ่อนคลายบนเก้าอี้พนักสูง รู้สึกสับสนเล็กน้อย มิอาจหาข้อมูลมาคาดเดา


แต่เพียงไม่นานก็ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว เพราะมาดามเฮอร์มิทมิได้แสดงท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย!


พิจารณานิสัย ‘ติดแม่’ ที่พลเรือเอกดวงดาวแสดงให้เห็นในโลกความฝันของซากสมรภูมิเทพ หากราชินีเงื่อนงำไม่ตอบสนองนานถึงสองสัปดาห์ ไม่มีทางที่เธอจะเยือกเย็นได้เช่นนี้ บางทีอาจถึงขั้นขอความช่วยเหลือจากเดอะฟูล… กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอยังสามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ไม่มีไดอารีจักรพรรดิโรซายล์… ‘เดอะฟูล’ ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา ตอบแคทลียาเสียงเย็น


“ไม่เป็นไร”


กล่าวจบ มันขบคิดบางสิ่ง พยายามวิเคราะห์หาจุดประสงค์ของราชินีเงื่อนงำ


อันดับแรก ไคลน์ตัดเรื่องที่ไดอารีในมือแบร์นาแดตหมดแล้วออกไป เพราะถ้าประเมินจากความถี่ในการเขียนไดอารีของจักรพรรดิตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้าย น่าจะรวบรวมเป็นหนังสือได้ราวสิบเล่ม และต่อให้แบร์นาแดตมีเพียงหนึ่งในสาม หรือสองสามเล่ม หมายความว่าเธอยังเหลือไดอารีให้ไคลน์อีกหลายหน้า เพราะที่ผ่านๆ มาเป็นเพียงไดอารีส่วนน้อยซึ่งอันแน่นไปด้วยข้อมูลสำคัญ


ประการที่สอง ไคลน์ไม่เชื่อว่าราชินีเงื่อนงำจะตีความคำตอบของตนได้กระจ่างชัด


และสุดท้าย มันมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่สามารถถอดรหัสไดอารีออก เพราะเธอไม่เข้าใจภาษาจีน จักรพรรดิโรซายล์ไม่เคยสอน อาจมีเพียงให้จำแค่ตัวอักษรสองสามตัว


เมื่อนำทั้งสามข้อมารวมกัน มันสงสัยว่าไดอารีชุดถัดไปที่แบร์นาแดตจะนำมาให้จะต้องมีระดับความสำคัญสูงมาก เป็นประเภทที่บ่งชี้ไปยังความลับระดับโลก และคำถามจะต้องเป็นประเภทที่ว่า แม้แต่คนถามก็ยังไม่แน่ใจว่าตนอยากทราบคำตอบหรือไม่ ดังนั้น ราชินีเงื่อนงำจึงกำลังลังเลและคิดไม่ตก!


คงไม่หนีจากนี้มากนัก… ชักอยากรู้แล้วว่าจักรพรรดิเขียนอะไรลงไป และแบร์นาแดตใช้สิ่งใดเป็นเครื่องบ่งชี้คุณค่าของไดอารี… เราต้องไม่ลืมฝากบอกมาดามเฮอร์มิทเกี่ยวกับการขอนัดพบ… ขณะ ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์หันไปมองทาง ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ด


“ขอแสดงความเสียใจ แต่ผมไม่พบสมบัติวิเศษที่ตรงตามความต้องการของคุณ”


“ไม่เป็นไรครับ นั่นเป็นเรื่องปรกติ สมบัติวิเศษของลำดับ 5 และ 6 ค่อนข้างหายาก” เลียวนาร์ดพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ


เดิมที มันพยายามนั่งหลังตรงอย่างประหม่า แต่เมื่อเห็นว่าเดอะมูนและเมจิกเชี่ยนก็มิได้นั่งเรียบร้อยอะไร จึงผ่อนคลายตัวเองลง


เห็นเช่นนั้น ไคลน์บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เปล่งเสียงแหบ


“ผมมีสมบัติวิเศษ พลังของมันสอดคล้องกับความต้องการของคุณ เพียงแต่ผลข้างเคียงค่อนข้างมากและหลีกเลี่ยงได้ยาก สนใจฟังไหม?”


มันกำลังหมายถึงไม้เท้าวาจาสมุทร


ไคลน์ไม่เคยคิดจะขายสมบัติวิเศษที่เกือบจะกลายเป็นสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้กับเลียวนาร์ด เพราะมันเชื่อว่าเพื่อนรักนักกวีของตนมิอาจต้านทานผลข้างเคียงด้านลบได้แน่ ไม้เท้าอันนี้จะคอยร้องเพลงที่ทำลายประสาทโดยไม่แยกแยะมิตรหรือศัตรู ชอบทุบตีผู้ถือ ชอบทำให้สะดุดล้ม แถมยังล่อฟ้าผ่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลีกเลี่ยงอย่างสมบูรณ์ การที่ไคลน์สามารถใช้งานได้ เพราะมันสั่งสอนบนมิติหมอก แถมยังใช้คนถือเป็นหุ่นเชิด ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แถมยังสามารถทำให้ข้อด้อยบางเรื่องกลายเป็นประโยชน์


แต่หลังจากพิจารณาว่า ในตัวเลียวนาร์ดมีปรสิตเทวทูตลำดับ 1 ของเส้นทางนักจารกรรมสิงอยู่ ไคลน์คิดว่าอีกฝ่ายอาจหาวิธีแก้ปัญหาได้ จึงตัดสินใจลองเสนอ


“ตกลง เล่ามาเลย” เลียวนาร์ดเชื่อว่าไคลน์ไม่คิดเอาเปรียบตน จึงยินดีที่จะฟังสถานการณ์


‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ชำเลืองไปทางแฮงแมนเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเชื่องช้า


“ไม้เท้าอันนี้สามารถยิงสายฟ้าใส่เป้าหมาย…”


มันบรรยายพลังและผลข้างเคียงของไม้เท้าวาจาสมุทรอย่างคร่าว เลียวนาร์ดที่ได้ยินพลันใจเต้นแรง แต่ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้ว


สามารถใช้เป็นไม้กายาสิทธิ์ที่พาเราบินไปในอากาศ… ต่อให้เป็นลำดับ 5 จอมอาคมวิญญาณ แต่เราก็ต้องรวบรวมวิญญาณที่เหมาะสมจึงจะมีพลังในการบิน… พลังโจมตีสูงมาก ประโยชน์ก็ยังหลากหลาย… แต่ผลกระทบด้านลบทั้งสามข้อก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน… คงต้องกลับไปถามตาแก่ว่า พอจะมีวิธีบรรเทาผลข้างเคียงลงบ้างไหม… เลียวนาร์ดคิดสักพักก่อนจะตอบ


“ขอคิดดูก่อน ให้คำตอบสัปดาห์หน้าได้ไหม?”


“ตกลง” ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบด้วยสีหน้าไม่ประหลาดใจ


สำหรับสมาชิกคนอื่น แม้ในตอนต้นจะสนใจ แต่เมื่อได้ยินผลข้างเคียงของวาจาสมุทร พวกมันทยอยยกธงขาวไปทีละคน


ทันใดนั้น ‘เดอะฟูล’ ไคลน์พลันผุดแนวคิดใหม่ นั่นคือการถือโอกาส ‘ล้างสต๊อก’


ปัจจุบัน มันกลายเป็นลำดับ 4 สิ่งมีชีวิตครึ่งเทพ สมบัติหลายๆ ชิ้นไม่มีประโยชน์อีกต่อไป


ยุบพองหิวโหยต้องเก็บไว้ก่อน ลำดับพลังท่องเที่ยวอย่างเดียวก็มีประโยชน์มากแล้ว… นอกจากนั้น เรายังสามารถใช้มัน ‘ต้อนแกะ’ วิญญาณนักบุญลำดับ 4 ได้ด้วย มีศักยภาพในการพัฒนา แถมความสามารถเดิมก็ผสมผสานได้ไม่เลว… ปืนลูกโม่ลางมรณะไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ถ้ายิงด้วยโหมดโจมตีหนักหน่วงใส่จุดอ่อนเป้าหมาย ความรุนแรงก็ยังสูงกว่าปืนใหญ่อัดอากาศ สามารถใช้ต่อไประหว่างที่ยังอยู่ในลำดับ 4… อา… และมันก็สามารถพัฒนาได้… วัตถุสองชิ้นแรกที่แล่นเข้ามาในหัวไคลน์คือสิ่งที่มันพึ่งพามากที่สุดในระยะหลัง


