Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 973-982

ราชันเร้นลับ 973 : เทวทูตใหม่

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มของแฟรงค์ แคทลียาพลันเกิดอารมณ์ซับซ้อน ไม่นานก็ถอนสายตากลับและหันไปทางหมู่บ้านชาวประมงใกล้ท่าเรือซึ่งมีอนาคตกาลจอดเทียบท่า


ไม่มีคาดคิดว่า สถานที่แห่งนี้คือฐานลับสำคัญของนิกายมอสส์


เพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของชุมนุมแสงเหนือที่อาจเกิดขึ้น ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาพากองเรือของเธอมาหยุดพักที่นี่สักระยะแล้ว!


เธอยังไม่คิดจะออกเรือ แต่เตรียมใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในหมู่บ้านเพื่อติดต่อกับลูกน้องในบายัมที่กำลังจับตามอง ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผน


ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน อนาคตกาลจึงจะออกแล่นอีกครั้ง ตรงไปยังเมืองหลวงของหมู่เกาะรอสต์ภายในไม่กี่วันข้างหน้า



กรุงเบ็คลันด์ เดือนกรกฎาคม แสงอาทิตย์เจิดจ้าอย่างมาก แต่อุณหภูมิโดยรวมไม่ถือว่าร้อนจนเกินไป แทบไม่เกินสามสิบองศาเซลเซียส


เอ็มลินใช้หมวกทรงสูงบังแดดที่สองผ่านเมฆ เดินลงจากรถม้า เข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


มองเข้าไป มันเห็นนักบวชสวมชุดสีน้ำตาล สวมหมวกนักบวช ไม่ใช่ใครนอกจากบิชอปยูทรอฟสกี้ยืนเด่นตระหง่านราวกับภูเขาหน้าตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต กำลังเทศนาผู้เชื่อที่มาสวดมนต์ในตอนเช้า


เอ็มลินไม่มองนาน อ้อมเข้าไปทางหลังวิหาร มาถึงห้องส่วนตัวและเปลี่ยนชุดอย่างชำนาญ


มันเช็ดเชิงเทียนและสิ่งอื่นๆ เพื่อรอให้เหล่าสาวกเดินทางกลับ ราวยี่สิบนาทีถัดมา ในที่สุดก็สบโอกาสเดินไปนั่งช้างบิชอปยูทรอฟสกี้ หันหน้าไปทางตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและพึมพำกับตัวเอง


“หลวงพ่อ ข้ามีคำถาม”


บิชอปยูทรอฟสกี้เจ้าของคิวบางๆ และดวงตาสีฟ้าอ่อน ยิ้มและตอบ


“เล่ามาได้เลย”


เอ็มลินหยุดหายใจ พ่นคำพูดที่ไตร่ตรองมาทั้งคืน


“ถ้าเกิดว่า… ข้าสมมตินะ… มีญาติที่ไม่สนิทกันมากนักมาหลอกลวงท่าน ทำให้ท่านและเพื่อนตกอยู่ในอันตราย เกือบถึงแก่ความตาย และเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะขึ้นศาล ท่านจะลงโทษญาติคนนั้นอย่างไร?”


บิชอปยูทรอฟสกี้นั่งนิ่งคล้ายขุนเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกนุ่มนวล


“ก่อนอื่น เราต้องแน่ใจเสียก่อนว่าญาติคนนั้นประมาทหรือตั้งใจล่อลวงให้คุณเข้าไปในกับดัก หากเป็นอย่างแรก สิ่งที่ควรทำคือการตักเตือน พูดกับเขาดีๆ อย่ามัวคิดแต่จะลงโทษ แต่ถ้าเป็นกรณีหลัง เจ้าต้องยืนยันเสียก่อนว่าเป็นนิสัยประจำของเขาหรือไม่… ถ้าหากใช่ ต้องรีบกำจัดเขา ไม่อย่างนั้น เขาจะทำร้ายคนอื่นจนถึงแต่ชีวิตในสักวัน ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน ดังนั้น การจบชีวิตเขา ส่งกลับคืนสู่ดินและไปเกิดใหม่ในชีวิตถัดไป คือความเมตตาและการชำระล้างให้บริสุทธิ์…”


กำจัด… นักบวชกำลังพูดเรื่องการฆ่าได้เป็นธรรมชาติ สุขุม และสงบนิ่งกว่ามิสเตอร์เวิร์ลมาก! กล้ามเนื้อใบหน้าเอ็มลินขยับเล็กน้อย รีบขัดจังหวะคำตอบของบิชอปร่างยักษ์


“ไม่… เขาไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น เป็นการทำไปด้วยเหตุผลบางอย่าง เป้าหมายมีแค่ข้าคนเดียว… นั่นคือเหตุผลที่ข้าไม่อยากถึงขั้นทำให้ตาย”


ทันทีที่สิ้นเสียง เอ็มลินนั่งตัวแข็ง พบว่าตนเผลอหลุดปากไปว่า เหยื่อคือตัวมันเอง และนั่นคือปัญหาภายในของตระกูลผีดูดเลือด


หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ชำเลืองด้านข้าง กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ไม่เลว… คุณเข้าใจคุณค่าของชีวิตแล้ว”


เอ็มลิ้นฝืนยิ้ม


“แล้วข้าควรลงโทษเขาอย่างไร?”


บิชอปยูทรอฟสกี้ชำเลืองไปทางตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตด้านหน้า


“ผมไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง… คุณสามารถพาเขามาที่นี่ ให้ฟังคำเทศนาจากผม ฟังพระคัมภีร์ ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต สัมผัสถึงพระกรุณาของพระแม่ ทำงานชดใช้บาปที่เคยก่อ”


นั่นมันสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ใช่หรือ? เอ็มลินผงะ ก่อนจะพบว่า วิธีการดังกล่าวสอดคล้องกับสิ่งที่มันปรารถนา


ด้วยวิธีนี้ เออร์เนสโบยาร์จะไม่ตาย และไม่ใช่การทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายเพื่อเอาคืน เหนือสิ่งอื่นใด วิธีนี้จะไม่สร้างความขัดแย้งภายในหมู่เครือญาติ!


แน่นอน ทุกวิธีย่อมมีข้อเสีย สำหรับเอ็มลิน หากต้องการทำให้สำเร็จ ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ:


จะพาตัวเออร์เนส·โบยาร์มาที่วิหารฤดูเก็บเกี่ยวได้อย่างไร?


ในวินาทีที่ตนกลายเป็นอาสาสมัครของที่นี่ ผีดูดเลือดทั่วทั้งเบ็คลันด์ต่างพยายามอยู่ให้ไกลจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว เช่นเดียวกับกันเออร์เนส·โบยาร์ ยากมากที่จะถูกหลอก!


และสำหรับการใช้ความรุนแรง เอ็มลินเชื่อว่าตนที่มีแหวนจากบรรพบุรุษและหนังสือเวทมนตร์จากมิสเมจิกเชี่ยน การเอาชนะไวเคาต์เออร์เนส·โบยาร์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่า การควบคุมตัวนั้นเป็นคนละเรื่องกับการเอาชนะ เพราะท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายก็ยังเป็นถึงไวเคาต์ผีดูดเลือด ผู้วิเศษทัดเทียมลำดับ 5 นอกจากนั้น ถึงเออร์เนสจะมีอายุไม่มากนัก แต่ก็สะสมของไว้มากทีเดียว


ในสถานการณ์ดังกล่าว การลงมือตรงๆ ยากจะกะเกณฑ์ผลลัพธ์ได้แม่นยำ หากโชคร้าย อีกฝ่ายก็อาจถึงแก่ความตายระหว่างขัดขืน ขัดต่อความตั้งใจเดิมของเอ็มลิน


คงต้องขอความร่วมมือจากใครสักคน… ในเบ็คลันด์มีสมาชิกของชุมนุมทาโรต์หลายคน หากพวกเราร่วมมือกัน การควบคุมตัวเออร์เนสก็ไม่ใช่เรื่องยาก… อา… เราไม่ควรเปิดเผยตัวเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้องเป็นความร่วมมือในคนละส่วน แบบที่ไม่ต้องเจอหน้ากันเลย… ท่ามกลางกระแสความคิด เอ็มลินตัดสินใจหนักแน่น เตรียมขอคำปรึกษาในชุมนุมทาโรต์สัปดาห์ถัดไป


มันพยักหน้าแผ่วเบา ตอบสนองต่อคำแนะนำของบิชอปยูทรอฟสกี้


“ฟังดูเข้าท่า… ข้าขอสงบสติอารมณ์สักสองสามวันก่อนตัดสินใจ”


บิชอปร่างยักษ์ผงกศีรษะ ยิ้มเล็กน้อย


“ผลลัพธ์เกิดจากการหว่านไปจนถึงเก็บเกี่ยว เป็นกระบวนการที่ยาวนาน ต้องอดทน… ดูเหมือนว่าคุณจะเริ่มเข้าใจมันแล้ว”


แน่นอน นั่นคือความรู้พื้นฐาน! เอ็มลินเชิดคางเล็กน้อย ประสานมือกันตามความเคยชิน หันหน้าไปทางตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและเริ่มสวดมนต์



บ้านเลขที่ 22 ถนนเฟลป์ สำนักงานกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา


ออเดรย์วางเอกสารในมือลงบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นและชำเลืองนาฬิกาแขวนบนผนังห้องผู้อำนวยการ จิตใจกระสับกระส่ายจนยากผ่อนคลาย


เธอนัดหมายกับเอสลันด์ไว้ว่า ในช่วงบ่ายต้องเข้าพบสตีเฟ่น·ฮันเพรสที่บ้านของอีกฝ่าย


ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าจะมีการทดสอบ… ถ้าทางสมาคมแปรจิตรอบคอบมากพอ พวกเขาอาจรายงานไปยังเบื้องบนและให้ใครสักคนคอยจับตามอง…


พิจารณาจากลำดับและฝีมือของเธอ แม้ออเดรย์จะมิอาจยืนยันว่า ‘ผู้ชม’ ลำดับสูงน่ากลัวแค่ไหน แต่ก็พอจะเดาออกว่ามีพลังในทิศทางใด ส่งผลให้เธอประหม่าเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุม กังวลว่าจะถูก ‘เห็น’ ในสิ่งที่ไม่ควร


อันที่จริง เราควรประวิงเวลาให้นานกว่านี้อีกสักนิด… ถึงการยืดเวลาออกไปจะทำให้ถูกสงสัยได้ง่าย แต่การรอให้มิสเตอร์เวิร์ลกลับจากทวีปใต้นั้นสำคัญกว่ามาก แม้จะถูกสงสัยไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็มีอีกฝ่ายคอยคุ้มครองภายในอาคารสำนักงาน ไม่ต้องกังวลว่าผู้ชมลำดับสูงจะตรวจพบความผิดพลาด… เฮ่อ… ออเดรย์ เธอยังคิดน้อยเกินไป… ออเดรย์ถอนหายใจเงียบ ร่าย ‘ปลอบโยน’ ใส่ตัวเองเพื่อสงบอารมณ์


ณ ตอนบ่าย เธอไม่รีบร้อนออกจากกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา ยังคงนั่งในสำนักงาน ก้มศีรษะลงและประสานมือด้านหน้า สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเสียงต่ำ


จัดการเสร็จ เธอพาสาวใช้แอนนี่และซูซี่สุนัขตัวใหญ่ ขึ้นรถม้าส่วนตัว เดินทางไปที่บ้านพ่อค้าเครื่องเรือนนามว่าสตีเฟ่น·ฮันเพรส


เพียงรถม้าเริ่มออกตัว แสงสว่างอันเจิดจ้าปรากฏขึ้นในการมองเห็น


ท่ามกลางลำแสง นางฟ้าที่มีปีกสิบสองคู่อาบด้วยแสงสีทองค่อยๆ ร่อนลงมา โอบกอดเธอด้วยปีกที่สร้างจากเปลวเพลิงทีละชั้น


ทัศนวิสัยของออเดรย์กลับเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว อาศัยการชำเลืองด้วยหางตา เธอพบว่าสาวใช้แอนนี่และซูซี่ยังคงมีท่าทีปรกติ ไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่


แตกต่างจากเทวทูตองค์ก่อน… ไม่เพียงมิสเตอร์ฟูลจะฟื้นคืนพลัง แต่เทวทูตของท่านก็ด้วย? มุมปากออเดรย์ยกโค้งเล็กน้อย ฝืนหุบยิ้มด้วยหัวใจเบิกบาน


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถม้าของเธอหยุดลงตรงหน้าประตูบ้านสตีเฟ่น·ฮันเพรส


หลังจากยื่นมือไปหาสาวใช้แอนนี่ ออเดรย์ลงจากรถม้า เดินไปที่ประตู ยืนมองผู้ติดตามช่วยสั่นกริ่ง


ผ่านไปสักพัก เอสลันด์เดินมาเปิดประตู และเช่นเคย เธอเดินนำออเดรย์ไปยังห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่ง ส่วนแม่บ้านและสุนัขตัวใหญ่ถูกพาไปยังห้องนั่งเล่นคนใช้


มาถึงประตูห้องนั่งเล่น เอสลันด์เหยียดมือไปเปิดประตูและค้างไว้ ส่งสัญญาณบอกให้ออเดรย์เข้าไป


หรือว่า… ออเดรย์คาดเดาคลุมเครือ แต่ภายนอกยังสงบนิ่ง เดินผ่านประตูที่เอสลันด์เปิดอย่างไม่รีบ


เอสลันด์ไม่ได้ตามเข้ามาด้วย ปิดประตูห้องนั่งเล่นจากด้านนอก


ออเดรย์มองตรง พบโซฟาเดี่ยวในห้องนั่งเล่นกำลัง พบชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งนิ่ง


ชายชราสวมเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก เสื้อนอกและกางเกงขายาวลายทางสีน้ำเงินอดเทา เนคไทสีแดงเข้ม ผมขาวโพลนทั้งหมด แต่ยังคงดกหนา บรรยากาศอ่อนโยนและสง่างาม


ดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายคล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความรู้และสติปัญญา ยกเว้นหน้าผาก จุดอื่นแทบไม่ปรากฏริ้วรอยให้เห็น


ออเดรย์รู้จักชายคนนี้ดี ที่ปรึกษาของราชวงศ์ เฮอร์วิน·แรมบิส!


แน่นอน เธอยังรู้จักตัวจริงของชายคนนี้จากชุมนุมทาโรต์:


หนึ่งในคณะกรรมการแห่งสมาคมแปรจิต!


เธอมิได้เก็บซ่อนความประหลาดใจ เพราะเธอกำลังตกตะลึงจากก้นบึ้ง แม้จะเดาได้ว่าอาจต้องพัวพันกับเฮอร์วิน·แรมบิส แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาตรงๆ นึกว่าจะคอยจับตามองอย่างลับๆ โดยให้สตีเฟ่นคือฮิลเบิร์ดเป็นฝ่ายออกหน้าแทน


“แปลกใจขนาดนั้นเชียว?” เฮอร์วิน·แรมบิสถามด้วยรอยยิ้ม


มันลุกขึ้นยืนและทักทาย


“ยินดีที่ได้รู้จัก มิสออเดรย์”


ออเดรย์จงใจอ้าปากและปิด ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มซับซ้อน


“ดิฉันไม่ทราบว่าต้องเรียกคุณว่าอย่างไร”


เฮอร์วิน·แรมบิสหัวเราะ


“เหมือนทุกครั้ง”


มันชี้ไปทางโซฟาด้านข้าง


“นั่งลงก่อน”


ออเดรย์สูดลมหายใจลึก เดินผ่านไปด้วยรอยยิ้มจางๆ นั่งลงบนโซฟาในระยะที่ไม่ห่างจากอีกฝ่ายเกินไป

 

 

 


ราชันเร้นลับ 974 : โลกแห่งจิต

 

เฮอร์วิน·แรมบิสจิบชาจากถ้วยกระเบื้องเคลือบ มองหน้าออเดรย์ที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าว


“ไม่ต้องเกร็ง พวกเรามิได้เพิ่งเคยเจอกัน ผมยังจำได้เมื่อสองปีก่อน คุณและผมเคยถกกันเรื่องปรัชญาคุณธรรมของเบอร์แมนและลัทธิปฏิบัตินิยมของคอนไซเซา”


ออเดรย์ยิ้มจาง


“มันยากที่จะให้เชื่อมโยงคุณเข้ากับคณะกรรมการของสมาคมแปรจิต”


เฮอร์วิน·แรมบิสยังไม่ได้แนะนำตัวเอง แต่พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันและความรู้ของออเดรย์ เธอมีสิทธิ์เชื่อมโยงได้อย่างสมเหตุสมผล


เฮอร์วินไขว่ห้างขวาทับซ้าย กล่าวพลางยิ้ม


“ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ต้องไม่ลืมว่า สมาคมแปรจิตของเราเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ เป็นนักวิชาการมากกว่านักธุรกิจ… อา… เป็นเพราะเป็นนักวิชาการ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่คุณจะมองว่าคณะกรรมการของสมาคมแปรจิตเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย”


หากไม่ใช่เพราะมิสเตอร์เวิร์ลเล่าให้ฟังว่า เฮอร์วิน·แรมบิสเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการฆ่าตัวตายของคารอน ไม่ว่าจะมองมุมใด ออเดรย์ก็พบว่าชายชราฝั่งตรงข้ามเปี่ยมไปด้วยความรู้ จิตใจอ่อนโยน มีอารมณ์ขัน เป็นนักปราชญ์ในอุดมคติที่ไม่หยิ่งผยอง แต่ปัจจุบัน เธอทราบความจริงแล้ว จึงไม่หลงเชื่อในสิ่งที่เห็นภายนอก


เธอมองหน้าอีกฝ่าย เรียบเรียงคำพูด ไม่ปล่อยให้สติจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป สร้างความคิดที่กระตือรือร้นและแตกต่าง เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกสะกดจิต


ทันใดนั้น คล้ายกับเธอตกอยู่ในภวังค์ มองเห็นดวงแสงบริสุทธิ์เจ็ดดวงที่อัดแน่นไปด้วยความรู้ มองเห็นร่างหนึ่งซึ่งแน่นหนาและยากจะอธิบาย ร่างดังกล่าวแผ่ปกคลุมทุกสิ่งจากมุมสูง


นี่คือผืนนภาแห่งวิญญาณ เป็นภาพสะท้อนโลกวิญญาณในจิตใจ!


และใต้ผืนนภาแห่งวิญญาณ มีทะเลลึกและมืด น้ำทุกหยดคล้ายกับจุดแสง คล้ายกับเป็นตัวแทนของจิตใต้สำนึกมนุษย์


ใกล้กับทะเลมีหลายเกาะ หนึ่งในนั้นเป็นเกาะของออเดรย์


เธอตระหนักได้ทันทีว่าที่นี่คือ ‘จิตใต้สำนึก’ ของเธอ บนผิวน้ำคือสิ่งที่เธอรับรู้และตระหนักถึง ส่วนลึกลงไปใต้ผิวน้ำทะเลคือข้อมูลระดับจิตใต้สำนึก มิอาจสัมผัสถึงจับต้องได้ตามใจชอบ


ในสภาพลอยอยู่เหนือเกาะ มองลงไปยังด้านล่าง สิ่งแรกที่ออเดรย์เห็นกลุ่มสีเทาที่เงียบงันและแปลกแยก พวกมันบดบังทัศนวิสัย ทำให้มองเห็นเพียงเค้าโครงขนาดใหญ่อันมืดมิดของจิตใต้สำนึก รวมถึงทะเลจิตใต้สำนึกรวมมายาที่กำลังกระเพื่อม เป็นการยากที่จะมองเห็นข้อมูลภายในนั้น


ออเดรย์กำลังสงสัยว่า ตนถูกส่งเข้าสู่ภาวะแปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ทันใดนั้นก็มองเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านล่างเกาะ ลึกลงไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวม กลุ่มก้อนสีเทาขนาดใหญ่ถูกแหวกออกเหมือนทะเลที่ถูกผ่าครึ่ง เผยให้เห็นบันไดที่ซึ่งมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้


บนขั้นบันได บุคคลหนึ่งเดินขึ้นมาด้วยความเร็วสูงราวกับหายตัว เพียงพริบตาก็เข้าสู่ระยะที่ออเดรย์มองเห็นได้ชัด


ผมสีขาวโพลนแต่ดกหนา สวมสูทมาตรฐานสามชิ้นและกางเกงขายาวสีน้ำเงินอมเทา เนกไทสีแดงเข้ม ริ้วรอยบนหน้าผากเด่นชัดกว่าจุดอื่น ไม่ใช่ใครนอกจากเฮอร์วิน·แรมบิส


เมื่อเทียบกับแรมบิสบนโซฟาเดี่ยว แรมบิสปัจจุบันมีบรรยากาศชั่วร้ายคล้ายนกล่าเหยื่อ ปราศจากรอยยิ้ม ใบหน้าก้มต่ำเล็กๆ คล้ายกับกำลังตรวจสอบจิตใต้สำนึกของออเดรย์ที่ซ่อนอยู่หลังบันได


ผ่านไปสองสามก้าว มันเข้าไปในเกาะจิตใต้สำนึกของออเดรย์ผ่านทะเลจิตใต้สำนึกรวม จากนั้นก็ย้ายไปยังผิวน้ำทะเล ทุกสิ่งเกิดขึ้นเงียบๆ ราวกับแขกผู้มาเยือนที่ไม่เคาะประตู


หลังจากเดินไปถึงอีกเกาะหนึ่ง เฮอร์วิน·แรมบิสเงยหน้าขึ้น ผิวหนังบางส่วนปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทา ดวงตาสีทอง รูม่านตาทรงรีแนวตั้ง ปราศจากอารมณ์โดยสิ้นเชิง


นี่มัน… ออเดรย์ที่ลอยกลางอากาศ ได้เห็นฉากตรงหน้าก็เข้าใจสถานการณ์ทันที


ที่นี่คือโลกแห่งจิต ด้านบนเป็นผืนนภาแห่งวิญญาณ ด้านล่างเป็นทะเลจิตใต้สำนึกรวมที่ประกอบไปด้วยเกาะจิตใต้สำนึกส่วนบุคคล!


