Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 969-972

ราชันเร้นลับ 969 : ดยุค

 

กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันตก ภายในคฤหาสน์ตระกูลโอดรา


เอ็มลิน·ที่ถูกเรียกเข้าพบ ถอดหมวกออก ถอดเสื้อนอก เดินเข้าไปในห้องรับแขกและรอ


ภายในห้อง หากไม่นับมัน ยังมีผีดูดเลือดอื่นๆ ที่ถูกคนใหญ่คนโตเรียกเข้าพบ เอ็มลินมองไปรอบตัวพร้อมกับหาที่นั่ง ด้านข้างเป็นชายดั้งจมูกโด่งจนเกือบจะผิดธรรมชาติ


ชายคนดังกล่าวมีผมสีน้ำตาล ตาสีแดง ใบหน้ามีริ้วรอยร่องลึก ในมือถืออัลบัมภาพ สายตาจ้องมองหน้ากระดาษอย่างเลื่อนลอย


มันคือผีดูดเลือดที่ให้ข้อมูลของปราสาทร้างในป่าเดแลร์กับเอ็มลิน มีนามว่าเออร์เนส·โบยาร์ เป็นไวเคาต์ผีดูดเลือด


เอ็มลินวางแผนจะแวะไปหาไวเคาต์รายนี้อยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะพบกันที่นี่ จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจโพล่งถาม


“ท่านไวเคาต์ ข้าขอทราบได้ไหม ท่านได้รับข้อมูลปราสาทร้างในป่าเดแลร์มาจากที่ใด?”


“ทำไมหรือ? ลูกค้าของเจ้าไม่พบวิญญาณอาฆาตโบราณหรือไง?” เออร์เนส·โบยาร์ละสายตาจากอัลบัมภาพ ชำเลืองมาทางเอ็มลิน


“เปล่า… ไม่ใช่แบบนั้น” เอ็มลินมิได้อธิบาย แต่ยังคงพยายามถามซักไซ้ “ข้าแค่อยากทราบที่มาของข้อมูล ดูเหมือนปราสาทหลังนั้นจะไม่ธรรมดา”


เออร์เนส·โบยาร์ปิดอัลบัมภาพ สางผมเล็กน้อยก่อนจะตอบ


“ก็ไม่ใช่ความลับอะไร ข้าได้ทราบมาจากลอร์ดนีบาส ว่ากันตามตรง คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีปราสาทเก่าแก่เช่นนั้นตั้งอยู่ภายในป่าเดแลร์”


ลอร์ดนีบาส… เอ็มลินเริ่มผุดความคิดบางอย่าง


อีกหนึ่งบททดสอบสินะ…


แต่ไม่ใช่ว่ามันอันตรายเกินไปหรอกหรือ? หากไม่มีมิสเตอร์ฟูลคงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่… เอ็มลินขมวดคิ้ว นึกทบทวนรายละเอียดที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ถามกลับไปด้วยความสงสัย


“ท่านไวเคาต์ แล้วทำไมท่านถึงไม่สำรวจปราสาทด้วยตัวเอง? ข้าจำได้ว่าท่านเป็นนักโบราณคดี แถมยังมีโอกาสรวบรวมวัตถุดิบวิเศษของวิญญาณอาฆาตโบราณ”


เออร์เนสชำเลืองเอ็มลินด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“ลอร์ดนีบาสบอกกับข้าว่า ที่นั่นอันตรายมาก หากยังไม่ถึงระดับเอิร์ลก็ไม่ควรเข้าไปใกล้”


“…” เอ็มลินอ้าปากค้างครึ่งหนึ่ง สีหน้าล่องลอย


มันข่มความโกรธเอาไว้ หรี่เสียงให้เบาและกล่าว


“แล้วทำไมท่านถึงไม่เตือนข้า?”


เออร์เนสหัวเราะ


“ก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? สถานที่ซึ่งมีวัตถุดิบวิเศษให้เก็บเกี่ยว แถมยังรู้กันทั่วไปในหมู่ผีดูดเลือด… การที่สิ่งนั้นยังดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน หมายความว่ามันต้องมีความพิเศษในตัวเอง”


เมื่อเห็นเอ็มลินทำสีหน้าฉงน มันเล่าเสริม


“และความพิเศษที่ว่า ตามปรกติแล้วควรสรุปได้เช่นนี้: ภายในป่าเดแลร์มีวิญญาณอาฆาตโบราณอาศัยอยู่จริง มีคนเคยเห็น เคยเผชิญหน้า แต่ยากจะล่าให้สำเร็จ… หมายความว่า การตามล่าวิญญาณอาฆาตโบราณไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีต้นทุนด้านเวลาและความยุ่งยากเกินกว่ามูลค่าของวัตถุดิบ ส่งผลให้พวกมันมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน… ข้าคิดว่าอย่างเจ้าคงมองเห็นสิ่งนี้ได้ไม่ยาก รวมถึงลูกค้าของเจ้าด้วย หากเลือกที่จะลงมือสำรวจ หมายความว่ามีการเตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้ว”


ในวินาทีแรก เอ็มลินมองว่าคำพูดของไวเคาต์เออร์เนสฟังดูสมเหตุสมผล มิอาจจะหักล้างตรรกะ ขณะเดียวกันก็คิดว่าตนและมิสเมจิกเชี่ยนเบาปัญญาอย่างมาก จึงนำพาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ไม่สามารถกล่าวโทษผู้ให้ข้อมูลได้


ในวินาทีที่สอง เอ็มลินรู้สึกหงุดหงิดและกระอักกระอ่วน เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อตัวเอง


วินาทีที่สาม เอ็มลินมองเห็นปัญหาใหม่


ไม่สำคัญว่าความโง่ของพวกตนจะนำพาไปสู่อันตรายหรือไม่ แต่ไม่ว่ายังไงเออร์เนส·โบยาร์ก็ต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบอย่างชัดเจน เพราะการประเมินระดับของอันตราย รวมถึงต้นตอของอันตราย จะช่วยให้ภารกิจสำรวจเตรียมตัวได้ง่ายขึ้น ไม่เกิดความผิดพลาด


เจ้านี่จงใจ! เอ็มลินฟันธงในหัว ดวงตาสีแดงหรี่ลงเล็กน้อย เชิดคางและกล่าว


“แน่นอน ใครๆ ก็มองเห็นได้ไม่ยาก แต่ข้าอยากทราบว่า อันตรายที่ซ่อนอยู่ในปราสาทร้างหลังนั้นคือสิ่งใดกันแน่”


เออร์เนสหยิบชาดำที่มีสีเหมือนเลือดข้างๆ ขึ้นมาจิบและกล่าว


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ลอร์ดนีบาสมิได้เล่าให้ฟัง”


สีหน้าของเอ็มลินเริ่มดำมืด ขณะเตรียมกล่าวประชดประชัน มันเห็นคาซีมี·โอดราเดินเข้ามาในห้องรับแขกและมองมาทางตน


“เอ็มลิน คนใหญ่คนโตเรียกเจ้าเข้าไปพบ”


“ตกลง” เอ็มลินข่มโทสะ กดส่วนล่างของเสือนอก ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบ


หลังจากเดินลงบันไดไปยังเขตห้องใต้ดิน ในที่สุดมันก็อดใจไม่ไหว ถามเสียงต่ำ


“บารอนคาซีมี อีกฝ่ายเป็นใครกัน? ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร”


คาซีมีที่ดูคล้ายสุภาพบุรุษวัยกลางคน ตัดสินใจไม่ปิดบัง ตอบด้วยน้ำเสียงเจือความเคารพ


“ท่านดยุคโอลเมอร์”


ท่านดยุคโอลเมอร์… เอ็มลินเหยียดตัวตรงจากจิตใต้สำนึก ชำเลืองสายตาไปยังขาตั้งโคมไฟผนังด้านข้าง คล้ายกับต้องการอาศัยภาพสะท้อนจากผิวโลหะ


อีกฝ่ายคือหนึ่งในสามดยุคที่คอยค้ำจุนผีดูดเลือดมานาน เป็นขุมพลังสำคัญที่ดำรงตนมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ มีสมญานามว่า ‘จันทร์เต็มดวง’ อายุกว่าสามพันปี ครั้งหนึ่งเคยติดตามรับใช้ต้นตระกูลลิลิธ!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ดยุคโอลเมอร์เปรียบดังประวัติศาสตร์และความรุ่งโรจน์ของผีดูดเลือด!


