Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 963-968
ราชันเร้นลับ 963 : ข้อมูลมีปัญหา
เท่าที่เลียวนาร์ดทราบ ในหมู่ขุนนางระดับสูงของจักรวรรดิทูดอร์แห่งยุคสมัยที่สี่ ตระกูลอับราฮัมถือเป็นแถวหน้าอย่างแท้จริง ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าตระกูล ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์เสียอีก แน่นอน มันยังไม่มั่นใจว่าตระกูลอามุนด์มีสมาชิกอยู่เท่าไรกันแน่ บางทีอาจมีบุตรแห่งเทพเป็นสมาชิกเพียงคนเดียว โดยที่เหลือเป็นแค่ร่างโคลน
มิสเมจิกเชี่ยนเป็นคนสำคัญของตระกูลอับราฮัม… ทุกคนที่นี่ล้วนไม่ธรรมดา… เป็นชุมนุมลับที่รวมตัวเอกของโลกเอาไว้? เลียวนาร์ดถอนหายใจในตอนต้น ก่อนจะรำพันจิกกัดตัวเอง
‘เดอะซัน’ เดอร์ริคมิได้เปล่ากล่าวคำใด ไม่เชื่อมต่อสิ่งใดในหัว เพียงบันทึกสิ่งที่เดอะเวิร์ลพูด รวมถึงบทสนทนาของสองสาวไว้ในใจ
สำหรับมัน สมาชิกคนอื่นอาศัยอยู่บนโลกภายนอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับตนและเมืองเงินพิสุทธิ์ มีเพียงประเด็นราชาเทวทูตเท่านั้นที่น่าสนใจ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นเทวทูตโชคชะตา เทวทูตมืด หรือเทวทูตสีชาด ล้วนเคยทิ้งร่องรอยไว้รอบๆ เมืองเงินพิสุทธิ์ แถมยังเคยเผชิญหน้ากับเทวทูตกาลเวลาเป็นการส่วนตัว ก่อเกิดเป็นความหวาดกลัวที่มิอาจพรรณนา
รอจนกระทั่งทุกคนเงียบ เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในบางประเด็น
ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้… แล้วเราจะเล่าให้ท่านเจ้าเมืองฟังได้ยังไง? จริงสิ ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็ได้… แค่บอกว่าเป็นพี่ชายของอามุนด์ เป็นบุตรแห่งพระผู้สร้าง เป็นผู้วิเศษเส้นทางเดียวกับมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล…
และถ้าเราเผชิญภัยพิบัติที่มิอาจต้านทาน การเอ่ยชื่ออาดัม จะทำให้ท่านล่วงรู้ไหม? และเดินทางมายังดินแดนเทพทอดทิ้งได้ไหม?
คิดถึงตรงนี้ เดอร์ริคเกิดความละอายใจ เพราะต่อให้เมืองเงินพิสุทธิ์เผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้าย ชื่อที่มันควรเอ่ยถึงคือเดอะฟูลมากกว่า
ทันใดนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์กล่าวอีกครั้ง
“แม้ว่าเทวทูตสงคราม เมดีซีจะร่วงหล่นไปนานแล้ว แต่ก็มิได้หายไปโดยสมบูรณ์ วิญญาณที่หลงเหลือผสานเข้ากับวิญญาณของเซารอนและไอน์ฮอร์น กลายเป็นวิญญาณมาร… ผมพบร่องรอยของมันเหตุการณ์สังหารอินซ์·แซงวิลล์”
ไคลน์จงใจนำเรื่องนี้ออกมาเล่า ในแง่หนึ่งเพื่อเตือนเลียวนาร์ดที่เป็นคนแจ้งข้อมูลให้โบสถ์รัตติกาล ในอีกแง่หนึ่งเพื่อเตือนแฮงแมน เพราะชายคนนี้เคยเดินไปทางที่แบนชีถึงสองครั้ง อาจเกี่ยวข้องในเชิงชะตากรรมกับวิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’
วิญญาณมารตนนั้นคือเทวทูตสงคราม เมดีซี? เลียวนาร์ดทั้งตกใจและไม่ตกใจ เพราะมันเพิ่งคาดเดาไปว่า บุคคลระดับสูงที่เข้าร่วมเหตุการณ์ไม่น่าจะมีแค่อาดัม!
จากนั้น มันเริ่มเปรียบเทียมสมญานามระหว่างเทวทูตจินตภาพกับเทวทูตสงคราม และเริ่มสงสัยว่ารายหลังเองก็อาจเคยเป็นราชาเทวทูตเช่นกัน!
และวิญญาณมารตนนั้น ภายใต้พลังของยันต์โจรปล้นดวง ถูกส่งเข้าไปในโลกแห่งความตายโดยมิอาจต่อต้าน!
ตาแก่อาจมีระดับสูงกว่าที่เราคิด… ไม่สิ… ก่อนที่เรากับมาดามดาลีย์จะไปถึง วิญญาณมารตนนั้นอาจทำให้ถูกอ่อนแอลงโดยอาดัม หรือแม้กระทั่งมิสเตอร์ฟูล ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่ศัตรูที่เราจะรับมือไหว… ว่าแต่อาดัมทำอะไรในการต่อสู้บ้าง? เราแทบไม่เห็นท่านเลย… หรือว่าจะมีอีกหนึ่งตัวตนที่เก่งกาจทัดเทียมราชาเทวทูต คอยตรึงอาดัมเอาไว้? เลียวนาร์ดผุดความคิดมากมายจนลืมสังเกตอากัปกิริยาของสมาชิกที่เหลือ
เทวทูตสงคราม… กลายเป็นวิญญาณมารหลังจากร่วงหล่น… แบนชีคือเมืองที่ทายาทของมันอาศัยอยู่… เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกุหลาบไถ่บาป… อัลเจอร์เชื่อมต่อข้อมูลอย่างรวดเร็ว เข้าใจหลายสิ่งในพริบตา
จิตรกรรมฝาผนังที่เราเห็นในท่าเรือแบนชี ในสำนักงานโทรเลข จะต้องเป็นฝีมือวิญญาณมารตนนี้แน่!
เกอร์มัน·สแปร์โรว์วานให้เราไปสำรวจแบนชีเพื่อค้นหาร่องรอย เพื่อที่จะวางแผนจับวิญญาณมารโดยไม่ให้ถูกขัดขวางล่วงหน้า
โชคดีที่เราไม่ได้ทำลายจิตรกรรมฝาผนัง ไม่อย่างนั้นคงถูกวิญญาณมารสังเกตเห็น…
ขณะอัลเจอร์โล่งใจ มันเพิ่มความระมัดระวัง เตรียมแล่นโทสะสีครามออกจากท่าเรือแบนชี หักหัวเรือขึ้นไปทางทิศเหนือของทะเลโซเนีย สืบส่วนเรื่องอื่นที่เดอะเวิร์ลมอบหมายไว้ก่อนหน้า
สมาชิกคนอื่นๆ อย่างออเดรย์ แคทลียา ต่างตั้งใจฟังและบันทึกในสมอง แต่มิได้เชื่อมต่อกับสิ่งใดมากนัก เพราะข้อมูลดังกล่าวเต็มไปด้วยความสำคัญและเข้มข้น ซึ่งพวกตนยังขาดประสบการณ์และความรู้ในขอบเขตดังกล่าว มิอาจคิดต่อยอดเพิ่มเติม
หลังจากแจ้งข่าวสารที่ทุกคนควรทราบ เดอะเวิร์ลหัวเราะในลำคอและกล่าว
“เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้”
หลังจากความเงียบปกคลุมระยะสั้น ‘เดอะมูน’ เอ็มลินเหยียดหลังตรง มองไปข้างหน้าและพูด
“คนใหญ่คนโตของเผ่าพันธุ์กำลังจะมาถึงเบ็คลันด์ ท่านต้องการพบกับข้า”
เว้นวรรคสักพัก เมื่อเห็นสมาชิกคนอื่นไม่ตอบสนอง มันกระแอมแห้งในลำคอ
“ข้าควรทำยังไงกับท่าน?”
ท่าน… เทวทูตอีกแล้ว… เลียวนาร์ดตัวชาไปสักพัก ก่อนจะพบความผิดปรกติในคำพูด: มิสเตอร์มูนพูดถึง ‘เผ่าพันธุ์’ … แถมเขายังมีดวงตาสีแดง…
เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย ในใจเริ่มคาดเดา
ผีดูดเลือด?
ผีดูดเลือด… อย่าบอกนะว่า ชายคนนี้คือเอ็มลิน·ไวท์แห่งวิหารฤดูเก็บเกี่ยว? ไม่ผิดแน่ เขาสนิทกับไคลน์ที่ใช้ตัวตนนักสืบชื่อดัง!
เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะมองใบหน้าด้านข้างของเดอะมูน ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งคุ้นเคย จนเกิดเป็นความมั่นใจ
แน่นอนว่า เอ็มลินสังเกตเห็นการจ้องมองของเดอะสตาร์ เช่นเดียวกันกับออเดรย์ที่เริ่มตื่นเต้นเมื่อพบว่า เดอะสตาร์อาจรู้จักกับเดอะมูนในโลกความจริง
เราพูดอะไรผิดงั้นหรือ? ชายคนนี้ดูตกใจแปลกๆ … เขารู้จักกับเราบนโลกความจริง? แล้วเรารู้จักเข้าไหม? ชุดความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน จิตใต้สำนึกอยากใช้จมูกสูดดมกลิ่นตัวสมาชิกใหม่เก้าอี้ติดกัน แต่น่าเสียดายที่สายหมอกได้ขัดขวางเรื่องนั้น
มันมองไปรอบตัว รอฟังบทวิเคราะห์และคำแนะนำจากเฮอร์มิท เดอะเวิร์ล และแฮงแมน โดยขณะเดียวกันก็พยายามนึกทบทวนว่าเดอะสตาร์เป็นใคร
ผ่านไปสักพัก มันเริ่มเกิดความคุ้นเคยเล็กๆ แต่ก็ยังนึกไม่ออก
ทันใดนั้น ออเดรย์พบอีกหนึ่งปัญหา
มิสเตอร์เวิร์ลรู้จักมิสเตอร์สตาร์… มิสเตอร์สตาร์รู้จักมิสเตอร์มูน… ถ้าอย่างนั้น มิสเตอร์เวิร์ลก็น่าจะรู้จักมิสเตอร์มูนเช่นกัน…
เธอมองไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวฝั่งที่อยู่ต่ำกว่า แต่ก็มิอาจรวบรวมข้อมูลได้จากอากัปกิริยาของเดอะเวิร์ล
ในส่วนของอัลเจอร์ มันมองหน้าเดอะมูน ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“มิสเตอร์ฟูลเพิ่งระบุว่า กระแสเวลากำลังจะเปลี่ยนผัน… ถึงแม้คนใหญ่คนโตของผีดูดเลือดจะไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว แต่พวกเขาก็น่าจะสัมผัสบางสิ่งได้อย่างผิวเผิน… คนใหญ่คนโตที่ว่าน่าจะสนใจในตัวคุณ รวมถึงต้องการจับตามองคุณ… ไม่ต้องห่วง ทำตัวไปตามปรกติ อาจมีการทดสอบเล็กๆ จากพวกเขาหลังจากนี้”
ตรงกับที่เราคิด… อาจมีการทดสอบที่สองและภารกิจตามมา คราวนี้เราไม่ทราบว่าท่านบรรพบุรุษได้มอบวิวรณ์ใดให้พวกเขา… เอ็มลินพยักหน้ารับ กล่าวกับแฮงแมน
“ขอบคุณ”
เมื่อได้เห็นการถามตอบ ฟอร์สที่อดทนเก็บงำมานาน ตัดสินใจเปิดปาก
“มิสเตอร์มูน เกี่ยวกับปราสาทร้างในป่า ข้อมูลที่คุณให้มานั้นมีปัญหา… จริงอยู่ที่ในห้องใต้ดินของปราสาทมีวิญญาณอาฆาตโบราณสองตนอาศัยอยู่ แต่ในห้องเดียวกันยังประตูทองแดงบานหนึ่ง หลังประตูมีพลังลึกลับบางอย่างถูกผนึกเอาไว้ ใครก็ตามที่เข้าไปใกล้จะถูกกัดกร่อน”
อะไรนะ… เอ็มลินขมวดคิ้วเล็กน้อย
มันมิได้โกรธเคือง แถมยังมองว่าคำอธิบายของเมจิกเชี่ยนค่อนข้างสมเหตุสมผล
ถ้าคนให้ข่าวอย่างตนรู้เรื่องวิญญาณมาร ก็ควรต้องรู้เรื่องประตูที่อยู่ในห้องเดียวกันด้วย! แล้วทำไมไม่ตักเตือนให้ทราบถึงอันตราย?
ในฐานะตระกูลผีดูดเลือดผู้สูงส่ง เอ็มลินไม่ต้องการให้ใครเดือดร้อนเพราะความผิดพลาดของตน ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ
“ข้าจะตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลให้ ได้ความคืบหน้ายังไงจะนำมาแจ้ง”
เนื่องจากฟอร์สกลับมาอย่างปลอดภัย เธอจึงไม่ถือสานัก เพียงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และรอฟังผลลัพธ์ในอนาคต
สำหรับความช่วยเหลือของมิสเตอร์ฟูล เนื่องจากเธอได้รับมันแทบทุกเดือน หรือบางเดือนก็สองหน จนตอนนี้ไม่อยากจะนับแล้ว เพียงคิดว่าในอนาคต หากมิสเตอร์ฟูลสั่งให้ทำอะไรก็คงต้องยอม
ขณะการสนทนากำลังดำเนินไป ‘จัสติส’ ออเดรย์เผยความกังวล ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คุณพอจะทราบต้นตอของพลังกัดกร่อนไหม?”