ตามความเห็นของมัน ปืนลูกโม่ลางมรณะสามารถพัฒนาได้ด้วยการบรรจุกระสุนที่ทรงพลัง แต่ปัญหาก็คือ กระสุนประเภทดังกล่าวหาได้ไม่ง่าย เทียบได้กับยันต์ขั้นสูง แม้จะรวบรวมวัสดุด้วยตัวเอง แต่ก็ใช้ว่าจะประสบความสำเร็จในการสวดวิงวอนถึงตัวตนระดับสูง แถมยังอาจเกิดผลข้างเคียง


สำหรับประเด็นนี้ ไคลน์คิดไว้เบื้องต้นหลายแผน เช่นการสวดวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาล ขอความช่วยเหลือจาก ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน ขอความช่วยเหลือจากพาลีส·โซโรอาสเตอร์ผ่านเลียวนาร์ด หยิบยืมพลังของมิติเหนือสายหมอก นอกจากนั้นยังมี ให้เลียวนาร์ดหาข้ออ้างกลับไปยังเหยี่ยวราตรีทิงเก็น ยืมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่กลายพันธุ์มาใช้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นการยืมหยดเลือดของสุริยันเจิดจรัสจากสมบัติปิดผนึก ‘3-0782’


กระสุนเพลิงสุริยันจะกลายเป็นของแสลงของวิญญาณมารแน่นอน… เมื่อพิจารณาว่า พลังของมิติหมอกสามารถสร้างยันต์โจรปล้นดวงจากหนอนกาลเวลาของอามุนด์ หนอนวิญญาณของเราก็น่าจะนำไปสร้างกระสุนวิเศษได้เช่นกัน… แต่ทำยังไง? คงต้องตามพาลีส·โซโรอาสเตอร์… ไคลน์อดทนรอการพูดคุยระหว่างตนกับเลียวนาร์ดในครั้งถัดไป


หนอนวิญญาณ – นี่คือชื่อที่มันมอบให้หนอนแมลงโปร่งใสของตัวเอง


หลังจากนั้น มันหันไปพิจารณาวัตถุและตะกอนพลังอื่นๆ


เข็มกลัดสุริยัน? เราไม่ค่อยมีพลังพิเศษในขอบเขตนี้… ถึงสิ่งมีชีวิตวิญญาณจะถูกจัดการได้ง่ายด้วยการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ แต่อย่างน้อย เราสามารถใช้เข็มกลัดสุริยันทำให้เทวทูตกระดาษเปลี่ยนคุณสมบัติ แถมยังต้องเก็บไว้ให้เดนิสใช้งานเป็นครั้งคราว…


แหวนบุปผาโลหิต? นี่ก็ขายไม่ได้… ชุมนุมทาโรต์ไม่มีคนของชุมนุมแสงเหนือเข้าร่วมสักหน่อย… เก็บไว้ให้หุ่นเชิดใช้งานดีกว่า การมีชีวิตเพิ่มอีกหนึ่ง นั่นอาจหมายถึงความหวัง…


แหวนดอกไม้เขียว? ชิ้นนี้ขายได้ เพราะเราสามารถโอนถ่ายอาการป่วยได้แล้ว นอกจากนั้น ในยุบพองหิวโหยก็ยังมีวิญญาณของ ‘แพทย์’


กระดุมข้อมือเมอร์ล็อค? ไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว หากต้องการดำน้ำ ก็แค่แปลงกายเป็นปลาตัวใหญ่ หรือถ้าต้องการใช้พลังระยะยาว เราสามารถส่งตัวเองขึ้นมาบนมิติหมอกและใช้พรจากคทาเทพสมุทร


นิ้วขาด? เราไม่คิดว่าจะมีใครอยากได้ นอกจากนั้น เรายังไม่ทราบจุดประสงค์ที่ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมรายนั้นหมกตัวอยู่ในท่อระบายน้ำ เก็บไว้ก่อนอาจมีประโยชน์


กระสุนพิเศษ… ตอนนี้มีกระสุนชำระล้างหนึ่งนัด ปราบมารหกนัด และปัดเป่าอีกสองนัด… ไม่มีความจำเป็นต้องขาย เดียวก็หาโอกาสใช้ได้เอง…


ขวดพิษชีวภาพ? เฮ้อ… ขายไม่ออกสักที


ออร่าของผู้ละเมอ? เราสามารถใช้มันสร้างยันต์หรือกระสุนได้ ตอนนี้อย่าเพิ่งขายดีกว่า… แต่ปัญหาก็คือ เราสามารถสวดวิงวอนถึงด้านมืดเอกภพได้หรือ? เก็บไว้ก่อน ค่อยหาทางออกในอนาคต


ตะกอนพลังนักสอบปากคำ… ตะกอนพลังคนบ้า… เลือดของนักล่าพันหน้าจำนวนสิบห้ามิลลิลิตร… ละอองผงของหัวขโมยโลกวิญญาณสี่สิบกรัม… ดวงตาการ์กอยล์หกปีก… สมาชิกชุมนุมทาโรต์คงไม่ต้องการสิ่งของเหล่านี้ เราควรเก็บไว้เป็นรางวัลให้เหล่าสาวกของเทพสมุทร กลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์รีบตัดสินใจ


สำหรับคทาเทพสมุทร การเดินทางของกรอซาย และกุญแจวังราชาคนยักษ์ สิ่งเหล่านี้มีระดับไม่ต่ำกว่าครึ่งเทพ ไม่มีทางขายแน่นอน


จากนั้น มันบังคับให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์กล่าว


“ผมมีสมบัติวิเศษต้องการขายสองชิ้น ลำดับค่อนข้างต่ำ…”


แคทลียาตอบทันที


“ลำดับต่ำไม่ได้แปลว่าไร้ค่า ต่อให้เป็นความสามารถในลำดับต่ำ แต่ถ้าใช้อย่างเหมาะสมก็สามารถพลิกสถานการณ์ระหว่างการต่อสู้ของผู้วิเศษไม่เกินลำดับ 5 ได้… ดิฉันอยากได้ยินรายละเอียด”


ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย อธิบายพลังและข้อเสียของกระดุมข้อมือเมอร์ล็อคกับแหวนดอกไม้เขียว จากนั้นก็ปิดท้ายว่า


“กระดุมข้อมือเมอร์ล็อคห้าร้อยปอนด์ แหวนดอกไม้เขียวหนึ่งพันปอนด์”


ทันทีที่สิ้นเสียง จัสติสออเดรย์ยกมือครึ่งหนึ่ง


“ดิฉันต้องการซื้อกระดุมข้อมือเมอร์ล็อค”


ใจจริง เธออยากพูดออกไปว่า ‘ฉันเหมา!’ เพราะท้ายที่สุด ผลข้างเคียงของสมบัติวิเศษทั้งสองชนิดนับว่าน้อยมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงผู้อื่น ออเดรย์ตัดสินใจสำรวมและเลือกกระดุมข้อมือ


สมบัติวิเศษชิ้นนี้สามารถสร้างเกล็ดมายา ช่วยให้ผู้ชมที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอมีปราการป้องกันตัวเองเพิ่มอีกหนึ่ง และเหนือสิ่งอื่นใด เธอว่ายน้ำไม่เป็นอยู่แล้ว กระดุมข้อมือจึงนับเป็นการชดเชยจุดบอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผลข้างเคียงที่ว่า จะเกิดอาการอ่อนเพลียเมื่ออากาศร้อนและแห้ง เธอไม่กังวลมากนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกหรือเบ็คลันด์ อากาศก็แทบไม่สูงกว่าสามสิบองศาเซลเซียส ระดับความชื้นก็ค่อนข้างสูงเช่นกัน


เมื่อเห็นว่ามิสจัสติสเล็งกระดุมข้อมือ สมาชิกคนอื่นถอนตัวทันที ไม่มีใครคิดสู้ราคา เพียงไม่นานก็ปิดการขาย


หลังจากนั้น ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ขอซื้อแหวนดอกไม้เขียว เพราะสำหรับมัน แม้ว่าพลังในขอบเขตน้ำจะส่วนเกี่ยวข้องกับการรักษาฟื้นฟู แต่ประสิทธิภาพก็ไม่สูงเท่าพลังรักษาโดยตรง ในฐานะผู้วิเศษที่ต้องคอยต่อสู้ในระยะประชิด สิ่งนี้นับว่ามีประโยชน์


สำหรับข้อเสียที่ว่า จะถูกยุงรุมตอมได้ง่าย อัลเจอร์แทบไม่ใส่ใจ เกราะมันสามารถเสกเกล็ดมายาขึ้นมาปกป้องร่างกาย


หลังจากช่วงเวลาค้าขายจบลง ‘เดอะมูน’ เอ็มลินกระแอมในลำคอและกล่าว

 

 

 


ราชันเร้นลับ 988 : ปฏิบัติการร่วม

 

