Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 945-948

ราชันเร้นลับ 945 : ตอนจบของเรื่องราว

 

ในวินาทีที่ยันต์โจรปล้นดวงหลุดจากมือเลียวนาร์ด มันหายไปในอากาศ ไม่มีใครทราบว่าไปโผล่ที่ใด แต่ก็สามารถเปลี่ยนให้จุดที่เลียวนาร์ดและอินซ์·แซงวิลล์กำลังยืนถูกปกคลุมด้วยความมืดและเยือกเย็น แม้แต่สายฟ้าสีเงินสว่างก็ยังมิอาจส่องแสง


ทันใดนั้น เลียวนาร์ดสัมผัสได้ว่าผิวหนังของตนเริ่มชา ประหนึ่งสายฟ้ากำลังแล่นไปทั่วร่าง มอบความเจ็บแปลบคล้ายกับถูกเข็มทิ่มแทง ร่างกายสามารถแปรสภาพเป็นเถ้าท่านได้ทุกเมื่อ


แต่ในวินาทีถัดมา มันกลับไม่ถูกสายฟ้าเล่นงาน ความเจ็บปวดเลือนหายไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


ไม่สิ มีบางสิ่งเกิดขึ้น สายฟ้าผ่าลงมายังตนไม่ผิดแน่ ส่งผลให้พื้นดินเต็มไปด้วยรอยไหม้เกรียม


ในเวลาเดียวกัน ไคลน์เองก็ฉวยโอกาสในจังหวะที่เลียวนาร์ดใช้ยันต์โจรปล้นดวง เปลี่ยนเป้าหมายการยิงฟ้าผ่าจากอินซ์·แซงวิลล์มาเป็นเลียวนาร์ด·มิเชล!


“อ๊าาาาาก!”


ท่ามกลางเสียงแหกปากดังสนั่น ความมืดมิดรอบกายอินซ์·แซงวิลล์ล้มเหลวในการดูดซับพายุสายฟ้า ร่างกายท่วมท้นไปด้วยพลังแห่งภัยพิบัติ


มันสืบทอดชะตากรรมที่ต้องถูกพายุสายฟ้าเล่นงานของเลียวนาร์ด!


เปรี้ยง!


เสียงฟ้าร้องคำรามระลอกใหญ่ก่อนที่สายฟ้าจะเริ่มเลือนหาย แต่ยังไม่ทันจะหายไปโดยสมบูรณ์ สายฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่าพลันกระหน่ำยิงลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง


เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!


โทสะของเทพสายฟ้ากำลังปะทุด้วยความเกรี้ยวกราด ความถี่ของสายฟ้ากลับเป็นเหมือนในช่วงต้น ปราศจากช่องว่างให้พักหายใจ แม้ในตำแหน่งของอินซ์·แซงวิลล์จะมีความมืดมิดแผ่ขยายออก แต่ก็ไม่สามารถดูดซับความพิโรธไปได้ทั้งหมด


หลังจากเกิดพายุสายฟ้าหนแล้วหนเล่า ในที่สุดแสงสว่างก็เริ่มหม่น อสรพิษสายฟ้าบนพื้นส่ายไปมาอย่างอ่อนแรง


อินซ์·แซงวิลล์ยังคงยืนในจุดเดิมโดยไม่ล้มลง


ทว่า ศีรษะของมันที่มีดวงตาสีดำสนิท แสงสว่างสีแดงเข้ม และสัญลักษณ์ลึกลับ ปัจจุบันอยู่ในสภาพแยกออกจากกัน เนื้อที่โผล่ออกมามีสภาพไหม้เกรียม ของเหลวสีเทาขุ่นกำลังล้นทะลัก


ขาทั้งสี่ข้างซี่โครงและเอวไหม้เกรียมโดยสมบูรณ์ อยู่ในสภาพขดงอ คล้ายกับพร้อมจะหลุดขอเพียงนำมือไปสัมผัส


บนแขนขาเหล่านั้น ไม่เพียงขนนกสีขาวจะแทบไม่หลงเหลือ แต่เส้นเลือดและผิวหนังรอบๆ ก็กลายเป็นสีไหม้เกรียมในสภาพปริแตก ผงสีดำกระจายไปรอบทิศ


แต่ถึงอย่างนั้น อินซ์·แซงวิลล์ก็ยังมีชีวิตอยู่ ตัวตนที่ได้รับเศษเสี้ยวความเป็นเทพ ย่อมถึกทนชนิดที่คนธรรมดาไม่มีวันจินตนาการถึง!


