Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 949-956
ราชันเร้นลับ 949 : ทิศทางการสืบสวน
เป้าหมายแรกของไคลน์ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ราชาเอลฟ์’ ซอนญาธริม
เทพบรรพกาลตนนี้สร้างตะเกียบ คิดค้นต้มเลือด ชอบกินเครื่องในสัตว์ และชำนาญการใช้เครื่องเทศทำอาหาร ลูกหลานของพระองค์มีใบหน้า สีผม และดวงตาที่คล้ายกับชาวเอเชียบนโลก ไม่เพียงแต่ไคลน์สงสัยว่าท่านเป็นผู้เดินทางข้ามโลก แม้แต่จักรพรรดิโรซายล์เองก็คิดแบบเดียวกัน
แน่นอน หลังจากการตรวจสอบในเชิงลึก โรซายล์ตัดความเป็นไปได้ดังกล่าวออกไป เนื่องด้วยปัจจัยด้านภาษา สัญลักษณ์ และคำพังเพยโบราณ นอกจากนั้น ไคลน์เชื่อว่าการใช้ตะเกียบแทนช้อนส้อม การชอบกินเครื่องใน และความชำนาญเครื่องเทศ ไม่ใช่สิ่งเฉพาะตัวของชาวโลกเก่า สำหรับสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ มีโอกาสที่จะค่อยๆ พัฒนาสิ่งเหล่านี้ขึ้นในกิจวัตรประจำวัน!
ส่วนเรื่องที่ว่า เหตุใดเอลฟ์ที่อยู่บนเส้นทางลูกเรือถึงใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไคลน์เองก็ไม่มีคำตอบ ข้อมูลเกือบทั้งหมดมาจากจิตรกรรมฝาผนังและข้อความจารึกของพวกมันเอง
เราเคยคิดว่าเอลฟ์ไม่น่าจะใช่ผู้เดินทางข้ามโลก แต่หลังจากได้เห็นรังไหมจำนวนสามรัง เราก็เริ่มไม่แน่ใจอีกต่อไป… บางทีท่านอาจเป็นเพื่อนร่วมชาติของเรา… อา… ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ นั่นคือบรรดาเอลฟ์ระดับสูงสักคนเป็นผู้เดินทางข้ามโลก บุคคลดังกล่าวสามารถเผยแผ่วัฒนธรรมต่างๆ ในนามราชาเอลฟ์… ไคลน์เคาะโต๊ะพลางใช้ความคิดอย่างเงียบงัน
มันมาถึงทางแยกของการสืบสวน
ในบันทึกการเดินทางของกรอซายมี ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส ผู้เคยทำงานรับใช้ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม!
ขอเพียงเราเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของเธอ ก็จะมองเห็นหรือสามารถติดต่อกับเอลฟ์ตนอื่นและพบเศษเสี้ยวความทรงจำเกี่ยวกับเทพบรรพกาล!
เรายังสามารถใช้พลังสะกดจิต ทำให้เธอเป็นฝ่ายเล่าออกมาเอง… แต่ปัญหาคือ เราไม่เชี่ยวชาญในศาสตร์ดังกล่าว ครั้งล่าสุดที่พยายามเข้าไปในจิตใต้สำนึกของกรอซาย เราเกิดอารมณ์หุนหันและยากจะทำใจให้สงบ แม้ว่าจะกลายเป็นครึ่งเทพแล้ว แต่นั่นก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะนำพาตัวเองไปสู่การคลุ้มคลั่ง นอกจากนั้น เราต้องปรับสภาพจิตใจไปอีกสักระยะก่อน… การฝืนสื่อวิญญาณ คงไม่เหมาะกับเป้าหมายและสถานการณ์ในคราวนี้… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าตนต้องการวัตถุลึกลับที่มีลำดับสูงในเส้นทางผู้ชม หรือไม่ก็ผู้ช่วยที่เป็นนักสะกดจิต
มันเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะหยิบยืมความช่วยเหลือจากมิสจัสติส
การสำรวจไม่อันตรายขนาดนั้น ยังมีวิธีที่จะเข้าไปด้วยร่างวิญญาณบนมิติสายหมอก…
เราไม่ต้องกังวลว่ามิสจัสติสจะทราบเรื่องที่เราคือผู้เดินทางข้ามโลก ขอเพียงเซียธาสไม่ทราบเรื่องนี้ จิตใต้สำนึกของเธอ และทะเลจิตใต้สำนึกร่วม ไม่มีทางบ่งชี้ไปยังข้อสรุปดังกล่าว ในขณะเดียวกัน เราจะคอยรวบรวมเบาะแสที่ต้องการโดยที่เธอไม่สังเกตเห็น…
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ มิสจัสติสไม่มีประสบการณ์ด้านการผจญภัยมากนัก หากเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของตัวตนสมัยโบราณ นั่นถือเป็นเรื่องอันตราย เพราะอาจมีออร่าของเทพบรรพกาลหลงเหลืออยู่… ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากนักจิตบำบัดเกรงว่าเราเองก็ไม่น่าจะเอาตัวรอดไหว…
ถ้าต้องการให้มิสจัสติสมาคอยสนับสนุน อย่างน้อยก็ต้องรอให้เธอกลายเป็นลำดับ 5 เพื่อชดเชยประสบการณ์ที่ขาดหายไป เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะพยายามสะกดจิตเซียธาส ดูว่าสามารถดึงข้อมูลใดจากเธอได้บ้าง หากไม่มีค่ามากนัก ค่อยพิจารณาการบุกรุกเข้าสู่ความฝัน เพื่อเข้าไปดูจิตใต้สำนึก และสืบลึกเข้าไปถึงทะเลจิตใต้สำนึกรวม…
อา… ยันต์บุกรุกความฝันที่เราสร้างขึ้นยังมีประสิทธิภาพไม่มากพอ มิอาจดำเนินการสำรวจที่ยาวนาน… เฮ่อ… เทพธิดาคงไม่ตอบสนองต่อคำขอเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ด้วยตัวเอง น่าจะได้พบกับ ‘ระบบตอบรับอัตโนมัติ’ แทน… สำหรับตะกอนพลังฝันร้าย เราส่งคืนศาสนจักรไปแล้ว… หรือว่าต้องพาเลียวนาร์ดไปด้วย? ชักอยากรู้แล้วว่า ถ้าเราดึงร่างวิญญาณของใครบางคนขึ้นมา คุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดจะสังเกตเห็นหรือไม่… คงต้องทดลองเรื่องนี้ให้แน่ชัดเสียก่อน…
ไคลน์รวบรวมความคิด พิจารณาเป้าหมายที่สองด้วยความเคลือบแคลง
ในอดีต คนผู้นี้มิได้ดูพิเศษแต่อย่างใด แต่ไคลน์ไม่เคยมองว่าเป็นผู้เดินทางข้ามโลก แต่เมื่อไตร่ตรองด้วยจิตใจที่สุขุม เริ่มคิดและวิเคราะห์ มันตระหนักว่า หลากหลายประเด็นที่ดูเหมือนจะเป็นไปตามสามัญสำนึกปรกติ แท้จริงแล้วมิได้สมเหตุสมผลขนาดนั้น ยังคงแฝงไปด้วยความน่ากลัวที่แปลกประหลาด
บุคคลที่มันกำลังสงสัยก็คือ
เทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์!
พระคัมภีร์ของเจ็ดโบสถ์หลักล้วนมีเค้าโครงของศาสนาทางฝั่งโลกตะวันตกของโลกเก่า… แถมยังรวมไปถึงพิธีมิสซา!
จากคำอธิบายของเดอะซันน้อย ผนวกกับสิ่งที่จักรพรรดิโรซายล์ได้เห็นในวิหารขนาดเล็กของอาดัม รวมถึงเนื้อหาบนจิตรกรรมฝาผนังบนซากปรักหักพังของเมืองในดินแดนเทพทอดทิ้ง ค่อนข้างแน่ชัดว่า สัญลักษณ์สำคัญของเทพสุริยันบรรพกาลคือไม้กางเขน!
พระองค์ตั้งชื่อลูกๆ ว่าอาดัมและอามุนด์…
เทวทูตบริวารของพระองค์ล้วนมีปีกแห่งแสง แต่เรายังไม่เคยเห็นเอกลักษณ์นี้จากเส้นทางใด…
ไม่มีใครทราบว่าพระองค์ลืมตาตื่นที่ใด เพียงปรากฏตัวอย่างกะทันหันในช่วงปลายยุคสมัยที่สอง สังหารเทพบรรพกาลไปมากมายและทวงคืนอำนาจ…
เราไม่เคยคิดถึงรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้มาก่อน… เมื่อลองมาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เรื่องราวฟังดูน่าขนลุกไม่น้อย… ไคลน์ซี้ดปาก พบว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเทพสุริยันบรรพกาลมากกว่าราชาเอลฟ์
ประสบการณ์ของอีกฝ่ายโด่งดังจนกลายเป็นตำนานเล่าขาน เหมือนกับตัวเอกในนิยายยิ่งกว่าจักรพรรดิโรซายล์เสียอีก!
อา… แต่ตอนจบค่อนข้างน่าสังเวช กลายเป็นเพียงมื้ออาหารของเหล่าราชาเทวทูต… ถึงตอบจบของจักรพรรดิจะน่าเศร้าไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้น่าสังเวชเท่าเทพสุริยันบรรพกาล…
หรือนี่จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับทัศนคติประหลาดๆ ของอามุนด์และอาดัม? พวกเขาเข้าใจว่าหมอกสีเทามีส่วนเกี่ยวข้องกับบิดา? แต่เนื่องด้วยเส้นทางที่แตกต่าง จึงใช้วิธีที่แตกต่าง? อา… แต่ก็มีโอกาสที่อาดัมจะมองไม่เห็นหมอก เพราะเขาไม่ใช่ผู้วิเศษสุดแกร่งบนเส้นทาง ‘โชคชะตา’ ‘นักจารกรรม’ ‘นักทำนาย’ และ ‘ผู้ฝึกหัด’ … ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย
สำหรับเบาะแสเหล่านี้ มันยังมีแนวทางการสืบสวนที่ไม่ต้องติดต่อกับตัวตนระดับเทวทูต
ภายใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ยังมีบุคคลจากยุคสมัยที่สามหลงเหลือ สาวกเดนตายของเทพสุริยันบรรพกาล นักบวชสโนวมัน!
ปัญหาวนกลับมาที่จุดเดิม… ในเมื่อข้อมูลของบุคคลที่น่าสงสัยทั้งสองต้องเข้าไปสืบในหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไคลน์พบว่าความคิดดำเนินมาถึงทางตัน จึงไม่มีทางเลือกนอกจากพักผ่อนสักพัก ถอนหายใจออกเชื่องช้า หยิบไพ่เย้ยเทพใบใหม่ขึ้นมาตรวจสอบ
ไพ่นักบวชสีชาด!
หลังจากถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป ไพ่ใบดังกล่าวส่องแสงสีแดง ก่อตัวกลายเป็นหนังสือมายาขนาดเท่าฝ่ามือ
เมื่อลองพลิกหน้าหนังสือ ด้านในเป็นภาพเหมือนของโรซายล์·กุสตาฟ บ้างสวมชุดนักล่า บ้างยกนิ้วกลาง บ้างเดินผ่านอาคารที่กำลังลุกไหม้ บ้างยืนหลังกับดัก แต่งกายหลากหลายสไตล์ ประกอบทุกอาชีพ
ลำดับ 9 นักล่า… ลำดับ 8 นักยั่วยุ… ลำดับ 7 นักวางเพลิง… ลำดับ 6 นักวางแผน… ลำดับ 5 ยมทูต… ลำดับ 4 อัศวินเลือดเหล็ก… ลำดับ 3 นักบวชสงคราม… ลำดับ 2 จอมอาคมฟ้าดิน… ลำดับ 1 ผู้พิชิต… ลำดับ 0 นักบวชสีชาด… ไคลน์กวาดตาอ่านภาพขนาดเท่าไพ่ทาโรต์ทีละหนึ่ง บันทึกข้อมูลเหล่านั้นลงในความทรงจำ
สำหรับพิธีกรรมกลายเป็นเทพลำดับ 0 ไคลน์ไม่ประหลาดใจนัก พอจะเดาได้อยู่แล้ว เพราะเฮอร์มิสเคย เล่าให้โรซายล์ฟังว่า ‘สีชาด’ ในชื่อ ‘นักบวชสีชาด’ หมายถึงสีแดงแห่งสงคราม
ดังนั้น เมื่อได้เห็นคำว่า ‘ทำสงครามกวาดล้างทวีปและได้รับชัยชนะในระดับหนึ่ง’ ไคลน์ไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว
วางไพ่นักบวชสีชาดลง มันครุ่นคิดถึงปัญหา ก่อนจะลูบหน้าผากพลางพบว่าอาการทางจิตของตนดีขึ้นมากแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกอ่อนเพลีย
ก่อนอื่นก็ต้องตั้งเป้าหมายระยะสั้น… สืบหาบุคคลเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ เรื่องนี้ยังไม่สะสาง… อา… ธุรกิจค้าอาวุธเถื่อนก็ต้องดำเนินต่อไปตามแผน จากนั้นก็กลับไปยังเบ็คลันด์พร้อมกับเงินก้อน… ปัจจุบันมีสองเบาะแส หนึ่งคือไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ส่วนอีกคนคือรองผู้อำนวยการ MI9 โจนาส·โคลเกอร์… ไคลน์พยายามสร้างงานให้ตัวเอง
ก่อนจะออกจากมิติหมอก มันโยนสูตรการผลิตยาที่มิสจัสติสเขียนให้เข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะมูน ฝากฝังแวมไพร์ที่ช่ำชองการทำยาให้ช่วยผลิตในปริมาณเพียงพอสำหรับหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งปอนด์ต่อหนึ่งขวด เก็บเงินกับเดอะเวิร์ล
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในคฤหาสน์ตระกูลโอดรา
เอ็มลินไวท์ที่รออยู่ในห้องรับแขก ยกมุมปากพลางครุ่นคิด
งานจ้างที่มีค่าตอบแทนเพียงเจ็ดปอนด์ ไม่อยากทำเลยแฮะ… มิสเตอร์เวิร์ลก็สามารถปรุงเองได้ถ้าเขาตั้งใจสักนิด…
มันมิได้ปฏิเสธงานจ้างของเดอะเวิร์ล เนื่องจากเพิ่งใช้เงินห้าพันปอนด์ไปกับตะกอนพลังลำดับ 5 แวมไพร์เทียม ส่งผลให้เหลือเงินติดตัวเพียง 730 ปอนด์
ทันใดนั้น สุภาพบุรุษวัยกลางคน คาซีมี เดินเข้ามา
หลังจากทักทายพอเป็นพิธี บารอนผีดูดเลือดซักถาม
“เอ็มลิน เจ้ามาทำอะไรที่นี่กะทันหันนัก?”
ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย เอ็มลินนึกทบทวนบทสนทนาระหว่างตนกับแฮงแมนและเดอะเวิร์ล เชิดคางขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงโอหัง
“ข้าได้รับตะกอนพลังลำดับ 5 ‘ปราชญ์สีชาด’ มาแล้ว ไม่ทราบว่าพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นไวเคาต์จะพร้อมเมื่อใด?”
คาซีมีผงะ ถามด้วยความประหลาดใจ
“ได้รับตะกอนพลังของปราชญ์สีชาดมาแล้ว?”
เอ็มลินชำเลืองเล็กน้อย ตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่เด่นชัดจนเกินไป
“ถูกต้อง”
มันมิได้อธิบายถึงแหล่งที่มา วางท่าว่า ‘เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้’
คาซีมีพะงาบปากเล็กน้อย ก่อนจะปิดสนิท จนกระทั่งกล่าวหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที
“จันทร์เต็มดวงคราวหน้า”
มันเว้นวรรค หันไปพูด
“ข้ามีบางสิ่งจะบอกเจ้าพอดี… ท่านปู่บอกให้มาแจ้งกับเจ้าว่า คนใหญ่คนโตจะมาเยือนเบ็คลันด์ในอนาคตอันใกล้ ท่านผู้นั้นต้องการพบเจ้า”
ท่านผู้นั้น? รู้ม่านตาเอ็มลินขยายออก
ผีดูดเลือดโบราณที่มีชีวิตมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สอง รวมไปถึงสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ตัวตนระดับเทวทูตเหล่านี้มีจำนวนไม่เกินนับนิ้วด้วยมือข้างเดียว!