‘เดอะมูน’ เอ็มลินประสานมือโดยไม่รู้ตัว เชิดคางขึ้นเล็กน้อย หันไปมองหน้ามิสเมจิกเชี่ยนในแนวทแยงพร้อมกับกล่าว


“ข้ายืนยันแล้วว่า ปราสาทร้างที่อยู่กลางป่าเดแลร์เป็นบททดสอบที่ผีดูดเลือดมอบให้ข้า ที่นั่นมีเพื่อปกปิดสถานการณ์บางอย่าง”


กล่าวจบ คล้ายกับมันยกหินออกจากอก มิได้กระอักกระอ่วนและรู้สึกผิดเหมือนคราวก่อน


มันถือโอกาสมองไปยังแฮงแมนและเฮอร์มิทรอบๆ ทั้งสองทำสีหน้าปรกติคล้ายกับคาดเดาได้


จากที่เห็น พวกเขาคงค้นพบความผิดปรกติหลังจากได้ยินสิ่งที่มิสเมจิกเชี่ยนเล่า… เอ็มลินพยักหน้าเล็กๆ รีบเสริมก่อนที่ฟอร์สจะได้กล่าวคำใด


“ข้าเสียใจจริงๆ … จะยกเงินจำนวนสามร้อยปอนด์ค่านายหน้าให้ และแถมให้อีกสามร้อยปอนด์… นอกจากนั้น ข้าวางแผนจะลงโทษผีดูดเลือดที่จงใจแจ้งข้อมูลไม่ครบ”


แม้ว่ามิสเตอร์มูนจะเป็นคนหยิ่งทระนง แต่ก็จริงจังในการแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองมาก ไม่คิดจะปัดความรับผิดชอบแม้แต่น้อย… แต่ทางเราก็ได้คำสาปและละอองวิญญาณของวิญญาณอาฆาตโบราณมาครบแล้ว เรื่องราวจบลงด้วยดี ในเมื่อมิสเตอร์มูนไม่มีเจตนาทำร้ายเรากับซิล เขาก็ไม่จำเป็นต้องชดเชยมากเกินเหตุ… ฟอร์สจำคำแนะนำของซิลได้ กล่าวโดยไม่หันไปมองเพื่อสนิท


“ความผิดไม่ได้เกิดจากตัวคุณ ไม่จำเป็นต้องชดเชยเพิ่ม แค่เงินค่านายหน้าก็พอแล้ว”


กล่าวจบ เธอฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหัน: ในเมื่อข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทร้างเป็นบททดสอบจากผีดูดเลือด เช่นนั้นแล้ว เธอกับซิลจะถูกเฝ้าจับตามองโดยผีดูดเลือดด้วยไหม?


ในที่สุดฟอร์สก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจหัวไปมองด้านข้าง เห็นมิสจัดจ์เมนต์ส่ายหน้าเล็กน้อย บอกเป็นนัยว่ายังไม่ถูกใครสะกดรอยตาม


หมายความว่ายังไง… ฟอร์สประหลาดใจ ขบคิดไม่ออก


เธอพยายามทำสมาธิ นึกทบทวนเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนั้น


พวกเราใช้เวลาสำรวจนานเกินไป ผีดูดเลือดจึงหมดความอดทน?


เจ้าของโรงแรมในเมืองเล็กๆ คนนั้นรู้จักปราสาทร้าง… หรือว่าจะเป็นผีดูดเลือดปลอมตัวมา? ไม่เสมอไป ชาวเมืองทุกคนล้วนรู้เรื่องนี้ เพียงแต่ปราสาทหลังนั้นอยู่ไกลเกินไป และไม่มีสิ่งของมีค่าหลงเหลือ คงไม่มีใครคิดจะมุ่งหน้าไปทางนั้น เว้นเสียแต่จะเข้าป่าล่าสัตว์…


มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… ปราสาทร้างหลังนั้นอันตรายมาก ไม่มีทางที่คนเข้าไปหลบฝนเฉยๆ จะปลอดภัย แล้วทำไมชาวเมืองถึงอธิบายเพียงว่า ‘ค่อนข้างน่ากลัว’ ? อาจเป็นไปได้ว่า ผีดูดเลือดมักผนึกทางลงใต้ดินไว้ตลอดเวลา และเปิดออกเฉพาะในตอนที่มีการทดสอบ? หมายความว่ามีการจับตามองอยู่จริงๆ?


หืม… เป็นเพราะปราสาทหลังนั้นอันตรายเกินไป คนที่คอยจับตามองจึงซ่อนตัวอยู่ในป่ารอบนอก ไม่มีใครกล้าเข้าไปข้างใน? แต่เป็นเพราะเรากับซิลหลงทางเดินอ้อม ก็เลยไม่เจอพวกเขา?


‘มิสเตอร์ฟูล’ ไม่ได้ตักเตือน ไม่น่าจะเป็นปัญหาร้ายแรงนัก… กลับโลกแห่งความจริงเมื่อไร เราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น!


ขณะฟอร์สกำลังเค้นสมอง เอ็มลินครุ่นคิดและกล่าว


“…ตกลง”


มันไม่ยืนกรานจะคืนเงินเพิ่ม เพราะเชื่อว่าวิธีชดเชยที่ดีที่สุดก็คือ ลงโทษเออร์เนส·โบยาร์!


จากนั้น มันรอให้มิสเมจิกเชี่ยนเสนอว่าจะลงโทษอย่างไร และตั้งใจจะใช้โอกาสนี้เพื่อปรึกษาหารือกับสมาชิกคนอื่นในชุมนุมทาโรต์ ดูว่ามีความคิดที่น่าสนใจหรือไม่


‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สมองว่าเรื่องนี้เป็นความบาดหมางภายในตระกูลผีดูดเลือด ส่วนตนเป็นเพียงผู้เคราะห์ร้าย เมื่อเห็นว่ามิสเตอร์มูนไม่ได้เสนอแผนใด เธอจึงปิดปากเงียบ รอฟังข้อสรุปในตอนสุดท้ายทีเดียว


วังที่เหมือนกับถิ่นพำนักคนยักษ์เงียบลงกะทันหัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน


‘จัสติส’ ออเดรย์มองฝั่งตรงข้าม มองด้านข้าง เม้มปากเล็กน้อยและถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น


“มิสเตอร์มูน คุณจะลงโทษผีดูดเลือดตนนั้นอย่างไร?”


ฟู่ว… เอ็มลินถอนหายใจเงียบ ชำเลืองไปทางเดอะเวิร์ลโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะกล่าว


“เขาทำเรื่องนี้ภายใต้คำสั่งของเบื้องบน ข้าคิดว่าโทษไม่ควรรุนแรงถึงความตาย”


ความหมายโดยนัยก็คือ มิสเตอร์เวิร์ล เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่ง


เมื่อพบว่าเดอะเวิร์ลสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งไม่คัดค้าน มันหันไปที่อีกมุมหนึ่ง


“ข้าจะล่อลวงผีดูดเลือดตนนั้นมาที่วิหารแห่งหนึ่งของพระแม่ธรณีในกรุงเบ็คลันด์”


หลังจากเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์มานาน แม้เอ็มลินจะไม่ใช่คนที่ใส่ใจอะไรมาก แต่มันก็ทราบว่าการปกปิดสถานการณ์ของตัวเองคือสิ่งจำเป็น มันจึงมิได้เอ่ยชื่อวิหารฤดูเก็บเกี่ยวออกไป


ในกรุงเบ็คลันด์มีวิหารของพระแม่ธรณีเพียงแห่งเดียว นั่นคือวิหารฤดูเก็บเกี่ยว! ส่วนที่เหลือจะตั้งอยู่แถวชานเมืองและชนบท… ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดกลั้นขำ แหงนหน้ามองหลังคาโดมสูง


“คุณต้องการให้ผู้วิเศษของวิหารพระแม่ธรณีชำระล้างผีดูดเลือดตนนั้น?” ฟอร์สโพล่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ


สำหรับเธอ นี่ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าทิ้ง!