แสงสีแดงเลือดในดวงตาของมันทวีความเข้มข้น ออร่าที่บ้าคลั่งและสะกดข่มดูราวกับไม่มีวันจางหายอีกต่อไป โทสะเอ่อล้นท่วมร่างจนรู้สึกอยากหาที่ระบาย


มันเกลียดตัวเองในตอนแรกที่เลือกจะหนีแทนการฆ่าทุกคนที่นี่ ย้อนกลับไปในตอนนั้น หากมันใช้พลังของตนโดยไม่เก็บงำ เผยความโหดเหี้ยมของครึ่งเทพอย่างไร้ความปรานี ต่อให้โดนฟ้าผ่าอย่างต่อเนื่อง มันเชื่อว่าตนสามารถสังหารดาลีย์·ซิโมเน่และเลียวนาร์ด·มิเชลได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องถูกทำให้อับอายโดยผู้วิเศษลำดับกลางทั้งสองเช่นนี้


“บัดซบ! บัดซบ!” อินซ์·แซงวิลล์คำถามพร้อมกับโยนปากกา 0-08 ที่มีสีหม่นลงทิ้ง อาศัยขาทั้งสี่ที่ยังเหลือกระโจนเข้าหาเลียวนาร์ด·มิเชล


ขณะเลียวนาร์ดเตรียมขยับตัว ร่างกายของมันหนาวเย็นกะทันหัน คล้ายกับถูกเส้นขนล่องหนยืดออกจากความมืดมิดและพันธนาการร่างกาย ยากจะขยับตัวเคลื่อนไหว


เปรี้ยง!


สายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าเข้าใส่อินซ์·แซงวิลล์อย่างจัง แต่มันเพียงแค่สั่นระริกแผ่วเบา มีเนื้อไหม้เกรียมอีกสองสามจุด มิได้หยุดการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์ แถมยังเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย


พิจารณาจากสายฟ้าเมื่อครู่ มันมั่นใจว่าบุคคลลึกลับที่คอยสร้างฟ้าผ่ากำลังถึงขีดจำกัด ไม่สามารถใช้พลังระดับครึ่งเทพได้มากกว่านี้อีกแล้ว!


สำหรับเลียวนาร์ดที่ถูกพันธนาการด้วยเส้นขนล่องหน สติของมันเข้าสู่ภาวะหลับใหลอย่างรวดเร็ว ยากจะต้านทานขัดขืน ถูกกล่อมให้หลับสนิทท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด


ในสภาพที่ขยับไม่ได้ มันกัดลิ้นตัวเองเพื่อดึงสติกลับมาเล็กน้อย รีบสร้างหนังสือมายาขึ้นตรงหน้าพร้อมกับพึมพำเสียงแผ่ว


“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”


ท่ามกลางสายลมเกรี้ยวกราด พายุเฮอร์ริเคนที่ทรงพลังพัดปะทะกับอินซ์·แซงวิลล์ที่กระโจนเข้าใส่ตน


สายลมอันแหลมคมเฉือนบางสิ่งที่คล้ายกับเส้นผมมายาจนขาดวิ่น ช่วยให้เลียวนาร์ดได้รับอิสระคืนมา


โครม!


อินซ์·แซงวิลล์ถูกพัดจนลอยขึ้น ก่อนจะตกกระแทกพื้นด้วยความหนักหน่วง รอยปริแตกบนร่างกายทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเลือดสีซีดที่พวยพุ่ง


แม้จะเสีย ‘ขาหน้า’ ไปอีกหนึ่งข้าง แต่มันก็ยังไม่ตาย อินซ์·แซงวิลล์ ‘ลุกขึ้นยืน’ อีกครั้ง สายตาจ้องไปยังนักกวีเที่ยงคืนที่ยังคงยืนปิดตาสนิท


โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เลียวนาร์ดเสียหลักล้มลงกับพื้น ถึงอยากพยุงตัวลุกก็มิอาจรักษาสมดุลไว้ได้ ถึงจะมีสายลมกระโชกที่ตัวเองสร้างขึ้นช่วยพยุง การทรงตัวก็ยังล้มเหลวอย่างน่าสมเพช


“บัดซบ! ย้อนกลับไปที่ทิงเก็น ข้าน่าจะฆ่าเจ้าที่นอนสลบอยู่ให้ตายไปซะ!” อินซ์·แซงวิลล์ขบกรามสาปแช่ง “ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะตาย และเจ้าก็ต้องตายตามหล่อนไป!”


ขณะสาปส่ง มันเดินกะเผลกไปหาเลียวนาร์ด คล้ายกับสูญเสียความสามารถในการวิ่งด้วยความเร็วสูงไปแล้ว ขณะเดียวกันก็แผดเสียงด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวจนน่ากลัว


“หัวหน้าของเจ้าเป็นตัวน่ารำคาญ พวกพ้องของเจ้าก็เช่นกัน… ตัวเจ้าเองก็ด้วย! หลังจากฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจะกลับไปที่ทิงเก็นและขุดสุสานของพวกมันขึ้นมาใหม่!”


ท่ามกลางเสียงก่นด่า ความมืดสนิทที่อัดแน่นไปด้วยออร่าแห่งความตายพวยพุ่งออกจากร่างอินซ์·แซงวิลล์ ห่อหุ้มเลียวนาร์ด·มิเชลที่อยู่ไม่ห่างออกไป


เลียวนาร์ดสัมผัสได้ว่า ตนถูกสาปให้ได้รับเคราะห์ร้าย แต่ก็มิอาจทำอะไรได้ ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา


ปัง!


