Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 983-986

ราชันเร้นลับ 983 : ในนามของเจ้า

 

แปะ!


เหรียญทองร่วงหล่นบนฝ่ามือไคลน์ แต่ชายหนุ่มมิได้หันไปมองว่าเป็นหัวหรือก้อย เพราะสายตากำลังถูกปกคลุมด้วยนิมิตลางสังหรณ์


ต้มไม้ใหญ่เด่นตระหง่านท่ามกลางพุ่มไม้ เมฆแผ่นบางบนท้องฟ้าสูงที่มิอาจบดบังดวงดาวอันพร่างพรายท่ามกลางผืนกำมะหยี่สีดำ เสียงมวลหมู่แมลงก้องกังวานภายในค่ำคืนอันเงียบสงบ ผสมผสานกับเสียงระเบิดสองครั้งภายในคฤหาสน์กวางมูส


อาศัยความรู้ในเชิงโหราศาสตร์ มันพิจารณาถึงตำแหน่งของฉากอย่างคราว จากนั้นก็เปลี่ยนให้ร่างกายโปร่งแสงไปโผล่ข้าง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จากนั้นก็คว้าไหล่


ในระหว่างนี้ไคลน์เรียกหนอนแมลงโปร่งใสที่ฝังในตัวหนูสีเทาและแมลงกลับคืน จากนั้นก็ติดการเชื่อมต่อแบบ ‘สองทิศทาง’ ด้วยด้ายวิญญาณออก


เพียงหนึ่งถึงสองวินาที มันพาเอ็นยูนหายตัวไปโผล่ในคฤหาสน์กวางมูสที่กำลังโกลาหล ปลายทางลงจอดคือตำแหน่งในนิมิตลางสังหรณ์


ที่นี่ตรงตามผลการทำนายที่ได้รับ เงียบสงัด สามารถได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบไม้และพุ่มไม้


ด้ายมายาสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นในใจไคลน์ เป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในละแวกใกล้เคียง


ทว่า ด้ายวิญญาณมีจำนวนมากเกินไป เกินกว่าหลักหลายสิบ หากไคลน์ต้องไล่ค้นหาทีละหนึ่ง เกรงว่าจะเสียเวลาไปมาก


อย่างไรก็ตาม มันไม่รีบร้อน เพราะอย่างน้อยก็ยืนยันได้หนึ่งเรื่อง:


ตราบใดที่ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมรายดังกล่าวมิได้พกพาสมบัติวิเศษระดับสูง ผลการทำนายของไคลน์ก็ควรจะแม่นยำ เพราะหลังจากกลายเป็นจอมเวทพิสดาร ไม่เพียงพลังทำนายจะมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ แต่การแทรกแซงของมิติหมอกบนโลกความจริงก็ยิ่งรุนแรง ผนวกสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน แม้จะไม่ได้อยู่บนมิติเหนือสายหมอก แต่พลังทำนายก็จะไม่ด้อยไปกว่านักบุญ ไม่ด้อยไปกว่าลำดับเดียวกันของเส้นทางโชคชะตา และนอกจากนั้น สภาพของครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมก็ยังไม่สู้ดีนัก ความแข็งแกร่งลดทอนลงไปหลายส่วน


ดังนั้น ไคลน์จึงเชื่อว่าอีกฝ่ายกำลังซ่อนตัวภายในป่าเล็กๆ ที่มีพุ่มไม้เตี้ยแห่งนี้ หมดสิทธิ์หนีพ้น


ส่วนวิธีรับมือ มันเชื่อว่าการรอคอยอย่างอดทนคือตัวเลือกที่ดีที่สุด


ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมค่อนข้างอ่อนแอและไม่เสถียรเป็นทุนเดิม แทบจะคลุ้มคลั่งเต็มที ยิ่งต้องเผชิญการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่ แถมยังต้องทิ้งร่างหนูยักษ์ สถานการณ์มีแต่จะเลวร้ายลง ไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก ในไม่ช้าก็เร็วต้องเผยปัญหาออกมา ไคลน์สามารถรอได้ แต่อีกฝ่ายรอไม่ได้


ท่ามกลางเสียงกังวานของแมลง ไคลน์อดทนอย่างใจเย็น เริ่มเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวให้เป็นหุ่นเชิด ขณะเดียวกันก็นำ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนออกจากพื้นที่ ซ่อนตัวในจุดที่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร ส่วนร่างต้นคอยป้องกันตัวเองจากการถูก ‘เข้าควบคุมด้ายวิญญาณ’ เพราะยังไม่ลืมว่าศัตรูได้ขโมยพลังดังกล่าวไปจากเอ็นยูน


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงหอบที่ราวกับดังมาจากส่วนลึกของวิญญาณ


แทบจะในพริบตา เสียงคล้ายคนเสียสติดังมาจากต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า


“ทำไมต้องบีบคั้นข้า… ทำไมเจ้าต้องบีบคั้นข้า… ทำไมเจ้าต้องบีบคั้นข้า!”


ขณะเกิดเสียงหวีดแหลม เปลือกไม้ของต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าพลันร่วงหล่น เผยให้เห็นเนื้อไม้ที่กำลังแตก กลุ่มก้อนหนอนประหลาดที่มีเจ็ดถึงแปดปล้องคลานออกจากรอยแยกทีละหนึ่ง


แต่ละปล้องที่โปร่งใสมีลวดลายนูนขึ้นมา ดูคล้ายกับกระแสเวลากำลังไหลเวียน


ทันใดนั้น ไคลน์พลันสูญเสียความคิดทั้งหมด สูญเสียพลังพิเศษอย่างปืนใหญ่อัดอากาศ กระดาษคนตัวแทน สูญเสียเข็มขัด เสื้อนอก หมวก ราวกับกลายเป็นรูปปั้นก้อนเนื้อ


ทว่า สำหรับหุ่นเชิด นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะมันไม่มีความคิด และพลังที่สูญหายไปสามารถแทนที่ได้จากหนอนแมลงตัวใหม่


ถูกต้อง ในวินาทีที่ไคลน์ได้ยินเสียงหอบ มันสลับตำแหน่งกับ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน!


และผู้ชนะรายนี้ไม่ต้องกังวลว่ากางเกงจะหลุดเพราะเข็มขัดหาย เพราะบริเวณเอวของมันก็ยังอยู่ในรัศมีพลังของผู้ไร้หน้า รอบเอวจึงพองออกเพื่อทำให้กางเกงคับและไม่ร่วงหล่น


ขณะเดียวกัน หุ่นเชิดแมลงและหนูเริ่มคลานออกมาจากที่ต่างๆ รายล้อมต้นไม้ใหญ่ที่กำลังกลายพันธุ์


ทันใดนั้น เสียงหัวเราะในลำคอดังมาจากที่ใดก็มิอาจทราบได้


“ใจเย็นก่อน อย่าเดือดดาล ทุกสิ่งกำลังจะดีขึ้น”


เสียงดังกล่าวเปี่ยมไปด้วยพลังการโน้มน้าว การกลายพันธุ์ต้องต้นไม้ใหญ่หยุดชะงักทันที หนอนแมลงที่เจาะออกมาทีละตัวค่อยๆ หดกลับ


“จริงหรือ?” ภายในต้นไม้ใหญ่ที่เปลือกร่วงหล่น เสียงของความแค้นและขุ่นเคืองกลับสู่ความสงบ เจือความสับสนเล็กน้อย คล้ายกับถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จ


สำหรับไคลน์ มันรู้สึกว่าคำพูดดังกล่าวสมเหตุสมผล อดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองว่า ทำไมตนต้องพยายามบีบคั้นให้ครึ่งเทพตนดังกล่าวคลุ้มคลั่ง


มันรู้สึกเหมือนตัวเองหลงลืมไปบางสิ่ง ลืมว่าทำไมถึงต้องถ่อมายังคฤหาสน์หลังนี้


ถัดมา มันเห็นร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกเขตพุ่มไม้ หัวเราะพลางยิ้ม


“ใจเย็นก่อน… ข้ามีวิธีหยุดการคลุ้มคลั่งของเจ้า ขอเพียงทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด”


ร่างดังกล่าวสวมเสื้อกันฝนสีดำตัวใหญ่จนดูเหมือนผ้าคลุม เข้าชุดกับกางเกงและรองเท้าสีดำ หน้าผากเถิกกว้าง ใบหน้าผอมเพรียว สวมหมวกทรงสูงและแว่นตาขาเดียวที่ไม่เหมือนใคร ดูสง่างามเหนือคำบรรยาย


ดวงตาไคลน์แข็งค้างทันที ภายในใจพลังระเบิดความคิด:


อามุนด์!