ราชันเร้นลับ 950 : เก็บเป็นความลับ
เอ็มลินเงียบงันสองสามวินาที เชิดคางขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับถาม
“ท่าน… เป็นใคร?”
สำหรับมัน แม้ว่าเทวทูตจะน่าเกรงขาม แต่ตัวตนที่ทำให้มันต้องยอมศิโรราบจากก้นบึ้งคือผู้ที่ถูกขนานนามว่า ‘ท่าน’ กลุ่มผีดูดเลือดเหล่านี้คือผู้ที่เป็นประจักษ์พยานประวัติศาสตร์อันยาวนานของเผ่าพันธุ์ เป็นบ่อเกิดความภาคภูมิใจในทุกวันนี้
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เจ้าจะได้รับแจ้งเมื่อถึงตอนนั้น” คาซีมี·โอดราส่ายหน้า
“…” มาหาเราเพราะวิวรณ์ของท่านต้นตระกูล? มีคำแนะนำเพิ่มเติมมามอบให้? ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านต้นตระกูลถึงไม่ส่งวิวรณ์มาหาเราโดยตรง? แบบนั้นจะซ่อนเร้นมากกว่า เพราะเราคือคนที่ถูกพระองค์เลือก! หรือว่าไม่ต้องการให้ระคายเคืองมิสเตอร์ฟูล? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจเอ็มลิน พลางเล่นถามตอบกับตัวเอง
มันมิได้กล่าวคำใด เพียงสวมหมวกทรงสูง เดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลโอดรา
เมื่อมาถึงหน้าประตู มันแหงนหน้ามองเมฆบางๆ ที่ยากจะบดบังแสงแดดของพระอาทิตย์ ก่อนจะทำหน้าบิดเบี้ยว ยกมือขึ้นจับปีกหมวก ก้มศีรษะลงเล็กน้อยและเดินไปยังรถม้าเช่าท้ายถนน ภายในใจพึมพำ
อากาศแบบนี้ไม่เหมาะจะออกมาข้างนอกเลยสักนิด!
สำหรับยาของเดอะเวิร์ล วัตถุดิบมิได้หายาก สามารถปรุงเสร็จภายในสิบห้านาที… อา… วัตถุดิบที่สั่งไปก่อนหน้านี้คงมาถึงแล้ว ได้เวลาจบธุรกิจกับมิสเมจิกเชี่ยนที่ค้างคามาหลายวัน…
…
เบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
ฟอร์สจัดระเบียบขวดยาบนแท่นบูชา เฝ้ามองของเหลวสีฟ้าอ่อนผสมสีทอง เกิดความรู้สึกดีเป็นล้นพ้นหลังจากได้ใช้จ่าย
เย้ายวนยิ่งกว่าค็อกเทลเสียอีก ชักอยากรู้แล้วว่ารสชาติเป็นยังไง ถ้าใส่น้ำแข็งลงไปต้องอร่อยแน่… เดี๋ยวสิ เรากำลังคิดอะไรอยู่? นี่คือยาวิเศษนะ! ฟอร์สพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็รีบทำความสะอาดห้อง
หลังจากได้รับยา การเตรียมตัวสำรวจปราสาทร้างในป่าเดแลร์ก็เป็นอันเสร็จสิ้น รอแค่ให้ซิลกลับมาถึง
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อย ฟอร์สทิ้งตัวลงบนโซฟา หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านเรื่อยเปื่อย เริ่มวางแผนการเดินทางสำหรับวันนี้
ออกเดินทางตอนพลบค่ำ กินอาหารค่ำในตอนที่ถึงเมืองใกล้กับชายขอบป่า…
ท่ามกลางการพึมพำตามลำพัง ฟอร์สพลิกไปยังหน้าข่าวเกี่ยวกับทะเล
ทันใดนั้น สายตาของเธอพลันหยุดนิ่งเมื่อได้เห็นชื่อที่คุ้นเคย
เกอร์มัน·สแปร์โรว์!
นักผจญภัยเสียสติรายนี้ปรากฏตัวในทะเลอีกครั้ง คราวนี้เป็นการขึ้นเรือทิวลิปดำพร้อมกับชาววัยกลางคนที่รู้จักกันในนาม ‘กงสุลมรณะ’ โดยชายคนดังกล่าวได้สังหาร ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์และทำให้ลำดับนายพลโจรสลัดปั่นป่วนอีกครั้ง
“…” ฟอร์สตบหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังดีใจเรื่องใด
ทันใดนั้น เธอเกิดความรู้สึกที่ว่า เรื่องราวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ช่างยอดเยี่ยมราวกับตำนาน สามารถนำไปเขียนเป็นหนังสือ!
น่าเสียดายที่เขาเป็นพวกคุยด้วยยาก ไม่อย่างนั้นเราคงสามารถติดต่อเพื่อเขียนหนังสือชีวประวัติและช่วยตีพิมพ์… หึหึ… แต่ถ้าเราตั้งชื่อหนังสือว่า ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ คงไม่แคล้วตกเป็นเป้าหมายของหน่วยพิเศษจากทางการ… ฟอร์สขบคิดติดตลก จากนั้นก็ได้ยินเสียงกุญแจสอดเข้าไปในรูกุญแจ
เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอเห็นซิลกำลังผลักประตูเปิดเข้ามา ตรงเข้ามาในห้องนั่งเล่น
“ทำไมวันนี้กลับเร็ว?” ฟอร์สถามอย่างประหลาดใจ
ซิลสางผมสีทองและกล่าว
“วันนี้ไปพบ MI9 มาและรับงานใหม่”
“งานอะไร” ฟอร์สลุกนั่ง ถามด้วยความสงสัย
ซิลทิ้งตัวลงบนโซฟาเดี่ยว
“ตรวจสอบภูมิหลังของนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์… จากข้อมูลของ MI9 ผู้วิเศษที่แข็งแกร่งรายนี้ใช้ชื่อปลอม เอกสารประจำตัวก็ปลอม มีโอกาสสูงที่จะมาจากเบ็คลันด์… พวกเขาสงสัยว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจมีตัวตนอื่นที่นี่ รวมถึงพวกพ้อง”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พวกพ้อง’ มุมปากฟอร์สกระตุกแผ่วเบาอย่างมิอาจหักห้าม อยากบอกกับซิลว่า ข้อสันนิษฐานของ MI9 ถูกต้องแล้ว พวกพ้องของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ
หญิงสาวไอกระแอมเล็กน้อย แสร้งถามหน้านิ่ง
“ทำไมถึงต้องสืบหาภูมิหลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์? เขาทำอะไรเข้าอีกแล้ว?”
ซิลชำเลืองหนังสือพิมพ์ที่วางด้านข้างฟอร์ส
“ยังไม่ได้อ่านข่าวทางทะเลของวันนี้หรือ? เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฆ่า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์และถูกขนานนามให้เป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเล… แต่ว่า คนของ MI9 บอกกับฉันว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์น่าจะนับถือศาสนาที่ศรัทธาในตัวตนลึกลับนามว่าเดอะฟูล ข่าวนี้มาจากหลายแหล่ง ทั้งชุมนุมแสงเหนือและโรงเรียนกุหลาบ”
ฉันเองก็ยืนยันเรื่องนั้นอีกเสียง… พวกเขาพูดถูก… ฟอร์สยิ้มแห้ง
“ฟังดูเป็นงานที่อันตราย”
“ใช่” ซิลพยักหน้า “แต่ฉันแค่จะรวบรวมข้อมูล ไม่สืบสาวลึกไปกว่านั้น”
ฟอร์สไม่สานต่อบทสนทนา หันไปพูด
“ฉันเตรียมยาเสร็จแล้ว พวกเราเข้าป่าเดแลร์วันนี้กันเลยไหม?”
ซิลกลายเป็นลำดับ 7 ‘นักสอบปากคำ’ ตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อน ตอนนี้เริ่มชำนาญพลังใหม่ที่ชื่อว่า ‘ทะลวงจิต’
“ก็ได้” ซิลยืนขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง “ไปกันเลย”
“เห? รอก่อนสิ ฉันคิดว่าช่วงพลบค่ำน่าจะ…” ฟอร์สโต้แย้งอย่างไม่เห็นด้วย
เธอยังคงยึดมั่นใจอุดมคติการผัดวันประกันพรุ่งจนถึงวินาทีสุดท้าย
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฟอร์สถูกซิลลากออกจากบ้านพร้อมกับนำสิ่งของต่างๆ ติดตัวไปด้วย ขึ้นรถม้าเช่า นั่งไปลงสถานีใต้ดินที่อยู่ใกล้เคียง
ท่ามกลางเสียงหวูดดังสนั่น รถจักรไอน้ำคันใหญ่ลากงูเหล็กตัวสีดำเข้าสู่ชานชาลาและจอดลงท่ามกลางแสงโคมไฟสองฝั่ง
ฟอร์สและซิลยืนรออยู่ด้านนอก คอยให้ผู้โดยสารคนอื่นทยอยลงมา
ทันใดนั้น พวกเธอเห็นถุงมือแดงสองข้าง
เจ้าของถุงมือสีแดงเป็นชายในวัยสามสิบ สวมเชื้อสีขาวและเสื้อกันลมสีดำ ปกเสื้อยกสูงจนปิดคางและริมฝีปาก
ดวงตาสีเขียวเข้ม จอนสีน้ำตาลทอง ในมือถือกล่องสีเงินขนาดใหญ่ที่สามารถใส่ไวโอลินลงไป
ฟอร์สและซิลมองหน้ากัน ก้มหน้าลงและจ้องปลายรองเท้าของอีกฝ่าย
…
ในฐานะอาวุโสใหญ่ของเหยี่ยวราตรีแห่งโบสถ์รัตติกาล หนึ่งในยี่สิบสองผู้อำนาจแห่งศาสนจักร หนึ่งในสามบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในถุงมือแดง เครสไทน์·ซีสม่าไม่ใช่คนบ้าพิธี แต่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว โดยสารขนส่งสาธารณะของพลเรือน ทำตัวราวกับเป็นนักบวชสมถะทั่วไป
หลังจากเปลี่ยนไปนั่งรถไฟใต้ดินเพื่อขึ้นมายังเขตเหนือ มันเช่ารถม้าและตรงไปยังวิหารนักบุญแซมมวลและเข้าพบอาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ นักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน
“ถัดจากนี้คงต้องรบกวนคุณสักสองสามสัปดาห์” หลังจากทักทายตามมารยาทและสรรเสริญเทพธิดา ซีสม่าหาที่นั่นและกล่าว
อาร์ชบิชอปใบหน้าเกลี้ยงเกลา นักบุญแอนโทนี่ในชุดนักบวชสีแดงนั่งลง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“เกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์?”
“ถูกต้อง” ซีสม่าพยักหน้ารับ “องค์สันตะปาปารบกวนให้ผมมาแจ้งคุณว่า หนึ่งในข้ารับใช้แห่งเทพธิดา หัวหน้าสำนักชีรัตติกาล มาดามอาเรียนน่า จะมาถึงเบ็คลันด์ในอนาคตอันใกล้”
นักบวชรายนี้คืออันดับหนึ่งจากทั้งหมดสิบสามอาร์ชบิชอป
โดยไม่รอให้นักบุญแอนโทนีตั้งคำถาม มันอธิบายอย่างละเอียด
“มาดามอิลิยาพบข้อมูลที่สำคัญจำนวนมากจากวิญญาณอินซ์·แซงวิลล์ รวมถึงปัญหาในด้านสภาพจิตใจของมันที่ 0-08 ใช้เป็นช่องโหว่ในการหลบหนี นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างนิกายแม่มดกับราชวงศ์… หลังจากเป็นคนบงการโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน อินซ์·แซงวิลล์ถูก 0-08 หักหลังจนถูกวิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’ สิงร่าง เดินทางไปยังทวีปใต้ตามลำพังเพื่อวางกับดักล่อมาดามอิลิยา… เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ในเศษเสี้ยวความทรงจำของอินซ์·แซงวิลล์ มีซากปรักหักพังใต้ดินที่สำคัญมากตั้งอยู่บริเวณชานเมืองฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเบ็คลันด์ ใกล้กับแม่น้ำทัสซอค… งานของผมคือการตามหาซากปรักหักพังดังกล่าว”
นักบุญแทนโทนีนั่งฟังสักพัก ถามอย่างครุ่นคิด
“อินซ์·แซงวิลล์ไม่ทราบตำแหน่งที่แน่ชัด? เขาไม่เคยไปที่นั่น?”
ซีสม่าส่ายหน้าพลางตอบ
“เขาเคยเข้าไป แต่เป็นการถูกพาเข้าไป จึงไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง”
นักบุญแอนโทนีพยักหน้ารับรู้พร้อมกับกล่าว
“พอจะทราบหรือยังว่ากลุ่มใดของราชวงศ์ที่ร่วมมือกับอินซ์·แซงวิลล์?”
“ยัง” เครสไทน์·ซีสม่าเว้นวรรค “โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าผู้สมรู้ร่วมมือจะปลอมตัวหรือไม่ แต่ถ้าเคยพบกัน จะต้องหลงเหลือความทรงจำที่สอดคล้อง ทว่า ร่างวิญญาณของอินซ์·แซงวิลล์ไม่มีเบาะแสของเรื่องนี้เลย ราวกับความทรงจำนั้นไม่เคยมีอยู่”
“บางทีอาจเป็นพลังของพันธสัญญา เป็นสัญญาที่รุนแรงจนครึ่งเทพลำดับ 4มิอาจขัดขืน เราต้องพึงระวังเจ้าของพันธสัญญาไว้ด้วย” นักบุญแอนโทนีพยักหน้าอีกครั้ง
มันครุ่นคิดสักพัก กล่าวต่อ
“ในโทรเลขไม่ได้เขียนอธิบายไว้มากนัก จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตกลงแล้วใครฆ่าอินซ์·แซงวิลล์?”