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สส่ายหน้า
“ไม่ทราบ”
เมื่อเห็นว่ามิสเตอร์ฟูลไม่คิดจะอธิบาย และเนื่องจากตนไม่มีไดอารีจักรพรรดิโรซายล์มาแลกกับข้อมูลของไพ่เย้ยเทพใบใหม่ ออเดรย์ถอนสายตากลับ เปลี่ยนไปอยู่ในโหมดผู้ชมที่เอาแต่ฟังและดู
ผ่านไปสักพัก เมื่อคาบเรียนจบลง ชุมนุมทาโรต์เองก็ใกล้ถึงคราวยุติ สมาชิกทุกคนยืนขึ้นและทำความเคารพบุคคลบนหัวโต๊ะทองแดงยาว
ในคราวนี้ เลียวนาร์ดไม่ช้ากว่าคนอื่น
เมื่อแสงสีแดงเข้มจางหายและมันพบว่าตัวเองถูกส่งกลับโลกความจริง เลียวนาร์ดชำเลืองเห็นถุงมือสีแดงตรงหน้าซึ่งยังไม่ถูกหยิบมาสวม
ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นใจใน
“เจ้าไปเข้าฝันใครมาอีก?”
ตาแก่ตื่นแล้ว… เลียวนาร์ดมีความสุขในตอนต้น ก่อนจะกลายเป็นความโลกใจ
มันยังไม่ตอบคำถามของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ทันที แต่ครุ่นคิดสักพักก่อนเปิดปากถาม
“ขอถามหน่อยว่า มีโอกาสเป็นไปได้ไหมที่ดอน·ดันเตสคืออะซิก·อายเกสปลอมตัวมาด้วยสมบัติวิเศษบางชนิด?”
หลังจากได้ทราบว่าดอน·ดันเตสเป็นตัวตนร่วม มันเริ่มเคลือบแคลงในทฤษฎีของตาแก่ เพราะปรสิตตนนี้เคยยืนกรานว่า อะซิก·อายเกสมีออร่าที่แตกต่างจากดอน·ดันเตสโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางเป็นคนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ข้ารับใช้ของเดอะฟูลนั้นมีหลายคน และไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยู่บนเส้นทางนักทำนาย และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีหน้าตาเหมือนดอน·ดันเตส หากคิดในมุมมองของตัวตนร่วม คนเหล่านั้นย่อมต้องพึ่งพาพลังของสมบัติปิดผนึกหรือสมบัติวิเศษบางชิ้น ผนวกกับออร่าโบราณที่มิสเตอร์ฟูลอวยพร ส่งผลให้แม้แต่เทวทูตก็เข้าใจผิด
สองวินาทีแห่งความเงียบงันผ่านไป พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบ
“ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้… ข้าเพิ่งนึกได้ว่า อะซิก·อายเกสมีหน้ากากที่ช่วยให้ปลอมตัวเป็นใครก็ได้”
ราชันเร้นลับ 963: ข้อมูลมีปัญหา
เท่าที่เลียวนาร์ดทราบ ในหมู่ขุนนางระดับสูงของจักรวรรดิทูดอร์แห่งยุคสมัยที่สี่ ตระกูลอับราฮัมถือเป็นแถวหน้าอย่างแท้จริง ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าตระกูล ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์เสียอีก แน่นอน มันยังไม่มั่นใจว่าตระกูลอามุนด์มีสมาชิกอยู่เท่าไรกันแน่ บางทีอาจมีบุตรแห่งเทพเป็นสมาชิกเพียงคนเดียว โดยที่เหลือเป็นแค่ร่างโคลน
มิสเมจิกเชี่ยนเป็นคนสำคัญของตระกูลอับราฮัม… ทุกคนที่นี่ล้วนไม่ธรรมดา… เป็นชุมนุมลับที่รวมตัวเอกของโลกเอาไว้? เลียวนาร์ดถอนหายใจในตอนต้น ก่อนจะรำพันจิกกัดตัวเอง
‘เดอะซัน’ เดอร์ริคมิได้เปล่ากล่าวคำใด ไม่เชื่อมต่อสิ่งใดในหัว เพียงบันทึกสิ่งที่เดอะเวิร์ลพูด รวมถึงบทสนทนาของสองสาวไว้ในใจ
สำหรับมัน สมาชิกคนอื่นอาศัยอยู่บนโลกภายนอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับตนและเมืองเงินพิสุทธิ์ มีเพียงประเด็นราชาเทวทูตเท่านั้นที่น่าสนใจ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นเทวทูตโชคชะตา เทวทูตมืด หรือเทวทูตสีชาด ล้วนเคยทิ้งร่องรอยไว้รอบๆ เมืองเงินพิสุทธิ์ แถมยังเคยเผชิญหน้ากับเทวทูตกาลเวลาเป็นการส่วนตัว ก่อเกิดเป็นความหวาดกลัวที่มิอาจพรรณนา
รอจนกระทั่งทุกคนเงียบ เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในบางประเด็น
ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้… แล้วเราจะเล่าให้ท่านเจ้าเมืองฟังได้ยังไง? จริงสิ ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็ได้… แค่บอกว่าเป็นพี่ชายของอามุนด์ เป็นบุตรแห่งพระผู้สร้าง เป็นผู้วิเศษเส้นทางเดียวกับมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล…
และถ้าเราเผชิญภัยพิบัติที่มิอาจต้านทาน การเอ่ยชื่ออาดัม จะทำให้ท่านล่วงรู้ไหม? และเดินทางมายังดินแดนเทพทอดทิ้งได้ไหม?
คิดถึงตรงนี้ เดอร์ริคเกิดความละอายใจ เพราะต่อให้เมืองเงินพิสุทธิ์เผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้าย ชื่อที่มันควรเอ่ยถึงคือเดอะฟูลมากกว่า
ทันใดนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์กล่าวอีกครั้ง
“แม้ว่าเทวทูตสงคราม เมดีซีจะร่วงหล่นไปนานแล้ว แต่ก็มิได้หายไปโดยสมบูรณ์ วิญญาณที่หลงเหลือผสานเข้ากับวิญญาณของเซารอนและไอน์ฮอร์น กลายเป็นวิญญาณมาร… ผมพบร่องรอยของมันเหตุการณ์สังหารอินซ์·แซงวิลล์”
ไคลน์จงใจนำเรื่องนี้ออกมาเล่า ในแง่หนึ่งเพื่อเตือนเลียวนาร์ดที่เป็นคนแจ้งข้อมูลให้โบสถ์รัตติกาล ในอีกแง่หนึ่งเพื่อเตือนแฮงแมน เพราะชายคนนี้เคยเดินไปทางที่แบนชีถึงสองครั้ง อาจเกี่ยวข้องในเชิงชะตากรรมกับวิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’
วิญญาณมารตนนั้นคือเทวทูตสงคราม เมดีซี? เลียวนาร์ดทั้งตกใจและไม่ตกใจ เพราะมันเพิ่งคาดเดาไปว่า บุคคลระดับสูงที่เข้าร่วมเหตุการณ์ไม่น่าจะมีแค่อาดัม!
จากนั้น มันเริ่มเปรียบเทียมสมญานามระหว่างเทวทูตจินตภาพกับเทวทูตสงคราม และเริ่มสงสัยว่ารายหลังเองก็อาจเคยเป็นราชาเทวทูตเช่นกัน!
และวิญญาณมารตนนั้น ภายใต้พลังของยันต์โจรปล้นดวง ถูกส่งเข้าไปในโลกแห่งความตายโดยมิอาจต่อต้าน!
ตาแก่อาจมีระดับสูงกว่าที่เราคิด… ไม่สิ… ก่อนที่เรากับมาดามดาลีย์จะไปถึง วิญญาณมารตนนั้นอาจทำให้ถูกอ่อนแอลงโดยอาดัม หรือแม้กระทั่งมิสเตอร์ฟูล ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่ศัตรูที่เราจะรับมือไหว… ว่าแต่อาดัมทำอะไรในการต่อสู้บ้าง? เราแทบไม่เห็นท่านเลย… หรือว่าจะมีอีกหนึ่งตัวตนที่เก่งกาจทัดเทียมราชาเทวทูต คอยตรึงอาดัมเอาไว้? เลียวนาร์ดผุดความคิดมากมายจนลืมสังเกตอากัปกิริยาของสมาชิกที่เหลือ
เทวทูตสงคราม… กลายเป็นวิญญาณมารหลังจากร่วงหล่น… แบนชีคือเมืองที่ทายาทของมันอาศัยอยู่… เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกุหลาบไถ่บาป… อัลเจอร์เชื่อมต่อข้อมูลอย่างรวดเร็ว เข้าใจหลายสิ่งในพริบตา
จิตรกรรมฝาผนังที่เราเห็นในท่าเรือแบนชี ในสำนักงานโทรเลข จะต้องเป็นฝีมือวิญญาณมารตนนี้แน่!
เกอร์มัน·สแปร์โรว์วานให้เราไปสำรวจแบนชีเพื่อค้นหาร่องรอย เพื่อที่จะวางแผนจับวิญญาณมารโดยไม่ให้ถูกขัดขวางล่วงหน้า
โชคดีที่เราไม่ได้ทำลายจิตรกรรมฝาผนัง ไม่อย่างนั้นคงถูกวิญญาณมารสังเกตเห็น…
ขณะอัลเจอร์โล่งใจ มันเพิ่มความระมัดระวัง เตรียมแล่นโทสะสีครามออกจากท่าเรือแบนชี หักหัวเรือขึ้นไปทางทิศเหนือของทะเลโซเนีย สืบส่วนเรื่องอื่นที่เดอะเวิร์ลมอบหมายไว้ก่อนหน้า
สมาชิกคนอื่นๆ อย่างออเดรย์ แคทลียา ต่างตั้งใจฟังและบันทึกในสมอง แต่มิได้เชื่อมต่อกับสิ่งใดมากนัก เพราะข้อมูลดังกล่าวเต็มไปด้วยความสำคัญและเข้มข้น ซึ่งพวกตนยังขาดประสบการณ์และความรู้ในขอบเขตดังกล่าว มิอาจคิดต่อยอดเพิ่มเติม
หลังจากแจ้งข่าวสารที่ทุกคนควรทราบ เดอะเวิร์ลหัวเราะในลำคอและกล่าว
“เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้”
หลังจากความเงียบปกคลุมระยะสั้น ‘เดอะมูน’ เอ็มลินเหยียดหลังตรง มองไปข้างหน้าและพูด
“คนใหญ่คนโตของเผ่าพันธุ์กำลังจะมาถึงเบ็คลันด์ ท่านต้องการพบกับข้า”
เว้นวรรคสักพัก เมื่อเห็นสมาชิกคนอื่นไม่ตอบสนอง มันกระแอมแห้งในลำคอ
“ข้าควรทำยังไงกับท่าน?”
ท่าน… เทวทูตอีกแล้ว… เลียวนาร์ดตัวชาไปสักพัก ก่อนจะพบความผิดปรกติในคำพูด: มิสเตอร์มูนพูดถึง ‘เผ่าพันธุ์’ … แถมเขายังมีดวงตาสีแดง…
เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย ในใจเริ่มคาดเดา
ผีดูดเลือด?
ผีดูดเลือด… อย่าบอกนะว่า ชายคนนี้คือเอ็มลิน·ไวท์แห่งวิหารฤดูเก็บเกี่ยว? ไม่ผิดแน่ เขาสนิทกับไคลน์ที่ใช้ตัวตนนักสืบชื่อดัง!
เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะมองใบหน้าด้านข้างของเดอะมูน ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งคุ้นเคย จนเกิดเป็นความมั่นใจ
แน่นอนว่า เอ็มลินสังเกตเห็นการจ้องมองของเดอะสตาร์ เช่นเดียวกันกับออเดรย์ที่เริ่มตื่นเต้นเมื่อพบว่า เดอะสตาร์อาจรู้จักกับเดอะมูนในโลกความจริง
เราพูดอะไรผิดงั้นหรือ? ชายคนนี้ดูตกใจแปลกๆ … เขารู้จักกับเราบนโลกความจริง? แล้วเรารู้จักเข้าไหม? ชุดความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน จิตใต้สำนึกอยากใช้จมูกสูดดมกลิ่นตัวสมาชิกใหม่เก้าอี้ติดกัน แต่น่าเสียดายที่สายหมอกได้ขัดขวางเรื่องนั้น
มันมองไปรอบตัว รอฟังบทวิเคราะห์และคำแนะนำจากเฮอร์มิท เดอะเวิร์ล และแฮงแมน โดยขณะเดียวกันก็พยายามนึกทบทวนว่าเดอะสตาร์เป็นใคร
ผ่านไปสักพัก มันเริ่มเกิดความคุ้นเคยเล็กๆ แต่ก็ยังนึกไม่ออก
ทันใดนั้น ออเดรย์พบอีกหนึ่งปัญหา
มิสเตอร์เวิร์ลรู้จักมิสเตอร์สตาร์… มิสเตอร์สตาร์รู้จักมิสเตอร์มูน… ถ้าอย่างนั้น มิสเตอร์เวิร์ลก็น่าจะรู้จักมิสเตอร์มูนเช่นกัน…
เธอมองไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวฝั่งที่อยู่ต่ำกว่า แต่ก็มิอาจรวบรวมข้อมูลได้จากอากัปกิริยาของเดอะเวิร์ล
ในส่วนของอัลเจอร์ มันมองหน้าเดอะมูน ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“มิสเตอร์ฟูลเพิ่งระบุว่า กระแสเวลากำลังจะเปลี่ยนผัน… ถึงแม้คนใหญ่คนโตของผีดูดเลือดจะไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว แต่พวกเขาก็น่าจะสัมผัสบางสิ่งได้อย่างผิวเผิน… คนใหญ่คนโตที่ว่าน่าจะสนใจในตัวคุณ รวมถึงต้องการจับตามองคุณ… ไม่ต้องห่วง ทำตัวไปตามปรกติ อาจมีการทดสอบเล็กๆ จากพวกเขาหลังจากนี้”
ตรงกับที่เราคิด… อาจมีการทดสอบที่สองและภารกิจตามมา คราวนี้เราไม่ทราบว่าท่านบรรพบุรุษได้มอบวิวรณ์ใดให้พวกเขา… เอ็มลินพยักหน้ารับ กล่าวกับแฮงแมน
“ขอบคุณ”
เมื่อได้เห็นการถามตอบ ฟอร์สที่อดทนเก็บงำมานาน ตัดสินใจเปิดปาก
“มิสเตอร์มูน เกี่ยวกับปราสาทร้างในป่า ข้อมูลที่คุณให้มานั้นมีปัญหา… จริงอยู่ที่ในห้องใต้ดินของปราสาทมีวิญญาณอาฆาตโบราณสองตนอาศัยอยู่ แต่ในห้องเดียวกันยังประตูทองแดงบานหนึ่ง หลังประตูมีพลังลึกลับบางอย่างถูกผนึกเอาไว้ ใครก็ตามที่เข้าไปใกล้จะถูกกัดกร่อน”
อะไรนะ… เอ็มลินขมวดคิ้วเล็กน้อย
มันมิได้โกรธเคือง แถมยังมองว่าคำอธิบายของเมจิกเชี่ยนค่อนข้างสมเหตุสมผล
ถ้าคนให้ข่าวอย่างตนรู้เรื่องวิญญาณมาร ก็ควรต้องรู้เรื่องประตูที่อยู่ในห้องเดียวกันด้วย! แล้วทำไมไม่ตักเตือนให้ทราบถึงอันตราย?
