Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 957-962

 ราชันเร้นลับ 957 : รู้จักกันและกัน

 

ดูไพ่จัดจ์เมนต์ในมือ ซิลผงะไปเล็กน้อย


“ตรงตามที่อยากได้พอดี”


เดอะฟูลที่ถูกปกคลุมด้วยสายหมอกพยักหน้ารับ กล่าวเสียงเรียบ


“การประชุมจะถูกจัดขึ้นที่นี่ทุกบ่ายสามโมงตรงของวันจันทร์ตามเวลาเบ็คลันด์ เตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า… ระหว่างการชุมนุม เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล วัตถุดิบ และสูตรโอสถ รวมถึงสามารถจ้างงานสมาชิกคนอื่นและรับทำภารกิจ”


นึกทบทวนสักพัก ซิลพยักหน้าคล้ายกับเข้าใจบางสิ่ง


“ค่ะ มิสเตอร์ฟูล”


ขณะคิดว่าวันนี้คงไม่มีอะไรแล้ว เธอได้ยินเสียงจากหัวโต๊ะทองแดงยาว


“เจ้าทำอะไรก่อนที่จะถูกพลังนั้นกัดกร่อน?”


เป็นพลังกัดกร่อนจริงๆ ด้วย… ซิลรวบรวมสมาธิ เล่าเรื่องที่ตนและฟอร์สสำรวจปราสาทเก่า เน้นหนักเกี่ยวกับประตูทองแดงที่ถูกเรียกว่าประตูดำ รวมถึงองครักษ์โบราณที่ถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นวิญญาณอาฆาตโบราณ


จากนั้น เมื่อสังเกตเห็นว่าเดอะฟูลพยักหน้ารับและกล่าว


“หากยังไม่ถึงลำดับ 4 อย่ากลับไปที่ปราสาทหลังนั้นอีก… เจ้ากลับไปได้แล้ว”


ซิลลุกขึ้น นึกทบทวนพิธีกรรมทางศาสนาสักพัก ก่อนจะตัดสินใจคำนับทิ้งท้ายด้วยท่าทีนอบน้อม


“ความประสงค์ของท่านคือความประสงค์ของดิฉัน”


กล่าวจบ แสงสีแดงเข้มท่วมท้นการมองเห็นของซิล จนกระทั่งทุกสิ่งเลือนหายไป เธอได้สติและกลับยังมาผืนป่าบนโลกความจริง กำลังยืนพิงต้นไม้ใหญ่


จิตใต้สำนึกสั่งให้มองไปที่หลังมือ พบว่าจุดกระดำกระด่างเจือจางลงอย่างรวดเร็ว ซิลรีบเงยหน้าขึ้นและมองฟอร์สผู้กำลังจ้องหน้าเธอด้วยความเป็นห่วง


เมื่อสายตาประสานกัน ฟอร์สเผยสีหน้าเปี่ยมสุขในตอนต้น ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับพะงาบปาก แต่ไม่มีคำใดเล็ดลอดออกมา


ซิลหายใจเข้าออกเชื่องช้า ชี้นิ้วไปข้างหน้า


“กลับไปที่เมืองกันก่อน”


“ตกลง!” ฟอร์สตอบโดยไม่ลังเล


ในเวลาเดียวกัน เหนือสายหมอก ‘เดอะฟูล’ ไคลน์เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมิสจัดจ์เมนต์และมิสเมจิกเชี่ยน


วัตถุหรือพลังบางชนิดที่ถูกผนึกไว้ด้านหลังประตูดำ ทั้งที่ยังไม่ได้หนีออกมา แต่กลับมีฤทธิ์กัดกร่อนองครักษ์และนักสำรวจภายนอก ลำพังเรื่องนี้ก็น่าสะพรึงกลัวมากแล้ว!


นอกจากนั้น มลพิษยังฝังรากลึกภายในร่างวิญญาณ หากต้องการรักษา ไคลน์มีเพียงสองวิธี วิธีแรก บอกให้เหยื่อประกอบพิธีกรรมพันธสัญญาลับ จากนั้นก็ใช้พลังของมิติหมอกผสานเข้ากับเข็มกลัดสุริยัน ขจัดปัดเป่าโดยสมบูรณ์ วิธีที่ทอง ดึงร่างวิญญาณของเหยื่อขึ้นมาตรงๆ จากนั้นก็ใช้พลังของหมอกชะล้างพิษ พิจารณาจากสถานการณ์เมื่อครู่ เวลามีน้อยมาก มันจึงเลือกอย่างหลัง


เป็นพลังอะไรกันแน่?


พลังกัดกร่อนส่วนใหญ่มาจากเส้นทางปีศาจ… การเชื่อมต่อกับนรก ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้… จากรายละเอียดที่เดอะซันน้อยเล่าให้ฟัง ในช่วงต้นและกลางยุคสมัยที่สอง ปีศาจมักออกจากนรกและโลดแล่นไปบนแผ่นดิน จนกระทั่งเทพสุริยันบรรพกาลถือกำเนิดจากความว่างเปล่า ทวงคืนอำนาจจนเทพบรรพกาลตนอื่นร่วงหล่นมากมาย พวกมันจึงกลับเข้านรก ปิดกั้นทางเข้าออก… พิจารณาจากแนวทางนี้ มีโอกาสที่ทวีปเหนือจะยังเชื่อมต่อกับนรกในบางจุด… บางที ปราสาทหลังนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเฝ้าจับตามองปีศาจ…


แต่ปัญหาคือ ผ่านมาแล้วหลายพันปี ทำไมถึงยังได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่อีก? ปีศาจอยากจะกลับมายังแผ่นดิน? ไคลน์ทำได้เพียงคาดเดาเบื้องต้น


มันไม่คิดจะไปยังปราสาทร้างและสำรวจด้วยตัวเอง เพราะรู้สึกว่า ในเร็วๆ นี้คงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอะไร และในเมื่อข้อมูลนี้มาจากผีดูดเลือด หน้าที่รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมและค้นหาประวัติของปราสาท ก็ควรตกเป็นของ ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน


รวบรวมความคิดสักพัก ไคลน์ปลดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้าย ทำนายว่าปัญหาภายในปราสาทเก่าแก่เป็นเรื่องเร่งด่วนหรือไม่ และได้รับคำตอบในเชิงปฏิเสธ


มันส่งตัวเองกลับโลกความจริงทันที รอคอยให้เมซันเญส ผู้ปกครองท้องถิ่น นำเงินก้อนแรกมาจ่าย



บ่ายสองโมงตรงตามเวลาเฟเนพ็อต แฮกกิสที่แต่งกายคล้ายสุภาพบุรุษทวีปเหนือ เดินทางมาพร้อมกับกองทัพองครักษ์ส่วนหนึ่ง ถือกระเป๋าเดินทางสีดำ เคาะประตูห้องพักดอน·ดันเตส


“เข้ามา” เสียงที่อบอุ่นและสง่างามดังแว่ว ในตอนแรก ไคลน์คิดจะพูดด้วยสำเนียงสำเนียงขุนนางโลเอ็น ก่อนจะเปลี่ยนใจมาเป็นภาษาตูทานท้องถิ่น


แฮกกิสหมุนลูกบิด ผลักประตูเข้าไป พบสุภาพบุรุษจอนสีเทา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มลุ่มลึก ดอน·ดันเตส ยืนขึ้นจากเก้าอี้เอนหลังในชุดเสื้อกั๊กสีดำ


“ทิวาสวัสดิ์ เพื่อนของผม” สุภาพบุรุษชาวโลเอ็นที่มีรูปร่างหน้าตาดี บรรยากาศสง่างาม เดินออกมาสองก้าวพร้อมกับยื่นแขนขวาออกมา


ในประโยคเมื่อครู่ มันเปลี่ยนมาเป็นสำเนียงขุนนางโลเอ็น


แฮกกิสตอบกลับด้วยสำเนียงขุนนางโลเอ็นเช่นกัน


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นเพื่อนกับคุณ”


มันจับมือกับดอน·ดันเตสแผ่วเบา หัวเราะในลำคอและกล่าว


“ทางนี้นี่คือคนรับใช้ของคุณ?”


มันหมายถึงชายหนุ่มลูกครึ่งด้านหลังพ่อค้าอาวุธ อีกนัยหนึ่งก็เป็นการถามหยั่งเชิงว่า สามารถเชื่อใจชายคนนี้ได้ไหม เพราะเมื่อครั้งที่ดอน·ดันเตสไปเยือนคฤหาสน์ของนายพล คนรับใช้ไม่ได้ตามไปด้วย


“ถูกต้อง จุดแข็งของเขาก็คือ เป็นคนเก็บความลับได้เก่ง” ดอน·ดันเตสยิ้มพร้อมกับชี้ไปทางโซฟาหลังฝั่งตรงข้ามเก้าอี้เอนหลัง


แฮกกิสที่มาถูกองครักษ์ของคนประกบซ้ายขวา ปิดประตูและเดินมานั่ง พูดพลางยิ้ม


“ผมเคยได้ยินสุภาษิตของอินทิส ว่ากันว่ากล่าวไว้โดยจักรพรรดิโรซายล์… เขาบอกว่า… มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถเก็บความลับได้มิดชิด”


ดอน·ดันเตสยิ้มอ่อน


“จักรพรรดิโรซายล์ยังเคยกล่าวไว้อีกหนึ่งประโยค: สำหรับโลกใบนี้ ศพสามารถพูดได้”


“จริงหรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินมัน” แฮกกิสชื่นชอบที่จะสนทนากับสุภาพบุรุษทวีปเหนือ จึงคุยกันอย่างออกรสเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนจะยกกระเป๋าเดินทางข้างๆ ออกมาเปิด


ทันใดนั้น แสงสีทองพรั่งพรูออกจากกระเป๋าเดินทาง เมื่อสะท้อนกับแสงแดดด้านนอกหน้าต่าง ห้องทั้งห้องสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย


แฮกกิสจ้องหน้าดอน·ดันเตสและพูด


“ห้าพันปอนด์โลเอ็น และอีกห้าพันเหรียญทองกับแท่งทอง… จำนวนนี้คือเงินมัดจำ… อีกสามหมื่นปอนด์จะถูกจ่ายด้วยธนบัตรและทอง ผมจะเป็นคนถือไว้ และจ่ายหลังจากการส่งมอบอาวุธเสร็จสิ้น…”


ดอน·ดันเตสเหลือบมองกองธนบัตร เหรียญทอง และแท่งทองด้วยหางตา ก่อนจะเบือนหน้ากลับและกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“จะเริ่มเมื่อไรกันดี?”


แฮกกิสปิดกระเป๋าเดินทางและส่งให้กับคนรับใช้ของดอน·ดันเตส


“พรุ่งนี้เช้า”


มันเว้นวรรคสองสามวินาทีก่อนจะเปิดปาก


“มิสเตอร์ดันเตส ท่านนายพลแจ้งว่า มีเขตมีผู้เกียรติต้องการพบคุณ”


ดอน·ดันเตสไม่เปลี่ยนสีหน้า เงียบไปสักพักและตอบ


“เมื่อไรดี?”


“ตอนนี้เลย” แฮกกิสตอบโดยไม่มากพิธี “เขาอยู่ชั้นล่าง”


ดอน·ดันเตสพยักหน้ารับ


“เชิญเข้าขึ้นมาได้เลย”


แฮกกิสถอนหายใจโล่งอก พาทหารออกจากห้อง เดินลงบันได


เพียงไม่นาน ลูก้าผู้สวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบง่ายที่ถักจากด้ายทองเหลืองเดินขึ้นมา ผมสีขาวของมันถูกหวีอย่างเรียบร้อย


เมื่อมาถึงประตูห้องพักของดอน·ดันเตส ขณะเตรียมยกแขนไปจับประตู มันได้ยินเสียงจากด้านใน


“เชิญ”


ในคราวนี้ ไคลน์ใช้ภาษาฟุซัคโบราณ


ลูก้าไม่เปลี่ยนสีหน้า ผลักประตูเปิดตามปรกติ


จากนั้น มันเห็นสุภาพบุรุษวัยกลางคนเจ้าของรูปลักษณ์สง่างามคนเมื่อวานกำลังยืนข้างเก้าอี้เอนหลัง หันหน้ามาทางตน


และบนเก้าอี้เอนหลัง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งทิ้งตัว ผมสีน้ำตาลเข้ม หน้าตอบ โครงหน้าชัดลึก บรรยากาศรอบตัวเย็นชา


ลูก้าผงะเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องและปิดประตูไม้


มันนั่งลงบนโซฟา กระจกตาสีเขียวสะท้อนภาพชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?” ลูก้ากล่าวเชิงถาม


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยกมุมปาก


“เรียกชื่อคนอื่นตรงๆ มันเสียมารยาทนะ”


ลูก้าพยักหน้า


“ต้องขออภัยด้วย ผมเป็นฝ่ายเสียมารยาท… จากความทรงจำของผม คุณเพิ่งเลื่อนเป็นลำดับ 5 ได้ไม่เกินครึ่งปี… อาจจะแค่สามเดือน… อา… มันน่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในซากสมรภูมิแห่งเทพ… ใครจะไปคิดว่า… ตอนนี้คุณจะกลายเป็นครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมสูญเสียความเยือกเย็นไม่น้อย”


เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพียงยิ้มกับตัวเอง ไม่อธิบายเพิ่มเติม


หลังจากความเงียบปกคลุม มันถามอย่างไม่รีบร้อน


“แล้วทำไมถึงอยากพบผม?”