เครสไทน์·ซีสม่าหายใจเข้าออกเชื่องช้า
“ชื่อที่คุณจะไม่มีทางเชื่อ… ไคลน์·โมเร็ตติ”
“เหยี่ยวราตรีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ทิงเก็น?” รอยย่นบนหน้าผากแอนโทนีลึกขึ้น
“ถูกต้อง… จากรายงานของอิลิยา ไม่มีใครทราบว่า ทำไมไคลน์·โมเร็ตติผู้ที่อยู่เพียงลำดับ 8 ถึงคืนชีพกลับมาได้ และใช้วิธีใดสังหารครึ่งเทพที่ครอบครอง 0-08 ได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี” กล่าวจบ สีหน้าเครสไทน์·ซีสม่าเปลี่ยนไป “องค์สันตะปาปาบอกให้เราเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ห้ามเปิดเผยให้ใครทราบนอกจากเหล่าอาร์ชบิชอปและอาวุโสใหญ่ นอกจากนั้น ห้ามสืบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับไคลน์·โมเร็ตติ ให้คิดเสียว่าเขายังนอนในหลุมศพ”
นักบุญแอนโทนีเงียบงันสักพัก ก่อนจะทำหน้าคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงพยักหน้าและกล่าว
“บางที… เขาอาจเป็นอีกหนึ่งในข้ารับใช้ของเทพธิดา…”
ซีสม่าเงยศีรษะขึ้น จ้องหน้านักบุญแอนโทนีราวกับอีกฝ่ายเสียสติไปแล้ว
ริมฝีปากของมันขยับสองสามหน แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำใด
แอนโทนีไม่สานต่อบทสนทนา ชำเลืองไปทางประตูและกล่าวเสียงขรึม
“งานของคุณเกี่ยวกับการสืบสวนเป็นหลัก อาจต้องใช้กำลังคนพอสมควร… อา… หน่วยของโซสต์เพิ่งเสร็จภารกิจจากทวีปใต้พอดี ผมจะโยกย้ายให้พวกเขาคอยรับคำสั่งจากคุณ”
“ตกลง” เครสไทน์·ซีสม่าไม่โต้แย้ง
…
“พักหนึ่งวัน ก่อนจะกลับเบ็คลันด์?” เลียวนาร์ดเงยศีรษะ จ้องหน้าหัวหน้าหน่วยโซสต์
โซสต์มองเข้าไปในดวงตาเลียวนาร์ดที่เงียบมาพักใหญ่ด้วยความเห็นใจ พยักหน้ารับ
“ใช่”
หลังจากเฝ้ามอง ‘จอมอาคมวิญญาณ’ เดินออกจากห้อง เลียวนาร์ดถอนหายใจยาวพลางเอนหลังพิงกำแพง
ทันใดนั้น แสงสีแดงเข้มพลันท่วมท้นการมองเห็น สร้างความประหลาดเหนือพรรณนา
ราชันเร้นลับ 951 : จั่วไพ่
กว่าเลียวนาร์ดจะได้ตอบสนองสิ่งใด มันก็เห็นเสาหินสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้า ห้อมล้อมไปด้วยหมอกสีเทาที่ไร้ขอบเขต คอยค้ำจุนพระราชวังหลังใหญ่ที่ดูราวกับเป็นถิ่นพำนักของคนยักษ์
ดวงตาสีเขียวของมันว่างเปล่า ผ่านไปราวหนึ่งวินาที มันตระหนักว่าตนมานั่งข้างโต๊ะทองแดงยาวตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้ ฝั่งตรงข้ามเป็นเก้าอี้พนักสูงหลายตัวที่มอบความรู้สึกสูงสง่า
และสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีลวดลายโบราณ ร่างที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทากำลังเอนหลังพิงอย่างผ่อนคลาย คล้ายกับไม่แยแสทุกสิ่งบนโลก
สำหรับเลียวนาร์ด ฉากตรงหน้ามอบความรู้สึกราวกับกำลังยืนบนเรือโดยสาร หันหน้าเข้าหาท้องทะเลอันมืดมิดที่ไร้ขอบเขต หรือไม่ก็เป็นการเดินออกไปนอกเมือง แหงนมองภูเขาสูงตระหง่านสักลูกหนึ่ง
เพียงพริบตา ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองเลียวนาร์ด มันพอจะทราบสถานการณ์ปัจจุบันของตนอย่างคร่าว และเนื่องจากเป็นสาวกของศาสนจักรที่เชื่อในการดำรงอยู่ของตัวตนลึกลับที่ยิ่งใหญ่ มันแทบอยากจะลุกออกจากเก้าอี้และหมอบกราบอีกฝ่าย
พลังของทวยเทพ สูงประหนึ่งขุนเขา กว้างไกลราวกับมหาสมุทร!
ในวินาทีที่เลียวนาร์ดลุกขึ้นยืน มันถูกกดด้วยพลังที่มองไม่เห็น เสียงทุ้มลึกดังกังวาน
“ไม่ต้องมากพิธี… จงเรียกเราว่าเดอะฟูล”
เดอะฟูล… นั่นสินะ… หัวใจเลียวนาร์ดที่เคยหวาดผวาเริ่มสงบลง แน่นอน มันยังคงกังวลเล็กๆ เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่ก็มิได้แตกตื่นเหมือนตอนต้น มิได้นั่งปากแห้งตัวสั่น
มันยืนขึ้นครึ่งจังหวะ ทาบมือลงบนหน้าอกและโค้งคำนับ
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ท่านเรียกกระผมมาที่นี่ทำไมหรือ?”
ในฐานะเหยี่ยวราตรีมากประสบการณ์ ในฐานะถุงมือแดงที่เคยทำคดีใหญ่มาไม่น้อย เลียวนาร์ดย่อมทราบว่า การเชื่อมต่อกับตัวตนลึกลับนั้นอันตรายมากเพียงใด ย่อมทราบว่า ตัวมันไม่ตอนนี้กำลังยืนอยู่บนปากเหวชนิดที่ไม่มีวันย้อนกลับ
ในวินาทีที่ตัดสินใจเอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูล มันทำใจรอรับความตายอันน่าสมเพชไว้แล้ว เพื่อให้ได้แก้แค้น ชีวิตตัวเองก็มิได้สำคัญอะไรนัก
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด เมื่อพิจารณาว่าไคลน์·โมเร็ตติที่ศรัทธาเดอะฟูล ไม่เพียงจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ปัจจุบันกลายเป็นครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะมองเห็นแสงแห่งความหวัง
ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากเดอะฟูลที่รายล้อมด้วยหมอก
“ในเมื่อเจ้าสวดวิงวอนให้เราช่วย ตามกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เจ้าต้องจ่ายบางสิ่งตอบแทน”
ร่างกายเลียวนาร์ดพลันสั่นเทา ก้มศีรษะต่ำ
“ความปรารถนาของท่านคือสิ่งใด?”
เว้นวรรคไปสักพัก เสียงของเดอะฟูลดังขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ต้องรีบร้อน บางที อาจเป็นการให้เจ้าช่วยเหลือใครบางคน… นั่งลงก่อน”
เลียวนาร์ดถอนหายใจโล่งอก บรรจงทิ้งตัวนั่ง เหลียวซ้ายแลขวาและตั้งคำถาม
“เขา… เอ่อ… ไคลน์·โมเร็ตติ… ก็เคยมาที่นี่เหมือนผมใช่ไหม?”
เดอะฟูลในหมอกสีเทากล่าวเสียงเรียบ
“ใช่… แต่คนละวิธี”
คนละวิธี… นั่นสินะ ไคลน์ไม่ได้มาที่นี่เพราะเอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูล แต่มาโดยคำแนะนำของ ‘กงสุลมรณะ’ อะซิก·อายเกส จนกระทั่งกลายเป็นสาวกของเดอะฟูล… เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ อีกครั้ง พบว่ามีเก้าอี้ทั้งหมดยี่สิบสองตัว
สอดคล้องกับยี่สิบสองเส้นทางผู้วิเศษ… ไพ่ทาโรต์มียี่สิบสองใบ… เดอะฟูล… ขณะเลียวนาร์ดคาดเดา เสียงหัวเราะของเดอะฟูลดังขึ้น
“นอกจากเจ้า สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถูกดึงมาที่นี่ด้วยเหตุผลอันหลากหลาย… พวกเขาขอให้ข้าจัดการชุมนุมขึ้น แลกเปลี่ยนข่าวสารและซื้อขายวัตถุดิบ สูตรโอสถ หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กันและกัน ส่งผลให้ทุกคนพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว กระทั่งกลายเป็นครึ่งเทพ”
แตกต่างจากองค์กรลับไพ่ทาโรต์ที่เราจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง… หย่อนยานกว่าที่คิด… แล้วมิสเตอร์ฟูลจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำตามคำขอร้องของสมาชิก? จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใด? หลังจากเข้าสู่วังโบราณเหนือสายหมอก สติเลียวนาร์ดตื่นตัวมากเป็นพิเศษ คำถามข้อแล้วข้อเล่าผุดขึ้น
หลังจากการแก้แค้นสำเร็จมันหดหู่และว่างเปล่าไปพักใหญ่ คล้ายกับสูญเสียเป้าหมายในชีวิต แต่เพียงไม่นานก็กลับมาฮึกเหิม การตายของดาลีย์ได้สอนมันว่า ตนยังแข็งแกร่งไม่มากพอ เพื่อลดจำนวนการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อแข็งแกร่งพอที่จะช่วยรักษาชีวิตผู้อื่น มันจำเป็นต้องอยู่ในลำดับ 4 เป็นอย่างน้อย พลังของครึ่งเทพคือสิ่งที่ขาดไม่ได้
ดังนั้น คำพูดของเดอะฟูลจึงสร้างแรงกระเพื่อมในใจเป็นอย่างมาก มองว่านี่คือโอกาสทอง โดยในขณะเดียวกัน มันก็เต็มใจที่จะเข้าร่วมการชุมนุม ทำความเข้าใจสถานการณ์ขององค์กรอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้ตัวเองหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อันตรายที่เกิดจากการเชื่อมต่อกับตัวตนลึกลับ
ครุ่นคิดสักพัก เลียวนาร์ดตั้งคำถาม
“ไคลน์·โมเร็ตติเป็นขาประจำของการชุมนุมด้วยใช่ไหม?”
เดอะฟูลตอบด้วยท่าทีไม่แยแส
“ถูกต้อง”
เลียวนาร์ดเงียบงันไปสักพัก
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ผมสามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้ไหม?”
เดอะฟูลที่ปกคลุมด้วยสายหมอกตอบพลางยิ้ม
“แน่นอน… แต่หลังจากถูกส่งกลับไป อย่าลืมเล่าเรื่องนี้ให้พาลีส·โซโรอาสเตอร์ฟัง ไม่จำเป็นต้องปิดบังจากเขา”
เขา… ตาแก่เป็นเทวทูตจริงๆ ด้วย! ไม่น่าแปลกใจที่คาถาโจรปล้นดวงทรงพลังขนาดนั้น… แม้เลียวนาร์ดพอจะทราบเรื่องนี้มานานแล้ว แต่หลังจากได้ยินคำยืนยันจากเดอะฟูล มันอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
เลียวนาร์ดลังเลสักพักก่อนจะกล่าวต่อ
“ทำไมต้องบอกพาลีส·โซโรอาสเตอร์หรือครับ?”
แม้มันและพาลีส·โซโรอาสเตอร์จะค่อนข้างสนิทสนมและมีความเชื่อใจในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่กล้าประมาทโดยสมบูรณ์ การเข้าร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ฟูลจึงถือเป็นการถ่วงดุลอำนาจของปรสิต
มันได้ยินมิสเตอร์ฟูลหัวเราะ
“บ่อยครั้งที่การปรามให้ผลดีกว่าความขัดแย้ง”
การปรามให้ผลดีกว่าความขัดแย้ง… ใช่แล้ว… หากเปิดตัวว่าเป็นศัตรูซึ่งหน้า เกรงว่าตาแก่อาจเกิดความขุ่นเคืองใจ เพราะท้ายที่สุด สนามรบคงหนีไม่พ้นตัวเรา โอกาสรอดไปแบบปลอดภัยมีน้อยมาก การปรามจะช่วยให้เขาตระหนักถึงสถานการณ์ แม้จะเคยคิดร้ายจริงๆ แต่ก็ไม่กล้าลงมือด้วยวิธีเดิม ต้องหาทางอ้อมค้อมและเสียเวลาเพิ่มขึ้น… เลียวนาร์ดก้มหน้าตอบ
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ผมหมดคำถามแล้ว”
เดอะฟูลที่หัวโต๊ะเสกไพ่ทาโรต์ ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปทางพวกมัน
“แต่ละคนต้องจั่วไพ่ทาโรต์เพื่อใช้เป็นโค้ดเนมแทนตัวเอง เจ้าเองก็ต้องจั่วไปหนึ่ง… ไม่ต้องห่วง ไพ่ที่ถูกจั่วแล้วจะไม่มีอยู่ในนี้”
เป็นอย่างที่คิด พวกเขาใช้ไพ่ทาโรต์แทนโค้ดเนม… เลียวนาร์ดถอนหายใจแผ่วเบา อดไม่ได้ที่จะถาม
“ไคลน์·โมเร็ตติจั่วได้ไพ่ใบไหน?”
“เดอะเวิร์ล” เดอะฟูลตอบเสียงค่อย “นั่นคือเขา ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เขา”
หมายความว่ายังไง… เลียวนาร์ดไม่กล้าถามเพิ่ม เพียงยื่นมือขวาออกไปจั่วไพ่หนึ่งใบจากสำรับ
เมื่อพลิกเปิด มันเห็นท้องฟ้าพร่างพรายและเทพีที่กำลังรินน้ำศักดิ์สิทธิ์
ไพ่เดอะสตาร์!
มันไม่ใช่ไพ่ที่ตรงกับรสนิยมเลียวนาร์ด แต่เนื่องจากนี่คือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่มีเดอะฟูลเป็นสักขีพยาน เลียวนาร์ดไม่มีทางเลือกนอกจากน้อมรับไว้
“กลับไปก่อน การชุมนุมจะมีทุกวันจันทร์บ่ายสามโมงตรงตามเวลาเบ็คลันด์” เดอะฟูลที่รายล้อมด้วยหมอกสีเทายกมือขึ้น ส่งเลียวนาร์ดที่รีบยืนทำความเคารพออกจากพระราชวังโบราณ
‘เดอะฟูล’ ไคลน์หัวเราะชอบใจทันที พลิกเปิดไพ่ทาโรต์ทุกใบในสำรับ
ทั้งหมดล้วนเป็นภาพเดียวกัน ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราพร่างพราย
ใช่แล้ว ทุกใบคือไพ่เดอะสตาร์!
หลังจากหัวเราะสักพัก ไคลน์ชำเลืองไปทางดาวแดงที่เป็นตัวแทนเลียวนาร์ด
ในตอนที่พยายามดึงนักกวีอดีตเพื่อนร่วมงานขึ้นมายังมิติเหนือสายหมอก ไคลน์สังเกตอย่างตั้งใจและพบว่า ในร่างกายเลียวนาร์ด·มิเชลมีก้อนลูกบอลแสง กลุ่มแสงดังกล่าวคล้ายกับประกอบจากหนอนแมลงจำนวนมหาศาล หลบซ่อนลึกอยู่ในร่างวิญญาณ
ภาพดังกล่าวทำให้ไคลน์ยืนยันได้ว่า พาลีส·โซโรอาสเตอร์สิงเลียวนาร์ดแค่ขั้นต้น ไม่ได้เข้าควบคุมร่างวิญญาณ กายปัญญา กายอากาศ และร่างเนื้อของเลียวนาร์ด โดยหลังจากเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพ ไคลน์สามารถควบคุมพลังของมิติหมอกได้ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องดึงร่างวิญญาณองค์รวมขึ้นมา แต่เลือกได้เฉพาะเจาะจงว่าจะดึงส่วนใด กายปัญญาและกายอากาศด้วยหรือไม่
ดังนั้น ไคลน์จึงตัดสินใจไม่ดึงร่างวิญญาณของเลียวนาร์ด แต่เป็นการดึงร่าง ‘วิญญาณดารา’ ขึ้นมาบนมิติเหนือสายหมอกแทน สิ่งนี้จะช่วยให้ไม่กระทบกระเทือนไปถึงพาลีส·โซโรอาสเตอร์ ไม่ต้องนำพาอีกฝ่ายขึ้นมายังมิติเหนือสายหมอก ไม่อย่างนั้น เทวทูตลำดับ 1 แห่งเส้นทางนักจารกรรมต้องทราบแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้น
และพลังในการ ‘บุกรุกความฝัน’ ของเส้นทางรัตติกาลก็มาจากการใช้ ‘วิญญาณดารา’ เป็นหลัก ส่งผลให้เลียวนาร์ดควบคุมร่างนี้ได้อย่างชำนาญ สามารถเข้าร่วมชุมนุมได้เหมือนกับคนอื่น
หวังว่าเขาจะค่อยๆ หลุดพ้นจากการสิงสู่ของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ทีละนิด… ไคลน์ถอนหายใจ
การที่มันยอมให้เลียวนาร์ดเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ เหตุผลหลักคือต้องการให้อดีตพวกพ้องแข็งแกร่งขึ้นจนกระทั่งหลุดพ้นจากเงาของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ได้ในสักวัน
และถ้าเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมรายนี้มิได้คิดร้าย มันจะหาทางช่วยเลียวนาร์ด เพื่อที่ตนจะได้หลบอามุนด์อย่างปลอดภัย ฟื้นฟูพลังอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าตรงกันข้าม การทำแบบนี้จะช่วยเร่งให้พาลีส·โซโรอาสเตอร์มองหาร่างโฮสต์ใหม่เร็วขึ้น
ถอนสายตากลับ ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็โยนสูตรโอสถลำดับ 6 ของเส้นทางนักล่าเข้าไปในจุดแสงที่เป็นตัวแทนของเดนิส พร้อมกับแปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์และมอบคำสั่งให้ถอนตัวออกจากทวีปใต้ กลับไปยังฝันทองคำทันที
…
ตารวมของแมงมุมนักล่าดำ… สมองนรสิงห์… เดนิสนึกทบทวนรายละเอียดที่ ‘ได้เห็น’ เมื่อครู่ ลุกขึ้นยืนอย่างมีความสุข
มันเตรียมเดินไปหาแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเพื่อกล่าวคำอำลา หลบหนีจากทวีปใต้แสนอันตราย
หลังจากเดินมาถึงประตูห้องของนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหมอก มันเคาะประตูและเห็นประตูเปิดออกทันที
แอนเดอร์สันไม่ได้ล็อกประตูห้อง!