“เอ่อ…” เอ็มลินกระอักกระอ่วน ตอบไม่ถูกไปสักพัก


ทันใดนั้น ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาพูดแทรก


“โบสถ์พระแม่ธรณีชอบที่จะเปลี่ยนให้ผีดูดเลือดมานับถือศาสนาของตน จากนั้นก็ให้ทำงานรับใช้ในฐานะบิชอปหรือนักบวช”


แบบนี้นี่เอง… ‘จัสติส’ ออเดรย์แอบชำเลืองไปทางเดอะมูนฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าครุ่นคิด


หากเปลี่ยนให้ผีดูดเลือดตนนั้นกลายเป็นนักบวช อีกฝ่ายต้องเดินทางไปสวดมนต์ที่วิหารทุกวัน กลายเป็นอาสาสมัครที่ถูกชะล้างจิตใจ… ต้องตกอยู่ในกิจวัตรเช่นนี้เป็นเวลานาน… แผนลงโทษของมิสเตอร์มูนร้ายกาจมาก… แต่เราชอบ! ผีดูดเลือดตนนั้นเกือบทำเราให้และซิลถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นวิญญาณอาฆาตโบราณ… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเริ่มถามอย่างสนใจ


“มิสเตอร์มูน แล้วคุณคิดจะล่อลวงผีดูดเลือดตนนั้นมายังวิหารพระแม่ธรณีด้วยวิธีใด? วางแผนไว้บ้างหรือยัง? บางทีพวกเราอาจให้ความช่วยเหลือได้… แล้วก็ คุณต้องระวังอย่าให้ตัวเองหลงเข้าไปในวิหารดังกล่าวแทน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ทางรอดเดียวคงต้องสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล”


แต่นี่อาจเป็นสิ่งที่มิสเตอร์ฟูลต้องการก็ได้ จะได้มีคนของชุมนุมทาโรต์แทรกซึมเข้าไปในโบสถ์พระแม่ธรณี… หลังจากกล่าวจบ ฟอร์สรำพันในใจ


ได้ยินเช่นนั้น ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดเกือบหลุดขำ เพราะมันมั่นใจแล้วว่า ‘เดอะมูน’ ไม่ใช่ใครนอกจากเอ็มลิน·ไวท์แห่งวิหารฤดูเก็บเกี่ยว และอีกฝ่ายกลายเป็นนักบวชของพระแม่ธรณีเรียบร้อยแล้ว!


เหมือนกับคนที่กำลังจมน้ำ พยายามลากคนอื่นลงไปด้วย… เลียวนาร์ดกลั้นยิ้ม พลางหันไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ พบว่าอดีตเพื่อนร่วมงานของตนยังคงไม่มีท่าทีตอบสนอง สุขุมเยือกเย็นผิดคาด


นั่นทำให้มันอดคิดไม่ได้ว่า:


นี่คือพลังหน้าตายของตัวตลก หรือว่าไคลน์เคยชินกับสถานการณ์ไปแล้ว?


ณ สุดขอบโต๊ะทองแดงยาวในตำแหน่งประธาน ‘เดอะฟูล’ ไคลน์เกือบเผลอเลื่อนมือขึ้นมาปิดปาก


มันคิดไม่ถึงว่าเอ็มลินจะมีไอเดียบรรเจิดขนาดนี้!


ฟังดูเหมือนกับแชร์ลูกโซ่… คนในพยายามลากคนนอกเข้าไปเป็นพวก… ไม่สิ แตกต่างกันเล็กน้อย… ในกรณีนี้ เอ็มลินรู้อยู่แก่ใจว่านี่คือการลงโทษ… ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ รอคอยการเปลี่ยนแปลงด้วยใจจดจ่อ


ในการรักษาอาการทางจิตครั้งล่าสุด มิสจัสติสแนะนำว่าอย่าสวมหน้ากากมากเกินไป ไคลน์ยังไม่ลืมและพยายามทำทุกครั้งที่มีโอกาส


เอ็มลินที่ได้ยินคำห่วงใยจากมิสเมจิกเชี่ยน ภาษากายของมันเผยความกระอักกระอ่วนทันที เพราะตนยังต้องคอยเดินทางไปวิหารพระแม่ธรณีทุกวัน วันละสองสามหน เลิกคิดถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ไปได้เลย


มันกระแอมแห้งและกล่าว


“ตอนนี้ยังไม่มีแผนการที่ชัดเจน ข้าต้องการฟังความเห็นและคำแนะนำจากทุกคนก่อน… เอ่อ… หวังว่าจะไม่มีการปะทะที่รุนแรงเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นคงจากที่จะควบคุมสถานการณ์ และข้าเองก็ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนตรงๆ … มิสเมจิกเชี่ยน เจ้าจะให้ความร่วมมือด้วยก็ได้ แต่พวกเราห้ามพบหน้ากันโดยเด็ดขาด”


การที่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน ไม่ใช่เพราะเอ็มลินกลัวว่าเออร์เนส·โบยาร์และญาติพี่น้องตนอื่นจะรู้ว่าเป็นฝีมือของตน เพราะท้ายที่สุด นี่เป็นเพียงการสั่งสอนและมอบบทเรียน อีกฝ่ายจะรู้ตัวคนทำก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพียงแต่ว่า การไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้เลยจะถือว่าดีที่สุด


‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สอืมในลำคอ จากนั้นก็เลียนแบบคำแนะนำจากผู้มากประสบการณ์ภายในชุมนุม


“ก่อนอื่น คุณต้องบอกก่อนว่า ผีดูดเลือดตนนั้นลำดับเท่าไร ชำนาญสิ่งใด”


‘เดอะมูน’ เอ็มลินตอบทันทีราวกับเตรียมไว้แล้ว


“เทียบเท่าลำดับ 5 ประสบการณ์ต่อสู้พอตัว ชำนาญการสร้างอิทธิพลแบบเดียวกันพระจันทร์เต็มดวง…”


อิทธิพลแบบเดียวกับพระจันทร์เต็มดวง? ฟอร์สตกตะลึงสักพัก อ้าปากค้าง แต่มิได้กล่าวคำใด


รอจนกระทั่งเอ็มลินอธิบายจบ เธอยิ้มและพูด


“ฉันเพิ่งนึกออกว่า พักนี้อาจมีธุระด่วน อาจไม่สะดวกที่จะเข้าร่วม”


หากตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายพระจันทร์เต็มดวง เธอจะได้ยินเสียงเพรียกจากมิสเตอร์ประตู!


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอจะเป็นได้แค่ก้อนภาระ หมดสิทธิ์ต่อสู้โดยสิ้นเชิง!


เอ็มลินขมวดคิ้วเล็กน้อย งุนงงกับท่าทีกลับกลอกของเมจิกเชี่ยน


ในเวลาเดียวกัน ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลที่ฟังเงียบๆ มาตลอด เป็นฝ่ายเปิดปากพูด


“ฉันเข้าร่วมได้… ถ้ามีส่วนแบ่งที่เหมาะสม”


น้ำเสียงของมิสจัดจ์เมนต์ฟังดูขึงขัง คล้ายกับเธอต้องการแก้แค้น… เอ็มลินพึมพำกับตัวเอง แอบชำเลืองไปทางแฮงแมนและเฮอร์มิท พบว่าทั้งสองไม่มีคำแนะนำเพิ่มเติม คล้ายกับปล่อยให้สมาชิกที่อยู่ในกรุงเบ็คลันด์คุยกันเองไปก่อน


เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวกับเพื่อนของเธอโดยตรง และยังเป็นภารกิจแรกที่ชุมนุมทาโรต์มีร่วมกัน ออเดรย์จึงค่อนข้างให้ความสนใจ หลังจากเฝ้าสังเกตสักพัก เธอไตร่ตรองและกล่าว


“ดิฉันอาจสะกดจิตเขาได้… ชักนำให้อีกฝ่ายเข้าไปในวิหารพระแม่ธรณี… แต่ถ้าไม่อยากเปิดเผยตัวตนและอยากให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง ก่อนที่ฉันจะสะกดจิตเขา คุณต้องทำให้เหยื่อตกอยู่ในสภาพเหม่อลอยหรือกึ่งรู้สึกตัว… มิสเตอร์มูน คุณพอจะทำได้ไหม?”


ขณะเอ็มลินกำลังนึกทบทวนพลังของตนและสมบัติวิเศษที่ครอบครอง ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดด้านข้างโพล่งขึ้นทันที


“ของกล้วยๆ … แต่บอกไว้ก่อน หน้าที่ของผมมีแค่ทำให้ผีดูดเลือดตนนั้นหมดสติ… แน่นอน กุญแจสำคัญคือข้อมูล พวกเราต้องวางแผนจากข้อมูลของอีกฝ่าย”


ทันทีที่สิ้นเสียง ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลพยักหน้ารับและกล่าว


“ดิฉันชำนาญการสืบสวนและสะกดรอย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ทางนี้ได้เลย… อา… ก่อนอื่น มิสเตอร์มูน ช่วยบอกชื่อของผีดูดเลือดตนนั้น รวมถึงที่อยู่และรูปลักษณ์”


“ตกลง” เอ็มลินถอนหายใจโล่งอก กล่าวด้วยสีหน้ามึนงงเล็กๆ “แล้วข้าต้องทำอะไร? นอกจากนั้น พวกเจ้าต้องการค่าตอบแทนแบบไหน?”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 989 : ‘อาจารย์’ อัลเจอร์

 

หลังจากได้ยินคำถามจากเดอะมูน สมาชิกของชุมนุมทาโรต์ต่างเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตัวละครหลักในการลงโทษผีดูดเลือดคราวนี้ยังไม่มีงานให้ทำ!