ตัวตนที่อยู่ตรงหน้ามันคือ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ ‘เทวทูตกาลเวลา’ ‘ราชาเทวทูต’ และ ‘บุตรแห่งพระผู้สร้าง’ !


แม้จะทราบว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ร่างโคลน แต่ไคลน์ก็ไม่มัวคิดให้เสียเวลา รีบทำตามเสียงเรียกร้องจากหัวใจ อาศัยความช่วยเหลือของยุบพองหิวโหย เปลี่ยนร่างกายตัวเองให้โปร่งใส


ระหว่างนั้น ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนดีดนิ้วเพื่อจุดไม้ขีดไฟในกระเป๋าเสื้อ รวมถึงจุดไฟเศษใบไม้ข้างๆ ร่างต้น อาศัยพลังกระโจนเพลิงเพื่อหายตัวมายืนข้างไคลน์


ไคลน์รีบคว้าไหล่ พาหายตัวไปพร้อมกัน


ตามความคิดของชายหนุ่ม หากอามุนด์เข้ามาขัดขวาง หรือเอ็นยูนกลับมาได้ไม่เร็วพอ มันไม่ลังเลเลยที่จะสละหุ่นเชิดและ ‘ท่องเที่ยว’ ไปไกลๆ ตามลำพัง


ในสถานการณ์เช่นนี้ การสูญเสียหุ่นเชิดเพื่อแลกกับชีวิต ถือว่าคุ้มค่ามากในเชิงมูลค่า!


โชคยังดี ความสนใจของร่างโคลนอามุนด์มุ่งเน้นไปที่ต้นไม้เปลือกหลุด ไม่ได้คิดจะหยุดไคลน์ หรืออาจหยุดไว้ไม่ทัน


หลังจากที่ไคลน์และหุ่นเชิดหายตัว อามุนด์ชะงักเล็กน้อย มองไปทางด้านข้างที่อีกฝ่ายเคยยืน พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงเย้ยหยัน


“จอมเวทพิสดารของรัตติกาล”


มันถอนสายตากลับทันที มองไปยังต้นไม้ใกล้กลายพันธุ์ ยิ้มและถาม


“ทายาทของเจคอป?”


“ช….ใช่แล้ว… เจ้ารู้จักบรรพบุรุษของข้าด้วยหรือ?” ภายในต้นไม้ใหญ่ ครึ่งเทพหนูยักษ์ถามด้วยน้ำเสียงมีหวังประหนึ่งคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ทัน


อามุนด์ยกมือแตะคาง พยักหน้าแผ่วเบาจนแทบมองไม่เห็น


“แน่นอน… พวกมันอร่อยมาก”


ทายาทเจคอปบนต้นไม้ใหญ่เงียบงันไปพักหนึ่ง ก่อนจะตะโกนด้วยความกลัวในอีกไม่กี่อึดใจ


“จ…เจ้าคือ… ผู้เย้ยเทพ… อามุนด์!”


ภายในรูบนเปลือกไม้ หนอนแมลงตัวปล้องเริ่มคลานออกมาอีกครั้ง


ทว่า พวกมันแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว แน่นิ่งอยู่กับที่


อามุนด์ใช้นิ้วจับขอบบนและขอบล่างของแว่นตาขาเดียว ยิ้มและกล่าว


“สายเกินไปแล้ว… ใช่ไหมล่ะ? หากเจ้าต่อสู้และพยายามขัดขืนในตอนแรก นั่นยังพอจะมีประโยชน์… แต่สำหรับตอนนี้ เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าข้าจะมาที่นี่ด้วยตัวเองสินะ?”


กล่าวจบ พุ่มไม้โดยรอบสั่นสะเทือนทันที ใบไม้ปลิวไสวไปมา เหล่านกรีบกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้พร้อมกับร้องเสียงแหลม แม้กระทั่งสายลมเย็นยามค่ำคืนก็ยังมอบบรรยากาศที่ยากจะอธิบาย


“นี่เจ้า…” ทายาทเจคอปบนต้นไม้กลายพันธุ์ ชะงักคำพูดกลางคัน


อามุนด์สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันฝน ยิ้มและกล่าว


“ข้าได้ยินมาว่า ตระกูลของเจ้าถูกแบ่งเป็นครอบครัวเล็กๆ และอาศัยแยกกันโดยสิ้นเชิง พยายามไม่จับกลุ่มใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงข้า? อา… จริงสิ… พวกเจ้าและทายาทโซโรอาสเตอร์แอบร่วมมือกัน จับกลุ่มกับผู้วิเศษเส้นทางนักจารกรรมคนอื่นๆ เพื่อก่อตั้งองค์กรลับ… ดูเหมือนจะชื่อว่าผู้สันโดษแห่งชะตา?”


“เจ้าเป็นหนึ่งในพวกมันรึเปล่า? หืม… ดีล่ะ ข้าลองจะแทนที่เจ้า แอบเข้าไปในองค์กรดังกล่าวและดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง… องค์กรลับที่พยายามหลีกเลี่ยงอามุนด์ แต่กลับมีอามุนด์เป็นสมาชิก แค่คิดก็สนุกแล้ว”


กล่าวถึงตรงนี้ มันชำเลืองไปทางต้นไม้ใกล้กลายพันธุ์ที่กำลังโยกคลอนอย่างหนัก


“หืม… น่าเสียดาย จากที่มองดูจากชะตากรรมของเจ้า ดูเหมือนจะไม่ได้รับการศึกษาในเชิงศาสตร์เร้นลับที่ดีสักเท่าไร… คงไม่ใช่สมาชิกองค์กรนั้นกระมัง… เป็นทายาทของเจคอปคนสุดท้ายในครอบครัวย่อยนี้? เจ้ามาที่เบ็คลันด์เพราะต้องการค้นหาสมบัติลับที่ตระกูลเจคอปเหลือทิ้งไว้… แต่กลับได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องผนึกตัวเอง? อา… เจ้าเข้าเป็นปรสิตในร่างสัตว์ธรรมดา และไม่ได้พูดคุยกับมนุษย์เป็นเวลานาน… ตอนนี้เจ้ากำลังสับสน… กำลังสงสัยว่า เหตุใดหลังจากเลื่อนเป็นลำดับ 4 สำเร็จ เจ้าถึงไม่ได้รับ ‘การเตือน’ เรื่องนี้จากความรู้ภายในโอสถ? อา… นั่นเพราะข้าเป็นคนลบมันออกยังไงล่ะ”


“ไม่!”


เสียงของความขุ่นเคืองและเคียดแค้นดังกังวาน แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส


ต้นไม้ใกล้กลายพันธุ์สั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งกว่าเก่า แต่ไม่นานก็สงบลง


ลำแสงเล็กๆ ลอยออกจากด้านในลำต้น พรั่งพรูเข้ามาในร่างกายอามุนด์


อามุนด์หยิบผ้าออกมาผืนหนึ่ง พึมพำขณะใช้มันเช็ดแว่น


“ช่างโง่เขลา… หล่อนดันเหลือจริงๆ ว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์… ขอเสียหลักๆ ของพวกใกล้คลุ้มคลั่งคือมักไม่มีสมอง หลอกได้ง่ายมาก… แค่ใช้สมองคิดสักนิดก็น่าจะมองเห็นถึงความผิดปรกติแล้ว… ถ้าหากเราสามารถจัดการเธอได้ง่ายๆ และขโมยชะตากรรม ทำไมต้องเสียเวลาพูดพร่ำด้วย? ร่างโคลนก็เป็นได้แค่ร่างโคลน”


จนกระทั่งอามุนด์สวมแว่นกลับไปใหม่ ลำแสงที่พุ่งออกจากต้นไม้ใกล้กลายพันธุ์ก็ถูกดูดซับโดยสมบูรณ์


ทันใดนั้น ร่างหนึ่งเดินผ่านด้านนอกพุ่มไม้ไป เป็นเฮเซลในชุดล่าสัตว์


คล้ายกับเธอรู้ตัว รีบหันศีรษะมายังจุดดังกล่าวและพบอามุนด์


จากนั้น เธอยิ้มอย่างประหลาดใจและกล่าว


“อาจารย์… หายดีแล้วหรือ? จริงสิ มีใครบางคนตรวจพบปัญหาของคุณ รีบซ่อนตัวเร็วเข้า!”