เดินผ่านประตูลับหลายชั้น เอ็มลินและคาซีมีมาถึงห้องโถงสีเทาที่มีกลิ่นอายของเหล็ก


พื้นและผนังถูกปูด้วยหญ้า ดอกไม้ และธัญพืช แมลงหลากชนิดกำลังคลานไปมาท่ามกลางกลุ่มต้นไม้ที่เรียงชิดติดกัน ส่งผลให้เอ็มลินรู้สึกราวกับออกจากเมืองมายังชนบทสักแห่ง สัมผัสถึงชีวิตและธรรมชาติ


หากมองผิวเผิน จะไม่พบความผิดปรกติใด แต่ถ้าจดจ้องให้ดี มีหลายจุดที่ค่อนข้างผิดธรรมชาติ


บนหญ้าสีเขียวมีรอยแยกเป็นทางตรงคล้ายปาก มีเส้นใยยื่นออกจากปากดังกล่าวเพื่อคอยจับแมลง ดอกไม้ใช้กิ่งก้านและใบต่างมือ คอยเก็บรวบรวมน้ำหวานด้วยตัวเอง บรรดาข้าวสาลีก็ดูหนักผิดปรกติ บางครั้งก็มีเสียงโหยหวนดังแว่วออกมา ส่วนแมลงนั้นมีหลายประเภทจนน่าตกใจ แถมยังเป็นพันธุ์ที่แตกต่างจากปรกติ บ้างมีหัวเป็นงู บ้างมีหัวเป็นนก


ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางห้องโถง ภาพเช่นนี้ก็ยังเด่นชัด รายล้อมหลุมศพที่ดูแข็งแกร่งตรงกลาง


คาซีมีหันหน้าไปทางหลุมศพ ทำความเคารพ


“ท่านดยุค เอ็มลิน·ไวท์มาถึงแล้วขอรับ”


“ทิวาสวัสดิ์ ท่านดยุค” เอ็มลินมิได้จองหองตามปรกติ ค่อนไปทางปวกเปียก


ภายในหลุมศพ เสียงอันไพเราะและอบอุ่นที่สอดคล้องกับอายุคนพูดดังขึ้น


“ผีดูดเลือดหนุ่มที่โดดเด่นกว่าใคร… คาซีมี… เจ้าออกไปก่อน”


“ขอรับ ท่านดยุค” คาซีมีโค้งคำนับ เดินออกจากห้องโถงสีเทากลิ่นอายเหล็กแต่สดชื่น


เอ็มลินที่ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ได้ยินเสียงดังมาจากหลุมศพอีกครั้ง


“ในตอนเช้า นีบาสกล่าวว่า เจ้าได้รับตะกอนพลังของแวมไพร์เทียมที่ตรงกับไวเคาต์มาใช่ไหม?”


“ใช่ขอรับ แต่มันปนเปื้อน จำเป็นต้องผ่านการทำให้บริสุทธิ์” เอ็มลินมิได้เล่าเรื่องที่ตะกอนพลังก้อนนี้จำเป็นต้องถูกลบจิตตกค้างออกไปก่อน เพราะมองว่านี่เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด หรืออย่างน้อยบารอนคาซีมีก็ยืนยันว่าทำได้


ดยุคโอลเมอร์แห่งผีดูดเลือดอืมในลำคอ


“ยอดเยี่ยมมาก… ข้าจะช่วยชำระล้างมันให้เอง”


มันเว้นวรรคสักพัก


“แม้ว่าผีดูดเลือดจะมีอายุยืนยาว แต่ก็สามารถเติบโตและแก่ชรา มีการเกิดใหม่และตายไปอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับทุกเผ่าพันธุ์ การบ่มเพาะสมาชิกหนุ่มสาวที่มีแววคือสิ่งสำคัญ และเจ้าเพิ่งแสดงผลงานที่น่าทึ่งมากให้ทุกคนเห็น แถมยังเปี่ยมด้วยพรสวรรค์และฝีมือ กลายเป็นเป้าสนใจของเบื้องบน ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจมาพบเจ้าเป็นการส่วนตัวเพื่อมอบบททดสอบบางอย่างและช่วยเร่งพัฒนาการ”


เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และฝีมือ… เอ็มลินเชิดคางโดยไม่รู้ตัว


จากนั้นก็ถอนหายใจเงียบ


ไม่ผิดจากที่คิด เป็นไปตามตามที่มิสเตอร์แฮงแมนคาดคะเน ท่านมาเพื่อทดสอบ มอบภารกิจ และสัมภาษณ์ตัวต่อตัว…


ท่ามกลางกระแสอารมณ์อันหลากหลาย เอ็มลินตอบอย่างสำรวม


“ข้าพร้อมทุกเมื่อ”


“ไม่เลว” เสียงทุ้มอ่อนโยนของโอลเมอร์ดังจากหลุมศพ “ภารกิจต่อไปของเจ้าก็คือ ค้นหาสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบที่ซ่อนอยู่ในเบ็คลันด์… สำหรับเรื่องนี้ ทางเรามีเบาะแสไม่มาก จำเป็นต้องให้เจ้าตรวจสอบด้วยตัวเองหลายเรื่อง”


โรงเรียนกุหลาบ? พวกมันเป็นอริกับผีดูดเลือดด้วยหรือ? นั่นสินะ ดูเหมือนว่าจะมีบางส่วนของพวกมันที่นับถือดวงจันทร์บรรพกาล… เอ็มลินซึมซับข้อมูลของโรงเรียนกุหลาบมาจากชุมนุมทาโรต์ไม่น้อย แต่จงใจปกปิดเอาไว้


“นอกจากจะรับสาวกดวงจันทร์บรรพกาลเข้าเป็นพวก โรงเรียนกุหลาบยังครอบครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลผีดูดเลือดเรา เป็นมรดกจากบรรพบุรุษ พวกเราต้องทวงคืนมาให้ได้” น้ำเสียงโอลเมอร์ทวีความขึงขัง


มรดกของบรรพบุรุษ… วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของผีดูดเลือด… เอ็มลินตอบโดยไม่ลังเล


“ท่านดยุคที่เคารพ ข้าจะตามหาสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ในเบ็คลันด์ให้พบ”


น้ำเสียงของโอลเมอร์กลับไปเป็นอ่อนโยนอีกครั้ง


“ดีมาก… รอฟังข้อมูลจากคาซีมีและหาจุดเริ่มด้วยตัวเอง”


เอ็มลินคิดจะทำโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว แต่ฝืนสงวนท่าทีเล็กน้อย เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างตั้งใจ


“ท่านดยุคที่เคารพ ท่านรู้จักปราสาทร้างกลางป่าเดแลร์หรือไม่?”


“อยากไปหรือ? ที่นั่นอันตรายนะ” โอลเมอร์ในหลุมศพตอบ


เอ็มลินมิได้อธิบาย แต่ถามเข้าประเด็น


“อันตรายแบบใด?”


โอลเมอร์หัวเราะในลำคอพลางตอบ


“ปราสาทหลังนั้นอาจเก่าแก่กว่าข้าเสียอีก… หรืออาจมีอายุมากกว่าป่าเดแลร์… ข้าไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่ค่อนข้างแน่ชัดว่าจุดประสงค์คือการผนึกบางสิ่งที่อยู่ใต้ดิน เก็บซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่… สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เข้าไปใกล้จะถูกกัดกร่อนจนถึงแก่ชีวิต เดิมที เราคิดว่าที่นั่นอาจเกี่ยวข้องกับนรก จึงลองโยนปีศาจเข้าไป ทว่า แม้แต่ปีศาจก็ถูกกัดกร่อน จากสิ่งมีชีวิตเย็นชาและป่าเถื่อนกลายเป็นตัวตนที่บ้าคลั่ง”


แล้วทำไมท่านถึงไม่ลองเปิดประตูเข้าไปสำรวจ? เอ็มลินได้แต่บ่นในใจ มิได้กล่าวออกไป


ดยุคโอลเมอร์แห่งผีดูดเลือดเจ้าของฉายา ‘จันทร์เต็มดวง’ มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ จบการสนทนาและบอกให้เอ็มลินออกจากห้าง



ในช่วงค่ำ กรุงเบ็คลันด์ที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆมืด มีฝนตกโปรยปราย


เอ็มลินสวมหมวกขอบโค้ง เดินลงจากระเบียบกันสาด ดวงตาสีแดงจดจ้องไปยังไวเคาต์เออร์เนส·โบยาร์ที่กำลังเดินชมร้านขายของเก่า


มันโกรธอีกฝ่ายที่จงใจบอกข้อมูลไม่ครบ หลังจากออกจากคฤหาสน์โอดราจึงแอบสะกดรอยตามโดยไม่รู้ตัว


แต่พอเดินไปได้สักพัก มันเริ่มเกิดความสับสน เพราะไม่ทราบว่าตนควรจัดการกับเออร์เนสอย่างไร และต้องสะกดรอยไปอีกนานแค่ไหน

 

 

 


ราชันเร้นลับ 970 : พรสวรรค์ในการระดมทุน

 

หลังจากยืนมองเออร์เนส·โบยาร์เดินจากไปด้วยสีหน้ามึนงง เอ็มลินค่อยๆ เกิดความคิดถอดใจ


มันชำเลืองไปยังสายฝนโปรยปรายด้านนอกระเบียงกันสาด อดไม่ได้ที่จะขบคิด


เออร์เนสสมควรถูกลงโทษด้วยวิธีใด? จริงอยู่ที่เจ้านั่นอาจทำตามคำสั่งใครสักคน หรือไม่ก็ต้องการบอกใบ้ทางอ้อม แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังชั่วช้าอยู่ดี!