ระหว่างที่ได้รับพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล เฮอร์วิน·แรมบิสบุกรุก ‘กายปัญญา’ ของเราผ่านทะเลจิตใต้สำนึกรวม คอยสังเกตพฤติกรรมหวาดระแวงของเราในโลกแห่งจิต… พรของเทวทูตช่วยแยกจิตสำนึกส่วนที่สำคัญที่สุดของเราออกจากกัน ช่วยให้เราสามารถควบคุมทุกสิ่งภายใต้ผืนนภาแห่งวิญญาณ ต่อกรกับพลังการอ่านใจที่แท้จริง… มหัศจรรย์อะไรขนาดนี้… ไม่สิ เฮอร์วิน·แรมบิสน่าขยะแขยงมากต่างหาก! เสียมารยาทที่สุด บุกเข้ามาใน ‘บ้าน’ คนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังไม่บอกกล่าว! ออเดรย์พึมพำในอากาศ


เธอเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน แบ่งจิตส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของ ‘เกาะ’ อีกส่วนหนึ่งตอบสนองเฮอร์วิน·แรมบิสที่กำลังนั่งบนโซฟาในโลกความจริง


“ดิฉันยิ่งต้องสำรวมเมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์มหาวิทยาลัย”


ขณะสนทนา ออเดรย์เปลี่ยนให้เกาะภายใน ‘พึมพำ’ ว่า:


คำเปรียบเปรยของเขาไม่ถูกต้องสักเท่าไร… ในฐานะคณะกรรมการอาวุโสของสมาคมแปรจิต อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในลำดับ 4 เป็นตัวตนระดับครึ่งเทพ จะไม่ให้หวาดกลัวได้ยังไงกัน!


เฮอร์วิน·แรมบิสบนโซฟาหัวเราะในลำคอ


“ถ้าคิดเช่นนั้นผมคงบังคับคุณไม่ได้… ผมเคยได้ยินฮิลเบิร์ตเล่าเรื่องของคุณให้ฟังแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็เลื่อนลำดับจาก ‘นักจิตบำบัด’ กลายเป็น ‘นักสะกดจิต’ ผมอยากทราบว่าคุณทำได้อย่างไร? อา… ผมได้ยินคำอธิบายที่คุณบอกกับเอสลันด์แล้ว นั่นคือความกล้าที่จะลงมือทำ ซึ่งผมอยากฟังรายละเอียดเพิ่มเติม”


กล่าวถึงตรงนี้ เฮอร์วิน·แรมบิสบนเกาะแห่งจิตของออเดรย์มองไปรอบๆ ด้วยสายตาไร้อารมณ์ คอยฟังเสียงสะท้อนจากภายใน


ออเดรย์เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว จึงแสร้งเรียบเรียงคำพูด กล่าวหลังจากผ่านไปสักพัก


“คำว่ากล้าที่จะลงมือคงไม่ถูกต้องนัก… เอ่อ… คงต้องกล่าวว่า ดิฉันเคยตั้งเป้าที่จะเป็นนักจิตบำบัด ในเมื่อได้รับครองพลังดังกล่าว ก็ยินดีที่จะลองใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันก็เป็นความสุขของดิฉันที่ได้ใช้พลังช่วยเหลือคนรอบข้างแก้ปัญหาทางจิตใจ”


ขณะกล่าว เธอแสดงออกด้วยท่าทีเขินอาย และเกาะแห่งจิตภายในก็กำลังสะท้อนในสิ่งเดียวกัน


เว้นวรรคสักพัก ออเดรย์กล่าวต่อ


“ระหว่างที่ตระเวนรักษา ดิฉันพบว่าโอสถย่อยได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง บางสิ่งในร่างกายถูกทุบจนแตกเป็นเสี่ยงๆ และหลั่งไหลเข้าสู่กระแสเลือด พร้อมกับมองเห็นดวงดาวมายาดวงหนึ่ง มิสเตอร์แรมบิส สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ? เอ่อ… ไม่รู้ทำไม นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันก็เชื่อว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะเป็นนักสะกดจิต… นั่นอาจเป็นเสียงบอกใบ้จากจิตใต้สำนึก”


กล่าวจบ ออเดรย์จงใจทำให้ตัวเองที่อยู่ภายในเกาะแห่งจิตแลบลิ้นน่ารักๆ เหมือนเด็ก ทำในสิ่งที่ปรกติแล้วจะไม่ทำ เพื่อพิสูจน์ว่าปัจจุบันกำลังเขินอายอย่างแท้จริง เพราะการเล่นเป็นจิตแพทย์นั้น ไม่ต่างอะไรกับการเล่นเป็นเจ้าหญิงในสมัยเด็ก


และความเขินอายย่อมหมายถึง เธอกำลังพูดความจริง


เฮอร์วิน·แรมบิสพยักหน้ารับ


“เก่งมาก… คุณค้นพบเทคนิคการสวมบทบาทด้วยตัวเอง”


“เทคนิคสวมบทบาท?” ออเดรย์เผยสีหน้าประหลาดใจเจือสับสนทั้งภายในและภายนอก ก่อนจะแสร้งทำเป็นกระจ่าง


เฮอร์วิน·แรมบิสกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เธอเข้าใจถูกแล้ว สวมบทบาทไปตามชื่อของโอสถและสรุปกฎที่สอดคล้อง นั่นคือเทคนิคสวมบทบาท จะช่วยให้โอสถถูกย่อยเร็วขึ้น เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดผลข้างเคียงด้านลบ… แต่ก่อนลำดับ 6 ทางเราไม่สนับสนุนให้สมาชิกใช้วิธีนี้เพื่อเร่งการย่อยโอสถ จึงมิได้สอน กลับกลายเป็นว่า คุณค้นพบมันด้วยตัวเองโดยบังเอิญ”


“แล้วทำไมถึงไม่สนับสนุน?” ออเดรย์ถามด้วยความสงสัยจากก้นบึ้ง


เฮอร์วิน·แรมบิสถอนหายใจและกล่าว


“วิธีนี้จะทำให้สมาชิกสูญเสียความเป็นตัวเอง บางคนอาจรอบรวมกับจิตตกค้างภายในโอสถ… สรุปให้เข้าใจง่าย สามลำดับล่างสุดต้องค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับพลังและการเป็นผู้วิเศษ สร้างความตระหนักรู้ถึงตัวเองอย่างลึกซึ้งและชัดเจน ช่วยให้รับมือกับปัญหาที่อาจเกิดกับเทคนิคสวมบทบาทในภายหลังได้ง่ายขึ้น… แน่นอน นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเส้นทางผู้ชม สำหรับเส้นทางอื่น ผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียด แต่ผู้วิเศษที่ใช้พลังในขอบเขตของจิตใจ จะแตกต่างเล็กน้อยกับเส้นทางที่ใช้พลังเกี่ยวกับการตระหนักรู้ตัวเอง”


ออเดรย์มิอาจบอกได้ว่า เฮอร์วิน·แรมบิสกำลังโกหกอยู่หรือไม่ เธอมองว่ามีบางส่วนในคำพูดเมื่อครู่ที่เป็นเหตุเป็นผล แต่ก็อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด


เดอะซันน้อยเคยกล่าวไว้ว่า ข้อควรระวังของการสวมบทบาท คือต้อง ‘ไม่ลืมว่ากำลังสวมบทบาท’ … เรารู้สึกว่าประโยคนี้ฟังดูเข้าท่ากว่า… อา… และเราก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเสมอมา และต่อไปในอนาคต… ออเดรย์ เธอห้ามประมาทเด็ดขาด หลังจากนี้ต้องตระหนักรู้ถึงตัวเองให้มากขึ้น! ในสายตามิสเตอร์ฟูล นี่คงเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องเน้นย้ำอธิบายให้สมาชิกฟัง สอนว่า ‘แค่สวมบทบาท’ ก็เพียงพอแล้ว… แต่สำหรับคนธรรมดา บางทีเรื่องนี้อาจเป็นสิ่งสำคัญ… ออเดรย์ครุ่นคิดหลายสิ่ง ถามอย่างกระตือรือร้น


“ช่วยอธิบายเทคนิคการสวมบทบาทให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหมคะ?”


เฮอร์วิน·แรมบิสเล่าถึงรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนจะเสริม


“คุณมีฝีมือและคุณสมบัติเพียงพอที่จะสมัครรับสูตรโอสถลำดับ 5 นักท่องฝัน แต่ก่อนหน้านั้น ผมจะมอบหมายงานอีกหลายชิ้น นี่เป็นทั้งการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมและการฝึกฝนคุณไปในตัว เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณกลายเป็นลำดับ 5 จะต้องเป็นผู้นำกลุ่มการสัมมนาเชิงจิตวิทยาในอนาคต ทุกการตัดสินใจและทางเลือกของคุณจะส่งผลต่ออนาคตของสมาชิกภายในบังคับบัญชา หรือแม้กระทั่งส่งผลต่อชีวิตพวกเขา ดังนั้น เราไม่สามารถปล่อยให้ผู้วิเศษที่ขาดทักษะในการตัดสินใจเลื่อนเป็นลำดับ 5 ได้”


“เข้าใจแล้วค่ะ” ออเดรย์ไม่คัดค้าน “งานชิ้นแรกคืออะไร?”


เฮอร์วิน·แรมบิสยิ้ม


“เป็นงานง่ายๆ แต่ค่อนข้างขาว… ทุกคนการตอบสนองของคุณจะถูกนับเป็นคะแนนผลงาน”


กล่าวถึงตรงนี้ มันถอนหายใจ


“ความแตกแยกระหว่างพรรคหัวก้าวหน้ากับพรรคอนุรักษนิยมกำลังขยายวงกว้าง มีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเมืองภายในอาณาจักร ผมอยากให้คุณคอยสำรวจทัศนคติของบิดาคุณ ท่านเอิร์ลฮอลล์ และนำความคิดเห็นของเขาหรือการเคลื่อนไหวมาเล่าให้ผมฟัง… มั่นใจได้เลย สิ่งนี้จะไม่เป็นอันตรายกับเขา ทางเราแค่ต้องการสมานความขัดแย้ง”


ประโยคครึ่งหลังของมันไม่มีหลักตรรกะรองรับ มีเพียงคำมั่นสัญญาปากเปล่า ทว่า เมื่อเฮอร์วิน·แรมบิสบนเกาะแห่งจิตของออเดรย์ยกมือขวาขึ้นมากดหน้าผาก ออเดรย์พลันรู้สึกว่าคำพูดอีกฝ่ายสมเหตุสมผล


ในสภาพลอยตัวกลางอากาศภายในโลกแห่งจิต เธอตื่นจากภวังค์และพบสิ่งผิดปรกติทันที

 

 

 


ราชันเร้นลับ 975 : สัมผัสที่คุ้นเคย

 

หลังจากมองเห็นไพ่ในมือของท่านพ่อจนทะลุปรุโปร่ง คุณจะไม่ทำอะไรเชียวหรือ? อย่างน้อยก็ต้องส่งผลเสียงต่อสิ่งที่ท่านพ่อพยายามส่งเสริมหรือต่อต้านแน่… ออเดรย์ที่ลอยกลางอากาศบนโลกแห่งจิต มองไปยังเกาะแห่งจิตใต้สำนึกของตัวเองด้านล่าง สติเยือกเย็นจนน่าตกตะลึง


หลังจากนั้น เธอเข้าใจเรื่องหนึ่งทันที นั่นคือเหตุผลที่เฮอร์วิน·แรมบิสชักใยให้คารอนฆ่าตัวตาย


สำหรับเรื่องนี้ ออเดรย์นึกสงสัยมาตลอด และพยายามสืบสวนจากข้อมูลในมือ พยายามวิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวม แต่ท้ายสุดก็ยังไม่เข้าใจว่าผู้ชักใยเบื้องหลังประสงค์สิ่งใด


กับดักนี้ดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปยังกระเป๋าสตางค์แห่งพรรคอนุรักษนิยม บารอนซินดราส ตราบใดที่มี ขอเพียงก้าวพลาดสักก้าว นายธนาคารใหญ่รายนี้มีแนวโน้มที่จะเผยปัญหาออกมาให้เห็นและถูกหน่วยพิเศษของทางการสืบสวน ทว่า เหตุไม่การณ์คาดฝันได้บังเกิด ดอน·ดันเตสไม่ยอมเล่นตามหมากที่วางไว้ แผนการอันรอบคอบจึงพังครืนไม่เป็นท่า ยากจะฟื้นฟูกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดูคล้ายกับเป็นฝีมือของผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมที่ยังเป็นมือสมัครเล่น มิใช่ลำดับสูง


ในฐานะผู้ชมมากประสบการณ์ ออเดรย์สังเกตเห็นร่องรอยความไม่สมเหตุสมผลจากมัน จนกระทั่งปัจจุบัน หลังจากได้ยินคำพูดของเฮอร์วิน·แรมบิส เธอตื่นจากภวังค์ทันที เข้าใจถึงแก่นสำคัญของแผนการก่อนหน้า


เฮอร์วิน·แรมบิสไม่สนใจว่ามันจะเอาชนะบารอนซินดราสได้หรือไม่ ตอนนี้ได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว


อย่างที่กล่าวไปเมื่อครู่ ภายในอาณาจักร รอยร้าวระหว่างพรรคอนุรักษนิยมพรรคหัวก้าวหน้าทวีความรุนแรงมากขึ้น!


เฮอร์วิน·แรมบิสกล่าวว่า มันต้องการเยียวยาปัญหานี้ แต่ในความเป็นจริง จุดประสงค์ของมันคือการทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง สร้างความสูญเสียขึ้น!


ทำไปทำไม? ออเดรย์ควบคุมเกาะแห่งจิตของตัวเอง ไม่เปิดเผยอารมณ์ที่น่าสงสัย


เธอตอบสนองคำพูดของเฮอร์วิน·แรมบิส


“เรื่องที่คุณเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในอาณาจักร ดิฉันขอชื่นชมจากก้นบึ้ง และจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่”


สิ้นเสียงหญิงสาว เฮอร์วิน·แรมบิสที่ชั่วร้ายบนเกาะแห่งจิตวางมือขวาที่กำลังจับหน้าผากลง ส่วนเฮอร์วิน·แรมบิสบนโซฟาเผยรอยยิ้มสบายใจ


“สมกับที่เป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ”


กล่าวจบ สุภาพบุรุษสูงวัยในกางเกงขายาวสีน้ำเงินอมเทาเลิกไขว่ห้าง โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ดวงตาเผยความลุ่มลึก


“เนื่องด้วยสถานะและกิจวัตรของคุณ คุณจะต้องลืมผม จดจำเพียงฮิลเบิร์ด สตีเฟ่น และเอสลันด์กับคนที่เหลือ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งผ่านพวกเขา… เมื่อมีสิ่งสำคัญที่ต้องรายงาน คุณจะมาเยี่ยมผมโดยไม่รู้ตัว โดยอ้างว่าต้องการปรึกษาด้านวิชาการ… เมื่อคุณเข้ามาในบ้านของผม ความทรงจำที่หายไปทั้งหมดจะถูกเรียกคืน”


เฮอร์วิน·แรมบิสกล่าวพร้อมกันทั้งในเกาะแห่งจิตและด้านนอก ทันใดนั้น ‘หิน’ ก้อนหนึ่งก่อตัวขึ้นภายในโลกแห่งจิต ทิ้งตัวลงอย่างรวดเร็ว จมดิ่งเข้าไปในห้วงจิตใต้สำนึกของหญิงสาว


ทันใดนั้น ออเดรย์รู้สึกราบกับตัวตนถูกแบ่งออกเป็นสอง


ตัวตนหนึ่งคือโลกความจริง ได้รับผลพวงจากเกาะแห่งจิต ส่งผลให้เธอมิอาจจดจำใบหน้าและชื่อของชายชราฝั่งตรงข้าม ทราบเพียงว่า ตนมาที่บ้านของสตีเฟ่น·ฮันเพรสและได้พบกับคณะกรรมการของสมาคมแปรจิตคนหนึ่ง ได้รับคำชมเกี่ยวกับพรสวรรค์ด้านเทคนิคสวมบทบาทและถูกมอบหมายงานใหม่


อีกตัวตนกำลังลอยอยู่ใต้ผืนนภาแห่งวิญญาณ จดจำได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีเพียงอารมณ์ที่ดูจะเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย เป็นไปในทิศทางที่ดี


ออเดรย์มั่นใจมาก ตัวตนกลางอากาศคือจิตใต้สำนึกที่แท้จริง เป็นร่าง ‘หลัก’ ของเธอในปัจจุบัน จึงทำการควบคุมตัวตนด้านนอกให้ยืนขึ้นและพูด


“ค่ะท่าน”


ทันทีที่ตอบสนอง หญิงสาวกลับหลังหัน คล้ายกับหุ่นเชิดที่ถูกด้ายล่องหนควบคุม ค่อยๆ ก้าวทีละนิดกลับไปยังทางเข้า เปิดประตูห้องและออกไป


ทันทีที่ปิดประตู ออเดรย์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ รวมตัวเข้ากับร่างบนโลกความจริงที่ใช้จิตใต้สำนึกของเกาะแห่งจิต กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


สองความทรงจำที่แตกต่างผสานเข้าด้วยกันทันที ออเดรย์เกิดความสับสนนานหลายวินาที แต่หญิงสาวเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์รักษาคนไข้จิตเวช จึงล้างข้อมูลทั้งหมดใหม่และจัดระเบียบให้ถูกต้องตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง


เป็นพลังการอ่านใจและสะกดจิตที่แข็งแกร่งมาก… เขาสามารถบุกรุกกายปัญญาของเราได้ทันที ทั้งที่ร่างวิญญาณของเรากำลังควบคุมเกาะแห่งจิตไว้อย่างสมบูรณ์… แม้ออเดรย์จะได้รับพรจากเทวทูตของเดอะฟูล แต่หลังจากนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกคล้ายกับกำลังเปิดอัลบัมภาพเก่าๆ สีเหลือง ภาพต่างๆ ค่อยๆ เลือนหายไปราวกับผ่านมานานมากแล้ว


เราเองก็ทำแบบเดียวกันได้ในอนาคต! พรของเทวทูตแห่งมิสเตอร์ฟูลช่างยอดเยี่ยม! ฮึ่ม! เราจะแจ้งเฉพาะข่าวสารที่ไม่สำคัญของท่านพ่อ! สติออเดรย์กลับมาสดใส อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



วี๊~!