อามุนด์ที่ยืนฟังเงียบๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย


“ตกลง”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 984 : การตอบสนองเชิงบวก

 

ไคลน์ไม่ได้กลับไปยังบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนทันที แต่พา ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนมายังทะเลแห่งหนึ่งเพื่อหาที่ซ่อนตัวและสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลด้วยน้ำเสียงไพเราะ


จากนั้น มันถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่สายหมอกสีเทา กวักมือเรียกให้กระดาษคนลอยไปหา


มันหยิบไพ่เย้ยเทพใบหนึ่งบนโต๊ะทองแดงยาว สอดไว้ในร่างกาย


เพียงพริบตา ไคลน์สวมเสื้อคลุมสีแดง ประหนึ่งถูกย้อมด้วยเลือดจำนวนมหาศาลที่คละคลุ้งกลิ่นสนิมและควันดินปืน บนใบหน้าปกคลุมด้วยหน้ากากสีทองเข้ม ดูขัดแย้งกับบนศีรษะที่สวมมงกุฎซึ่งประดับไปด้วยอัญมณีสีแดง เขียว และน้ำเงินเรียงชิดกัน


นี่คือการแปลงโฉมที่เกิดจากไพ่นักบวชสีชาด


หลังจากทดสอบดูหลายครั้ง ไคลน์ยืนยันว่าคุณสมบัติของไพ่นักบวชสีชาด สอดคล้องกับการแทรกแซงของ ‘เทวทูตกระดาษ’ ในเชิงชะตากรรม ช่วยให้อำนาจของมิติหมอกแสดงผลได้ดีขึ้นในขอบเขตนี้ มันจึงถูกเลือกมาใช้ก่อนไพ่จักรพรรดิมืดและไพ่ทรราช


หลังจากเตรียมการเสร็จ ไคลน์ที่กลายเป็นนักบวชสีชาด หยิบกระดาษคนขึ้นมาสะบัดแผ่วเบา เคลื่อนพลังลึกลับบนมิติหมอกเข้าไปผสาน จากนั้นก็ส่งออกไปทางจุดแสงที่เกิดจากการสวดวิงวอน


กระดาษคนขยายขนาดอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นเทวทูตอาบแสงสีทอง ด้านหลังมีเปลวไฟบริสุทธิ์ผุดผ่องกำลังลุกท่วมปีกสิบสองคู่


เทวทูตสงครามรายนี้อาศัยการเชื่อมต่อลับๆ ที่สร้างขึ้นจากคำสวดวิงวอน เสด็จลงมายังโลกมนุษย์และห่อหุ้มไคลน์พร้อมกับ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนด้วยปีกเปลวเพลิง


เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์คลายความกังวลลง รีบเก็บไพ่นักบวชสีชาดและส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง


มันออกไปหาอาหารสำหรับยุบพองหิวโหยสักพัก จากนั้นก็ส่งตัวเองและ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนกลับบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน คนหนึ่งแปลงโฉมเป็นดอน·ดันเตส ส่วนอีกคนกลับไปเป็นหนุ่มลูกครึ่ง


หลังจากสางผมเล็กน้อย ไคลน์เดินทางระเบียงห้องนอนใหญ่ มองไปยังทิศทางของบ้านส.ส. มัคท์และเห็นแสงไฟ ยืนยันว่างานเลี้ยงเต้นรำยังไม่จบลง


ตามปรกติแล้ว งานเลี้ยงเต้นรำยุติหลังเที่ยงคืน แต่นอน แขกสามารถกลับไปได้ก่อนหน้านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงคนหนุ่มสาวที่ยินดีจะเต้นยาวตลอดทั้งคืน


ฟู่ว… อามุนด์น่ากลัวมาก… ขอเพียงมีครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ มันสามารถสัมผัสถึงได้ทันที… ทั้งที่ฝ่ายหนึ่งอยู่ในเมือง อีกฝ่ายอยู่นอกชานเมือง… หรือว่าในระดับของมันจะมีความอ่อนไหวต่อกฎการดึงดูดของพลังในเส้นทางใกล้เคียงมากเป็นพิเศษ? อา… แต่อาจเป็นเพราะครึ่งเทพคนนั้นใกล้คลุ้มคลั่ง เกิดการกลายพันธุ์ ส่งผลให้อามุนด์ตรวจพบ… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พลางกังวลว่าตัวเองจะหันไปเห็นชายสวมแว่นขาเดียวกำลังนอนบนเก้าอี้หลังด้านหลังตน


มันรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองกลายเป็นครึ่งเทพแล้ว สามารถลบร่องรอยของมิติหมอกบนโลกความจริง ไม่อย่างนั้น หากอามุนด์สังเกตเห็นสายหมอก เกรงว่าเหยื่อในเหตุการณ์ดังกล่าวจะถูกเบนเข็มมาทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์แทนที่จะเป็นครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม หากเป็นกรณีหลัง การหลบหนีออกมาคงไม่ราบรื่นขนาดนี้


เนื่องจากทราบว่าอามุนด์ในเบ็คลันด์เป็นร่างโคลน ไคลน์เชื่อว่าลำพังเทวทูตกระดาษเพียงพอที่จะลบร่องรอยได้มิดชิด ต่อให้เป็นราชาเทวทูต แต่ก็ไม่น่าจะตามมาถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนถูก


แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้มันวางใจได้เต็มร้อย เพราะครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมคนดังกล่าวก็เคยมีความเกี่ยวข้องกับถนนเบิร์คลุนแห่งนี้


หล่อนเคยเผชิญหน้ากับพลเรือเอกโลหิต เคยลงมือจุดชนวนระเบิดด้วยตัวเองเพื่อรักษาชีวิต หลังจากนั้นก็ไปเป็นปรสิตในตัวหนู… นอกจากนั้น หล่อนยังเคยถูกกระจกวิเศษตักเตือนให้ทราบว่า ในกรุงเบ็คลันด์มีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมกำลังฟื้นฟูพลัง รวมถึงเรื่องที่ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์กำลังตรงมาที่นี่… หล่อนไม่ยอมตอบคำถามของอาโรเดส ก็เลยถูกฟ้าผ่า หลังจากนั้นก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์กวางมูส… และเมื่อไม่กี่วันก่อน หล่อนพยายามเข้าสิงร่างเฮเซลที่เป็น ‘ศิษย์’ และในค่ำคืนที่ผ่านมา เฮเซลค้นพบความผิดปรกติของภาพลวงตา จึงเดินทางไปแจ้งให้หล่อนทราบโดยตรงถึงคฤหาสน์… เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมาประกอบกัน มีโอกาสอย่างมากที่อามุนด์จะแวะมาเยี่ยม… ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งพบว่าถนนเบิร์คลุนไม่ปลอดภัย


จากมุมมองของมัน ลำพังส่วนที่ว่า ‘มีเทวทูตของเส้นทางนักจารกรรมกำลังฟื้นฟูพลัง’ ก็มาพอที่จะให้อามุนด์เฝ้าจับตามองถนนเส้นนี้ไปอีกสักระยะ!


แน่นอน ยังมีโอกาสเล็กๆ ที่ครึ่งเทพรายดังกล่าวจะหนีรอดจากเงื้อมมืออามุนด์ ไม่แพร่งพรายข้อมูลใดออกไป แต่โอกาสดังกล่าวมีน้อยมาก เพราะแม้แต่ไคลน์ยังมั่นใจว่าตนจะจัดการได้ นับประสาอะไรกับร่างโคลนอามุนด์ที่รู้ทุกซอกทุกมุมของเส้นทางนักจารกรรม!


เฮ้อ… เราไม่น่าไประแวงปู่ในตัวเลียวนาร์ดเลย เป็นเพราะเรากังวลว่าเขาจะทำร้ายเลียวนาร์ดหลังจากฟื้นคืนพลัง ปัญหานี้ก็จะไม่เกิด ไม่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ถูกอามุนด์เฝ้าจับตามอง… เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นตัวตนดอน·ดันเตสลำบากแน่ และไม่ใช่แค่ดอน·ดันเตส แต่ยังรวมถึงชาวบ้านบนถนนเบิร์คลุนและเลียวนาร์ดบนถนนพินสเตอร์ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าอามุนด์จะไม่เข้าสิงใครส่งเดช… ท่ามกลางกระแสความคิดมากมาย สีหน้าไคลน์พลันดำมืดขณะพยายามหาทางขจัดร่างโคลนอามุนด์ออกไป


ความคิดแรกก็คือ ติดต่อกับเลียวนาร์ด ร่วมงานกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์เพื่อคิดแผนการขจัดอามุนด์ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครแนะคำใดดีไปกว่าประสบการณ์จากปากเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม


ไคลน์หยิบปากกาหมึกซึมและกระดาษขึ้นมาเตรียมเขียน แต่ตวัดไปได้สองสามหนก็ต้องชะงัก


มันพบว่าวิธีนี้โจ่งแจ้งเกินไป เพราะการบรรยายเนื้อหาอย่างละเอียด อาจเกิดการชักนำทางชะตากรรมจนไปดึงดูดความสนใจของอามุนด์เข้า!


วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ดึงเลียวนาร์ดขึ้นมาบนมิติหมอก บอกให้อีกฝ่ายช่วยเป็นสะพานในการติดต่อสื่อสารกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์… นอกจากวิธีนี้ เรายังมีทางเลือกอีกไหม? รายงานโบสถ์รัตติกาลและให้พวกเขาออกปฏิบัติการ ‘ขจัดเชื้อโรค’ ทั่วเบ็คลันด์? ไคลน์วางปากกาลง ครุ่นคิดหาวิธีอื่นๆ


เพียงไม่นาน มันตัดวิธีรายงานให้โบสถ์รัตติกาลทราบออกไป เนื่องจากคุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดไม่ยอมใช้วิธีนี้ตั้งแต่แรก แปลว่าน่าจะมีข้อบกพร่อง หรือไม่ก็อาจเกิดอันตรายถึงตัว


คงต้องถามเลียวนาร์ดก่อน ตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้น จากนั้นค่อยตัดสินใจ… ไคลน์คิดไวทำไว


มันอดใจไม่ติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดส หรือวิล·อัสตินผ่านนกกระเรียนกระดาษ หลังจากบังคับเอ็นยูนให้เดินออกไปนอกห้อง ชายหนุ่มเข้าห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ ถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก


ในตำแหน่งเดอะฟูล ไคลน์เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และบังคับให้สวดวิงวอน:


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ได้โปรดบอกกับเลียวนาร์ด·มิเชลว่า มีการพบร่องรอยใหม่ของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ ผมต้องการให้เขามาในอาณาจักรของท่านโดยเร็วเพื่อปรึกษาหาวิธีรับมือ ให้เขาเป็นฝ่ายกำหนดเวลานัดได้ตามสะดวก”


หลังจากเปลี่ยนภาพการสวดวิงวอนให้เป็นกระแสพลังและโยนเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเลียวนาร์ด ไคลน์เปล่งด้วยเสียงของเดอะฟูลตามหลัง


“ไม่ต้องปิดบังเรื่องนี้จากพาลีส·โซโรอาสเตอร์”


ณ รอบนอกเขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์ ภายในป่าโปร่ง



เลียวนาร์ดเหยียดมือขวาออก จับเงาที่โปร่งใสและคลุมเครือของหมาป่า


หมาป่าส่งเสียงครวญครางสักพัก ก่อนที่เปลวไฟในดวงตาจะดับลงและกลับเป็นปรกติ


รางของมันเริ่มเลือนรางและจางหายไปกับสายลม แต่มิได้จากไปด้วยความรู้สึกกระหายเลือดเหมือนในตอนแรก มีเพียงความสุขสงบและเยือกเย็น


สำหรับทวีปเหนือ หลังจากยุคสมัยไร้ชีวิตชีวา เจ็ดโบสถ์หลักรวมถึงอาณาจักรต่างๆ ล้วนผลักดันให้มีการฝังศพผู้ตายในสุสาน และถูกปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจวบจนปัจจุบัน ส่งให้จำนวนวิญญาณของมนุษย์ที่กลายเป็นภูตผีลดลงมาก อาจมีข้อยกเว้นในกรณีที่ไม่มีใครพบศพ หรือเป็นการจมน้ำตายที่งมศพขึ้นมาไม่ทัน อย่างไรก็ตาม ‘ผี’ ไม่ได้เกิดจากวิญญาณของมนุษย์ที่ตายไปเพียงอย่างเดียว ในบางกรณีอาจเกิดจากวิญญาณของสัตว์ ส่งผลให้พวกมันไม่สามารถถูกฝังในสุสานเหมือนมนุษย์และจากไปอย่างสงบ


และสิ่งนี้มักกลายเป็นตำนานผีสางในแถบชนบท


หลังจากปลอบวิญญาณหมาป่าเสร็จ ทัศนวิสัยของเลียวนาร์ด·มิเชลก็เต็มไปด้วยสายหมอกไร้ก้นบึ้ง มาพร้อมกับภาพการสวดวิงวอนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


เบาะแสใหม่ของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์… เจ้านั่นยังอยู่ในเบ็คลันด์… เปลือกตาเลียวนาร์ดกระตุกอย่างมิอาจยับยั้ง อากัปกิริยาเผยความตึงเครียด


เนื่องจากมิสเตอร์ฟูลอนุญาต มันจึงไม่ลังเลเลยที่จะลดเสียงลงและพึมพำ


“ตาแก่… เมื่อครู่เห็นอะไรไหม? ได้ยินอะไรไหม?”


เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้นทันที


“ไม่… แม้ข้าจะสัมผัสถึงสิ่งผิดปรกติ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด ไม่ได้ยินอะไร… เว้นเสียแต่เจ้าจะยอมให้ข้าเป็นปรสิตที่ฝังรากลึกกว่านี้และควบคุมวิญญาณดาราของเจ้าโดยตรง”


คิดว่าเราโง่รึไง… ดูเหมือนว่า การตอบสนองของมิสเตอร์ฟูลจะเกิดขึ้นผ่านวิญญาณดารา… เลียวนาร์ดครุ่นคิดสักพัก เรียบเรียงคำพูด


“ตาแก่… ไคลน์บอกว่าเขาพบร่องรอยใหม่ของอามุนด์ ต้องการให้ผมเข้าไปในอาณาจักรของมิสเตอร์ฟูลเพื่อปรึกษาหารือ… คุณมีคำแนะนำไหม?”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจยาว


“ถ้าเขาต้องการจะกำจัดร่างโคลนของอามุนด์ในเบ็คลันด์ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘พรแห่งการปกปิด’ ไม่อย่างนั้น เขาเองก็คงจินตนาการผลลัพธ์ออก”


การที่พูดแบบนี้ ตาแก่บอกเป็นนัยว่า จะไม่ยอมร่วมมือหากไม่มีพรแห่งการปกปิด? หัวใจเลียวนาร์ดเริ่มเต้นแรง รีบหามุมอับสายตาและสวดวิงวอนฝากข้อความถึง ‘เดอะเวิร์ล’ ไคลน์ว่าตนพร้อมทุกเมื่อ


สำหรับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับร่างต้นในยามที่จิตไม่อยู่ มันไม่กังวลมากนัก เพราะในตัวมีปรสิตเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมอาศัยอยู่


เพียงไม่นาน แสงสีแดงก็ท่วมท้นการมองเห็น

 

 

 


ราชันเร้นลับ 985 : ข้ารับใช้ของความลับ

 

เหนือมิติหมอกสีเทาที่ไร้ขอบเขต ภายในพระราชวังอันงดงาม


ในวินาทีที่เลียวนาร์ด·มิเชลปรากฏตัวด้านข้างโต๊ะทองแดงยาว จิตใต้สำนึกของมันบ่งบอกให้ทำความเคารพเดอะฟูล


ทว่า เมื่อกวาดตาไปมอง จุดดังกล่าวว่างเปล่าปราศจากผู้ใดนั่ง


ไม่ใช่ว่ามิสเตอร์ฟูลอยู่ที่นี่ตลอดหรือ? เลียวนาร์ดครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่ง


‘เดอะเวิร์ล’ นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบงัน ร่างกายพร่ามัวประหนึ่งกลมกลืนไปกับหมอก


“มีแค่เราสองคน ไม่ต้องใช้หน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ได้” เลียวนาร์ดนั่งลง กล่าวอย่างเป็นกันเองกับเดอะเวิร์ล


เมื่อพบว่ามิสเตอร์ฟูลไม่อยู่ มันผ่อนคลายลงอย่างมาก มิได้ประหม่าเหมือนขณะเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ แทบจะยกขาขึ้นมาพาดบนโต๊ะ


“ผมเคยชินไปแล้ว” ไคลน์ตอบห้วน


เลียวนาร์ดพยักหน้ารับ


“ผมได้ยินว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในทะเลเป็นคนเย็นชา สงวนท่าที สง่างาม และสุภาพ บรรยากาศรอบตัวคุณในปัจจุบันบ่งบอกเรื่องนั้นเป็นอย่างดี… แต่ว่านะไคลน์ ตัวคุณเมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้ จงจำไว้ว่านั่นเป็นแค่การแสดง อย่าปล่อยให้อิทธิพลของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ครอบงำ”


เฮ้เฮ้… ฉันเรียกนายขึ้นมาเพื่อคุยเรื่องอามุนด์ ไม่ใช่พูดจาไร้สาระ! เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณปู่ในตัวนาย ทำไมถึงได้สบายใจนัก! ในตอนแรก ไคลน์คิดจะใช้บรรยากาศและมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตามความเคยชิน แต่หลังจากได้ยินเลียวนาร์ดกล่าวเช่นนั้น มันกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเป็นโฉมเดิม หัวเราะในลำคอและกล่าว


“พาลีส·โซโรอาสเตอร์เป็นคนสอนหรือ เกี่ยวกับเรื่องที่ ‘ห้ามลืมว่ากำลังสวมบทบาท’ ?”