ท่ามกลางเสียงปืน กระสุนสีทองอ่อนถูกยิงเข้ามาในความมืดที่อัดแน่นด้วยออร่าความตาย แสงคล้ายดวงอาทิตย์ส่องสว่างอย่างเจิดจ้าพร้อมกับขจัดความผิดปรกติด้านใน


ฉึกฉึก! ไพ่ทาโรต์พุ่งตามเข้ามา ปักลงบนพื้นในจุดต่างๆ


หนึ่งในนั้นตกลงตรงหน้าเลียวนาร์ด ระเบิดพร้อมกับลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีแดงเข้ม


ท่ามกลางเปลวไฟ ชายสวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง สวมสูทสุภาพสีดำ ถือปืนลูกโม่ ผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล เค้าโครงใบหน้าชัดลึก กลิ่นอายคล้ายหนอนหนังสือ ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์·โมเร็ตติ


เนื่องจากใช้คทาเทพสมุทรไม่ได้อีกต่อไป มันจึงกลับมายังโลกแห่งความจริงพร้อมกับลูกโม่ลางมรณะ!


“นี่เจ้า… เป็นเจ้านี่เอง! ยังมีชีวิตอยู่สินะ! ถ้าอย่างนั้นก็ตายพร้อมกันไปแล้ว!” อินซ์·แซงวิลล์กลับมาเร่งความเร็วอีกครั้ง ขยับตัววนไปรอบๆ ไคลน์พร้อมกับพยายามดึงอีกฝ่ายเข้ามาในความฝัน


เมื่อครู่มันแกล้งทำเป็นเชื่องช้า!


ทว่า ไคลน์ไม่ได้รับผลกระทบใด ไม่มีทีท่าว่าจะปิดตาหลับ เพียงยกมือขวาขึ้นและเหนี่ยวไกลางมรณะ


ปัง!


อินซ์·แซงวิลล์ล้มลงหลังจากถูกปะทะอย่างหนักหน่วง รอยแยกบนกะโหลกศีรษะกว้างขึ้นเรื่อยๆ


“นัดเมื่อครู่สำหรับมาดามดาลีย์” ไคลน์กล่าวด้วยเสียงหนักแน่นพร้อมกับดีดนิ้ว ส่งตัวเองกระโจนผ่านเปลวไฟมาโผล่ด้านข้างอินซ์·แซงวิลล์


ดวงตาของอินซ์·แซงวิลล์แทบจะถลนออกจากเบ้า มันยังคงพยายามเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงพร้อมกับแพร่โชคร้าย แต่น่าเสียดายที่ไคลน์ไม่ได้รับอิทธิพลใดๆ


“นัดนี้สำหรับเลียวนาร์ด”


ไพ่ทาโรต์ทั้งหมดติดไฟพร้อมกัน ดูคล้ายกับดอกไม้ไฟกำลังปะทุ ไคลน์โผล่ขึ้นด้านหลังอินซ์·แซงวิลล์พร้อมกับง้างนก อาศัยสัมผัสวิญญาณเพื่อเหนี่ยวไกปืน


ปัง!


ขาซ้ายของอินซ์·แซงวิลล์ระเบิดออกพร้อมกับสาดกระเซ็นของเหลวจนดูคล้ายกับดอกไม้สีซีด


การวิ่งส่ายไปมาของมันหยุดลงทันที กระทั่งสมดุลร่างกายก็ยากจะรักษา


ไคลน์อาศัยกระโจนไฟเคลื่อนย้ายตัวเองไปตามตำแหน่งของไพ่ทาโรต์ ไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในอำนาจพันธนาการของ ‘เส้นผม’ สีดำ


“นัดนี้สำหรับเมกูส…”


“นัดนี้สำหรับผู้คุม…”


“นัดนี้สำหรับบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬที่พังพินาศ…”


“นัดนี้สำหรับเหยี่ยวราตรีทุกคน”


“นัดนี้สำหรับตัวฉันเอง”


ท่ามกลางเสียงปืน ไคลน์เหนี่ยวไกอย่างต่อเนื่อง ยิงกระสุนปราบมารสีเงินเพื่อทำลายขาอีกข้างของอินซ์·แซงวิลล์ แหวกกะโหลกหน้าผาก ส่งผลให้เสียงคำรามของอีกฝ่ายค่อยๆ แผ่วลงพร้อมกับทิ้งร่างนอนลงบนพื้น


ในที่สุด ไคลน์โผล่ตัวด้านหน้าอินซ์·แซงวิลล์พร้อมกับใช้ลางมรณะจ่อบนใบหน้าอีกฝ่าย


ในวินาทีนี้ บนศีรษะของอินซ์·แซงวิลล์ที่ใกล้พังเต็มที อักขระลึกลับและพิสดารจำนวนมากสว่างขึ้นพร้อมกับสร้างแรงปะทะ


มันยังมีเหลือฤทธิ์สำหรับขัดขืน!


มันกำลังรอให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ จากนั้นก็ใช้ร่างสัตว์ในตำนานเพื่อพลิกสถานการณ์!


ทว่า ดวงตาสีน้ำตาลของไคลน์ยังคงจ้องอีกฝ่ายโดยมิได้สะท้อนภาพใดบนกระจกตา


มันวางลูกโม่ลางมรณะทาบลงบนกะโหลกอีกฝ่ายพร้อมกับลั่นไก


ปัง!