รถจักรไอน้ำพ่นควันโขมงพร้อมกับลากขบวนรถเข้าไปในสถานีเบ็คลันด์


หลังจากเดินทางตลอดหลายวัน ในที่สุดไคลน์ก็กลับถึงมหานครในหมู่นคร


ในร่างดอน·ดันเตส มันสวมหมวกทรงสูง แต่งการด้วยสูทสุภาพ ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง เดินลงจากห้องโดยสารเฟิร์สคลาสอย่างไม่รีบร้อน ก้าวเหยียบพื้นชานชาลา


ตามมาด้านหลังเป็นชายลูกครึ่ง สูง 1.75 เมตร ถือกระเป๋าเดินทางสองใบ ไม่ใช่ใครนอกจากหุ่นเชิด ‘ผู้ชนะ’ ปัจจุบันเอ็นโซถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเอ็นยูนซึ่งมีกลิ่นอายของชาวทวีปใต้มากกว่า โดยหลังจากนี้ มันจะเป็นตัวแทนของเศรษฐีใหม่และพ่อค้าอาวุธดอน·ดันเตสในการติดต่อกับลูกค้าทวีปใต้ คอยจัดการเรื่องจิปาถะทั้งหมดแทน ไม่ต้องให้ดอน·ดันเตสเดินทางขึ้นลงระหว่างทวีปเหนือใต้บ่อยครั้ง


แน่นอน นี่เป็นเพียงเปลือกนอก แต่ในความเป็นจริง ไคลน์ยังต้องเดินทางไปเอง


แผนการก็คือ อาศัยพลังของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า ส่งสาวกสองสามคนไปยังไบลัมตะวันตก จัดการธุรกิจเล็กๆ แทนตนทั้งหมด งานนี้ไม่สามารถใช้เดนิสได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นโจรสลัดที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและมีค่าหัวสูง แถมยังใกล้ชิดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นั่นจะทำให้ดอน·ดันเตสตกเป็นเป้าสงสัย


ออกจากสถานี ไคลน์นั่งรถม้า กลับไปยังบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน


ในเวลานี้ ท้องฟ้าด้านนอกค่อนข้างมืด โคมไฟถนนสองข้างทางกำลังมองแสงสว่าง เฉกเช่นแสงไฟในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตส หน้าทางเข้ามีพ่อบ้านวอลเตอร์และแม่บ้านทาเนญ่า นำเหล่าคนใช้ สาวใช้ คนสวน คนขับรถม้า และบริวารที่เหลือออกมาตั้งแถวรอรับนายจ้าง


ในตอนที่กลับมาถึงอ่าวเดซีย์ หลังจากซื้อตั๋วรถจักรไอน้ำ ไคลน์ส่งโทรเลขกลับไปที่เบ็คลันด์ บอกกับมิสเตอร์พ่อบ้านว่ากำลังจะกลับ แต่กำชับว่าไม่ต้องส่งคนไปรับที่สถานี เพราะความเร็วของรถจักรไอน้ำนั้นยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ อาจกลับถึงช้ากว่าปรกติ


ชำเลืองไปทางเหล่าคนใช้ที่ยืนด้วยท่วงท่าสง่างามเจือความเคารพ ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ ขณะเดินผ่านไป รำพันในใจ


มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก แม้นายจ้างจะไม่อยู่ แต่พ่อบ้านก็มิได้หย่อนยาน…


เดินมาถึงประตู มันพยักหน้าเล็กน้อยให้วอลเตอร์และทาเนญ่า


“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักในช่วงที่ผมไม่อยู่”


“นั่นคือหน้าที่ของพวกเรา” วอลเตอร์และทาเนญ่าคำนับพร้อมกัน


สายตาไคลน์หันไปทางริชาร์ดสัน บุรุษรับใช้ส่วนตัว สังเกตเห็นว่าลูกครึ่งรายนี้หน้าซีดเล็กน้อย คอยแอบชำเลืองเอ็นยูน คนรับใช้รายใหม่ที่กำลังติดตามนายจ้างของตน


ไคลน์หัวเราะในลำคอ พยักหน้าและกล่าว


“คุณทำหน้าที่ได้ดีแล้ว แต่บางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของทวีปใต้ ผมต้องฝากให้เอ็นยูนจัดการแทน… อา… เอาอย่างนี้เป็นไง คุณย้ายไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยมิสเตอร์วอลเตอร์ ร่วมมือกับเขาเพื่อรวบรวมข้อมูลของคฤหาสน์ด้านนอกเขตเมือง”


ผู้ช่วย… ผู้ช่วยพ่อบ้าน… ริชาร์ดสันผงะในตอนต้น ก่อนจะตอบสนองความประหลาดใจ


“ครับ นายท่าน!”


ด้วยตำแหน่งนี้ หมายความว่ามันหลุดพ้นจากการเป็น ‘คนรับใช้’ อย่างแท้จริง ก้าวขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ!


วอลเตอร์มิได้ถามถึงเหตุผลของคฤหาสน์ เพียงต้อนรับนายจ้างเข้าบ้านตามที่จัดเตรียมไว้ ชำระล้างร่างกายและรับประทานอาหาร


รอจนกระทั่งทุกสิ่งจบลง เมื่อส่งดอน·ดันเตสขึ้นมาบนชั้นสามพร้อมกับบุรุษรับใช้คนใหม่ เอ็นยูน มันตัดสินใจซักถาม


“นายท่านวางแผนจะซื้อคฤหาสน์นอกเบ็คลันด์ใช่ไหม? มีข้อกำหนดในเรื่องใดบ้าง?”


ต้องไม่แพง… ฉันไม่รู้ว่าตัวตนนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน… ไคลน์จิกกัดในใจ เรียบเรียงคำพูดและกล่าว


“มีไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์”


หลังจากเสร็จสิ้นการค้าอาวุธครั้งล่าสุด มันค่อนข้างมั่นคงในแวดวงทางสังคมของเบ็คลันด์ แถมยังได้รับทรัพย์สินจำนวนมหาศาล จึงเป็นต้องมีคฤหาสน์นอกเมือง รอใช้งานในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ชักชวนเพื่อนฝูงมาล่าสัตว์หรือเที่ยวพักผ่อน เพราะหากทำเช่นนี้ไม่ได้ จะถูกมองว่าเป็นพวกไม่เอาไหน


ราคาของที่ดินแถบชานเมืองเบ็คลันด์ค่อนข้างสูง แตกต่างจากอ่าวเดซีย์ที่เงินจำนวนแปดพันถึงหนึ่งหมื่นปอนด์สามารถนำไปใช้ซื้อที่ดินจำนวนมาก แต่สำหรับเบ็คลันด์ อย่างเก่งก็แค่คฤหาสน์ที่มีไร่องุ่น สวนปลูกธัญพืช และโรงบ่มไวน์เป็นของตัวเอง


“ผมจะรวบรวมข้อมูลมาให้โดยเร็ว” พ่อบ้านวอลเตอร์ตอบด้วยสีหน้าเคารพ


มันทราบว่านายจ้างกำลังเหนื่อยกับการเดินทาง หลังจากรายงานสถานการณ์เบื้องต้น มันเดินลงจากชั้นสามเพื่อไปจัดการเรื่องอื่น ส่วนไคลน์รับได้ความช่วยเหลือจากบุรุษรับใช้คนใหม่ เอ็นยูนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและซักทำความสะอาด


ระหว่างนี้ ไคลน์ซึ่งกลายเป็นครึ่งเทพได้สักพักแล้ว อดไม่ได้ที่จะรำพัน


ถ้าไม่ใช่เพราะหุ่นเชิดไม่สามารถออกนอกระยะหนึ่งกิโลเมตรรอบตัวเรา เราคงไม่คิดเปลี่ยนบุรุษรับใช้ที่แสนสะดวกสบาย… ทั้งที่กลายเป็นเศรษฐีคนดัง แต่กลับยังต้องคอยบริการตัวเอง… เฮ้อ…


ขณะถอนหายใจ มันส่ง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนไปยังห้องข้างๆ เดินไปที่หน้าต่าง เฝ้ามองกรุงเบ็คลันด์ซึ่งกำลังส่องสว่างท่ามกลางแสงดาว ปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอย


ถัดไป… เป้าหมายของเราคือโจนาส·โคลเกอร์ รองผู้อำนวยการ MI9…


สำหรับองครักษ์หลวง ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด คงต้องปล่อยให้ทริสซี่เป็นคนจัดการ… เธอหายไปนานมาก ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไร พบวิธีเข้าใกล้ไวเคาต์คนดังกล่าวได้หรือยัง… เราเคยแจ้งเธอไปว่า จะมีช่วงหนึ่งที่ไม่สะดวกสำหรับการติดต่อ แถมยังออกไปไหนไม่ได้อย่างอิสระนัก ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะแจ้งให้อีกฝ่ายทราบว่าตนมีเวลาว่าง สามารถกลับมาร่วมงานกันใหม่…


ถัดมาไม่นาน ไคลน์หยุดความคิด ทิ้งตัวลงบนเตียง หลับสนิทโดยไม่ต้องเข้าฌาน


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันลืมตาขึ้นกะทันหัน พบว่ามีใครบางคนลอบเข้ามาในบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน!


อีกแล้วหรือ… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะยกมือลูบหน้าผาก


ย้อนกลับไปในวันแรกที่มันเดินทางมายังเบ็คลันด์ คืนนั้นมันถูกปลุกให้ตื่นกลางดึก

 

 

 


ราชันเร้นลับ 976 : สาวกเดนตาย

 

ไคลน์ในชุดนอนที่ไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย เริ่มเห็นด้ายวิญญาณของผู้บุกรุกในทัศนวิสัย


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบเท่าที่ต้องการ มันสามารถเปลี่ยนให้ทุกคนในบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนให้กลายเป็นหุ่นเชิดโดยไม่ต้องลุกจากเตียง แน่นอน สำหรับ ‘จอมเวทพิสดาร’ ครึ่งเทพ แม้แต่เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงก็ยังอยู่ในระยะควบคุม


มีร่างวิญญาณจำนวนมากอยู่รอบๆ … หนึ่งในนั้นช่วยให้ผู้บุกรุกบินขึ้นลงจอดบนระเบียง… เป็นผู้วิเศษเส้นทางผู้เก็บซากศพหรือรัตติกาล? การจะทำได้ระดับนี้ อย่างน้อยก็ต้องลำดับ 6… มาหาริชาร์ดสัน? ไม่ใช่ อีกฝ่ายเดินมาที่ประตูห้องนอนเรา… หยุดอยู่หน้าประตู เหยียดมือขวาออก เคาะประตู… ทางนั้นมั่นใจว่าเราสามารถตระหนักถึง? ไคลน์ลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ในตอนแรก มันคาดเดาจากด้ายวิญญาณ แต่ในภายหลังเป็นการ ‘เห็น’ จากทัศนวิสัยในใจ


หลังจากไคลน์กลายเป็นลำดับ 4 ไม่เพียงนิมิตลางสังหรณ์ของตัวตลกจะรุนแรงขึ้น พลังของมิติหมอกในส่วนที่มันสามารถควบคุมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อผนวกทั้งสองสิ่ง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ชายหนุ่มจะตรวจจับนิมิตลางสังหรณ์จากระยะไกล มองเห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายภายในใจ


นอกจากนั้น เมื่อผสานเป็นหนึ่งเดียวกับมิติหมอกมากขึ้น ไคลน์สามารถปกปิด ‘พร’ จากมิติหมอกที่ส่งผลต่อโลกความจริง แม้แต่ผู้วิเศษลำดับสูงในบางเส้นทางก็มองไม่เห็น และจากที่มันประเมิน หากอยู่บนมิติหมอกโดย ‘สวม’ ไพ่เย้ยเทพและถือคทาเทพสมุทร พลังอำนาจที่เดอะฟูลสามารถสำแดงบนโลกความจริงนั้นจะใกล้เคียงกับเทวทูตเลยทีเดียว


หากไม่แล้ว ไคลน์คงไม่กล้าส่งมิสจัสติสไปเผชิญหน้ากับผู้วิเศษลำดับ 4 หรือ 3 เส้นทางผู้ชม ต่อให้เทวทูตกระดาษของตนมีพลังในการ ‘คืนสติ’ ภายในความฝันก็ตาม


ท่ามกลางกระแสความจริง มันลุกออกจากเตียง สวมรองเท้าแตะ จัดระเบียบชุดนอน เดินไปทางเก้าอี้เอนหลัง ทิ้งตัวนั่งลงและกล่าวอย่างเชื่องช้า


“เชิญเข้ามาได้”


ประตูห้องนอนใหญ่เปิดออกอย่างเงียบงัน สายลมหนาวมิได้พัดผ่านเข้าไป เพียงหมุนวนบนทางเดิน


‘ผู้มาเยือน’ มีอายุพอๆ กับดอน·ดันเตส ส่วนสูงใกล้เคียงกัน ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าลุ่มลึก โครงหน้าเหมือนกับชาวโลเอ็นทั่วไป


อีกฝ่ายสวมหมวกผ้าไหม ใบหน้าค่อนข้างเรียว บรรยากาศรอบตัวเย็นชา แต่มิได้ชวนให้อึดอัด เป็นประเภทคล้ายคลึงกับสุสานแถบชานเมืองในยามค่ำคืน


ทันใดนั้น ไคลน์เห็นร่างวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังรายล้อมสุภาพบุรุษคนดังกล่าว เปลี่ยนให้บรรยากาศโดยรอบหม่นหมอง ซ้อนทับหลายชั้น คล้ายกับภายในนั้นคือโลกอีกใบ


สัมผัสวิญญาณของไคลน์กำลังบ่งบอกว่า นี่คือครึ่งเทพ


ทันทีที่กลับถึงเบ็คลันด์ ทำไมถึงมีครึ่งเทพมาหาทันที? นอกจากอาร์ชบิชอปของโบสถ์รัตติกาล ไม่น่าจะมีใครทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของดอน·ดันเตส… ไคลน์มองไปทางประตูด้วยความฉงน แต่สีหน้าเรียบเฉย ปราศจากอารมณ์ ยากจะบอกว่าโกรธหรือตกใจ


ครึ่งเทพรายดังกล่าวเดินสองก้าว ห้อยมือลงในแนวดิ่ง โน้มตัวจนสุดประหนึ่งคันศรถูกโก่ง


มันทำความเคารพอย่างเคร่งขรึมด้วยท่าทีพิสดาร สีหน้าแววตาเคร่งขรึม ในเวลาเดียวกัน สายลมหนาวพัดผ่านเข้ามา ปิดประตูห้องอย่างเงียบเชียบ


ไคลน์เกือบผงะ ไม่ทราบว่าต้องตอบโต้อย่างไร ภายในหัวผุดความคิดมากมาย พยายามคาดเดาอย่างคลุมเครือ


ทันใดนั้น ครึ่งเทพกล่าวโดยไม่เปลี่ยนท่าทาง


“แพทริค·เบรนแห่งนิกายวิญญาณ ผมมาที่นี่ตามพระวิวรณ์”


วิวรณ์… ไคลน์ควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้ามิให้กระตุก ผนวกกับการคาดเดาเมื่อครู่ มันพอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น


เทพธิดารัตติกาล หรือก็คือมรณาเทียม ประสบความสำเร็จในการควบคุม ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาอย่างลึกซึ้ง สามารถส่งวิวรณ์ให้กับสมาชิกระดับสูงของนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียมได้แล้ว!


ไคลน์เหยียดมือขวากดหน้าอก กึ่งถอนหายใจกึ่งยิ้ม แต่ไม่กล่าวคำใดเพิ่ม


“วิวรณ์ของพระองค์ว่าอย่างไร”


เบรนค่อยๆ ยืนตัวตรง จ้องสุภาพบุรุษจอนสีขาวบนเก้าอี้เอนหลัง ตอบกลับอย่างเปี่ยมศรัทธา


“พวกเราทำสำเร็จแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ลืมตาตื่น พระองค์ตรัสว่านับแต่นี้เป็นต้นไป ให้ผมคอยคำตามคำสั่งของคุณ”


แม้ไคลน์จะคาดเดาไว้บ้าง แต่หลังจากได้ยินคำตอบ มันยังคงรู้สึกทึ่ง หัวเราะไม่ได้ร่ำให้ไม่ออก


ถ้าเป็นแบบนี้… นอกจากเราจะเป็นข้ารับใช้ของเทพธิดารัตติกาล ยังรับงานนอกเป็นข้ารับใช้ของมรณาเทียม คอยเป็นผู้นำของนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียม… นี่คือของขวัญจากโชคชะตา หรือเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับการมี ‘ลูกพี่’ ? พิจารณาจากการที่เทพธิดาไม่สั่งให้อาร์ชบิชอปหรืออาวุโสใหญ่ของโบสถ์จัดการแทน หมายความว่าพระองค์ต้องการเก็บเป็นความลับ… ไคลน์ลุกขึ้นยืน พยายามทำสีหน้าและน้ำเสียงให้เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา


“น้อมรับพระบัญชา… ประสงค์ของพระองค์คือประสงค์ของผม!”


กล่าวจบ มันนั่งลงอีกครั้ง มองไปยังครึ่งเทพที่ยืนตัวตรง ชี้ไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามและกล่าว


“นั่งลงก่อนสิ… อา… แนะนำตัวเองด้วย นี่เป็นมารยาทพื้นฐานไม่ใช่หรือ?”


ในวินาทีเมื่อครู่ ไคลน์เริ่มเข้าใจว่าทำไมเทพธิดาจึงแต่งตั้งให้ตนเป็นผู้นำของนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียม:


เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับกงสุลมรณะ!


ดังนั้น หากมีใครพบความผิดปรกติและต้องการตรวจสอบนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียม พวกมันจะสืบจนพบความเกี่ยวข้องกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์และถึงคราว ‘กระจ่าง’ เชื่อว่าตัวเองเข้าถึงความจริง เข้าถึงสาเหตุที่ทำไมเทพมรณาเทียมถึงสามารถคืนชีพและส่งวิวรณ์ลงมา


เมื่อได้สมมติฐาน ไคลน์จึงจงใจกล่าวคำพูดติดปากของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยใบหน้าดอน·ดันเตส


แพทริค·เบรนนั่งบนโซฟา ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว


“ผมเป็นชาวโลเอ็น เคยไปที่ไบลัมตะวันออกเพื่อทำธุรกิจ… ติดเชื้อประหลาดที่นั่นจนเกือบตาย แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากสมาชิกนิกายวิญญาณ ได้รับพรจากพิธีกรรม รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ จึงแอบเปลี่ยนความเชื่ออย่างลับๆ … ฝ่ายของผมมักถูกใส่ร้ายจากอีกฝั่งของนิกาย คิดว่าเรากำลังดูหมิ่นพระองค์ แต่นั่นไม่เป็นความจริงเลย พวกเรากำลังเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่างหาก พระองค์มิได้ร่วงหล่นไปในท้ายยุคสมัยที่สี่ แค่หลับไปเท่านั้น จำเป็นต้องใช้วิธีการบางอย่างเพื่อปลุกขึ้น และในท้ายที่สุด พวกเราเป็นฝ่ายถูก คุณเองก็ได้เห็นไปแล้ว”


เอกสารโบราณที่เราเคยอ่านไม่ได้เขียนไว้แบบนี้… บรรดาผู้นำของนิกายวิญญาณต่างรู้ดีว่าพวกตนกำลังเลียนแบบ ‘ปราชญ์เร้นลับ’ เพื่อสร้างมรณาขึ้นมาใหม่… หืม… สุภาพบุรุษคนนี้เป็นสมาชิกคนสำคัญของนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียมไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่มีข้อมูลของเอกลักษณ์และแผนการ? เป็นถึงครึ่งเทพ จะไม่ใช่สมาชิกหลักได้ยังไง… แม้กลุ่มนิกายวิญญาณจะเป็นการรวมตัวจากอดีตราชวงศ์เดิมและคนของโบสถ์มรณา มีขุมกำลังในมือมาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ครึ่งเทพสูญเปล่า… แม้แต่เจ็ดโบสถ์หลักก็ไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้… ไคลน์ประหลาดใจมาก ตัดสินใจถามกลับ


“แล้วสมาชิกระดับสูงคนอื่นของฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียม?”