จากแผนเมื่อครู่ สิ่งที่มันต้องทำมีเพียงการระบุชื่อของเป้าหมาย ที่อยู่ และรูปลักษณ์ จากนั้นก็นั่งรอผลลัพธ์ – มิสจัดจ์เมนต์มีหน้าที่สะกดรอยและสืบข้อมูล ค้นหาพฤติกรรมร่วมของเป้าหมาย ส่วนมิสจัสติสและมิสเตอร์สตาร์คอยประเมินสถานที่ลงมือจากข้อมูล จากนั้น เมื่อสบโอกาส มิสเตอร์สตาร์จะทำให้เป้าหมายหมดสติไปสักพัก ส่วนมิสจัสติสจะสะกดจิตให้เหยื่อเดินทางไปยังตำแหน่งที่กำหนดไว้


จากขั้นตอนทั้งหมด มิสเตอร์มูนไม่มีส่วนร่วมแม้แต่น้อย!


อึก… ‘จัสติส’ ออเดรย์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าว


“มิสเตอร์มูน หน้าที่ของคุณคือการยืนยันให้แน่ใจว่าเป้าหมายที่ถูกสะกดจิต เดินทางไปยังจุดหมายอย่างราบรื่น ไม่เกิดอุบัติเหตุหรือถูกช่วยเหลือไปเสียก่อน”


กล่าวถึงตรงนี้ ออเดรย์พบปัญหาเพิ่ม จึงรีบเสริม


“แต่ถ้าผีดูดเลือดตนนั้นเกลียดชังโบสถ์พระแม่ธรณีเป็นทุนเดิม พลังการสะกดจิตจะไม่ส่งผลเท่าที่ควร ดังนั้น หากเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง ดิฉันอยากเปลี่ยนวิธีสะกดจิต เป็นการฝังการชี้นำใจว่าเขากำลังไล่ล่าใครบางคนที่ตนเกลียดชัง จนกระทั่งไปถึงวิหารโดยไม่รู้ตัว… อา… คุณช่วยเป็นเป้าของความเกลียดชังได้ไหม? เพราะคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเหยื่อล่อ สามารถรักษาระยะห่างและไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกจับ”


“…ไม่มีปัญหา” เอ็มลินกึ่งลังเลกึ่งเห็นด้วย


แม้ดยุคโอลเมอร์จะขจัดมลพิษทางจิตของตะกอนพลังแวมไพร์เทียมลำดับ 5 ได้แล้ว แต่เอ็มลินก็ยังต้องรอให้ถึงเหตุการณ์พระจันทร์เต็มดวงครั้งถัดไป จึงจะสามารถเลื่อนลำดับเป็นไวเคาต์และทัดเทียมกับเออร์เนส·โบยาร์ โดยโอกาสดังกล่าวจะมาถึงในอีกหนึ่งสัปดาห์ เมื่อถึงตอนนั้น ตัวมันที่ครอบครองแหวนบรรพบุรุษเชื่อว่าตนไม่มีทางแพ้!


ต่อให้การเลื่อนลำดับไม่สำเร็จ แต่เราก็ยังสามารถเช่าหนังสือเวทมนตร์ของมิสเมจิกเชี่ยน ถ้าจำไม่ผิด ภายในนั้นมีเวทลมบันทึกอยู่… เอ็มลินค่อนข้างมั่นใจในผลลัพธ์


‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดนั่งฟังบทสนทนาจากด้านข้าง อดไม่ได้ที่หวาดกลัวพลังสะกดจิต


สำหรับมัน ไม่ว่าการดวลตัวต่อตัวละตึงเครียดเพียงใด แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการทำในสิ่งที่ขัดต่อความตั้งใจโดยไม่รู้ตัว


มันเว้นวรรคสักพัก ตอบคำถามที่สองของเอ็มลิน


“ค่าจ้างของผมเหมือนกับมิสจัดจ์เมนต์… ขอส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ”


สำหรับเลียวนาร์ด งานของมันไม่ซับซ้อน แค่นัดหมายตำแหน่งและเวลากับพวกพ้องให้ดี ทำให้เหยื่อตกอยู่ในความฝัน หลังจากนั้นก็ถอนตัวออกจากปฏิบัติการได้ทันที ไม่ต้องสนผลลัพธ์หรืออุบัติเหตุหลังจากนั้น คล้ายกับการเดินเข้าไปสั่งกาแฟเดซีย์สักแก้วในคาเฟ่ สิ่งเดียวที่ต้องระวังคือการเปิดเผยตัวตน ดังนั้น มันจึงไม่หน้าด้านเรียกร้องอะไรจากอีกฝ่ายล่วงหน้า ขอเพียงส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ จากผลลัพธ์


นอกจากนั้น เพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมนุมทาโรต์เต็มตัว มันไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อย


‘จัสติส’ ออเดรย์เหลือบมองไปทาง ‘จัดจ์เมนต์’ ซิล ก่อนจะถอนสายตากลับ ยิ้มและกล่าว


“ความต้องการของดิฉันเหมือนกับมิสเตอร์สตาร์และมิสจัดจ์เมนต์… ขอส่วนแบ่งจากผลลัพธ์ครั้งนี้”


อันที่จริง เธอไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เพราะรู้สึกอยากแก้แค้นให้เพื่อน อีกฝ่ายจำเป็นต้องถูกลงโทษอย่างสาสม แต่ที่ขอส่วนแบ่งในตอนสุดท้าย ก็เพราะกังวลว่ามิสเตอร์มูนจะลำบากใจและรู้สึกอับอาย


นอกจากนั้น มิสเตอร์มูนคงเหลือเงินไม่มากแล้ว สิ่งตอบแทนก็คงเรียกร้องได้เพียงส่วนแบ่ง… ออเดรย์เสริมเงียบๆ ในใจ


แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตั้งใจเก็บรายละเอียด แต่คุณสมบัติหนึ่งของเส้นทางผู้ชมคือมีความจำเป็นเลิศ เธอเชื่อว่าหลังจากที่มิสเตอร์มูลจ่ายค่าตะกอนพลังแวมไพร์เทียมไปห้าพันปอนด์ เงินติดตัวคงเหลือไม่มาก แถมยังต้องสละค่านายหน้ามาคืนฟอร์ส


มีสมาชิกเข้าร่วมสี่คน แบ่งส่วนแบ่งอย่างเท่าเทียม… สมเหตุสมผล… ‘เดอะมูน’ เอ็มลินพยักหน้าและมองไปรอบตัว


“มีคำแนะนำเพิ่มเติมไหม?”


‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สถามด้วยความสงสัย


“ง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ? อีกฝ่ายเป็นถึงผีดูดเลือดลำดับ 5 แต่คุณทำเหมือนแผนจะสำเร็จง่ายๆ”


ภายในใจเธอ หากเป็นผู้วิเศษไร้สังกัด ลำดับ 5 จะถือเป็นบุคคลที่ทรงพลังมาก บางคนก่อตั้งองค์กรของตัวเอง แม้แต่นายพลโจรสลัดที่โด่งดังในทะเลก็ยังไม่เกินลำดับแค่นี้… แต่บทสนทนาระหว่างมิสเตอร์สตาร์และคนอื่นๆ ทำราวกับว่า ผู้วิเศษลำดับ 5 สามารถถูกจัดการได้ง่าย แทบจะไม่ต้องกังวลในเรื่องใด!