ลูก้าตอบเสียงสุขุม


“ผมเองก็ไม่ทราบ”


บรรยากาศภายในห้องพลันกระอักกระอ่วนทันที คล้ายกับลูก้าลืมไปแล้วว่า มันยังต้องอธิบายเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างของฝ่ายตรงข้าม


ลูก้าพยักหน้าเล็กๆ และพูดกับตัวเอง


“เรื่องมีอยู่ว่า… ผมบังเอิญเห็นคำทำนายเมื่อไม่นานมานี้ ภายในคำทำนาย ผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างลำบาก และคนที่ผมจะได้พบในวันนี้ จะช่วยให้ผมรอดพ้นจากปัญหานั้นไปได้… ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่คุณหรือไม่ แต่กันไว้ดีกว่าแก้ ผมตัดสินใจที่จะพบคุณและทำความรู้จัก… ชื่อของผมคือลูก้า·บรูว์สเตอร์ นักบวชที่รับใช้เทพปัญญาความรู้ ปัจจุบันรับผิดชอบในเขตไบลัมตะวันตก”


เกอร์มัน·สแปร์โรว์พยักหน้าเงียบๆ


“ไม่เลว… ตอนนี้ผมรู้จักคุณแล้ว แต่ทางนี้คงไม่ต้องแนะนำตัวเองหรอกใช่ไหม?”


“แน่นอน” ลูก้าครุ่นคิดสักพัก “คุณน่าจะเป็นจอมเวทพิสดาร… ผมเพิ่งได้รับข้อมูลมาว่า ช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในลัทธิเร้นลับของอินทิส”


ลูก้ามิได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยผู้โด่งดังไปทั่วห้าห้วงสมุทรทำเพียงเงียบงันสักพัก จากนั้นก็กล่าว


“ซาราธกลับมาแล้ว”


ภายในแววตาลูก้าเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่เพียงไม่นานก็กลับเป็นปรกติ


ถัดมา มันยืนขึ้นและคำนับ


“ในเมื่อพวกเราได้รู้จักกันแล้ว คงถึงเวลาต้องขอตัว”


กล่าวจบ มันเดินไปทางประตูและบิดลูกบิด เดินออกจากห้อง


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่นั่งบนเก้าอี้เอนหลัง มองแผ่นหลังของอีกฝ่ายถูกประตูไม้บดบัง รอจนกระทั่งอีกฝ่ายหายไปจากการมองเห็น มันหัวเราะในลำคอ


“ยังกับนักต้มตุ๋น”


“จริงครับ” ดอน·ดันเตสที่ยืนอยู่ด้านข้างเก้าอี้เอนหลัง เดินไปหาเก้าอี้นั่งพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ด้วยดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกและจอนสีขาว มันและเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้มีใบหน้าผอม เค้าโครงชัดลึก มองหน้ากันและยิ้ม



บ่ายวันจันทร์ ดอน·ดันเตสหยิบนาฬิกาพกสีทองออกจากกระเป๋า เปิดฝาตรวจสอบ กล่าวกับแฮกกิสที่นั่งฝั่งตรงข้าม


“พวกเราใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ผมคิดว่าคุณกับคนของคุณควรพักผ่อนสักนิด”


“เป็นคำแนะนำที่ดี” แฮกกิสค่อนข้างเห็นด้วย


ดอน·ดันเตสชี้ไปทางถนนด้านหน้า


“ทางนั้นมีโรงแรม พวกเราเข้าไปพักครึ่งวัน ค่อยเริ่มงานต่อพรุ่งนี้เช้า”


แฮกกิสไม่คัดค้าน เพียงเดินไปข้างหน้าและสั่งคนขับรถม้าสองสามประโยค


หลังจากเช็กอิน ดอน·ดันเตสปฏิเสธคำเชิญเข้าร่วมดื่มชายามบ่ายของแฮกกิสโดยอ้างว่าต้องการงีบพักตอนกลางวัน


ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง บนมิติหมอกไร้ขอบเขต ไคลน์นั่งในตำแหน่งของเดอะฟูล



 

 

 


ราชันเร้นลับ 958 : แปะป้าย

 

แสงสีแดงเข้มสว่างขึ้น ก่อตัวเป็นบุคคลที่แตกต่างกันริมโต๊ะทองแดงยาว


ความเงียบงันที่ดูราวกับคงกระพันมานานนับพันปีถูกทำลายลง พระราชวังโบราณคล้ายกับได้รับชีวิตชีวากลับคืนมา


หลังจาก ‘จัสติส’ ออเดรย์ตระหนักถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว เธอเตรียมลุกจากเก้าอี้และทักทายบุคคลหัวโต๊ะทองแดงยาว


แต่ทันใดนั้น ในฐานะผู้ชมมากประสบการณ์ เธอพบความผิดปรกติภายในชุมนุม


มีสมาชิกเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วถึงสองคน!


หนึ่งในนั้นเป็นเพศชาย นั่งฝั่งขวามือเดอะฟูล อีกคนเป็นหญิง นั่งฝั่งซ้ายมือของเฮอร์มิท


ออเดรย์เกิดความยินดี เนื่องจากชุมนุมทาโรต์ที่เธอรักและหวงแหนได้พัฒนาขึ้นอีกขั้น แต่ก็ต้องวางตัวเป็นมืออาชีพ เข้าสู่โหมด ‘ผู้ชม’ ตามสัญชาตญาณ


จากตำแหน่งปัจจุบัน สุภาพบุรุษฝั่งตรงข้ามจะสำรวจได้ง่ายกว่าสตรีที่นั่งฝั่งเดียวกัน จึงทุ่มเทความสนใจไปยังชายคนนั้นก่อน


ผมสีดำ… ตาสีเขียว… ไม่สวมเสื้อนอก… เสื้อกั๊กเข้าชุดกับเสื้อเชิ้ต… ท่านั่งค่อนข้างแปลก เหมือนกับไม่ถนัดการนั่งปรกติ… สูงราวร้อยแปดสิบ เป็นคนง่ายๆ … ตอนนี้กำลังประหม่า… เพียงครู่เดียว จัสติสออเดรย์ได้รับข้อมูลจำนวนมากจากร่างกายที่คลุมเครือของอีกฝ่าย


จากนั้น เธอพบบางสิ่งที่ผิดปรกติ


สุภาพบุรุษคนดังกล่าวกำลังสำรวจรอบๆ อย่างรวดเร็ว


โดยทั่วไป การสำรวจสมาชิกร่วมชุมนุมไม่ใช่เรื่องแปลก ทุกคนต่างก็เป็นเช่นนี้ พยายามจดจำลักษณะทางกายภาพภายนอก แต่ปัญหาคือ ชายคนนี้ขยับดวงตาเร็วเกินไป


เป็นการมองกวาดผ่านเดอะมูน แฮงแมน และคนอื่นๆ ทันทีโดยไม่ชะงักค้างไว้


สำหรับออเดรย์ จุดประสงค์ของพฤติกรรมนี้ชัดเจนมาก ชายคนดังกล่าวมิได้กำลังจดจำใบหน้าสมาชิกที่เหลือเพื่อสร้างความคุ้นเคย แต่เป็นการมองหาใครบางคน!


โดยที่มีเป้าหมายในใจอยู่แล้ว!


ออเดรย์เริ่มตื่นเต้น เชื่อว่าอีกฝ่ายคงรู้จักกับใครบางคนในหมู่สมาชิกปัจจุบัน


เพื่อนของใครกัน? เธอเฝ้าสังเกตสักพัก จนกระทั่งพบว่าบุรุษฝั่งตรงข้ามหยุดสายตาไว้ที่ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์


คล้ายกับค้นพบคำตอบ ออเดรย์พึมพำในใจ:


สมาชิกใหม่และมิสเตอร์เวิร์ลเป็นเพื่อนกัน หรืออย่างน้อยก็ในโลกความจริง เขารู้ว่ามิสเตอร์เวิร์ลเป็นสมาชิกของชุมนุมทาโรต์


หรืออาจเป็นไปได้ว่า เป็นมิสเตอร์คือคนที่พาเขาเข้าร่วมชุมนุม… ไม่สิ ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง ชายหน้าใหม่คงมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ ไม่ต้องรีบร้อนมองหาคนรู้จัก โดยปรกติแล้วควรจดจำรูปลักษณ์ภายนอกของสมาชิกคนอื่นๆ ไว้ก่อน…


ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เขาไม่ใช่ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล…


มีความสัมพันธ์อย่างไรกับมิสเตอร์เวิร์ล?


ออเดรย์หยุดการเฝ้าสังเกตไว้เพียงเท่านี้ ลุกขึ้นยืนและมองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว


ระหว่างนี้ หญิงสาวฉวยโอกาส ชำเลืองไปทางสมาชิกใหม่ด้านข้างเฮอร์มิทอย่างเป็นธรรมชาติ


เธอเอาแต่มองมิสเมจิกเชี่ยน… ความสูงระดับนี้… ซิลผ่านการทดสอบและมีสิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมแล้ว? หลังจากระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้ ออเดรย์ยกชายกระโปรงมายาอย่างอารมณ์ดี ทำท่าคารวะต่อบุคคลที่ถูกสายหมอกปกคลุม


“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”


ทักทายเสร็จ เธอค้นพบความไม่ปรกติ


มิสเตอร์ฟูลมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน


ตัวตนที่ยิ่งใหญ่รายนี้ คล้ายกับปัจจุบันหลอมรวมกับมิติหมอกได้ดีขึ้น เป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น ออร่าที่แผ่ออกมามอบความรู้สึกราวกับท้องทะเลและขุนเขา


เป็นความรู้สึกที่ไม่มีคำอธิบาย… ยิ่งมิสเตอร์ฟูลฟื้นคืนพลัง ท่านก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นภายในอาณาจักรแห่งเทพ? ออเดรย์กลอกตาอย่างมีความสุข ในใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและโล่งอก


ขณะเดียวกัน สมาชิกใหม่ทั้งสองยังถูกตรวจสอบโดยอัลเจอร์และแคทลียา พวกมันสังเกตเห็นว่าสตรีร่างเล็กแลกเปลี่ยนสายตากับมิสเมจิกเชี่ยนบ่อยครั้ง ค่อนข้างคุ้นเคยทำธรรมเนียมปฏิบัติของชุมนุมทาโรต์ หรืออย่างน้อยแตกต่างจากชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเสื้อกั๊กสีดำโดยสิ้นเชิง อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนทำความเคารพมิสเตอร์ฟูลช้ากว่าใครเพื่อน แถมยังด้วยท่าทีลนลาน


นอกจากนั้น พวกมันยังเห็นตรงกันว่า สมาชิกหน้าใหม่เพศชายดูเหมือนจะให้ความสนใจกับเดอะเวิร์ลมากเป็นพิเศษ จึงผุดข้อสันนิษฐานภายในใจคนละหนึ่งถึงสอง


แม้จะภายในใจจะเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แต่ก็ไม่มีใครแสดงออก แฮงแมนกับเฮอร์มิทดำเนินพิธีทำความเคารพเดอะฟูลไปตามปรกติ