ศีรษะของอินซ์·แซงวิลล์ระเบิดโดยสมบูรณ์ประหนึ่งผลแตงโมถูกรถทับ เศษซากและของเหลวจำนวนมากกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง


ลางมรณะกำลังมอบ ‘มรณภาพ’ ให้มัน!


ไคลน์ยกมือซ้ายขึ้น ปาดลงบนดวงตาทั้งสองข้าง เปลี่ยนให้ดวงตาที่แท้จริงกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม


ดวงตาสีน้ำตาลของมันเต็มไปด้วยของเหลวสีใส มุมปากยกโค้งเล็กน้อย กล่าวกับร่างไร้วิญญาณของอินซ์·แซงวิลล์อย่างเชื่องช้า


“นัดนี้… สำหรับหัวหน้า”


มันไม่เปิดโอกาสให้อินซ์·แซงวิลล์สั่งเสียทิ้งท้าย ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีอดีตอันขื่นขมหรือไม่


จากนั้น มันหยิบไพ่ทาโรต์ใบสุดท้ายออกจากกระเป๋าเสื้อ โยนลงบนศพอินซ์·แซงวิลล์


ไพ่ ‘เดอะสตาร์’ กลับด้าน


พร้อมกันนั้น บุคคลหนึ่งปรากฏตัวในจุดไม่ห่างออกไป โน้มตัวลงหยิบปากกาขนนกที่มีสีหม่นหมอง


บุคคลดังกล่าวสวมชุดคลุมสีขาวเรียบง่าย ครึ่งล่างใบหน้าปกคลุมด้วยหนวดเคราสีทองอ่อน กึ่งกลางหน้าอกห้อยสร้อยไม้กางเขน ภายนอกดูคล้ายกับนักบวชแสนธรรมดา แต่ความจริงแล้วคือราชาเทวทูต อาดัม!


อาดัมจ้องไคลน์ ยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าว


“น่าเสียดาย… ข้าปล่อยงูตัวนั้นหลุดมือไป”


มันจ้องปากกาขนนกในมือ ก่อนจะหันมามองไพ่ทาโรต์พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ของขวัญทั้งหมดที่โชคชะตาเคยมอบให้ ทุกสิ่งล้วนมีราคาต้องจ่าย… ใช่ไหมล่ะ?”


กล่าวจบ มันหันหลังกลับและเดินจากไปทีละก้าว ออกจากจัตุรัสที่พังทลาย ทุกก้าวเดินทิ้งข้อความคล้ายกับบทสวด:


“ภายใต้การเป็นสักขีพยานของ ‘ผู้ชม’ ไคลน์·โมเร็ตติกำกับบทละครได้อย่างงดงาม รังสรรค์การฆาตกรรมที่วิเศษจนโอสถถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ และยังเหลือพลังพอที่จะเลื่อนลำดับก่อนละครจะปิดม่านลง”


ไคลน์มิได้สนใจความคืบหน้าในการย่อยโอสถนักเชิดหุ่นที่เกิดขึ้น เพียงใช้กระโจนไฟกระโดดไปหาดาลีย์·ซิโมเน่


สตรีผู้ใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที เธอกล่าวด้วยเสียงล่องลอย


“ฉันไม่อยาก… กลายเป็นสัตว์ประหลาด…”


“ตกลง…” ไคลน์มองเธอด้วยสายตาเศร้าหมอง ขบคิดหาวิธีช่วยให้อีกฝ่ายรอดพ้นจากภาวะคลุ้มคลั่ง


มันคิดจะให้อีกฝ่ายเอ่ยนามเต็มของเดอะฟูลและดึงร่างวิญญาณขึ้นไปบนมิติหมอก แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพปัจจุบันที่เริ่มกลายพันธุ์แล้ว ความพยายามดังกล่าวคงไร้ผล เว้นเสียแต่จะให้ดาลีย์อยู่บนมิติหมอกไปตลอดกาล และแหวน ‘บุปผาโลหิต’ ของตนก็จนปัญญาจะแก้ปัญหานี้


ดาลีย์เผยรอยยิ้มอย่างยากลำบาก พยายามระงับมิให้ปุยขนนกและเกล็ดสีเขียวเข้มลุกลาม


“เป็นคุณนี่เอง… คุณเคยถามใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่เป็นฝ่ายริเริ่มจับดันน์โยนลงบนเตียง?”