ส่วนลอร์ดนีบาส… ตอนนี้เรายังไม่มีพลังพอจะจัดการ ไว้เป็นมาร์ควิสหรือดยุคเมื่อไร เจ้านั่นจะต้องชดใช้ในเรื่องนี้!


มิสเมจิกเชี่ยนประจำความสำเร็จในการตรวจสอบปราสาท… เรายังสรุปไม่ได้ว่าคนของลอร์ดนีบาสที่กำลังจับตามอง ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง… พิจารณาจากน้ำเสียงของเธอ รวมถึงคำอธิบายและข้อเสนอแนะจากมิสเตอร์ฟูล พวกมันน่าจะยังไม่ทราบ… หมายความว่าลอร์ดนีบาสมิได้ส่งคนไปเฝ้าปราสาท? เช่นนั้นแล้วจะทดสอบไปเพื่ออะไร? หรือตัดขัดด้วยปัญหาบางประการ?


ท่ามกลางความคิดอันหลากหลาย เอ็มลินอยากคุยกับใครสักคนเกี่ยวกับวิธีลงโทษเออร์เนส·โบยาร์ เพราะตนไม่มีประสบการณ์ในทำนองนี้มาก่อน


จากจิตใต้สำนึก ชื่อแรกที่แล่นเข้ามาในหัวมันคือมิสเตอร์แฮงแมน สมาชิกเก่าแก่แห่งชุมนุมทาโรต์รายนี้มีประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ ไม่น้อย มีความน่าเชื่อถือ ไม่เคยทำให้สมาชิกคนอื่นผิดหวัง


หลังจากลังเลสักพัก เอ็มลินตัดสินใจตัดตัวเลือกนี้ทิ้ง เพราะเหตุการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับการทดสอบภายในตระกูลผีดูดเลือด การเปิดเผยให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทราบโดยที่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด จะถือเป็นการทำลายความภาคภูมิใจและภาพลักษณ์ของตระกูลผีดูดเลือด!


ด้วยเหตุผลเดียวกัน มันตัดเดอะเวิร์ลออกจากที่ปรึกษา


แน่นอน มันเดาได้ว่า มิสเตอร์เวิร์ลจะมอบคำแนะนำแบบใด:


เชือดแม่ง!


ไม่ต้องถึงขั้นนั้น… เอ็มลินรำพันในใจ เดินสะกดรอยเออร์เนส·โบยาร์อย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะนึกทบทวนรายชื่อที่ปรึกษาบนโลกความจริง


ทันใดนั้น มันพบว่าตนมีเป้าหมายให้เลือกไม่มากนัก เพราะมีเพื่อนแค่ไม่กี่คน


หากไม่นับพ่อแม่ที่เป็นผีดูดเลือดเหมือนกัน เหลือเพียงสองคนที่มันปรึกษาได้ หนึ่งคือบิชอปยูทรอฟสกี้แห่งวิหารฤดูเก็บเกี่ยว อีกหนึ่งคือ เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ นักสืบชื่อดังที่ช่องทางรวบรวมข้อมูลมากมาย


เชอร์ล็อกออกจากเบ็คลันด์และยังไม่กลับมา… เฮ่อ… ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปปรึกษาบิชอป… แต่เราคงเล่าออกไปตรงๆ ไม่ได้แน่… เอ็มลินคิดไวทำไว เดินผ่านเออร์เนส·โบยาร์ที่เข้าไปในร้านนาฬิกา จนกระทั่งถึงสุดปลายกันสาดริมถนนที่มีรถม้าหลายคันจอดรออยู่


ขึ้นรถเสร็จ สัมผัสการหมุนของล้อ เอ็มลินจ้องไปทางหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจ เห็นน้ำฝนตกกระทบกระจกอย่างต่อเนื่อง ไหลหยดเป็นทางยาว


ท่ามกลางสายตาที่พร่ามัว รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านมันไป



ออเดรย์ถอนสายตาออกจากฉากฝนตกด้านนอกหน้าต่างรถม้า ชำเลืองไปทางสาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ ก่อนจะหันไปคุยกับซูซี่ที่กำลังนั่งยองอยู่ด้านข้าง


เธอส่งสายตา สีหน้า และภาษากายที่ไม่ประเจิดประเจ้อนัก:


พวกเราใกล้ถึงบ้านแล้ว ค่อนข้างประหม่า


ซูซี่ส่ายหาง ยกอุ้งเท้าขึ้น จัดระเบียบแว่นกรอบทองที่ห้อยอยู่ตรงลำคอ เมื่อผนวกเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในเชิงสีออร่า ทั้งหมดสามารถตีความได้ว่า:


ไม่ต้องกังวลเกินไป… มาดามเอสลันด์ที่ทำตัวเหมือนกับนักจิตบำบัดคนนั้น ความจริงแล้วเป็นแค่ ‘นักอ่านใจ’ ไม่สามารถมองเห็นคำโกหกของเธอได้


ออเดรย์พยักหน้ารับ เฝ้ามองรถม้าแล่นเข้าไปในคฤหาสน์สุดหรูของบ้านตระกูลฮอลล์ หยุดหน้าห้องโถง


นับตั้งแต่เข้าร่วม ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น’ เธอใช้เวลาอยู่ที่บ้านน้อยลงมาก เดิมที เธอวางแผนจะนัดเอสลันด์ให้มาพบที่อาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ในเขตเหนือ แต่ในเมื่อมิสเตอร์ดอน·ดันเตสเดินทางลงใต้ ไม่ได้อยู่ที่สำนักงาน เรื่องนั้นก็ไม่มีความจำเป็น


ในห้องอ่านหนังสือส่วนตัวของเธอ ออเดรย์ได้พบกับสตรีผมดำยาวถึงเอว มาดามเอสลันด์·โอซิสเลก้าที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์


“ต้องขอโทษด้วยนะคะ หลังจากกลับถึงเบ็คลันด์ ฉันยุ่งอยู่กับการพบปะเพื่อนฝูง โดยในภายหลังตัดสินใจเข้าร่วมกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา แทบไม่ว่างเลยจนกระทั่งนัดพบคุณในวันนี้” หลังจากสั่งให้ซูซี่คอยเฝ้าหน้าห้อง ออเดรย์คำนับอย่างสง่างามพร้อมกับเปิดเผยเหตุสุดวิสัย


ทั้งหมดคือสิ่งที่เธอจงใจ ลากการนัดพบให้นานออกมานับเดือน จากนั้นค่อยแจ้งว่าตนย่อยโอสถ ‘นักจิตบำบัด’ เรียบร้อยและเลื่อนลำดับเป็นนักสะกดจิตสำเร็จ แบบนี้จะดูสมเหตุสมผลกว่า เป็นความเร็วทัดเทียมกับอัจฉริยะทั่วไป


เอสลันด์ตอบเสียงเรียบ


“ดิฉันได้ยินว่า คุณกำลังตระเวนช่วยเด็กที่หิวกระหายความรู้ คุณงามความดีของคุณช่างเจิดจรัสยิ่งกว่าเพชรแท้”


ออเดรย์ส่งภาษากายเชิญให้อีกฝ่ายนั่ง พลางเดินไปทางโซฟาเดี่ยวพร้อมกับอืมในลำคอ


“สถานการณ์ของเด็กๆ เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดิฉันไม่เคยพบเจอมาก่อน… เสียงภายในใจร่ำร้องให้ดินฉันทำอะไรสักอย่างกับพวกเขา… มาดามเอสลันด์ หากคุณมีเวลาว่าง สามารถร่วมงานกับฉัน ตระเวนไปตามโรงเรียนต่างๆ พร้อมกับเจ้าหน้าที่กองทุน ไปเห็นด้วยตาว่าเด็กส่วนใหญ่ของอาณาจักรมีสภาพเช่นไร”


กล่าวถึงตรงนี้ เธอหัวเราะในลำคอ คล้ายกับตำหนิตัวเอง


“ต้องขอโทษด้วยนะคะ พักหลังดิฉันชอบเริ่มบทสนทนาด้วยหัวข้อนี้ เพราะอยากให้มีขุนนางและเศรษฐีร่วมกันทำความดีเช่นนี้ให้มากขึ้น เพิ่มเงินบริจาค จะได้ช่วยเด็กให้มาก”


หลังจากได้ยินคำพูดออเดรย์ เอสลันด์ตอบด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กๆ


“ดิฉันก็จะร่วมด้วย จะบริจาคเงินบางส่วนให้กับกองทุกการกุศลเพื่อการศึกษา”


“ผิดแล้วค่ะ ดิฉันมิได้ต้องการบังคับให้คุณบริจาค อยากให้เกิดจากความสมัครใจมากกว่า แค่หวังว่าคุณจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง จากนั้นก็นำสถานการณ์ปัจจุบันของเด็กเหล่านั้นไปเล่าให้คนรอบข้างฟัง รวมถึงสมาชิกของสมาคมแปรจิต” ออเดรย์ส่ายหน้า ปฏิเสธข้อเสนอของเอสลันด์


“ตกลงค่ะ” เอสลันด์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นพ้อง ก่อนจะพบความนัยแฝงที่น่าเหลือเชื่อ:


มิสออเดรย์ตั้งใจจะระดมทุนจากสมาคมแปรจิต!