สำหรับ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค เด็กหนุ่มมีความสุขจากก้นบึ้ง เพราะการเพิ่มจำนวนของสมาชิกย่อมหมายถึงการเติบโตขององค์กร ทางด้านเอ็มลิน อารมณ์ของมันค่อนข้างซับซ้อน ในแง่หนึ่ง มันยินดีที่มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา เพราะตนจะได้กลายเป็นอาวุโส แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันรู้สึกว่า ‘ผู้ถูกเลือก’ ในเหตุการณ์วันสิ้นโลกมีจำนวนมากเกินไปสักนิด


หลังจากสำรวจสักพัก ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดยืนยันว่าสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งคือไคลน์·โมเร็ตติ เพราะลักษณะทางกายภาพสอดคล้องกับแฟ้มข้อมูลเกอร์มัน·สแปร์โรว์


เขาปกปิดตัวตนที่แท้จริง… แม้กระทั่งในชุมนุมลับนี้ ไคลน์ไม่ได้ผ่อนคลายตัวเอง ยังคงดำเนินการปลอมตัวสองชั้น… เราเองก็ต้องจำเรื่องนี้ให้ขึ้นใจ… ขณะเลียวนาร์ดได้ข้อสรุป มันเห็นสตรีคนแรกที่นั่งฝั่งซ้ายมือของมิสเตอร์ฟูลลุกขึ้นยืน จากนั้นทุกคนก็ลุกตาม


มันผงะเล็กน้อย จึงตอบสนองได้ช้ากว่าใคร กลายเป็นคนเดียวที่ยังนั่งท่ามกลางหมู่สมาชิกที่ลุกยืน


ผ่านไปหนึ่งวินาที เลียวนาร์ดได้สติ รีบลุกขึ้นยืนและทำความเคารพ


เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ซิลชำเลืองมาทางเลียวนาร์ด ก่อนจะมองกลับไปหาฟอร์สและวาดสัญลักษณ์ ‘=’ (เท่ากับ) พร้อมกับชี้เข้าหาตัวเอง


ฟอร์สเข้าใจความหมาย และตอบสนองด้วยสัญลักษณ์แบบเดียวกัน แต่แตกต่างจากซิล อีกฝ่ายดูไม่เอาไหนตั้งแต่วันแรกที่เข้าร่วมชุมนุม


“ทางนี้คือเดอะสตาร์ และทางนี้คือจัดจ์เมนต์ ทุกคนนั่งลงและแนะนำตัวเอง” ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ยกมือขวาขึ้นชี้อย่างเป็นกันเอง


เดอะสตาร์… เราคิดมาตลอดว่ามันเป็นโค้ดเนมสำหรับผู้หญิง… เลียวนาร์ดครุ่นคิดอย่างจนปัญญา ตัดสินใจกลับมามีสมาธิกับฉากตรงหน้า เตรียมทำตามคำสั่ง ฟังการแนะนำตัวของสมาชิกแต่ละคน


มิสจัสติส ภาพลักษณ์เหมือนคุณหนู… แต่อาจจะเป็นแบบเดียวกับไคลน์ มีการปลอมตัวสองชั้น… เป็นคนมองโลกในแง่ดี สดใสร่าเริง… สำหรับเครื่องแต่งกาย แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่ก็ดูมีรสนิยมมาก…


มิสเตอร์แฮงแมน… หยาบกร้าน ดุดัน… คงเป็นคนตรงไปตรงมาแต่หุนหัน…


มิสเมจิกเชี่ยน… เธอมองเราด้วยสายตาประหลาด แอบชำเลืองไคลน์เป็นครั้งคราว ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรขึ้น แต่ภายนอกจืดชืดมาก ไม่มีจุดเด่นเลย…


เดอะซัน… สูงมาก… คำพูดคำจาเหมือนวัยรุ่นที่มีสัมมาคารวะ ถึงจะเงียบไปสักนิด แต่ท่าทีก็ดูเป็นมิตร…


มาดามเฮอร์มิท… สง่างาม มอบความรู้สึกของกุลสตรีสงวนกิริยา น่าจะเป็นผู้วิเศษมากประสบการณ์…


มิสเตอร์มูน ภายนอกดูอ่อนเยาว์ แต่ค่อนข้างเก็บตัว… เรารู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน แต่ยังนึกไม่ออก ไว้ค่อยสังเกตเพิ่มเติมภายหลัง…


มิสจัดจ์เมนต์ ตัวเล็กมาก เล็กจนเด่นสะดุดตา แต่ก็อาจเป็นการปลอมตัวสองชั้น…


เดอะเวิร์ล… หม่นหมองมาก แฝงความเศร้า แต่น่าจะเป็นการปลอมตัวของเขา… แต่ก็อาจเป็นความรู้สึกที่แท้จริงเช่นกัน… เขาเพิ่งเป็นครึ่งเทพ แสดงให้เห็นว่าชุมนุมแห่งนี้มีลำดับค่อนข้างสูง… บางที เราอาจอ่อนแอที่สุด…


ขณะเลียวนาร์ดตรวจสอบสมาชิกทุกคน ซิลเองก็ทำแบบเดียวกันด้วยความช่วยเหลือของโอสถเจ้าพนักงาน รวบรวมเอกลักษณ์ของทุกคนและบันทึกไว้ในใจ


คุณหนูตระกูลขุนนาง… ลูกเรือหรือไม่ก็นักเดินเรือ… ค่อนข้างหนุ่ม ค่อนข้างเก็บตัว… แข็งแกร่งมาก น่าจะเป็นหัวหน้าทีมขนาดกลาง… หยิ่งผยอง แต่มาจากตระกูลที่ดี… เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มั่นคง… อึมครึม น่าสะพรึงกลัว…


ท่ามกลางความคิดมากมายที่แล่นผ่าน การแนะนำตัวของสมาชิกทุกคนจบลง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาหันไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวพร้อมกับคำนับและกล่าว


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ วันนี้ดิฉันไม่ได้รับไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์”


ไม่ได้รับ… ราชินีเงื่อนงำไม่ตอบ? แบร์นาแดตกำลังพัวพันกับเรื่องไหนอยู่… ไคลน์พยักหน้ารับ ตอบกลับอย่างสุขุม


“เริ่มช่วงเวลาซื้อขายได้”


เมื่อสิ้นเสียง ออเดรย์เฝ้ามองท่าทีตอบสนองของเฮอร์มิทและแฮงแมน พบว่าอีกฝ่ายมิได้ตระหนักว่าพลังของมิสเตอร์ฟูลได้เพิ่มไปขึ้นอีกระดับ


เราเป็นคนเดียวที่สังเกตเห็น? ‘จัสติส’ ออเดรย์ชำเลืองด้วยสายตาครุ่นคิด ถอนหายใจแผ่วเบาเจือความสุขบางๆ


แน่นอน ออเดรย์ยังไม่ลืมว่า ทั้งแฮงแมนและเฮอร์มิทไม่กล้าจ้องมิสเตอร์ฟูลตรงๆ โดยเฉพาะรายหลังที่ส่วนใหญ่เอาแต่มองขอบโต๊ะด้านหน้ามิสเตอร์ฟูล


ขอบโต๊ะ… เห… ไพ่เย้ยเทพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งใบ! ออเดรย์ชำเลืองเล็กน้อยก่อนจะถอนสายตากลับด้วยความตกตะลึง


ด้วยสัญชาตญาณของผู้ชม เธอค่อนข้างมั่นใจว่า การได้รับไพ่เย้ยเทพใบใหม่ สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่มิสเตอร์เวิร์ลได้รับอาการทางจิตที่ไม่ซ้ำกับของเดิม


เธอลังเลสักพัก ก่อนจะมองไปรอบๆ และกล่าว


“ดิฉันไม่มีสิ่งที่ต้องการ”


‘เฮอร์มิท’ แคทลียา ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค ‘เดอะมูน’ เอ็มลินและ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สต่างเตรียมความพร้อมของตัวเองเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ทุกคนใกล้จะเลื่อนลำดับ จึงไม่มีใครตามหาวัตถุดิบ เช่นเดียวกันกับ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ที่กำลังทุ่มเทให้กับการย่อยโอสถ


ในทางกลับกัน เป็นเลียวนาร์ดที่ต้องการซื้อวัตถุดิบวิเศษ แต่กลับไม่มีตัวอย่างสาธิต จึงไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร จึงเบี่ยงสมาธิไปสนใจเรื่องที่มิสเตอร์ฟูลปรารถนาไดอารีจักรพรรดิโรซายล์แทน


หลังจากขายถุงมือ ‘อินธน์’ ในราคาสูง มันมิได้ประสบปัญหาทางการเงิน และหลังจากได้ลองใช้ยุบพองหิวโหย เลียวนาร์ดพบว่าสมบัติวิเศษระดับสูงค่อนข้างมีประโยชน์ในการต่อสู้


ขณะเดียวกัน ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สหันไปมองซิล ก่อนจะมองไปยังฝั่งตรงข้าม


“มิสเตอร์แฮงแมน ฉันมีวัตถุดิบวิเศษที่อยากให้ช่างฝีมือช่วยสร้างเป็นสมบัติวิเศษ”


เธอหมายถึงละอองฝุ่นของวิญญาณอาฆาตโบราณที่ซิลครอบครอง


อัลเจอร์ส่ายหน้า


“ช่างฝีมือคนดังกล่าวถูกควบคุมตัวโดยโรงเรียนกุหลาบที่ศรัทธาดวงจันทร์บรรพกาล นั่นคือทั้งหมดที่ผมทราบ เรื่องราวหลังจากนั้นถูกยกให้มาดามเฮอร์มิทจัดการ”


โรงเรียนกุหลาบ… สาวกดวงจันทร์บรรพกาล… ส่งต่อให้เฮอร์มิทจัดการแทน… ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดเหลียวซ้ายแลขวา พบว่าชุมนุมลับแห่งนี้ไม่ธรรมดา ผิดไปจากความคาดหมายของมันพอสมควร


ทุกคนเร้นกายในเงามืดของโลกและลงมือแทรกแซงอย่างลับๆ !



 

 

 


ราชันเร้นลับ 959 : เด็กใหม่เหมือนกัน...

 

แคทลียาหันไปด้านข้างเล็กน้อย มองหน้าเมจิกเชี่ยน


“ปัญหานี้ค่อนข้างซับซ้อน ฉันแนะนำให้คุณรออีกอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้ยังไม่สามารถสัญญาอะไรได้ บอกได้เพียงว่า ในอนาคต น่าจะมีใครสักคนช่วยคุณสร้างสมบัติวิเศษได้”


น่าจะมีใครสักคน… หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นช่างฝีมือคนเก่า… เธอคิดจะบ่มเพาะช่างฝีมือขึ้นมาเอง หรือเปลี่ยนช่างฝีมือคนเดิมให้กลายเป็นสมบัติปิดผนึกและใช้มันสร้างสมบัติวิเศษ? อา… มาดามเฮอร์มิทเป็นผู้มากประสบการณ์อย่างที่คิด… ถ้าต้องฆ่าอีกฝ่าย แปลว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนเส้นทางดังกล่าว… ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดนั่งเงียบ วิเคราะห์หลายสิ่งภายในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่มันตั้งใจในการประชุม


“ไม่มีปัญหา” ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเชื่อใจมาดามเฮอร์มิทโดยไม่เคลือบแคลง เพราะท้ายที่สุด อีกฝ่ายเพิ่งได้รับหยดเลือดของสัตว์ในตำนาน อีกไม่นานก็คงเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ


ถึงตรงนี้ เธอได้ยินเสียง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์กล่าวอย่างแหบพร่า


“ถ้าอยากให้ช่วยก็บอกมาได้ทุกเมื่อ”


ทั้งการที่มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายหมกมุ่นอยู่กับมิติหมอกจนน่าแปลกใจ รวมถึงคำเตือนของโรซายล์ที่ระบุว่า ‘ระวังดวงจันทร์ให้ดี’ สำหรับไคลน์ซึ่งกำลังค้นหาความลับของการเดินทางข้ามโลกและประตูแห่งแสง ย่อมให้ความสนใจในโรงเรียนกุหลาบและดวงจันทร์บรรพกาล ซึ่งช่างฝีมือคนดังกล่าวกำลังพัวพันอยู่กับทั้งสองสิ่ง


แคทลียามิได้คาดหวังว่าเดอะเวิร์ลจะเสนอตัว จึงเงียบไปสักพักก่อนจะพยักหน้า


“ตกลง ถ้าฉันจัดการไม่ไหว จะขอความช่วยเหลือคุณผ่านมิสเตอร์ฟูล”