ในฐานะตระกูลผีดูดเลือดผู้สูงส่ง เอ็มลินไม่ต้องการให้ใครเดือดร้อนเพราะความผิดพลาดของตน ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ
“ข้าจะตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลให้ ได้ความคืบหน้ายังไงจะนำมาแจ้ง”
เนื่องจากฟอร์สกลับมาอย่างปลอดภัย เธอจึงไม่ถือสานัก เพียงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และรอฟังผลลัพธ์ในอนาคต
สำหรับความช่วยเหลือของมิสเตอร์ฟูล เนื่องจากเธอได้รับมันแทบทุกเดือน หรือบางเดือนก็สองหน จนตอนนี้ไม่อยากจะนับแล้ว เพียงคิดว่าในอนาคต หากมิสเตอร์ฟูลสั่งให้ทำอะไรก็คงต้องยอม
ขณะการสนทนากำลังดำเนินไป ‘จัสติส’ ออเดรย์เผยความกังวล ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คุณพอจะทราบต้นตอของพลังกัดกร่อนไหม?”
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สส่ายหน้า
“ไม่ทราบ”
เมื่อเห็นว่ามิสเตอร์ฟูลไม่คิดจะอธิบาย และเนื่องจากตนไม่มีไดอารีจักรพรรดิโรซายล์มาแลกกับข้อมูลของไพ่เย้ยเทพใบใหม่ ออเดรย์ถอนสายตากลับ เปลี่ยนไปอยู่ในโหมดผู้ชมที่เอาแต่ฟังและดู
ผ่านไปสักพัก เมื่อคาบเรียนจบลง ชุมนุมทาโรต์เองก็ใกล้ถึงคราวยุติ สมาชิกทุกคนยืนขึ้นและทำความเคารพบุคคลบนหัวโต๊ะทองแดงยาว
ในคราวนี้ เลียวนาร์ดไม่ช้ากว่าคนอื่น
เมื่อแสงสีแดงเข้มจางหายและมันพบว่าตัวเองถูกส่งกลับโลกความจริง เลียวนาร์ดชำเลืองเห็นถุงมือสีแดงตรงหน้าซึ่งยังไม่ถูกหยิบมาสวม
ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นใจใน
“เจ้าไปเข้าฝันใครมาอีก?”
ตาแก่ตื่นแล้ว… เลียวนาร์ดมีความสุขในตอนต้น ก่อนจะกลายเป็นความโลกใจ
มันยังไม่ตอบคำถามของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ทันที แต่ครุ่นคิดสักพักก่อนเปิดปากถาม
“ขอถามหน่อยว่า มีโอกาสเป็นไปได้ไหมที่ดอน·ดันเตสคืออะซิก·อายเกสปลอมตัวมาด้วยสมบัติวิเศษบางชนิด?”
หลังจากได้ทราบว่าดอน·ดันเตสเป็นตัวตนร่วม มันเริ่มเคลือบแคลงในทฤษฎีของตาแก่ เพราะปรสิตตนนี้เคยยืนกรานว่า อะซิก·อายเกสมีออร่าที่แตกต่างจากดอน·ดันเตสโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางเป็นคนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ข้ารับใช้ของเดอะฟูลนั้นมีหลายคน และไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยู่บนเส้นทางนักทำนาย และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีหน้าตาเหมือนดอน·ดันเตส หากคิดในมุมมองของตัวตนร่วม คนเหล่านั้นย่อมต้องพึ่งพาพลังของสมบัติปิดผนึกหรือสมบัติวิเศษบางชิ้น ผนวกกับออร่าโบราณที่มิสเตอร์ฟูลอวยพร ส่งผลให้แม้แต่เทวทูตก็เข้าใจผิด
สองวินาทีแห่งความเงียบงันผ่านไป พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบ
“ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้… ข้าเพิ่งนึกได้ว่า อะซิก·อายเกสมีหน้ากากที่ช่วยให้ปลอมตัวเป็นใครก็ได้”
ราชันเร้นลับ 964 : สาเหตุการตายของเมดีซี
อย่างที่คิด… หลังจากยืนยันสมมติฐาน เลียวนาร์ดไม่สานต่อบทสนทนา เลือกจะกลับไปที่หัวข้อแรก
“ตาแก่ คุณถามใช่ไหมว่าผมเข้าฝันของใคร… อา… ในวันที่พวกเราแก้แค้นอินซ์·แซงวิลล์ ราชาเทวทูตที่เป็นพี่ชายของอามุนด์ได้ปรากฏตัว”
ภายในใจ เสียงค่อนข้างชรามิได้ตอบทันที แต่เงียบไปหลายวินาทีก่อนจะถอนหายใจ
“อย่าที่คิด… เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ 0-08 มักดึงดูดอาดัมเข้ามาหา… โชคดีที่ข้าหลับลึกไปก่อน”
เลียวนาร์ดไม่มีเวลาพอจะทำความเข้าใจประโยคที่อีกฝ่ายกล่าว เพียงพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ตาแก่… นี่คุณ… กล้าเอ่ยนาม… ของท่าน?”
การเฝ้ามองของอาดัมกำลังจะมาถึง หรืออาจจะถึงแล้ว!
เสียงที่ค่อนข้างชราหัวเราะ
“หืม… รู้ถึงคุณสมบัติของอาดัมด้วยสินะ… แต่ข้าสามารถเอ่ยได้โดยไม่เป็นปัญหา เพราะท่านจะคิดว่าผู้อื่นเป็นคนเอ่ยถึง อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ควรรู้จักท่านมากเกินไป เพราะนั่นจะทำให้เอาแต่คิดถึงท่าน ยามใดที่เข้าใกล้อีกฝ่าย อาดัมจะตระหนักถึงเจ้า คุณสมบัตินี้เหมือนกับ 0-08 แต่สมบัติปิดผนึกจะมีขอบเขตการแสดงพลังเทียบเท่าเมืองใหญ่ ส่วนอาดัมนั้นทั่วโลก”
น่ากลัวไม่ต่างจากอามุนด์… เป็นความสยองขวัญในอีกรูปแบบหนึ่ง… เลียวนาร์ดรวบรวมสติ บังคับตัวเองมิให้คิดถึงอาดัม หันกลับไปทบทวนสิ่งที่พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวไปเมื่อครู่
ทันใดนั้น มันเกือบจะหลุดโพล่งออกมาโดยไม่หรี่เสียง
“ตาแก่… คุณมิได้หลับลึกเพราะอ่อนเพลีย แต่เป็นเพราะกลัวการเผชิญหน้ากับพี่ชายอามุนด์?”
“แฮ่ม” พาลีสล้างคอ “ก็ทั้งสองอย่าง ปัจจัยทั้งสองข้อมิได้ขัดแย้งกันสักหน่อย หลังจากข้ามอบหนอนกาลเวลาให้สองตัว สภาพปัจจุบันของข้าก็แย่ลง ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หากลงมือ ข้าคงไม่มีทางปกปิดตัวเองต่อหน้าราชาเทวทูต… ข้าแก่แล้ว แขนขาไม่ค่อยมีแรง การต่อสู้ใดที่ไม่จำเป็น ข้าก็ต้องซ่อนตัว”
เลียวนาร์ดมิอาจหาคำมาโต้แย้ง กล่าวหลังจากเงียบไปสักพัก
“อามุนด์และพี่ชายน่าจะอายุมากกว่าคุณหลายเท่า… เทพสุริยันบรรพกาลดำรงตนมาตั้งแต่ยุคก่อนมหาภัยพิบัติ…”
โดยไม่รอให้พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบ มันถอนหายใจผ่อนคลาย
“สรุปโดยสั้น… เป็นเพราะคุณหลับลึกและผนึกตัวเอง ราชาเทวทูตจึงไม่พบความผิดปรกติในตัวผม?”
พาลีสหัวเราะในลำคอ
“ไม่… ข้าถูกพบ”
“…” สีหน้าเลียวนาร์ดพลันว่างเปล่า อดใจไม่ให้มองไปรอบๆ ตัว
มันกำลังสงสัยว่า ตอนนี้อาดัมอาจแอบนั่งตรงมุมห้อง ฟังบทสนทนาระหว่างตนกับตาแก่อย่างเงียบงัน
พาลีสเสริม
“เจ้าอยู่ใกล้กับท่านเกินไป… เจ้าคิดว่าสามารถซ่อนความคิดของตัวเอง จากราชาเทวทูตที่ปรองดองเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ชมได้หรือ? นอกจากนั้น เจ้ายังเอาแต่ตะโกนว่า ‘ตาแก่’ อย่างเสียมารยาทในช่วงเวลาแสนวิกฤติ”
เลียวนาร์ดเผยสีหน้างุนงง ตอบตามจิตใต้สำนึก
“ค…คุณได้ยิน?”
มันเริ่มสงสัยว่าชายชราอาจได้ยิน แต่แสร้งทำเป็นไม่ตอบสนอง ด้วยเกรงว่าอาดัมจะรู้ตัว
“เปล่า” พาลีสถอนหายใจเล็กน้อย กล่าวต่อเชิงติดตลก “ข้าไม่จำเป็นต้องเห็นหรือได้ยินก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าจะทำอะไร… คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นคนยังไง?”
เลียวนาร์ดพลันกระอักกระอ่วน กล่าวต่อ
“อาดัมทราบว่าเจ้าเป็นโฮสต์ให้ปรสิต แต่เนื่องจากข้าหลับลึกและผนึกตัวเอง อีกฝ่ายจึงไม่ทราบว่าใครเป็นปรสิตในร่าง… ครึ่งเทพที่สามารถตรวจสอบได้มีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน”
แบบนี้นี่เอง… เลียวนาร์ดโล่งใจ เพราะสิ่งที่มันกังวลที่สุดก็คือ อาดัมมองเห็นตาแก่และกลับไปบอกให้ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ทราบ
คิดถึงตรงนี้ เลียวนาร์ดถามในสิ่งที่คาใจ
“ตาแก่ ราชาเทวทูตคืออะไร?”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ไม่ได้ถามว่าเลียวนาร์ดไปได้ยินมาจากไหน
“มากกว่าลำดับ 1 แต่ยังไม่ใช่เทพ… หากกล่าวถึงแปดราชาเทวทูต นอกจากคำนิยามเมื่อครู่ ยังรวมถึงการเคยรับใช้เทพสุริยันบรรพกาลก่อนมหาภัยพิบัติ”
สูงกว่าลำดับ 1 แต่ยังไม่เป็นเทพ? ต้องทำยังไงถึงจะได้มา? ปรองดองกับเอกลักษณ์? เลียวนาร์ดคิดจะถามเพิ่มเติม แต่เชื่อว่าตาแก่คงไม่ยอมอธิบายในเชิงลึก จึงเตรียมถามคำถามอื่น จากนั้นค่อยวกกลับมาในภายหลัง
ครุ่นคิดสักพัก มันหรี่เสียงถาม
“ระหว่างการต่อสู้กับอินซ์·แซงวิลล์ ผมประสบปัญหาใหญ่ ไม่สามารถจ้องมองศัตรูได้โดยตรง จึงมิอาจใช้ยันต์โจรปล้นดวง… เมื่อขอความช่วยเหลือจากคุณไม่ได้ ผมจึงเลือกจะเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูล… และได้รับการตอบสนอง… หลังจากทุกสิ่งจบลง ผมรู้สึกราวกับถูกดึงไปอยู่ในความฝัน รอบตัวเป็นพระราชวังโบราณ ด้านล่างเป็นสายหมอกไร้ขอบเขต”
โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดกล่าวจบ พาลีสที่เงียบมาสักพัก ชิงพูดแทรก
“เจ้าได้พบกับเดอะฟูล?”
“ถูกต้อง ออร่าของเรากว้างใหญ่ยิ่งกว่ามหาสมุทร สูงตระหง่านยิ่งกว่าขุนเขา… ร่างกายถูกปกคลุมด้วยสายหมอกสีเทา ยากจะเห็นอย่างชัดเจน” เลียวนาร์ดสาธยายเป็นกวี “ท่านก่อตั้งองค์กรและจัดการชุมนุมขึ้นทุกบ่ายวันจันทร์… เป็นสภาอันศักดิ์สิทธิ์… ผมกลายเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว”
พาลีสเงียบไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่กล่าวคำใดเป็นเวลานาน จนกระทั่งส่งเสียง
“เดอะฟูลอนุญาตให้เจ้าบอกข้า?”