แต่นี่เป็นองค์กรลับของผู้วิเศษ!


ไม่ต่างอะไรกับการระดมทุนจากชุมนุมแสงเหนือ!


ออเดรย์เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวต่อไปว่า


“มาดามเอสลันด์ ดิฉันมีบางสิ่งจะบอก”


“อะไรหรือคะ?” เอสลันด์พยายาม ‘อ่าน’ สีหน้าและภาษากายของอีกฝ่าย พบว่าออเดรย์กำลังเผยความสุขและความภูมิใจ


ออเดรย์ยิ้มและตอบ


“ฉันกลายเป็นนักสะกดจิตแล้ว”


“…” ทันใดนั้น เอสลันด์พลันรู้สึกราวกับถูกอีกฝ่ายสะกดจิต


แม้ว่าเธอจะทราบเรื่องที่มิสออเดรย์ได้รับสูตรโอสถนักสะกดจิตไปสักพักแล้ว แต่สักพักที่ว่าคือแค่ไหน?


“คุณคงตรวจสอบได้ว่าดิฉันมิได้โกหก” ออเดรย์ฉีกยิ้ม


เอสลันด์ได้สติกลับมา ซักถามอย่างประหลาดใจและสงสัย


“ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดามาหรือ?”


“แค่กล้าลงมือทำ” ออเดรย์ตอบด้วยถ้อยคำที่จริงแสนจริง


เอสลันด์ขมวดคิ้ว ลังเลและกล่าว


“แล้วคุณต้องการสูตรโอสถลำดับ 5 เลยไหม?”


“ใช่ค่ะ ดิฉันต้องทำอย่างไร? จ่ายด้วยอะไร?” ออเดรย์มิได้เก็บซ่อนจุดประสงค์


เอสลันด์ชำเลืองสตรีผมทองเจ้าของใบหน้างดงามฝั่งตรงข้าม เรียบเรียงคำพูดและกล่าว


“สำหรับเรื่องนั้น ดิฉันไม่มีอำนาจตัดสินใจ… จะรายงานกลับไปยังเบื้องบน จากนั้นก็จะรีบนัดวันให้คุณ ได้พบกับฮิลเบิร์ดและสตีเฟ่นโดยเร็ว”


เธอกำลังหมายถึง ฮิลเบิร์ด·อลูคาร์ด นักจิตวิทยาและนักออกแบบเครื่องประดับ รวมถึงสตีเฟน·ฮันเพรส พ่อค้าเครื่องเรือน


ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ในกลุ่มสมาชิกสมาคมแปรจิต เอสลันด์มีตำแหน่งรองจากทั้งสอง


สำหรับท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย ออเดรย์มิดได้แปลกใจนัก แต่มิใช่เพราะเธอรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร้จุดบอด


สำหรับผู้วิเศษลำดับ 6 ที่ต้องการเลื่อนตำแหน่ง ทุกองค์กรลับล้วนมองเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ต้องถูกจับตามอง ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ็ดโบสถ์หลัก จำเป็นต้องเรียกให้เข้าพบสมาชิกระดับสูงโดยตรง


กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากเลื่อนลำดับเป็นนักสะกดจิต ออเดรย์ได้กลายเป็นหัวกะทิในหมู่สมาชิกระดับกลางของสมาคมแปรจิตเรียบร้อยแล้ว เป้าหมายถัดไปคือตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม จึงควรมีโอกาสได้เข้าพบเหล่าคณะกรรมการเป็นอย่างน้อย มิใช่คนอย่างฮิลเบิร์ดหรือสตีเฟ่น


หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน ออเดรย์จงใจเผยสีหน้าขุ่นเคืองเล็กๆ


เอสลันด์จับความผิดปรกติดังกล่าวได้ จึงรีบอธิบาย


“กับฮิลเบิร์ดและสตีเฟ่น การเข้าพบคือการยืนยันสถานะของคุณ หลังจากนั้นคุณจะได้เข้าพบคณะกรรมการ… อันที่จริง ด้วยลำดับพลังในปัจจุบัน คุณต้องเป็นหัวหน้าหน่วยและคอยนำทีมออกปฏิบัติภารกิจ แต่ด้วยสถานะและตัวตนของคุณ ทางเราตัดสินใจยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าว จะได้ไม่กระทบกับชีวิตประจำวันของคุณเกินไป”


คณะกรรมการ… เรายังไม่ทราบว่าคณะกรรมการของสมาคมแปรจิตอยู่ในเบ็คลันด์กี่คน… อาจเป็นที่ปรึกษาของราชวงศ์ เฮอร์วิน·แรมบิส? ออเดรย์พยักหน้าพลางครุ่นคิด ก่อนจะกล่าว


“เข้าใจได้… ดิฉันจะรอการนัดหมายของคุณ”


เธอเปลี่ยนเรื่องทันที ลืมตาขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับถามด้วยสีหน้าฉงน


“มาดามเอสลันด์ ขอทราบได้หรือไม่ว่าโอสถลำดับ 5 ของเส้นทางผู้ชมมีชื่อว่าอะไร?”


เมื่อเห็นสตรีขุนนางผมทองตรงหน้าแสดงออกแบบเด็กๆ เอสลันด์ถอนหายใจโล่งอก


“ดิฉันเคยได้ยินฮิลเบิร์ดเรียกว่า ‘นักท่องฝัน’ ”


นักท่องฝัน… ผิดไปจากที่คิดนิดหน่อย… หรือว่า ‘ความฝัน’ เป็นเพียงการเปรียบเปรย แต่จริงๆ แล้วคือเป็นนักท่องจิตใต้สำนึก? ออเดรย์วิเคราะห์โดยไม่พยายามเก็บซ่อน ก่อนจะถามต่อในเชิงศาสตร์จิตวิทยา


หลังจากเลี้ยงอาหารค่ำเอสลันด์ ออเดรย์ส่งสตรีคนดังกล่าวออกจากห้องโถง มายังจุดขึ้นรถม้า


ปัจจุบัน ด้านนอกกำลังมืด สายลมส่งเสียงโหยหวน สายฝนกำลังโปรยปราย



ท่ามกลางฝนตกปรอย ท่ามกลางสายลมที่โหมกระหน่ำ ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด เรือโดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยสองระบบ ทั้งใบเรือและไอน้ำ กำลังแล่นไปบนเส้นทางปลอดภัยของทะเลคลั่ง


ไคลน์ออกจากทวีปใต้แล้ว ปัจจุบันกำลังกลับไปยังอ่าวเดซีย์ในฐานะดอน·ดันเตส


ขณะเรือโคลงเคลง มันตื่นขึ้นกะทันหัน พลิกตัวและลุกออกจากเตียง เดินไปยังหน้าต่างห้องนั่งเล่นและมองออกไป


ภายในความมืดที่มีสายฝนโปรย เรือใบสามเสากระโดงขนาดมหึมาที่มีสีดำล้วนกำลังแล่นเข้าใกล้อย่างเงียบงัน


เป็นเรือใบที่รอบลำมีโคมไฟแขวน ใบเรือขนาดยักษ์สีดำสามผืนเด่นตระหง่าน ลำเรือยาวเกือบหนึ่งร้อยเมตร


และบนดาดฟ้า เก้าอี้หินสูงสามเมตรกำลังหันหลังให้ทางเข้าเขตห้องโดยสาร ปัจจุบันไม่มีใครนั่งอยู่


นี่คือ ‘เรือจักรพรรดิมืด’ ที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์!