เธอจงใจเอ่ยประโยค ‘ขอความช่วยเหลือผ่านมิสเตอร์ฟูล’ เพื่อจะบอกสมาชิกใหม่ว่า ชุมนุมทาโรต์มีวิธีการติดต่อสื่อสารแสนวิเศษ ไม่ต้องมัวติดขัดในเรื่องพื้นฐาน ถึงเวลาก็จะเข้าใจกันเอง


ในฐานะนายพลโจรสลัดที่มีค่าหัวสูงที่สุดในห้าห้วงสมุทร ณ ปัจจุบัน และผู้นำกลุ่มโจรสลัดที่มีสมาชิกหลายร้อย การที่เธอทำเช่นนี้ มิใช่เพราะเมตตาโดยสุจริต หรือเพราะกลัวว่าคำถามของสมาชิกใหม่จะขัดอรรถรสของชุมนุมทาโรต์ แต่เธอทำไปเพื่อสร้างแรงสะกดข่มต่อสมาชิกหน้าใหม่


แน่นอน ถ้าไม่ใช่สถานการณ์ที่มีเวลาจำกัด จนเธอประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ทัน แคทลียาจะไม่เลือกวิธีที่รบกวนมิสเตอร์ฟูลเด็ดขาด


ขอความช่วยเหลือผ่านมิสเตอร์ฟูล… ซิลเข้าใจบางสิ่ง พยายามข่มใจให้ไม่มองฟอร์ส


ขอความช่วยเหลือผ่านมิสเตอร์ฟูล? เลียวนาร์ดครุ่นคิดหลายสร้าง สร้างข้อสันนิษฐานในใจ


เมื่อเห็นใครบางคนสาธิตเป็นตัวอย่าง มันผ่อนคลายลงเล็กน้อย คิดสักพักก่อนจะพูด


“ผมต้องการสมบัติวิเศษ”


“ประเภทใด?” ‘จัสติส’ ออเดรย์ตอบทันที เพื่อป้องกันมิให้บรรยากาศกระอักกระอ่วน


เลียวนาร์ด ‘เอ่อ’ ยาวและแสดงความลังเล ก่อนจะตอบตามจิตใต้สำนึก


“ผมไม่ทราบ…”


มันแค่วางแผนไว้ แต่ยังมิได้ไตร่ตรองรายละเอียดเชิงลึก เพราะเพิ่งคิดเรื่องนี้ได้หลังจากเข้ามานั่งในชุมนุมทาโรต์เรียบร้อยแล้ว


ไม่ทราบ… นายมันบ้า… ไคลน์ฝืนหุบยิ้มไม่ให้ขำใส่เลียวนาร์ดที่มักทำตัวง่ายๆ


เมื่อเห็นทุกคนมองมาทางตน สายตาแฝงอารมณ์หลากหลาย ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดรู้สึกอับอายทันที รีบเสริมอย่างรวดเร็ว


“ผมหมายความว่า จำเป็นประเภทใดก็ได้ ขอเพียงมีประสิทธิภาพด้านการโจมตีและมีพลังช่วยในการอำพรางตัว รวมถึงผลข้างเคียงต่ำ ที่เหลือไม่ติดขัด”


มันต้องการใช้ประโยชน์จากพลังการตรึงที่แข็งแกร่งของ ‘ฝันร้าย’ งานควบคุมศัตรูจะเป็นของตน ส่วนพาลีส·โซโรอาสเตอร์จะคอยควบคุมสมบัติวิเศษ สร้างความเสียหายหนักหน่วงแก่ศัตรูที่ถูกตรึง และเมื่อกลายเป็น ‘จอมอาคมวิญญาณ’ อาศัยความช่วยเหลือจากวิญญาณหรือเงาดำที่ผนึกไว้ในฟัน มันสามารถทำหลายสิ่งพร้อมกันได้มากกว่าคนปรกติถึงสามเท่า


หลังจากเดอะสตาร์อธิบายจบ อัลเจอร์ไม่ทวนรายละเอียด เพียงถาม


“ต้องการสมบัติวิเศษในระดับใด?”


“แข็งแกร่งกว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 2 เล็กน้อย… เอ่อ… ประมาณลำดับ 5 หรือ 6” เลียวนาร์ดติดนิสัยชอบเปรียบเทียบกับสมบัติปิดผนึก จึงรีบเปลี่ยนคำเรียกในตอนหลัง


ทันใดนั้น ความคิดที่เหมือนกันผุดขึ้นในใจออเดรย์ แคทลียา อัลเจอร์ และซิล:


เดอะสตาร์เป็นผู้วิเศษของทางการ หรืออย่างน้อยก็เคยเป็น!


จากมุมมองของพวกมัน ผู้วิเศษเถื่อนมีสิทธิ์ในการเปรียบเทียบระดับกับสมบัติปิดผนึกก็จริง แต่เมื่อเป็นสิ่งที่ต้องการรายละเอียดแน่ชัด โดยทั่วไปแล้วมักจะเปรียบเปรยกับอย่างอื่น เช่นการนำไปเปรียบกับลำดับพลังซึ่งแบ่งแยกได้ชัดเจนกว่า ง่ายต่อการเข้าใจมากกว่า


ดังนั้น ทุกคนจึงสรุปตรงกัน


และนั่นทำให้สถานการณ์น่าสนใจมากขึ้น


หืม… ทำไมมิสเตอร์เวิร์ลถึงสนิทกับผู้วิเศษของทางการ… พวกเขารู้จักกันได้ยังไง? แล้วทำไมถึงกล้าชวนเข้าชุมนุมทาโรต์? ออเดรย์ปิดปากเงียบ สงวนมารยาทของผู้ชม สนุกสนานไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น


ทันใดนั้น อัลเจอร์อืมในลำคอ


“สมบัติวิเศษในลำดับ 5 จะมีมูลค่าอย่างน้อยเก้าพันปอนด์ แต่ถ้าจะเอาที่ตรงใจคุณ ราคาคงไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์”


ตรงไปตรงมาดี… เลียวนาร์ดพยักหน้า


“เข้าใจแล้ว”


หลังจากได้ยินคำตอบ ไคลน์เกือบจะเผลอเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้า ภายในใจถอนหายใจยาว


แบบนี้ไม่เท่ากับปล่อยไก่ต่อหน้ามิสเตอร์แฮงแมนหรอกหรือ?


กล้าพนันได้เลยว่า หากชายคนนั้นพบสมบัติวิเศษที่เหมาะสม เขาจะขายให้นายแพงกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์แน่นอน!


นอกจากเจ็ดพันปอนด์จาก ‘อินธน์’ เลียวนาร์ดยังมีเงินเก็บเหลือจากส่วนอื่น… นั่นสินะ หากมีคุณปู่นักจารกรรมสิงอยู่ในตัว การออมเงินก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ไม่อย่างนั้นคงไม่รวยพอจะซื้ออินธน์ได้ตั้งแต่แรก…


เข้าใจแล้ว หมอนั่นไม่กลัวการถูกโก่งราคาเพราะตัวเองยังเข้าร่วมชุมนุม ‘ผู้สันโดษแห่งชะตา’ และสามารถเปรียบเทียบราคาจากสองฝั่ง แต่ปัญหาคือ ชุมนุมนั่นจัดขึ้นปีละครั้ง เป็นความถี่คนละเรื่องกับชุมนุมทาโรต์…


ในวินาทีนี้ ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหาของมาขายให้นักกวีเพื่อนรักด้วยตัวเอง อาจเป็นของที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ หรือไม่ก็เป็นประเภทที่มีพลังซ้ำกับเส้นทาง


ขณะเดียวกัน แฮงแมนตอบอย่างสุขุมลุ่มลึก


“ตกลง ผมจะช่วยดูให้”


“ตกลง” แคทลียาและสมาชิกคนอื่นต่างก็ตอบรับในแบบเดียวกัน


หลังจากนั้น ไม่มีธุรกรรมใหม่เกิดขึ้น ส่งผลให้ชุมนุมทาโรต์เข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ


โดยไม่รอให้แฮงแมนถาม เดอร์ริคยกมือพูด


“ผมกลับมาถึงเมืองเงินพิสุทธิ์แล้ว ท่านเจ้าเมืองบอกว่า การสำรวจวังราชาคนยักษ์เบื้องต้นจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า… เขากำลังหมายความว่า ให้ผมรีบเลื่อนลำดับกลายเป็นนักบวชแสง?”


วังราชาคนยักษ์? ทีมสำรวจวังราชาคนยักษ์? เลียวนาร์ดหันไปมองเด็กวัยรุ่นเก้าอี้ติดกันด้วยความประหลาดใจ


เท่าที่มันทราบ วังราชาคนยักษ์ถูกทำลายไปนานแล้วนับตั้งแต่ยุคสมัยที่สอง พาลีส·โซโรอาสเตอร์ที่เป็นเทวทูตเล่าว่า สถานที่ดังกล่าวเลือนหายไปกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาแล้ว


ใครจะไปคิดว่า เดอะซันแห่งชุมนุมทาโรต์กลับกำลังจะไปสำรวจที่สุด แถมยังไม่มีสมาชิกคนใดประหลาดใจ!


ใช่แล้ว ไม่แม้แต่คนเดียว กระทั่งมิสจัดจ์เมนต์ที่เป็นเด็กใหม่เหมือนกัน ก็ยังดูเหมือนจะทราบเรื่องนี้และวางตัวปรกติ


หรือว่า… มิสเมจิกเชี่ยนอัปเดตข้อมูลการชุมนุมให้มิสจัดจ์เมนต์จนถึงครั้งล่าสุด จึงเหลือเพียงเลียวนาร์ดที่ไม่รู้อะไรเลย… ‘เดอะฟูล’ ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พลางวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวเอง


หลังจากดึงเลียวนาร์ดขึ้นมาบนมิติหมอกและมอบไพ่เดอะสตาร์ ไคลน์ก็ละเลยอีกฝ่ายมาตลอด ไม่แม้แต่จะเขียนจดหมายแนะนำสถานการณ์เบื้องต้น!


เทียบกับผู้หญิง ผู้ชายมักหลงลืมเรื่องแบบนี้… ขณะไคลน์เตรียมควบคุม ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้อธิบายกับเลียวนาร์ด ‘เดอะมูน’ เอ็มลินชำเลืองนักกวีข้างๆ ตนพลางตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ


“วังราชาคนยักษ์อยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง”


กล่าวจบ มันไม่แยแสท่าทีตอบสนองของเลียวนาร์ด เพียงหันไปกล่าวกับเดอะซัน


“เจ้ามีวัตถุดิบโอสถนักบวชแสงแล้วหรือยัง?”


มันทราบว่า อีกฝ่ายเพิ่งได้รับสูตรโอสถไปเมื่อหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อน


“ครับ ผมได้มาจากมิสเตอร์เวิร์ล” เดอร์ริคตอบเถรตรง แต่ไม่เล่ารายละเอียด


ในเวลาเดียวกัน สมองเลียวนาร์ดเต็มไปด้วยคำว่า ‘ดินแดนเทพทอดทิ้ง’ และ ‘วังราชาคนยักษ์’ รู้สึกราวกับตนกำลังเดินหลงเข้ามาในโลกแห่งเทพนิยาย


สัญชาตญาณของมันบอกให้ปรับตัวเข้ากับข้อมูลของชุมนุมทาโรต์โดยเร็ว เริ่มตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวที่ว่า ‘ทุกคนมาจากต่างสถานที่’


แม้แต่เจ็ดโบสถ์หลักก็ยังมิอาจตามหาดินแดนเทพทอดทิ้งพบ แต่ชุมนุมทาโรต์กลับทำได้ แถมยังดึงคนของที่นั่นมาเป็นสมาชิก… นอกจากนั้น อะซิก·กายเอสที่น่าจะถือไพ่ ‘เดธ’ ก็ยังไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม… บางที สมาชิกส่วนหนึ่งอาจรับคำสั่งจากมิสเตอร์ฟูลโดยตรง… ไม่ผิดจากที่เราคิดไว้ ชุมนุมทาโรต์คือองค์กรลับที่สามารถพัฒนาไปถึงเจ็ดโบสถ์หลัก มิได้อ่อนแอไปกว่าชุมนุมแสงเหนือหรือโรงเรียนกุหลาบ แถมยังแข็งแกร่งกว่าในบางเรื่อง… นี่คือชุมนุมแห่งเทพของจริง… เลียวนาร์ดเต็มไปด้วยความคิด ในเวลาเดียวกัน อัลเจอร์เห็นพ้องกับข้อสันนิษฐานของเดอะซัน


“น่าจะเป็นแบบนั้น… การสำรวจวังราชาคนยักษ์เป็นภารกิจที่อันตราย เขาคงต้องการให้คุณเติบโตขึ้นจนสามารถถ่วงดุลอำนาจกับอาวุโสคนเลี้ยงแกะ”


‘เดอะซัน’ เดอร์ริคพยักหน้ารับทราบ


“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากมิสเตอร์แฮงแมน”


จากนั้น เด็กหนุ่มเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ในเมืองนอร์ธ ทำให้ซิลและเลียวนาร์ดต่างพากันนั่งอึ้ง จินตนาการภาพที่อีกฝ่ายบรรยายไม่ถูก ทั้งตัวเมืองและบรรยากาศ


อย่างไรก็ตาม ‘เดอะฟูล’ ไคลน์สัมผัสถึงบางสิ่งที่คุ้นเคย พบว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างเมืองนอร์ธและหมู่บ้านสายหมอก


ชาวเมืองที่เดินไปเดินมา มีโอกาสสูงที่จะเป็นหุ่นเชิดไร้ชีวิต!