“ใช่” เลียวนาร์ดนั่งพยักหน้าตามลำพัง หรี่เสียงลง “ตาแก่ คุณรู้จักท่านไหม”
พาลีสถอนหายใจ
“ไม่รู้จัก แต่พอจะเดาต้นกำเนิดของเขาได้… เจ้าไม่ต้องถาม เพราะข้าจะไม่บอก… หึหึ นี่ถือเป็นโอกาสอันดีของเจ้า ไม่อย่างนั้น การเป็นครึ่งเทพคงเกิดขึ้นได้ยาก”
เลียวนาร์ดขยับปาก แต่ปิดกลับไป ไม่กล้าเอ่ยถึงชุมนุมทาโรต์ เพราะมิสเตอร์ฟูลมิได้อนุญาตให้แพร่งพรายข้อมูลอื่นๆ
มันไตร่ตรองสองสามวินาที
“ตาแก่ ยังมีราชาเทวทูตอีกหนึ่งตน… ชื่อเมดีซี… เทวทูตสงคราม?”
พาลีสอืมเบาๆ
“หรืออีกชื่อหนึ่งคือเทวทูตสีชาด… แต่ท่านร่วงหล่นไปนานแล้ว และเจ้าเองก็เคยเข้าใกล้สถานที่ตายของท่าน”
“ที่ไหน?” เลียวนาร์ดประหลาดใจ ไม่มีความทรงจำเลยสักนิด
พาลีสหัวเราะ
“พวกคนของโบสถ์รัตติกาลความจำสั้นกันหมดเลยหรือ? แต่ไม่ยักเห็นว่าเทพธิดาของเจ้าเป็นแบบนั้น… ยังจำซากปรักหักพังใต้ดินในเบ็คลันด์ได้ไหม?”
“จักรวรรดิร่วมทูดอร์-ทรันซอสต์? สถานที่ที่อลิสต้า·ทูดอร์เลื่อนลำดับเป็นจักรพรรดิโลหิต?” เลียวนาร์ดถามด้วยสีหน้าขบคิด
เสียงค่อนข้างชรากล่าวอีกครั้ง
“ถูกต้อง”
เลียวนาร์ดพยายามทำความเข้าใจกับตรรกะที่ซ่อนอยู่ จึงยอมเล่าเรื่องวิญญาณมาร
“…เศษเสี้ยวดวงวิญญาณที่หลงเหลือของเมดีซี ผสานเข้ากับเทวทูตจากเซารอนและไอน์ฮอร์น กลายเป็นวิญญาณมารตนใหม่?” พาลีสทวนคำของเลียวนาร์ดด้วยน้ำเสียงคลางแคลง ก่อนจะกล่าวติดตลก “ทั้งสามล้วนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน แทบจะทนเห็นหน้ากันไม่ได้ แต่กลับต้องอยู่ด้วยกันหลังจากตายไป… นี่มัน… ฮะฮะ! คงน่าสนุกไม่น้อย”
เลียวนาร์ดไม่เข้าใจอารมณ์ขันของอีกฝ่าย ถามตามจิตใต้สำนึก
“พวกเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาต?”
พาลีสหยุดหัวเราะ
“ถูกต้อง… เมดีซีพลาดท่าถูกจับตัวเนื่องจากกำลังรับมือกับบรรพบุรุษของเซารอนที่พลาดท่า ‘ติดกับ’ ของเมดีซี… ใช่ว่าท่านจะไม่เตรียมพร้อมรับมือ แต่ขณะกำลังหันไปสนใจแม่มดบรรพกาล ใครจะไปคิดว่าอลิสต้า·ทูดอร์ดันเกิดเสียสติขึ้นมากะทันหัน… หึหึ… สำหรับเรื่องนี้ อามุนด์กับอาดัมมีบทบาทสำคัญมาก”
วิญญาณมารตนนั้นเป็นศัตรูกับอาดัม… แล้วทำไมจักรพรรดิโลหิตถึงต้องจับเมดีซี และเทวทูตจากเซารอนกับไอน์ฮอร์น? พวกท่านร่วงหล่นในสถานที่เดียวที่อลิสต้า·ทูดอร์เลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิโลหิต… ถูกใช้เป็นวัตถุดิบของพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นเทพ? อา… จากคำบอกเล่าของมิสเตอร์ฟูล หลังจากอาดัมได้ครอบครอง 0-08 ราชาเทวทูตตนนั้นก็เข้าใกล้ความเป็นเทพทันที… นั่นก็เป็นการรวบรวมวัตถุดิบ? อามุนด์พยายามจัดการกับตาแก่ด้วยเหตุผลเดียวกัน? เลียวนาร์ดลองคาดเดา ภายในใจอยากถามออกไป แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปิดเงียบ
มันกลัวว่าตนจะก้าวก่ายมากเกินไป ส่งผลให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาในเชิงลบ
มันเตรียมนำความสงสัยเหล่านี้ขึ้นไปถามในชุมนุมทาโรต์
เงียบงันอยู่สักพัก เลียวนาร์ดจ้องไปทางประตูที่ปิดสนิท หรี่เสียงลง
“มิสเตอร์ฟูลกับทางศาสนจักรร่วมมือกันในระดับหนึ่ง?”
“ถ้าไม่มีใครสืบสวนเจ้าก็ใช่” พาลีสตอบตรงๆ
เลียวนาร์ดพยักหน้าเล็กๆ
“แล้วพวกเขาจะให้ผมทำอะไรต่อ?”
“ให้ทำอะไร? ก็คงมอบคะแนนผลงานจำนวนมาก และเมื่อเจ้าย่อยโอสถสมบูรณ์ พวกเขาก็จะอำนวยความสะดวกในการเลื่อนเป็นลำดับ 5… จากนั้นก็มอบหมายให้คุมหน่วยถุงมือแดง ส่งไปทำภารกิจ หรือไม่ก็ส่งไปประจำการที่วิหารสำคัญอย่างเบ็คลันด์ กลายเป็นอาวุโสที่ต้องรับผิดชอบพื้นที่” พาลีสกล่าวเสียงสบายๆ
กลับเบ็คลันด์… ดูเหมือนว่าไคลน์วางแผนบางอย่างไว้ที่เบ็คลันด์… ความคิดเลียวนาร์ดเริ่มกระจัดกระจาย
มันไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เอนกายพิงกำแพงด้านหลังพร้อมกับสอดมือประสานท้ายทอย นั่งในท่าโปรด
…
กลางดึกสงัด ณ ชายแดนระหว่างไบลัมตะวันออกและตะวันตก ด้านนอกทิวแถวโกดัง
ในชุดสูทสุภาพสีขาว ดอน·ดันเตสถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง ส่งสัญญาณและรหัสผ่านให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ จากนั้นก็ยืนมองอีกฝ่ายเปิดประตูโกดัง
“ทั้งหมดอยู่ข้างใน ตรวจสอบสินค้าเอาเองเลย… แล้วก็ อย่าลืมจ่ายส่วนที่เหลือก่อนจะขนออกไป”
ดอน·ดันเตสพยักหน้ารับ มือเขย่ากระเป๋าเดินทางเล็กน้อย ยืนยันว่าด้านในมีธนบัตรจำนวนห้าพันปอนด์ เป็นเงินมัดจำจากเมซันเญส
ในเวลาเดียวกัน ณ อาคารสามชั้นที่อยู่ถัดไปสองโกดัง คนสองคนกำลังเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบงัน
ราชันเร้นลับ 965 : วิกฤติชั่วขณะ
ณ ชั้นบนสุดของอาคารขนาดเล็ก ชายผมดำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อผ้าสีเข้ม อายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด กำลังมองลงมายังการค้าอาวุธที่ไม่ห่างออกไป อดไม่ได้ที่จะกล่าว
“เขาเข้าหาเมซันเญสได้จริงๆ … โอ้พระองค์วายุสลาตัน! อัลเฟรด ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เราน่าจะทำธุรกิจด้วยตัวเองมากกว่า แม้จะหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดออก แต่ก็ยังกำไรไม่ต่ำกว่าสองหมื่นปอนด์!”
ด้านข้างเป็นชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีดำ อายุราวยี่สิบสาม ดวงตาสีฟ้าราวกับทะเลสาบ ใบหน้าหล่อเหลา
หลังจากได้ยินชื่อ อัลเฟรดส่ายหน้า
“ผิดแล้ว การทำแบบนี้บุ่มบ่ามเกินไป จุดยืนของเมซันเญสยังไม่ชัดเจน อันตรายมากหากจะพูดคุยเกี่ยวกับการค้าอาวุธตรงๆ … ดอน·ดันเตสได้รับเงินสองหมื่นปอนด์เพราะเขากล้าเสี่ยง”
ชายผมน้ำตาลเข้มพ่นลมหายใจ
“อัลเฟรด·ฮอลล์ที่นำคนเพียงหลายสิบบุกเข้าโจมตีกองทัพนับพันของศัตรู กำลังบอกว่าตัวเองไม่กล้าบ้าบิ่นพอที่จะเสี่ยง!”
อัลเฟรดชำเลืองด้วยหางตา
“ปากานี่ เปรียบเทียบแบบนั้นก็ไม่ถูก… เป็นเพราะผมมั่นใจที่ว่าจะบุกทำลายศูนย์บัญชาการของพวกมันสำเร็จและตัดการสั่งการ เมื่อปราศจากผู้นำ ทหารนับพันก็ยังไม่เก่งเท่าหมูพันตัว… นอกจากนั้น ธุรกิจที่เย้ายวนใจครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการขยายช่องทางการปล่อยของ… หากเราเป็นคนลงมือ ใครคราวหน้าจะให้ใครทำ? ครั้งถัดไปอีก? ถ้าเราทำต่อไปเรื่อยๆ สักวันก็ต้องถูกพบตัว และนั่นจะทำให้สถานะทางการทูตมีปัญหา นอกจากนั้น ยิ่งพัวพันกับธุรกิจมากเข้า อาจไปดึงดูดความสนใจของครึ่งเทพที่อันตรายบางตน”
“ฮะฮะ!” ปากานี่หัวเราะ “ครึ่งเทพไม่ได้ว่างมากขนาดนั้นสักหน่อย จะคอยจับตาดูการค้าอาวุธเล็กๆ นี่ได้ยังไง? แต่ละขั้วอำนาจมีครึ่งเทพเพียงหยิบมือ มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ไปทำ”
“ผมทราบ เพียงแค่ยกตัวอย่าง” อัลเฟรดตอบอย่างใจเย็น
ปากานี่ไม่ต่อปากต่อคำ เบือนสายตากลับไปมองดอน·ดันเตสด้านนอกโกดัง
“ได้ยินว่าสุภาพบุรุษรายนี้ใจกว้างมาก… เพิ่งมาอยู่เบ็คลันด์ไม่นาน แต่กลับบริจาคหุ้นมูลค่ากว่าหมื่นปอนด์ให้โบสถ์รัตติกาล… นี่คือการลงทุนเบื้องต้นที่คุณมักจะพูดถึงหรือ? นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะทำงานกับน้องสาวของคุณในกองทุนการกุศล… ชิ! ผู้ชายแบบนี้มักได้รับความสนใจจากหญิงสาว ทั้งอารมณ์สุขุม ฉลาด มากประสบการณ์ และเจ้าเล่ห์… เป็นวัยที่ผ่านสตรีมามากและเตรียมลงหลักปักฐาน อัลเฟรด คุณต้องเตือนออเดรย์ว่าพวกเพลย์บอยไม่มีวันเลิกนิสัยได้ หนุ่มใหญ่ที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ แท้จริงแล้วมีสันดานที่แก้ไม่หายไปชั่วชีวิต ห้ามปล่อยให้อัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดของเบ็คลันด์ถูกคนแบบนี้แย่งชิงไปเด็ดขาด!”