“ใช่” เลียวนาร์ดตอบใจเย็น


ปู่คนนี้ไม่เลว ถึงกับสอนสิ่งสำคัญให้เลียวนาร์ด… เมื่อเทียบกับแล้ว ครึ่งเทพในร่างหนูก่อนหน้านี้ค่อนข้างแย่ แทบไม่สอนอะไรเฮเซลเลย แถมยังบอกข้อมูลผิดๆ … หึหึ ต่อให้เป็นผู้วิเศษเถื่อนที่ไม่มีครูบาอาจารย์หรือองค์กร แต่ถ้าเป็นถึงครึ่งเทพก็ย่อมต้องได้รับความรู้จากโอสถบ้าง ไม่มีทางโง่เขลาโดยสมบูรณ์ แม้แต่งูทะเลคาเวทูว่าก็ยังรู้วิธีตอบสนองพิธีกรรม เรียกร้องเครื่องเซ่น และรู้จักมอบบางสิ่งตอบแทน… ไคลน์เปลี่ยนบรรทัดฐานเกี่ยวกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์


อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังไม่รีบตัดสิน เพราะท้ายที่สุด การตกปลาก็จำเป็นต้องใช้เหยื่อดีๆ พฤติกรรมเพียงเรื่องเดียวไม่ช่วยให้เห็นภาพรวม


เมื่อเห็นไคลน์เงียบ หลังจากทักทายเสร็จ เลียวนาร์ดเข้าประเด็นทันที


“คุณพบเบาะแสใหม่ของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ที่ไหน?”


ไคลน์เน้นเสียงตอบ


“ผมกำลังไล่ล่าครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมที่ใกล้คลุ้มคลั่ง แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับอามุนด์ในเขตชานเมืองของเบ็คลันด์ ต้องอาศัยพลังของมิสเตอร์ฟูลเพื่อหลบหนีฉับพลัน”


“ร่างโคลนของอามุนด์ยังอยู่ในเบ็คลันด์จริงๆ ด้วย…” เลียวนาร์ดถอนหายใจ จากนั้นก็ถามด้วยท่าทีผ่อนคลาย “ว่าแต่ ทำไมคุณถึงไล่ล่าครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมที่ใกล้คลุ้มคลั่ง?”


ถามจบ มันฉุกคิดบางสิ่งได้ รีบเสริมทันที


“หากเรื่องนั้นเกี่ยวกับแผนการของมิสเตอร์ฟูล ให้ถือว่าผมไม่เคยถาม”


ทำไมน่ะหรือ? ก็การปราบปรามผู้คลุ้มคลั่งคืองานของเหยี่ยวราตรีไม่ใช่รึไง? ได้ยินคำถามเลียวนาร์ด ไคลน์ถอนหายใจครู่หนึ่ง


มันอดไม่ได้ที่ย้อนนึกถึงความทรงจำสมัยทิงเก็น


ในช่วงเวลานั้นๆ ราวสองเดือนกว่า มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นไม่น้อย ไม่ว่าจะการปราบปราม ‘ทูตพิพากษา’ แห่งโบสถ์วายุสลาตันที่คลุ้มคลั่ง ฮู้ด·ยูเก็นที่คลุ้มคลั่ง ลุงนีลล์ที่ถูกปราชญ์เร้นลับกัดกร่อน แม้จะมีจำนวนคดีไม่มาก แต่ก็สร้างความประทับใจให้ไคลน์ไม่น้อย คติธรรมบางอย่างได้ถูกสลักลงในใจ


ดังนั้น อาศัยความสามารถในการสืบสวนที่เชี่ยวชาญ เมื่อได้ยินข่าวเฮเซลถูกหนูบ้ากัด มันก็วิเคราะห์ทันทีว่าครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมคงใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที ไม่ลังเลที่จะใช้ภาพลวงตา ‘สอบปากคำ’ จากเฮเซลโดยตรง จากนั้นก็ไม่มัวรีรอ ไม่ต้องเตรียมตัวนานเป็นวันหรือสองวัน ส่งตัวเองขึ้นไปบนมิติหมอกสีเทาและเตรียมการเบื้องต้น วางแผน จากนั้นก็ลงมือทันที


สำหรับมัน การทำแบบนี้ก็เหมือนกับพนักงานดับเพลิง!


นอกจากนั้น ไคลน์อยากจัดการครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมตนนี้มานานแล้ว เพราะอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายกับเฮเซลชัดเจนเกินไป นอกจากนั้น หล่อนยังพยายามล่อลวงให้มิสเมจิกเชี่ยนไปหาขุมทรัพย์ ซึ่งความจริงแล้วเป็นกับดัก หากไม่ติดว่าตอนนั้นไคลน์ยังไม่ใช่ครึ่งเทพ ฝีมือห่างกันเกินไป คงลงมือจัดการทันทีโดยไม่มัวรีรอ


ดังนั้น หลังจากยืนยันสถานการณ์ของครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม ไคลน์เริ่มแผนการล่า


แผนขั้นแรก พาเหยื่อออกจากคฤหาสน์กวางมูส ด้วยเกรงว่าร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ก่อนตายของอีกฝ่ายจะสร้างความเดือดร้อนให้คนธรรมดา ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจ แผนส่วนใหญ่ราบรื่น เพียงแต่การระดมยิงด้วยปืนใหญ่อัดอากาศล้มเหลว ทำให้ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมสามารถหลบหนีและเข้าไปเป็นปรสิตในต้นไม้ใหญ่


เดิมที ไคลน์มีแผนสอง เตรียมไว้ในสถานการณ์ที่มิอาจจัดการกับหล่อนได้เด็ดขาด แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ อามุนด์ปรากฏตัวขึ้น จนไคลน์ต้องสละแผนทั้งหมดและรีบร้อนเผ่นหนีโดยไม่ลังเล แผนดังกล่าวก็คือ บังคับให้หุ่นเชิดตัวหนึ่งออกจากสนามรบ เขียนจดหมายบอกให้แพทริค·เบรน ครึ่งเทพที่เป็นผลผลิตอันล้มเหลวจากมรณาเทียม เดินทางมาช่วยอีกแรก เพราะ ‘อมรณา’ รายนี้น่าจะมีความสามารถในการเดินทางผ่านโลกวิญญาณระดับหนึ่ง หรือถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน มันก็เตรียมไหว้วานมิสผู้ส่งสาร จ่ายนั้นก็ค่อยตามใช้หนี้


ขณะความคิดล่องลอย ไคลน์ตอบคำถามเลียวนาร์ดพลางถอนหายใจยาว


“ความลับน่ะ”


เว้นวรรคครู่หนึ่ง มันถามเสียงขรึม


“ทำไมคุณถึงไม่หาโอกาสแจ้งโบสถ์รัตติกาลว่าร่างโคลนอามุนด์อยู่ในเบ็คลันด์?”