เดนิสประหลาดใจ รีบมองเข้าไปในห้องและเห็นแอนเดอร์สันกำลังถือมีดจ่อท้องตัวเอง
ราชันเร้นลับ 952 : โลกอันคับแคบ
เดนิสตกตะลึงสุดขีด รีบโพล่งขึ้น
“ขอโทษ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ มันดึงประตูกลับเข้าหาตัวเอง
โครม!
ประตูไม้ปิดลงต่อหน้าจนเกิดเสียงดังกังวาน
จนกระทั่ง เดนิสเริ่มได้สติ
เราทำอะไรลงไป…
แล้วแอนเดอร์สันกำลังทำอะไร?
มันรีบถอดถุงมือสีดำตามสัญชาตญาณ ขมวดคิ้วสักพักก่อนจะตัดสินใจเดินกลับห้อง จัดกระเป๋าและเตรียมออกเดินทาง
สิ่งที่แอนเดอร์สันคิดจะทำ แม้ว่ามันเองก็อยากทราบ แต่สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล จึงไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยว ด้วยเกรงว่าจะตกหลุมพราง
กัปตันบอกว่า จงกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก แล้วก็อยู่ให้ห่างเข้าไว้… ขณะเดนิสหันหลังกลับ มันได้ยินเสียงประตูไม้ด้านหลังเปิดออก
แอนเดอร์สัน ในสภาพไม่ติดกระดุมเสื้อเม็ดล่างสุด มันเดินออกจากห้องพร้อมกับมีดสีดำสนิท จ้องหน้าเดนิสด้วยอารมณ์ซับซ้อน
“นายไม่คิดจะห้ามฉันเลยหรือ?”
เดนิสได้ ‘กลิ่น’ ของโอกาสในการยั่วยุ จึงหัวเราะในลำคอพร้อมกับตอบ
“นั่นเป็นอิสรภาพของนาย… ถ้านายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ฉันรวยเละแน่!”
แอนเดอร์สันยกมือขึ้นลูบแก้ม
“นายไม่อยากรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน?”
เดนิสชำเลืองด้วยความสงสัย
“ฉันคิดมาตลอดว่านายมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่”
แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ
“อา… ก่อนหน้านี้ฉันถูกจับตัวไป ถูกบังคับให้แช่ในบ่อที่เต็มไปด้วยเลือดประหลาดและวัตถุดิบอีกหลายชนิด หลังจากถูกกัดกร่อนเป็นเวลานาน พวกมันก่อตัวเป็น ‘รังไหม’ ประหลาดในร่างกายฉัน สิ่งนี้จะคอยดึงดูดผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางนักล่า”
ขณะกล่าว มันชี้ไปที่ท้อง
เดนิสผงะหลังจากได้ยิน
“ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน… ถ้านายเปลี่ยนเพศ บางทีฉันอาจคิดว่านายท้อง”
มันเว้นวรรค ก่อนจะซักถาม
“ชายแปลกหน้าในจัตุรัสคืนชีพ ถูกดึงดูดโดยเด็กในท้อง… ไม่สิ โดยรังไหม?”
เมื่อเห็นแอนเดอร์สันยืนยัน เดนิสทำท่าใช้มือผ่าท้อง
“นายคิดจะผ่านท้องตัวเองเพื่อเอารังไหมออกมา?”
แอนเดอร์สันตอบเถรตรง
“ใช่… ฉันกังวลว่ามันจะส่งผลต่อร่างกาย หรือไม่ก็ดึงดูดเทวทูตบางตน… ต้องแข่งกับเวลา ไม่อย่างนั้นอาจสายเกินแก้”
เดนิสครุ่นคิดสักพัก ถามด้วยความสงสัย
“แล้วทำไมถึงยังไม่ลองทำ? นายลืมทำพินัยกรรม หรืออยากให้ฉันเป็นสักขีพยาน?”
กล้ามเนื้อใบหน้าแอนเดอร์สันกระตุกแผ่วเบา ตามด้วยหัวเราะในลำคอ
“ไม่เลว… ดูเหมือนว่าโอสถนักยั่วยุของนายจะย่อยสมบูรณ์แล้ว”
มันถอนหายใจ
“หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ฉันคิดว่ามันคงไม่สามารถถูกเอาออกได้ตรงๆ ไม่อย่างนั้น อีกฝ่ายไม่ต้องเสียเวลาจับฉันแช่ในบ่อเลือด แค่ผ่าท้องและเย็บมันเข้ามาก็พอ”
โดยไม่รอให้เดนิสตอบ มันกล่าวพลางครุ่นคิด
“ไม่ใช่ว่านายมีวิธีติดต่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์หรอกหรือ? เขามีประสบการณ์มากมาย มีความรู้กว้างขวาง ฉันอยากปรึกษาหาวิธีแก้ปัญหา”
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา หนึ่งสิ่งที่ทำให้เดนิสกลัวมากที่สุดคือ การบอกกับใครต่อใครว่าตนรู้จักเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงเกิดปฏิกิริยาตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
“ไม่มี! ตั้งแต่เขาออกจากฝันทองคำ ฉันก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย!”
มุมปากแอนเดอร์สันยกโค้ง
“ในตอนที่นายเขียนจดหมายถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ฉันเองก็อยู่กับเขา และเคยเห็นผู้ส่งสารของเขา”
สีหน้าเดนิสพลันแข็งทื่อ จากนั้นไม่กี่วินาที มันยิ้มแห้ง
“แล้วทำไมนายไม่อัญเชิญผู้ส่งสารของเขาเอง?”
แอนเดอร์สันยกมือขึ้น ทำท่าบีบคอพลางหัวเราะ
“ฉันไม่รู้พิธีกรรมอัญเชิญ”
เดนิสยังเชื่อว่าแอนเดอร์สันเก็บซ่อนบางสิ่งไว้จากตน จึงยืนกรานที่จะไม่ยอมรับว่าตนติดต่อกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์บ่อยครั้ง ทำเพียงเสนอแนะ
“อันที่จริง นายสามารถขอความช่วยเหลือจากกัปตันของฉันได้ เธอมีความรู้กว้างขวาง ฉลาด และเชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับหลายแขนง แถมยังสามารถขอความช่วยเหลือจากโบสถ์ปัญญาความรู้ อาจมีวิธีแก้ปัญหารังไหมในท้องนาย… หึหึ ถ้านายอายล่ะก็ ฉันจะคุยกับเธอให้เอง”
เพียงกล่าวจบ เดนิสเห็นแอนเดอร์สันฉีกยิ้มกว้างในพริบตา
“ตกลงตามนั้น! ฉันจัดกระเป๋าเดินทางเสร็จแล้ว พวกเราจะไปกันเมื่อไร?”
“…” เดนิสตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอยหลายวินาที รู้สึกราวกับตกหลุมพรางแอนเดอร์สันอีกครั้ง
มันกลับไปที่ห้องดื่มเบียร์ที่เหลือ โยนของใช้จิปาถะใส่กระเป๋าเดินทาง เหลือเพียงใบไม้แห้งที่มีเส้นใยสีทอง
นี่คือสัญลักษณ์แทนการติดต่อระหว่างเดนิสกับลูกน้องของนายพลเมซันเญส ผู้นำของแคว้นเหนือ จากคำสั่งของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันทิ้งใบไม้นี้ไว้ในห้องเพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบในขั้นตอนถัดไปมาสานต่อ
…
ภายในห้องที่เดนิสเช็กเอาต์ เขียนไขลุกโชนด้วยตัวเองจนเปลวไฟสูงกว่าสองเมตร
ภายในเปลวไฟ ร่างหนึ่งย่างกรายออกมา สวมหมวกผ้าไหม ชุดสูทสุภาพสีดำ จอนสีขาว ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม มอบบรรยากาศของหนุ่มใหญ่หล่อเหลา ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์ที่แปลงร่างเป็นดอน·ดันเตส
หลังจากเก็บใบไม้แห้งที่มีเส้นใยสีทอง ไคลน์ออกจากโรงแรม อ้อมจัตุรัสคืนชีพที่ถูกปิดตาย เดินไปถึงย่านใจกลางเมืองคูคัว จัตุรัสขนนกขาว
คฤหาสน์ของเมซันเญสตั้งอยู่ที่นี่ ติดกับวิหารเทพมรณาที่มีลักษณะลึกลงไปใต้ดิน
ด้วยมาดของสุภาพบุรุษชาวโลเอ็นเต็มขั้น เมื่อดอน·ดันเตสเดินผ่านไปในเมือง มันโดดเด่นสะดุดตามากกว่าใคร สำหรับที่นี่ ชาวต่างถิ่นมีจำนวนน้อยมาก พบได้บ่อยแค่ในบริเวณจัตุรัสเฉลิมฉลองที่ใกล้กับสถานทูต ส่วนจุดอื่นๆ จะคลาคล่ำไปด้วยชาวไบลัมท้องถิ่น
พวกมันมีผิวสีน้ำตาล ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย โครงหน้าอวบอิ่ม ในสายตาของชาวทวีปเหนือส่วนใหญ่ ชนพื้นเมืองที่นี่จะมีหน้าตาเหมือนกันหมดหากเป็นเพศเดียวกัน ต่างเพียงส่วนสูงและน้ำหนักตัว
ชาวเมืองในละแวกนี้ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ชอบสูบบุหรี่ไบลัมมาก ทำมาจากใบยาสูบตากแห้งที่ห่อด้วยสมุนไพรสด ไคลน์สามารถพบเห็นชาวเมืองยืนพ่นควันริมถนนได้เป็นปรกติ
นอกจากนั้น ชาวเมืองส่วนมากมักแขวนผลไม้ที่ชื่อ ‘ดาลาวา’ ไว้ตรงเอว
ผลไม้ชนิดนี้มีขนาดเท่าสองกำปั้น ผิวหนามาก หลังจากเจาะรูและกินเนื้อด้านใน สามารถนำมาใช้บรรจุน้ำ ไวน์ หรือเครื่องดื่มชนิดต่างๆ
จากที่ไคลน์สังเกต ส่วนใหญ่ดื่มเครื่องดื่มสีส้มเหลืองที่ชื่อว่า ‘กวาดาร์’ รสออกเปรี้ยวอมหวาน ช่วยบรรเทาความร้อนและดับกระหาย มอบความสดชื่นเป็นอย่างมาก
ไม่มีเวลาลองชิมสักที… ไคลน์พึมพำพลางเดินเข้าไปหาองครักษ์ของคฤหาสน์นายพลและขอพบกับชายที่ชื่อแฮกกิส
ด้วยรูปลักษณ์ของชาวโลเอ็นและการแต่งกายที่ภูมิฐาน องครักษ์มิได้ปฏิเสธหรือสร้างความยากลำบากให้ เพียงแยกตัวออกไปหนึ่งคนเพื่อเรียกหาชายที่มีอายุไม่ถึงสามสิบ
ใบหน้าและผิวพรรณของชายคนนี้ดูเหมือนกับชนพื้นเมืองทุกประการ แต่เส้นผมสีดำกลับมิได้หยักศก พวกมันถูกยืดให้ตรงและหวีไปด้านหลังอย่างเรียบร้อย คล้ายกับกำลังเลียนแบบชนชั้นสูงของทวีปเหนือ
มันสวมเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำ ผูกโบทางการ เมื่อเห็นดอน·ดันเตส มันกล่าวเป็นภาษาโลเอ็น
“ทิวาสวัสดิ์ ผมชื่อแฮกกิส เป็นเกียรติที่ได้พบคุณ”
สำเนียงการพูดค่อนข้างเร็ว แตกต่างจากสำเนียงโลเอ็นในทุกภาค
ไคลน์ที่อยู่ในแวดวงชนชั้นสูงมาได้สักระยะ ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร เผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ทิวาสวัสดิ์ ผมดอน·ดันเตส ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ฟังสำเนียงโลเอ็นของขุนนางที่นี่”
แฮกกิสเผยรอยยิ้มที่ยากเก็บซ่อน
“มีทายาทตระกูลขุนนางจากโลเอ็นไม่น้อยเดินทางมาแสวงหาโอกาสที่นี่ ผมมีโอกาสได้ศึกษาสำเนียงจากพวกเขา”
“โฮ่… ผมอาจจะพอรู้จักพวกเขาอยู่บ้าง” ไคลน์ไม่รีบร้อนเข้าประเด็น แต่ชวนแฮกกิสสนทนาตามมารยาทสุภาพบุรุษ
แฮกกิสหัวเราะ
“หนึ่งในสหายของผมคือพันเอกอัลเฟรด·ฮอลล์ บุตรชายคนที่สองของเอิร์ล”
ฮอลล์… ไคลน์หัวเราะในลำคอ
“ผมเคยพบท่านเอิร์ลฮอลล์ในงานเลี้ยงการกุศล เขาเป็นขุนนางไปถึงแก่นแท้… โลกช่างแคบเสียจริง”
แฮกกิสพยักหน้ารับ
“นี่คงเป็นโชคชะตานำพา แต่น่าเสียดาย อัลเฟรดเพิ่งถูกยายไปยังไบลัมตะวันออกเมื่อปีที่แล้ว”
มันไม่สานต่อบทสนทนา แต่รีบนำทางดอน·ดันเตสเข้าไปในคฤหาสน์ของนายพล
เมื่อเดินผ่านประตูฝั่งด้านข้าง ไคลน์เงยหน้าขึ้น มองดูกระจกหลากสีเหนือกรอบประตู
แผ่นกระจกกำลังส่องสว่างท่ามกลางแสงแดด ราวกับดวงตาที่ค่อยๆ ขยับทีละดวง
ราชันเร้นลับ 953 : คำทำนาย
ไคลน์ถอนสายตาอย่างเป็นธรรมชาติ ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง เดินตามหลังแฮกกิสเข้าไปในคฤหาสน์นายพล
สถาปัตยกรรมแตกต่างจากสไตล์ทั่วไปของทวีปใต้ ไม่ควบคุมแสงแดดเพื่อทำให้ห้องมืด ไม่ใช้กระดูกตกแต่งเพื่อทำสร้างความรู้สึกกระแทกกระทั้น ตรงกันข้าม ที่นี่ดูเหมือนกับบ้านหรูของทวีปเหนือ และมีกลิ่นอายอินทิสที่เข้มข้น
เสาแต่ละต้นหุ้มด้วยแผ่นทองคำ ภาพจิตรกรรมฝาผนังใช้สีโทนอบอุ่น รายล้อมด้วยประติมากรรมทองคำ บันไดเวียนลงมาจากที่สูง ตรงผ่านทั้งสี่ชั้นของอาคาร หันหน้าเข้าประตู ทั้งงดงามและอลังการ
ต้องยอมรับว่า อาณาจักรที่ปกครองโดยโบสถ์สุริยันเจิดจรัส หากเป็นศิลปะที่เกี่ยวกับทองคำ พวกเขาถือเป็นแถวหน้าของโลก ไม่มีความรู้สึกฟุ่มเฟือยแบบเศรษฐีใหม่เห่อทองสักนิด… สายตาไคลน์กวาดไปทั่วราวบันได พบรูปปั้นเทวทูตสีทองขนาดเท่าฝ่ามือกำลังบินเฉียงออกจากกึ่งกลางแกนเสา ต้องหักห้ามใจไม่ให้เดินเข้าไปสัมผัส
มองดูองครักษ์ทั้งสองฝั่ง มันหาหัวข้อสนทนามาคุยกับแฮกกิส
“ดูเหมือนว่า พันเอกอัลเฟรด·ฮอลล์จะสร้างชื่อเสียงไว้ในไบลัมตะวันตกไม่น้อย?”