อัลเฟรดชำเลืองปากานี่
“ไม่ต้องเป็นห่วงมากนักหรอก ออเดรย์ไม่ใช่คนโง่ เธอรู้จักโลกมากกว่าที่คุณคิด นอกจากนั้น พ่อกับแม่ของผมยังอยู่ที่เบ็คลันด์ พวกเขามีความสามารถในการยับยั้งสิ่งไม่ดี”
กล่าวถึงตรงนี้ อัลเฟรดมองไปยังคลังอาวุธที่อยู่ไม่ไกล เว้นวรรคสักพักและกล่าว
“เมซันเญสส่งแฮกกิสมาจริงๆ ด้วย… ผมจะแวะไปทักทายเขา”
ทักทายที่ว่า คงไม่ใช่ตอนนี้หรอกใช่ไหม… ยังไม่ทันที่ปากานี่จะได้กล่าวคำใด อัลเฟรดหันหลังและเดินลงบันได
…
ไคลน์ที่กำลังอยู่ในร่างดอน·ดันเตส ไม่ได้มาพร้อมคนรับใช้ มือข้างหนึ่งถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง ยืนเคียงข้างตัวแทนของเมซันเญส แฮกกิส ยืนหน้าโกดังสินค้า เฝ้ามองลังอาวุธที่ถูกยกขึ้นไปบนรถม้า
ถึงตรงนี้ คล้ายกับสัมผัสถึงบางสิ่ง มันหันครึ่งรอบ มองไปยังทิศทางหนึ่ง
ภาพที่สะท้อนในกระจกตาคือชายหนุ่มที่สวมเสื้อกันลม ไม่สวมหมวก ผมสีทองหวีเรียบไปทางด้านหลัง ดวงตาสีฟ้าคล้ายทะเลสาบท่ามกลางท้องฟ้าโปร่ง ผอมสูงและหุ่นดี บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม แม้จะปราศจากทหารรายล้อม แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจข่มขวัญ
“อัลเฟรด!” แฮกกิสที่สังเกตเห็นอีกฝ่าย ส่งเสียงประหลาดใจเล็กๆ
อัลเฟรด… ที่ชายคนที่สองของมิสจัสติส… ความรู้สึกแบบนี้… เส้นทางผู้ตัดสิน… ไคลน์ยกมือขวาขึ้นมาถอดหมวก กดลงบนหน้าอกและคำนับทักทาย
อัลเฟรด·ฮอลล์ทักทายแฮกกิส ก่อนจะมองมาทางดอน·ดันเตส
“ชื่อเสียงของคุณโด่งดังไปทั่วเบ็คลันด์… กระทั่งผมที่อยู่ในไบลัมตะวันออกก็ยังเคยได้ยิน”
ชื่อเสียง? ในการเป็นนักค้าอาวุธ? ไคลน์รำพันพลางหัวเราะ
“ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ”
อัลเฟรดพยักหน้า
“คงไม่ต้องแนะนำตัวใช่ไหม? ผมคิดว่าแฮกกิสน่าจะเล่าไปบ้างแล้ว”
“ใช่… พันเอกฮอลล์” ไคลน์ยิ้มพลางตอบ “ทันทีที่ผมมาถึงก็ได้ทราบว่ามิสออเดรย์มีพี่ชายอยู่ในทวีปใต้ ทำงานในกองทัพ มีฝีมือยอดเยี่ยมและสร้างวีรกรรมไว้มากมาย”
อัลเฟรดจ้องหน้าดอน·ดันเตส สักพักจึงเปลี่ยนเรื่อง
“ผมคิดว่าคุณจะถือโอกาสทำงานที่กองทุนการกุศลยาวๆ คาดไม่ถึงว่าจะเลือกลงใต้”
ไคลน์ยังคงยิ้ม
“สำหรับคนต่างถิ่น เพื่อจะเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูง ลำพังการบริจาคเงิน จัดงานการกุศล จัดงานเลี้ยงเต้นรำและอาหารค่ำ ยังคงไม่เพียงพอ”
อัลเฟรดอืมในลำคอ
“ฉลาดมาก”
ทักทายอีกสองสามคำ มันหันไปถามแฮกกิส
“เกิดอะไรขึ้นในคูคัวเมื่อไม่นานมานี้? ฟังดูร้ายแรงมาก”
แฮกกิสยิ้มและตอบ
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ ตอนนั้นกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้คฤหาสน์ท่านนายพล แค่ได้ยินคนอื่นเล่าว่า เกิดพายุสายฟ้าขึ้นแถวๆ จัตุรัสคืนชีพ”
“พายุสายฟ้า?” อัลเฟรดหันหน้าไปทางดอน·ดันเตส
ไคลน์พยักหน้ารับ
“ถูกต้อง… โรงแรมของผมอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัส จึงได้เห็นสายฟ้าผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเกิดขึ้นในตอนกลางวัน”
อัลเฟรดมองกลับไปยังแฮกกิส
“เกิดอะไรขึ้นในตอนสุดท้าย?”
“จัตุรัสและบริเวณรอบๆ มีสภาพพังยับเยิน เต็มไปด้วยความเสียหายจากสายฟ้า” แฮกกิสไม่ปิดบัง
อัลเฟรดพยักหน้า ชี้ไปทางด้านข้าง กล่าวกับแฮกกิสและดอน·ดันเตส
“ผมมีบางสิ่งต้องไปสะสาง ไว้ค่อยคุยกันคราวหลัง”
“ไว้เจอกัน” ไคลน์ถอดหมวกคำนับตอบ คล้ายกับกำลังอยู่ในสถานการณ์ทางสังคม ไม่ใช่ด้านหน้าโกดังเก็บอาวุธ
ขณะกำลังเฝ้ามองอัลเฟรด·ฮอลล์เดินจากไป ร่างกายของมันสั่นเทากะทันหัน จึงเอียงคอมองไปทางด้านข้าง
…
ภายในป่าดงดิบที่พาดยาวจากทิศตะวันตกถึงทิศตะวันออก บุคคลผู้หนึ่งปรากฏกายในสภาพหลังโค้ง
ใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้อสด ผิวสีน้ำตาลด้าน เสื้อผ้าคลุม ดาบเรเพียร์เสียบข้างเอว ในมือถือหน้ากากสีเงิน
เหลียวซ้ายแลขวา บุคคลดังกล่าวเหยียดตัวตรง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ที่เพิ่งเข้าสู่โลกแห่งความตายเมื่อไม่นานมานี้
แต่ปัจจุบัน ดวงตาของมันทั้งสองข้างกำลังลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีแดง แตกต่างจากที่เคยเป็นมา
“หิวฉิบ…” ลูเธอร์ไวล์อ้าปาก เสียงหายใจดังขึ้นจากบริเวณหน้าอก
มันจ้องไปยังทิศทางหนึ่งอย่างแน่วแน่ กล่าวกับตัวเอง
“เจ้านายของหุ่นเชิดตัวนี้อยู่ไม่ไกล… โชคชะตากำลังทำให้พวกมันได้พบกันอีกครั้ง… ในตัวมันมีวัตถุของเส้นทางนักล่า เพียงพอที่จะเติมเต็มให้เรา”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ปากเปื้อนเลือดผุดขึ้นบนแก้มซ้ายลูเธอร์ไวล์พร้อมกับกล่าว
“เมดีซี สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หากหุ่นเชิดตัวนี้สูญเสียการติดต่อกับเจ้านาย มันจะมีค่าไม่ต่างอะไรกับศพ เศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือจะถูกส่งกลับไปยังโลกแห่งความตาย มิอาจคงสภาพร่างกายได้อีกต่อไป… และถ้าไม่มีบางส่วนของโลกวิญญาณในร่างกายมันคอยพยุงไว้ พวกเราก็จะอ่อนแอลงอย่างมิอาจเลี่ยง จนกระทั่งหายไปในที่สุด”
“ใช่แล้ว… สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการหาผู้เฝ้าประตูคนอื่น” ปากอีกอันหนึ่งผุดขึ้นบนแก้มขวาลูเธอร์ไวล์
‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีพ่นลมหายใจเย้ยหยัน
“เซารอน ไอน์ฮอร์น… พวกเจ้าเคยเป็นสตรีมาก่อนหรือ? เอาความเป็นเทวทูตทิ้งไว้ในโถอุจจาระหมดแล้วรึไง? ชายคนนั้นสามารถเอาพลังบงการของ 0-08 ได้หลายครั้ง หมายความว่าต้องไม่ธรรมดา มีโอกาสที่จะล็อกเป้าได้ชัดเจนแบบนี้ทั้งที่ จะให้ปล่อยไปง่ายๆ ได้ยังไง… หากปล่อยให้หุ่นเชิดตัวนี้ตาย โอกาสแบบนั้นคงไม่หวนกลับมาอีก… นอกจากนั้น วัตถุของเส้นทางนักล่าที่เจ้านั่นพกอยู่ มีประสิทธิภาพสูงพอจะขยายอายุขัยของพวกเราออกไป นั่นจะช่วยให้มีเวลาหาผู้เฝ้าประตูคนใหม่ได้ทันเวลา”
รอยแยกบนแก้มซ้ายลูเธอร์ไวล์ส่งเสียงหัวเราะ
“เมดีซี สมองของเจ้าถูกสังเวยให้พระผู้สร้างแท้จริงแล้วหรือ? เห็นได้ชัดว่าเจ้านั่นเลื่อนลำดับแล้ว ด้วยสภาพปัจจุบันของเรา จริงอยู่ที่การรับมือจอมเวทพิสดารไม่ใช่เรื่องยาก แต่การฆ่าให้ตายนั้นแทบเป็นไปไม่ได้!”
เมดีซีมิได้หัวเสีย เพียงหัวเราะเสียงทุ้ม
“นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ไร้ทางแก้ ตราบใดที่พวกเจ้าอนุญาตให้ข้าเอ่ยพระนามเต็มของพระองค์ ผู้ช่วยจำนวนหนึ่งจะถูกส่งมาที่นี่ทันที และบางทีอาจมีผู้เฝ้าประตู”
แก้มขวาลูเธอร์ไวล์เปิดปาก
“เซารอน… เจ้าต้องช่วยข้าขัดขวางมัน พวกเราจะหาผู้เฝ้าประตูก่อน”
“ตกลง” แกมซ้ายลูเธอร์ไวล์ตอบโดยไม่ลังเล
ได้ยินเช่นนั้น เทวทูตสีชาดระเบิดเสียงหัวเราะ
“พวกเจ้าสองคนติดกับแล้ว! แผนของข้าสำเร็จ! ยืนยันได้แล้วว่าพวกเจ้าเคยเป็นสตรี!”
ปากบนแก้มทั้งสองฝั่งของลูเธอร์ไวล์ตะโกนพร้อมกัน
“หุบปาก!”
“ฮึ่ม! พวกเราอยู่ด้วยกันมานานกว่าสองพันปี คิดว่าไม่รู้หรือไงว่าเจ้าเป็นคนยังไง? เลิกขัดขืนได้แล้ว!”
กล่าวจบ สีสันรอบๆ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์พลันฉูดฉาดและซ้อนทับหลายชั้น
พวกมันเข้าสู่โลกวิญญาณและเริ่มเดินทาง
…
ด้านนอกคลังอาวุธ ไคลน์ถอนสายตากลับหลังจากพบว่าลางสังหรณ์อันตรายเลือนหายไป
จนกระทั่งเมื่อครู่ มันสัมผัสถึงอันตรายร้ายแรง แต่กลับไม่มีภาพนิมิตปรากฏ
เกิดอะไรขึ้น? ไคลน์รำพันในใจพลางโยนกระเป๋าเดินทางในมือให้กับเจ้าหน้าที่ หันไปกล่าวกับแฮกกิสด้านข้าง “ที่เหลือคุณจัดการได้เลย จ่ายเงินก้อนสุดท้ายมาด้วย”
มันหมายถึงกล่องหนักที่เต็มไปด้วยทองแท่งและเหรียญทอง
เดิมที แฮกกิสวางแผนจะดื่มกับดอน·ดันเตสหลังจากเสร็จธุรกิจ ฉลองที่ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่น รวมถึงการพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะรีบร้อนกลับ
“ตกลง มันอยู่บนรถม้า” แฮกกิสชี้นิ้ว
อัลเฟรดที่เดินออกไปได้สักพัก หันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดดอน·ดันเตสถึงไม่ยอมทำตามขั้นตอนที่ตกลงไว้
ราชันเร้นลับ 966 : รถไฟ
เห็นอัลเฟรดมองกลับมา ไคลน์ยิ้มและพยักหน้าอย่างสุภาพ
“อยู่ๆ ผมก็สัมผัสได้ถึงอันตราย”
กล่าวจบ มันหันศีรษะอย่างเยือกเย็น ตรงไปยังรถม้าที่แฮกกิสชี้
“อันตราย…” อัลเฟรดทวนคำเสียงต่ำ มองไปรอบตัวอย่างระมัดระวัง พบว่าไม่มีอะไร
มันลดความเร็วลง คอยจับตามองรอบๆ พลางเดินกลับอาคารสามชั้นที่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยอากัปกิริยาหวาดระแวงเกินกว่าปรกติ
ปากานี่ชำเลืองอัลเฟรดที่มีสีหน้าหนักใจ ถามด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น?”
มันค่อนข้างอยู่ห่างจากจุดแลกเปลี่ยน จึงไม่ได้ยินบทสนทนา
อัลเฟรดเดินไปทางหน้าต่าง เฝ้ามองอาวุธที่กำลังถูกขนย้าย เตรียมตัวออกจากเขตโกดังอาวุธพลางเรียบเรียงคำพูดและกล่าว
“ดอน·ดันเตสกลับกะทันหัน เขากล่าวว่าสัมผัสได้ถึงอันตราย”
“อันตราย?” ปากานี่ไม่ประมาท มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังสักพัก จนกระทั่งคนของเมซันเญสถอนออกจากพื้นที่และหายไปในความมืด มันก็ยังไม่พบความผิดปรกติ
ปากานี่หัวเราะ
“ฮะฮะ! อัลเฟรด คุณขี้กังวลเกินไปแล้ว… บางที อาจเป็นเพราะดอน·ดันเตสขี้ขลาด ก็เลยไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก!”
อัลเฟรดถอนสายตากลับ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ก็อาจจะใช่…”
…
หลังจากกลับถึงโรงแรมที่เช่าไว้ ไคลน์ควบคุมให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซที่ปัจจุบันเป็นลูกผสม เปิดกล่องในมือพร้อมกับนำทองแท่งและเหรียญทองออกมาวางเรียงทีละหนึ่งและเริ่มนับ
มูลค่าของมันคือสามหมื่นปอนด์ถ้วน!
โชคดีที่หนี้ของเรากับมิสผู้ส่งสารคือหนึ่งหมื่นทองปอนด์โลเอ็น ไม่จำเป็นต้องแปลงสกุลเงิน… ในท่านั่งเก้าอี้เอนหลัง ไคลน์ดื่มกวาดาร์ที่เปรี้ยวแต่สดชื่นพลาง ‘จับตามอง’ หุ่นเชิด
รอจนกระทั่งเอ็นโซแบ่งทรัพย์สินเสร็จ มันเลื่อนฮาร์โมนิก้านักผจญภัยขึ้นมาจ่อปากเป่า
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เจ้าของสี่หัวทองตาแดงเดินออกจากความว่างเปล่า คล้ายกับกำลังอยู่ใกล้ๆ
ดวงตาทั้งแปดจ้องไปยังกองเหรียญทองและแท่งทองอย่างพร้อมเพรียง
ไม่กี่วินาทีถัดมา ศีรษะของไรเน็ตต์กล่าวเรียงกัน
“เยี่ยมมาก…” “ในอนาคต…” “ค่าจ้าง…” “จะสูงขึ้น…”
เห? ด้วยเหตุผลใด? ทั้งที่เราชำระเงินภายในกำหนดอย่างรวดเร็ว เหตุใดงานจ้างในอนาคตจึงแพงขึ้น? ไคลน์ผงะไปสักพัก ก่อนจะเหยียดหลังตรงพลางถาม
“ทำไม?”