แพทริค·เบรนกล่าวอย่างเปี่ยมศรัทธา


“ในตอนที่ผมเข้าร่วมนิกายวิญญาณ พระองค์ได้ตื่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เพราะการเสียสละในอดีตของเหล่านักบุญ พวกเขาสังเวยตัวเองในพิธีกรรม… ปัจจุบัน เรามีนักบุญสามตนและเทวทูตหนึ่งตน ทั้งหมดอยู่ในไบลัมตะวันออก ส่วนผมรับผิดชอบทุกสิ่งภายในเบ็คลันด์”


มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… จากข้อมูลของเลียวนาร์ด สมาชิกนิกายวิญญาณในเบ็คลันด์ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม แทบไม่รู้จักกันเลย แต่ละกลุ่มจะติดต่อกับฝั่งทวีปใต้โดยตรง ไม่มีการสื่อสารระหว่างกัน ไม่มีใครรับผิดชอบภาพรวม… ความคิดแรกของไคลน์ก็คือ แพทริค·เบรนกำลังโกหก แต่เพียงไม่นานก็ถูกสลัดทิ้ง เพราะอีกฝ่ายไม่น่าจะโกหกกับ ‘ข้ารับใช้ของมรณา’ ในคำวิวรณ์


ครุ่นคิดสักพัก มันถาม


“เทวทูตมีนามว่าอะไร ปัจจุบันอยู่ที่ไหน และคุณยังได้รับวิวรณ์อื่นอีกหรือไม่”


แพทริค·เบรนตอบสุขุม


“พระองค์ห้ามมิให้ผมบอกกับผู้ใด และห้ามมิให้ถามผู้ใด… ผู้นำของเรามีนามว่าไฮเทล เป็นทั้งชื่อต้นและชื่อท้าย ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นอาร์ชบิชอปของโบสถ์ ในภายหลังได้รับพรจากพระองค์ กลายเป็นเทวทูต ท่านทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะปลุกพระองค์ที่กำลังหลับใหล จนกระทั่งถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรงขณะประกอบบางพิธีกรรม ปัจจุบันไม่สามารถออกจากอนุสาวรีย์บรรจุศพได้ มิเช่นนั้นจะคลุ้มคลั่ง… ท่านเป็นอาจารย์ของผมเอง”


ครึ่งเทพที่ดำรงตนมาตั้งแต่จักรวรรดิไบลัม ไม่แปลกใจเลยที่ได้เป็นแกนนำในโครงการมรณาเทียม… ไคลน์ถามอีกครั้งด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“เขาและครึ่งเทพอีกสองตนเป็นชาวไบลัมเลือดบริสุทธิ์?”


“ใช่ครับ” แพทริค·เบรนพยักหน้า


เราพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ


มันพบว่า แพทริค·เบรนไม่ใช่ครึ่งเทพธรรมดา แต่เป็นผลผลิตจากโครงการมรณาเทียม!


ในเวลานั้น ไฮเทลและสมาชิกคนอื่นของนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียมมิได้ต้องการช่วยชีวิตชาวโลเอ็นรายนี้ แต่คิดจะใช้เป็นเครื่องสังเวยในพิธีกรรมบางอย่าง ผลลัพธ์ก็คือ เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เอกลักษณ์ของเส้นทางมรณาเกิดมีปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณ หรือไม่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้แพทริค·เบรนรอดชีวิตมาได้ และมีการเชื่อมต่อกับเทพมรณาเทียม ส่งผลให้ร่างกายและวิญญาณเจือปนไปด้วยความพิเศษ


ไฮเทลและสมาชิกระดับสูงคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างมองว่าแพทริค·เบรนคือกุญแจสำคัญของโครงการเทพมรณาเทียม จึงมอบโอสถ ถ่ายทอดความรู้ ปลูกฝังความศรัทธาเกี่ยวกับมรณาเทียม รวมถึงกุเหตุผลที่สวยหรูเพื่อปกปิดพฤติกรรมของตัวเอง ในส่วนของเบรน เป็นเพราะมันมีความพิเศษ การเลื่อนลำดับจึงเกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นครึ่งเทพได้สำเร็จ


แต่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกุญแจสำคัญเพียงใด ปฏิเสธไม่ได้ว่าแพทริค·เบรนเป็นเพียงหนูทดลอง ไม่เคยถูกมองว่าเป็นสมาชิกของนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียม ในภายหลังจึงถูกส่งมายังกรุงเบ็คลันด์ของอาณาจักรโลเอ็น เป็นผู้นำกลุ่มสมาชิก คอยประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นเอกลักษณ์


การคาดเดาเช่นนี้สอดคล้องกับข้อมูลทั้งหมดที่ไคลน์ได้ทราบมา: ประการแรก เลียวนาร์ดเล่าว่า นิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียมพยายามทำการทดลองในกรุงเบ็คลันด์ เพราะหากโชคร้ายมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น อย่างน้อยก็ได้ทำลายเมืองหลวงของศัตรูไปในตัว ประการที่สอง ในกรุงเบ็คลันด์มีนิกายวิญญาณหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะติดต่อกับทวีปใต้โดยตรง ไม่มีใครคอยควบคุมภาพรวม ประการที่สาม แพทริค·เบรนแทบไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องของโครงการมรณาเทียมเลย


กล่าวอีกนัยหนึ่ง สมาชิกบนทวีปใต้มิได้สนใจไยดีชะตากรรมของแพทริค·เบรนแม้แต่น้อย ไม่มีใครบอกความจริงกับมัน ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวก็คือ แพทริค·เบรนเป็นผลผลิตจากโครงการมรณาเทียม


อา… ดูเหมือนว่า เทพธิดาจะยังควบคุมเอกลักษณ์ได้อย่างจำกัด สามารถส่งวิวรณ์ได้เพียงสาวกเดนตายที่มีการเชื่อมต่อกับเอกลักษณ์โดยตรง แต่ยังมิอาจสร้างอิทธิพลกับเทวทูตและนักบุญอย่างไฮเทล… ไคลน์สรุปความคิดก่อนจะถาม


“ลำดับปัจจุบันของคุณชื่อว่าอะไร”


แพทริค·เบรนมิได้เก็บซ่อน


“อมรณา”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 977 : ปฐมเทศนา

 

สำหรับคำตอบของแพทริค·เบรน ไคลน์ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพียงพยักหน้าเบาๆ และกล่าว


“ชีวิตที่เท่าไรแล้ว?”


จากที่มันทราบ ‘อมรณา’ จะตายทุกๆ หกสิบปี จากนั้นก็คืนชีพโดยที่ความทรงจำส่วนใหญ่สูญหาย ต้องค่อยๆ ฟื้นฟูกลับคืนมา ไม่ต่างอะไรกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่


นี่คือความรู้ที่โอสถบอกกับมัน แพทริค·เบรนจึงเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ


“ผมยังอายุไม่ถึงห้าสิบปี อีกกว่าสิบปีจึงจะกลายเป็นอมรณาที่แท้จริง”


ไคลน์ถามโดยไม่มองหน้า


“เปลี่ยนมานับถือพระองค์เมื่อไร?”


‘พระองค์’ ในทีนี้หมายถึง ‘พระองค์ผู้ปกครองโลกแห่งความตาย’


เบรนครุ่นคิดสองสามวินาทีและกล่าว


“ในตอนนั้น ผมเพิ่งฉลองวันเกิดครบอายุสามสิบปีได้ไม่นาน”


เข้าสู่โลกของผู้วิเศษหลังจากอายุสามสิบ จนกระทั่งกลายเป็นลำดับ 4 ได้ด้วยอายุยังไม่ถึงสี่สิบ… เป็นความเร็วที่น่าทึ่งมาก เร็วระดับเดียวกับ ‘ข้ารับใช้’ เลยทีเดียว… จริงสิ… ในพิธีกรรมดังกล่าว ทั้งร่างกายและวิญญาณล้วนได้รับอิทธิพลจากเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณา… ไคลน์ครุ่นคิดขณะฟัง สามารถยืนยันสมมติฐานของหน้าของตนได้


แน่นอน หากเทียบกับมันที่กลายเป็นครึ่งเทพได้ภายในหนึ่งปี อัตราการเติบโตของแพทริค·เบรนก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำอะไร


สำหรับเรื่องนี้ ไคลน์ไม่คิดโอ้อวดแต่อย่างใด เพราะมันคือ ‘ข้ารับใช้’ โดยแท้จริง เต็มไปด้วยตัวช่วยในการเลื่อนลำดับมากกว่าใคร


ปัญหาเดียวก็คือ มันไม่ทราบว่าผลงานของตนคู่ควรแก่การได้รับสิ่งตอบแทนหรือยัง


ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์หันไปถาม


“ตัวตนในปัจจุบันคืออะไร?”


“เป็นนักธุรกิจ ตั้งโรงงานตัดเย็บสองแห่งในเบ็คลันด์ ศรัทธาเทพธิดารัตติกาล เป็นผู้สนับสนุนพรรคหัวก้าวหน้า” แพทริค·เบรนแนะนำ


ไคลน์เกือบพ่นลมหายใจ มันถามต่อ


“มีสมาชิกนิกายวิญญาณเป็นลูกน้องกี่คน พวกเขากำลังทำอะไร?”


เบรนตอบอย่างคล่องแคล่วประหนึ่งคิดไว้ล่วงหน้า


“สองทีม ผู้วิเศษสิบสองคน บ้างทำงานในโรงงานตัดเย็บของผม บ้างทำในโรงงานนาฬิกา ทั้งหมดประกอบอาชีพสุจริต… นอกเวลา พวกเขาจะแอบเผยแผ่ความเชื่ออย่างระมัดระวัง ส่งผลให้ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลัก จึงมีจำนวนสมาชิกไม่เกินหนึ่งร้อย… เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการรวบรวมเงื่อนงำที่พระองค์เหลือทิ้งไว้ รวมถึงวัตถุต่างๆ สำหรับประกอบพิธีกรรม… เมื่อพบเงื่อนงำ พวกเราจะแอบดำเนินการตามแผน จัดเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ทดสอบพิธีกรรมคืนชีพต่างๆ เพื่อเลือกวิธีที่ได้ผลที่สุด ตัวผมเป็นผู้นำพิธี และเป็นกุญแจสำคัญของพิธี”


ฟังดูภูมิใจมาก… ไคลน์ซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์อื่น ทั้งหมดถูกตอบโดยละเอียด


จนกระทั่ง มันครุ่นคิดสักพักก่อนจะถามด้วยสีหน้าขึงขัง


“จากวิวรณ์ของพระองค์ นับแต่นี้ไป คุณต้องทำตามที่ผมบอก”


แพทริค·เบรนลุกขึ้นคำนับทันที สีหน้าเผยความเคร่งขรึม


“ครับ ท่านเจ้าคุณ”


ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าว


“อันดับแรก ช่วงนี้หยุดพิธีกรรมต่างๆ ไปก่อน และไม่ต้องรวบรวมวัสดุเพิ่มเติม พระองค์ตื่นขึ้นมาแล้วในขั้นต้น ช่วงนี้กำลังพักฟื้น อย่าส่ง ‘เสียง’ ดังรบกวนพระองค์”


ตามความคิดของไคลน์ พิธีกรรมคืนชีพของเบรน ไม่ว่าจะมีรูปแบบอย่างไร ทั้งหมดล้วนมุ่งเป้าไปยังมรณาเทียม หรือเอกลักษณ์แห่งเส้นทางมรณา พิธีกรรมเหล่านี้อาจทำให้เอกลักษณ์ถูกกระตุ้นจนเกิดสัญญาณชีพ เป็นอุปสรรคการเข้าควบคุมของเทพธิดา


ไม่ว่าไคลน์จะยินดีกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ แต่ในเมื่อเทพธิดารัตติกาลชักนำเบรนมาหาตนแล้ว มันไม่มีทางเลือกนอกจากเล่นไปตามน้ำ


สำหรับข้ออ้างของไคลน์ แพทริค·เบรนมิได้เคลือบแคลงแม้แต่น้อย เพราะเทพมรณาได้ตื่นขึ้นแล้วจริงๆ และหลักสำคัญของการ ‘ตื่น’ คือห้าม ‘รบกวน’


อมรณาครุ่นคิดสักพัก ถามอย่างกระตือรือร้น


“ท่านเจ้าคุณ แล้วพวกเราควรทำอะไรต่อ?”


ไคลน์ปรบมือและยิ้ม


“ค้นหาเบาะแสของพระองค์ สิ่งนี้จะช่วยให้พระองค์ฟื้นตัวได้เร็ว”


กล่าวถึงตรงนี้ ไคลน์อยากเพิ่มคำสั่งที่สอง แต่เมื่อตระหนักว่าตนมีข้อมูลน้อยเกินไป การสั่งส่งเดชอาจทำให้สมาชิกนิกายวิญญาณออกไปก่อปัญหามากกว่าสร้างประโยชน์ จึงเสริมด้วยประโยคอื่น


“นอกจากนั้น คุณและลูกน้อง ไม่ว่าจะที่โรงงานตัดเย็บหรือโรงงานนาฬิกา ทุกคนต้องรู้หนังสือ ต้องอ่านหนังสือ จากนั้นก็จัดตั้งโรงเรียนภาคค่ำหรือคาบเรียนชั่วคราว ขจัดความเขลาและความป่าเถื่อนให้คนรอบข้าง”


เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ไคลน์เหยียดมือขวากดหน้าอก เริ่มเทศนาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พระองค์ตรัสว่า คุณต้องเข้าใจในสิ่งที่เชื่อ จึงจะเชื่อได้อย่างสุดหัวใจ… พระองค์ตรัสว่า กับคนที่กำลังสับสน จงให้พละกำลังแก่เขา และติดอาวุธให้พวกเขาด้วยปัญญา เพราะอาณาจักรที่พระองค์รับปากไว้จะไม่อนุญาตให้คนเขลาหรือป่าเถื่อนเข้าร่วม”


แพทริค·เบรนมิได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับคำพูดของดอน·ดันเตส ไม่แปลกใจว่าทำไมประโยคทั้งสองจึงไม่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ของนิกายวิญญาณ นั่นเพราะบุรุษตรงหน้าคือข้ารับใช้แห่งเทพ เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งเทพที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพระคัมภีร์!


มันพยักหน้าขึงขังก่อนจะกล่าว


“ผมจะจดจำคำสอนของพระองค์… ขอให้วิญญาณทุกดวงได้รับโอกาสเข้าไปในอาณาจักรแห่งพระองค์!”


ขณะกล่าว มันทำท่าสวดวิงวอนของนิกายวิญญาณ ยกมือขึ้นสูง หันนิ้วหัวแม่มือเข้าหากันและนำมาวางไว้กึ่งกลางหน้าผาก


ในทางศาสตร์เร้นลับ จุดดังกล่าวคือแก่นของโลกแห่งความตายสำหรับ ‘ผู้เฝ้าประตู’ ทุกคน หมายถึงตำแหน่งของโลกแห่งความตาย


ไคลน์ทำท่าเดียวกันตอบ จากนั้นก็กล่าว


“เรื่องที่สอง หากมีคำสั่งจากทวีปใต้ ไม่ว่าจะมาจากใคร คุณต้องส่งให้ผมก่อน อำนาจในการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว หากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามแอบไปทำกันเองเด็ดขาด… ส่วนการตอบกลับ ห้ามตอบกลับเกินกว่าที่ผมสั่ง”


มันเป็นกังวลว่า ผู้นำนิกายวิญญาณฝักใฝ่มรณาเทียมอย่างไฮเทล จะยังกระตือรือร้นในการคืนชีพมรณาเทียม ส่งผลให้แพทริคและคนที่เหลือได้รับคำสั่งจากทวีปใต้เป็นบางคราว


ในขณะเดียวกัน มันต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เทพธิดาควบคุม ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาให้สมบูรณ์ก่อนที่ไฮเทลและเทวทูตอีกสองตนจะสังเกตเห็น จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงระหว่างนั้น


เบรนยังคงไม่คัดค้าน


“ครับ ท่านเจ้าคุณ”


หลังจากออกคำสั่งไปสองข้อ สีหน้าไคลน์ยังไม่แปรเปลี่ยนแม้ภายในใจจะผ่อนคลายลง


“ข้อสาม หากผมไม่เรียก คุณห้ามแวะมาหาเองเด็ดขาด ให้ติดต่อผ่านผู้ส่งสาร… คุณเองก็คงทราบ ตัวตนจำนวนมากบนโลกดาราไม่ปรารถนาจะให้พระองค์คืนชีพ”


แพทริค·เบรนพยักหน้ารับ


“เข้าใจแล้วครับ… คำอัญเชิญผู้ส่งสารของผมก็คือ: วิญญาณเร่ร่อนแห่งโลกเบื้องบน สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรอย่างไร้เงื่อนไข ผู้ทำพันธสัญญากับแพทริค·เบรน”


อย่างที่คิด สำหรับครึ่งเทพเส้นทางมรณา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ส่งสาร… เส้นทางนี้สามารถมีผู้ส่งสารได้ตั้งแต่ลำดับ 6 แล้ว… ไคลน์ตอบอย่างเชื่องช้าโดยปราศจากความลังเล


“คำอัญเชิญผู้ส่งสารของผมก็คือ… ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว อา… ไม่ว่าจะรับหรือส่งจดหมาย คุณจะต้องใช้เหรียญทองเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนเสมอ”


ไคลน์จงใจเปิดเผยความเชื่อมโยงระหว่างดอน·ดันเตสกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตรวจสอบว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีตอบสนองเช่นไร


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์…” แพทริค·เบรนทวนคำด้วยสีหน้าสงสัย จากนั้นก็โพล่งขึ้นอย่างประหลาดใจ “ท่านเจ้าคุณกงสุลมรณะ?”


โชคยังดี… แม้จะเป็นแค่ผลผลิตจากพิธีกรรมจนเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา แต่อย่างน้อยก็มีสมองปรกติ สามารถรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ได้อย่างใจเย็น… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ผมไม่ใช่เขา… ท่านเป็นอาจารย์ของผม”


เบรนพยักหน้าครุ่นคิด คล้ายกับเข้าใจในหลายๆ เรื่องพร้อมกัน


ไคลน์พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร แต่มิได้ใส่ใจนัก ไขว่ห้างขวาทับซ้าย วางสองมือบนเข่าและถาม


“ตอนนี้มีข้อมูลของนิกายวิญญาณกลุ่มอื่นมากน้อยแค่ไหน?”


แพทริค·เบรนนั่งลงอีกครั้งและตอบ


“กลุ่มที่ทรงอำนาจที่สุดคือฝ่ายราชวงศ์ สมาชิกหลักคือลูกหลานโดยตรงของพระองค์ แบ่งออกเป็นหลายองค์กรย่อย… ผู้นำในปัจจุบันเป็นทายาทที่มีสายเลือดเจือจาง เธอมีนามว่าเซีย·ปาลังเก้·อายเกส อาจเป็นนางฟ้าหรือไม่ก็ถือครองมรดกที่สำคัญของพระองค์ เรียกตัวเองว่าราชินีสีซีด… นอกจากเธอ ยังมีนักบุญอีกห้าตน ส่วนหนึ่งเป็นครึ่งเทพแท้จริง ส่วนหนึ่งพึ่งพาสมบัติปิดผนึก… นอกจากราชวงศ์และเรา สาขาที่เหลือค่อนข้างอ่อนแอ หลักๆ คือโรงเรียนนิทราและโรงเรียนแห่งความตาย… หากผนึกกำลังกัน พวกเขาจะมีผู้วิเศษที่ทรงพลังทัดเทียมนักบุญ”


รอจนกระทั่งเบรนพูดจบ ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ และกล่าว


“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ถ้ามีเรื่องเร่งด่วน ติดต่อผมได้ทุกเมื่อ”


“ครับ ท่านเจ้าคุณ” แพทริค·เบรนลุกขึ้นคำนับและเดินออกจากห้อง


ประตูเปิดออกเองอย่างเชื่องช้า เงาดำและวิญญาณด้านนอกพลันอันตรธานหายไปพร้อมกับสายลมหนาว


รอจนกระทั่งทุกสิ่งจบลง ไคลน์มองประตูที่ปิดสนิท เดินไปทางหน้าต่าง เปิดผ้าม่านและมองไปที่ถนน


รถม้าหลายคันมาจอดตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้ หน้ารถทุกคนมีโคมไฟแขวนไว้สองดวง แสงของตะเกียงซีดผิดปรกติ เรืองแสงสีเขียวขุ่น โดยรอบพร่ามัว


ท่ามกลางฉากที่คลุมเครือ เค้าโครงของร่างกายล่องหนกระจายตัวเต็มด้านหน้าและด้านหลัง ทั้งหมดกำลังสวมเสื้อผ้ามายาอย่างสุภาพเรียบร้อย


รอจนกระทั่งแพทริค·เบรนร่อนลงจากกลางอากาศ กลับไปถึงจุดดังกล่าว ร่างกายเหล่านั้นต่างกรูเข้ามารวมตัวข้างครึ่งเทพและวิญญาณรอบกาย ทักทายด้วยความเคารพ จากนั้นก็แยกย้ายขึ้นรถม้าสองสามคันที่มองเห็นได้อย่างยากลำบาก เริ่มออกตัวและแล่นไปไกล


กลุ่มแสงสีเขียวซีดๆ จางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไปในความมืด ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน


ไคลน์ถอนสายตากลับ สีหน้าเคร่งขรึมพลางพึมพำ


แม้แพทริค·เบรนจะได้รับวิวรณ์จากเทพธิดาโดยตรง แต่เรากลับเกิดความรู้สึกแปลกๆ ว่ากรุงเบ็คลันด์กำลังทวีความปั่นป่วน คล้ายกับกระแสแห่งความชั่วร้ายใกล้ปะทุเต็มที…


ไม่มีใครเดาได้ว่า อีกนานแค่ไหนคลื่นจะก่อตัว…


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ไม่รีรอ รีบติดต่อแม่มดทริสซี่ทันที เพื่อยืนยันว่าไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับเธอ

 

 

 


ราชันเร้นลับ 978 : ของขวัญ

 

ท่ามกลางคืนจันทร์ ในสวนของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน


หนูสีเทาคลานออกจากรูพร้อมกับส่งเสียงพึมพำ วิ่งตรงไปยังใต้ระเบียงห้องนอนใหญ่


ของเหลวสีดำเหนียวข้นคล้ายแป้งเปียกลอยออกมา หนูสีเทาจับมันวางไว้เหนือศีรษะประหนึ่งกำลังเล่นกายกรรม


มันหันหลังกลับทันที วิ่งออกจากบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน มายังทางเข้าท่อระบายน้ำในบริเวณใกล้เคียง


ทันใดนั้น หนูสีเทายืนสองขา สองอุ้งเท้าเหยียดไปด้านหน้า


กรงเล็บของมันยืดยาวอย่างน่าประหลาด มัดกล้ามเนื้อกำลังปูดขึ้นบนขาหน้า!