ได้ยินคำถาม เลียวนาร์ดครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ


“ตราบใดที่ผีดูดเลือดไม่มีสมบัติวิเศษที่สลายพลังของผม ต่อให้เทียบเท่าลำดับ 5 แต่ผมก็สามารถทำให้เขาหมดสติได้ชั่วขณะอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่ามิสจัสติสจะคว้าโอกาสไว้ได้หรือไม่”


“หากกำหนดสถานที่และมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ดิฉันทำได้แน่” ‘จัสติส’ ออเดรย์ยืนกราน


เธอค่อนข้างประหม่า เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้จริงมาก่อน อย่างไรก็ตาม ออเดรย์รู้อยู่แก่ใจดีว่าพลังพิเศษของเธอทำอะไรได้บ้าง ทำให้กล้าตอบอย่างมั่นใจ


ฟอร์สได้ยินเช่นนั้น เธอเหม่อลอยไปสักพัก


เพียงช่วงเวลาไม่กี่เดือน… สมาชิกทุกคนในชุมนุมทาโรต์ก็มีพลังพอที่จะรับมือกับผู้วิเศษลำดับ 5… แถมมิสเตอร์เวิร์ลสามารถทำได้มากยิ่งกว่านั้นหลายเท่า…


นั่นสินะ มิสจัสติสกลายเป็นลำดับ 6 นักสะกดจิตมาได้สักพักแล้ว หากร่วมมือกับผู้วิเศษในระดับเดียวกัน การสะกดจิตผู้วิเศษลำดับ 5 ก็ไม่ยากเย็นอะไร…


ขณะที่เอ็มลินรู้สึกว่าทุกสิ่งจบลงแล้ว ตัวมันหมดคำถาม แต่อัลเจอร์ด้านข้างกลับโพล่งขึ้น


“ในฐานะสมาชิกองค์กรลับ ผมคิดว่าทุกคนต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ”


“หืม…” ‘เดอะมูน’ เอ็มลินและ ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ด หันไปมอง ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ด้วยสีหน้าเจือความสับสน


‘จัสติส’ ออเดรย์และ ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลที่ตกใจในตอนต้น เริ่มจับประเด็นได้อย่างคลุมเครือ


อัลเจอร์กระแอมในลำคอ ชำเลืองไปทางเดอร์ริคเล็กน้อยก่อนจะกล่าว


“ในเมื่อปราสาทร้างในป่าเดแลร์คือบททดสอบ… แล้วทำไมถึงคิดว่าผีดูดเลือดตนนั้นไม่ใช่อีกหนึ่งบททดสอบเพิ่มเติม?”


ถูกเผง… กะแล้วว่าแฮงแมนจะต้องเตือน… ‘เดอะฟูล’ ไคลน์บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์พยักหน้ารับ ส่วน ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาจ้องแฮงแมนด้วยสีหน้าสนับสนุน


เรื่องนั้น… เอ็มลินหรี่ตาลงเล็กน้อย มิอาจหาเหตุผลมาปฏิเสธ


ทันใดนั้น มันฉุกคิดได้ว่าตนประมาทเกินไป!


‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย พบว่าตนเองก็หละหลวมไปมาก เพียงต้องการมีส่วนร่วมกับชุมนุม จึงกระโดดร่วมวงโดยไม่ไตร่ตรองถึงอันตรายซ่อนเร้น


แน่นอน ส่วนหนึ่งเกิดจากแนวคิดและวิธีปฏิบัติของผู้วิเศษทางการ


อย่างที่คิด มิสเตอร์แฮงแมนรอบคอบเหมือนเคย… ออเดรย์ เธอยังต้องสั่งสมประสบการณ์อีกมาก! ‘จัสติส’ ออเดรย์เริ่มกระจ่าง ซักถามอย่างกระฉับกระเฉง


“หมายความว่า พวกเราจะละทิ้งแผนการลงโทษไว้ชั่วคราว จนกว่าทางผีดูดเลือดจะยกเลิกการเฝ้าจับตามอง?”


อัลเจอร์หัวเราะในลำคอและตอบ


“ไม่จำเป็นต้องละทิ้ง แค่สร้างกลลวงอีกสองสามเรื่องก็พอ”


มันมองไปยัง ‘เดอะมูน’ เอ็มลินและพูดต่อ


“ข้อแรก แจกจ่ายประกาศงานสืบสวนผีดูดเลือดตนดังกล่าวให้เหล่านักล่าเงินรางวัลในเบ็คลันด์ทราบโดยถ้วนหน้า เพื่อเป็นการปกปิดร่องรอยของมิสจัดจ์เมนต์ ข้อที่สอง หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะลงมือแถวไหน พยายามเลือกทำเลที่ใกล้กับวิหารของโบสถ์จารีตมากที่สุด เพราะนั่นจะช่วยขัดขวางพลังทำนายได้ระดับหนึ่ง ข้อที่สาม ก่อนที่มิสจัสติสจะลงมือสะกดจิตผีดูดเลือด มิสเตอร์มูนต้องทำตัวน่าสงสัยพอประมาณ แต่ห้ามโดดเด่นเกินไป ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเตรียมจะแก้แค้น แต่ไม่ใช่ในจุดนัดหมาย ด้วยวิธีนี้ ‘สายตา’ จากผีดูดเลือดเบื้องบนจะจับจ้องมาทางคุณ ช่วยเปิดโอกาสให้พวกพ้องที่เหลือ คล้ายกับข้อที่หนึ่ง สุดท้าย ข้อที่สี่ รอให้มิสจัสติสสะกดจิตเสร็จ คุณก็เริ่มทำตัวเป็นเหยื่อล่อได้”


กล่าวถึงตรงนี้ อัลเจอร์เว้นวรรคเล็กน้อย


“หากมีพลังต่อต้านการทำนายในระดับครึ่งเทพขึ้นไปคอยสนับสนุน แผนการนี้ก็จะราบรื่น… และแน่นอน มิสจัสติส มิสเตอร์สตาร์ พวกคุณต้องปลอมตัวให้มิดชิด ห้ามทิ้งร่องรอยเด็ดขาด”


คำพูดดังกล่าวทำให้สมาชิกส่วนใหญ่ตกตะลึง โดยเฉพาะ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคที่มิอาจเก็บซ่อนความเคารพและชื่นชม


แม้ว่ามันจะไม่ได้มีส่วนร่วมกับแผนการ แต่ก็ยังสนใจฟังและคิดตามในฐานะสมาชิกชุมนุมทาโรต์ ซึ่งเดอร์ริคก็มองว่าแผนการของเดอะมูนไม่มีข้อบกพร่อง ดังนั้น หลังจากได้ยินคำแนะนำที่สุดยอดจากแฮงแมน อารมณ์ในปัจจุบันจึงเต็มไปด้วยความทึ่ง!


เอ็มลินครุ่นคิดสักพักและตอบ


“เจ้ากำลังจะบอกว่า ให้ข้าเปิดเผยการแก้แค้นอย่างโฉ่งฉ่าง จะได้ดึงดูดสายตาออกจากมิสจัสติสและมิสเตอร์สตาร์? ฟังดูเหมือนกับ… เหมือนกับว่า… ให้ข้าทำทีว่าจะแก้แค้นหลังจากเป้าหมายเดินออกจากร้านกาแฟสักแห่ง ทำทีว่าจะลงมือในมุมหนึ่งของจัตุรัส เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากผีดูดเลือด แต่ในความเป็นจริง มิสจัสติสและมิสเตอร์สตาร์จัดการสะกดจิตเรียบร้อยตั้งแต่ในร้านกาแฟแล้ว?”


อัลเจอร์พยักหน้า


“ถูกต้อง”


เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกแล้ว! มิสเตอร์แฮงแมนช่างเป็นผู้วิเศษมากประสบการณ์! ออเดรย์เข้าใจแผนการอย่างถ่องแท้ ระเบิดความปีติภายในหัวใจ


“คำถามก็คือ ผมจะหาวัตถุหรือยันต์ที่ช่วยต่อต้านพลังทำนายระดับครึ่งเทพได้จากที่ไหน?” ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดรู้สึกได้เรียนรู้หลายสิ่ง จึงซักถามอย่างกระฉับกระเฉง


ในส่วนของตัวเอง มันมิได้กังวลมากนัก เพราะในตัวมีตาแก่เทวทูตคอยช่วยเหลือ


ฟอร์สตะกุกตะกักเล็กน้อย


“ดิฉันสามารถให้ยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ได้… เอ่อ… ในนั้นมีอ้อมกอดเทวทูต… และฉันขอส่วนแบ่งจากภารกิจด้วย”


ขณะกล่าว เธอแอบชำเลืองไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ และโล่งใจที่อีกฝ่ายมิได้กล่าวสิ่งใดคัดค้าน


เธออาจไม่ทราบว่า ความคิดของ ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ในปัจจุบัน ตื้นเขินกว่าที่เธอกังวลมาก:


อ้อมกอดเทวทูต… ไพเราะกว่าเทวทูตกระดาษมาก…


เมื่อทุกฝ่ายยืนยันปฏิบัติการสั่งสอน ‘จัสติส’ ออเดรย์มองไปรอบๆ และกล่าวโดยไม่ลังเล


“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้พบกับเฮอร์วิน·แรมบิส คณะกรรมการแห่งสมาคมแปรจิต”


อะไรนะ? เฮอร์วิน·แรมบิสเป็นคณะกรรมการของสมาคมแปรจิต? ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดเหยียดหลังตรงด้วยความประหลาดใจ นึกอยากออกไปรายงานอาร์ชบิชอปและระดมกำลังเข้าจับกุม


นี่คือผลข้างเคียงจากการทำงานหนักเงินไป

 

 

 


ราชันเร้นลับ 990 : ความกลัวจากภายใน

 

แทบจะในพริบตา เลียวนาร์ดกวาดตาไปรอบๆ และพบว่าไม่มีสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนใดที่ประหลาดใจ ทั้งหมดกำลังตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง


พวกเขารู้มานานแล้ว? นั่นสินะ เราเพิ่งเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์เป็นหนที่สอง มีหลายเรื่องที่ยังตกข่าว… รวมถึงความลับอีกไม่น้อย… เลียวนาร์ดถอนสายตากลับ นั่งในท่าเดิม


‘จัสติส’ ออเดรย์เว้นวรรคเล็กน้อย ชำเลืองไปทางจัดจ์เมนต์ที่อยู่ห่างออกไปสองเก้าอี้ ก่อนจะหันไปมองมิสเตอร์แฮงแมนและเล่าต่อ


“เขาพยายามโน้มน้าวทางจิต บอกให้ฉันแอบติดต่อกับขุนนางต่างๆ และไต่ถามแนวคิดทางการเมืองที่แท้จริงของคนเหล่านั้น คอยรายงานให้เขาทราบเป็นระยะ… โชคดีที่มีพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล ดิฉันจึงไม่ถูกโน้มน้าว… ควรทำยังไงต่อไปดี?”