หญิงสาวถอนหายใจ ยิ้มขื่นขม


“ในอดีต ฉันทำตามใจตัวเองมากเกินไป… ส…ส่วนเขาเป็นชายหัวโบราณ… ฉ…ฉันรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่า”


เธอพร้อมจะคลุ้มคลั่งและกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดได้ทุกเมื่อ


ทันใดนั้น หญิงสาวได้ยินเสียงไคลน์·โมเร็ตติ


“หัวหน้าเองก็ชอบคุณมากเหมือนกัน แต่คุณงดงามเกินไป และยังสาวยังสวย เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่ามา”


ขณะดาลีย์กำลังยิ้ม ด้วยดวงตาที่พร่ามัว เธอเห็นชายสวมเสื้อกันลมสีดำ หน้าผากเถิก ดวงตาสีเทาลุ่มลึก อีกฝ่ายใช้มือข้างหนึ่งทาบหน้าอก โน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับเหยียดแขนอีกข้างมาหา เชื้อเชิญให้ออกไปเต้นรำ


หญิงสาวเหยียดแขนออกไปจับด้วยความคิดที่ค่อยๆ ล่องลอย


บุรุษเจ้าของดวงตาสีเทาในเสื้อคลุมสีดำ ดึงดาลีย์ขึ้นมายืน ความเร็วในการกลายพันธุ์ของเธอค่อยๆ ช้าลง ท่ามกลางการเฝ้ามองของเลียวนาร์ด จัตุรัสที่มีสภาพทรุดโทรมและน้ำพุสาดกระเซ็น ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเต้นรำอย่างออกรส


วัตถุดิบชิ้นแล้วลอยขึ้นกลางอากาศ มีทั้งเถาวัลย์สีทองและหน้ากากยางอัปลักษณ์ พวกมันถูกพลังวิญญาณชักนำและค่อยๆ ผสมผสานกัน ก่อนจะถูกบรรจุลงในขวดโลหะ


ท่ามกลางการเต้นรำที่ยอดเยี่ยม ดาลีย์เอนตัวไปด้านหน้าอย่างอ่อนโยน ซบอ้อมอกของดันน์ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข


ไคลน์ถือขวดโอสถในมือ เลื่อนขึ้นมาจ่อปากและกระดกดื่ม



 

 

 


ราชันเร้นลับ 946 : ของขวัญหรือคำสาป

 

โอสถเย็นเยียบแล่นผ่านลำคอ นำพาอาการเย็นมาสู่ไคลน์จนรู้สึกชาไปถึงวิญญาณ


การเต้นรำหยุดลง จิตใจชายหนุ่มลอยสูงเสียดฟ้า จ้องมองลงมายังจัตุรัสคืนชีพที่ทรุดโทรม มองลงมายังเมืองคูคัวแห่งแคว้นเหนือซึ่งถูกทำลายไปหลายจุดด้วยฤทธิ์ของฟ้าผ่า


ในวินาทีนี้ อารมณ์ของมันกำลังพลุ่งพล่านด้วยหลากหลายสาเหตุ พลางพบว่าผู้คนที่เดินสัญจรเบื้องล่างกำลังเชื่อมต่อกับตนด้วยเส้นด้ายบางๆ ที่มองไม่เห็น กำลังทำตามคำสั่งของตน ทั้งสุข ทุกข์ หรือโกรธ เต็มไปอารมณ์อันหลากหลาย


ไคลน์มีความรู้สึกในทำนองนี้มาสักพักแล้ว และเข้าใจว่ามันคือมุมมองของ ‘ผู้กำกับ’ โดยถือว่าหุ่นเชิดของตนเป็นนักแสดง พยายามกำกับให้เกิดบทละครที่ยิ่งใหญ่


เนื่องจากเป็นสัมผัสที่คุ้นเคย ไคลน์รีบปรับอารมณ์ส่วนตัว ตัดขาดออกจากความพลุ่งพล่านเหล่านั้น มองทุกสิ่งด้วยทัศนคติที่ไม่ยี่หระ ไม่ถูกอารมณ์ของบทละครสร้างอิทธิพล


ในฐานะ ‘ผู้กำกับ’ มันต้องควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปตามบท อิงอยู่กับความเป็นจริง วิเคราะห์ทุกสิ่งอย่างมีเหตุและผล คอยรวบรวมข้อมูลและผลักดันละครไปยังทิศทางที่ต้องการ


เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตใจของไคลน์สงบลงทันที สัมผัสได้ว่า โอสถกำลังแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ประหนึ่งเส้นด้ายที่มั่นคง


ทันใดนั้น ไคลน์สัมผัสได้ว่า ร่างวิญญาณของตนเริ่มเชื่อมต่อกับเลือดเนื้อ ก่อนจะแบ่งแย่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่งผลให้มิอาจทานทนอีกต่อไป ส่งเสียงคำรามออกจากส่วนลึกของวิญญาณ


“ไม่!”


สติของมันแตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย ผสมผสานเข้ากับก้อนเลือดเนื้อแต่ละส่วนจนมีความคิดเป็นปัจเจก


กลายเป็นไคลน์ผู้เจ็บปวด ไคลน์ผู้หยิ่งผยอง ไคลน์ผู้เยือกเย็น ไคลน์ผู้อ่อนโยน ไคลน์ผู้ชอบรำพันติดตลก กลายเป็นโจวหมิงรุ่ย กลายเป็นเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ กลายเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ กลายเป็นดอน·ดันเตส


ร่างวิญญาณทั้งหมดกระจัดกระจายราวกับถูกจับยัดลงไปในเครื่องปั่น


ไม่ห่างออกไป เลียวนาร์ดที่กำลังหลั่งน้ำตาอาบสองแก้ม เห็นดันน์กำลังกอดดาลีย์·ซิโมเน่ในอ้อมอก ก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเป็นไคลน์·โมเร็ตติ โดยที่บริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือของอีกฝ่ายเริ่มมีตุ่มเนื้อนูนยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก คล้ายกับแต่ละตุ้มมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง เติบโตกลายเป็นหนอนแมลงสีใส และใต้ร่มผ้าก็มีร่องรอยการยุบพองในลักษณะที่คล้ายคลึง


ภาพดังกล่าวทำให้เลียวนาร์ดคิดว่า ไคลน์กำลังจะแตกตัวกลายเป็นหนอนแมลงตัวเล็กๆ และกระจัดกระจายไปทุกทิศ!