แฮกกิสพยักหน้าขึงขัง กล่าวด้วยสำเนียงชนชั้นสูงของโลเอ็น
“เขาทั้งเข้มแข็งและกล้าหาญ ครั้งหนึ่งเคยนำหน่วยรบพิเศษกว่าสามสิบคนเข้าปะทะกับกองทัพอินทิสนับพันคน ปั่นป่วนพวกมันได้อย่างหนัก กล่าวกันว่า เขายังสร้างผลงานอีกหลายครั้งในไบลัมตะวันออก จึงกลายเป็นพันเอกได้ตั้งแต่ยังไม่สามสิบ”
ฟังดูน่าทึ่งมาก… บางที พี่ชายของมิสจัสติสอาจกลายเป็นผู้วิเศษแล้ว แถมลำดับก็คงไม่ต่ำ… อา… สำหรับตระกูลขุนนางใหญ่ ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ต้องมีสมาชิกตระกูลเลือกเดินบนเส้นทางผู้วิเศษ… หึหึ ไว้รอให้มิสเตอร์อัลเฟรดฝ่าฟันความยากลำบากจนกลายเป็นผู้วิเศษลำดับที่ค่อนข้างดี ติดยศพลจัตวาหรือพลตรี จนกระทั่งกลับมายังเบ็คลันด์และพบว่าเรื่องสุดสะเทือนใจว่าลำดับของตนยังน้อยกว่าหมาน้องสาว… ไคลน์ที่ดื่มยาก่อนออกมา ใช้การรำพันติดตลกเพื่อปรับสภาพอารมณ์
มันมิได้ถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลเฟรด เพียงตั้งข้อสงสัยด้วยน้ำเสียงงุนงง
“ผมพบว่าประเพณีของไบลัมตะวันตกและออกมีความแตกต่างกันเล็กน้อย สำหรับที่นี่ ในหลายบ้านจะมีการตกแต่งด้วยกระดูกมนุษย์ ส่วนไบลัมตะวันออกไม่ทำกัน… ผมเคยมาที่นี่หลายครั้ง ผุดคำถามในใจมานาน แต่ก็อายที่จะหยิบยกขึ้นมาพูด”
แฮกกิสหยุดเดิน ชี้ไปทางบันไดเวียนฝั่งตรงข้าม
“มิสเตอร์ดันเตส กรุณารอสักครู่ ท่านนายพลจะมาถึงในอีกไม่ช้า”
หลังจากรายงานเสร็จ มันหัวเราะและพูดต่อ
“ประเพณีการตกแต่งด้วยกระดูกมนุษย์นั้นหายาก มีเฉพาะในดินแดนที่เคยถูกปกครองด้วยราชวงศ์ไบลัมเท่านั้น สำหรับพวกเรา การตายของสมาชิกในครอบครัวมิได้หมายความว่า สายสัมพันธ์จะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ก่อนนำศพไปฝัง พวกเราจะนำกระดูกของพวกเขาออกมาก่อนบางส่วน ใช้มันเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้านเพื่อแสดงให้เห็นว่า คนตายยังอยู่ร่วมกับคนเป็น… ส่วนจะเป็นกระดูกส่วนใดนั้น นักบวชในพิธีจะเป็นคนเลือก โดยมากมักเป็นกะโหลกศีรษะเพราะเป็นส่วนที่ดีที่สุดและแสดงเอกลักษณ์ของคนตาย… ในบางครอบครัว พวกเขาจะใช้กะโหลกเป็นแก้วไวน์สำหรับต้อนรับแขกพิเศษ… มิสเตอร์ดันเตส หากการเจรจาธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น ผมอยากเชิญคุณมาที่บ้านและ เสิร์ฟไวน์เฟนิสในกะโหลกของคุณปู่เพื่อเป็นการแสดงความนับถือ”
ไคลน์เกือบเปลี่ยนสีหน้า มันพบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะยอมรับประเพณีเช่นนี้
มันหัวเราะสองครั้งและเตรียมตอบรับพอเป็นพิธี แต่ทันใดนั้น ร่างหนึ่งเดินลงมาจากราวบันไดสีทอง
อีกฝ่ายไม่ใส่หมวก สวมชุดทหารสีดำ กระดุมสีทองระยิบระยับ สายคาดเอวสีแดงราวกับเลือด
ผิวหนังสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าอวบอิ่ม อวัยวะบนใบหน้าคล้ายกับมากระจุกอยู่ตรงกลาง ส่งผลให้ใบหน้าดูใหญ่กว่าปรกติ
ไคลน์ที่รวบรวมข้อมูลมาจากหลายช่องทาง ทราบในทันทีว่าอีกฝ่ายคือผู้ปกครองที่แท้จริงของแคว้นเหนือแห่งไบลัมตะวันตก เมซันเญส ชายผู้เรียกตัวเองว่านายพล
ภายนอกอาจดูเหมือนมันเอนเอียงไปมาระหว่างโลเอ็น อินทิส ฟุซัค เฟเนพ็อต และกองกำลังต่อต้านอีกหลายแห่ง แต่ในความเป็นจริง มันได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จากราชวงศ์ในนิกายวิญญาณ
พร้อมกันนั้น ไคลน์สงสัยว่า นายพลพื้นเมืองรายนี้อาจสร้างความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับโบสถ์ปัญญาความรู้
ส่วนความแข็งแกร่งของเมซันเญสนั้น ไม่ว่าจะ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าหรือ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา ต่างระบุตรงกันว่าเป็นผู้วิเศษลำดับ 5 แต่จะเป็นเส้นทางใดนั้น ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด เพราะถึงจะแสดงพลังพิเศษในขอบเขตของความตายและวิญญาณบ่อยครั้ง แต่ก็มีรายงานว่าเมซันเญสพกพาสมบัติวิเศษของเส้นทางมรณา
“ทิวาสวัสดิ์ครับ ท่านนายพล” ไคลน์ถอดหมวก วางมือลงบนหน้าอกซ้ายและทักทาย
ทันใดนั้น มันรู้สึกว่ามีดวงตาที่ไม่ทราบตำแหน่งแน่ชัด กำลังจ้องมองมาทางตน ไม่ว่าจะเป็นแสงระยิบระยับบนเทวทูตสีทอง หรือแสงแดดที่สะท้อนผ่านกระจกหลากสี หรือแสงที่สะท้อนจากผิวหินอ่อน
“สวัสดี มิสเตอร์ดันเตส” เมซันเญสตอบเป็นภาษาตูทาน
แน่นอน ไคลน์ที่ได้รับทักษะทางภาษาตูทานผ่านหุ่นเชิด ย่อมเข้าใจความหมาย แต่สำหรับทวีปใต้ ยิ่งอยู่ในไบลัมนานเท่าไรก็ยิ่งพบว่าภาษาตูทานและฟุซัคโบราณมีรากศัพท์คล้ายกัน
แม้ทั้งสองภาษาจะมีระบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยากจะเรียนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่หากเป็นการสนทนาพื้นฐาน ก็ยังมีบางจุดที่สามารถใช้ร่วมกันได้
สิ่งเดียวที่ไคลน์มั่นใจก็ได้ ต้นตระกูลภาษาตูทานไม่ใช่ภาษาคนยักษ์แน่นอน
มันแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกถึงดวงตาที่จ้องมอง เพียงสนทนากับเมซันเญสอย่างเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งอีกฝ่ายริเริ่มเข้าประเด็นเกี่ยวกับการค้าอาวุธ
“คุณมีสินค้าทั้งหมดเท่าไร?”
ไคลน์ตอบพลางยิ้ม
“ติดอาวุธให้กองทัพราวสามถึงสี่พันคนได้สบาย และยังมีปืนใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง”
เมซันเญสเงียบงันสักพัก
“ราคา?”
ไคลน์แสร้งนึกสักพักก่อนจะตอบ
“หากคุณอยากให้ผมนำสินค้ามาส่งถึงแคว้นเหนือ ราคาคือห้าหมื่นปอนด์ถ้วน แต่ถ้าคุณส่งคนของคุณไปรับอาวุธพร้อมกับผม คอยคุ้มกันระหว่างการขนส่ง ราคาจะเหลือเพียงสี่หมื่นปอนด์ถ้วน”
เมซันเญสครุ่นคิดสักพัก
“อย่างหลัง… คุณรับเงินมัดจำไปก่อน พาคนของผมไปรับของ จนกระทั่งพวกเขาย้ายสินค้ามาใส่รถของพวกเราเสร็จ คนของผมจะจ่ายที่เหลือให้”
มันเว้นวรรคก่อนจะเสริม
“แต่ผมไม่มีทองปอนด์โลเอ็นมากขนาดนั้น”
ไม่มีทุนสำรองเงินตราต่างอาณาจักรเลยหรือ… ไคลน์มองไปรอบตัว ยิ้มหน้านิ่ง
“คุณจะจ่ายผมเป็นเหรียญทองก็ได้ หรือแม้กระทั่งทองคำแห่งและอิฐทอง”
เมซันเญสเป็นคนเด็ดขาด ไม่พร่ำเพ้อให้มากความ เพียงพยักหน้ารับและตอบ
“เป็นอันตกลง พรุ่งนี้ผมจะให้แฮกกิสพาคนไปหาคุณพร้อมเงิน”
ไม่เลว… ชอบทำธุรกิจกับคนประเภทนี้จัง พวกไม่มัวต่อรอง… ไคลน์โล่งใจในตอนต้น ก่อนจะเริ่มฉุกคิดว่าราคาของตนต่ำเกินไปหรือไม่
จนกระทั่งไคลน์เดินทางออกจากคฤหาสน์ของนายพล เมซันเญสเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกล่าวไปทางสุดปลายบันไดวน
“ท่านลูก้า นี่คือคนที่ท่านกำลังรอคอย?”
ณ ชั้นบนสุดของบันไดที่วิจิตรงดงาม ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
เป็นชายชราสวมผ้าคลุมสีขาวที่ทอด้วยไหมทองเหลือง ผมสีขาวโพลน แต่ถูกตกแห่งอย่างเรียบร้อย ดวงตาสีเทาอมเขียวลุ่มลึกจนราวกับไร้ก้นบึ้ง
มันตอบด้วยทำนองเชื่องช้า
“ยังยืนยันไม่ได้ แม้คำทำนายของผมจะบอกว่า ภายในสองวันนี้ ผมจะได้พบกับคนที่สามารถแก้ปัญหาที่น่าหนักอกหนักใจในอนาคต แต่ชายคนเมื่อครู่ดูธรรมดาเกินไป หากไม่นับเรื่องที่เป็นผู้วิเศษก็ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น… แน่นอน ผมยังไม่ทราบตื้นลึกหนาบาง อาจมีบุคคลเบื้องหลังเขาที่มีระดับไม่ด้อยไปกว่าผม”
กล่าวถึงตรงนี้ มันเดินลงอย่างเชื่องช้า ผ่านไปสองสามวินาทีจึงพูดต่อ
“ผมจะลองใช้ความฝัน ดูว่าจะค้นพบอะไรเพิ่มเติมบ้างไหม”
“ต้องการห้องพิเศษไหมครับ?” เมซันเญสถามอย่างสุภาพ
ลูก้าส่ายหน้า
“ผมจะใช้ห้องนั่งเล่นข้างๆ … อา… ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคืออีกสี่ชั่วโมงถัดไป อย่ารบกวนผมก่อนหน้านั้น”
มันเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงและเอนหลังพิงโซฟา หลับตาพักผ่อนร่างกายอย่างสงบ
รอจนกระทั่งมืด ชายชราเข้าสู่ภาวะหลับลึก
ภายในความฝัน มันพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องโถงชั้นแรกของคฤหาสน์นายพล ใกล้กับทางเข้าและบันไดวนขนาดใหญ่ ข้างๆ เป็นเมซันเญส แฮกกิส และองครักษ์อีกหลายคน
ชายวัยกลางคนนามว่าดอน·ดันเตสยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ยกมุมปากขึ้นกะทันหัน ฉีกยิ้มกว้าง
เปลวไฟพลันสว่างวาบ ก่อนที่ไพ่ใบหนึ่งจะหล่นลงมาจากด้านบน
ดวงตาสีเทาอมเขียวของลูก้าหรี่ลงทันที เนื่องจากร่างของดอน·ดันเตสนัยน์กำลังจมลงในความมืดที่แปลกประหลาด
ชายชราในชุดคลุมสีขาวรีบกางแขนออก เกิดเป็นวังวนระหว่างหน้าอกและหน้าท้อง
วังวนดังกล่าวขยายตัวและกลืนกินดอน·ดันเตส
ยังไม่ทันที่ลูก้าจะได้ยืนยันสถานการณ์ มันสัมผัสถึงบางสิ่ง จึงรีบมองไปด้านข้างและเห็นใบหน้าของเมซันเญสกำลังยุบพอง ร่างกายยืดขึ้น ก่อนจะกลายเป็นดอน·ดันเตสอีกหนึ่งคน
แทบจะในเวลาเดียวกัน แฮกกิสและองครักษ์ทั้งหมดรอบๆ พลันกลายเป็นดอน·ดันเตสเหมือนกันหมด สายตาทุกคู่จดจ้องมายังลูก้าเป็นทางเดียว!
ลูก้าสะดุ้งตื่นต่อหน้าเมซันเญสที่เข้ามาได้สักพักแล้ว มันชะงักอยู่ราวสองวินาที ก่อนจะเปิดปากพูด
“ผมต้องไปพบสุภาพบุรุษคนนั้นด้วยตัวเอง… ต้องพบกับครึ่งเทพที่อยู่เบื้องหลังเขา”
กล่าวยังไม่ทันจนประโยค มันหันหน้าไปทางหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น ไฟถนนพลันดับมืด พระจันทร์สีแดงส่องแสงราวกับเลือดสดอย่างน่าประหลาด
จันทราโลหิตอีกครั้ง!
…
โชคดีที่มีมิสเตอร์ฟูล… จันทราโลหิตปีนี้มาบ่อยเกินไปไหม? ครั้งล่าสุดเพิ่งสองเดือนที่แล้วเอง… ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเลยสักนิด! ฟอร์สพลิกตัวนั่งเช็ดเหงื่อเย็นๆ พึมพำบางคำคนเดียว
เธอมาถึงเมืองเล็กๆ ชายขอบป่าเดแลร์และเช็กอินเข้าพักในโรงแรม เช่าร่วมกับซิล เตรียมสืบข่าวเบื้องต้นเกี่ยวกับปราสาทร้างในวันพรุ่งนี้ ใครจะไปคิดว่าขณะกำลังจะพักผ่อน ปรากฏการณ์จันทราโลหิตดันเกิดขึ้นกะทันหัน
ทันใดนั้น คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ หญิงสาวหันไปมองข้างๆ
ซิลที่รบเร้าให้เข้านอนเร็ว ตื่นมาตอนไหนไม่มีใครทราบ กำลังจ้องฟอร์สด้วยดวงตากระจ่างใส
ราชันเร้นลับ 954 : ปราสาทเก่าแก่ที่แป...
ซิลและฟอร์สประสานสายตากัน ไม่มีใครกล่าวสิ่งใด
ผ่านไปสักพัก ฟอร์สยิ้มแห้ง
“ฮะฮะ… เธอยังไม่นอนหรือ?”
ซิลขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอเมื่อครู่?”
“ไม่มีอะไร ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อเกิดปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวง อาการของฉันไม่ค่อยดี และยิ่งแย่ลงถ้าเป็นจันทราโลหิต” ฟอร์สแสร้งทำเป็นปรกติ
ซิลมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาขึ้นลง ดึงผ้าห่มขึ้น
“เธอมียานอนหลับไม่ใช่หรือ?”