ถัดมา มันอาศัยอุ้งเท้าที่กลายพันธุ์ยกฝาท่อระบายน้ำขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง!


หนูสีเทาวิ่งตรงยาวๆ ไปหาจุดที่แม่มดทริสซี่เคยซ่อนตัว


มันลงมือขุดดินตรงมุมหนึ่ง ก่อนจะดึงเศษกระจกขึ้นมาจากโคลน


จัดการทั้งหมดเสร็จ หนูสีเทาโยนก้อนแป้งเปียกสีดำบนศีรษะไปยังจุดที่สะอาดกว่าด้านข้าง บรรจงถอยกลับเข้ามุม ร่างกายค่อยๆ ยืดยาวประหนึ่งถูกมนุษย์ล่องหนดึงขึ้น แปรสภาพกลายเป็นชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อนอกสีแดงเข้มและหมวกสามมุมทรงโบราณ ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในพลเรือเอกที่เคยโดดแล่นในทะเล


ทว่า เซนอลรายนี้ รวมถึงเสื้อผ้าบนร่างกาย ทั้งหมดแบนราบหนึ่งกระดาษที่ตัดให้เป็นรูปคน


“หนูตัวนี้อ้วนไม่เบา…” พลเรือเอกโลหิตที่ดูคล้ายมนุษย์กระดาษยกมือขึ้นมาจับคาง ร่างกายโยกเอนไปตามสายลมหนาวในท่อ


คนที่กำลังพูดไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์ ร่างต้นอยู่ในห้องนอนใหญ่ คอยควบคุมด้ายวิญญาณและเปลี่ยนหนูสีเทาให้เป็นหุ่นเชิด พา ‘วัตถุดิบพิธีกรรม’ ไปที่ท่อระบายน้ำและเตรียมติดต่อกับแม่มดทริสซี่


‘เซนอล’ โน้มตัวลงและใช้แขนที่บิดไปตามแรงลมหยิบก้อนสีดำที่คล้ายแป้งเปียก สิ่งนี้คือวัตถุที่ทริสซี่เหลือทิ้งไว้โดยการเผาปอยผมด้วยเพลิงทมิฬ สามารถใช้เป็นสื่อกลางในพิธีกรรม


หลังจากนั้นทันที มันเช็ดเศษกระจก ตามด้วยป้ายของเหลวสีดำในมือ


จัดการเสร็จ ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดถือกระจกถอยหลังสองก้าว ขว้างลงบนผนังที่มีตะไคร่น้ำเกาะ ดูคล้ายกับภาพวาดสีน้ำมันที่เสมือนจริง



เขตตะวันออก ภายในห้องที่ถูกขึงด้วยผ้าม่านหนาจนแทบไม่มีแสง


หนวดรยางค์สีเข้มและเรียบเนียน รัดพันกันเองจนกลายเป็นทรงกลมขนาดใหญ่


และด้านบนของหนวดรยางค์เหล่านี้ บ้างมีลูกตาสีดำสลับขาว บ้างเป็นหัวอสรพิษ บ้างเป็นปากที่แยกจากกันเล็กน้อย รายหลังสามารถแลบลิ้น ทั้งหมดมีรูปร่างแปลกประหลาดและน่ากลัว


ทันใดนั้น พวกมันบ้างหดตัว บ้างสะบัดไปมา ส่งผลให้ทรงกลมค่อยๆ พังครืนทีละชั้น


ใจกลางของทรงกลมดังกล่าว เด็กสาวคนหนึ่งกำลังขดตัวเป็นลูกบอล ใบหน้าอ่อนหวาน คิ้วขมวดชนกัน สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยจากความเจ็บปวด ค่อนข้างน่าสงสาร


หนวดรยางค์ลื่นๆ เหล่านั้นหดตัวจนมีขนาดลีบเล็ก กลับคืนสภาพเดิมของมัน:


เส้นผมสีดำยาวสลวย!


สีหน้าของหญิงสาวผมสลวยเริ่มบรรเทาลง เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินทางเตียงที่ถูกแบ่งเป็นสัดส่วน หยิบชุดนอนบนเตียงขึ้นมาทาบลำตัว


จากนั้น หญิงสาวรวบผมสลวยสีดำ เดินทางยังกระจกบานใหญ่และเหยียดมือขวา เช็ดผิวกระจก


เปลวไฟสีดำพลันลุกไหม้ เผาไหม้อากาศอย่างเงียบงันและดับลงอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงกระจกสีดำสนิทบรรยากาศลุ่มลึก


ภายในกระจก แสงและเงาตัดกันชัดเจน เผยให้เป็นสภาพแวดล้อมของท่อระบายน้ำที่สกปรก ชายวัยกลางคนสวมหมวกโบราณและเสื้อนอกสีแดง ก้มหน้าจ้องหน้าหญิงสาวที่ไม่แน่ใจว่าอยู่ห่างกันแค่ไหน ทั้งหมดดูราวกับเป็นภาพวาดสีน้ำมันอันโด่งดัง


ใบหน้าอันกลมกลึงของหญิงสาวเจ้าของดวงตาเรียวยาว สบตากับอีกฝ่ายสองสามวินาที ก่อนจะยิ้ม


ด้วยรอยยิ้มอันสดใส คล้ายกับห้องสลัวๆ สว่างขึ้นทันที


หญิงสาวอ้าปากบางๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน


“มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์… นี่คือความบ้าและเลือดเย็นของนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาลือกัน? หรือควรเรียกว่าพลังของตัวตลกดี?”


สำหรับเรื่องที่ว่า แม่มดทริสซี่ทราบตัวจริงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์ไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะมันยังคงใช้ใบหน้าของ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลที่ตายมานานมากแล้ว


ย้อนกลับไปในตอนนั้น ทริสซี่ได้รับบาดเจ็บและต้องหมกตัวในท่อระบายน้ำ หมกมุ่นอยู่กับการสืบสวนและแก้แค้น ย่อมไม่ได้รับข่าวสารทางทะเล เป็นเรื่องปรกติที่จะไม่ทราบข่าวเกี่ยวกับพลเรือเอกโลหิต แต่หลังจากฟื้นฟูร่างกายและหนีออกจากท่อระบายน้ำ หากไม่ตัดสินใจสืบข่าวเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานเลย เกรงว่าเธอคงจะขาดคุณสมบัติของทั้ง ‘นักลอบสังหาร’ และ ‘นักกระตุ้น’


เห็นได้ชัดว่า แม้อดีตของทริสซี่จะเต็มไปด้วยวีรกรรมเลวร้าย แต่สติปัญญายังคงเฉียบแหลม


ไคลน์ไม่โต้แย้ง เพียงควบคุมกระดาษคนเซนอลให้ยิ้มและตอบ


“ทำไมตัวตลกจะบ้าและเลือดเย็นไม่ได้?”


โดยไม่รอให้ทริสซี่ตอบ มันชิงถาม


“สอบสวนหัวหน้าองครักษ์หลวงไปถึงไหนแล้ว?”


ทริสซี่ตอบด้วยสีหน้าดำมืด


“คงใช้เวลาอีกราวหนึ่งเดือนกว่าจะมีความคืบหน้า… หรืออาจสองเดือน”


“ถ้าต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อกลับมาได้ทุกเมื่อ” ไคลน์เน้นย้ำ


ทริสซี่อืมในลำคอ


“ในกรุงเบ็คลันด์… ในเกมๆ นี้ ความแข็งแกร่งไม่ใช่ทุกสิ่ง… หากจำเป็น ฉันจะยืมมือคนอื่นแน่… มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ในเมื่อไม่ต้องปิดบังตัวตนกันแล้ว ช่วยบอกวิธีติดต่อที่สะดวกกว่านี้ได้ไหม”


นี่สินะ ความรู้สึกของการถูกขอเบอร์มือถือ… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก อธิบายวิธีการอัญเชิญมิสผู้ส่งสารอย่างใจเย็น และไม่ลืมเน้นย้ำการจ่ายหนึ่งเหรียญทอง


ทริสไม่กล่าวคำใด ยื่นมือขวาออกไป ลูบบนผิวกระจก


เปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้นและดับลง กระจกกลับมาเป็นปรกติ


ภายในท่อระบายน้ำ พลเรือเอกโลหิตที่อยู่ในสภาพมนุษย์กระดาษ ทำการฝังเศษกระจกกลับไปในดิน บังคับให้ร่างกายหดตัวกลายเป็นหนูสีเทา เดินไปยังส่วนลึกของท่อระบายน้ำและกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย


ภายในบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ไคลน์ปิดม่าน เดินไปนั่งบนเก้าอี้เอนหลัง


ว่ากันตามตรง มันค่อนข้างเสียใจที่ร่วมงานกับทริสซี่


มันรู้สึกว่า เธอได้รับอิทธิพลจางๆ จากแม่มดบรรพกาลจนตัดสินใจแก้แค้นอย่างบุ่มบ่าม เป็นราวกับระเบิดเวลาเคลื่อนที่ ไม่มีใครทราบว่าจะระเบิดตอนไหน


ถ้าทริสซี่กลายพันธุ์ มีโอกาสมากที่เบ็คลันด์จะเกิดหายนะรุนแรง… ถึงตอนนั้น เราห้ามปรานีเด็ดขาด… ไคลน์ถอนหายใจ ประกอบพิธีกรรมสังเวย ส่งแป้งเปียกสีดำเข้าไปในมิติหมอกเทา พยายามใช้สิ่งนี้เพื่อทำนายถึงตำแหน่งและสถานการณ์ปัจจุบันของทริสซี่


ราวยี่สิบนาทีต่อมา ผลลัพธ์คือความล้มเหลว


นั่นทำให้มันยิ่งกังวล เพราะผลลัพธ์เช่นนี้หมายถึง ทริสซี่อาจกลายเป็นข้ารับใช้ของแม่มดบรรพกาลไปแล้วระดับหนึ่ง



เช้าวันถัดมา หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ไคลน์สั่งให้พ่อบ้านวอลเตอร์และผู้ช่วยพ่อบ้านคนใหม่ ริชาร์ดสัน ทำการแจกจ่ายของขวัญที่นำกลับจากทวีปใต้


ทั้งหมดอัดแน่นอยู่ในกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ ประกอบไปด้วยเมล็ดกาแฟเฟอร์โม่ ใบยาสูบของไบลัมตะวันออก ไวน์จากหุบเขา และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจำพวก รูปปั้นแกะสลักจากกระดูกมนุษย์


สิ่งเหล่านี้จะถูกกระจายไปยังเพื่อนบ้านแต่ละหลังภายในบล็อกถนน แน่นอน ในนามของดอน·ดันเตส เป็นการประกาศกลายๆ ว่าชายคนนี้กลับมาแล้ว


“อา… หากส่งไวน์ขวดนี้ถึงมือส.ส. มัคท์หรือภรรยาเมื่อไร อย่าลืมแนะนำไปว่า ไวน์ขวดนี้เหมาะสำหรับทำค็อกเทลรสเปรี้ยว เป็นน้ำมะนาวได้จะดีมาก” ไคลน์กำชับพ่อบ้านวอลเตอร์


ของขวัญทุกชิ้นจะถูกมอบให้กับคนที่เหมาะสมหรือมีงานอดิเรกดังกล่าว แน่นอน ผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังที่สุดในทวีปใต้อย่างน้ำยาปลูกผมดอนนิงส์แมนไม่เหมาะแก่การมอบเป็นของขวัญ เพราะมันจะเหมือนการเย้ยหยันมากกว่า


วอลเตอร์ตอบเสียงขรึม


“ครับ นายท่าน”


รอจนกระทั่งนายจ้างหมดคำสั่ง ริชาร์ดสันจ้องไปยังกองของขวัญที่เหลือ ซักถามจริงจัง


“จะให้ส่งของพวกนี้ไปที่ไหนครับ?”


“กองนี้สำหรับเจ้าหน้าที่กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา ผมจะนำไปส่งด้วยตัวเอง” ไคลน์ยิ้มพลางตอบ


มันชี้ไปยังสร้อยคอทองคำในมือและกล่าว


“ผมพลาดงานฉลองวันเกิดของลูกนายแพทย์อลัน คงต้องแสดงการขอโทษกันสักหน่อย… อา… ผมจะไปเยือนที่บ้านเขาบ่ายวันนี้ มอบสร้อยคอรับขวัญเด็กเล็ก”


แน่นอน วิล·อัสตินคงไม่ชอบมันเท่าไร… เมื่อเทียบกับแล้ว ท่าน… ไม่สิ เรียก ‘เขา’ ก็แล้วกัน… เขาคงอยากกินไอศกรีมมากกว่า… กล่าวจบ ไคลน์รำพันในใจ


รอจนกระทั่งพ่อบ้านและริชาร์ดสันทยอยออกไปแจกจ่ายของขวัญพร้อมกับคนงาน ไคลน์เดินขึ้นรถม้า โดยสารไปลงที่อาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ ตึกกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา


ลงจากรถม้า มันเดินตรงไปตามทาง ด้านหลังมีบุรุษรับใช้คนใหม่ เอ็นยูน คอยเดินตามและมอบของขวัญให้เจ้าหน้าที่


เพียงไม่นาน ไคลน์ขึ้นมายังชั้นสอง เดินมาหยุดหน้าหนึ่งในห้องคณะกรรมการ งอนิ้วเคาะประตู


“เชิญค่ะ” เสียงแผ่วเบาของออเดรย์·ฮอลล์ดังขึ้น


ในฐานะ ‘ผู้ชม’ มากประสบการณ์ เธอทราบมาสักพักแล้วว่าดอน·ดันเตสมาถึงสำนักการกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา จึงรอคอยด้วยใจจดจ่อ


ไคลน์ดันประตูเข้ามา หยิบกล่องของขวัญเล็กๆ ออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน ยิ้มอย่างอบอุ่นและพูด


“ผมกลับจากทวีปใต้แล้ว… อา… ธุรกิจประสบความสำเร็จด้วยดี ผมจึงนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มามอบให้ทุกคน ถือเป็นการแบ่งปันความสุข”


มันจงใจกล่าวเช่นนี้เพราะต้องการออกตัวว่า ตนยังไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับอีกฝ่าย


“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันคงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ” ออเดรย์ยิ้มอย่างคาดหวัง


เธอมิได้ยินดียินร้ายกับของขวัญ แต่ในเมื่อได้รับ ย่อมต้องคาดหวังว่าจะเป็นของขวัญประเภทใด


รับของขวัญเสร็จ ออเดรย์แกะกล่องต่อหน้าดอน·ดันเตส พบว่าด้านในเป็นเครื่องประดับที่ทำจากขนนกสีขาวและลวดลายสีเหลืองอ่อน


“เป็นเครื่องประดับหมวก” ไคลน์อธิบาย “ไบลัมตะวันออกจะมีวัฒนธรรมบางอย่าง พวกเขาทุกคนชื่นชอบที่จะประดับขนนกไว้บนร่างกาย จากบรรดาทั้งหมด สิ่งที่มีค่าที่สุดคือเครื่องประดับหมวก กล่าวกันว่ามีต้นกำเนิดจากประเพณีบูชางูขนนก… อา… งูขนนกคือสัญลักษณ์ของมรณา”


และขนนกนี้มาจาก ‘ผลผลิต’ ที่ล้มเหลวของมรณาเทียม ไคลน์มอบให้ช่างฝีมือของทวีปใต้นำไปสร้างเป็นเครื่องประดับหมวก สิ่งนี้สามารถใช้เป็นวัตถุสังเวย


ไคลน์เคยได้มาสาม หนึ่งถูกใช้ในสงครามนอกเมืองบายัม ร่วมกันกับนกหวีดทองเหลืองของนิกายวิญญาณ อัญเชิญสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ที่เป็นผลผลิตล้มเหลวของมรณาเทียม อีกหนึ่งถูกสังเวยให้กับเทพมรณาเทียมในทวีปใต้ เพื่อแลกกับวิวรณ์ที่สำคัญอย่าง: อินซ์·แซงวิลล์ถูกวิญญาณมารเข้าสิง และนี่คือชิ้นสุดท้าย


สืบเนื่องจากในปัจจุบัน เทพมรณาเทียมนั้นมีค่าเท่ากับเทพธิดารัตติกาล และไคลน์ที่เป็นข้ารับใช้ของเทพธิดา สามารถติดต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งพาขนนกเป็นสื่อกลาง ดังนั้น มันจึงนำขนนกที่เหลือมาเป็นของขวัญให้มิสจัสติส เพราะเหนือสิ่งอื่นใด สตรีผู้นี้คือสาวกของเทพธิดา บางทีอาจใช้ขนนกเป็นเครื่องสังเวยได้ในช่วงเวลาวิกฤติ


ในสภาพถือของขวัญ ออเดรย์ฉีกยิ้มกว้าง หลังจากฟังดอน·ดันเตสอธิบาย ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว


อย่าบอกนะว่า… มิสเตอร์เวิร์ลไปดึงมันมาจากงูขนนกตัวเป็นๆ?