ขณะเตรียมลงมือทำบางสิ่ง เลียวนาร์ดรู้สึกวิงเวียนศีรษะกะทันหัน ไม่กล้าจ้องมองโดยตรง


หนอนแมลงโปร่งแสงที่งอกออกจากร่างไคลน์ ท่ามกลางแสงแดด แต่ละตัวเผยให้เห็นสัญลักษณ์สามมิติที่ซับซ้อนและลึกลับ ขยายตัวสลับหดกลับเป็นระยะ แสดงถึงความเป็นนามธรรมที่พิสดาร การเปลี่ยนแปลง พละกำลัง และความรู้


ท่ามกลางสายลมหนาว รอบตัวไคลน์ผุดด้ายมายาสีดำ พวกมันพันรอบตัวเองกลายเป็นเกลียว กลายเป็นหนวดรยางค์ที่แปลกประหลาด


ขณะร่างวิญญาณ วิญญาณดารา กายปัญญา กายอากาศของไคลน์พลันแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยและผสานเข้ากับหนอนแมลงแต่ละชนิดที่เป็นตัวแทนความคิด ความสับสน ความขัดแย้ง หนวดรยางค์พัดกระพือราวกับต้องการโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูง สภาพแวดล้อมรอบข้างพลันบิดเบี้ยวกลายเป็นภาพมายา ท่วมท้นไปด้วยเสียงเพรียกหา เสียงคำราม และเสียงการสนทนา


ท่ามกลางประสาทสัมผัสที่ยุ่งเหยิงสุดขีด ทุกสิ่งรอบตัวไคลน์เริ่มแยกตัวออกเป็นชั้นๆ จนดูคล้ายกับโลกวิญญาณ รอบตัวเต็มไปด้วยบางสิ่งที่สัญจรผ่านไปมาท่ามกลางดวงดาวที่สองแสง


ทันใดนั้น ขณะความคิดกำลังกระจัดกระจายอย่างยุ่งเหยิง ความทรงจำหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว


เป็นภาพของอาดัม ราชาเทวทูต กำลังหลับตาและสวดวิงวอน นับเป็นฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจ


ณ ขณะนั้น ไคลน์กำลังใช้ปืนลูกโม่ลางมรณะยิงใส่ศีรษะอินซ์·แซงวิลล์


ตามด้วยการเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยจองตัวตลกพร้อมกับกล่าวเสียงลุ่มลึก “นัดนี้สำหรับหัวหน้า”


เป็นวินาทีที่ ‘ผู้ชม’ อาดัม เฝ้ามองฉากจบของบทละครด้วยสายตากระจ่างชัดและเรียบง่าย


รวมถึงวินาทีที่ตนแปลงเป็นดันน์·สมิทและเชื้อเชิญดาลีย์·ซิโมเน่เต้นรำส่งท้าย


ฉากทั้งหมดกำลังคมชัดในจิตใจ โดยเฉพาะสายตาอันแน่วแน่ของ ‘ผู้ชม’ นั่นคือการตอบสนองของคนดูที่ทรงพลังอย่างเหนือจินตนาการ คล้ายกับมีแรงดึงดูดที่ช่วยให้ไคลน์ฟื้นคืนสติกลับมาคมชัด


เรา…


เป็นใครกันแน่?


สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ไคลน์เคยขบคิดสมัยเป็นผู้ไร้หน้า จึงมอบคำตอบให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว


บุรุษผู้มาจากดาวเคราะห์โลก บุคคลที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยหลังจากประกอบเข้ากับเศษเสี้ยวความทรงจำของไคลน์


ชายผู้ได้รับประสบการณ์มากมายสมัยยังทำงานในฐานะเหยี่ยวราตรี


ชายผู้ยึดถือความปลอดภัยของตนเป็นที่ตั้ง ไม่เสี่ยงอันตราย แต่ก็ยืนหยัดในอุดมการณ์ของตัวเอง


เป็นผู้พิทักษ์ เป็นหนอนแมลงที่น่าสมเพช


ประสาทสัมผัสประหลาดที่ไม่ได้มาจากกายปัญญาหรือร่างวิญญาณ คอยๆ ถูกดึงออกจากเศษความคิดที่กระจัดกระจาย ควบแน่นกลายเป็นความคิดใหม่ที่เย็นชาและสุขุม เป็นความคิดของผู้เฝ้ามองทุกสิ่งจากมุมสูง ผู้ที่มองเห็นสัจธรรมของโลกอย่างแตกฉานในทุกแง่มุม