สี่หัวทองตาแดงของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พยักหน้า
“ค่าจ้าง…” “ขึ้นอยู่กับ…” “ความสามารถ…” “ในการหาเงิน…” “ของเจ้า…”
ทำไปถึงเป็นแบบนี้ไปได้… ไคลน์อ้าปากค้างเล็กน้อย แต่ก็มิอาจโต้แย้ง เพราะท้ายที่สุด ฝ่ายที่กำหนดค่าจ้างคือผู้ให้บริการ นอกจากนั้น การเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพของตน มิสผู้ส่งสารอาจมองว่างานในอนาคตก็จะยิ่งทวีความยากลำบาก เต็มไปด้วยอันตราย จึงคิดค่าแรงเพิ่ม
รอจนกระทั่งเธอกลืนกองเหรียญทองและหายไปจากห้อง ไคลน์รวบรวมสติ นึกทบทวนทรัพย์สินในปัจจุบันของตน
ในระยะหลังเราไม่ค่อยได้ใช้เงิน ทรัพย์สินเดิมจึงยังเหลือ 17,275 ปอนด์เป็นธนบัตร และหกสิบห้าเหรียญทอง… ทองแท่งที่เหลือมีมูลค่าราวสองหมื่นห้าพันปอนด์… ปัจจุบันเรามีทรัพย์สินมากกว่าสี่หมื่นปอนด์ นับว่าร่ำรวยมากในอาณาจักร สามารถซื้อที่ดินและอาคารได้สบาย… ธุรกิจค้าอาวุธช่างกำไรงาม…
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ต้องการเหรียญทองเป็นหลัง ที่ยังเหลือจึงเป็นแท่งทอง
หลังจากลุกขึ้นและส่งแท่งทองเข้าไปในมิติหมอก ไคลน์เดินไปทางหน้าต่าง มองไปยังทิศเหนือ
ในเมื่อเรื่องราวจบแล้ว ถึงคราวเดินทางกลับเบ็คลันด์
มองไปยังขอบฟ้า ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว
เบ็คลันด์…
…
เขตเหนือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเบ็คลันด์
ออเดรย์กำลังเดินภายในมหาวิทยาลัยพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของกองทุนการกุศล
เธอมาในชุดเดรสสีเขียวอ่อน เข็มขัดสีขาว ผมยาวสีทองถูกปกคลุมด้วยหมวกตาข่ายและริบบิ้นดอกไม้ ปราศจากเครื่องประดับชิ้นอื่น มีเพียงสร้อยข้อมือสีเงินที่ข้อมือซ้าย คล้ายกับเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง
ในช่วงที่ผ่านมา เธอตระเวนไปตามโรงเรียนประถมบริเวณรอบนอกเขตตะวันออก เที่ยวชมโรงเรียนเทคนิคในย่านสะพานเบ็คลันด์ พอจะทราบว่าการมาเยือนสถานที่เช่นนี้ต้องแต่งกายเช่นไร ไม่ใช่สักแต่จะทำตัวเหมือนออกงานสังคมตลอดเวลา
ดวงตาสีเขียวสดใสกลอกไปมาเล็กน้อย ออเดรย์เผยรอยยิ้มเจือจาง เฝ้าสังเกตสถานการณ์ของนักเรียนที่ผ่านไปผ่านมาอย่างจริงจัง
ในช่วงหลายวันหลัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเบ็คลันด์ได้ส่งจดหมายเรียกรายงานตัว วันนี้จึงเป็นวันที่บรรดานักศึกษาเริ่มลงทะเบียน
อันที่จริง การลงทะเบียนควรเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคมและกันยายน แต่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเบ็คลันด์เป็นสถานศึกษาใหม่ มีการจัดสอบเข้าช้ากว่ามหาวิทยาลัยอื่น ส่งผลให้มีนักเรียนบางส่วนถูกรับเข้ามหาวิทยาลัยอื่นไปก่อนแล้ว จึงต้องมีการลงทะเบียนเพื่อยืนยันจำนวนให้แน่ชัด
ด้วยเหตุนี้ ออเดรย์และเจ้าหน้าที่ของกองทุนเพื่อการศึกษา ต้องมาคอยช่วยเหลือผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกและกำลังจะลงทะเบียน
จากสายตาที่เห็น เธอพบว่าใบหน้าของนักเรียนมหาวิทยาลัยเปี่ยมไปด้วยความสดใส แววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ คำพูดคำจาและการกระทำแฝงพลังงาน คล้ายกับกำลังโหยหาอนาคต กำลังมองเห็นแสงสว่างของชีวิต
แตกต่างจากสิ่งที่ออเดรย์เห็นและประสบมาจากโรงเรียนสามัญ นักเรียนในสถานศึกษาดังกล่าวเต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง เสียงดัง หรือไม่ก็เงียบและเศร้าซึม จุดร่วมกันคือความสับสนและกระสับกระส่าย ตัวสั่นเมื่อพบคนแปลกหน้าหรือคนดัง ดวงตาซีดเซียว ขาดแคลนในสิ่งที่วัยรุ่นควรมี
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เด็กๆ เหล่านั้นจะมีโอกาสได้รับการศึกษาสูงๆ เหมือนกับนักศึกษาที่นี่ เพื่ออนาคตอันสดใสของทุกคน… ขณะออเดรย์รำพัน เธอเห็นชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นพี่ชายน้องสาว
คนเป็นพี่ชายก้าวเข้าสู่สังคมของผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว เป็นชายวัยทำงาน สวมหมวกผ้าไหม สวมสูทสุภาพสีดำที่ค่อนข้างบาง อายุราวสามสิบ มอบบรรยากาศคล้ายข้าราชการรุ่นใหม่ไฟแรง
มันยืมกล้องเก่ามาจากที่ไหนก็มิอาจทราบได้ เชื่อมกับขาตั้งสามขาและวางลงบนพื้น ส่งสัญญาณมือบอกให้น้องสาวขยับตัวและปรับท่า มองหามุมที่ดีที่สุด
น้องสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปด ผมสีดำปล่อยตรง ดวงตาสีน้ำตาลเจือความหงุดหงิดเล็กๆ แต่ก็มิได้กล่าวคำใดออกมา ทำตามคำสั่งพี่ชายอย่างจริงจัง
ภาพที่คล้ายกันสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในมหาวิทยาลัย บ้างเป็นผู้ปกครองและบุตร บ้างเป็นกลุ่มเพื่อน
บรรยากาศอบอุ่นจัง… ออเดรย์ถอนสายตากลับ เดินตรงไปข้างหน้า
เพียงไม่นานก็มาถึงจัตุรัส กึ่งกลางเป็นหัวรถจักรไอน้ำที่ปลดประจำการ ถูกจัดแสดงอย่างสง่าผ่าเผย ช่วยสร้างกลิ่นอายที่น่าเกรงขามให้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเบ็คลันด์
…
วี๊—!
หัวรถจักรไอน้ำที่ดูคล้ายสัตว์ยักษ์กำลังพ่นควัน ลากร่างยาวๆ ของมันเข้ามาในชานชาลาด้วยความเร็วที่ค่อยๆ ลดลง
เด็กหญิงลูกครึ่งที่มีอายุราวเจ็ดแปดปี ใบหน้าอ่อนโยน กำลังจูงมือมารดาที่กำลังยืนต่อแถวยาว พลางหันไปถามบิดาที่เป็นลูกครึ่งโลเอ็นไบลัมเกี่ยวกับอ่าวเดซีย์
หลังจากแถวขยับไปเรื่อยๆ เธอเห็นสุภาพบุรุษขมับขาว ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง มาพร้อมกับคนรับใช้ผิวสีน้ำตาล เดินเข้าไปในที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาส
คนรับใช้มองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
“นายท่าน… สิ่งที่ผมเห็นแตกต่างจากที่จินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง ผมคิดว่าชาวไบลัมจะต้องตกยาก เจ็บปวด เต็มไปด้วยความวุ่นวาย สกปรก ยากจน และหวาดระแวงสิ่งรอบตัว… อา… อย่างที่คุณทราบ แม้ผมจะมีสายเลือดไบลัม แต่ก็เกิดที่เบ็คลันด์ ไม่เคยเดินทางไปยังทวีปใต้มาก่อน ถึงจะพูดภาษาตูทานได้ดีก็เถอะ”
สุภาพบุรุษวัยกลางคนยกไม้ค้ำขึ้น
“นั่นเพราะพวกเราอาศัยในเมืองที่ค่อนข้างดี แต่ชาวไบลัมที่ลำบากส่วนใหญ่จะอยู่ในหมู่บ้านและแปลงเกษตรกรรม เป็นชาวชนบท ส่วนที่เหลือก็ไปกระจุกตัวอยู่แถวโรงงานจนกลายเป็นสลัม พวกเราไม่มีทางพบเจอได้ง่ายๆ แน่”
คล้ายกับสัมผัสถึงสายตาของเด็กสาว สุภาพบุรุษดวงตาสีน้ำเงินเข้มและคนรับใช้ต่างหันมาทางด้านข้างพร้อมกับเผยรอยยิ้มอบอุ่น
มุมปากยกขึ้นจนเห็นฟันแปดซี่ หลังจากพยักหน้าเล็กน้อย ทั้งสองได้ถอนสายตากลับและเดินต่อไป
เพียงไม่นาน เด็กสาวและพ่อแม่ถึงคิวขึ้นโดยสารรถไฟพลังไอน้ำ พวกมันพยายามมองหาที่นั่ง
จนกระทั่งเสียงหวูดดังขึ้นอีกครั้ง เด็กสาวเห็นชายผิวสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าอวบอิ่ม แก้มมีรอยแดง เดินก้มศีรษะพลางใช้มือกดหมวก ผ่านหน้าเธอไปอย่างรวดเร็ว ตรงไปทางหัวรถจักร
ชายคนดังกล่าวเคาะประตูห้อง ตามด้วยเดินเข้าไปและกล่าวกับคนขับรถไฟ
“เจ้าหน้าที่ทั้งหมดถูกแทนด้วยคนของเราแล้ว สะพานข้างหน้าจะกลายเป็นลานสังเวย”
คนขับรถหนวดเข้มพยักหน้า
“ขอให้พระองค์ทรงพอพระทัยกับของถวายคราวนี้… ขอให้พวกเราได้มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ในอาณาจักรของท่าน”
วี๊—!
รถจักรไอน้ำแล่นผ่านสะพานแห่งหนึ่ง ก่อนจะแล่นข้าวอีกหนึ่งสะพานใหญ่ หลังจากการเดินทางอันยาวนานก็มาถึงท่าเรือปลายทางอย่างราบรื่น
เด็กหญิงลูกครึ่งค่อนข้างอ่อนเพลีย มิได้สดใสร่าเริงเหมือนในตอนแรก เธอเดินตามพ่อแม่แหวกฝูงชนสักพักก็มาถึงประตู
บริเวณประตูมีเจ้าหน้าที่สองสามคน คอยอำนวยความสะดวกช่วยนำกระเป๋าเดินทางของผู้โดยสารออกจากรถไฟ
เมื่อสาวน้อยกับพ่อและแม่เดินผ่านไป พนักงานทั้งหมดต่างยกมุมปาก เผยรอยยิ้มอันอบอุ่นจนเห็นฟันคนละแปดซี่
หลังจากเด็กสาวกระโดดลงไปบนชานชาลา จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอมองไปทางหัวรถจักร เห็นบุคคลกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตู ฟังไม่ออกว่ากำลังคุยอะไร คนหนึ่งเป็นพนักงานขับรถ ส่วนอีกคนคือชายที่แก้มมีรอยแดงคนก่อนหน้า
ไม่กี่วินาทีถัดมา คนกลุ่มนี้หันกลับมามองพลางยกมุมปากขึ้น เผยให้เห็นฟันแปดซี่
เด็กสาวได้ถอนสายตากลับไปก่อนแล้ว ปัจจุบันกำลังเดินสลับเขย่งออกจากชานชาลาไปพร้อมกับพ่อและแม่
ราชันเร้นลับ 967 : ‘วิวรณ์’
สายลมเย็นพัดผ่านชานชาลาในตอนกลางคืน ส่งผลให้โคมไฟแก๊สที่แขวนอยู่โยกคลอนแผ่วเบา
ท่ามกลางฉากดังกล่าว แสงสลัวขยับไปมาอย่างต่อเนื่อง รถจักรไอน้ำถูกปกคลุมด้วยเงาสลับกับแสงสว่างตลอดเวลา เกิดเป็นบรรยากาศที่ยากจะอธิบาย
ในเวลาเดียวกัน ตำรวจในเครื่องแบบสีดำสลับขาวเดินเข้าไปในชานชาลา มุ่งหน้าไปยังรถไฟคันใหญ่ที่มีสภาพค่อนข้างโทรมภายใต้การนำทางของผู้จัดการสถานี
“ด้วยเหตุผลบางประการ หลังจากผู้โดยสารทุกคนออกไป เจ้าหน้าที่ของรถไฟได้กลับเข้าไปในตัวรถและไม่ออกมาอีกเลย… ผมต้องส่งคนเข้าไปตาม หวังจะพาพวกเขาออกมาพักผ่อน ต…แต่ผลลัพธ์ก็คือ… ก็คือ… คนที่ถูกส่งเข้าไปต่างวิ่งหน้าตาตื่นออกจากรถไฟ เอาแต่แหกปากอย่างบ้าคลั่งว่า ‘ทุกคนตายแล้ว!’ ” ผู้จัดการสถานีรถไฟในชุดสีฟ้ากำลังคือโคมไฟตะเกียง เล่าถึงสถานการณ์เบื้องต้น
จากการพูดที่ติดขัดและร่างกายสั่นระริกเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องยากที่ตำรวจจะสังเกตเห็นความหวาดกลัวในตัวอีกฝ่าย คล้ายกับถ้ามีใครสักคนจับไหล่ มันจะสะดุ้งเฮือกพร้อมกับเผ่นหนีโดยทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง
ความรู้สึกดังกล่าวส่งต่อมาถึงตำรวจเช่นกัน พวกมันทุกคนต่างเลื่อนมือลงไปจับซองปืนพกตรงเอว
กึก กึก กึก เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นแข็งๆ ของชานชาลา กลุ่มตำรวจเดินตามผู้จัดการสถานที่เข้าไปในส่วนหัวขบวนด้วยความระมัดระวัง
ภายในตู้โดยสาร สิ่งที่ได้เห็นคือแต่ละแถวจะมีคนนั่งสองคน แบ่งฝั่งซ้ายขวา นั่งไกลจากหน้าต่าง หลังแนบเบาะโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย
อาศัยโคมไฟแก๊สด้านนอกและโคมไฟตะเกียง หัวหน้าสารวัตรมองเห็นภาพรวมของสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
ทุกคนด้านในเป็นเจ้าหน้าที่ของรถไฟไอน้ำ ใส่เครื่องแบบสีฟ้าที่แบ่งแยกชัดเจนระหว่างชายหญิง แต่ละคนนั่งนิ่งในตำแหน่งของตัวเอง ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาเบิกโพลง ปราศจากลมหายใจ มุมปากยกโค้งพร้อมกับเผยให้เห็นฟันแปดซี่
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทุกคนที่ยังมีชีวิตต่างกลั้นหายใจจากจิตใต้สำนึก
สำหรับพวกมัน ฉากตรงหน้าช่างพิสดารและน่าหวาดผวา อยากจะหันหลังกลับและเผ่นหนีออกจากที่นี่ทันที รอให้ถึงตอนเช้าค่อยกลับมาใหม่!