เลียวนาร์ดเริ่มอธิบายอย่างฉะฉาน ระบุว่าหากอามุนด์ที่ปรากฏตัวในเบ็คลันด์เป็นร่างจริง จะเกิดเหตุการณ์ ‘ทวยเทพเสด็จลงมาเยือน’ อย่างแน่นอน นอกจากนั้น อามุนด์สามารถ ‘เห็น’ ชะตากรรมผ่านความตายของร่างโคลน ถอดรหัสความเชื่อมโยงและค้นหาต้นตอความวุ่นวาย คาดเดาได้ในระดับหนึ่งว่าต้นตอของเรื่องราวอาศัยอยู่ในขอบเขตใด และอามุนด์ยังชอบที่ใช้ร่างโคลนตัวหนึ่งทำตัวโดดเด่น แต่รอบๆ มันมีร่างโคลนอีกหลายร้อยอำพรางอยู่ในสิ่งมีชีวิตประเภทต่างๆ หากไม่ใช่ครึ่งเทพ คงยากที่จะตรวจพบว่าสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นโฮสต์


จนกระทั่งในตอนสุดท้าย เลียวนาร์ดเล่าให้ไคลน์ฟังเกี่ยวกับวิธีที่อามุนด์ขโมยชะตากรรมเหยื่อ


ได้ยินเช่นนั้น ไคลน์เริ่มใจเย็นลง ขอบคุณตัวเองที่ไม่เลินเล่อคิดจะจัดการกับอามุนด์ ไม่อย่างนั้น ปัจจุบันตำแหน่งมิสเตอร์ฟูลคงเปลี่ยนมือ


เข้าใจแล้วว่าทำไมเลียวนาร์ดถึงไม่รายงานเรื่องนี้… อามุนด์จงใจให้ร่างโคลนปรากฏตัวอย่างโฉ่งฉ่าง แต่ความจริงแล้วนั่นคือเหยื่อล่อ โดยมีร่างอื่นๆ อีกจำนวนมากซ่อนอยู่ในเงามืด แถมยังสามารถเป็นปรสิตในสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก… แค่นึกภาพตามก็ชวนให้หนังหัวกระตุกแล้ว… ตัวเราในปัจจุบันยังไม่มีปัญญาจะควบคุมสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กถึงขั้นนั้น เพราะยิ่งตัวเล็ก ด้ายวิญญาณก็ยิ่งไม่ชัดเจน ยกเว้นแต่ในกรณีพิเศษ… เฮ้อ… เราคงหวังพึ่งโบสถ์รัตติกาลไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าคนรายงานให้โบสถ์ทราบจะไม่มีความผิดปรกติใดๆ เลย… ไคลน์นึกเสียดาย ขณะเดียวกันก็ตกตะลึงในความน่าสะพรึงของอามุนด์


ในสายตาชายหนุ่ม เลียวนาร์ดคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการรายงานไปถึงโบสถ์ แต่ติดตรงที่พาลีส·โซโรอาสเตอร์ในร่างกายไม่ปรารถนาจะเสี่ยงเผยตัวต่อหน้าอามุนด์


อันที่จริง มิสเตอร์แฮงแมนก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ทำงานนี้ได้ แต่เขายังขาดแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่จะทำให้โบสถ์ยอมเชื่อ… หากต้องการให้เขาเป็นคนรายงาน คงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการหาเบาะแสที่เป็นรูปธรรม…


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ย้อนกลับมานึกถึงตัวเอง นึกถึงตัวตนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้และเกอร์มัน·สแปร์โรว์!


ในฐานะข้ารับใช้ของรัตติกาล ตัวเราน้ำหนักพอจะให้โบสถ์รัตติกาลเชื่อว่าอามุนด์อยู่ในเบ็คลันด์จริง แถมอามุนด์ก็ยังย้อนกลับเบาะแสมาหาไม่ได้!


และเนื่องจากเราคือจอมเวทพิสดารที่ต่อสู้กับครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม จึงเป็นคนเห็นว่าร่างโคลนของอามุนด์มาเยือนเบ็คลันด์กับตาตัวเอง ข้อเท็จจริงตรงนี้จะไม่ทำให้อามุนด์สงสัย… นอกจากนั้น เรายังเป็นข้ารับใช้ของรัตติกาล หากอามุนด์ไม่ต้องการเสียร่างโคลน มันก็คงไม่อยากยุ่งสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นอาจตกหลุมพราง ‘ทวยเทพเสร็จลงมาเยือน’ ก็เป็นได้!


รู้สึกโชคดีที่ได้อยู่หลังฉาก… แต่ของขวัญจากโชคชะตาทั้งหมด ล้วนมีราคาที่ต้องแลกมา… ไคลน์เริ่มสรุปข้อมูลได้เบื้องต้น


จากนั้น มันเปลี่ยนมุมมองในการคิดตามความเคยชิน ลองคิดในมุมอามุนด์


เส้นทางนักทำนายไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับอามุนด์ มันสามารถคาดเดาเส้นทางของเราได้จากพลังสองชนิดซึ่งประกอบด้วยการเชิดหุ่นและการสลับตำแหน่งกับหุ่น


ในเมื่อปล่อยให้จอมเวทพิสดารหนีไปได้ อามุนด์คงทำใจไว้แล้วว่าข้อมูลของตนจะถูกเปิดเผย บางที มันอาจหวังล่อให้เหยื่อที่ต้องการเข้าไปติดกับ…


เราปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะถ้ามันรู้เส้นทาง ย่อมต้องรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือผู้ไร้หน้า สามารถแปลงโฉมเป็นใครก็ได้… อา… แล้วอามุนด์จะใช้เบาะแสใดยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเรา? ครึ่งเทพนิรนามเส้นทางนักทำนาย… เนื่องจากโบสถ์รัตติกาลและลัทธิเร้นลับต่างผูกขาดสูตรโอสถ ตะกอนพลัง วัตถุดิบ และนางเงือกไว้เป็นส่วนใหญ่ จอมเวทพิสดารไร้สังกัดจึงมีจำนวนเพียงหยิบมือ หรือแทบไม่มีเลย… ทายาทตระกูลอันทีโกนัสถูกเก็บกวาดหมดแล้ว ดังนั้น หากไม่ใช่คนของลัทธิเร้นลับ ก็ต้องเป็นคนที่โบสถ์รัตติกาลแอบเลี้ยงไว้…


ผนวกกับเรื่องที่ที่นี่คือเบ็คลันด์ คำตอบก็แทบจะนอนมา…


ด้วยเหตุผลข้างตน อามุนด์จึงเชื่อได้ว่า โบสถ์รัตติกาลกำลังจะรู้ถึงการมาเยือนของตนและเตรียมลงมือปฏิบัติการ ‘เก็บกวาด’ ร่างโคลน ดังนั้น การที่เราแจ้งให้โบสถ์รัตติกาลทราบ ก็นับเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอย่างมาก…


อา… เราจะซ่อนตัวแบบนี้ไปก่อน แม้ว่าอามุนด์จะขโมยชะตากรรมครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมรายนั้นมาแล้ว แต่ก็คงไม่แวะมาที่ถนนเบิร์คลุนไปอีกสักพัก!


คิดถึงจุดนี้ ไคลน์ผ่อนคลายลงหลายส่วน เนื่องจากตนยังมีเวลาให้เตรียมตัวอีกมาก!


“คุณมีไอเดียไหม?” เมื่อเห็นว่าไคลน์นิ่งไปนานหลังจากฟังคำอธิบาย เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะถาม


ไคลน์รวบรวมสมาธิ ถามกลับโดยยังไม่ตอบ


“พาลีส·โซโรอาสเตอร์มีคำแนะนำอะไรไหม?”


“เขาบอกว่า หากคุณต้องการขจัดร่างโคลนของอามุนด์ สิ่งที่จะขาดไม่ได้คือพรแห่งการปกปิด” เลียวนาร์ดตอบตามความจริง


พรแห่งการปกปิด… พาลีส·โซโรอาสเตอร์ต้องการทดสอบเรา… สัญลักษณ์หลังเก้าอี้เดอะฟูล ครึ่งหนึ่งหมายถึงความลับและการปกปิด… ถ้าเราใช้เทวทูตกระดาษคู่กับไพ่นักบวชสีชาด จริงอยู่ที่สามารถเคลื่อนพลังมิติหมอกเพื่อแทรกแซงการรับรู้ล่วงหน้าของร่างโคลนอามุนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะห้ามมิให้อามุนด์ร่างหลัก สอดส่องโชคชะตาหลังจากร่างโคลนตาย… แต่ว่า เรายังมีอีกหนึ่งตัวตนเป็นข้ารับใช้ของรัตติกาล หนึ่งในสมญานามของเทพธิดาคือ ‘มารดาแห่งความลับ’ … หากเราขจัดร่างโคลนอามุนด์สำเร็จ พระองค์จะมองว่าเป็นการ ‘ตอบแทน’ หรือเป็นการ ‘รับของขวัญ’ ? อาจจะทั้งคู่… ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบกลับเสียงทุ้ม


“บอกกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ว่า ผมเป็นข้ารับใช้ของความลับ จะพยายามสวดวิงวอนขอความช่วยเหลือ”


ไคลน์หมายถึง ตนคือข้ารับใช้ของ ‘มารดาแห่งความลับ’ แต่การพูดเช่นนี้จะทำให้พาลีส·โซโรอาสเตอร์เข้าใจว่าเป็นข้ารับใช้ของ ‘เดอะฟูล’

 

 

 


ราชันเร้นลับ 986 : อิทธิพลของปรสิต

 

มิสเตอร์ฟูลเองก็มีอำนาจในขอบเขตความลับเหมือนกันหรือ… เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย เริ่มเข้าใจว่าทำไมตาแก่ถึงเอ่ยเกี่ยวกับพรแห่งการปกปิด


โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ไคลน์เสริมประโยค


“นอกจากนั้น อย่าไปบอกกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ด้วย อามุนด์อาจทราบว่ามีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมอยู่หนึ่งตนในละแวกใกล้เคียงถนนเบิร์คลุน”


นี่มัน… รูม่านตาเลียวนาร์ดเบิกโพลง


“มันจะรู้ได้ยังไง?”