 

 

 


ราชันเร้นลับ 971 : ยับยั้ง

 

บนดาดฟ้าสังเกตการณ์ของเรือโดยสาร เสียงแตรแหลมๆ ดังขึ้นอย่างกึกก้อง ทะลวงผ่านกำแพงของสายลมและฝน ปลุกให้ผู้โดยสารทุกคนตื่นขึ้น


พวกมันไม่มีเวลามัวแต่งตัวหรือใส่เสื้อนอก ในสภาพชุดนอน แต่ละคนวิ่งตรงมาทางหน้าต่างและเฝ้ามองโลกด้านนอก


ครึ่งหนึ่งมองเห็นเรือใบขนาดสามเสากระโดดที่แล่นได้เร็วผิดจากสามัญสำนึก เห็นผ้าใบสีดำสนิทสามผืน เห็นกระจุกแสงสีเหลืองโยกเอนท่ามกลางความมืด


ด้วยกันกับสายลมหวน เม็ดฝนโปรยปราย เมฆหนาจนมองไม่เห็นแสงจันทร์ และท้องฟ้ายามค่ำคืนที่พร่างพราว ผู้โดยสารหลายคนรู้สึกราวกับกำลังขยับเข้าไปใกล้ปากนรก ภายในใจสยดสยองพองขนอย่างเหนือคำบรรยาย


เรือจักรพรรดิมืด


ใครที่เคยมีประสบการณ์ทางทะเล ใครที่เคยอาศัยในเมืองท่าอาณานิคมใหญ่ๆ มาสักระยะ ย่อมต้องรู้จักเรือโจรสลัดลำนี้ไม่มากก็น้อย!


“โอ้… ขอพายุจงสถิตกับเราทุกคน”


“พระองค์ได้โปรดเฝ้ามองพวกเราด้วย!”


“องค์วายุสลาตันจงเจริญ!”



คำสวดวิงวอนมากมายดังขึ้นจากจิตใต้สำนึก เต็มไปด้วยความกลัวและลนลาน


เหล่าผู้โดยสารต่างทราบดี เจ้าของเรือจักรพรรดิมืดคือโจรสลัดที่มีค่าหัวสูงที่สุดในห้าห้วงทะเล หรืออีกนัยหนึ่งคือราชาโจรสลัด เป็นบุคคลที่ทรงอำนาจซึ่งสามารถเอาตัวรอดมาจากกองเรืออันเกรียงไกรของอาณาจักรได้จวบจนปัจจุบัน ไม่ใช่ตัวตนที่จะรับมือได้ด้วยปืนใหญ่และลูกเรือของเรือโดยสาร


หมายความว่า พวกมันกำลังจะตกอยู่ในเงื้อมมือโจรสลัด!


สตรีหลายคนอดไม่ได้ที่จะจินตนาการภาพตัวเองถูกข่มเหงและนำไปขายในสถานที่ประหลาด บ้างตัวสั่นเข่าอ่อน บ้างคุกเข่าลงกับพื้นข้างหน้าต่าง บ้างควานหามีดสั้นและปืนพก ไม่แน่ใจว่าคิดจะต่อต้าน หรือไม่อยากให้เกิดเหตุการที่เลวร้ายที่สุดกับตัวเองกันแน่ บางคนที่หาอาวุธไม่พบก็ย้ายราวแขวนผ้ามาไว้ข้างๆ


ทางฝั่งบุรุษก็มิได้ดีไปกว่ากัน ยกเว้นกลุ่มหนึ่งที่หยิบอาวุธออกมาเตรียมต่อต้าน ที่เหลือเอาแต่ยืนเหม่อลอย บ้างหาจุดซ่อนตัว บ้างด่าทอเรือโดยสารและราชาแห่งห้าห้วงสมุทร


จนกระทั่ง เสียงของกัปตันถูกส่งไปยังโสตประสาทของทุกคนผ่านอุปกรณ์กระจายเสียงและวิธีอื่นๆ


“โปรดอยู่ในความสงบ! ไม่ต้องกลัว! กัปตันเรือจักรพรรดิมืดมีกฎระเบียบที่เคร่งครัดเป็นของตัวเอง แตกต่างจากโจรสลัดอื่น พวกเขาจะทำเพียงปล้นทรัพย์เท่านั้น ไม่ก้าวล่วงมากไปกว่านั้น!”


ประโยคดังกล่าวดังกังวานหลายหน ในที่สุดผู้โดยสารที่แตกตื่นก็เริ่มสงบลง บรรเทาความกลัวไปได้หลายส่วน


เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่พวกมันจินตนาการ หากแค่ถูกปล้นโดยไม่ถูกข่มขืนหรือเอาชีวิต เท่านี้ยังพอทำใจยอมรับได้


ผ่านไปหลายสิบวินาที ผู้โดยสารบางคนที่พกเงินเก็บทั้งชีวิตติดตัวมาด้วย เมื่อจินตนาการว่าทั้งหมดกำลังจะหายไปก็ทำใจไม่ได้ หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง


หลายคนเป็นเงินที่กู้ยืมมา หากต้องสูญเสียไปทั้งหมด คงไม่สามารถใช้คืนและกลับไปชีวิตแบบเดิมได้ ต้องเร่ร่อนไปตามถนนหรือโรงทำงาน


คิดถึงตรงนี้ พวกมันตัดสินใจซ่อนเงินไว้ในจุดต่างๆ คาดหวังว่าจะไม่สูญเสียไปทั้งหมด เมื่อจัดการเสร็จก็เริ่มหันมาจับอาวุธ พร้อมแลกชีวิตในช่วงเวลาวิกฤติ


แม้แต่สัตว์ยังสู้จนตัวตาย นับประสาอะไรกับมนุษย์?


ในเวลาเดียวกัน โจรสลัดหลายคนบนเรือจักรพรรดิมืดต่างมารวมตัวรอบกราบเรือ รอฟังคำสั่ง เตรียมกระโจนใส่ ‘เหยื่อ’ ในตอนที่ระยะห่างเหลือไม่มาก


ผู้ช่วยกัปตันของพวกมัน ‘ไวเคาต์แห่งความกลัว’ เบิร์ด·มัสแตง กำลังถือกล้องส่องทางไกล เฝ้ามองเรือโดยสารฝั่งตรงข้ามโดยไม่คิดอะไรมาก เพียงพิจารณาว่าเรือทั้งสองลำจะเข้าประชิดกันตอนไหน


โจรสลัดคนดังรายนี้ เจ้าของค่าหัวสูงกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์ สวมเสื้อเชิ้ตอินทิสที่มีลวดลายบริเวณคอและแขนซับซ้อน สวมเสื้อนอกคล้ายกัปตันเรือ คล้ายกำกับกำลังรอร่วมงานเลี้ยงมากกว่างานปล้น


ทันใดนั้น เบื้องหน้ามันเหลือเพียงดอกไม้หนึ่งดอก เรือโดยสารทั้งลำหายไปอย่างไรร่องรอย!


เบิร์ด·มัสแตงรีบขยับกล้องส่องทางไกลเพื่อค้นหา แต่ในทิศทางดังกล่าว นอกจากสายลมกระโชกและนกอินทรีทะเลหัวแดงที่มักออกมาล่าปลาในช่วงฝนตกหนัก ก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดอีกเลย


เรือโดยสารขนาดมหึมาที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสองชนิด อันตรายหายไป!


“…” เบิร์ด·มัสแตงกะพริบตาถี่ ทำตัวไม่ถูกไปสักพัก


“เรือไปไหนแล้ว?”


“เรือลำใหญ่นั่นหายไปไหน?”


“เมื่อครู่มันเพิ่งอยู่ที่นี่!”