มันเข้าใจอย่างคลุมเครือว่า นี่คงเป็นเศษเสี้ยวความเป็นเทพ จึงไม่ต่อต้าน เลือกจะเรียงร้อยเศษเสี้ยวร่างวิญญาณที่กระจายกระจายเข้าด้วยกันใหม่ด้วยด้ายมายาสีดำ ค่อยๆ เปลี่ยนให้พวกมันกลับคืนสู่สภาพเดิม


ในวินาทีนี้ มันตระหนักถึงเจตนาที่แท้จริงของพิธีกรรมเลื่อนลำดับ


มันคือสมอ คือหลักยึดเหนี่ยว เมื่อเทียบกับเส้นทางอื่น ‘จอมเวทพิสดาร’ ที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ร่างวิญญาณแตกแยก จำเป็นต้องได้รับหลักยึดเหนี่ยวล่วงหน้า!


ทว่า หลักยึดเหนี่ยวในคราวนี้มิใช่ศรัทธาจากผู้คนหมู่มาก กลับกัน ศรัทธารังแต่จะซับซ้อนเกินไป ยุ่งเหยิงเกินไป แฝงอารมณ์ส่วนตัวมากเกินไป ท่ามกลางภาวะร่างวิญญาณแตกสลาย มันง่ายที่จะทำให้ผู้ประกอบพิธีกรรมซึ่งอยู่เพียงลำดับ 5 สูญสิ้นความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง เหลือไว้เพียงความเฉยชาของเทพ


ท่ามกลางบทละครที่ยิ่งใหญ่และประณีต ลำพังความสนใจจากผู้ชมจำนวนมากก็เพียงพอที่จะเป็นหลักยึดเหนี่ยว!


แม้ว่าในคราวนี้จะมีผู้ชมไม่มาก แต่หนึ่งในผู้ชมก็เป็นถึงจุดสูงสุดของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ อาดัมสามารถทดแทนผู้ชมทั่วไปได้หลายพัน หรือกระทั่งสามารถ ‘จินตนาการ’ ผลลัพธ์เช่นเดียวกับโรงละครให้ไคลน์


เมื่อก่อตัวเป็นร่างสมบูรณ์ ความรู้ปริมาณมหาศาลพลันพรั่งพรูออกจากดวงวิญญาณระดับครึ่งเทพ ย้อนกลับมาท่วมท้นจิตใจของไคลน์ สร้างแรงปะทะอันเหนือจินตนาการ มอบความรู้สึกคล้ายกับศีรษะจะระเบิด


ทว่า เนื่องจากเคยสัมผัสประสบการณ์และเศษเสี้ยวความเป็นเทพมาแล้วหลายครั้ง เมื่อลองนึกทบทวนกลับไป มันสามารถข้ามผ่านบททดสอบนี้อย่างง่ายดาย


หนอนแมลงโปร่งใสที่ยื่นออกจากใบหน้า หลังมือ ลำคอ และใต้ร่มผ้า เริ่มหดกลับเข้าไปในร่างเนื้อพร้อมกับเปลี่ยนเป็นไคลน์·โมเร็ตติผู้มีผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล


จ้องหน้าดาลีย์·ซิโมเน่ที่ร่างกายเย็นเฉียบในอ้อมแขนตนสักพัก ไคลน์ยกเธออุ้มและย่างกรายไปหาเลียวนาร์ด·มิเชล จากนั้นก็โน้มตัวลงและวางสตรีผู้เลอโฉมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


ปัจจุบัน ตามลำตัวดาลีย์ไม่มีเกล็ดสีเข้มและปุยขนนกสีขาว ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปรกติ ดวงตาปิดสนิทอย่างอ่อนโยน มุมปากยกโค้งราวกับกำลังมีความสุขสุดขีดในความฝัน


ไคลน์ยืนตัวตรง จ้องหน้าเลียวนาร์ดที่ลืมตาขึ้นมาแล้ว กล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“เธอกลับสู่อาณาจักรของเทพธิดาแล้ว… เหมือนกับหัวหน้า”


มันหยุดการกลายพันธุ์ของดาลีย์ด้วยพลัง ‘สร้างหุ่นเชิด’ ช่วยให้เธอได้จากไปในฐานะมนุษย์ ก่อนจะปลดปล่อยให้เป็นอิสระ


“อา…” เลียวนาร์ดอยากแสร้งยิ้ม แต่กลับกลายเป็นการพรั่งพรูน้ำตาอย่างมิอาจหักห้าม


ไคลน์พยักหน้ารับอ่อนโยน


“สำหรับเธอ นี่อาจไม่ใช่บทสรุปที่เลวร้าย ได้หวนคืนสู่อ้อมอกของเทพที่ตนศรัทธาในร่างมนุษย์ และที่นั่นก็ยังมีหัวหน้า”


กล่าวจบ มันยกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธาจากจิตใต้สำนึก แตะสี่จุดบนหน้าอกในทิศทวนเข็มนาฬิกา