ขอโทษทีนะสหาย ฉันไม่สะดวกที่จะตอบ… ไคลน์รำพัน ก่อนจะตอบขึงขัง


“ผมไม่ใช่อามุนด์สักหน่อย”


“พฤติกรรมหรือคำพูดใดที่ทำให้คุณได้ข้อสรุปนี้มา?” เลียวนาร์ดถามตามความเคยชิน


เอ่อ… ฉันเป็นคน ‘บอก’ เจ้านั่นเอง… ไคลน์ตอบสนองด้วยการหัวเราะ


งั้นหรือ… เลียวนาร์ดพยักหน้าเล็กๆ


“เข้าใจแล้ว ฉันจะบอกตาแก่ให้”


มันเว้นวรรค


“คุณจะรอให้เขาช่วยวางแผนอย่างละเอียดไหม?”


ไคลน์อืมในลำคอ


“หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับอามุนด์และเส้นทางนักจารกรรม มีน้อยคนนักที่จะรู้มากกว่าท่าน”


กล่าวถึงตรงนี้ เมื่อค่อนข้างแน่ใจว่าอามุนด์คงไม่มาที่ถนนเบิร์คลุนสักระยะ มันกล่าวอย่างใจเย็น


“ยังไม่ต้องลงมือทำอะไร ไว้ค่อยคุยกันในชุมนุมทาโรต์วันพรุ่งนี้”


หืม… เท่าที่ดู เหตุการณ์ไม่ได้เร่งด่วนสินะ… เลียวนาร์ดอ่านความนับแฝงจากประโยค พยักหน้าเล็กๆ และตอบ


“ตกลง ไว้ค่อยคุยรายละเอียดกันในชุมนุมทาโรต์วันพรุ่งนี้”


จัดการเสร็จ ไคลน์ลุกขึ้นยืน หันหน้าทำความเคารพไปยัง ‘ประตูแห่งแสง’


“มิสเตอร์ฟูล พวกเราเสร็จแล้ว”


เลียวนาร์ดลุกขึ้นและเตรียมทำตาม แต่ก่อนจะได้ลงมือ ทัศนียภาพของมันพลันถูกอาบไปด้วยสีแดงเข้ม


จนกระทั่งได้สติกลับมา มันพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในป่าโปร่งเขตชานเมืองทางเหนือ


“มีอะไรจะบอกกับข้าไหม” เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้น


เลียวนาร์ดกระแอมและตอบ


“ไคลน์บอกว่า เขาเป็นข้ารับใช้ของความลับ จะลองขอความช่วยเหลือให้”


“ข้ารับใช้ของความลับ… อย่างที่คิด…” พาลีสถอนหายใจ “บอกกับเขาว่า หากสามารถวิงวอนขอพรแห่งการปกปิดได้จริง ข้ายินดีช่วยจัดการกับอามุนด์และค้นหาร่างโคลนทั้งหมดของเจ้านั่นในเบ็คลันด์”


เลียวนาร์ดไม่ประหลาดใจกับคำตอบ


“ตาแก่… ไม่เห็นอ่อนแอเหมือนที่ทำตัวก่อนหน้านี้เลย!”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะแห้ง


“เจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวอันโด่งดังของโรซายล์หรือ? อูฐที่อดอยาก ก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า”


“นั่นอยู่กับพันธุ์ของม้าและอูฐ…” เลียวนาร์ดยอกย้อนตามนิสัย หันไปถาม “ตาแก่ คุณจะจัดการกับอามุนด์ยังไง? ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ?”


“แฮ่ม!” พาลีสกระแอมขุ่นเคือง “ถ้าทำแบบนั้น สิ่งที่เราต้องเผชิญคือร่างจริงของอามุนด์ ไม่ใช่ร่างโคลน และถ้าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ทวยเทพจะเสร็จลงมาเยือนจนเกิดเป็นมหาสงคราม… สำหรับข้ายังพอมีทางเอาตัวรอด แต่กับเจ้า คงไม่แคล้วได้เข้าเฝ้าเทพธิดารัตติกาล”


“…” เลียวนาร์ดตอบโต้ได้เพียงภาษากาย


พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวต่อ


“แตกต่างจากเส้นทางอื่นที่คล้ายคลึงกัน ร่างโคลนของอามุนด์สามารถเติบโตได้ด้วยการดูดซับตะกอนพลังเส้นทางนักจารกรรม จากนั้นก็แบ่งหนอนกาลเวลาเป็นจำนวนมาก ส่งออกไปเป็นปรสิตในร่างสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ตราบเท่าที่ในละแวกดังกล่าวมีตะกอนพลังมากพอ กระบวนการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ไม่รู้จบ”


“นี่มัน… ฟังดูเหมือนโรคระบาด” เลียวนาร์ดเย็นสันหลังวาบ


หากตะกอนพลังของเส้นทางนักจารกรรมมีมากพอ ร่างโคลนของอามุนด์สามารถเข้าไปเป็นปรสิตในร่างของคนทั้งเมืองได้ไม่ยาก!


“ทำนองนั้น” พาลีสช่วยยืนยันคำพูดเลียวนาร์ด ก่อนจะถอนหายใจ “เพื่อจะจัดการกับอามุนด์ เรามีเพียงวิธีเดียวก็คือ ล่อเจ้านั่นด้วยตะกอนพลังของครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม ตราบใดที่เราปราบร่างโคลนตัวหนึ่งสำเร็จ โอกาสจัดการตัวที่เหลือก็ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม อามุนด์เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอกลวง เราต้องระวังตัวให้มาก ไม่อย่างนั้น ฝ่ายที่คิดว่ากำลังล่อเหยื่ออย่างเรา แท้จริงแล้วอาจกำลังเป็นเหยื่อเสียเอง สำหรับประเด็นนี้ พรแห่งการปกปิดคือกุญแจสำคัญ!”


“เข้าใจแล้ว” เลียวนาร์ดถอนหายใจแผ่ว หันไปถาม “ร่างโคลนของอามุนด์แข็งแกร่งขนาดไหน?”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปหลายวินาที ราวกับกำลังนึกทบทวน จากนั้นก็ตอบ


“ในทางทฤษฎี ร่างโคลนที่แข็งแกร่งที่สุดของอามุนด์สามารถเป็นได้ถึงลำดับ 1 แต่โอกาสทำได้จริงน้อยมาก เพราะนั่นจะทำให้จิตใจขาดเสถียรภาพ ง่ายต่อการคลุ้มคลั่ง… กล่าวโดยทั่วไป ร่างโคลนคือหนอนกาลเวลา เริ่มแรกจะมีพลังเทียบเท่าลำดับ 4 ที่อ่อนแอ แต่ก็มีคุณสมบัติในการบดขยี้ตะกอนพลัง หลังจากดูดซับตะกอนพลังเส้นทางนักจารกรรมไปเรื่อยๆ ร่างโคลนเหล่านั้นสามารถพัฒนาไปถึงลำดับ 2 แต่อามุนด์ไม่ค่อยทำเช่นนั้น เจ้านั่นชอบที่จะแยกร่างเป็นจำนวนมาก และเหนือสิ่งอื่นใด พิจารณาจากสถานการณ์ของกรุงเบ็คลันด์ ร่างโคลนของอามุนด์ไม่น่าจะไปถึงลำดับ 2”


เลียวนาร์ดไตร่ตรองสักพัก


“หมายความว่า เราจะได้เผชิญหน้าอามุนด์กลุ่มใหญ่ โดยในหมู่พวกมัน ส่วนใหญ่จะเป็นลำดับ 4 ที่อ่อนแอ มีจำนวนหนึ่งเป็นลำดับ 4 ทั่วไป และมีอีกจำนวนน้อยเป็นลำดับ 3 ผมพูดถูกไหม?”