โจรสลัดบนดาดฟ้าเรือเองก็สังเกตเห็นความผิดปรกติ ต่างคนต่างตื่นตกใจ


เรือผีสิง? ไม่มีทาง จะไปมีเรือผีสิงแบบนั้นได้ยังไง เห็นได้ชัดว่าเป็นเรือลูกผสมระหว่างเรือใบกับเรือไอน้ำที่เพิ่งได้รับความนิยมในช่วงหลัง… ภาพลวงตา? ใครบางคนใช้เวทลวงตาที่ทรงพลังเพื่อซ่อนเรือโดยสารลำนั้น? ถ้านั่นเป็นความจริง… อีกอย่างคือครึ่งเทพ… ท่ามกลางกระแสความคิดที่เปลี่ยนผัน เบิร์ด·มัสแตงรีบเก็บกล้องส่องทางไกล เดินไปยังเขตห้องโดยสาร


ระหว่างนั้น คล้ายกับระยะทางถูกบิดเบือน เบิร์ด·มัสแตงเดินเพียงเจ็ดถึงแปดก้าวก็มาถึงห้องกัปตันที่อยู่ในจุดห่างไกลจากเมื่อครู่ จากนั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อม


“เอิร์ลนาสต์ มีบางสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นระหว่างการล่า”


หากเป็นบนเรือจักรพรรดิมืด ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ จะแทนตัวเองว่าเอิร์ลเสมอ มาจากบรรดาศักดิ์ที่จักรพรรดิโรซายล์มอบให้


แน่นอน มันยังประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า ในอีกไม่ช้าก็เร็ว อาณาจักรของโจรสลัดจะถือกำเนิด และมันจะกลายเป็นดยุค เจ้าชาย หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิ


หลังจากเงียบไปสักพัก เสียงทุ้มและสง่างามดังมาจากห้องกัปตัน


“วนไปรอบๆ”


“สุดแล้วแต่ท่าน!” เบิร์ด·มัสแตงไม่ถามว่าทำไม เพียงน้อมรับไว้


แน่นอน มันพอจะจินตนาการถึงเหตุผลได้


ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่การทำให้เรือโดยสารขนาดใหญ่หายไปต่อหน้าต่อตาโจรสลัดหลายร้อยคน ต้องไม่ใช่ฝีมือของผู้วิเศษลำดับกลางหรือล่างแน่ เรือลำดังกล่าวต้องมีครึ่งเทพที่แข็งแกร่งคอยปกป้อง หรือไม่ก็สมบัติปิดผนึกระดับครึ่งเทพ!


การปะทะส่งเดชกับครึ่งเทพบนเรือโดยสารธรรมดาๆ ไร้สัญชาติ ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดสักเท่าไร แม้ว่า ‘เอิร์ลแห่งเมเปิ้ลขาว’ นาสต์ จะเป็นถึงราชาแห่งห้าห้วงสมุทร แต่มันก็ไม่ประมาท เว้นเสียแต่จะทราบว่าอีกฝ่ายคือกลุ่มที่ขัดแย้งกันอยู่แล้ว หรือมีประเด็นมากพอให้เปิดฉากโจมตี


จากมุมมองดังกล่าว ครึ่งเทพฝ่ายตรงข้ามทำเพียงซ่อนเรือโดยสาร มิได้ลงมือโต้กลับ แสดงให้เห็นว่าไม่ประสงค์จะขัดแย้งกับเรือจักรพรรดิมืดและราชาแห่งห้าห้วงสมุทร เพียงต้องการบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าในนี้มีครึ่งเทพอยู่ เป็นการห้ามศึกอย่างสันติ


เบิร์ด·มัสแตงสั่งให้ลูกเรือออกจากกราบเรือ จากนั้นก็หันหัวเรือจักรพรรดิมืดเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง


ทันใดนั้น นกอินทรีทะเลหัวแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่งบินแตกกลุ่ม โฉบมายังท้องฟ้าเหนือลำเรือผีสิงลำนี้


ขณะเหล่าโจรสลัดเริ่มสับสน ทันใดนั้น นกอินทรีทะเลหัวแดงตัวดังกล่าวมองลงมายังดาดฟ้าเรือ กล่าวด้วยเสียงมนุษย์ที่ทุ้มต่ำ


“ผมต้องการพบเอิร์ลแห่งเมเปิ้ลขาว”


เบิร์ด·มัสแตงผงะหลายวินาที ก่อนจะชำเลืองสายตาไปทางห้องโดยสาร


เสียงอันสง่างามของราชาแห่งห้าห้วงสมุทรดังขึ้นอีกครั้ง มิใช่การตอบอินทรีทะเลหัวแดงโดยตรง แต่เป็นการคุยกับลูกน้อง


“ให้เข้ามา”


ขณะเบิร์ด·มัสแตงเตรียมทำตามคำสั่ง นกอินทรีทะเลหัวแดงบินโฉบลงมาท่ามกลางสายลมและสายฝนที่มืดครึ้ม ร่างกายค่อยๆ แปรสภาพ บิดตัวและยุบพองกลายเป็นมนุษย์


รอจนกระทั่งร่อนลงอย่างสมบูรณ์ นกอินทรีทะเลหัวแดงกลายเป็นมนุษย์สวมหมวกทรงสูงและทักซิโด บนใบหน้าสวมหน้ากากขนนก


รูม่านตาเบิร์ด·มัสแตงขยายออกเล็กน้อย คล้ายกับต้องการเพ่งพิจารณาอีกฝ่ายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


แต่ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ไม่พบความผิดปรกติจากชายอวดดีตรงหน้า ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายไม่เคยเป็นนกอินทรีทะเลหัวแดงมาก่อน


จนกระทั่งผ่านไปไม่กี่วินาที รูม่านตาของเบิร์ด·มัสแตงขยายกว้างกว่าเดิม เพราะชายสวมหน้ากากขนนกกำลังเดินผ่านไปและเผยให้เห็นด้านข้าง


บุรุษที่แต่งกายราวกับกำลังจะเข้าร่วมงานเลี้ยง ความหนาของลำตัวน้อยมาก ราวสองนิ้วประกบกันเท่านั้น!


ในวินาทีนี้ เบิร์ด·มัสแตงเชื่อว่าตนกำลังได้เห็นมนุษย์กระดาษ เป็นมนุษย์กระดาษที่หนากว่าปรกติเล็กน้อย!


สัตว์ประหลาด… มันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เฝ้ามองครึ่งเทพสุดประหลาดเดินเข้าไปในห้องโดยสาร


โจรสลัดบนดาดฟ้าทั้งหมดต่างผงะถอยหลังกลับไปยังกราบเรือ ประหนึ่งเมื่อครู่เพิ่งเห็นฝันร้ายเดินผ่านไป


สำหรับพวกมัน ไม่มีใครเคยเห็นมนุษย์ที่มีร่างกายแบบนี้มาก่อน สยองขวัญยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดหลายตัวที่เคยเผชิญหน้าในอดีตเสียอีก


ณ ชั้นสามของเขตห้องโดยสาร ด้านนอกห้องกัปตันกลางแจ้ง


ไคลน์จับลูกบิดและเปิดประตู


การต้องปรากฏกายในรูปลักษณ์ประหลาด ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีทางเลือก แต่ส่วนหนึ่งเป็นความตั้งใจ อันดับแรก นกอินทรีทะเลหัวแดงตัวเล็กเกินไป หลังจากแบ่งร่างกายบางส่วนเพื่อแปลงโฉมเป็นเสื้อผ้าและหน้ากาก ลำตัวในส่วนที่เหลือไม่มากพอจะสร้างร่างมนุษย์ที่สมบูรณ์ ต่อให้ไม่มีอวัยวะภายในก็ตาม สำหรับในประเด็นที่จงใจ มันกำลังค้นหาวิธีสวมบทบาทเป็น ‘จอมเวทพิสดาร’ และเกิดไอเดียทำนองว่า:


‘จอมเวท’ ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่ความ ‘พิสดาร’ ในการใช้เวทมนตร์!


เสียงประตูเสียดสีแผ่วเบา บานประตูสีดำถูกเปิดออก เผยให้เห็นฉากภายในห้องกัปตัน


เชิงเทียนห้อยลงมาจากเพดาน แบ่งเป็นฝั่งซ้ายสี่สิบเอ็ด ฝั่งขวาสี่สิบอย่างไม่สมมาตร สุดปลายทางของพวกมันคือพื้นยกสูงสีดำที่รายล้อมบัลลังก์เหล็กดำสนิท


‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์อยู่ในรูปลักษณ์ปรกติ สูงเกินกว่า 1.9 เมตรเล็กน้อย แตกต่างจากร่างกายใหญ่โตที่คล้ายคนยักษ์ซึ่งไคลน์เคยพบ


มันยังคงสวมมงกุฎขนาดย่อม สวมชุดคลุมสีดำขอบเงิน โครงหน้าค่อนข้างเหลี่ยม บนหน้าผากมีริ้วรอยเล็กน้อย ใต้คางมีเคราสั้นสีดำ ภายในดวงตาสีดำสนิทมีแสงสีแดงเข้มไหลเวียน ใครก็ตามที่สบตาต่างเกิดความรู้สึกอยากก้มศีรษะโดยไม่รู้ตัว


“ข้าไม่เคยพบเจ้ามาก่อน” นาสต์กล่าวเสียงแผ่ว “มิสเตอร์จอมเวทพิสดาร”


ไคลน์ถอดหมวกออก กล่าวทักทาย


“แต่ตอนนี้เคยพบแล้ว”


นาสต์กล่าวด้วยเสียงที่สามารถทำให้วิญญาณสั่นสะเทือน


“ว่ามา เหตุใดถึงอยากพบข้า”