 

 

 


ราชันเร้นลับ 979 : ความสุขของชีวิต

 

“ธรรมเนียมของชาวทวีปใต้ช่างแตกต่างกับพวกเรา” ออเดรย์ก้มมองเครื่องประดับหมวกขนนกภายในกล่องของขวัญ กล่าวชื่นชม “แต่ก็เข้ากับรสนิยมของฉันพอดี”


ครึ่งหลังของประโยค กึ่งหนึ่งพูดตามมารยาท อีกกึ่งหนึ่งออกมาจากใจ เธอมองว่าขนนกชิ้นนี้งดงามราวกับงามศิลป์ เพียงแต่ว่ามันโดดเด่นเกินไป สะดุดตาเกินไป ไม่ใช่แบบที่ชอบใช้เป็นเครื่องประดับ


คล้ายกับยามที่ผู้คนเดินทางไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังเก่าแก่ ต่างคนต่างชอบลวดลายและภาพวาดอันเป็นเอกลักษณ์ กล่าวคำยกย่องชื่นชม แต่มักไม่ค่อยซื้อของในทำนองเดียวกันมาตกแต่งบ้านหรือใช้เป็นเครื่องประดับ


ได้ยินประโยคดังกล่าว ไคลน์ยิ้ม


“ขนบธรรมเนียมของชาวทวีปใต้มีความหลากหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะไบลัมตะวันออก ตะวันออก แถบหุบเขาและที่ราบสูง แน่นอน ยังมีบางส่วนที่ยังเหมือนกัน เช่น คลั่งไคล้ทองคำ เชื่อว่าโลหะชนิดนี้มีพลังพิเศษ”


กล่าวถึงตรงนี้ มันชี้ไปที่นกในมือออเดรย์


“ตำนานกล่าวไว้ว่า คนที่สวมหมวกแบบนี้จะได้รับพรจากงูขนนก เป็นพรจากมรณา”


มันกำลังบอกใบ้ความสำคัญที่ซ่อนอยู่ในขนนก


ในฐานะเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ลำดับ 6 ออเดรย์ย่อมมองเห็นควายนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเดอะเวิร์ล เข้าใจว่าเครื่องประดับหมวกชิ้นนี้สามารถรับการตอบสนองจาก ‘มรณา’ ได้ในช่วงเวลาวิกฤติ สามารถสร้างผลลัพธ์บางอย่าง


สำหรับเรื่องที่ว่าจะใช้งานยังไง นี้เป็นพื้นฐานของศาสตร์เร้นลับ ออเดรย์ที่มีความรู้ค่อนข้างมาก ไม่จำเป็นต้องขอคำอธิบายจากดอน·ดันเตส


เธอยิ้มเล็กๆ โดยไม่เผยฟัน


“ดิฉันชอบมาก จะหาโอกาสติดบนหมวกตามความเหมาะสม”


ไม่เลว… การคุยกับผู้ชมสะดวกสบายแบบนี้นี่เอง… ไคลน์ยิ้มตอบ ชี้ออกไปข้างนอก


“ขอตัวก่อนนะครับ ผมยังมีขอขวัญเหลืออยู่”


“วันนี้คุณน่าจะเป็นคนดังของที่นี่” ออเดรย์ยิ้มตอบ เป็นการแสดงความขอบคุณ


ขณะเดียวกัน ภายในใจเธอเกิดความกังวลเล็กๆ ลังเลว่าจะหาโอกาสแจ้งเดอะเวิร์ลซึ่งต้องการสืบสวนคดีการตายของคารอน เกี่ยวกับเฮอร์วิน·แรมบิสดีหรือไม่


จริงสิ อีกเดี๋ยวก็วันจันทร์แล้ว รอให้ถึงชุมนุมทาโรต์ จากนั้นค่อยคุยกันอย่างสบายใจ… แล้วก็ เราต้องปรึกษากับมาดามเฮอร์มิทและมิสเตอร์แฮงแมน ว่าควรรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร โดยเฉพาะวิธีป้องกันการถูกสะกดจิตโดยผู้ชมลำดับสูง เพราะเราไม่สามารถสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลและขอพรล่วงหน้าได้ทุกครั้ง… มาลองคิดดูให้ดี พลังสะกดจิตแบบนั้นช่างน่าสะพรึง เหยื่อไม่ทันได้สังเกตเห็น ไม่มีทางรู้ตัวว่ากำลังถูกป้อนคำสั่ง… ความคิดออเดรย์คล้ายกับน้ำเดือด ฟองผุดขึ้นมาทีละหนึ่ง


เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เธอสงสัยว่า อาจมีชนชั้นสูงของโลเอ็นจำนวนไม่น้อยที่ถูกสะกดจิต ให้ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับเจตนารมณ์ของตน


ขณะเดียวกัน เธอเข้าใจบางสิ่งคลุมเครือ


ทุกครั้งที่พ่อกับแม่เดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลเพื่อเข้าร่วมพิธีมิสซา ประธานของพิธีจะต้องเป็นอาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์เสมอ การจะดำรงตำแหน่งนี้ได้ ลำดับพลังอย่างน้อยก็ต้องครึ่งเทพ!


ในหลายครั้ง ท่านเจ้าคุณอาร์บิชอปก็เป็นฝ่ายมาเยี่ยมบ้านของเราเพื่อพูดคุย… เป็นการป้องกันการสะกดจิต? และนั่นคือเหตุผลที่เฮอร์วิน·แรมบิสไม่กล้าสะกดจิตเรารุนแรงเกินไป? ออเดรย์เฝ้ามองดอน·ดันเตสเดินออกจากสำนักงานและปิดประตู เธอนั่งลงอีกครั้ง หยิบปากกาและเขียนบนกระดาษตามจิตใต้สำนึก


หลังจากได้สติกลับมา บนกระดาษสีขาวมีวงกลมถูกวาดขึ้น มีดวงตาที่เย็นชาและใบหน้าที่เต็มไปด้วยเส้น


เพียงชำเลืองเห็น หัวใจออเดรย์พลันเต้นแรง รีบใช้พลังวิญญาณเสียดสีกับกระดาษเพื่อเผาให้เป็นเถ้าถ่าน


สิ่งที่ขีดเขียนเล่นเมื่อครู่ คือเครื่องสะท้อนอารมณ์และความคิดจากจิตใต้สำนึกของเธอในระดับหนึ่ง!


สำหรับนักจิตบำบัดมืออาชีพ การแปลความหมายจากภาพวาดคือทักษะพื้นฐาน จึงไม่ลังเลเลยที่จะเผาทำลายมันทิ้ง


ผ่านไปสักพัก ไคลน์ที่มอบของขวัญเสร็จ คุยกับคณะกรรมการสองสามคนสักพัก ก่อนจะเข้ามาในห้องของคณะกรรมการชั่วคราว ตามหาปากกาและกระดาษ นั่งบนโซฟา ครุ่นคิดและเริ่มเขียน:


“เรียนมิสเตอร์อะซิก”


ไคลน์เขียนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทวีปใต้ อาดัมได้ครอบครอง ‘0-08’ ส่วนตน เลียวนาร์ด และดาลีย์ประสบความสำเร็จในการแก้แค้นอินซ์·แซงวิลล์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การส่งจดหมายไปหามิสเตอร์อะซิกที่กำลังหลับใหล จดหมายจะไม่มีการตอบกลับในเร็วๆ นี้


ส่วนประเด็นที่ว่า มีการเอ่ยชื่ออาดัมและ 0-08 ลงบนจดหมาย ไคลน์ไม่ได้กังวลสักเท่าไร เพราะอย่างไรก็ดี เทวทูตจินตภาพรายนี้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับกงสุลมรณะอยู่แล้ว ลำพังการแบ่งปันข้อมูลจะไม่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม


ถึงตรงนี้ เนื้อหาของจดหมายไม่เกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับอีกต่อไป เพียงอมยิ้มและตวัดปากกาอย่างอ่อนโยน เล่าเกี่ยวกับการช่วยเหลือทางการกุศลที่ได้ฟังมาจากออเดรย์และคณะกรรมการคนอื่น และปิดท้ายว่า


“…สิ่งนี้คุ้มค่าแก่การลงทุนมาก ผมรู้สึกพอใจและมีความสุข… มิสเตอร์อะซิก คุณก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?”


“ไว้คุณตื่นเมื่อไร… บางทีอาจลองทำในสิ่งที่คล้ายกัน ทุกการคืนชีพหลังจากนี้ ตระเวนช่วยเหลือเด็กๆ ที่ขาดแคลนโอกาส เมื่อถึงตอนนั้น ถึงแม้คุณจะลืมพวกเขา แต่พวกเขาก็จะไม่ลืมคุณไปชั่วชีวิต”


เขียนเสร็จ เก็บปากกา ไคลน์อ่านทวนซ้ำอีกครั้ง ยืนยันว่าไม่มีข้อผิดพลาด จึงเป่านกหวีดทองแดง อัญเชิญผู้ส่งสารกระดูกและยื่นจดหมายให้


ถัดมา มันและบุรุษรับใช้เอ็นยูน เดินออกจากสำนักงานกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา มายังวิหารนักบุญแซมมวลที่อยู่ไม่ไกล สวดมนต์อย่างเงียบงันนานกว่าสิบห้านาที


เฉกเช่นทุกครั้ง ไคลน์เดินมายังกล่องบริจาค โยนธนบัตรที่มีมูลค่ารวมแปดสิบปอนด์ลงไป


อาศัยโอกาสดังกล่าว มันเดินไปพบบิชอปอีเล็คตร้า พูดคุยกันสักพักและฟังเทศนา


นี่คือการประกาศให้โบสถ์รัตติกาลทราบว่า ดอน·ดันเตสกลับมาแล้ว


สำหรับของขวัญ ไคลน์มิได้ถือติดมือมามอบให้ เพราะนี่คี่คือเคหสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดา มิใช่พื้นที่ส่วนตัว จึงกำชับให้พ่อบ้านวอลเตอร์ นำของขวัญไปมอบให้บิชอปอีเล็คตร้าที่บ้านอีกฝ่ายแทน



ช่วงเวลาชายามบ่าย ไคลน์ทำตามกำหนดการ เดินทางออกจากบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ไปเยี่ยมบ้านศัลยแพทย์อลัน เพราะริชาร์ดสันที่ได้แวะไปมาเมื่อช่วงเช้า กลับมายืนยันว่าเจ้าของบ้านอนุญาต


ในคราวนี้ ไม่เพียงไคลน์จะได้พบนายแพทย์อลัน แต่ยังมีเวลม่า·กลาดีส ภรรยาของอลัน รวมถึงทารกแรกคลอดและพี่ชายพี่สาวที่อายุห่างกันไม่กี่ปี


“น่าเสียดายที่ผมพลาดโอกาสเข้าร่วมงานวันเกิดของ… เอ่อ…” ไคลน์จงใจเว้นวรรค รอจนกระทั่งเวลม่า·กลาดีสยิ้มและตอบกลับว่า ‘วิล’


มันเรียบเรียงคำพูดสักพักก่อนจะกล่าว


“น่าเสียดาย ผมมีธุระด่วนที่ไบลัมตะวันตก พลาดการเข้าร่วมงานเลี้ยงมันเกิดของวิล… นี่คือเครื่องรางที่ได้รับความนิยมอย่างมากแถวนั้น กล่าวกันว่าจะนำพาความโชคดีมาสู่เด็กๆ”


ขณะพูด มันส่งเครื่องประดับทองคำให้นายแพทย์อลัน


อลัน·คริสที่พูดไม่เก่ง มิได้คัดค้าน เพียงรับไว้พลางพยักหน้า


“ขอบคุณ”


จากนั้น มันถือเชือกที่ห้อยเครื่องรางสีทองไปยังรถเข็นเด็กข้างๆ เขย่าเล็กน้อยพร้อมกับถาม


“วิล… ลูกชอบมันไหม?”


เด็กอวบอ้วนที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมสีเงินยกแขนขึ้น ตบเครื่องรางสีทองออก


ตบมันออก…


ภายในห้องนั่งเล่น บรรยากาศอึมครึมทันที ไคลน์ตัดสินใจหัวเราะในลำคอเพื่อสร้างความร่าเริง


“คงเป็นการตอบสนองปรกติของเด็กเล็กน่ะครับ”


ขณะเดียวกัน สาวใช้ยกถาดสามชั้นพร้อมกับของว่างและชายามบ่ายมาวาง ช่วยให้เจ้าบ้านและแขกสามารถเปลี่ยนเรื่องสนทนา


ไคลน์จิบชาดำและของว่าง พลางเล่าเกี่ยวกับธรรมเนียมประหลาดๆ ของไบลัมทั้งตะวันออกและตก เป็นหัวข้อที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากอลันและเด็กทั้งสองคน พวกมันตั้งคำถามเป็นครั้งคราว


ระหว่างนั้น ไคลน์หันหน้าไปทางรถเข็นเด็ก ยิ้มและถาม


“ไม่ชอบของขวัญของผมหรือ?”


ขณะตั้งคำถาม คู่สามีภรรยาอลันและเด็กๆ ภายในห้องมิได้เผยสีหน้าผิดปรกติ ท่าทียังคงเป็นการนั่งฟังอย่างตั้งใจ


พวกมันกำลังถูกตบตาด้วย ‘ภาพลวงตา’ ที่ไคลน์สร้างขึ้น ภาพลวงตาที่ดอน·ดันเตสกำลังนั่งบรรยาย!


ได้ยินเช่นนั้น วิลอัสตินกอดอก กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็กทารก


“ของขวัญชิ้นนั้นมีประโยชน์อะไร? ส่งกวาดาร์มาให้ข้ายังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ดื่มได้!”


ไคลน์ยิ้มและส่ายหน้า


“มีข่าวดีมาแจ้ง โอโรเลอุสได้รับบาดเจ็บโดยฝีมือใครสักคน คงไม่ออกตามหาคุณสักพัก”


ชายหนุ่มไม่กล้าเอ่ยชื่ออาดัม ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง ด้วยกังวลว่าบุตรแห่งพระผู้สร้างรายนี้จะตรวจพบตำแหน่งของอสรพิษปรอท วิล·อัสติน


สำหรับคำเรียกว่า ‘พี่ชายอามุนด์’ ไคลน์ตัดสินใจละเว้นไว้สักพัก เพราะไม่ทราบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในเบ็คลันด์หรือไม่ มีบ่อยครั้งที่การเอ่ยชื่อของ ‘เทวทูตกาลเวลา’ ตนนี้ ชักนำให้ชะตากรรมมาบรรจบกัน


แต่ไคลน์ก็เชื่อว่า วิล·อัสตินสามารถเดาได้ไม่ยากว่าใครคือผู้ทำร้าย ‘เทวทูตโชคชะตา’ เพราะตัวตนที่ยังเดินดินและสามารถทำร้ายโอโรเลอุสได้มีเพียงหยิบมือ อาจเหลือเพียงอาดัมและอามุนด์เท่านั้น


การอธิบายด้วยคำว่า ‘ใครบางคน’ ยังจะช่วยตัดคำตอบที่ว่า เหล่าเทวทูตจำนวนหนึ่งพกพาสมบัติปิดผนึกรุมทำร้ายโอโรเลอุส


วิล·อัสตินเงียบงันสักพัก


“คำทำนายของข้าก็คือ ชะตากรรมของเจ้าจะส่งผลดีในระยะยาว”


หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลเสร็จ ไคลน์เตรียมสลายภาพลวงตา แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงวิล·อัสติน


“จริงสิ… จู่ๆ ข้าก็อยากกินกวาดาร์เย็นๆ ใส่น้ำแข็งได้ยิ่งดี”


“เครื่องดื่มแบบนั้นไม่เหมาะกับเด็ก!” ไคลน์ทำหน้าขึงขังขณะสลายภาพลวงตา เหยียดแขนออกไปหยิบไอศกรีมที่สาวใช้ยกมาเสิร์ฟ


จากนั้น ภายใต้สายตาของอลันและเวลม่า มันตักไอศกรีมด้วยช้อนเงินหนึ่งคำ หยอกเย้าเด็กทารก


“วิล อยากกินไหม? อยากกินไหม?”


มาดามเวลม่าหัวเราะ


“วิลของเราไม่ชอบสิ่งนี้”


ขณะหญิงสาวกล่าวจบ ไคลน์ยัดช้อนเงินเข้าไปในปากตัวเอง


“อุแว๊—!”


เด็กในรถเข็นร้องกระจองอแง

 

 

 


ราชันเร้นลับ 980 : การเลือกโฮสต์

 

หลังจากพยายามปลอบโยนสักพัก ในที่สุดอลัน·คริสและเวลม่า·กลาดีสประสบความสำเร็จในการทำให้ทารกสงบลง


ฟู่ว… อลันเจ้ารูปร่างสูงผอมถอนหายใจโล่งอก เหยียดตัวตรง ดันแว่นตากรอบทอง ผงกศีรษะเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษแขก เรียบเรียงคำพูดสักพักก่อนจะกล่าว


“ต้องขออภัยด้วย เด็กๆ ก็แบบนี้”


“ใช่ครับ” ไคลน์ยิ้มตอบ เป็นนัยว่าไม่ถือสา


จากนั้น มันเปลี่ยนเรื่องคุย แบ่งปันประสบการณ์ในทวีปใต้ต่อไป


ระหว่างนั้น มันร่ายมนต์ภาพลวงตาอีกครั้ง คนธรรมดาทุกคนในห้องนั่งเล่นถูกทำให้เห็นภาพมายา หยิบไอศกรีมก้อนที่ยังกินไม่เสร็จ เปลี่ยนช้อนเงิน หรี่ตาลงและลุกขึ้น เดินไปที่รถเข็นและกระซิบแผ่วเบา


“วิล… อยากกินไหม?”


โดยไม่รอให้ร่างที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมสีเงินตอบ มันกล่าวเสียงนุ่ม


“ในเมื่อตอนนี้คุณคลอดแล้ว คงพับนกกระเรียนกระดาษได้ใช่ไหม? ทางนี้จะได้ไม่ต้องแวะมาบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นอาจถูกสงสัยเอา”


วิล·อัสติน·คริสเพียงจ้องหน้า มิได้ตอบสิ่งใด


ไคลน์ไม่เปลี่ยนสีหน้า หยิบกระดาษเปล่าคุณภาพสูงจากด้านข้าง วางลงในรถเข็น


จากนั้น มันเอนตัวลง ตักไอศกรีมคำเล็กด้วยช้อนเงิน


“ของขวัญจากโชคชะตาก็มีราคาที่ต้องจ่าย… ใช่ไหมล่ะ?” ไคลน์ขยับช้อนเงินในมือ กล่าวพลางยิ้ม


วิลที่นอนอยู่ในรถเข็นยกมือซ้าย เช็ดน้ำตาที่ยังคงเปื้อนบนใบหน้า พึมพำในลำคอ


“สำหรับผู้วิเศษเส้นทาง ‘โชคชะตา’ พวกเราต้องจ่ายค่าตอบแทนก่อน จึงจะได้รับของขวัญจากโชคชะตา”


กล่าวจบ ทารกตัวอวบอ้วนหยิบกระดาษเปล่า พับนกกระเรียนกระดาษอย่างยากลำบาก


ไคลน์ที่ยืนอยู่หน้ารถเย็น ถือช้อนเงินนิ่งๆ พลางยิ้มให้ฉากตรงหน้า



รถม้าแล่นออกจากถนนพินสเตอร์ ขับตรงไปยังวิหารนักบุญแซมมวล


ขณะผ่านบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน เลียวนาร์ด·มิเชลมองผ่านหน้าต่างรถม้า พึมพำประหนึ่งคุยกับตัวเอง


“ดอน·ดันเตสก็กลับมาแล้วเหมือนกัน”


เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นในใจ


“ในที่สุด ชะตากรรมก็มาบรรจบกัน”


“ตาแก่ หลังจากตื่นขึ้นมา คุณพูดจาเหมือนพวกนักตุ้มตุ๋นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะแดกดัน


พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะในลำคอสองครั้ง มิได้ตอบสนอง


หลังจากมาถึงวิหารนักบุญแซมมวล นำทางโดยบิชอป เลียวนาร์ดมาถึงห้องอ่านหนังสือของนักบุญแอนโทนี อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์


แอนโทนี·สตีเวนสันสวมชุดคลุมสีดำสลับแดง ดวงตาลุ่มลึก ใบหน้าเกลี้ยงเกลา กำลังยืนอยู่ในเงามือที่เกิดจากตู้หนังสือ ประหนึ่งกำลังเฝ้ามองทุกชีวิตจากส่วนลึกของเงามืด สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนโดยไม่มีเหตุผล


“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป ต้องการพบผมหรือ?” เลียวนาร์ดที่พอจะคาดเดาไว้ ทำท่าคำนับอย่างประดักประเดิด


แอนโทนีพยักหน้าแผ่วเบาพลางกล่าว


“ตอนนี้คุณมีคะแนนผลงานเพียงพอแล้ว สามารถลงทะเบียนเลื่อนตำแหน่งเป็นลำดับ 5 ‘จอมอาคมวิญญาณ’ ได้ แต่เนื่องจากโอสถนักปลอบวิญญาณของคุณยังย่อยไม่สมบูรณ์ ผมจึงนำคุณออกจากทีมของโซสต์ก่อน มอบหมายงานพิเศษให้แทน”


เลียวนาร์ดพยักหน้าพอเป็นพิธี


“น้อมรับคำสั่ง”


แอนโทนีหยิบกองเอกสารบนโต๊ะ


“ทั้งหมดคือคดีที่ต้องสงสัยว่าจะเกิดจากฝีมือภูตผี คุณต้องไล่ทำทีละคดี เน้นการปลอบโยนมากกว่าชำระล้าง หากคุณต้องการความช่วยเหลือ สามารถดึงเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นมาเป็นลูกทีมได้”


“ครับ ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป” งานแบบนี้ ต่อให้นักบุญแอนโทนีไม่สั่ง เลียวนาร์ดก็คิดจะทำเองอยู่แล้ว จึงมิได้คัดค้าน


หลังจากรับปึกกระดาษ มันพลิกอ่านและถามโดยไม่มองหน้า


“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป ตอนนี้หน่วยของหัวหน้าโซสต์เป็นยังไงบ้าง?”