“ตามปรกติก็ใช่… อามุนด์ชอบทำแบบนั้น แต่ต้องไม่ลืมว่าเจ้านั่นเก่งด้านการหลอกลวง” พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตักเตือน “นอกจากนั้น พิจารณาจากระยะเวลาที่อามุนด์เริ่มอยู่ในเบ็คลันด์ ตะกอนพลังเส้นทางนักจารกรรมที่รวบรวมได้น่าจะยังมีไม่มากนัก เพราะท้ายที่สุด ที่นี่คือเบ็คลันด์… หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ร่างโคลนของมันจะเน้นพัฒนาให้แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งตัว จากนั้นก็ให้ตัวอื่นรายล้อมคอยสนับสนุน กุญแจสำคัญในการกำจัดอามุนด์ก็คือ ห้ามให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเด็ดขาด ต้องรีบเก็บเรียงตัวในตอนที่มีเทวทูตขอบเขตความลับคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นมันอาจหนีสำเร็จ”


“จัดการได้ยากจริงๆ … ขนาดว่านี่เป็นแค่ร่างโคลนที่ถูกแบ่งออกมาให้โตเองอย่างส่งเดช… สมแล้วที่เป็นราชาเทวทูต” เลียวนาร์ดถอนหายใจ จากนั้นก็นึกถึงคำเตือนไคลน์ จึงรีบแจ้ง “ดูเหมือนอามุนด์จะดูดซับครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมได้เพิ่มอีกหนึ่งตน ไคลน์เล่าว่า เขาได้พบกับอามุนด์ในตอนที่พยายามไล่ล่าครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมที่ใกล้คลุ้มคลั่ง… แล้วก็ ดูเหมือนว่าอามุนด์จะทราบเรื่องที่ มีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมหนึ่งคนอาศัยอยู่ใกล้ๆ ถนนเบิร์คลุน”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปอีกครั้ง มิได้กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน


ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นว่าเลียวนาร์ดต้องการคำตอบ มันถอนหายใจและกล่าว


“ทำไมอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าถึงชอบสร้างปัญหาไม่ต่างกันเลย?”


“หมายความว่ายังไง?” เลียวนาร์ดทำหน้ามึนงง


พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวด้วยเสียงขุ่นเคือง


“การที่อามุนด์รู้ว่ามีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมอยู่ในละแวกใกล้เคียงถนนเบิร์คลุน ต้นตอต้องมาจากเขาไม่มากก็น้อย!”


“ต…ตาแก่… คุณใช้พลังถอดรหัสวิเคราะห์เอาหรือ?” เลียวนาร์ดถามอย่างประหลาดใจ


พาลีสถอนหายใจแรง


“ข้าใช้สมอง! ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงต้องเกี่ยวข้องกับถนนเบิร์คลุน?”


นั่นก็จริง ปัญหาทั้งหมดในถนนเบิร์คลุนล้วนมีต้นตอมาจากดอน·ดันเตส… หรือว่าปัญหาคราวนี้ก็ด้วย? เลียวนาร์ดฉุกคิดขึ้นมาได้


ทันใดนั้น พาลีสถอนหายใจยาวและกล่าว


“โชคดีที่เขาบอกไปแค่ว่าเป็นเทวทูต เพราะถ้าเอ่ยชื่อจริงของข้า คำแนะนำเดียวคือเราต้องออกจากกรุงเบ็คลันด์โดยเร็วที่สุด… เจ้าไปบอกกับเขา ตอนนี้มีสองวิธี: ประการแรก หาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ขึ้นไปในเส้นทางนักจารกรรมมาเป็นเหยื่อล่อ หรือไม่ก็ครึ่งเทพเส้นทางเดียวกันก็ได้ เราจะวางกับดักจากตรงนี้ โดยขั้นตอนทั้งหมดต้องกระทำผ่านพรแห่งการปกปิด ต้องเป็นธรรมชาติ สมเหตุสมผล ราบเรียบ และไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย… ประการที่สอง รอให้อามุนด์เข้ามาในถนนเบิร์คลุนด้วยตัวเอง โดยทางนั้นมีตัวเลือกสองวิธี หนึ่งคือการ ‘แทนที่ชะตากรรมของใครบางคน’ และอีกหนึ่งคือการลอยมาตามอากาศ ดังนั้น อดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าต้องมีพลังในการมองเห็น ‘การปลูกถ่ายชะตากรรม’ หรือไม่ก็สามารถตรวจจับความผิดปรกติในสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์คงมีเพียงการนำอาหารมาป้อนให้อามุนด์ฟรีๆ”


เปลือกตาเลียวนาร์ดกระตุกเล็กน้อย พยักหน้าเคร่งขรึม


“ผมจะไปบอกเขาตอนบ่ายวันพรุ่งนี้”


“ตกลง” พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจอีกครั้ง “นอกจากนั้น หากพวกเราประสบความสำเร็จในการกวาดล้างร่างโคลนทั้งหมดของอามุนด์ในเบ็คลันด์ หนอนกาลเวลาส่วนใหญ่ต้องเป็นของข้า”


เพื่อฟื้นฟูพลัง? เข้าใจแล้วว่าทำไมตาแก่ถึงอยากเสี่ยง… เลียวนาร์ดถามทันที


“หนอนกาลเวลาพวกนั้นมีตะกอนพลังของเส้นทางนักจารกรรมใช่ไหม?”


“สำหรับข้าก็ใช่ แต่สำหรับคนอื่นแล้วไม่” พาลีสตอบห้วน “หนอนกาลเวลาที่เหลือจากร่างโคลนอามุนด์จะมีตะกอนพลังในตอนแรก แต่เพียงไม่นานก็หายไปด้วยกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ พวกมันจะกลับไปหาร่างต้นอามุนด์ ต้องใช้พลังบางอย่างสำหรับยับยั้งกระบวนการนี้”


เลียวนาร์ดพยักหน้าเล็กน้อย ถามอย่างสงสัย


“แล้วทำไมยันต์ที่สร้างโดยหนอนกาลเวลาถึงแข็งแกร่งนัก?”


พาลีสหัวเราะเสียงดัง


“เจ้าลืมแก่นแท้ของยันต์ไปแล้วหรือ? ขั้นตอนหลักของการสร้างยันต์คือการสวดวิงวอนขอพลังจากตัวตนในระดับสูง วัสดุจึงต้องสามารถรองรับพลังและสัญลักษณ์ในการปรับปรุงพลัง บทบาทสำคัญของหนอนกาลเวลาคือการเป็นภาชนะ เป็นวัสดุระดับสูงที่มีพลังวิญญาณเพียงพอจะรับการตอบสนอง”


“กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังส่วนใหญ่ของยันต์โจรปล้นดวงมาจากมิสเตอร์ฟูล?” เลียวนาร์ดทำหน้าครุ่นคิด


พาลีสหัวเราะ


“ถูกต้อง เจ้าจะลองสร้างยันต์โจรปล้นดวงโดยสวดวิงวอนถึงอามุนด์ดูก็ได้… นอกจากนั้น คุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดก็ยังมีผลกับลักษณะของยันต์ หรือก็คือ วัสดุที่แตกต่างกันจะเกิดเป็นยันต์ที่แตกต่าง… อา… ศาสตร์การสร้างยันต์เป็นเรื่องซับซ้อน ยากจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ต้องใช้เวลาตกผลึกนานมาก”


ด้วยเหตุผลบางประการ เลียวนาร์ดรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก



บ่ายวันจันทร์ หลังจากใช้พลังมิติหมอกทำนายยืนยันว่ายังไม่มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับครอบครัวเฮเซล ไคลน์อดทนรอจนกระทั่งชุมนุมไพ่ทาโรต์ตอนบ่ายสามโมงตรง


ลำแสงสีแดงเข้มส่องสว่างภายในพระราชวังโบราณ ก่อนจะสงบลงในเวลาอันสั้น


‘จัสติส’ ออเดรย์ยืนขึ้นและหันไปคำนับสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวลายโบราณ


“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)