“ท่านเอิร์ล ผมอยากฟังความประทับใจที่คุณมีต่อจักรพรรดิโรซายล์ ทุกคนล้วนทราบดี คุณและบิดาเคยเข้าเฝ้าพระองค์ แถมยังมากกว่าหนึ่งครั้ง” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ


นาสต์มองหน้าครึ่งเทพฝั่งตรงข้ามที่ปรากฏตัวในร่างมนุษย์กระดาษ กล่าวพร้อมกับแสงสีแดงเข้มในดวงตาที่สว่างขึ้น


“นั่งลงก่อน”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง ไคลน์สัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาล ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้ร่างกายฟังคำสั่ง เกิดความอยากนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ


ทว่า ตัวมันในปัจจุบันเป็นเพียงหุ่นเชิด เพียงสะบัดด้ายวิญญาณแผ่วเบา ร่างบางๆ ก็ได้รับสมดุลกลับคืน

 

 

 


ราชันเร้นลับ 972 : ความทรงจำของนาสต์

 

รอจนกระทั่งแรงกดดันคลายลง ไคลน์ถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่งหน้าประตู อยู่ฝั่งตรงข้าม ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์พอดิบพอดีโดยมีห้องโถงคั่นกลาง


แม้ราชาโจรสลัดรายนี้จะมีส่วนสูงกว่า 1.9 เมตรและนั่งบนบัลลังก์ที่วางอยู่บนพื้นยกสูงสีดำ วางตัวองอาจน่าเกรงขาม แต่ไคลน์กลับมิได้เสียขวัญ เพียงขยับหมวกทรงสูงกลับเข้าที่


เงียบงันสักพัก นาสต์ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เอิร์ลแห่งเมเปิ้ลขาว กล่าวด้วยน้ำเสียงสง่างาม


“ขอเหตุผลที่ข้าต้องตอบคำถาม”


รางบางๆ ของไคลน์เอนไปด้านหลังและกล่าว


“เหตุผลก็คือ หากเรามีโอกาสได้ทำธุรกิจกันในอนาคต คุณจะไม่ได้ยินคำขอเช่นนี้อีก”


แสงสีแดงสดในดวงตานาสต์สว่างขึ้น ตามด้วยกล่าว


“นักบุญทุกคนบนโลก ข้าล้วนรู้จักทั้งหมด แต่ไม่มีเจ้ารวมอยู่ในนั้น”


ไคลน์ลูบหน้ากากขนนกที่ปิดหน้า ยิ้มพลางตั้งคำถาม


“เคยเจอกับซาราธมาแล้วใช่ไหม?”


“เคยเจอกันสองครั้งในวังของจักรพรรดิโรซายล์ นอกจากนั้นยังเคยคิดต่อกับสมาชิกของลัทธิเร้นลับอีกหลายคน” ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ตอบด้วยน้ำเสียงขึงขังและสง่างาม


สมาชิกหลายคนของลัทธิเร้นลับ… ถ้ามีโอกาส ช่วยแนะนำฉันให้พวกมันรู้จักบ้างสิ… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะแดกดันในใจ


มันยิ้มและกล่าว


“ทางนี้ก็เคยพบซาราธ”


นาสต์ยกมือขึ้นมาลูบเคราสีดำ ร่างกายใหญ่โตของมันคล้ายกับพองขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้ห้องกัปตันถูกบรรยากาศปริศนากดทับ หม่นหมองลงและอึมครึม


ผ่านไปหลายวินาที มันมองลงไปทางไคลน์และกล่าว


“ความประทับใจที่ข้ามีต่อจักรพรรดิโรซายล์นั้นไม่ซับซ้อน: ไม่มีใครเหมาะที่จะเป็น ‘จักรพรรดิมืด’ มากไปกว่าพระองค์”


มันมิได้อธิบายความหมายของจักรพรรดิมืด หรือพยายามพูดเข้าประเด็น ไม่แยแสว่าครึ่งเทพฝั่งตรงข้ามจะเข้าใจหรือไม่


อย่างนี้นี่เอง… จากคำตอบของราชาแห่งห้าห้วงสมุทร แม้จักรพรรดิจะเขียนไว้ในไดอารีว่า เขาเพิ่งจะตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นเส้นทางจักรพรรดิมืดในช่วงบั้นปลายชีวิต แต่ในความเป็นจริง เขามีข้อมูลและความเอนเอียงมายังเส้นทางนี้ตั้งแต่ต้น จึงวางรากฐานไว้หลายสิ่งโดยไม่รู้ตัว… ไคลน์ไตร่ตรอง


มันเชื่อว่า นี่คือความประทับใจทั้งหมดที่ ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์มีต่อจักรพรรดิโรซายล์ เพราะท้ายที่สุด อีกฝ่ายได้เข้าเฝ้าเพียงสองสามหน ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


“ในช่วงบั้นปลายชีวิต พระองค์ได้สั่งให้บิดาของคุณทำอะไรอย่างลับๆ บ้างไหม?”


มงกุฎยอดแหลมบนศีรษะของนาสต์สั่นระริกเล็กๆ ขณะตอบ


“มีคนเคยถามแบบเดียวกันมาก่อน…”


ไคลน์หัวเราะ เสี่ยงคาดเดา


“แบร์นาแดต?”


“ใช่…” นาสต์กล่าวพลางจับบัลลังก์เหล็กดำด้วยมือทั้งสองข้าง “ในตอนนั้นเธอยังเด็กมาก จึงถามออกมาโดยขาดการไตร่ตรอง… ลองพิจารณาจากสถานะและลำดับของจักรพรรดิโรซายล์ในช่วงบั้นปลายชีวิตของพระองค์ หากต้องการทำอะไรอย่างลับๆ มีเหตุอันใดต้องใช้งานบิดาของข้า? พระองค์ทำด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?”


กำลังจะบอกว่า เรายังเด็กและขาดการไตร่ตรองเหมือนแบร์นาแดต? ไคลน์ถอนหายใจพลางยิ้ม


“สำหรับผู้คนที่คลางแคลงใจในเรื่องนี้ แม้จะมีความหวังเพียงริบหรี่ แต่ก็ไม่อยากละทิ้งมันไป”


นี่คือเหตุผลที่มันต้องการเข้าพบราชาแห่งห้าห้วงสมุทรพลังจากอำพรางเรือโดยสารด้วยมนต์ลวงตา


บนโลกความจริง มันต้องการสืบหาเบาะแสของประตูแห่งแสงที่อยู่เหนือมิติหมอก นอกจากจะหาหลักฐานเพื่อยืนยันว่าใครคือผู้เดินทางข้ามโลกคนที่สาม มันเชื่อว่าตนควรสืบหาเบาะแสของจักรพรรดิโรซายล์อย่างละเอียด นั่นคือหนึ่งในตัวเลือกที่เหลืออยู่ไม่มาก!


แสงสีแดงในดวงตานาสต์ดับลงและสว่างขึ้น


“เจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับจักรพรรดิโรซายล์?”


ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ถอนหายใจ


“ก็คง… สหายเก่า”


เพราะเหนือสิ่งอื่นใด พวกมันล้วนถูกแขวนไว้ในรังไหมลึกลับเหนือประตูแห่งแสง มีเพียงผนังบางๆ ของรังไหมกั้นแบ่ง ใช้ชีวิตอย่างใกล้ชิดกันมานานนับร้อยนับพันปี


ความสัมพันธ์เช่นนี้อ้างอิงจากทางกายภาพและทางใจ ไคลน์ที่ได้อ่านไดอารีจักรพรรดิโรซายล์หลายแผ่น ย่อมมองอีกฝ่ายเป็นเพื่อนแท้จากจิตใต้สำนึก เป็นบุคคลที่แบ่งปันชะตากรรมและอารมณ์ระหว่างกันและกัน


นาสต์จ้องมองครึ่งเทพแผ่นบางๆ ที่หน้าประตูอยู่พักหนึ่ง ถอนสายตากลับ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“มีคำถามอีกไหม”


ไคลน์เตรียมตัวไว้แล้ว กล่าวอย่างเชื่องช้า


“ตามความคิดของคุณ มีความผิดปรกติเกิดกับจักรพรรดิโรซายล์ในช่วงบั้นปลายชีวิตหรือไม่?”