แม้ว่าในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มันหมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้นจนแทบไม่ได้สนใจงานของถุงมือแดง เอาแต่ทำตัวหละหลวม มิได้สร้างมิตรภาพกับพวกพ้องในทีม แต่คนเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน เผชิญอันตรายมาด้วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นห่วง


“พวกเขากำลังร่วมมือกับเครสไทน์เพื่อทำภารกิจบางอย่างให้ลุล่วง” แอนโทนี·สตีเวนสันไม่ลงลึกรายละเอียด


ท่านเจ้าคุณซีสม่าก็มาที่เบ็คลันด์… เลียวนาร์ดมิได้ถามซักไซ้ เพียงทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก


“ขอให้พระองค์อวยพรทุกคน”


“เทพธิดาจงเจริญ” แอนโทนีตอบด้วยท่าทางแบบเดียวกัน


ออกจากห้องอ่านหนังสือของอาร์ชบิชอป เลียวนาร์ดเดินตรงไปจนสุดทาง เตรียมลงใต้ดินเพื่อหาห้องเงียบๆ และตรวจสอบภารกิจที่ต้องทำ


ระหว่างทาง ขณะเดินลงบันได มันเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณและชำเลืองหน้าต่างหลากสีด้านบน


แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาจากจุดดังกล่าว ช่วยให้ลวดลายและสีสันชัดเจนยิ่งขึ้น รวมไปถึงฝุ่นผงและแมลงตัวเล็กๆ ที่เด่นขึ้นอย่างชัดเจน


เห็นฉากดังกล่าว เลียวนาร์ดพลันนึกถึงคำอธิบายของชายชรา จินตนาการถึงพลังของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ที่สามารถปรากฏตัวได้ทุกอณูในอากาศ


มันสั่นสะท้านจากภายใน ผุดความสงสัยบางข้อขึ้น จึงรีบบีบเสียงและถาม


“ตาแก่ ผมมีคำถาม”


“ว่ามา” พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถามเชื่องช้า


เลียวนาร์ดหรี่เสียงลงจากเดิม


“ทำไมคุณถึงไม่สิงร่างแมลงบิน? พวกมันตัวเล็กกว่า ซ่อนเร้นมากกว่า สามารถซ่อนตัวในวิหารได้ง่ายดาย ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบโดยอามุนด์”


“แมลงบินมีอายุขัยเท่าไรกันเชียว? ทุกครั้งที่เปลี่ยนโฮสต์จะทำให้ร่างกายได้รับภาระหนักเสมอ ไม่เพียงแต่จะมิอาจฟืนคืนพลัง แต่ยังจะบั่นทอนอายุขัยตัวเอง” พาลีส·โซโรอาสเตอร์พ่นลมหายใจ


เลียวนาร์ดตกตะลึง ซักถามตั้งคำถาม


“แล้วสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มีอายุขัยยืนยาวขึ้นมาอีกล่ะ? ประเภทที่สามารถอาศัยรอบๆ วิหารได้โดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวเสียดสี


“เจ้าไม่เคยเก็บคำพูดของข้าไปคิดให้แตกฉาน ในอนาคตจะเดือดร้อนเข้าสักวัน! สำหรับผู้วิเศษ ยิ่งมีลำดับสูงขึ้น โอกาสคลุ้มคลั่งและเสียสติก็ยิ่งมากเป็นเงาตามตัว นี่คือธรรมชาติของตะกอนพลัง ทำได้เพียงยับยั้งและต่อต้าน แต่มิอาจขจัดออกไป… ดังนั้น สำหรับปรสิต การเลือกโฮสต์ต้องนำปัจจัยดังกล่าวมาคำนึง สำหรับโฮสต์ที่เป็นสัตว์ทั่วไป การอาศัยในระยะสั้นจะไม่เป็นปัญหา ค่อนไปทางดี แต่ถ้าอาศัยในระยะยาว ปรสิตจะได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนและโครงสร้างร่างกายของโฮสต์ หึหึ… ทุกการกระทำย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน… ในเมื่อปรสิตสามารถสร้างอิทธิพลกับร่างโฮสต์ได้ มีหรือที่โฮสต์จะสร้างอิทธิพลกับปรสิตไม่ได้… นอกจากนั้น การเข้าไปเป็นกาฝากในร่างสัตว์ ต้องไม่ลืมที่จะคุยกับมนุษย์บ่อยๆ เพื่อเตือนว่าตัวเองเป็นใคร… ด้วยหลักการข้างต้น ยิ่งสนทนากับมนุษย์ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะถูกเปิดโปง แต่ถ้าไม่ทำก็จะถูกอิทธิพลจากร่างกายโฮสต์เล่นงาน สมองค่อยๆ พิการ สับสนในตัวเอง จนกระทั่งลืมว่าเป็นใคร ปลายทางคืออาการเสียสติและคลุ้มคลั่ง”


เลียวนาร์ดค่อนข้างตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าว


“เข้าใจแล้ว… เพราะแบบนี้ ถึงต้องพิถีพิถันในการเลือกโฮสต์”


“กำลังยกหางตัวเองอยู่หรือ?” พาลีส·โซโรอาสเตอร์เหน็บแนม “สำหรับพวกเรา โฮสต์ที่เหมาะสมที่สุดคือผู้วิเศษเส้นทางเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย มีความเข้ากันได้สูงมาก และเมื่อบ่มเพาะโฮสต์ไปจนถึงลำดับหนึ่ง ปรสิตสามารถใช้โฮสต์เป็นแหล่งพลังงานของตัวเอง เปรียบได้กับการดื่มยาชูกำลัง แถมยังเป็นเหยื่อที่ดีในการยึดครองร่าง”


ได้ฟังชายชรากล่าวในสิ่งที่น่าสะพรึงด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ เลียวนาร์ดขมวดคิ้วเล็กน้อย ใจหนึ่งโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เพราะนั่นหมายความว่า อีกฝ่ายจะไม่ทำเช่นนั้นกับตน


พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวต่อ


“ตัวเลือกรองลงมาก็คือผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายและผู้ฝึกหัด การดูดซับพลังของพวกเขาจะไม่เป็นภาระแก่ปรสิตเกินไป สามารถฟื้นคืนพลังได้รวดเร็ว… รองลงมาเป็นผู้วิเศษเส้นทางอื่นๆ ที่ค่อนข้างฉลาด เพราะอย่างน้อยก็ยังสื่อสารกันได้ รู้จักให้ความร่วมมือ… สำหรับเจ้า… หึหึ”


ขณะเลียวนาร์ดเตรียมโต้แย้งชายชรา ทันใดนั้น มันเหลือบไปเห็นบิชอปกำลังเดินลงมาจากบันได จึงรีบปิดปากสนิทและเร่งฝีเท้า



หนึ่งทุ่มครึ่ง บ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน บ้านของส.ส. มัคท์


ไคลน์ในชุดทักซิโด้กล่าวลงจากรถม้า สองมือติดกระดุมเสื้อท่ามกลางฉากหลังที่เป็นน้ำพุ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องโถง พบชายสวมเครื่องแบบสีเขียวมะกอก เข็มขัดสีส้ม ไม่ใช่ใครนอกจากโมวรี·มัคท์ผู้มาพร้อมกับเหรียญกล้าหาญประดับเต็มอก


ลีอานน่า ภรรยาของมันมาในเดรสยาวเปิดไหล่ เธอยิ้มและกล่าวกับดอน·ดันเตส


“ยินดีต้อนรับกลับ นักผจญภัยของพวกเขา ทุกคนกำลังรอฟังประสบการณ์ของคุณในไบลัม”


“ผมควรติดต่อหนังสือพิมพ์และเริ่มเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยวสินะครับ?” ไคลน์ตอบติดตลก


ส.ส. มัคท์ทราบดี การเดินทางไปทวีปใต้ของดอน·ดันเตสมีจุดประสงค์ทางธุรกิจ เพราะเรื่องราวเริ่มต้นจากคำแนะนำของมัน มัคท์จึงทำเพียงมองหน้าอีกฝ่ายพลางยิ้มเล็กๆ เป็นฝ่ายเดินเข้าไปกอดเบาๆ พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงค่อย


“ทำได้เยี่ยม!”


ไคลน์ยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนจะถาม


“ชอบของขวัญของผมไหม?”


มันกำลังหมายถึง ไวน์จากหุบเขาที่สามารถผสมเป็นค็อกเทลรสเปรี้ยว


“ยอดเยี่ยมมาก เป็นรสชาติที่ผมคิดถึง” ส.ส. มัคท์กล่าวอย่างจริงใจ


ไคลน์ที่กำลังเตรียมเดินเข้าห้องโถง แต่ทันใดนั้น มันพบความผิดปรกติ จึงกวาดตามองแบบสุ่ม พลางถามด้วยความสงสัย


“มิสเฮเซลไม่อยู่หรือ? เข้าเรียนโรงเรียนสตรีแล้ว?”


มาดามลีอานน่าถอนหายใจพลางส่ายหน้า


“เปล่าค่ะ เธอแค่ป่วย โรงเรียนจะยังไม่เปิดจนกว่าจะถึงกันยายน”


“เป็นหวัด?” ไคลน์แสดงความกังวลตามสมควร


ส.ส. มัคท์ยิ้มแห้ง


“เปล่า… วันก่อนครอบครัวของเราเดินทางไปยังคฤหาสน์ที่ชานเมือง เฮเซลถูกหนูบ้ากัด ตอนนี้แผลยังไม่หายสนิท”


เฮเซล… หนูบ้า… ไคลน์ทำหน้าครุ่นคิด


“ไปหาหมอหรือยัง? จริงสิ แล้วจับหนูนั่นได้ไหม?”


“หมอฉีดยากันเชื้อโรคให้แล้ว” ส.ส. มัคท์ตอบเสียงเรียบ “ตอนนี้ยังไม่พบตัวหนู บางที เราควรเลี้ยงแมวสักสองสามตัวในคฤหาสน์”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 981 : การตัดสินใจของเฮเซล

 

หลังจากได้ฟังคำตอบของส.ส. มัคท์ ผนวกกับข้อมูลที่ทราบมาล่วงหน้า เบื้องต้น ไคลน์เชื่อว่าหนูในคฤหาสน์ชานเมืองคงเป็นครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมที่อาศัยอยู่ข้างๆ เฮเซล ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมถึงบ้าและกัดเฮเซล มันยังไม่ทราบคำตอบในตอนนี้


ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย ทำสัญลักษณ์ทวนเข็มสี่จุดบนหน้าอก


“ขอให้เทพธิดาอวยพรเธอ”


กล่าวจบ มันเดินผ่านเจ้าภาพเข้าไปในโถงใหญ่ เตรียมเต้นรำในตอนที่งานเลี้ยงเริ่ม



ภายในห้องนอนบนชั้นสาม เฮเซลกำลังนอนบนเก้าอี้เอนหลังด้วยท่าทีอ่อนเพลีย ปลายเท้าขดขึ้น


มือซ้ายมีการพันแผลหนาหลายชั้น ไม่มีเลือดไหลซึม สีหน้าหญิงสาวค่อนไปทางมืดมน มิได้เย่อหยิ่งเหมือนทุกครั้ง


ในเขตชานเมืองของคฤหาสน์ หลังจากถูกอาจารย์ที่อยู่ในร่างหนูกัดเข้าอย่างไม่มีปี่ปีขลุ่ย เฮเซลก็เป็นเช่นนี้มาตลอด มึนงง ล่องลอยไร้สติ ราวกับจุดที่ถูกกัดไม่ใช้มือ แต่เป็นจิตใจ


สำหรับเฮเซล แม้ก่อนหน้านี้จะเคยเย่อหยิ่งจากการที่เป็นเด็กการศึกษาสูงกว่าเพื่อนในรุ่น มีความสามารถในการเรียนสูงกว่าเด็กทั่วไป รูปร่างหน้าตาดี ตระกูลค่อนข้างมีหน้ามีตา แต่จนกระทั่งได้ก้าวเข้าสู่โลกเหนือธรรมชาติ ความจองหองของเธอได้พัฒนาไปอีกระดับโดยสิ้นเชิง มิได้มองตนเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป


ดังนั้น การที่อาจารย์ซึ่งเป็นรากฐานความภาคภูมิใจของเธอ เป็นรากฐานความแข็งแกร่ง ดันกลายเป็นหนูไปแล้วจริงๆ เป็นหนูที่พูดไม่รู้เรื่องและกัดเธออย่างไร้เหตุผล เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจเฮเซลเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะคิดว่า พลังพิเศษคือตัวแทนของมนุษย์ที่ก้าวข้ามขีดจำกัด หรือเป็นตัวแทนของปีศาจกันแน่


ท่ามกลางกระแสความคิด เฮเซลทัดผมสีเขียวเข้มไว้หลังใบหูตามความเลยชิน ออกอาการหงุดหงิดกับเสียงเพลงอันไพเราะที่ดังมาจากด้านล่าง


แต่ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงประตูเสียงสี จึงหันหน้าไปมองอย่างเหม่อลอย


สิ่งที่เข้ามาคือหนูสีเทาขนฟู ดวงตาสีแดงสดกว่าปรกติ เกือบจะเรียกว่าแดงเข้ม


“เฮเซล” หนูเรียกเสียงต่ำ


เฮเซลตกใจในตอนต้น ก่อนจะเผยสีหน้าเปี่ยมสุข รีบพยุงตัวยืนและโพล่ง


“อาจารย์… อาจารย์หายดีแล้วหรือ?”


ทันทีที่กล่าวจบ เธอเห็นว่าตรงมุมห้องนอน ตรงระเบียง ตรงใต้เตียง หนูสีเทาตัวแล้วตัวเล่าเดินออกมา ทุกตัวมีตาสีแดงเข้ม แต่ทำได้เพียงส่งเสียงร้องจี๊ดๆ


เฮเซลผงะก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ สะดุดกับขอบเก้าอี้ ร่างกายซวนเซเสียหลักจนเกือบล้ม รักษาสมดุลไว้ได้อย่างยากลำบาก


ทันใดนั้น หญิงสาวพบว่าหนูตาแดงอันตรธานหายไปจนหมด ประตูห้องอยู่ในสภาพปิดสนิท ราวกับไม่เคยถูกเปิดมาก่อน


ฉากเมื่อครู่เป็นราวกับภาพลวงตา หรือไม่ก็ฝันร้ายที่เกิดจากความกังวลใจ!


ผ่านไปสักพัก เฮเซลอ้าปากค้าง หายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก


เธอนั่งลงอีกครั้ง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นและบีบนวดหน้าผาก


ครืด ครืด เธอขมวดคิ้วขณะนวดหน้าผาก สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ดูสมจริงเกินไป


ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวาดไปรอบห้อง เฮเซลดึงสร้อยคอออกมาถือไว้ในฝ่ามือ


จี้ห้อยคอทำจากหินสีเขียวมรกตและหินใสอีกเจ็ดเม็ด รายล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็กจำนวนมาก ระยะห่างเท่ากับพอดิบพอดี


ทันใดนั้น หินก้อนหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้น เปล่งแสงสีเขียวมรกต ฉาบลงบนใบหน้าของเฮเซลพร้อมกับมีอักขระลึกลับปรากฏขึ้นในดวงตา


ฉากเมื่อครู่ผุดซ้ำภายในใจหญิงสาวผมเขียว ภาพที่คล้ายฝันอันเลือนรางค่อยๆ ทวีความคมชัด


เมื่อสำรวจอย่างละเอียด เฮเซลสังเกตเห็นบางอย่าง มั่นใจว่าเธอมิได้ฝันร้ายหรือเห็นภาพหลอน แต่เป็นการตกอยู่ในภวังค์ภาพลวงตาเกือบสิบวินาที


นักถอดรหัส!


นี่มัน… ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเฮเซลเบิกโพลงทันที ภายในใจเต็มไปด้วยคำถามจนเผลอพึมพำ


เธอรีบลุกขึ้น กวาดตามองรอบตัว แต่ก็ไม่พบสิ่งใด


แต่ยิ่งไม่พบความผิดปรกติ หญิงสาวก็ยิ่งตื่นตระหนัก ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบ้าง มองไม่เห็นจุดประสงค์ของผู้สร้างภาพลวงตา!


สิ่งเดียวที่เธอมั่นใจได้ก็คือ พลังพิเศษและระดับตัวตนของอีกฝ่ายเหนือกว่าเธอหลายเท่า!


เศษเสี้ยวความภาคภูมิใจที่หลงเหลืออยู่พลันแหลกสลายทันที


ผ่านไปหลายนาที ห้องนอนยังคงเงียบ เสียงเพลงชั้นล่างดังระรัวจนชวนให้นึกถึงการเต้นรำ


ในที่สุด เฮเซลเริ่มใจเย็นลง เชื่อว่าคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นตามมาอีก


จากนั้น เธอมีเวลาและอารมณ์มากพอจะไตร่ตรองว่า ภาพลวงตาเมื่อครู่มีไว้ทำอะไร


ความคิดมากมายแล่นผ่าน จนกระทั่งเฮเซลคาดเดาได้เลือนราง


เจ้าของภาพลวงตามาที่นี่เพราะอาจารย์ของเธอ!


อาศัยภาพลวงตาดังกล่าว อีกฝ่ายสามารถยืนยันสถานการณ์ของอาจารย์ได้!


มิตรหรือศัตรูของอาจารย์? ตอนนี้คงมุ่งหน้าไปหาอาจารย์แล้ว เราควรทำยังไง? ทางนั้นคงยังไม่ทราบว่าอาจารย์ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน… ไม่สิ… เราถูกหนูบ้ากัดในคฤหาสน์ชานเมือง เรื่องนี้รู้กันทั่ว… หัวใจเฮเซลหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สร้อยคอในมือเริ่มหนักอึ้ง


เธอไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ดีหรือร้าย และต้องทำอะไรต่อ


เธอต้องการเดินทางไปยังคฤหาสน์ชานเมืองทันที แจ้งให้อาจารย์ทราบ แต่ขณะเดียวกันก็กังวลว่าจะเกิดอันตราย กังวลว่าตนจะกลายเป็นเหยื่อ


นอกจากนั้น อาจารย์ของเธอคล้ายกับสูญเสียความสามารถในการสื่อสารไปแล้ว ไม่ว่าจะเรียกสติอย่างไรก็ไร้ผล ยากจะทำให้เข้าใจคำพูด


เฮเซลลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว เดินวนเวียนไปมาในห้องนอน ในที่สุดก็ตัดสินใจบางอย่างได้ เม้มริมฝีปากแน่น เดินไปเปิดประตูและพูดกับสาวใช้ส่วนตัวด้านนอก


“ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ตอนนี้อยากนอน อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”


“ค่ะ คุณหนู” สาวใช้ขานตอบทันที


ปิดประตูเสร็จ เฮเซลเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าที่กระฉับกระเฉง เม้มริมฝีปากแน่น


เธอตัดสินใจจะไปที่คฤหาสน์เพื่อตักเตือนอาจารย์


เธอจะไม่อยากเป็นคนโอหังแค่ภายนอก แต่ลึกในใจกลับปอดแหกและขาดคุณธรรมในยามเผชิญหน้าอันตรายเล็กๆ น้อยๆ


นั่นถือเป็นการด้อยค่าตัวเอง!