หัวหน้าสารวัตรสูดลมหายใจแผ่ว หันไปสั่งตำรวจข้างๆ
“เข้าไปตรวจสอบและยืนยันว่าพวกเขา ต…ตายแล้วทุกคน”
กล่าวถึงตรงนี้ มันหันไปมองหน้าเจ้าหน้าที่สถานี
“ตามพวกเขาเข้าไป ตรวจสอบว่ามีคนหายไปบ้างไหม”
“ต…ตกลง คุณตำรวจ” เจ้าหน้าที่สถานีกล่าวเสียงสั่น
มันและตำรวจสำรวจลึกเข้าไปในขบวนรถไฟ ตำรวจบางคนชักปืนออกมาด้วยท่าทีหวาดระแวง
ท่ามกลางความเงียบที่ยากจะทานทน เวลาไหลผ่านไปจนกระทั่งตำรวจคนหนึ่งเดินไปหยุดที่ท้ายขบวน หันกลับมาและตะโกน
“ยืนยันแน่ชัดแล้ว… ทุกคนตายหมด!”
ผู้จัดการสถานีกล่าวตะกุกตะกักตามหลัง
“หายไปสองคน… หนึ่งคนคุมรถไฟ หนึ่งคนขับ…”
เมื่อพบว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกินขึ้นเป็นเวลานาน หัวหน้าสารวัตรเริ่มใจเย็นลง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าวกับตำรวจทุกคน
“รักษาสภาพศพเอาไว้ รอการชันสูตร… ขณะเดียวกัน แบ่งออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งมุ่งหน้าไปยังตู้โดยสารอื่นเพื่อตามหาตัวคนคุมและคนขับรถไฟ ส่วนอีกทีมตรวจสอบจุดเกิดเหตุเพื่อหาเบาะแสและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น เราจะลงมือสืบสวนโดยเริ่มจากนายสถานีและผู้โดยสารที่เคยร่วมทางมาด้วยกัน ค้นหาจุดเชื่อมโยงและความผิดปรกติ”
แม้ผู้โดยสารจำนวนมากจะไม่ต้องแสดงบัตรประจำตัวขณะซื้อตั๋ว แต่สารวัตรก็เชื่อว่า ต้องมีกลุ่มผู้โดยสารที่ลงทะเบียนยืนยันตัวเอง และหนึ่งในนั้นอาจพบความผิดปรกติในตู้รถไฟหรือไม่ก็พบผู้โดยสารแปลกๆ ที่ควรค่าให้เอ่ยถึง
กล่าวจบ ลมหนาวพัดผ่านตัวรถไฟ
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว สารวัตรเตรียมเน้นย้ำคำสั่ง แต่ทันใดนั้นก็พบความผิดปรกติ
พนักงานรถจักรไอน้ำที่กำลังนั่งในตำแหน่งเดิมในสภาพดวงตาเบิกโพลงและใบหน้าขาวซีด ปากของพวกมันปิดสนิทตอนไหนก็มิอาจทราบได้ ไม่เห็นฟันแปดซี่เรียงรายอีกแล้ว
…
ภายในห้องพักหรูหราของโรงแรม โคมไฟผนังส่องสว่างไปตามโต๊ะและเก้าอี้ที่พื้นด้านล่างปูพรม
ไคลน์แปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์และนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ไขว่ห้างซ้ายทับขวา
ด้านข้างเป็นเอ็นโซที่คล้ายกับชนพื้นเมือง ด้านหน้าเป็นกลุ่มหุ่นเชิดหนึ่งแถว
พวกมันคือกลุ่มพนักงานที่พยายามสละชีพบนรถไฟ ประกอบด้วยชายที่มีแก้มเป็นรอยแดง เจ้าหน้าที่คุมรถ และคนขับรถไฟ
พวกมันแต่งกายต่างกันมาก ราวกับต่างฝ่ายต่างมาจากคนละถนน มาบรรจบกันที่นี่
“ใครสั่งให้สังเวยตัวเอง?” ไคลน์ถามเสียงขรึม
หลังจากก้าวขึ้นมาอยู่ในลำดับ 4 ‘จอมเวทพิสดาร’ ไม่เพียงจะอ่านความคิดจากจิตใต้สำนึกส่วนนอกของหุ่นเชิด แต่ยังสามารถ ‘สื่อวิญญาณ’ ผ่านด้ายวิญญาณได้โดยตรง
แน่นอน ยิ่งหุ่นเชิดมีระดับมากเพียงใด การสื่อวิญญาณก็ยิ่งได้ผลแย่ลง
หลังจากเงียบงันสักพัก คนคุมรถชาวโลเอ็นที่มีขนดกหนา กล่าวด้วยสีหน้าล่องลอย
“เป็นวิวรณ์จากเทพ”
“เทพตนใด?” ไคลน์รับถ้วยชาลายครามจากเอ็นโซและจิบหนึ่งคำ
คนคุมรถไฟตอบกลับเสียงล่องลอย
“เทพคือเทพ ไม่มีเป็นอื่น”
ไคลน์วางแก้วลงพลางถาม
“ท่านมอบวิวรณ์ด้วยวิธีใด? แล้วกล่าวว่าอย่างไร?”
คนคุมรถไฟเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา
“พระองค์มอบวิวรณ์ผ่านเทวภัณฑ์ ตรัสว่าจงมอบชีวิตของพวกเราให้พระองค์ แล้วจะได้รับสิทธิ์ให้อาศัยในอาณาจักรของพระองค์หลังความตาย”
สังเวยชีวิตหมู่… เมื่อเทียบกับนิกายวิญญาณ พวกโรงเรียนกุหลาบชอบทำเรื่องแบบนี้มากกว่า เพราะโด่งดังด้านพิธีกรรมสังเวยเลือดมาช้านาน… แต่การได้รับชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรแห่งเทพออกจะคล้ายคลึงกับความเชื่อของนิกายวิญญาณมากกว่า… แน่นอน เรื่องนี้อาจเป็นกลลวงหรือการใส่ความ… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะถาม
“เทวภัณฑ์แบบใด?”
คนคุมรถไฟไม่ตอบ แต่หันไปมองชายที่มีแก้มเป็นรอยแดง
จากนั้น ชายคนดังกล่าวหยิบของออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน
เป็นตุ๊กตาผ้าที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ บริเวณดวงตาและปากโก้งโค้ง
“พระองค์จะคอยมอบวิวรณ์ให้เราผ่านสิ่งนี้… ฉันซื้อมันมาจากตลาด” ชายที่มีรอยแดงบนแก้มตอบอย่างเชื่องช้าแต่ราบเรียบ
เดายากแฮะ… ไคลน์นึกถึงความเป็นไปได้อันหลากหลาย ก่อนจะสั่งให้เอ็นโซหยิบตุ๊กตาขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติ
อ้างอิงจากประสบการณ์ สิ่งนี้หมายความว่าปัญหามิได้อยู่ที่ตัวตุ๊กตา แต่มีความเป็นไปได้สองอย่าง: ประการแรก มีคนใช้ตุ๊กตาเป็นตัวหลอกขณะแสร้งทำเป็นเทพอยู่ใกล้ๆ ประการที่สอง เป็นตัวตนลึกลับที่ติด ‘สัญลักษณ์’ ไว้กับผู้สวดวิงวอนและคอยส่งวิวรณ์โดยตรง
ถ้าเป็นอย่างแรก อีกฝ่ายจะทราบทันทีว่าพนักงานรถไฟตายหมดแล้ว และเตรียมลงสิ่งเพื่อรับมือกับปัญหา… แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ทางนั้นอาจไม่พบความผิดปรกติใดเลย… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก สั่งให้เอ็นโซวางตุ๊กตาผ้าไว้บนโต๊ะด้านข้างหน้าต่าง
จากนั้น มันลุกขึ้นยืนและเปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่รถไฟคนหนึ่ง เดินไปยืนรวมแถวกับกลุ่มลัทธิเถื่อน
เมื่อเอ็นโซเดินกลับมา มันเองก็แปลงโฉมในลักษณะเดียวกัน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ค่ำคืนค่อยๆ ทวีความมืดมิด
ทันใดนั้น บนโต๊ะที่กำลังอาบแสงจันทร์สีแดง ตุ๊กตาผ้าซึ่งมีตาและปากโก้งโค้งเริ่มขยับแขนขาและลุกยืน
ราชันเร้นลับ 968 : ‘นักบุญ’ ประทับร่าง
ตุ๊กตาผ้าลืมตาอันไร้ชีวิตชีวาของมันขึ้น ก่อนจะเหยียดตัวยืนตรง มองไปยังบริเวณที่แสงจันทร์สีแดงเข้มมิอาจส่องถึง ที่นั่นมีชายซึ่งแก้มเป็นรอยแดงและสาวกลัทธิคนอื่นๆ กำลังยืนนิ่งในท่าก้มศีรษะ ยกแขนขึ้นประหนึ่งกำลังสวดมนต์ ยกแขนขึ้นราวกับกำลังสวดมนต์ รอฟัง ‘วิวรณ์’ ด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา
ราวสองสามวินาทีถัดมา ตุ๊กตาผ้าเหยียดตัวตรง ขณะเตรียมอ้าปากที่ปราศจากลิ้นพร้อมกับเปล่งเสียงที่มิได้เป็นของ ‘ร่าง’ ปัจจุบัน พฤติกรรมของมันเฉื่อยชาลงกะทันหัน ประหนึ่งกลายเป็นหุ่นยนต์สนิมเกาะ
ไคลน์ที่ซ่อนตัวท่ามกลางสาวกลัทธิ มองเห็นด้ายวิญญาณประหลาดยื่นออกจากตุ๊กตาผ้า จึงแผ่พลังวิญญาณเข้าควบคุมโดยไม่ลังเล!
ภายในห้องที่มีโคมไฟผนัง แสงไฟพลันสลัว ตุ๊กตาที่มีดวงตาและปากโก้งโค้งสูญเสียสมดุลร่างกายที่คล้ายกับมีกระดูกเป็นแกนกลางจนถึงเมื่อครู่ ก่อนจะทรุดตัวลงกับโต๊ะโดยไม่กระดุกกระดิก
ท่ามกลางโคมไฟถนนริบหรี่ที่ห่างออกไปกว่าหนึ่งกิโลเมตร ไคลน์สัมผัสได้ว่าด้ายวิญญาณของตุ๊กตาผ้าเลือนหายไป อีกฝ่ายใช้เวลาไม่ถึงสองวินาทีในการหลบหนี!
ฟ้าว!
ลมหนาวพลันพัดผ่านเข้ามาในห้อง พรมที่ถูกโต๊ะและเก้าอี้ทับถูกกระชากออกกะทันหัน ส่งผลให้ชายเจ้าของแก้มที่มีรอยแดงและสาวกคนอื่นล้มลง มีเพียงไคลน์ตัวปลอมเท่านั้นที่กระโดดขึ้นทันเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน
แน่นอน ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซกำลังยืนบนขอบพรมพอดิบพอดี จึงไม่ได้รับอันตรายใด
ฟ้าว!