นาสต์เจ้าของหน้าผากย่นเล็กๆ ตอบหลังจากเงียบไปนาน


“ข้ามิได้รู้จักพระองค์มากนัก จึงมิอาจสัมผัสถึงความผิดปรกติ… สิ่งเดียวที่ทำให้ข้าแปลกใจก็คือ ในตอนที่ข้าและบิดาเข้าเฝ้า ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น พระองค์จะยืนริมหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานเสมอ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มองออกไปยังสถานที่ห่างไกล… และไม่ใช่แค่ห้องเดียวที่มีหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน”


“ตะวันตก… ในที่ห่างไกล… ทะเลหมอก?” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง แต่คล้ายกับต้องการให้อีกฝ่ายได้ยินและช่วยยืนยัน


มันยังจำเกาะโบราณลึกลับที่จักรพรรดิกล่าวถึงในไดอารีได้ดี รวมถึง ‘นรก’ ที่ซ่อนอยู่สักแห่งภายในทะเลหมอก


‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์พยักหน้าแผ่วเบา


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ไตร่ตรองสักพัก มันลุกขึ้นพูด


“หมดคำถามแล้ว ได้โปรดยกโทษให้กับการเข้าพบที่เสียมารยาทครั้งนี้… ท่านเอิร์ล ลองบอกความประสงค์ของท่านมา บางทีข้าอาจช่วยเหลือได้”


มันกำลังทำตามสัญญา


นาสต์เงียบสองสามวินาที


“หาไพ่เย้ยเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืดให้ข้า”


เป็นเวลาครู่หนึ่งที่ไคลน์สงสัยว่าตนกำลังถูกทดสอบ แต่เมื่อลองวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เป็นเรื่องยากที่นาสต์จะเชื่อมโยงครึ่งเทพไร้หัวนอนปลายเท้าเข้ากับไพ่จักรพรรดิมืด จึงทำเพียงยิ้มและกล่าว


“จะพยายามอย่างสุดฝีมือ… แต่คำถามในวันนี้ไม่คุ้มกับมูลค่าของไพ่เย้ยเทพ หากทางนี้มีโอกาสครอบครองมัน จะใช้เนื้อหาภายในเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน หรือบางที ผมอาจช่วยคุณแจ้งเบาะแสของมัน”


นาสต์ลูบที่เข้าแขนของบัลลังก์เหล็กดำ ตอบอย่างไร้อารมณ์


“ตกลงตามนั้น”


ไคลน์ถอดหมวกอีกครั้ง คำนับเล็กน้อยและเปิดประตูออกไป กลับไปยังดาดฟ้าเรือ


ภายใต้การจ้องมองของไวเคาต์แห่งความกลัว เบิร์ด·มัสแตงและโจรสลัดที่เหลือ มันยกแขนขึ้น


ร่างกายหดกลับอย่างรวดเร็ว หน้ากากขนนกขยายออก เพียงสองสามวินาที มันกลายเป็นนกอินทรีทะเลหัวแดงธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง


นกอินทรีทะเลหัวแดงกระพือปีก บินเฉียงขึ้นไปในกระแสลมและสายฝนที่มืดครึ้ม อันตรธานหายไปท่ามกลางสายตาของเหล่าโจรสลัดแห่งเรือจักรพรรดิมืด


นี่คือครึ่งเทพ… เบิร์ด·มัสแตงแหงนมองท้องฟ้า ถอนหายใจสักพัก


แม้การเลื่อนขึ้นมาเป็นลำดับ 5 จะเพิ่มความเสี่ยงในการคลุ้มคลั่ง รวมถึงมีโอกาสประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับล้มเหลว แต่คำว่าครึ่งเทพก็ยังน่าดึงดูดใจเสมอ เพราะตราบใดที่ประสบความสำเร็จและได้รับเศษเสี้ยวพลังเทพ ระดับตัวตนทางธรรมชาติจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นด้านอายุขัยหรือฝีมือ มนุษย์จะไม่มีทางเทียบติด


ภายในเรือโดยสารไฮบริดไอน้ำและใบเรือ ไคลน์หยุดการควบคุมนกอินทรีทะเลหัวแดง ปล่อยให้มันตกลงไปในทะเลที่ไม่มีใครมองเห็น กลายเป็นอาหารปลา


ณ ปัจจุบัน ผู้โดยสารบนเรือกำลังตึงเครียดสุดขีด เพราะเรือจักรพรรดิมืดกำลังแล่นเข้ามาใกล้


อันที่จริง นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เรือจักรพรรดิมืดกลับเลิกสนใจเรือโดยสาร เพียงแล่นตรงผ่านไปราวกับไม่มีตัวตน ทว่า แทนที่เรือโดยสารจะถือโอกาสแล่นหนี มันกลับแล่นตามเรือจักรพรรดิมืดไปโดยรักษาระยะห่างไว้หลายร้อยเมตร


หลังจากสถานการณ์พิสดารเช่นนี้เกิดขึ้นระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป เรือทั้งสองลำแล่นเข้าหากันโดยมีระยะห่างเพียงไม่กี่สิบเมตร


จนกระทั่งเรือจักรพรรดิมืดแล่นผ่านเรือโดยสารไปทางด้านข้าง หันหัวเข้าไปในพายุลมฝนและไม่ย้อนกลับมาอีกเลย


ผู้โดยสารและลูกเรือมองหน้ากันด้วยสายตาว่างเปล่า ผ่านไปหลายนาทีกว่าจะได้สติ


เรือจักรพรรดิมืดหายไปแล้ว! พวกมันไม่ได้ลงมือปล้นเรือ!


ผู้โดยสารบางคนส่งเสียงยินดี บางคนหลั่งน้ำตา บางคนทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง มีเพียงไม่กี่คนที่รักษาความเยือกเย็นไว้ได้ ผุดคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แน่นอน ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะมีคำตอบให้กับทุกคน พวกมันทำได้เพียงกุเรื่องขึ้นมาปลอบใจ


เรือจักรพรรดิมืดคงเพิ่งเสร็จการปล้นมาจากที่อื่นและกำลังอิ่มหนำ จึงไม่แยแสเรือโดยสารเล็กๆ ที่มิใช่เรือบรรทุกสินค้า ไม่มีการชายตามอง!


ความยินดีกำลังแผ่ซ่านไปทั่วลำเรือ ไคลน์ที่อยู่ในร่างดอน·ดันเตสหันหน้าไปทางทิศเหนือ


เมื่อเทียบกับราชาแห่งห้าห้วงสมุทรที่ได้เห็นจักรพรรดิโรซายล์แค่ไม่กี่ครั้ง ยังมีอีกหนึ่งคนที่คุ้นเคยกับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่มากกว่า


‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต!


สตรีผู้นี้เป็นราชาโจรสลัดในระดับทัดเทียมนาสต์ แถมในระยะหลังยังอยู่ที่เบ็คลันด์!


ไว้กลับถึงเบ็คลันด์เมื่อไร ค่อยบอกให้พลเรือเอกดวงดาวติดต่อกับราชินีเงื่อนงำ นัดพบกันอีกครั้ง… ไคลน์ถอนสายตากลับ ขึงผ้าม่านและนอนลงบนเตียง



น่านน้ำของหมู่เกาะรอสต์ บนอนาคตกาล


ในที่สุด ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาก็ได้รับคำตอบจาก ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต


เธอไม่ทราบว่าผู้ส่งสารล่องหนมาถึงตอนไหน แต่นั่นก็มิได้ทำให้ความยินดีลดลง


เปิดซองจดหมาย หลังจากคลี่กระดาษ แคทลียารอไม่ไหวแล้วที่จะอ่านบรรทัดแรก:


“นั่นคือทายาทของชิเอล…”


ช่างฝีมือรายนั้นเป็นทายาทสายเลือดแท้ของจักรพรรดิโรซายล์… เราจะไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปพัวพันกับสาวกดวงจันทร์บรรพกาลอีก เขาจะต้องถูกพาขึ้นมายังอนาคตกาล… แคทลียาพยักหน้าเล็กๆ พลางครุ่นคิด


หลังจากตัดสินใจหนักแน่น เธอนึกทบทวนเกี่ยวกับนิสัยที่ชวนให้ปวดหัว รวมถึงศีลธรรมของช่างฝีมือนามว่าชาฟฟ์ และตระหนักว่าตนต้องอบรมสั่งสอนด้านวินัยสักเล็กน้อย


ครุ่นคิดสักพัก แคทลียาเดินไปที่หน้าต่างห้องกัปตัน มองออกไปด้านนอก


เมื่อค้นพบบางสิ่ง เธอชำเลืองไปทางกราบเรือ เห็นแฟรง·ลีกำลังเคี้ยวเห็ด


“แฟรงค์” แคทลียาตะโกน


แฟรงค์ในสภาพพันแขนเสื้อขึ้น ได้สติกลับมาทันที


“กัปตัน มีอะไรหรือ?”


แคทลียากล่าวเสียงขรึม


“ฉันจะหาผู้ช่วยให้คุณ”


แฟรงค์อึ้งไปสักพัก จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแสนสดใส


“ตกลง!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)