เฮเซลอาศัยประโยชน์จากช่วงเวลาที่คนคุ้มกันมัวสนใจอยู่กับงานเลี้ยง ปืนท่อประปาจากระเบียงลงมายังสวน ออกจากบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน ส่วนไคลน์กำลังถือไวน์ซ่าใส่น้ำแข็งหนึ่งแก้วที่มีรสออกหวาน สนทนากับคนกลุ่มหนึ่งเกี่ยวกับธุรกิจในทวีปใต้


มันเอียงคอเล็กน้อย หันไปทางสวน เพียงไม่นานก็ใช้สัมผัสวิญญาณค้นพบพฤติกรรมของเฮเซล


แม้จะไม่ใช่เด็กที่น่าเอ็นดู แต่ก็มีสติและจิตใจดีไม่เลว… ไคลน์พยักหน้าพลางชมเชยในใจ


มันไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะได้รับอันตราย เพราะการเดินทางจากเขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์ไปยังคฤหาสน์ตระกูลมัคท์ที่ชานเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อให้ไปด้วยรถม้าก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงห้าชั่วโมง และกว่าจะถึงตอนนั้น ไคลน์ก็คงออกจากงานเลี้ยงและตรงไปยังคฤหาสน์หลังดังกล่าวด้วยการ ‘ท่องเที่ยว’


แม้คฤหาสน์ของมัคท์จะอยู่ในเขตชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ก็ถือเป็นอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำทัสซอค หากต้องการเดินทางไป ก็ต้องอ้อมไปขึ้นสะพานแห่งใดแห่งหนึ่ง ถ้าเป็นระหว่างวันก็ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถขึ้นรถไฟใต้ดินไอน้ำไปลงสถานีใต้สะพาน ซึ่งนั่นจะช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืน ทางเลือกเดียวคือการข้ามสะพานยาว ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าห้าชั่วโมง


แน่นอน ไคลน์ที่เคยใช้ถุงมือ ‘อินธน์’ และเคยอ่านข้อมูลของ ‘2-105’ เส้นเลือดใหญ่หัวขโมยเกี่ยวกับพลังของเส้นทางนักจารกรรม จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่า เฮเซลอาจขโมยพลังในการบินของนกและใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อบินข้ามแม่น้ำไปทางอากาศ ส่งผลให้ย่นเวลาเหลือเพียงสามชั่วโมง


แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน เราก็ไปถึงเร็วกว่าเธออยู่ดี… ไคลน์ถอนสายตากลับ มองหาคู่เต้นในรอบถัดไป



สี่ทุ่มตรง ณ คฤหาสน์กวางมูสในเขตชานเมืองทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเบ็คลันด์


เดิมที ที่นี่เป็นของไวเคาต์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปี ส.ส. มัคท์ซื้อหลังจากแต่งงาน โดยทุกปีจะต้องเสียค่าบำรุงมหาศาลเพื่อปรับปรุงซ่อมแซม เป็นสถานที่สำหรับเชื้อเชิญเพื่อนฝูงมาหยุดสุดสัปดาห์ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว


ปัจจุบัน คนดูแลคฤหาสน์กำลังสั่งให้คนใช้และสาวใช้ตรวจสอบทุกจุดอย่างรอบคอบ ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด นี่คือกิจวัตรประจำวันก่อนนอน


สาวใช้หลายคนเดินออกจากห้องเก็บไวน์ ตรงไปยังครัวเพื่อยืนยันว่าเปลวไฟที่ควรดับถูกดับหมดแล้ว


เมื่อไปถึงที่นั่น พวกเธอได้ยินเสียงแปลกๆ จึงหันไปมองและเห็นหนูสีเทากำลังแทะขาโต๊ะยาว


คล้ายกับหนูสัมผัสถึงสายตาจากพวกเธอ มันมิได้วิ่งหนี แต่จ้องกลับด้วยดวงตาสีแดงเข้ม


ขณะเดียวกัน เสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากอีกหลายจุด ไม่ว่าจะบนคาน จากตู้เก็บของ จากชั้นวางจิปาถะ จากหน้าเตาน้ำร้อน หนูตาแดงตัวแล้วตัวเล่าเดินออกมา


เหล่าสาวใช้ต่างตกตะลึง เกือบจะกรีดร้องดังสนั่น


เนื่องจากเป็นคนชั้นล่างของสังคม พวกเธอย่อมเคยเจอหนู บางคนยังเคยฆ่า แต่การได้เจอจำนวนมากขนาดนี้ในระยะใกล้ ยากจะมีใครครองสติไว้ได้


“พวกเรา… ไปหาเคิร์ด… ให้เขามาจัดการกับมัน” สาวใช้รีบเดินออกจากครัว เสนอแนะเสียงสั่น


แม้บ้านอีกคนพยักหน้าหงึกหงัก


“คุณหนูเฮเซลเคยโดนหนูบ้านกัดมาก่อน… พวกมันดูไม่ปรกติเลยสักนิด!”


กล่าวจบ พวกเธอจ้ำเท้าออกห่างจากห้องครัวไปเรื่อยๆ


ขณะเดียวกัน บนโต๊ะยาวในครัว ร่างหนึ่งก่อตัวอย่างรวดเร็ว สวมเสื้อเชิ้ตขาว เสื้อกั๊กสีดำ เสื้อนอกสีเข้ม สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง รองเท้าหนังมันเงา


ร่างดังกล่าวใช้มือกดหมวก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นทีละนิดพลางมองไปรอบตัว เผยให้เห็นผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล โครงหน้าผอมเพรียว ชัดลึก ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์


หลังออกจากงานเลี้ยงเต้นรำ ไคลน์กลับมายังคฤหาสน์ของดอน·ดันเตส เข้าห้องนอนใหญ่ และพา ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนท่องเที่ยวมาที่นี่


แน่นอน สำหรับรายหลัง ไคลน์ทิ้งไว้ด้านนอกคฤหาสน์ เพื่อให้สามารถสลับตำแหน่งได้ทุกเมื่อ


ท่ามกลางสายตาของหนู ไคลน์ดึงถุงมือหนังมนุษย์บนมือซ้ายขึ้น หันเหสายตาไปทางแปลงดอกไม้ของคฤหาสน์


แทบจะในเวลาเดียวกัน หนูทุกตัวในห้องพลันสั่นกระตุก พฤติกรรมเชื่องช้าลงจนเกือบหยุดนิ่ง แต่เพียงไม่นานก็กลับเป็นปรกติ


พวกมันกลายเป็นหุ่นเชิดของ ‘จอมเวทพิสดาร’ เรียบร้อย


ในปัจจุบัน ขีดจำกัดของหุ่นเชิดที่ไคลน์ครอบครองได้คือห้าสิบ และจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อโอสถถูกย่อย!

 

 

 


ราชันเร้นลับ 982 : ‘จอมเวทพิสดาร’ VS...

 

มองไปทางตำแหน่งสวน นิมิตของฉากในบริเวณดังกล่าวผุดขึ้นในใจไคลน์


ณ มุมมืดในจุดที่ถูกดอกไม้บดบัง หนูสีเทาจำนวนมากที่ดูคล้ายกับถูกผีสิง กำลังวิ่งวนไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่งพลางส่งเสียงร้อง ผลักพวกพ้องสายพันธุ์เดียวกันเข้าไปยังจุดใจกลาง


ในจุดใจกลาง หนูสีเทาขนาดเท่าแมวโลเอ็นชอร์ตแฮร์กำลังยืนสี่ขา ดวงตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับการควบแน่นของก้อนเลือด


หางของมันสะบัดไปมาด้วยความเร็วสูง ราวกับต้องการขจัดความบ้าคลั่งออกไปด้วยพฤติกรรมนี้


และเมื่อหนูขนาดปรกติกรูเข้าไปใกล้ มันจะกางกรงเล็บออก จับเหยื่อและฆ่าให้ตาย ศพหนูตัวแล้วตัวเล่ากองรวมกันเต็มบริเวณ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้หนูขนาดปรกติตัวที่เหลือเลิกกรูเข้าหา


เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์เกิดความคิดสองเรื่อง


ประการแรก ‘นิมิตลางสังหรณ์’ ของตัวตลกที่ถูกยกระดับด้วยพลังของหมอกสีเทา ถือเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับจอมเวทพิสดาร เพราะนั่นจะทำให้ ‘มองเห็น’ ด้ายวิญญาณของเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เข้าควบคุมได้ง่ายขึ้น จริงอยู่ หากเหยื่ออยู่ในที่เปิดโล่ง การระบุต้นตอด้ายวิญญาณจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าสนามรบเป็นโครงสร้างอาคารที่ซับซ้อน หรือมีอาคารหลายหลังเรียงราย จอมเวทพิสดารที่ไม่มีความสามารถในการ ‘มองทะลุโครงสร้าง’ จะมิอาจจำแนกได้ว่าด้ายวิญญาณเส้นต่างๆ เป็นของใครบ้าง อยู่ไกลมากแค่ไหน แถมยังระบุตำแหน่งศัตรูได้ยาก เว้นเสียแต่เหยื่อจะมีพฤติกรรมเฉพาะเจาะจง แตกต่างจากคนอื่น แต่แน่นอน จอมเวทพิสดารหลายคนก็ไม่สนเรื่องนั้น ไม่สนว่าจะควบคุมเป้าหมายผิดหรือไม่ แค่ลงมือไปก่อนก็พอ


ประการที่สอง ครึ่งเทพในเส้นทางนักจารกรรมที่เป็นปรสิตในหนูตัวนั้นใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที ไม่เพียงแต่จะตัวใหญ่กว่าที่เคยเห็นในกระจกวิเศษอาโรเดส แต่สภาพปัจจุบันก็ยังไม่มั่นคง เต็มไปด้วยบรรยากาศดุร้ายและบ้าคลั่ง


โชคดีที่มาทัน หากปล่อยไว้อีกสองสามสัปดาห์ เกรงว่าคงได้เกิดโศกนาฏกรรม… ขณะกระแสความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ด้านหน้าเริ่มปรากฏด้ายวิญญาณสีดำให้เห็น


ในเวลานี้ ระยะห่างของมันกับหนูกลายพันธุ์คือห้าสิบเมตร สามารถเข้าควบคุมด้ายวิญญาณได้ทันที!


ขณะเดียวกัน คล้ายกับหนูตัวใหญ่สัมผัสถึงบางสิ่ง รีบลุกพรวดพร้อมกับหันหน้าไปยังตำแหน่งครัว


ดวงตาสีแดงเข้มพลันส่องแสงวาบ ส่งผลให้ชายหนุ่มสวมหมวกผ้าไหมและสูทสีดำพลันชะงัก


มันทำการ ‘ขโมย’ ความคิดสำคัญของศัตรูในอีกสองวินาทีข้างหน้า ส่งผลให้หัวสมองอีกฝ่ายขาวโพลนทันที แผนการคลาดเคลื่อนไปทั้งหมด นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของลำดับ 5 นักชิงฝัน!


วินาทีถัดมา หนูสีเทายกอุ้งเท้าหน้าขึ้น พยายามขโมยพลังพิเศษของศัตรู


ด้วยระดับของมัน หากเป้าหมายอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน สามารถเลือกขโมยพลังพิเศษของเหยื่อได้มากที่สุดหนึ่งจากสามชนิด พลังจะคงอยู่นานสองชั่วโมง แน่นอน การขโมยหนึ่งครั้งจะได้รับพลังเพียงหนึ่งชนิด


ทันใดนั้น สติสัมปชัญญะของหนูยักษ์พลันหยุดนิ่งอย่างน่าประหลาด ท่วงท่าขณะเตรียมใช้พลังขโมย เกิดชะงักไปกะทันหันประหนึ่งถูกด้ายที่มองไม่เห็นพันธนาการแขนขา ร่างกายขยับอย่างเฉื่อยชา


มันถูกควบคุมด้ายวิญญาณขั้นต้นแล้ว!


การประสบความสำเร็จในการขโมยความคิดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จนทำให้อีกฝ่ายชะงัก ทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตาของจอมเวทพิสดาร!


ก่อนจะเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ ไคลน์ทำการเปลี่ยนตำแหน่งของตนกับ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน และในเมื่อหุ่นเชิดไม่มีความคิด มันจึงไม่ได้รับผลกระทบพลังขโมยความคิด


สิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ จะถูกขโมยไปได้อย่างไร?


เพื่อจะตบตาครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรม ไคลน์อาศัยพลังภาพลวงตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ รวมถึงใช้หุ่นเชิดเอ็นยูนที่อยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สวมรอยอย่างแนบเนียน


ปัจจุบัน ชายหนุ่มอยู่นอกคฤหาสน์กวางมูสของส.ส. มัคท์ ห่างออกไปราวห้าร้อยเมตร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันหมดสิทธิ์ควบคุมด้วยด้ายวิญญาณ เพราะผู้ที่ใช้พลังเข้าควบคุมคือเอ็นยูน ไม่ใช่ร่างต้น ต้องไม่ลืมว่าจอมเวทพิสดารสามารถมอบพลังพิเศษให้หุ่นเชิดได้ รวมถึงพลังในการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณและเปลี่ยนเหยื่อให้กลายเป็นหุ่นเชิดของตน!


กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากไม่ติดข้อจำกัดด้านอื่น ‘จอมเวทพิสดาร’ สามารถยืดระยะการควบคุมด้ายวิญญาณ จากหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรเป็นอนันต์ ได้โดยการวางหุ่นเชิดของตัวเองไว้ทุกๆ หนึ่งกิโลเมตรและทำการส่งต่อพลังพิเศษไปเรื่อยๆ


แต่แน่นอน คำว่าไร้ขีดจำกัดไม่มีอยู่จริง ในแง่หนึ่ง ไคลน์ในปัจจุบันสามารถครอบครองหุ่นเชิดได้ไม่เกินห้าสิบตัว และในอีกแง่หนึ่ง สิ่งที่จอมเวทพิสดารมิอาจส่งต่อให้หุ่นเชิดได้ก็คือ ‘การตระหนักรู้ตนเอง’ ดังนั้น หากต้องการใช้หุ่นเชิดเพื่อควบคุมหุ่นเชิด ระยะทางไกลที่สุดก็ยังคงเป็นหนึ่งกิโลเมตรตามเดิม


หากมีหุ่นเชิดตัวใดอยู่นอกระยะควบคุมหนึ่งกิโลเมตร หุ่นตัวนั้นก็มิอาจขยับเขยื้อน


นอกจากนั้น แก่นแท้ของการส่งต่อพลังพิเศษของจอมเวทพิสดารก็คือ ‘หนอนแมลง’ ที่เป็นรูปลักษณ์ของร่างสัตว์ในตำนาน ทำโดยการปล่อยพวกมันเข้าไปในร่างกายหุ่นเชิดผ่านด้ายวิญญาณ หากไม่ได้เตรียมหนอนแมลงไว้ให้หุ่นเชิดล่วงหน้า หุ่นเชิดตัวนั้นจะมิอาจโอนถ่ายพลังของร่างต้นให้กับหุ่นเชิดที่มันกำลังควบคุม เพราะตัวหุ่นเชิดเองไม่สามารถผลิตหนอนแมลงได้


และในปัจจุบัน ไคลน์สามารถแบ่งหนอนแมลงได้ไม่เกินห้าสิบตัว หากมากกว่านี้ อาการทางจิตจะกำเริบ มิอาจรักษาให้หายถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหมอที่ดี หรือต่อให้มีหมอดี แต่ก็มิอาจรักษาให้กลับไปอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพิ่มอัตราการคลุ้มคลั่งในอนาคต


ดังนั้น จากที่ไคลน์ทดสอบ ระยะการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณเหยื่อคือหนึ่งกิโลเมตรบวกหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร แต่หุ่นเชิดตัวใหม่ที่เกิดขึ้นจะต้องอยู่ภายในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรถ้วนจึงจะสามารถควบคุมได้ ในขณะเดียวกัน หากหุ่นเชิดตาย หนอนแมลงก็จะกลับมายังร่างต้นตามกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ แต่ถ้าระหว่างนั้นถูกขัดขวาง ก็มีสิทธิ์ที่จะหายไปตลอดกาล


ขณะครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมกำลังเฉื่อยชา หนูตัวแล้วตัวเล่าโผล่ออกจากด้านข้าง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พวกมันล้วนเป็นหุ่นเชิด ทุกตัวต่างเล็งไปยังตำแหน่งของสวน เปิดปากกว้าง ยิงปืนใหญ่อัดอากาศเพื่อถล่มเป้าหมาย


ทันใดนั้น แสงในดวงตาหนูยักษ์พลันสว่างวาบ


เพียงพริบตา ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ ปรากฏตัวในมุมมืดของสวนดอกไม้ รายล้อมไปด้วยซากหนูตาย ส่วนครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรม มันปรากฏตัวอีกครั้งภายในห้องครัว บนโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยสิ่งของ


มันขโมยตำแหน่งของเกอร์มัน·สแปร์โรว์!


ปัง! ปัง! ปัง!


ปืนใหญ่อัดอากาศจากปากหนูหุ่นเชิดระดมยิ่งอย่างไม่หยุดยั้ง ปะทะใส่ในจุดที่ ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ กำลังยืน เศษโคลนเศษเนื้อกระจัดกระจาย ดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานลอยขึ้นฟ้า สาวใช้และคนรับใช้ในเรือนหลักของคฤหาสน์ต่างพากันสั่นระริก เอาแต่ซ่อนตัวอย่างหวาดผวา


สวนดอกไม้ทั้งหมดถูกถล่มจนราบเป็นหน้ากลองด้วยปืนใหญ่อัดอากาศ หากไคลน์ไม่เจาะจงทำลายในจุดเดียว เกรงว่าคฤหาสน์ทั้งหมดคงถล่มลงมาแล้ว


ท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวล ซากถูกกลายเป็นผุยผงโดยสมบูรณ์ แต่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังคงยืนในจุดเดิมอย่างมั่นคงและปราศจากบาดแผล


‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนระเบิดความโชคดีทั้งหมดที่สั่งสมมา!


ทว่า นั่นก็ทำให้การเข้าควบคุมด้วยวิญญาณหนูยักษ์ถูกขัดจังหวะ ภายในครัวเต็มไปด้วยกระจุกด้ายวิญญาณมากมายปะปนกัน เพราะที่นั่นเต็มไปด้วยหุ่นเชิดหนูสีเทา ชวนให้เกิดความสับสน ยากจะถ่ายพลังเข้าไปควบคุมอีกครั้ง


อาจารย์ของเฮเซล ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม ฉวยโอกาสที่ได้รับอิสระคืนมา หมุนตัวกลับมาพร้อมกับยกอุ้งเท้าขวาเล็งไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทำการขโมยความสามารถในการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ


สำหรับครึ่งเทพลำดับ 4 มันสามารถเลือกขโมยพลังได้ค่อนข้างแม่นยำ เพราะมีตัวเลือกมาให้ตัดสินใจถึงสามชนิด และยิ่งถ้าเข้าใจศัตรูมากเพียงใด โอกาสสำเร็จก็ยิ่งมีสูง โดยในคราวนี้ โชคเข้าข้างมัน


และแน่นอน หากเป้าหมายมีระดับต่ำกว่ามาก แถมยังรู้จักเป้าหมายเป็นอย่างดี ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมสามารถขโมยพลังใดก็ได้ที่มันปรารถนา


เมื่อมันลดอุ้งเท้าขวาลง ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมยกขาหน้าซ้ายขึ้นต่อทันที ส่งผลให้หุ่นเชิดหนูจำนวนมากนอนหงายลงไปกับพื้น จากจะพลิกตัวกลับมา


นี่คือพลังขโมยเป็นวงกว้าง มันทำการขโมยความสามารถในการเดินของหนูสีเทา!


ทันทีหลังจากนั้น ภายในดวงตาสีแดงเข้มของหนูยักษ์ สัญลักษณ์เวทมนตร์จำนวนมากปรากฏขึ้น


มันกำลัง ‘ถอดรหัส’ อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งพบตำแหน่งของร่างต้นไคลน์


ด้วยดวงตาที่ส่องแสง หนูยักษ์ยกขาขึ้นทั้งสองข้าง หายตัวมาโผล่ข้างๆ ไคลน์ในพริบตา


ในคราวนี้ สิ่งที่มันขโมยคือระยะห่างของทั้งคู่!


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มหล่อเหลาหน้าเพรียวพลันอันตรธานหายไปจากการมองเห็นของหนูยักษ์ เพราะมันสลับตำแหน่งกับหนูสีเทาตัวหนึ่ง


ณ ต้นไม้รอบๆ แมลงจำนวนมากคลานออกมาพร้อมกับเปิด ‘ปาก’


ปัง! ปัง! ปัง!


ปืนใหญ่อัดอากาศกระหน่ำยิงเป็นชุด หวังทำลายหนูยักษ์และหนูสีเทาไปพร้อมกัน


ขณะไคลน์ควบคุมหุ่นเชิดภายในคฤหาสน์กวางมูส มันไม่ลืมที่จะเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวให้กลายเป็นหุ่นเชิด เพราะนี่คือหลักการต่อสู้พื้นฐานของจอมอาคมพิสดาร พร้อมจะสลับตำแหน่งของตัวเองกับหุ่นเชิดตัวใดก็ได้ทุกเมื่อ เป็นการวางกับดักศัตรูที่ต้องการประชิดตัว!


ฝุ่นคละคลุ้ง เศษโคลนกระจัดกระจาย หนูยักษ์ที่ถูกครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมสิงร่าง ตกอยู่ท่ามกลางดงกระสุนอย่างมิอาจหลบเลี่ยง


หลังจากเหตุการณ์เริ่มสงบ กลิ่นเลือดคละคลุ้งแผ่ออกจากจุดที่เป็นเป้าโจมตี บริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยเศษเนื้อกระจัดกระจาย


ตายแล้ว? ไคลน์อาศัยการมองเห็นของหุ่นเชิดรอบๆ สำรวจจุดที่ถูก ‘วางระเบิด’


แต่เพียงไม่นานก็ขมวดคิ้ว เพราะมันไม่พบร่องรอยของตะกอนพลัง


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์หยิบเหรียญทองออกมาดีดขึ้นฟ้า


ระหว่างเหรียญทองกำลังร่อนลง ฉากแล้วฉากเล่าปรากฏขึ้นในใจ นี่คือผลทำนายที่ได้รับจากวิญญาณดารา


เมื่อเทียบกับสมัยก่อน หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ ไคลน์สามารถได้รับข้อมูลที่เพิ่มขึ้นด้วยการทำนายง่ายๆ และสะดวกสบายเช่นนี้!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)