หมายความว่า มีวัตถุหรือสัตว์ประหลาดลำดับสูงของเส้นทางนักทำนายอยู่แถวนั้น? ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงจดบันทึกเมืองนอร์ธลงไปในสมอง


ทันใดนั้น จัดจ์เมนต์หันไปกล่าวกับเดอะเวิร์ลด้วยท่าทีค่อนข้างเป็นมิตร


“MI9 กำลังสืบสวนเกี่ยวกับภูมิหลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์”



 

 

 


ราชันเร้นลับ 960 : เสียงถอนหายใจของเด...

 

เมื่อได้ยินชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สมาชิกทุกคนหันไปยังอีกฝั่งของสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวทันที ไม่มีใครกล่าวคำใดขึ้นมาทำลายจังหวะ


ทุกคนทราบตรงกันว่า นักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้ก่อวีรกรรมครั้งใหญ่อีกหน นั่นคือการสังหาร ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ ทว่า ออเดรย์กลับปักใจเชื่อว่า นั่นมิใช่สาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายได้รับอาการทางจิต


และท่าทีของทุกคนทำให้เลียวนาร์ดสามารถยืนยันได้อีกหนึ่งเรื่อง: ทุกคนในชุมนุมรู้ว่าเดอะเวิร์ลคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์!


ไคลน์ปลอมตัวได้แนบเนียนมาก… แต่ว่า ทำไมถึงยอมให้สมาชิกคนอื่นทราบเกี่ยวกับตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์? ในชุมนุมลับทำนองนี้ ไม่ใช่ว่าควรปกปิดตัวตนให้มิดชิดหรอกหรือ? ขณะเลียวนาร์ดสงสัย เสียงอันแหบพร่าของเดอะเวิร์ลดังขึ้น


“MI9 ได้เบาะแสไปถึงไหนแล้ว”


โดยไม่รู้สึกละอายใจที่ทรยศ MI9 ซิลตอบเถรตรง


“พวกเขายืนยันได้แล้วว่า ตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นของปลอม และมีต้นกำเนิดมาจากเบ็คลันด์”


แน่นอน… ชื่อเก่าคือเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ โดยจะใช้ชื่อเกอร์มันในตอนที่ออกจากเบ็คลันด์… แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา… เลียวนาร์ดมองไปรอบๆ ตามจิตใต้สำนึก พบว่าแม้สมาชิกคนอื่นจะมิได้แปลกใจกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้ลึกสักเท่าไร ข้อมูลเกี่ยวกับไคลน์น่าจะผิวเผินมาก


ภายใต้การควบคุมของไคลน์ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์หัวเราะในลำคอ ตอบจัดจ์เมนต์


“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”


สำหรับชายหนุ่ม การจะตรวจสอบว่าตัวตนปลอมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาจากไหน อันดับแรกอีกฝ่ายต้องจับตัว ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตให้ได้เสียก่อน หรือไม่ก็สืบหาเบาะแสของเธอจากชารอน และไม่ว่าจะทางใดก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากทั้งคู่!


เมื่อเทียบกันแล้ว หากเลือกสืบแบบเลียวนาร์ด เริ่มจากการแกะรอยนักสืบเอกชนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ โอกาสค้นพบความจริงจะมีมากกว่า แต่ในเมื่อ MI9 ติดกระดุมผิดเม็ดตั้งแต่ต้น เลือกเดินบนเส้นทางที่ท้าทาย ไคลน์ยินดีที่จะเฝ้ามองอย่างสนุกสนาน


มิสเตอร์เวิร์ลไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย… เขามั่นใจในตัวเองมาก… ซิลถอนสายตากลับ มิได้กล่าวต่อ


ขณะเดียวกัน ออเดรย์พิจารณาสักพักก่อนจะถาม


“มิสเตอร์เวิร์ล คุณจะกลับมาที่เบ็คลันด์ตอนไหน? ตัวตนดอน·ดันเตสยังใช้งานอยู่ไหม?”


ในฐานะนักจิตบำบัดมืออาชีพ เธอจะไม่เล่าเรื่องอาการทางจิตของคนไข้ต่อหน้าทุกคน เพียงแต่อยากยืนยันให้แน่ใจว่า อีกฝ่ายจะกลับมายังกองทุนการกุศลอีกครั้ง เพราะนั่นจะช่วยให้เธอติดต่อกับเดอะเวิร์ลบนโลกความจริงได้ง่ายขึ้น


สำหรับเรื่องของดอน·ดันเตส เธอไม่มีเจตนาจะเก็บซ่อน เพราะสมาชิกเก่าต่างทราบเรื่องนี้กันทุกคน และมิสเตอร์สตาร์ก็สนิทกับมิสเตอร์เวิร์ล ส่วนซิลก็มีฟอร์สคอยเล่าให้ฟังล่วงหน้า


หืม… ได้ยินคำกล่าวของมิสจัสติส เลียวนาร์ดแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ภายในใจเริ่มสับสน


ไคลน์·โมเร็ตติคือดอน·ดันเตส?


เราเพิ่งไปพบกับดอน·ดันเตสและถามเกี่ยวกับไคลน์·โมเร็ตติ…


ไม่ใช่… เป็นไปไม่ได้ ดอน·ดันเตสคือสัตว์ประหลาดที่เหลือรอดมาจากยุคสมัยที่สี่ กิริยาท่าทางของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจน!


ตาแก่ก็คิดแบบเดียวกับเรา!


ทันใดนั้น อารมณ์ของเลียวนาร์ดผันผวนอย่างหนัก ตัดสินใจไม่เชื่อคำพูดมิสจัสติส


หากไม่ใช่เพราะเป็นวิญญาณดารา เกรงว่าสีหน้าแววตาของตนคนเผยให้ทุกคนเห็นอย่างเด่นชัด


ตรงข้ามกับเลียวนาร์ด ซิลเองก็เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาตกตะลึง


เขาคือดอน·ดันเตส? ดอน·ดันเตสคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์?


และเราก็ถูกจ้างงานจากพ่อบ้านของเขา… เคยทำภารกิจคุ้มกันเขา… และเคยเห็นใจเขา…


ทั้งที่เขาสามารถบี้เราได้ด้วยมือข้างเดียว…


ซิลหันศีรษะไปทางฟอร์ส


ถ้าเป็นเรื่องของมิสเตอร์เวิร์ล เราไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น อย่างมากก็เล่าแค่ผิวเผิน… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สถอนสายตากลับด้วยความสำนึกผิด พึมพำท่ามกลางความเงียบ ฉากดังกล่าวทำให้อัลเจอร์และแคทลียาสามารถคาดเดาบางอย่าง


มิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์รู้จักกันบนโลกความจริง


มิสจัดจ์เมนต์เคยพบกับดอน·ดันเตสมาแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ในฐานะผู้ชมมากประสบการณ์ ออเดรย์พบความผิดปรกติเกี่ยวกับเดอะสตาร์และจัดจ์เมนต์ในทันที และพบว่าตัวเองลึกเกินไป


ออเดรย์ เธอต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน! เธอตำหนิตัวเองด้วยความอับอาย ภายในใจรีบนึกคำแก้ต่าง


“ดอน·ดันเตสเป็นตัวตนร่วม บ้างก็เป็นมิสเตอร์เวิร์ล บ้างก็เป็นข้ารับใช้คนอื่นของมิสเตอร์ฟูล”


แบบนี้นี่เอง… สมเหตุสมผล! เลียวนาร์ดโล่งใจเมื่อได้ยินคำอธิบายจากจัสติส จากนั้นก็พยายามทำความเข้าใจอีกหลายสิ่ง


ในช่วงก่อนจะแทรกซึมวิหารนักบุญแซมมวล ดอน·ดันเตสคนนั้นน่าจะเป็นไคลน์ แต่ในเวลาอื่นคือข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… กงสุลมรณะ? จริงด้วย… สัตว์ประหลาดที่เหลือรอดมาจากยุคสมัยที่สี่… สายเก่าของตาแก่…


อา… อาจเป็นข้ารับใช้คนอื่นที่เราไม่รู้จักก็ได้ แต่ระดับไม่มีทางต่ำแน่… หืม… ข้ารับใช้คนอื่น… หมายความว่าไคลน์เองก็เป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล?


เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสเตอร์ฟูลถึงบอกว่า เขาเข้าร่วมการชุมนุม แต่เป็นในลักษณะที่แตกต่างจากเรา… และเนื่องจากเขาเป็นข้ารับใช้ที่ได้รับการอวยพรจากมิสเตอร์ฟูล จึงมีออร่าโบราณ ทำให้ตาแก่แยกแยะไม่ออกว่าดอน·ดันเตสเกิดจากการปลอมตัวของหลายคน?


นั่นอธิบายคำถามของเราเมื่อครู่… เกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นข้ารับใช้ จึงไม่ต้องเก็บเป็นความลับ…


แต่สำหรับจัดจ์เมนต์ การที่ดอน·ดันเตสจะเป็นตัวตนสาธารณะหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่เธอใส่ใจ สาเหตุที่เธอออกอาการมากเป็นพิเศษ เพราะหลังจากได้รู้ความจริง เธออับอายกับความคิดของตัวเองในช่วงเวลาเหล่านั้น


เมื่อเห็นบรรยากาศกลับเป็นปรกติ ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบคำถามของจัสติส


“ใช่… เมื่อถึงเวลา ผมอาจต้องพึ่งพาความช่วยเหลือบางอย่างจากคุณ”


เมื่อกล่าวประโยคครึ่งหลังจบ เดอะเวิร์ลกวาดสายตาไปทางจัสติส เมจิกเชี่ยน จัดจ์เมนต์ เดอะสตาร์ และเดอะมูน


ข…เขากำลังวางแผนที่จะทำบางสิ่งในกรุงเบ็คลันด์? ออเดรย์เข้าใจความหมายของเดอะเวิร์ล เริ่มตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก แต่ขณะเดียวกันก็กังวล


ในแง่หนึ่ง เธอตื่นเต้นเพราะว่า ผู้ที่เข้าร่วมภารกิจล้วนเป็นคนที่ไม่สนิทชิดเชื้อในโลกความจริง ไม่รู้จักตัวตนของกันและกัน เป็นกิจกรรมที่เธอปรารถนามาตลอด แต่ในอีกแง่หนึ่ง เธอกังวลว่าภารกิจดังกล่าวอาจส่งผลถึงความปลอดภัยของเมือง รวมถึงชีวิตของผู้บริสุทธิ์


สำหรับความเสี่ยงของตน เธอเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก เพราะมิสเตอร์เวิร์ลคงให้ทำงานวงนอกมากกว่า เช่นการรวบรวมข้อมูล การเบี่ยงเบนความเข้าใจของเป้าหมาย ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับศัตรู


เดอะมูนเป็นคนที่สองที่เข้าใจความนัยแฝงของเดอะเวิร์ล และมาจากสัญชาตญาณที่ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับปัญหา


คงวุ่นวายไม่น้อย… มันขมวดคิ้ว แต่มิได้ตอบสนอง


หลังจากสมาชิกคนอื่นทยอยพบความในแฝง อัลเจอร์เหลือบไปทางเดอะเวิร์ลและพูด


“ผมเพิ่งได้รับข้อมูลล่าสุด อาร์ชบิชอปอินซ์·แซงวิลล์ ผู้ทรยศแห่งโบสถ์รัตติกาล ถูกฆ่าตายในไบลัมตะวันตก ก่อนจะเสียชีวิต เขาอยู่ในลำดับครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าตอนนี้ 0-08 ตกไปอยู่ในมือของใคร ทางนี้ยังไม่มีข้อมูล เรื่องเดียวที่แน่ชัดก็คือ ฝ่ายที่ปะทะกับอินซ์·แซงวิลล์คือโบสถ์รัตติกาล”


มิสเตอร์แฮงแมนข่าวไวมาก… เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันเท่านั้น… ทางโบสถ์ควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอดไม่ใช่หรือ… แต่อาจเป็นเพราะว่า มีคนจากกองกำลังอื่นเดินทางไปที่จัตุรัสในวันนั้น… ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดตกตะลึงเล็กน้อย แต่มิได้ตอบสนอง


สำหรับออเดรย์และที่เหลือ นี่คือครั้งแรกที่ได้ยินข่าว อย่างไรก็ตาม ถึงคำสำคัญจะประกอบด้วย ‘อาร์ชบิชอป’ ‘ครึ่งเทพ’ และ ‘0-08’ แต่ก็มิได้เกี่ยวอะไรกับตน แทบไม่มีใครใส่ใจ โดยไม่หมู่พวกมัน แคทลียามีความอยากรู้อยากเห็นมากที่สุด เพราะตระหนักถึงความสำคัญของสมบัติปิดผนึกระดับ 0 จึงคิดจะสอบถามราชินีเงื่อนงำและนิกายมอสส์หลังจากกลับไปยังโลกความจริง


ท่ามกลางความเงียบสั้นๆ ‘เดอะฟูล’ ไคลน์เหยียดมือออกมาเคาะขอบโต๊ะ


มันรู้สึกว่าตนจำเป็นต้องเตือนสมาชิกเอาไว้


ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กระแสแห่งกาลเวลากำลังจะพัดมาพาถึง!


ได้ยินเสียงดังกล่าว สมาชิกทุกคนพลันเหยียดหลังตั้งตรง บ้างก็ตรงยิ่งกว่าเก่า พลางหันไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอย่างพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้กระทั่งเลียวนาร์ดและซิลที่เป็นสมาชิกใหม่ พฤติกรรมเช่นนี้เรียกได้ว่าเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ


จากนั้น ทุกคนได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของตัวตนที่สูงศักดิ์


“ด้วยเหตุนี้… กระแสเวลาจึงเกิดการเปลี่ยนผัน”


ด้วยเหตุนี้… กระแสเวลาจึงเกิดการเปลี่ยนผัน? เหตุการณ์อินซ์·แซงวิลล์ทำให้กระแสเวลาเปลี่ยนไป? แม้นั่นจะเกี่ยวข้องกับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ก็เถอะ… อัลเจอร์คาดไม่ถึงว่ามิสเตอร์ฟูลจะให้ความสำคัญมากขนาดนี้ เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก


ในทำนองเดียวกัน ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดที่เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์อินซ์·แซงวิลล์โดยตรง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แม้จะทราบว่าสมบัติปิดผนึกน่ากลัวเพียงใด แต่ก็ไม่ถึงว่าถึงขั้นสามารถเปลี่ยนแปลงกระแสเวลา


จัสติสและคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจอย่างพร้อมเพรียง สมาธิกำลังจดจ่อ แม้แต่ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคที่ไม่มีส่วนร่วมก็ยังรอฟังคำพูดต่อไป


‘เดอะฟูล’ ไคลน์มองไปรอบๆ กล่าวกึ่งยิ้มกึ่งถอนหายใจ


“อาดัมขยับเข้าใกล้ความเป็นเทพเข้าไปทุกทีแล้ว”



 

 

 


ราชันเร้นลับ 961 : เตือนด้วยข้อมูล

 

“อาดัมขยับเข้าใกล้ความเป็นเทพเข้าไปทุกทีแล้ว”


คำพูดง่ายๆ ได้กระเพื่อมไปทั่วชุมนุมทาโรต์ราวกับคลื่นสมุทร


นอกจากเลียวนาร์ด สมาชิกคนอื่น รวมถึงจัดจ์เมนต์ที่ได้รับข้อมูลล่วงหน้ามาจากเมจิกเชี่ยน ต่างนึกทบทวนเกี่ยวกับอาดัม


บุตรแห่งเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ พี่ชายของอามุนด์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นราชาเทวทูตทั้งแปด


และบุคคลที่ราวกับตำนานเดินได้คนนั้น บุคคลที่รอดมาจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวบนโลกความจริงอีกครั้ง และกำลังขยับเข้าใกล้ความเป็นเทพ


นี่มัน… ถึงกับทำให้มิสเตอร์ฟูลถอนหายใจ หมายความว่าอาดัมน่าจะเหลืออีกเพียงก้าวเดียว พร้อมจะกลายเป็นเทพได้ทุกเมื่อ… คิดถึงตรงนี้ อัลเจอร์ประสานมือแน่น พยายามควบคุมอารมณ์อย่างยากลำบาก


เทพแท้จริงลำดับ 0 กำลังจะถือกำเนิด!


ในยุคสมัยที่ห้า จะมีเทพแท้จริงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตน?


อาดัมจะกลายเป็นเทพตนแรกในยุคนี้?


พิจารณาจากการที่เทพมิอาจเดินดินได้อีกต่อไป แทบไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครกลายเป็นลำดับ 0 ได้!


อัลเจอร์เป็นคนทะเยอทะยานก็จริง แต่เป้าหมายของมันมีเพียงลำดับ 2 เทวทูตเท่านั้น เรื่องราวของอาดัมจึงเป็นสิ่งที่ทำใจยอมรับได้ยาก


ต้องไม่ลืมว่า เทพตนสุดท้ายที่ประสบความสำเร็จในการเลื่อนลำดับคือเทพแห่งช่างฝีมือ หรือปัจจุบันคือเทพจักรกลไอน้ำ และนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่


นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้า ผ่านมาแล้วกว่าสามร้อยปี ยังไม่มีใครก้าวขึ้นมาบนบัลลังก์เทพสำเร็จ!


เข้าใจแล้วว่าทำไม มิสเตอร์ฟูลถึงพูดว่ากระแสเวลากำลังจะเปลี่ยนผัน… ท่ามกลางความสับสนของ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา เธอเริ่มเข้าใจในบางสิ่ง คล้ายกับเห็นคลื่นลูกใหญ่ที่ทำให้ยุคสมัยสิ้นสุดลง


ในช่วงหลายปีหลัง เธอรวบรวมวัตถุดิบและเตรียมตัวสำหรับประกอบพิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับ 4 มีความหวังที่จะได้รับเศษเสี้ยวออร่าเทพ ยกระดับตัวตน แต่ท่ามกลางความสุข ความคาดหวัง และความกังวลเล็กๆ เรื่องราวของอาดัมกลับทำให้ความหวาดผวาผุดขึ้นจากก้นบึ้ง ตอนนี้เธออยากจะรีบออกไปคุยกับราชินีเงื่อนงำเพื่อยืนยันอนาคต


สำหรับฟอร์ส ซิล และสมาชิกคนอื่นต่างมีท่าทีตอบสนองที่หลากหลาย ในแง่หนึ่ง พวกมันตกตะลึงที่อาดัมกำลังจะกลายเป็นเทพ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ห้า ในอีกแง่หนึ่ง พวกมันกังวลเกี่ยวกับชีวิตในปัจจุบัน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเอ็มลินหรือผีดูดเลือด ไม่ว่าจะออเดรย์ที่เป็นชนชั้นสูง ทั้งหมดล้วนกำลังอยู่ในยุคสมัยที่ห้า อาศัยอยู่ในโลกที่เกิดจากการวางรากฐานมานานกว่าพันปี ไม่มีใครไม่รู้จักบารมีและความยิ่งใหญ่ของเทพ แม้แต่เทพมารอย่างพระผู้สร้างแท้จริง ทุกตนล้วนน่าเกรงขามและมีอิทธิฤทธิ์มากพอจะสลักความยิ่งใหญ่ไว้ในใจมนุษย์ ดังนั้น พวกมันไม่คิดว่าเทพจะถือกำเนิดได้ง่ายดายนัก และถ้าเกิดขึ้นจริง ไม่มีใครรู้ว่าโลกจะเป็นเช่นไรต่อไป


ในสายตาพวกมัน มิสเตอร์ฟูลเองก็เป็นเทพโบราณที่กำลังฟื้นคืนพลัง เป็นหนึ่งในลำดับ 0 อีกตน


เข้าใกล้ความเป็นเทพ… เทพแท้จริง… ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคกำลังตื่นเต้น คล้ายกับได้เห็นแสงแห่งความหวังและจุดมุ่งหมายในการต่อสู้ของตน


สำหรับมัน มีเพียงลำดับ 0 เท่านั้นที่จะช่วยให้เมืองเงินพิสุทธิ์รอด!


อาดัม? เทพแท้จริง… เลียวนาร์ดไม่ทราบว่าอาดัมเป็นใคร แต่ก็พอจะเข้าใจความหมายของการเข้าใกล้ความเป็นเทพ


ทันใดนั้น มันนำไปเชื่อมโยงกับนักบวชธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เก็บ 0-08 ไปต่อหน้าไคลน์หลังจากการต่อสู้สุดท้ายจบลง


นั่นคืออาดัม? หรือลูกน้อง? ไม่สิ 0-08 คือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 อาดัมซึ่งเข้าใกล้ความเป็นเทพต้องลงมือด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงยากจะรับประกันผลสำเร็จ… เข้าใจแล้วว่าทำไมอินซ์·แซงวิลล์ถึงตายง่ายขนาดนั้น เราเคยคิดว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือ เรากับไคลน์จะลากอินซ์·แซงวิลล์ลงนรกไปพร้อมกัน… อาดัมเป็นใครกัน ทำไมเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน? อาจเป็นเพราะมีเทวทูตสิ่งอยู่ในร่างและได้ทราบข้อมูลของยุคสมัยที่สี่มาไม่น้อย เลียวนาร์ดไม่ตกใจเรื่องที่อาดัมจะกลายเป็นเทพมากนัก เพียงสงสัยว่า ตัวตนที่แท้จริงของอาดัมคือใคร


ในเวลาเดียวกัน เดอะฟูลที่ถูกสายหมอกปกคลุมมิได้อธิบายเพิ่มเติม คล้ายกับต้องการแค่เตือนสติสมาชิกทุกคน ให้พร้อมกับรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น


ท่ามกลางความงงงวยและการวิเคราะห์ของทุกฝ่าย เป็นเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่หันมาทาง ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ด·มิเชลและกล่าวสั้นกระชับ


“อาดัมเป็นบุตรแห่งเทพสุริยันบรรพกาล… พี่ชายของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์”


เลียวนาร์ดผงะทันที มิอาจควบคุมสีหน้าของตน


มันย่อมรู้จักอามุนด์ และความหวาดผวาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตาแก่ในตัวเคยสาธยายความน่าเกรงขามของหนึ่งในราชาเทวทูตให้ฟัง หากอาดัมเป็นพี่ชายของอามุนด์ ความแข็งแกร่งก็น่าจะไม่ต่างกันมากนัก!


เดอะเวิร์ลไม่สนใจท่าทีตอบสนองของเดอะสตาร์ ยังคงกล่าวต่อไป


“ปัจจุบันสามารถยืนยันได้แล้วว่า อาดัมคือหนึ่งในแปดราชาเทวทูต สมญานามเทวทูตจินตภาพ ระดับทัดเทียมกับ ‘เทวทูตกาลเวลา’ อามุนด์… จุดประสงค์ของท่านคือการช่วงชิง 0-08 เพื่อลดระยะห่างระหว่างตัวเองกับเทพแท้จริง และท่านประสบความสำเร็จ”


เทวทูตจินตภาพ… อาดัมเป็นราชาเทวทูตบนเส้นทางผู้ชม? ‘จัสติส’ ออเดรย์เชื่อมโยงสมญานามเข้ากับชื่อของราชามหามังกร แอนเคอร์เวล


และเธอย่อมทราบว่า มังกรจิตตนดังกล่าวเป็นตัวแทนของเส้นทางผู้ชม


สำหรับเลียวนาร์ด กำแพงความรู้ได้ผุดขึ้นในใจมัน ปัจจุบันยังไม่เข้าใจความหมายของราชาเทวทูตดีนัก แต่ไม่กล้าถามออกไป วางแผนจะกลับไปยังโลกความจริงและปรึกษาตาแก่ทีหลัง


อัลเจอร์ใคร่ครวญคำพูดของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ซักถามด้วยสีหน้าไม่ปรกติ


“คุณได้เห็นเหตุการณ์มากับตัว?”