“ตอนนี้ไม่จำเป็น ฉันดีขึ้นแล้ว” เมื่อเห็นซิลไม่ซักไซ้ ฟอร์สแอบโล่งใจ “นอนกันดีกว่า พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าป่า”
โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม ซิลหันหลังกลับ กอดผ้าห่มและหลับตา
ผ่านไปไม่นาน ลมหายใจของเธอเริ่มส่งเสียงดัง เป็นจังหวะที่ยาวและสม่ำเสมอ
ฟอร์สจ้องเพดานห้องที่ว่างเปล่า ปล่อยให้ความคิดล่องลอยจนกระทั่งหลับไปเอง
…
เที่ยววันถัดไป ใจกลางป่าเดแลร์ ด้านหน้าปราสาทที่เสื่อมโทรมและปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์เขียว
ฟอร์สปาดเหงื่อจากหน้าผาก ถอนหายใจแผ่ว
“มาถึงสักที…”
ซิลชำเลืองก่อนจะพูด
“เจ้าของโรงแรมบอกว่า ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงก็ถึงที่นี่…”
พวกเธอออกก่อนหกโมงเช้า ใช้เวลาเดินทางจริงเกือบเจ็ดชั่วโมง
มุมปากฟอร์สกระตุกเล็กน้อย
“อุดมคติกับความจริงอาจจะแตกต่างกัน ตามทางที่พวกเรามานั้นไม่มีร่องรอยของทางเดิน ต้องสำรวจเองและสร้างเส้นทางใหม่เอง!”
ซิลหยิบมีดสามคมออกมาถือ พยักหน้าและกล่าว
“เธอน่าจะเดาได้ไม่ยากว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปฏิเสธไกด์ที่เจ้าของโรงแรมแนะนำ”
“ในฐานะโหราจารย์ ฉันไม่คิดว่าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้จะสร้างปัญหาใหญ่ แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาด พวกเรามาถึงที่หมายได้อย่างราบรื่น! นอกจากนั้น เวลาก็ยังประจวบเหมาะ เหล่าภูตผีกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุด!” ฟอร์สยิ้มพร้อมกับถือบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ นิ้วหนึ่งชี้ไปข้างหน้า “ฉันมีคำถามในใจมาสักพักแล้ว ยิ่งขบคิดก็ยิ่งงุนงง”
“คำถาม?” ซิลจ้องปราสาทที่ถูกทิ้งร้างและปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์
ฟอร์สกุเรื่องขึ้นมาบ่ายเบี่ยง
“ลองตอบฉันมา… ทำไมเจ้าของถึงต้องสร้างปราสาทไว้กลางป่า? แถมยังไม่มีถนนหนทาง…”
แต่ยังไม่ทันกล่าวจบ เธอเริ่มพบว่าประเด็นนี้น่าสนใจและผิดธรรมชาติอย่างมาก
ซิลครุ่นคิดสักพัก
“บางทีอาจเคยมีถนน แต่หลังจากถูกทิ้งร้าง นานวันเข้า ร่องรอยก็หายไป”
ฟอร์สสางผมข้างใบหู ส่ายหน้าและกล่าวต่อ
“แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องทิ้งปราสาท? หากคำนึงด้านความปลอดภัย ตามปรกติแล้วจะไม่มีใครสร้างปราสาทห่างไกลจากตัวเมืองมากนัก เพราะมันเต็มไปด้วยอันตราย แต่ถ้าใช้แค่ในช่วงวันหยุดพักร้อน ตามนิสัยของพวกขุนนาง พวกเขาต้องคอยบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะแพงสักแค่ไหนก็ตาม”
ซิลโพล่งขึ้น
“เพราะถูกผีสิง?”
ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก
“ใครก็ตามที่มีเงินพอจะสร้างปราสาทหลังนี้ จะไม่มีปัญญาจ้างผู้วิเศษมาไล่ผีเชียวหรือ? ฉันกลับสงสัยว่าสามโบสถ์หลักและรัฐบาลไม่รู้ว่ามีปราสาทหลังนี้อยู่… ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้วัตถุดิบวิเศษหลงเหลืออยู่ภายใน”
กล่าวถึงตรงนี้ เธอเสนอความเป็นไปได้
“ปราสาทโบราณของผีดูดเลือด?”
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ชอบอาศัยห่างไกลผู้คน และมักเกี่ยวข้องกับป่าทึบและปราสาทเก่าแก่
นอกจากนั้น ข้อมูลของปราสาทก็ยังมาจากผีดูดเลือด
“เป็นไปได้” ซิลเห็นพ้อง ก่อนจะเสนออีกหนึ่งความเห็น “แต่ฉันไม่เคยได้ยินว่าผีดูดเลือดกลัวภูตผี พวกเขาน่าจะขับไล่วิญญาณอาฆาตโบราณได้ไม่ยากไม่ใช่หรือ?”
มีเหตุผล… อย่าบอกนะว่าผีดูดเลือดเป็นพวกไม่สนใจเงินทอง ไม่สนใจการครอบครองวัตถุดิบวิเศษ? ฟอร์สนึกทบทวนท่าทีของเดอะมูนสักพัก ก่อนจะปฏิเสธสมมติฐานของตัวเองและกล่าว
“…เว้นเสียแต่จะมีปัญหาที่ยากจะสะสาง ส่งผลให้แม้แต่ผีดูดเลือดที่แข็งแกร่งก็เลือกจะเลี่ยงมัน”
หากเป็นเช่นนั้น ภารกิจในคราวนี้ของพวกตนคงเต็มไปด้วยอันตรายเหนือจินตนาการ
ซิลอืมในลำคอ
“รีบสำรวจเบื้องต้นในตอนที่แดดแรงกันเถอะ”
“ตกลง” ฟอร์สขยับเข้าใกล้ปราสาทเก่าแก่ทีละก้าวโดยถือบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ในมือ
เพียงไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงทางเข้าซึ่งมีหินขวางไว้กว่าสองในสาม พบว่าใต้เถาวัลย์สีเขียว กำแพงหินเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง สึกกร่อนอย่างรุนแรง คล้ายกับถูกสร้างในอดีตเมื่อนานมากแล้ว
ซิลไม่รีบร้อนเข้าไป ส่งสัญญาณบอกฟอร์สให้เดินอ้อม
เมื่อวนกลับมาถึงทางเข้าอีกครั้ง เธอถามด้วยความฉงน
“โครงสร้างปราสาทเอื้อต่อการป้องกันภัยอันตรายอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องกังวลที่จะอาศัยอยู่ด้านใน แต่มีสถาปัตยกรรมบางส่วนที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างในช่วงตอนปลายยุคสมัยที่สี่ หรืออาจจะก่อนหน้านั้นอีก”
“แล้วพวกเขาสร้างเพื่อป้องกันอะไร? มนุษย์สัตว์ป่า? มนุษย์ต้นไม้? ไม่ใช่ว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปเกือบหมดหลังจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติแล้วหรือ? ฮะฮะ! อย่าบอกนะว่านี่คือสถาปัตยกรรมจากยุคสมัยที่สองหรือไม่ก็สาม?” ฟอร์สตอบติดตลก
เธอตรวจสอบสภาพแวดล้อมสักพัก ก่อนจะเดินมายังกำแพงด้านข้างพร้อมกับซิล กางฝ่ามือออกและทาบลงไป
แม้ว่าเธอจะขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง แต่ก็ค่อนข้างชำนาญในการหลีกเลี่ยง
แสงมายาปรากฏขึ้นตรงหน้า ช่วยให้ฟอร์สและซิลเดินเข้าไปในปราสาทร้างอย่างง่ายดาย
สิ่งแรกที่เห็นคือบันไดทรุดโทรม ด้านบนเป็นโครงสร้างอาคารที่ชำรุด แสงแดดส่องลงมาจากมุมสูง เต็มไปด้วยซากอิฐ หิน และซากไม้ ไม่มีรอยเท้าสัตว์ป่า ขี้นก หรือวัชพืชสีเขียว
เสียงลมหอนดังแว่ว แม้จะเป็นยามเที่ยง แต่ก็ยังมอบความหนาวสั่นไปถึงกระดูก
ฟอร์สเปิดเนตรวิญญาณพร้อมกับมองไปรอบตัวอย่างเชื่องช้า แต่ก็ไม่พบวิญญาณใดเลย
อย่างไรก็ตาม เธอสังเกตเห็นว่า ด้านขวาของกำแพงที่ทรุดโทรมมีบันไดหินสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
บันไดดังกล่าวมีจุดกระดำกระด่างเล็กน้อย ทอดยาวลงไปด้านล่าง ไม่มีใครทราบว่าสิ้นสุดตรงไหน
“สำรวจรอบๆ ให้เรียบร้อยก่อนลงไปดีไหม?” ฟอร์สมองหน้าซิลพร้อมกับเสนอ
พิจารณาจากสภาพของปราสาทที่ทรุดโทรมในแทบทุกจุด การสำรวจด้านนอกต้องใช้เวลามาก จึงควรแวะลงไปสำรวจสภาพเบื้องต้นที่ใต้ดินก่อน ค่อยกลับออกมาตรวจสอบโครงสร้างโดยรวมของปราสาท
ซิลมองไปรอบตัว พยักหน้ารับ
“ลมหนาวพัดมาจากใต้ดิน… ฉันคิดว่าภูตผีและวิญญาณอาฆาตทั้งหมดภายในปราสาท กำลังรวมตัวกันที่ปลายทางของขั้นบันได”
“อา…” ฟอร์สเดินอย่างระมัดระวังไปยังบันไดหินกระดำกระด่าง ค่อยๆ เดินลงไปทีละขั้น
บันไดค่อนข้างแคบ ลงไปได้ทีละคน และเป็นบันไดวนที่ชวนให้ฟอร์สตัวสั่น
กึก. กึก. กึก. ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่กังวล แสงภายในบันไดเริ่มมืดลง
ซิลจุดตะเกียงในมือ ส่วนฟอร์สพลิกไปยังหน้าหนึ่งของบันทึกการเดินทางของเลมาโน่อย่างชำนาญ
แสงสว่างอันอบอุ่นพวยพุ่งไปด้านหน้า ฟอร์สและซิลค่อยๆ ก้าวทีละหนึ่งขั้นด้วยบรรยากาศตึงเครียด
ระหว่างทาง บางครั้งก็มีลมหนาวพัดผ่าน ทำให้พวกเธอตื่นตูมไปเองหลายครั้ง เกือบโจมตีใส่ศัตรูที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง
กึก. กึก. กึก. ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่คับแคบและรกร้าง ฟอร์สลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายและเหยียบลงบนพื้นราบที่มั่นคง
ใจจริง เธออยากจะพูดว่า “การอยู่ในที่แบบนี้นานๆ สามารถทำให้คนเป็นบ้าได้” แต่เนื่องจากบรรยากาศเงียบสงัดเกินไป เธอไม่กล้าส่งเสียง กังวลว่าจะทำลายภาวะสันติจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เลวร้าย
อาศัยแหล่งกำเนิดแสงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะในแนวเฉียง ฟอร์สมองไปข้างหน้า สำรวจว่ารอบๆ มีลักษณะเป็นอย่างไร
ที่นี่คือห้องโถงสูงเกือบสิบเมตร ปูด้วยกระเบื้องสีดำเปียกแฉะ มีร่องรอยการชำรุดทรุดโทรมกระจัดกระจาย
ห่างออกไปหลายสิบเมตร อีกฟากหนึ่งของห้องโถงที่แสงเกือบส่องไปไม่ถึง ที่นั่นมีประตูทองแดงตั้งเด่นตระหง่านอย่างเงียบงัน
เป็นบานประตูคู่สูงจรดเพดาน กำแพงหินฝั่งซ้ายขวาพังถล่มลงมา รูปปั้นหักโค่น ด้านล่างเป็นโคลนสีน้ำตาลเข้ม
บนผิวประตูเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และลวดลายซับซ้อน มอบความรู้สึกลึกลับและหนักอึ้ง ราวกับกำลังผนึกบางอย่างเอาไว้
ฟอร์สอดไม่ได้ที่จะพูด บีบเสียงลงและกล่าว
“เคยเห็นประตูแบบนี้มาก่อนไหม?”
ซิลส่ายหน้า
“ไม่”
ฟอร์สถอนหายใจ
“ไหนลองบอกมา เธอคิดว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังประตู? มันจะพาเราไปที่ไหน? ห…หรือว่านี่คือเหตุผลที่ต้องสร้างปราสาทไว้กลางป่า? เพื่อมิให้สิ่งมีชีวิตด้านหลังประตูออกมา?”
ซิลมองไปรอบตัว แต่ไม่พบเบาะแสจำพวกจิตรกรรมฝาผนัง แต่สังเกตเห็นว่า ยิ่งใกล้กับประตูทองแดงมากเท่าไร น้ำก็ยิ่งซึมขึ้นมามากเท่านั้น รวมถึงจำนวนดาบสีเงินที่กระจัดกระจาย
“ในยุคสมัยที่สี่และห้า ภาพจิตรกรรมฝาผนังได้รับความนิยมมากในปราสาท และก่อนจะเกิดเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ เราสามารถพบจิตรกรรมฝาผนังได้ตามซากปรักหักพังโบราณของเอลฟ์ พวกเขามักสรรเสริญเทพในรูปแบบของภาพวาด” ซิลกล่าวพลางนึกทบทวนประสบการณ์และข้อมูลที่ได้รับจากการเป็นนักล่าเงินรางวัล
ฟอร์สพยักหน้ารับ
“เห็นด้วย… ปราสาทเก่าหลังนี้ประหลาดมาก”
ทันใดนั้น หัวใจหญิงสาวเต็มไปด้วยความกลัว ต้องการจะหนีออกไปและขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์เวิร์ล
ในการชุมนุมทาโรต์ หลังจากได้ยินเดอะซันน้อยเล่าเรื่องราวสยองขวัญเกี่ยวกับซากปรักหักพังโบราณ เมื่อได้มาอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เธอมิอาจสลัดความคิดดังกล่าว เอาแต่สร้างความกลัวให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเข้าไปใกล้อีกสักนิด พวกเราอาจพบเบาะแสเพิ่มเติม” ซิลก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ขยับไปใกล้กับบานประตูที่ถูกผนึก
ฟอร์สจับบันทึกการเดินทางของเลมาโน่แน่นขณะเดินตามหลัง
เดินไปได้สักพัก แสงสีแดงสว่างวาบในดวงตา
สิ่งซึมออกจากกระเบื้องสีดำ ไม่ใช่หยดน้ำ หากแต่เป็นเลือดสดๆ !
นี่มัน… ฟอร์สรีบเปิดสมุดเวทมนตร์สีเขียวทองแดง มุมสายตาชำเลืองไปหาซิล
ในการมองเห็นของเธอ ผิวของเธอซิลซีดลงตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้ ดวงตากลายเป็นสีเขียวเข้ม ริมฝีปากแดงสด ร่างกายมืดมน สีหน้าบิดเบี้ยวสุดขีด
ราชันเร้นลับ 955 : วิญญาณอาฆาตโบราณ
รูม่านตาฟอร์สพลันเบิกกว้าง คล้ายกับต้องการรับแสงให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ตรวจสอบสภาพปัจจุบันของซิลอย่างชัดเจน
พร้อมกันนั้น ด้านหน้าของเธอพลันสว่างวาบ สว่างยิ่งกว่ากล้องรุ่นเก่า ย้อมทุกสิ่งให้กลายเป็นสีขาวโพลน
วินาทีถัดมา นิ้วของเธอเลื่อนไปยังหน้าหนึ่งของบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ หมอกสีดำพวยพุ่งขึ้นจากฝ่าเท้า ปกคลุมร่างกายโดยสมบูรณ์
หมอกสีดำที่เข้มข้นแปรสภาพกลายเป็นค้างคาวมายาขนาดเท่าฝ่ามือ บินไปยังทิศทางต่างๆ ของห้องโถงใต้ดิน
นี่คือปีกแห่งความมืดที่บันทึกไว้ในสมุดเวทมนตร์
หน้าที่เดิมของมันคือการเพิ่มความเร็ว ช่วยให้บินระยะสั้น สามารถแปลงเป็นฝูงค้างคาวแวมไพร์เพื่อโจมตีศัตรู แต่ฟอร์สมิได้ใช้งานในลักษณะนั้น เพียงมองเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับการแสดง
หลังจากค้างคาวมายาจำนวนมากบินออกไป ในจุดที่ฟอร์สเคยยืนก็กลายเป็นว่างเปล่า
เธอเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปไกลกว่าสิบเมตร!