มีเทวทูตคอยอำนวยพรด้วยหรือ? เลียวนาร์ดมองไปรอบๆ ด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่พบว่ามีสมาชิกคนใดแปลกใจ


แน่นอน มันมิได้ตกใจเรื่องที่มิสเตอร์ฟูลมีเทวทูตในอาณัติ เพราะอย่างน้อย ‘กงสุลมรณะ’ ก็ใช่แล้วหนึ่ง


แต่มันแปลกใจเรื่องที่ ดูเหมือนว่าสมาชิกของชุมนุมทาโรต์สามารถสวดวิงวอนและขอรับพรได้บ่อยครั้งจนเกือบจะเป็นเรื่องปรกติ และตนจำเป็นต้องมององค์กรลับแห่งนี้ใหม่


ขณะเดียวกัน ‘จัดจ์เมนต์’ ซิล เข้าใจสองสามคำอย่างลึกซึ้ง


ขุนนาง… สมาคมแปรจิต…


เมื่อผนวกเข้ากับผมสีทอง ดวงตาสีเขียวของมิสจัสติส เธอนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง:


ออเดรย์·ฮอลล์!


อย่างไรก็ตาม ซิลไม่รีบฟันธง เพราะสำหรับตระกูลขุนนางโลเอ็น ผมสีทองหรือสีดำ ตาสีเขียวหรือสีฟ้า เป็นเอกลักษณ์ที่สามารถพบได้บ่อย แค่มีการสลับองค์ประกอบ นอกจากนั้น เธอยังไม่แน่ใจว่าสมาคมแปรจิตมีสมาชิกแทรกซึมในตระกูลขุนนางมากน้อยแค่ไหน จึงไม่อยากด่วนสรุป ไม่กล้าชี้เป้าไปที่ออเดรย์


ขณะซิลพยายามสังเกตเพิ่มเติม แฮงแมนเป็นฝ่ายพูด


“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปนัก เหล่าโบสถ์จารีตล้วนให้ความสำคัญกับสาวกที่มีฐานะ ยิ่งสถานะทางสังคมสูง ก็ยิ่งได้รับการป้องกันที่แน่นหนา ยากจะถูกลอบสังหารหรือสะกดจิต พวกเขาสั่งสมประสบการณ์ในโลกผู้วิเศษยาวนานนับพันปี ไม่เปราะบางขนาดปล่อยให้ถูกทำลายง่ายๆ … ลองคิดดูให้ดี หากสมาคมแปรจิตสามารถสะกดจิตขุนนางใหญ่ได้ง่ายดายจริง ผู้ที่ปกครองอาณาจักรก็คงไม่ใช่ราชวงศ์ปัจจุบันและสามโบสถ์จารีต… อา… จากที่คุณเล่า เฮอร์วิน·แรมบิสแค่ขอให้คุณคอยสังเกตทัศนคติทางการเมืองของขุนนาง นั่นหมายความว่ามันระวังตัวมาก ไม่กล้าลงมือผลีผลาม เพราะไม่อยากทิ้งเบาะแสโดยไม่จำเป็น… นอกจากนั้น เนื่องจากตัวคุณไม่ใช่นักการเมืองใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลคนสำคัญ ทางโบสถ์จึงมิได้ส่งคนมาคอยคุ้มกันเป็นพิเศษ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเฮอร์วิน·แรมบิสถึงเล็งคุณเป็นเป้าหมาย”


มิสเตอร์แฮงแมนวิเคราะห์ได้แตกฉานมาก… แม้ว่าเขาจะเคยสอนเดอะซันน้อยและคนอื่นๆ แต่ทุกครั้งก็จะแฝงไว้ด้วยผลประโยชน์บางอย่างเสมอ เช่นการหลอกถามข้อมูล ทว่า ในคราวนี้กลับไม่มีแบบนั้นเลย… หืม… ข้อเสนอแนะในปฏิบัติการสั่งสอนก็เช่นกัน เขาไม่ได้อะไรเลย… เมื่อลองคิดดูให้ดี คล้ายกับเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเงอมานานแล้ว เมื่อก่อนอาจไม่ชัดเจนจนเราเผลอมองข้ามไป… ‘จัสติส’ ออเดรย์ยังคงมีความเป็นมืออาชีพ พยายามวิเคราะห์สภาพจิตใจของแฮงแมน


ในไม่ช้า เธอคาดเดาบางสิ่ง เริ่มสงสัยว่ามิสเตอร์แฮงแมนพยายามเปลี่ยนสถานะของตนในชุมนุมทาโรต์!


นับตั้งแต่มาดามเฮอร์มิทเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์และแสดงให้เห็นถึงช่องทางและทรัพยากรในทะเล มิสเตอร์แฮงแมนก็ค่อยๆ เปลี่ยนจุดยืนโดยไม่รู้ตัว เพื่อให้ตัวเองแตกต่างจากอีกฝ่าย… ก่อนที่ ‘ช่างฝีมือ’ จะเกิดปัญหา การเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่ชัดเจน กระทั่งเจ้าตัวก็ยังไม่รู้สึกตัว… จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คล้ายกับเขาเพิ่งเริ่มเข้าใจตัวเอง… อา… เพื่อจะรักษาจุดยืนในชุมนุมทาโรต์ ในแง่หนึ่ง เขาพยายามเพิ่มลำดับพลัง และในอีกแง่หนึ่ง เขาพยายามทำตัวเป็นพี่ใหญ่ที่คอยให้คำปรึกษา… ออเดรย์คิดเรื่อยเปื่อยสักพัก ก่อนจะหันเหความสนใจกลับไปยังหัวข้อเมื่อครู่


หญิงสาวครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวเสียงขรึมโดยไม่รู้ตัว


“คุณกำลังจะบอกว่า โบสถ์จารีตต่างส่งคนมาคอยคุ้มกันและเฝ้าจับตามองขุนนางระดับสูง?”


สำหรับเรื่องนี้ เธอเคยคิดหาคำตอบขณะอยู่ที่สำนักงานกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา


ออเดรย์เคยเป็นกังวลมากเสียจน วาดภาพบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว!


ในเชิงจิตวิทยา สัญลักษณ์ที่ถูกวาดออกมาในสถานะดังกล่าว มักไม่ชัดเจนหรือเฉพาะเจาะจง แต่เป็นสัญลักษณ์นามธรรมอย่าง ‘ดวงตาที่เย็นชา’ และสามารถตีความได้ว่า เธอกำลังหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องที่ครอบครัวอาจถูกเฝ้าจับตามองและชักใยโดยใครบางคน


เมื่อผนวกภาพวาดที่เกิดขึ้นขณะเหม่อลอยเข้ากับเรื่องที่เฮอร์วิน·แรมบิสพยายามโน้มน้าวทางจิต รวมถึงเรื่องที่อาร์ชบิชอปของเบ็คลันด์คอยนำพิธีมิสซาใหญ่ที่ครอบครัวเธอเข้าร่วม ออเดรย์สามารถตีความออกมาได้ว่า ไม่เพียงเธอจะกังวลว่าครอบครัวอาจถูกสมาคมแปรจิตครอบงำ แต่ยังคลางแคลงไปถึงว่า บางที ศาสนาจารีตอาจใช้วิธีโน้มน้าวทางจิตเพื่อหลอกให้สาวกศรัทธาในเทพของพวกตน


สำหรับออเดรย์ที่ถูกปลูกฝังให้เคร่งศาสนามาตั้งแต่ยังเล็ก ความคิดเช่นนี้เทียบเท่ากับการดูหมิ่นและต่อต้าน ส่งผลให้ตัวเธอในเวลานั้นเครียดมาก ต้องรีบเผาทำลายภาพดังกล่าว