ทันทีที่สิ้นเสียง ตัวมัน เฮอร์มิท และทุกคนต่างได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอที่คุ้นเคย


หลังจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์หัวเราะจบ มันมองไปทางเลียวนาร์ดพร้อมกับกล่าวอย่างเยือกเย็น


“อินซ์·แซงวิลล์ตายด้วยฝีมือของผมและพวกพ้อง”


“…” สมอง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาพลันขาวโพลน


เธอพอจะทำใจยอมรับได้ว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถเอาชนะ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ แต่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่า อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดเก็บครึ่งเทพลำดับ 4 ได้แล้ว!


แต่เพียงไม่นาน แคทลียาเริ่มสงบสติ เพราะในการต่อสู้ดังกล่าวมีราชาเทวทูตเข้ามาเกี่ยวข้อง การที่ผู้วิเศษลำดับ 5 จะปลิดชีพผู้วิเศษลำดับ 4 ที่บาดเจ็บสาหัส นั่นยังพอเป็นไปได้ นอกจากนั้นเขายังมีพวกพ้อง


‘จัสติส’ ออเดรย์มองเห็นถึงความมั่นใจผ่านน้ำเสียงของเดอะเวิร์ล จึงอดไม่ได้ที่จะถาม


“มิสเตอร์เวิร์ล ตอนนี้คุณเป็นครึ่งเทพแล้วใช่ไหม?”


เดอะเวิร์ลมิได้ตอบตรงๆ เพียงหัวเราะและกล่าว


“ในอนาคต หากพวกคุณมีปัญหากับครึ่งเทพ สามารถติดต่อผมได้ทุกเมื่อ”


และจากประโยคดังกล่าว สิ่งที่สมาชิกทุกคนเข้าใจก็คือ:


ไม่เพียงจะกลายเป็นครึ่งเทพลำดับ 4 แต่ยังมั่นใจด้วยว่า หากเป็นครึ่งเทพในรุ่นเดียวกัน ตนสามารถจัดการกับทุกคนได้ไม่ยากเย็น!


ทันใดนั้น แคทลียากำลังสุขุมอย่างน่าประหลาด เธอพยายามนึกทบทวนสิ่งที่เคยเห็นและได้ยิน และค่อนข้างมั่นใจว่า อีกฝ่ายอยู่ในลำดับ 6 ก่อนที่จะเข้าสู่ซากสมรภูมิแห่งเทพ โดยพึ่งพาพลังของถุงมือเพื่อให้มีฝีมือทัดเทียมลำดับ 5


ย้อนกลับไปตอนนั้น เป้าหมายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีเพียงการตามหานางเงือกในซากสมรภูมิเทพ มิได้ล่าพวกหล่อน จึงค่อนข้างชัดเจนว่านั่นคือพิธีกรรมเลื่อนลำดับ หมายความว่าอีกฝ่ายเพิ่งได้เป็นลำดับ 5 ในช่วงเวลาดังกล่าว


แต่ปัจจุบัน หลังจากผ่านไปเพียงสามเดือนหรือน้อยกว่านับตั้งแต่ที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เข้าไปในซากสมรภูมิแห่งเทพ ชายคนนั้นสามารถเลื่อนลำดับอีกครั้ง กลายเป็นครึ่งเทพ เรื่องนี้ทำให้แคทลียามองโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!


อายุของเธอก็ไม่ได้มากนัก ปัจจุบันยังอายุยังไม่ถึงสามสิบ แต่สามารถกลายเป็นลำดับ 5 และมีตำแหน่งเป็นพลเรือโจรสลัดที่โด่งดังมานานกว่าแปดปี จนกระทั่งปีที่แล้ว เธอมั่นใจว่าตนสามารถกลายเป็นครึ่งเทพได้ในเวลาอันใกล้ จึงเตรียมความพร้อมสำหรับทุกสิ่ง เตรียมนำหน้าทุกคนในรุ่นเดียวกันไปอีกขั้น


มิสเตอร์เวิร์ลสุดยอดมาก! กลายเป็นครึ่งเทพด้วยความเร็วระดับนี้… ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคดีใจจนเหนือคำบรรยาย ความรู้สึกเทิดทูนเดอะเวิร์ลทวีความแกร่งกล้า นึกอยากเป็นเหมือนอีกฝ่ายให้ได้ เร่งความเร็วใจการเป็นครึ่งเทพ


‘จัสติส’ ออเดรย์เองก็ตกใจปนสุข ขณะเดียวกันก็เริ่มเข้าใจสาเหตุของอาการทางจิตของอีกฝ่าย


ดูเหมือนว่า ภาวะซึมเศร้าและหม่นหมองจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขากลายเป็นครึ่งเทพ… คงเป็นผลมาจากการดื่มโอสถ เหมือนกับตอนที่เราดื่มโอสถนักจิตบำบัดและเกือบคลุ้มคลั่ง…


นอกจากนั้น หลังจากเขากลายเป็นลำดับ 4 คงมีการตระหนักถึงสัจธรรมของโลกมากขึ้น ค้นพบความจริงมากขึ้น ค้นพบว่าตัวเองหลับใหลเป็นเวลานานจนครอบครัวตายไปหมดแล้ว สูญเสียเป้าหมายในการดำรงชีวิต…


น่าสงสารมาก… ด้วยนิสัยที่อ่อนโยนของเขา คงเป็นห่วงและคิดถึงครอบครัวกับเพื่อนฝูงในอดีตมากทีเดียว…


แต่ก็มีมุมที่น่าอิจฉา… การเป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลช่วยให้เขาเลื่อนลำดับอย่างรวดเร็ว… เราเองก็อยากกลายเป็นครึ่งเทพบ้าง คำพูดของมิสเตอร์ฟูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสเวลาทำให้เรากังวล…


ขณะสมาชิกที่เหลือกำลังตื่นตกใจ แม้อัลเจอร์จะรู้สึกไม่ต่างกัน มีความอิจฉาเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่มันกำลังคำนึงถึงเรื่องอื่น


ในฐานะข้ารับใช้ของเดอะฟูล การที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ที่มีเทวทูตและ 0-08 นั้นต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่…


หากมองในมุมกลับ นั่นจะกลายเป็นว่า มิสเตอร์ฟูลและเทวทูตจินตภาพกำลังร่วมมือกัน… ทุกอย่างลงล็อกพอดี!


สองบุคคลในตำนานที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ก่อนมหาภัยพิบัติ คนหนึ่งกำลังฟื้นคืนพลัง ส่วนอีกคนกำลังเลื่อนลำดับ เป็นความร่วมมืออย่างลับๆ!


คิดมาถึงตรงนี้ อัลเจอร์ผุดข้อสันนิษฐานใหม่


ในเมื่ออาดัมได้รับ 0-08 และสามารถเปิดประตูสู่บัลลังก์เทพ แล้วมิสเตอร์ฟูลได้สิ่งใดตอบแทน?


จากจิตใต้สำนึก อัลเจอร์หันไปมองยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวในท่าก้มศีรษะเล็กน้อย


มันไม่กล้ามองตรงๆ ทำเพียงชำเลืองด้วยหางตา



 

 

 


ราชันเร้นลับ 962 : ถูกล่วงรู้

 

แทบจะในทันที อัลเจอร์พบว่ามิสเตอร์ฟูลแตกต่างไปจากปรกติเล็กน้อย


ในอดีต แม้ว่าจะสูงส่งและลุ่มลึก ยากจะคาดเดา เป็นความรู้สึกคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังเฝ้ามองลงมาจากมุมสูง แต่ในปัจจุบัน ทั้งที่ยังไม่ต้องทำอะไร แต่อัลเจอร์กลับสัมผัสได้ว่ามิสเตอร์ฟูลหลอมรวมจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับมิติหมอกแห่งนี้ ชัดเจนว่าเป็นเจ้าของและผู้ปกครองของที่นี่เต็มตัว


ชำเลืองด้วยหางตา อัลเจอร์มองเห็นไพ่เย้ยเทพใบใหม่ จึงเริ่มมั่นใจในสมมติฐานของตนมากขึ้น


พอจะเห็นภาพแล้ว… มิสเตอร์ฟูลร่วมมือกับ ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัมเพื่อสังหารอินซ์·แซงวิลล์ ฝ่ายหนึ่งได้รับ 0-08 และเตรียมเลื่อนลำดับ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งได้รับผลประโยชน์บางสิ่งพร้อมกับไพ่เย้ยเทพ ฟื้นฟูพลังกลับคืนมาอีกขั้น


และผลลัพธ์สูงสุดคือการเปลี่ยนผันของกระแสเวลา! ในวินาทีนี้ อัลเจอร์เริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับคำพูดที่ผ่านมาทั้งหมดของเดอะฟูล


สมาชิกคนอื่นเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสายตาของแฮงแมน พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเดอะฟูล


หลังจากผงะเล็กน้อย ต่างคนต่างมีความเข้าใจในแบบของตัวเอง


สำหรับแผนการสังหารอินซ์·แซงวิลล์ของ ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัม มิสเตอร์ฟูลทราบมาตั้งแต่ต้น จึงส่งข้ารับใช้ไปคอยอำนวยความสะดวก แม้กระทั่งออกหน้าต่อสู้ตรงๆ!


หากไม่แล้ว ผู้วิเศษที่เพิ่งกลายเป็นครึ่งเทพหมาดๆ จะมีสิทธิ์เข้าร่วมเหตุการณ์เกี่ยวกับราชาเทวทูตและสมบัติปิดผนึกระดับ 0 เชียวหรือ?


หากไม่แล้ว ต่อให้บังเอิญมากแค่ไหน แต่เดอะเวิร์ลก็คงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปร่วมวง!


ได้รับไพ่เย้ยเทพ มิสเตอร์เวิร์ลเลื่อนลำดับ ความตายของอินซ์·แซงวิลล์ และความสำเร็จของ ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัม ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในสัปดาห์เดียว… ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด… การคาดเดาของเราถูกต้อง การได้รับไพ่เย้ยเทพใบใหม่และอาการทางจิตของมิสเตอร์เวิร์ลเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกัน… ‘จัสติส’ ออเดรย์พยักหน้ารับ ยืนยันสมมติฐานของตัวเอง


‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดพบว่าเรื่องราวซับซ้อนกว่าที่ตนคิด นอกจากราชาเทวทูต ฝ่ายศัตรูคงมีบุคคลที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกันเข้าร่วม ไม่อย่างนั้นพี่ชายของอามุนด์ บุตรแห่งเทพสุริยันบรรพกาล คงไม่ขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล เพราะท้ายที่สุด ถึง 0-08 จะทรงพลัง แต่ก็ยังแข็งแกร่งไม่เท่ากับอามุนด์ที่ตาแก่อธิบายให้ฟัง และอาดัมก็อยู่ในระดับเดียวกับอามุนด์


ดูเหมือนว่า วิญญาณมารที่ไคลน์ส่งเข้าไปในโลกแห่งความตายจะไม่ได้แค่ ‘วิญญาณมารเส้นทางนักล่า’ ธรรมดาๆ … อา… ไคลน์ไม่ได้ลงมือกับอินซ์·แซงวิลล์เพียงเพราะความแค้นส่วนตัว แต่ยังเป็นคำสั่งจากมิสเตอร์ฟูลด้วย… เลียวนาร์ดถอนหายใจ มันไม่ได้เกิดความรู้สึกด้านลบ กลับกัน มันกำลังโล่งใจ


ตามความเห็นของมัน นี่เป็นเรื่องปรกติ การที่มิสเตอร์ฟูลยอมสละเวลาจัดชุมนุม ก่อตั้งองค์กร และช่วยเป็นผู้นำของทุกคน ทั้งหมดมิได้เกิดจากความหวังดีที่บริสุทธิ์ แต่พระองค์เองก็มีเป้าหมายส่วนตัว และหวังให้ข้ารับใช้อย่างไคลน์และสมาชิกคนอื่นคอยช่วยเหลือในบางเรื่อง