หลังจากจิตสำนึกสั่งให้หนีและปกป้องตัวเอง ในที่สุดฟอร์สก็เริ่มสงบลง รีบหันไปทางซิลที่มีร่างกายผิดปรกติ
ทว่า ซิลในสายตาของเธอยังคงมีผมสีทองกระเซิงเล็กน้อย ใบหน้าคล้ำนิดๆ จากการเดินทางกลางแดดเป็นเวลานาน สีหน้ากำลังสับสนสุดขีด ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนสนิทถึงมีท่าทีตอบสนองรุนแรงเช่นนี้ ปราศจากร่องรอยการถูกสิงร่างจากภูตผีหรือวิญญาณอาฆาตโดยสิ้นเชิง
“เกิดอะไรขึ้น?” ซิลถามอย่างสงสัยเจือความระแวง
ฟอร์สหรี่ตาลง ยังไม่ตอบทันที เพียงพลิกสมุดเวทมนตร์พร้อมกับถาม
“ซิล เธอสูงเท่าไร?”
ซิลตอบกลับทันที
“152… ทำไมหรือ?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง นิ้วของฟอร์สเลื่อนผ่านสัญลักษณ์และอักขระเวทมนตร์บนหน้ากระดาษ
ท่ามกลางความเงียบงัน แสงศักดิ์สิทธิ์ของเปลวเพลิงสาดส่องลงมายังห้องโถงใต้ดิน
เป็นแสงที่เจิดจ้า มันห่อหุ้มร่างซิลพร้อมกับสร้างคลื่นแสงแดดกระเพื่อม
หลังจากแสงแดดเข้มข้นแผดเข้ามาในดวงตาฟอร์ส เธอเห็นภาพของห้องโถงกำลังถล่ม พื้นหินโดยรอบกำลังแตกกระจัดกระจาย
ทุกสิ่งทุกอย่างสว่างวาบและดับไป ฟอร์สคืนสติจากภวังค์เหม่อลอยและพบว่าตนกำลังยืนอยู่ในจุดเดิมตอนแรก มิได้หนีไปไหน
ภาพลวงตา? ฟอร์สหันหน้าไปด้านข้าง พบว่าซิลกำลังจ้องสำรวจไปยังประตูคู่บานใหญ่
ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก เปิดปากถาม
“ซิล เธอสูงเท่าไร?”
ซิลชำเลืองด้วยหางตา กล่าวอย่างฉุนเฉียว
“เลิกถามอะไรโง่ๆ สักที!”
ฟู่ว… ตัวจริง… ฟอร์สถอนหายใจโล่งอก รีบอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
หลังจากเงียบไปสองสามวินาที ซิลใช้มือข้างที่ถือตะเกียงสัมผัสกับแขนซ้ายฟอร์ส
“พวกเราควรถอยก่อน บางที ยิ่งเข้าใกล้ประตูนั่น พวกเราอาจยิ่งเห็นภาพหลอน”
“ตกลง…” ฟอร์สพยักหน้ารับ เดินถอยหลังไปสองสามก้าว
จากนั้น เธอมองไปรอบๆ พลางพึมพำด้วยความสงสัย
“ทำไมพวกเราถึงยังไม่เธอภูตผีที่นี่? ไม่ใช่ว่าพวกมันชื่นชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้หรือ?”
ซิลเองก็ประหลาดใจ เริ่มสำรวจอย่างมีสมาธิ จนกระทั่งจ้องไปทางดวงอาทิตย์ย่อส่วนที่ลอยเหนือศีรษะฟอร์ส
“ลองดับมันดู” เธอแนะนำ
ฟอร์สฉุกคิดบางสิ่งได้ รีบยกเลิกแหล่งกำเนิดแสง
ความมืดมิดที่เงียบสงัดพลันปกคลุมห้องใต้ดินอีกครั้ง มีเพียงแสงสีเหลืองอ่อนของตะเกียงคอยต่อต้านพวกมัน
ถัดมา ในทัศนวิสัยเนตรวิญญาณของฟอร์ส เธอมองเห็นสองร่าง
ทั้งสองอยู่ใกล้กับบานประตูทองแดง ร่างหนึ่งเป็นสตรี ผมเกล้ามวย สวมกางเกงรัดรูปของอัศวินและเสื้อสีสันฉูดฉาด อีกร่างเป็นผู้ชาย สวมชุดเกราะสีเงินสลับดำ ถือดาบที่เต็มไปด้วยสนิท คล้ายกับพร้อมบุบสลายได้ทุกเมื่อ
รายแรกมีใบหน้าพร่ามัว เดินวนเวียนไปมาระหว่างบานประตูกับจุดที่ฟอร์สและซิลยืนเมื่อครู่ รายหลังยืนเฝ้าประตูไม่ไปไหน ปากพึมพำบางสิ่ง
นี่คือวิญญาณอาฆาตโบราณทั้งสอง? ฟอร์สใช้ข้อศอกสะกิดซิลพร้อมกับหรี่เสียงพูด
“ฉันเห็นวิญญาณ”
“ฉันก็เห็นเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้พยายามซ่อนตัวแม้แต่น้อย” ซิลโน้มตัวและตั้งท่าเตรียมสู้
ฟอร์สรีบสะกิด
“อย่าใจร้อน เรายังไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นเป้าหมาย”
เธอลองก้าวไปข้างหน้าสามก้าว แต่ร่างที่คลุมเครือทั้งสองก็มิได้มองตรงมา
ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก เปิดปากพูด
“มาดาม คุณกำลังทำอะไรอยู่หรือ?”
เธอเคยได้ยินจากชุมนุมลับอื่นๆ ว่า หากวิญญาณอาฆาตมีระดับสูง พวกมันสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ฟอร์สพลันเสียใจในสิ่งที่ตัวเองพูด เพราะถึงแม้ว่าจะสื่อสารกับอีกฝ่ายสำเร็จ เธอก็คงมิอาจบรรลุเป้าหมายได้ด้วยการบอกให้อีกฝ่ายฆ่าตัวตายและส่งวัตถุดิบวิเศษมา
เมื่อฟอร์สพบว่าเธอไม่มีทางเลือกนอกจากโจมตีเข้าไปตรงๆ สตรีในเสื้อสีสันฉูดฉาดและกางเกงอัศวินตอบคำถามเมื่อครู่
“ฉันกำลังตามหาสามี… เขาเป็นองครักษ์ของที่นี่”
สื่อสารกับมนุษย์ได้… ฟอร์สถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แล้วเขาไปไหน?”
ทันใดนั้น ซิลที่เดินตามมา ถามด้วยท่าทีหวาดระแวง
สตรีร่างคลุมเครือตอบ
“เขาเป็นองครักษ์ของที่นี่… เขาบอกกับฉันว่า ด้านหลังประตูมีพลังแปลกประหลาดแทรกซึมเข้ามาและกัดกร่อนพวกพ้อง เขาต้องการให้ฉันออกไปจากที่นี่พร้อมกับคนแจ้งข่าว… เขายืนกรานว่าจะช่วยให้ฉันหลบหนีอย่างปลอดภัย แต่ฉันไม่ต้องการแบบนั้น ฉันอยากหนีไปพร้อมกับเขา… หลังจากพาคนแจ้งข่าวออกไปสำเร็จ ฉันกลับมายังห้องใต้ดินเพื่อตามหาเขา แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ…”
พิจารณาจากการที่ปราสาทหลังนี้หลงยุคไปมาก องครักษ์คนสุดท้ายมีสิทธิ์เสียชีวิตและกลายเป็นวิญญาณอาฆาตโบราณ… ฟู่ว… เรื่องราวของเธอทำให้เราสะเทือนใจ ไม่อยากลงมือกับอีกฝ่ายตรงๆ … ฟอร์สใช้ความคิดสักพัก เดินอ้อมสตรีคนดังกล่าวอย่างระมัดระวัง เข้าไปยังจุดที่ใกล้กับบานประตูทองแดง
ระหว่างทาง เธอมิได้เห็นภาพหลอน คล้ายกับพิสูจน์ว่า เหตุการณ์ในครั้งก่อนเกิดจากจิตใต้สำนึกของหญิงสาวร่างกายพร่ามัว
เมื่อเข้าไปในระยะของชายสวมชุดเกราะสีเงินสลับดำที่ถือดาบขึ้นสนิม ฟอร์สพยายามสนทนา
“คุณสุภาพบุรุษตรงนั้น คุณกำลังทำอะไร?”
อัศวินหยุดพึมพำ หันมากล่าวกับฟอร์ส
“ผมกำลังเฝ้าประตูดำบานนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าภรรยาสามารถหนีไปยังที่ปลอดภัย… ถ้าคุณพบเธอ กรุณาบอกกับเธอว่า อัศวินของเธอจะสู้เพื่อเธอจนถึงวินาทีสุดท้าย”
อา… ประตูดำ… แต่นี่มันสีทองแดงชัดๆ … เดี๋ยวนะ เขาพูดว่าอะไรนะ? กำลังเฝ้าประตู เพื่อให้แน่ใจว่าภรรยาจะหนีไปได้อย่างปลอดภัย… นี่มัน… ไม่ใช่เรื่องราวอีกครึ่งหนึ่งต่อจากที่ผู้หญิงคนนั้นเล่าหรือ? หมายความว่าเขาเป็นสามีของเธอ? ฟอร์สตกตะลึงสุดขีด รีบมองสลับไปมาระหว่างวิญญาณอาฆาตโบราณทั้งสอง
สตรีในเสื้อสีสันฉูดฉาดและกางเกงอัศวินกำลังเดินเข้าใกล้ประตูทองแดง หลังจากนั้นก็วนกลับไปยังกึ่งกลางห้องโถงอีกครั้ง ทำซ้ำเช่นนี้ไม่รู้จบ โดยบุรุษสวมเกราะสีเงินดำและดาบขึ้นสนิมเอาแต่วนเวียนอยู่หน้าบานประตูทองแดงยักษ์ มีบางครั้งที่พวกเขาสวนกัน แต่ก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นกัน
เป็นแบบนี้มานานกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี… หรือมากกว่านั้น… ท่ามกลางความเงียบ ฟอร์สหันไปมองซิลด้านข้าง พบว่าเพื่อนสนิทของตนกำลังมีดวงตาพร่ามัว
อ่อนไหวง่ายชะมัด… ฟอร์สทนไม่ไหว ตัดสินใจตะโกนไปทางวิญญาณอาฆาตหญิง
“มองไปที่ประตูสิ! สามีของเธออยู่ตรงนี้มาตลอด!”
สตรีสวมกางเกงอัศวินลดความเร็วลง ชำเลืองสายตามาทางฟอร์สก่อน จากนั้นก็หันไปมองประตูใหญ่
สายตาของเธอมองผ่านอัศวินในชุดเกราะสีเงินดำไปตกอยู่ที่ด้านหลัง
“ฉันไม่เห็นเขา…” วิญญาณอาฆาตพึมพำ ก่อนจะกลับไปทำกิจวัตรแบบเดิม
ฟอร์สรู้สึกโศกเศร้าอย่างเหนือพรรณนา ขณะเตรียมกล่าวบางสิ่ง เธอเห็นอัศวินสวมชุดเกราะสีเงินสลับดำหันหน้ามาทางตนและซิล แผดเสียงตะโกน
“พวกคุณเป็นใคร?”
เมื่อสิ้นเสียง วิญญาณอาฆาตหญิงหันมาทางซิลและฟอร์สอีกครั้ง
ฟอร์สตระหนักได้ทันทีว่าสติของเธอเฉื่อยชาลง คล้ายกับมีมวลความเย็นก่อตัวในร่างกาย แผ่ซ่านไปยังอวัยวะทุกส่วน แช่แข็งกล้ามเนื้อและข้อต่อ และในมุมสายตา ซิลเองก็กำลังเผชิญสถานการณ์แบบเดียวกัน บรรยากาศรอบตะเกียงหล่นลงกะทันหัน
ทันใดนั้น ในดวงตาของซิลมีเส้นสายฟ้าสว่างขึ้น
วิญญาณอาฆาตชายทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ร่างกายพร่ามัวยิ่งกว่าเก่า
ซิลหลุดพ้นจากการถูกแช่แข็งทันที รีบโยนมีดสามคมไปทางวิญญาณอาฆาตหญิง
ปลายมีดสามคม สายฟ้ามายาสว่างวาบ ปะทะกับร่างของสตรีสวมชุดสีสันฉูดฉาดและกางเกงอัศวิน
เฆี่ยนจิต!
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของวิญญาณอาฆาตหญิง ร่างกายของเธอพร่ามัวลง
สติฟอร์สกลับมาคมชัด รีบเปิดสมุดเวทมนตร์พร้อมกับเลื่อนนิ้วไปบนหน้ากระดาษ
ทันใดนั้น คล้ายกับกลุ่มเงารอบๆ ตัวมีชีวิตขึ้นมา แปรสภาพเป็นโซ่สีดำ พันธนาการปากของอัศวินในชุดสีเงินสลับดำ
ตรวนนรก!
พร้อมกันนั้น ซิลเริ่มออกวิ่ง ในมือถือเหล็กตีตรามายา ประทับลงบนร่างวิญญาณอาฆาตหญิง
ขณะเพื่อนสนิทช่วยรับมือวิญญาณอาฆาตหญิง ฟอร์สเริ่มเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
เธอพลิกหน้าสมุดเวทมนตร์ เลื่อนนิ้วลงบนหน้ากระดาษ
สายฟ้าสีเงินสว่างแผ่กิ่งก้านลงมาจากเบื้องบน วิญญาณอาฆาตอัศวินถูกผ่าเข้าอย่างจัง พร้อมกับแปรสภาพบริเวณใกล้เคียงให้พังพินาศ
ท้ายที่สุด เสาลำแสงที่มาพร้อมเพลิงศักดิ์สิทธิ์ผุดขึ้นจากความว่างเปล่า โอบล้อมร่างกายวิญญาณอาฆาตอัศวินพร้อมกับชำระล้าง
เมื่อจัดการศัตรูได้หนึ่ง ฟอร์สหันหลังกลับ เตรียมช่วยซิลจัดการกับวิญญาณอาฆาตหญิงต่อ
เธอมิได้หวงแหนพลังในสมุดเวทมนตร์ นำพวกมันมาผสมผสานกันอย่างเหมาะสม และด้วยความช่วยเหลือจากซิล ฟอร์สลับไปมาระหว่างพลังตรึงศัตรูกับพลังโจมตี เพียงไม่นานก็กำจัดเป้าหมายสำเร็จ
บรรยากาศกลับมาเงียบสงบ ฟอร์สหายใจเข้าออกเชื่องช้า มองไปยังสนามรบด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“จบแล้ว?”
เธอเคยคิดว่า วิญญาณอาฆาตโบราณสองตนนั้นเป็นศัตรูที่ค่อนข้างพิเศษ มีระดับสูงมาก หากไม่ใช่ผู้วิเศษกึ่งลำดับ 5 คงรับมือได้ยาก แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกสิ่งจบลงอย่างราบรื่น
เรื่องนี้ทำให้เธอประจักษ์ความยอดเยี่ยมของ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ พร้อมกับคาดหวังความแข็งแกร่งในลำดับถัดไปอย่าง ‘นักบันทึก’
ซิลเองก็ประหลาดใจไม่น้อย ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว
“เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว กับเรื่องที่หลายคนมักพูดว่า ในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ จำนวนผู้วิเศษและการประสานงานที่ดี รวมถึงการผสมผสานพลังพิเศษอย่างลงตัว สำคัญกว่าความสูงต่ำของลำดับ”
ทันทีที่กล่าวจบ เธอได้ยินเสียงเคาะประตูดัง ปัง! ปัง!
มันทำลายความเงียบงันภายในห้องใต้ดินโดยสิ้นเชิง ต้นเสียงดังมาจากด้านหลังประตูทองแดง
ราชันเร้นลับ 956 : สิ่งที่อยู่หลังประตู
ปัง! ปัง! ปัง!