ได้ยินคำถามมิสจัสติส แฮงแมนเย้ยหยัน


“นั่นเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ในสังคมมนุษย์ คนเราต้องถูกเฝ้าจับตามอง ควบคุม และชักนำไม่มากก็น้อยทั้งนั้น… ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณกลับ แต่ลองคิดดูให้ดี ขุนนางที่ใช้ตำแหน่งและอำนาจในมือควบคุมผู้อื่น เฝ้าจับตามองผู้อื่น และโน้มน้าวผู้อื่นด้วยเงิน… ฝ่ายหนึ่งทำด้วยพลังพิเศษ อีกฝ่ายหนึ่งทำด้วยเงินทองและอำนาจ สองฝ่ายนี้ต่างกันตรงไหน? ความแตกต่างเดียวก็คือ คนที่ถูกเงินและอำนาจกดขี่ อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองไม่เต็มใจ แต่ไม่มีทางเลือก ส่วนเหยื่อที่ถูกโน้มน้าวทางจิต ไม่มีวันรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่ความคิดของตน”


ออเดรย์พยักหน้า


“ดิฉันเข้าใจ… การสูญเสียอิสรภาพทางจิตใจและความคิด คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด”


แฮงแมนอัลเจอร์ยิ้ม


“คนเราจะมีอิสระทางความคิดและจิตใจจริงหรือ? ทันทีที่เลือกนับถือศาสนาและศรัทธาในเทพ ความคิดก็ถูกตีกรอบไปไม่รู้เท่าไรแล้ว… อา… ดูได้จากอาณาจักรโลเอ็น สามโบสถ์หลักคอยคานอำนาจกันอย่างสมดุล โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งคือราชวงศ์… หากโบสถ์วายุสลาตันใจร้ายกับสาวกของตัวเองเกินไป พวกเขาก็จะหนีออกจากศาสนาและหันไปนับถือรัตติกาลกันหมด ดังนั้น โดยส่วนมากแล้ว ทางศาสนจักรมักโน้มน้าวสาวกของตัวเองด้วยหลักธรรมและพระคัมภีร์ มากกว่าจะใช้พลังพิเศษฝืนธรรมชาติ”


คานอำนาจอย่างสมดุล… ออเดรย์ครุ่นคิดสักพัก เธอพบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจลักษณะของชนชั้นสูงทั่วโลกได้ในคราวเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนเคยผ่านตาเธอมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยขบคิดลึกซึ้ง


ทันใดนั้น ออเดรย์พบว่าความคิดในหลายแง่มุมของเธอเติบโตขึ้น


“ขอบคุณสำหรับคำตอบ มิสเตอร์แฮงแมน” ออเดรย์ทำความเคารพอย่างใจจริง “แล้วดิฉันจะรับมือกับเฮอร์วิน·แรมบิสได้ยังไง?”


อัลเจอร์ตอบเสียงเรียบ


“ปัญหาเกี่ยวกับเขาไม่ใช่เครื่องใหญ่ คุณสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องเสี่ยงอันตราย แค่คอยป้อนข้อมูลที่ไม่สำคัญ ส่วนความลับใหญ่ก็ปิดปากเงียบ พยายามมองหาโอกาสแลกสูตรโอสถ หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบวิเศษ… หลังจากทำไปสักพัก คุณต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม… แน่นอน เรื่องนี้ต้องไตร่ตรองให้ดี ดยุคนีแกนคือตัวอย่างของคนที่เดินหมากพลาด”


ทันทีที่สิ้นเสียง เกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งนั่งอยู่บนสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝ่าย มองหน้ามิสจัสติสพร้อมกับเปล่งเสียงแหบแห้ง


“และเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เฮอร์วิน·แรมบิสตายไป ก็จะไม่มีใครสงสัยคุณ”


ต่อให้เฮอร์วิน·แรมบิสตายไป… ตาย… เขาเป็นครึ่งเทพนะ… หรือว่ามิสเตอร์เวิร์ลกำลังวางแผนจะทำอะไรกับเฮอร์วิน·แรมบิส? นั่นสินะ เขากำลังติดตามคดีการฆ่าตัวตายของคารอน และยังเป็นคนบอกกับเราเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเฮอร์วิน·แรมบิส… ดวงตาออเดรย์เบิกกว้างเล็กน้อย ภายในใจเกิดคลื่นก่อตัว


แม้ว่าเธอจะเกลียดและกลัวเฮอร์วิน·แรมบิสมากเพียงใด แต่ก็ไม่คิดเคยเรื่องการฆ่าคณะกรรมการของสมาคมแปรจิตรายนี้ เอาแต่หาวิธีหลบเลี่ยง ในแง่หนึ่ง เธอไม่ใช่คนที่มีนิสัยแบบนั้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง เป็นเพราะอีกฝ่ายคือครึ่งเทพ


ครึ่งเทพคือตัวตนระดับยอดพีระมิดแม้แต่ในอาณาจักรหรือโบสถ์หลัก!


“ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร ขอบคุณมาก… ขอบคุณทุกคน” ออเดรย์ถอนหายใจแผ่ว ขอบคุณอย่างสุภาพ


ไคลน์ดุดันกว่าเดิมมาก… นั่นสินะ… เขาคิดแม้กระทั่งเรื่องที่จะกวาดล้างร่างโคลนทั้งหมดของอามุนด์ในกรุงเบ็คลันด์ กับแค่เฮอร์วิน·แรมบิสนั้นเทียบไม่ติด… ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดชำเลืองไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยอารมณ์ซับซ้อน


แคทลียาและคนที่เหลือยังคงปิดปากเงียบ


หลังจากจบหัวข้อสมาคมแปรจิต ไคลน์บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์หันไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวฝั่งบน


“เรียนมิสเตอร์ฟูที่เคารพ ผมต้องการสนทนากับมิสเตอร์สตาร์ตามลำพัง”


ไคลน์ไม่อยากให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทราบเกี่ยวกับแผนการกำจัดร่างโคลนของอามุนด์ การทำแบบนั้นอาจทำให้ความลับรั่วไหล และพวกตนจะกลายเป็นเหยื่อของอามุนด์เสียเอง


“ไม่มีปัญหา” เดอะฟูลไม่ปฏิเสธคำขอ


หลังจากเลียวนาร์ดเรียนรู้ว่าสามารถทำแบบนี้ได้ มันเริ่มเล่าประเด็นสำคัญ บอกคำตอบของชายชราพาลีส·โซโรอาสเตอร์ รวมถึงปัญหาที่หนอนกาลเวลาจะสูญเสียตะกอนพลังและกลับคืนสู่ร่างต้น


บทสนทนาดังกล่าวทำให้ไคลน์เข้าใจวิธีการนำ ‘หนอนวิญญาณ’ ไปสร้างคาถาหรือกระสุนทันที


แค่แบ่งออกมาและฆ่าพวกมัน จากนั้นก็รอให้ตะกอนพลังกลับคืนสู่ร่างต้น ส่วนซากหนอนสามารถนำไปใช้ประกอบพิธีกรรมได้เหมือนกับหนอนกาลเวลา!


ปัญหาก็คือ การฆ่าหนอนวิญญาณจะหมายถึงการทำร้ายตัวเราเอง เพราะท้ายที่สุด ทุกตัวถูกแบ่งโดยใช้เศษเสี้ยวร่างวิญญาณของเราเป็นสื่อกลาง… อา… คงต้องควบคุมปริมาณในแต่ละครั้ง จากนั้นก็รอให้ร่างกายฟื้นตัวค่อยทำใหม่… ไคลน์บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ครุ่นคิดก่อนจะตอบ


“ผมจะรีบยืนยันเกี่ยวกับพรแห่งการปกปิดโดยเร็ว… ถ้าไม่มีปัญหา เราค่อยมารวบรวมสมบัติปิดผนึกระดับครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรม… แน่นอน ผมจะหาวิธีตรวจสอบการถูก ‘ปลูกถ่าย’ ชะตากรรมด้วย”


สำหรับตอนนี้ ไคลน์ยังไม่แน่ใจว่า ‘การมอง’ จากมิติเหนือสายหมอกลงไป จะช่วยให้มองเห็นความจริงของชะตากรรมหรือไม่ เหมือนกับเหตุการณ์ที่มันเคยเห็น ‘ปรสิต’ อามุนด์สิงร่างเดอะซันน้อย จึงตัดสินใจจะใช้นกกระเรียนกระดาษเพื่อปรึกษาวิล·อัสติน รับฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ


“ตกลง” เลียวนาร์ดพึมพำในใจเล็กน้อย: ถ้าการหาสมบัติปิดผนึกระดับครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมมันง่ายนัก ป่านนี้ตาแก่คงฟื้นฟูร่างกายหายเป็นปรกติแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)