ดังนั้น ในเมื่อการแก้แค้นอินซ์·แซงวิลล์และการทำตามคำสั่งเดอะฟูลมิใช่สิ่งที่ขัดแย้งกัน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ไคลน์ต้องปฏิเสธ…


ส่วนเหตุผลที่เลียวนาร์ดโล่งใจ เป็นเพราะมันมองเห็นจุดประสงค์ของเดอะฟูล เมื่อเทียบกันแล้ว เทพที่มีเป้าหมายชัดเจนย่อมน่าไว้วางใจกว่าเทพที่ทำตัวเป็นปริศนาตลอดเวลา ไม่ต้องคอยหวาดหวั่นทุกลมหายใจเข้าออก


เดิมที มันก็เคยกังวลเกี่ยวกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์เนื่องจากไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด


ขณะเดียวกัน ‘เดอะฟูล’ ไคลน์มิได้กล่าวสิ่งใดเลย ไม่ยืนยันหรือหักล้างข้อสันนิษฐานของสมาชิก เพียงบังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าวต่อไป


“อาดัมได้สร้างองค์กรที่ลึกลับอย่างมากขึ้น เพื่อคอยควบคุมการไหลของกระแสเวลา… หลายคนที่พวกคุณคาดไม่ถึงต่างก็เป็นสมาชิกขององค์กรนี้ พวกเขารวมหัวกันกระทำบางสิ่งมานานแล้ว… นอกจากนั้น หลังจากออกจากที่นี่ ห้ามพูดหรือเขียนชื่อของอาดัม และพยายามอย่าไปคิดเกี่ยวกับเขา เพราะเขามีคุณสมบัติในทำนองที่ว่า ‘ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้’ เช่นเดียวกันกับ 0-08”


หลังจากได้ยินรายละเอียดจากปากเดอะเวิร์ล ‘จัสติส’ ออเดรย์นึกถึงชื่อขององค์กรที่มิสเตอร์ฟูลเคยเล่าให้ฟัง:


สภานักสิทธิ์สนธยา!


นั่นทำให้เธอผุดข้อสันนิษฐานใหม่


อาดัม ราชาแห่งเทวทูต คือผู้นำของสภานักสิทธิ์สนธยา!


เทวทูตจินตภาพเป็นตัวแทนของเส้นทางผู้ชม… 0-08 ก็คงเหมือนกัน… ดังนั้น ผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางนี้ทุกคนคงมีคุณสมบัติ ‘ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้’ กันหมด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง… ยิ่งรู้จักอีกฝ่ายมากเท่าไร เราก็ยิ่งถูกอีกฝ่ายรู้จักมากเท่านั้น…


สุดยอดมาก… แต่ไม่ฟังดูสุดยอดเกินไปหน่อยหรือ? ออเดรย์เริ่มคาดหวังเกี่ยวกับอนาคต แต่ขณะเดียวกันก็กังวลเจือความสงสัย


ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้… หมายความว่าเป็นองค์กรเดียวกับที่เคยสนับสนุนให้คีลิงเกอร์ลอบสังหารดยุคนีแกน… อัลเจอร์กระจ่างทันที แต่สีหน้าทวีความหนักอึ้ง


มันเริ่มสงสัยว่า เกาะร้างโบราณที่เคยไปสำรวจก่อนหน้านี้ อาจเกี่ยวข้องกับสภานักสิทธิ์สนธยา เนื่องจากคีลิงเกอร์เคยเข้าไปสำรวจและพบของมีค่ามากมาย แถมการสลายไปในตอนสุดท้าย ยังเหมือนกับพลังของมังกรจินตภาพที่เดอะซันน้อยอธิบายให้ฟัง


เมื่อนำทั้งสองเรื่องมาประกอบเข้าด้วยกัน อัลเจอร์อดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่า การร่วมมือระหว่างเดอะฟูลและอาดัมเกิดขึ้นในวินาทีที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ย่างกรายเข้าไปในเกาะแห่งนั้น!


มันยิ่งเชื่อว่าเป็นความจริงหลังจากพิจารณาว่า ขณะตัวตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในซากปรักหักพังถูก ‘ปลุก’ ให้ตื่นและส่งเสียงถอนหายใจ อีกฝ่ายกลับไม่พยายามขัดขวางการหลบหนีของตนและเกอร์มัน·สแปร์โรว์


เรื่องราวเป็นมาแบบนี้นี่เอง… บุคคลระดับสูงมักติดต่อและวางแผนกันอย่างลับๆ โดยที่เราไม่มีทางตระหนักถึงได้เอง… เกมของเหล่าทวยเทพช่างซับซ้อน บางทีอาจมีเพียงลำดับ 1 หรืออาจมีเพียงราชาเทวทูตที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วม… อัลเจอร์ถอนหายใจพลางเกิดความคาดหวัง


‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สลืมเรื่ององค์กรลึกลับที่มิสเตอร์ฟูลเคยเล่าให้ฟังเสียสนิท จนกระทั่งได้ยินคำว่า ‘ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้’ เธอพลันฉุกคิดถึงคดีลอบสังหารดยุคนีแกนขึ้นมาทันที


ทว่า ปัญหาที่เธอกำลังสนใจไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นประเด็นอื่น


ย้อนกลับไปในตอนที่ ‘อัปเดต’ ข้อมูลของชุมนุมทาโรต์ให้ซิล เธอเผลอเอ่ยชื่ออาดัมออกมา!


อาดัมมีคุณสมบัติในการตระหนักถึงทุกครั้งที่ถูกเอ่ยชื่อ… หมายความว่าตอนนี้เรากับซิลกำลังถูกท่านจับตามอง? ฟอร์สพลันตื่นตระหนัก อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเพื่อนสนิทข้างๆ


เธอได้ทราบจากปากมาดามเฮอร์มิทว่า อาดัมคือบุตรชายของพระผู้สร้าง แต่อีกฝ่ายไม่เคยกำชับว่าห้ามเอ่ยชื่ออาดัมบนโลกความจริง!


“ฉ…ฉันเผลอเอ่ยชื่ออาดัมในโลกความจริง” ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สรวบรวมความกล้าและพูดออกไปด้วยท่าทางตะกุกตะกัก ซิลเองก็เครียดไม่ต่างกัน คล้ายกับตอนนี้กำลังถูกงูคลานเข้าไปในเสื้อและเลื้อยขึ้นหลัง


แคทลียาพยักหน้าแผ่วเบา


“ไม่ต้องกังวล คนที่รู้จักอาดัมและอามุนด์อาจมีจำนวนไม่มากก็จริง แต่ก็ไม่น้อย ฉันเองก็เคยเอ่ยชื่อของท่านในหลายโอกาส ตราบใดที่ก่อนพูดและหลังพูดไม่ได้กำลังทำเรื่องสำคัญ ท่านก็คงเฝ้ามองเพียงครู่เดียวและหันไปมองทางอื่น”


สำหรับเรื่องนี้ แคทลียาค่อนข้างมั่นใจ เพราะในนิกายมอสส์ที่ถูกความรู้ไล่ล่า ตัวตนของอาดัมไม่ใช่ความลับ และมักจะถูกเอ่ยถึง


ทันใดนั้น เธอเริ่มฉุกคิดถึงอีกหนึ่งประเด็น: หรือว่าองค์กรลับสุดยอดที่จักรพรรดิโรซายล์เคยเข้าร่วม จะเป็นองค์กรที่ราชาเทวทูตอาดัมก่อตั้งขึ้น?


‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สนึกทบทวนสักพัก ตามด้วยกล่าวอย่างประหม่า


“ฉันเอ่ยชื่ออาดัมพร้อมกับข้อมูลจำพวก… ดินแดนเทพทอดทิ้ง วังราชาคนยักษ์ อามุนด์ ราชาเทวทูต และข้อมูลอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน… แบบนั้นจะเป็นอะไรไหม?”


สิ่งที่เธอโล่งใจเป็นที่สุดก็คือ ในระหว่างนั้นไม่มีการเอ่ยถึง ‘ชุมนุมทาโรต์’ หรือสมาชิกคนอื่นแม้แต่คำเดียว อย่างแย่ก็เอ่ยถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้มืดมน


แคทลียาครุ่นคิดสักพัก


“ด้วยลำดับของคุณ การพูดคุยในประเด็นนี้ค่อนข้างแปลกก็จริง แต่หลังจากอาดัมเฝ้ามองลึกลงไป ท่านจะพบว่าคุณเกี่ยวข้องกับตระกูลอับราฮัม จึงไม่แปลกเกินไปที่จะทราบ… สิ่งที่คุณต้องกังวลในตอนนี้ก็คือ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลอับราฮัม คุณต้องคอยระวังอาดัมไว้ให้ดี”


แล้วจะระวังยังไง… ฟอร์สยิ้มแห้งอย่างสิ้นหวังพลางชำเลืองสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว ก่อนจะมองกลับมายังเฮอร์มิทอีกครั้ง


“ขอบคุณสำหรับการวิเคราะห์และคำแนะนำ”


เนื่องจากมิสเตอร์ฟูลมิได้เสริม เธอจึงเชื่อในคำพูดของมาดามเฮอร์มิท


ขณะเดียวกัน เป็นไคลน์ที่กำลังถอนหายใจเงียบ


ย้อนกลับไปในตอนที่ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียากล่าวถึงอาดัมในชุมนุมทาโรต์ ไคลน์ยังไม่ทราบว่านามของอาดัมเองก็มิอาจถูกเอ่ยถึง ไม่คิดว่าจะเหมือนกับสภานักสิทธิ์สนธยา มารู้ในภายหลังก็ตอนที่เริ่มสำรวจหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ และทราบจากสโนวมันว่าอาดัมคือเทวทูตจินตภาพ โดยหลังจากนั้นค่อยปะติดปะต่อข้อมูล


หลังจากได้อ่านคำเตือนของมิสเตอร์ประตูในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์และยืนยันทฤษฎีดังกล่าว ไคลน์ยังไม่มีโอกาสแจ้งเตือนสมาชิกเกี่ยวกับการเอ่ยชื่ออาดัม อีกทั้ง กระทั่งอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำก็ยังเอ่ยชื่ออาดัมออกมาง่ายๆ แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยบนโลกรู้จักอาดัม ไม่เอ่ยชื่ออีกฝ่ายมิใช่เรื่องที่คอขาดบาดตายขนาดนั้น และอาดัมอาจไม่ใช่พระนามเต็ม จึงไม่เคยนำเรื่องนี้มาเตือนในชุมนุม แต่กำลังรอโอกาสที่จะพูด


ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้? องค์กรที่อาดัมสร้างขึ้นฟังดูยอดเยี่ยมมาก… หรือนั่นคือเป้าหมายของชุมนุมทาโรต์? ‘เดอะมูน’ เอ็มลินใคร่ครวญสักพักจนเริ่มมองเห็นทิศทางของชุมนุมทาโรต์


มันคอยค้นหาจุดยืนของชุมนุมทาโรต์มาตลอด และคิดว่านี่ไม่เหมือนกับเจ็ดโบสถ์หลัก ไม่เหมือนกับองค์กรลับทั่วไป เป็นเพียงการรวมตัวของ ‘ผู้กอบกู้’ ไม่มีสิ่งใดพิเศษไปมากกว่านั้น


แต่ปัจจุบัน ในที่สุดมันก็เริ่มมองเห็นภาพกว้าง มองเห็นว่าชุมนุมทาโรต์สามารถพัฒนาไปถึงจุดเดียวกับองค์กรลับของอาดัม!


สำหรับเลียวนาร์ด มันไม่แปลกใจคุณสมบัติพิเศษของอาดัม เนื่องจากเคยฟังเรื่องราวของ 0-08 มาแล้ว แต่เรื่องที่มันกำลังสนใจก็คือ องค์กรลับซึ่งมีบุคคลสำคัญของโลกเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และตระกูลอับราฮัมที่มาดามเฮอร์มิทเพิ่งเอ่ยถึงเมื่อครู่


มันเคยได้ยินพาลีส·โซโรอาสเตอร์เล่าให้ฟังว่า:


ตระกูลดังกล่าวมีสถานะที่สูงส่งมากในยุคสมัยที่สี่!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)