ด้านหลังประตูทองแดง เสียงเคาะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กังวานไปทั่วห้องใต้ดิน คล้ายกับดังมาจากอดีตอันแสนห่างไกล
ร่างกายฟอร์สพลันสั่นระริก กล่าวด้วยเสียงที่ถูกบีบจนเบา
“อะไรอยู่หลังประตู?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ซิลส่ายหน้าขึงขัง กลืนน้ำลายตามจิตใต้สำนึก
มือขวาที่เพิ่งหยิบมีดสามคมขึ้นมา เส้นเลือดกำลังปูดโปนชัดเจน
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงเคาะประตูไม่เร็วขึ้นหรือช้าลง รักษาจังหวะเดิมได้อย่างคงที่ แต่ละครั้งราวกับเคาะเข้าไปในหัวใจซิลและฟอร์สโดยตรง ส่งผลให้เส้นขนทั่วร่างลุกตั้งชัน
“มันคงไม่ออกมาใช่ไหม… ถ้ามันออกมาได้ง่ายๆ คงไม่รอจนถึงวันนี้แน่… ฟอร์สปลอบใจตัวเองในสภาพปากซีด”
ซิลพยักหน้าหนักแน่น
“หลังจากวัตถุดิบวิเศษควบแน่น พวกเราจะออกไปทันที”
ภายใต้บรรยากาศกดดัน ความอยากรู้อยากเห็นย่อมมิอาจเอาชนะความหวาดกลัวจากก้นบึ้ง
“ตกลง!” ฟอร์สจ้องไปยังจุดที่วิญญาณอาฆาตโบราณถูกชำระล้าง บ่นอย่างหัวเสียในเรื่องที่เดอะมูนไม่ยอมแจ้งข้อมูลอย่างละเอียด ไม่ได้บอกว่าด้านล่างปราสาทเก่ามีบานประตูลึกลับ
ทันใดนั้น ท่ามกลางความมืด ฝุ่นเรืองแสงที่ดูคล้ายอัญมณีละเอียด ค่อยๆ ไหลมารวมตัวกันและแบ่งออกเป็นสองกอง
รอบๆ ละอองเรืองแสง เศษเสี้ยววิญญาณบางๆ ควบแน่นกลายเป็นผลึกใสจนดูเหมือนภาพมายา
นอกจากฝุ่นและผลึก สิ่งที่ถูกควบแน่นยังมีสองชิ้น หนึ่งคือแหวนสีใส ลักษณะคล้ายกับถูกกัดกร่อน สองคือดวงตาที่เหมือนกับแกะสลักจากผลึก ภายในมีสิ่งที่คล้ายกับแก๊สสีดำไหลเวียน
ได้เห็นฉากตรงหน้า ฟอร์สเข้าใจบางสิ่งขึ้นมาทันที
วิญญาณอาฆาตโบราณคือสิ่งมีชีวิตที่มีตะกอนพลังผสมอยู่ เกิดจากการผสานระหว่างวัตถุบางชนิดสมัยยังมีชีวิตเข้ากับตะกอนพลังของเจ้าตัว กลายเป็นรากฐานของการคงสภาพร่างวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ คำสาปของวิญญาณอาฆาตโบราณแต่ละตนจึงแตกต่างกันไป แต่แก่นแท้ไม่แตกต่าง ส่วนฝุ่นละอองคือตะกอนพลังในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นแหล่งกำเนิดพลังส่วนใหญ่ของพวกมัน เกิดจากเศษเสี้ยวร่างวิญญาณสมัยยังมีชีวิต เฉกเช่นเลือดของสัตว์ประหลาด
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงเคาะจากด้านหลังประตูทองแดงยังไม่หยุดลง คล้ายกับกำลังทดสอบจิตใจของฟอร์สและซิล
เนื่องจากความกลัวและตื่นตระหนก พวกเธอถึงกับตาฝาดเห็นว่าบานประตูทองแดงกำลังสั่น หัวใจเต้นแรงอย่างมิอาจหักห้าม เลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่าง
ในสภาพที่พร้อมกระโจนขึ้นบันไดทุกเมื่อ ฟอร์สรอคอยจนกระทั่งละอองฝุ่นและวัตถุต้องสาปก่อตัวเป็นรูปร่างสมบูรณ์
เธอส่งสัญญาณให้ซิลช่วยคุ้มกัน ส่วนตัวเองนั่งยองลงพร้อมกับหยิบกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมที่เตรียมไว้ออกมาสามกล่อง
ลังเลสักพัก ฟอร์สเงยหน้ามองซิลและพูด
“วิญญาณอาฆาตโบราณทั้งสองต่างรอที่จะได้พบกันมานาน… ฉันอยากจะ… อยากจะแบ่งสิ่งที่เป็นตัวแทนพวกเขาเพื่อฝังไว้ด้วยกัน… เอ่อ… สำหรับที่เหลือ ฉันจะถือวัตถุต้องสาป เธอถือละอองฝุ่น ส่วนเศษเสี้ยวพลังวิญญาณ พวกเราจะแบ่งกัน ตกลงไหม?”
ซิลไม่คัดค้าน พยักหน้าแผ่วเบา
“ตกลง”
ฟอร์สถอนหายใจเงียบ เม้มริมฝีปาก พลิกหน้าบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ ลูบผ่านอักขระด้วยปลายนิ้ว
ห้าเล็บมือข้างขวาของเธอยืดยาวออก ปลายแหลม พื้นผิวปกคลุมด้วยลวดลาย
กรงเล็บกัดกร่อนของผีดูดเลือด
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของมือ ฟอร์สใช้มันขุดหลุมอย่างง่ายดาย ฝากรอยกัดกร่อนเอาไว้บนดิน
ถ้ามา เธอใส่ผลึกดวงตาและกองฝุ่นลงในหลุม กลบด้วยอิฐและดินที่เพิ่งถูกขุดขึ้น
ฟอร์สใช้เล็บแหลมเขียนคำจารึก
“คนหนึ่งที่ปกป้อง คนหนึ่งที่ย้อนกลับมาหา อยู่ด้วยกันตลอดไป”
จัดการเสร็จ ฟอร์สเตรียมถอนหายใจ แต่ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงทุบดังมาจากด้านหลังประตูทองแดง
โครม!
เธอสะดุ้งเฮือก รีบเก็บละอองฝุ่น แหวนต้องสาป และเศษเสี้ยวพลังวิญญาณเข้าไปในกล่องโลหะสี่เหลี่ยม
จากนั้น หญิงสาวเก็บกล่องพร้อมกับลุกขึ้นยืน เดินไปทางบันไดพร้อมกับซิลในท่าย่อง
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูทวีความดังและหนักหน่วง ฟอร์สและซิลขมกรามแน่นตามจิตใต้สำนึก เดินขึ้นบันไดและเร่งฝีเท้า
พวกเธอเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นวิ่ง ไม่สนใจว่าจะหกล้มบนบันไดหรือไม่
จนกระทั่ง ดวงอาทิตย์ส่องแสงปะทะใบหน้าฟอร์สและซิล
พวกมันส่องมาจากด้านนอก สาดลงบนบันไดขั้นแรก ทั้งสดใส บริสุทธิ์ และอบอุ่น
ทันใดนั้น เสียงเคาะจากด้านล่างเงียบไป ไม่ดังขึ้นมาอีกเลย
ฟอร์สและซิลมองหน้ากันและกัน ลดความเร็วลง สองสามก้าวใหญ่ๆ ถัดมา พวกเธอก็มาถึงชั้นบนของปราสาทร้าง
ทั้งสองไม่สนทนาแม้แต่คำเดียว รีบออกจากที่นี่ กลับไปยังชายขอบของป่า
เดินไปได้สักพัก ฟอร์สเริ่มใจเย็นลง เม้มฝีปากและพูด
“น่ากลัวมาก… แม้สิ่งที่อยู่หลังประตูทองแดงจะไม่ได้ทำร้ายพวกเราโดยตรง ไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็น แต่ฉันกลับคิดว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณอาฆาตโบราณเสียอีก น่ากลัวยิ่งกว่าทุกสิ่งที่ฉันเคยเห็น… ภายในไม่กี่วินาที ฉันหวนนึกถึงความตายอันน่าสยดสยองที่ตัวเองเคยจินตนาการไว้ แต่กลับไม่มีรูปแบบใดที่น่ากลัวเท่ากับเสียงเคาะนั่น”
ซิลหันหน้ามามอง ผงกศีรษะเห็นด้วย
“ใช่… รู้สึกเหมือนกับกำลังเดินบนขอบผา”
ขณะฟอร์สเตรียมกล่าวบางสิ่ง เธอเห็นจมูกของซิลมีเลือดสีแดงไหลออกมาสองเส้น
“ซิล… ซิล! เลือดกำเดาเธอไหล!” ฟอร์สรีบเตือนเพื่อน
ซิลผงะเล็กน้อย หดรูม่านตา
“เธอก็เหมือนกัน!”
“เห?” ฟอร์สใช้มือที่ว่างอยู่เช็ดปลายจมูก สัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆ
เธอตกใจมาก รีบยกมือขวาขึ้นมามองและเห็นเลือดสีแดงสด
“เกิดจากความเครียดเมื่อครู่?” ฟอร์สพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้น ภายใต้ความช่วยเหลือของแสงแดดที่ส่องผ่านเงาร่มไม้ลงมา ฟอร์สพบจุดสีดำอ่อนกำลังขยายตัวด้วยความเร็วที่มองทันด้วยตาเปล่า
จุดดำขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ปกคลุมแขนและลามไปถึงหลังมือ
“อ๊า!” ฟอร์สส่งเสียงร้องจากจิตใต้สำนึก รีบเงยหน้ามองซิล
เธอเห็นจุดสีดำบนแก้มและลำคอของซิล!
“นี่มัน… ไม่ปรกติแล้ว!” ฟอร์สโพล่ง
เมื่อสังเกตเห็นความผิดปรกติของเพื่อนสนิทและตน ซิลครุ่นคิด
“เธอยังจำสิ่งที่วิญญาณอาฆาตหญิงพูดได้ไหม? เธอบอกว่า องครักษ์ในปราสาทถูกสิ่งที่แทรกซึมออกจากประตูทองแดงกัดกร่อน! พวกเราเองก็ถูกกัดกร่อนด้วย?”
ฟอร์สผงะ ตามด้วยกล่าว
“น่าจะใช่!”
เธอรีบหยิบยาที่เตรียมไว้ออกมา แบ่งให้ซิล คลายเกลียวฝา ดื่มเข้าไปสองขวด
ทว่า อาการของพวกเธอมิได้ดีขึ้น จุดดำยิ่งลุกลาม สายตาเริ่มพร่ามัว
ตึกตัก! ตึกตัก! ฟอร์สที่มิอาจช่วยเหลือตัวเอง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมคราม สัมผัสได้ว่าร่างกายเริ่มสูญเสียเรี่ยวแรง
ริมฝีปากพะงาบเล็กน้อย เธอกัดฟันพร้อมกับกำหมัดแน่น เดินถอยหลังสองสามก้าว รักษาระยะห่างจากซิล
จากนั้น หญิงสาวก้มศีรษะลง สวดวิงวอนนามเต็มของเดอะฟูล
ราวสิบวินาทีถัดมา แสงสีแดงเข้มท่วมท้นดวงตาราวกับคลื่นยักษ์ถาโถม
หลังจากผ่านเสียงเพรียก ฟอร์สได้สติและมองเห็นโต๊ะทองแดงยาวที่มีลวดลายโบราณ รวมถึงเก้าอี้พนักสูงหลายตัวฝั่งตรงข้าม
เธอพบว่า ดวงตาที่เคยพร่ามัว ศีรษะที่เคยวิงเวียน ทั้งหมดเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ปรากฏจุดสีดำบนร่างวิญญาณ
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ” ฟอร์สรีบลุกยืน โค้งคำนับบุคคลที่กำลังนั่งในตำแหน่งหัวโต๊ะ
จากนั้น เธอได้ยินมิสเตอร์ฟูลกล่าวอย่างใจเย็น
“วิญญาณของเธอถูกกัดกร่อนด้วยพลังบางอย่าง… แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
มิสเตอร์ฟูลชำระล้างให้แล้ว? ฟอร์สดีใจจนเกินกว่าจะพรรณนา ภายในใจเตรียมขอร้องให้ช่วยซิลด้วย แต่ทันใดนั้น การมองเห็นของเธอถูกปกคลุมด้วยสีแดงเข้มอีกครั้ง
เพียงไม่นาน เธอพบว่าตัวเองถูกส่งกลับมายังโลกความจริงภายในป่า จุดดำบนแขนและหลังมือหายไปโดยสมบูรณ์ เลือดกำเดาหยุดไหล
เดินกลับไปที่จุดเดิม ฟอร์สเห็นซิลกำลังยืนพิงต้นไม้ข้างๆ ด้วยท่าทางอ่อนเพลีย บนใบหน้าถูกสีดำกลืนกินไปหลายส่วน น่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก กล้ามเนื้อต้นคอเกร็งจนตึง สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่วินาทีถัดมา เธอเดินเข้าไปหาเพื่อนสนิทพร้อมกับใช้มือจับไหล่
“ฉันมีวิธีช่วยเธอ แต่ต้องทำตามที่บอกอย่างเคร่งครัด! พูดเป็นภาษาเฮอร์มิสว่า: เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
ซิลเลิกเปลือกตาอย่างยากลำบาก จ้องหน้าฟอร์สสองสามวินาที ท่องตามอีกฝ่าย
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… ผู้ปกครองลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา… ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ…”
เมื่อสิ้นเสียง ซิลต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นแสงสีแดงปกคลุมทัศนวิสัยโดยสมบูรณ์
หลังจากทนฟังเสียงเพรียกที่ฟังไม่ได้ศัพท์นานหนึ่งวินาที ซิลพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในพระราชวังเก่าแก่ขนาดมหึมา นั่งริมโต๊ะทองแดงยาว ใต้ฝ่าเท้าเป็นหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้ง ด้านหน้าคือบุคคลผู้หนึ่งที่กำลังจ้องมองลงมา บรรยากาศรอบตัวสูงส่งและองอาจ
สำหรับเธอ ฉากนี้ทั้งแปลกประหลาดและคุ้นเคย เนื่องจากเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งภายในความฝัน แต่ก็ไม่ได้เห็นอีกเลยหลังจากประกอบพิธีกรรมชำระล้าง
พิธีกรรมนั่นเปล่าประโยชน์… คิดได้เช่นนั้น ซิลลุกขึ้น ก้มศีรษะให้กับบุคคลที่มีสายหมอกสีเทารายล้อม
“ท่านคือราชันเหลืองดำ?”
เธอมิได้ประหลาดใจหรือตกตะลึงจนเกินงาม คล้ายกับพอจะเดาได้
“เรียกเราว่ามิสเตอร์ฟูลก็ได้… เชิญนั่ง” บุคคลที่มีบรรยากาศรอบตัวประหนึ่งทะเลและขุนเขาตอบเสียงแผ่วเบา
ซิลก้มศีรษะพร้อมกับนั่งลง ยืนยันว่าตัวเองหลุดพ้นจากสภาพย่ำแย่แล้ว
เธอมองไปรอบๆ ครุ่นคิดสักพักและถาม
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ… ฟอร์ส·วอลล์มีเก้าอี้ประจำที่นี่ด้วยใช่ไหม?”
เดอะฟูลหลังสายหมอกพยักหน้า
“ถูกต้อง”
เงียบไปสักพัก ซิลถามต่อ
“ดิฉันสามารถเข้าร่วมเหมือนกับเธอได้ไหม?”
เดอะฟูลหัวเราะในลำคอ
“เป็นชุมนุมที่พวกเขาปรารถนา แต่เราช่วยอำนวยความสะดวก… ยิ่งมีที่นั่งเหลืออยู่ เจ้ามีสิทธิ์เข้าร่วม… จั่วไพ่หนึ่งใบ… พวกเขาจะใช้ไพ่ทาโรต์เป็นโค้ดเนม”
ซิลไม่ซักถามให้มากความ พยักหน้ารับทันที
“ค่ะ มิสเตอร์ฟูล”
บนโต๊ะทองแดงยาวตรงหน้า สำรับไพ่ทาโรต์ปรากฏขึ้น
ซิลเหยียดแขนขวาออกไปตัดไพ่ เลือกมาหนึ่งใบและหงายขึ้น
ไพ่ใบดังกล่าวเป็นภาพของเทวทูตกำลังเป่าแตรโดยมีคนกำลังรอการไถ่บาปด้านล่าง
ไพ่จัดจ์เมนต์!
………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น