กระแสลมหนาวพัดผ่านอีกครั้ง พรมม้วนขึ้นและมัดร่างสาวกลัทธิสองสามคน อุดจมูกและปากของพวกมันแนบแน่น รวมถึงบริเวณลำคอ
พร้อมกันนั้น กลุ่มปากกาหมึกซึมบนโต๊ะเริ่มคลายเกลียวฝาด้วยตัวเอง จากนั้นก็กรูกันพุ่งไปข้างหน้าและปักเข้าที่ลำคอบุรุษแก้มแดงอย่างเบียดเสียด
เก้าอี้ไม้ระเบิดกระจาย เศษเสี้ยวกระเด็นไปยังเหล่าสาวกลัทธิอย่างเท่าเทียม
ใกล้กับผนัง ท่อของโคมไฟติดผนังเริ่มปริแตก ส่งผลให้ก๊าซรั่วไหลภายในห้องพร้อมกับเสียงหวีด
ผ้าที่คลุมโซฟาลอยขึ้น มัดตัวเองกลายเป็นเสื้อคลุม พุ่งไปพันรอบคอของคนคุมรถไฟ พร้อมกันนั้น กระเบื้องบนพื้นจำนวนหนึ่งลอยขึ้น เชือดเฉือนเหล่าสาวกลัทธิสองสามคนจากมุมเสย
เพียงพริบตา สิ่งของทั้งหมดภายในห้องพลันเปี่ยมด้วยความสามารถในการฆ่า ประหนึ่งต้องการทำลายชีวิตทั้งหมดด้านใน
ไคลน์พยายามหลบ แต่เสื้อ กางเกง เข็มขัด เสื้อนอก และหมวกของมันคล้ายกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา ทั้งหมดพยายามตรึงไคลน์ให้อยู่กับที่
ชายหนุ่มรีบอ้าปากส่งเสียง
“เป๊าะ!”
เป็นการเลียนเสียงดีดนิ้ว
เปลวไฟสีแดงพลันลุกท่วมเสื้อผ้า ปกคลุมร่างกายทุกส่วนและช่วยให้หลุดพ้นจากพันธนาการ
ขณะเดียวกัน ผ้าบนโซฟาอีกตัวลอยพรวดขึ้นจนดูคล้ายกับกำลังห่อร่างใครบางคน
ฉากประหลาดดังกล่าวสะท้อนบนกระจกตาไคลน์ จากนั้น ร่างกายที่เคยสั่นระริกพลันแข็งทื่อเนื่องจากกำลังถูกวิญญาณมารเข้าสิง!
เปลวไฟที่ลุกโชนในตอนแรกยังไม่ดับลง พวกมันกำลังแผดเผาเสื้อผ้าและเนื้อหนัง ก่อนจะหดเหลือเป็นรูปทรงของกระดาษคนตัวแทนสีดำสนิท
ด้านหลังกระดาษคนตัวแทนถูกปกคลุมด้วยลวดลายขนนก มอบความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งมายา
นี่คือกระดาษคนกลายพันธุ์ที่ปนเปื้อนออร่ามรณาเทียม!
ไคลน์ทราบดี มีเพียงสองเหตุผลที่ตุ๊กตาผ้าจะกลายพันธุ์ เหตุผลแรก ตัวตนที่ปลอมเป็นเทพอยู่ใกล้ๆ สัมผัสถึงความตายของเหล่าสาวก จึงมีการวางกับดักล่วงหน้าก่อนจะเสด็จลงมา เหตุผลที่สอง ตัวตนลึกลับดังกล่าวยังไม่ทราบว่าพิธีกรรมถูกคนอื่นแทรกแซง จึงเสด็จลงมาตามทำกำหนดไว้ว่าจะมอบ ‘วิวรณ์’
และไม่ว่าความจริงจำเป็นเช่นไร มันก็อันตรายทั้งคู่ แล้วไคลน์จะลงมือโดยไม่เตรียมตัวได้อย่างไร?
พิจารณาจากคุณสมบัติในการ ‘เสด็จลงมาประทับ’ หรือ ‘สิง’ ตุ๊กตา ชายหนุ่มเก็บกระดาษคนตัวแทนที่กลายพันธุ์เนื่องจากถูกออร่าของมรณาเทียมกัดกร่อนไว้ภายในกล่องบุหรี่โลหะ จากนั้นก็ให้หุ่นเชิดแสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดาเพื่อล่อให้อีกฝ่ายเข้ามาสิงร่าง!
ถึงตรงนี้ เป้าหมายการสิงร่างของ ‘เทพ’ ที่สาวกลัทธินับถือ ถูกโอนถ่ายจากไคลน์ไปยังกระดาษคนตัวแทนแห่งความตาย! และเมื่อเปลวไฟสีแดงเผาไหม้กระดาษ แสงสีขาวซีดพลันพวยพุ่งออกไปทุกทิศ ฉาบด้วยสีเขียวเข้มเล็กน้อย
เสียงคำรามที่ค่อนข้างเจ็บปวดดังขึ้น พร้อมกันกับภาพตกค้างซึ่งกำลังสว่างวาบบนกระจกหน้าต่างที่ถูกฉาบด้วยสีแดงฉาน
แทบจะในทันที วัตถุที่ ‘มีชีวิต’ เกือบทั้งหมดภายในห้องพลันร่วงหล่นลงพื้น กลับคืนสภาพไร้ชีวิตชีวา ในส่วนของเอ็นโซนั้น เปลวไฟกำลังลุกท่วมร่างมัน
ขณะเดียวกัน ภายในเมืองท่าทางทิศเหนือของทวีปใต้ ชาวเมืองต่างกำลังเพลิดเพลินไปกับบ้านที่อบอุ่นและน่าอยู่ยามกลางคืน ครอบครัวต่างล้อมวงพร้อมหน้า แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ากระจกหน้าต่างและผิวกระจกโคมไฟถนนมืดสลัวลงครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับสู่สภาพปรกติอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมริบหรี่ เปลวไฟในเตาผิงลุกโชนสลับกับแผ่วลง เศษอาหารในห้องครัวลุกติดไฟสักพักก่อนจะดับมอด
ระหว่างเหตุการณ์ข้างต้น กระจกหน้าต่างของห้องหนึ่งสลัวลงเป็นพิเศษ เปลวไฟผันผวนรุนแรง แต่เหล่าสาวกก็ยังทำเพียงก้มหน้าสวดวิงวอนถึงดวงจันทร์บรรพกาลโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ แสงจันทร์สีแดงเข้มด้านนอกทวีความสว่าง ประหนึ่งเมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยม่านแสง
จนกระทั่งความสว่างกลับสู่สภาพปรกติ เปลวไฟสีแดงลุกโชนบนเชิงเทียนสีเงินบนโต๊ะอาหาร
เอ็นโซเดินออกจากเปลวไฟ ร่างกายและใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างรวดเร็ว
ในวินาทีเมื่อครู่ ขณะจันทร์สีแดงด้านนอกสว่างวาบ มันคลาดสายตาจากเป้าหมาย
ไม่เพียงจะครอบครองพลังพิเศษในระดับสูงของเส้นทางวิญญาณอาฆาต แต่ยังสามารถยืมพลังจากจันทร์แดง… พิจารณาจากปัจจัยสองข้อนี้ หนึ่งในนั้นคงเป็นสมบัติวิเศษหรือไม่ก็สมบัติปิดผนึก… ไคลน์พึมพำจนกระทั่งได้ข้อสรุปเบื้องต้น
หลังจากครึ่งเทพที่สิงร่างตุ๊กตาถูกกัดกร่อนโดยกระดาษคนตัวแทนแห่งความตาย มันเชื่อว่าตนมีโอกาสจัดการอีกฝ่าย แต่ผิดไปจากความคาดหมาย ศัตรูที่พลังและลูกเล่นเยอะกว่าที่คิดไว้
สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้ก็คือ อีกฝ่ายไม่ใช่เทวทูต เนื่องจากพลังที่แสดงให้เห็น รวมถึงระดับตัวตน ยังห่างไกลจากเทวทูตพอสมควร
ท่ามกลางความคิดมากมายที่แล่นผ่านสมอง ไคลน์เดินออกจากห้องรับประทานอาหารและเข้าไปในห้องนั่งเล่น มีสาวกสองสามคนกำลังสวดวิงวอนถึงดวงจันทร์บรรพกาล
แตกต่างจากสาวกบนรถไฟไอน้ำ คนเหล่านี้ทราบว่าพวกมันกำลังสวดวิงวอนถึงใคร ประหนึ่งเป็นสาวกประจำมุขมณฑลละแวกนี้
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ไคลน์เดินเข้าไปในห้องอย่างไม่รีบเร่ง ก่อนจะที่ทุกคนจะหันศีรษะมองมาเป็นตาเดียว
อาศัยพลังภาพลวงตาที่สมจริงของจอมเวทพิสดาร พวกมันปฏิบัติต่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์ราวกับผู้ส่งสารจากเทพที่เสด็จลงมาหา เนื่องจากกำลังเห็นแสงรัศมีทรงกลดของดวงจันทร์กำลังแผ่ออกจากศีรษะ
บรรดาสาวกคุกเข่าลงก้มกราบอย่างเปี่ยมศรัทธา
ไคลน์ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ส่งเสียงถามทุ้มลึก
“นักบุญที่พวกเจ้าเคยพบคือใคร?”
แม้ว่าสาวกคนหนึ่งจะทำหน้ามึนงง แต่ก็ยังตอบด้วยความยำเกรง
“ท่านผู้ส่งสาร… คนผู้นั้นคือราชาหมอผีคารามัน”
ราชาหมอผีคารามัน… คุ้นหูฉิบ… นึกออกแล้ว ผู้เขียนหนังสือแห่งความลับเล่มนั้น… ไม่ใช่ว่าเจ้านั่นตายไปนานแล้วหรือ? มีชีวิตอยู่มานานกว่าพันปี… หากไม่ใช่นักบุญของเส้นทางที่เฉพาะเจาะจง คงยากที่จะมีอายุยืนยาวขนาดนั้น… เข้าร่วมโรงเรียนกุหลาบ แต่ยังศรัทธาดวงจันทร์บรรพกาล… นั่นคือเหตุผลที่สามารถยืดอายุขัย? หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรงเมื่อนึกถึงต้นตอของชื่อคารามัน
ภายในเรือใบที่กำลังจอดเทียมท่า แสงสลัวกำลังส่องเข้าไปในห้องโดยสาร
บุคคลผมดำหยักศกแซมด้วยสีขาวเดินออกจากกระจก สวมเสื้อคลุมที่ด้านหลังมีลวดลายสีแดงเข้ม บนใบหน้ามีริ้วรอยพอประมาณ ดวงตากำลังแดงก่ำ
ในตอนนี้ ผิวหนังบางส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า จำพวกหลังมือ เกิดการขยายตัวของรูขุมขน บนผิวหนังเริ่มผุดขนนกสีขาวเปื้อนน้ำมันสีเหลือง
สีหน้าของชายชรารายนี้กำลังบิดเบี้ยว ประหนึ่งพยายามขจัดความเจ็บปวด
มันรีบนั่งลงข้างเตียง ก้มศีรษะ พนมมือสวดวิงวอนเสียงแผ่ว
ท่ามกลางเสียงสั่นๆ หน้าผากของมันค่อยๆ แยกออกจากกันจนเผยให้เห็นพระจันทร์เต็มดวงสีแดงเข้มที่ราวกับฝังอยู่ด้านใน!
แสงจันทร์สว่างวาบพร้อมกับปกคลุมร่างชายชรา ส่งผลให้ขนนกสีขาวเริ่มหดกลับไป
แต่ในขณะเดียวกัน ท้องไส้ของมันกำลังปั่นป่วนประหนึ่งเต็มไปด้วยของเหลว
จนกระทั่ง เสื้อผ้าและผิวหนังของมันเริ่มฉีกขาด ก้อนเลือดเนื้อที่ปกคลุมด้วยขนนกสีขาวตกลงบนพื้นห้องโดยสาร ดีดดิ้นอยู่สักพักก่อนจะเน่าและตายไป
ฟู่ว… ชายชราเงยหน้าพลางหายใจออกเชื่องช้า ดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความสับสน
มันพึมพำ
“ข้ารับใช้แห่งมรณา? แต่มรณาผู้นั้นร่วงหล่นไปแล้ว…”
เช้าตรู่วันถัดมา หน่วยทูตพิพากษาที่ได้รับคำสั่งจากโบสถ์วายุสลาตันให้สืบคดีการตายอย่างเป็นปริศนาของเจ้าหน้าที่รถไฟไอน้ำ ได้รับข่าวใหม่
คนคุมรถไฟ คนขับ และผู้โดยสารต้องสงสัยอีกสองสามคน ทั้งหมดถูกพบตัวแล้ว!
ใช้เวลาไม่นาน หน่วยทูตพิพากษาได้ตามสืบเบาะแสจนกระทั่งพบเป้าหมาย
ทุกคนถูกแขวนคอเรียงรายอย่างเงียบงันด้านนอกตัวอาคาร
“นี่คือการท้าทาย!” หัวหน้าหน่วยทูตพิพากษาขบกรามแน่น
แต่หลังจากนำศพลงมาและเดินเข้าไปในบ้านใกล้ๆ เพื่อทำการสืบสวนขยายผล พวกมันได้พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังสวดวิงวอนถึงดวงจันทร์บรรพกาลภายในห้องนั่งเล่น เป็นพิธีกรรมที่ค่อนข้างชั่วร้าย
“…จับกุมให้หมดทุกคน!” หัวหน่วยที่เผชิญความประหลาดใจเป็นหนที่สอง ตะโกนออกคำสั่ง
คล้ายกับสาวกดวงจันทร์บรรพกาลได้สติกลับมา พวกมันพยายามขัดขืนต่อต้าน แต่ในท้ายที่สุด ทุกคนก็ถูกกำราบอย่างง่ายดาย มีทั้งตายและบาดเจ็บ
หัวหน้าหน่วยทูตพิพากษาสำรวจพื้นที่และกล่าวกับพวกพ้อง
“พวกมันไม่เห็นซากศพที่แขวนอยู่ด้านนอกประตูรึไง?”
สมาชิกที่เป็นเส้นทางนักอ่านไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบ
“ศพเหล่านี้อาจถูกแขวนไว้เพื่อให้พวกเราสืบสวนขยายผลมายังที่นี่”
หัวหน้าทูตพิพากษาเริ่มสงบสติพลางครุ่นคิด
“มีครึ่งเทพของโบสถ์ใดโบสถ์หนึ่งเพิ่งผ่านมาแถวนี้?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น