เลียวนาร์ดเองก็ทำสัญลักษณ์พระจันทร์แดงตอบ ก่อนจะผงะเล็กน้อยและทำหน้าประหลาดใจ


ไคลน์มองไปรอบตัวพลางกล่าว


“คุณพามาดามดาลีย์กลับไปยังไบลัมตะวันออก บอกกับทุกคนว่า เธอเสียชีวิตจากการโจมตีของอินซ์·แซงวิลล์ และมีส่วนสำคัญอย่างมากในการกำจัดอินซ์·แซงวิลล์คราวนี้… สบายใจได้ จะไม่มีใครตามสืบสวนเรื่องของคุณ และยังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อออกจากหน่วยถุงมือแดง”


“ต…แต่ผมคุ้นชินกับศาสนจักรแล้ว” เลียวนาร์ดกล่าวหนักแน่น


ไคลน์ถอดหมวกผ้าไหม ทำท่าโค้งคำนับเพื่ออำลา


ในท่าจับหมวก มันหันหลังและเดินไปทางศพอินซ์·แซงวิลล์ ก้มหยิบไพ่ขึ้นมาใบหนึ่ง หน้าไพ่เป็นภาพราชรถและนักบวชสวมชุดสีแดง


ใบหน้าของนักบวช ไม่ใช่ใครนอกจากโรซายล์·กุสตาฟ


ริมฝีปากเลียวนาร์ดสั่นระริก ตามด้วยคำถาม


“ค…คุณจะไม่กลับศาสนจักรหรือ?”


ไคลน์ไม่หันกลับไปมอง เดินไปยังทางออกอีกฝั่งของจัตุรัส


จากนั้นไม่กี่ก้าวก็หยุดลง หันกลับมาตอบเลียวนาร์ด


“คงกลับไปไม่ได้แล้ว…”


กลับไม่ได้… เลียวนาร์ดจ้องร่างของบุคคลที่คุ้นเคยค่อยๆ ห่างออกไปจนกระทั่งเลือนหาย


ผ่านไปสักพัก ผู้วิเศษกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงจัตุรัสคืนชีพ หนึ่งในนั้นสวมชุดนักบวชเรียบง่ายของโบสถ์รัตติกาล ใบหน้าอ่อนโยนและงดงาม ผมดำขลับยาวสลาย


ไม่มีใครสามารถระบุอายุของเธอได้ เพราะไม่มีใครใส่ใจ ความสนใจทั้งหมดจะพุ่งไปยังดวงตาที่อัดแน่นด้วยดวงตาพราวพราย


สตรีผู้นี้กำลังลอยตัวกลางอากาศ เฝ้ามองจัตุรัสอย่างเงียบงัน เฝ้ามองซากปรักหักพังของอาคาร เฝ้ามองศพอันน่าสมเพชของอินซ์·แซงวิลล์ที่แทบไม่เหลือเค้าเดิม เฝ้ามองกะโหลกศีรษะที่แตกละเอียดและถูกวางทับด้วยไพ่ทาโรต์


ไพ่เดอะสตาร์



เหนือมิติหมอก ไคลน์วางไพ่นักบวชสีชาดไว้ทางซ้ายมือ หลับตาลงและพักผ่อนสักพัก


สำหรับพลังของ ‘จอมเวทพิสดาร’ มันเริ่มเข้าใจเบื้องต้น


ในแง่หนึ่ง มันสามารถแปลงร่างกลายเป็นสัตว์ที่มีขนาดไม่ใหญ่เกินไป แต่ถ้าเป็นในร่างวิญญาณ ข้อจำกัดดังกล่าวจะถูกยกเลิก มันสามารถโอนถ่ายบาดแผลจากตัวเองหรือคนรอบข้างไปยังกระดาษคนตัวแทน นอกจากนั้น พลัง ‘กระโจนเพลิง’ ก็ยังถูกยกระดับอย่างมาก ปัจจุบันสามารถกระโดดได้ไกลกว่าหนึ่งกิโลเมตร พลังของกระสุนอัดอากาศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน พัฒนากลายเป็นระดับปืนใหญ่อัดอากาศ


ในอีกแง่หนึ่ง มันสามารถเข้าควบคุมด้ายวิญญาณขั้นต้นได้ภายในสามวินาที เปลี่ยนเป้าหมายให้เป็นหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ภายในสิบห้าวินาที ระยะการเข้าควบคุมคือหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร นอกจากนั้นยังสามารถย้อนกลับด้ายวิญญาณเพื่อใช้พลังพิเศษของตัวเองผ่านหุ่นเชิด แถมยังสามารถสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดได้ภายในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรอย่างอิสระ


ณ จุดนี้ เมื่อพิจารณาจากหนอนแมลงที่แบ่งตัวจากร่างสัตว์ในตำนานของตน รวมถึงพลังการแปลงกายผ่านด้ายวิญญาณ ไคลน์สามารถสร้าง ‘ร่างตัวตายตัวแทน’ ในระดับสูงได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่ยังหลงเหลือหุ่นเชิด ‘จอมเวทพิสดาร’ ก็แทบจะไม่มีวันตาย!


เป็นเรื่องยากมากที่ศัตรูจะจำแนกระหว่างร่างจริงของจอมเวทพิสดารและหุ่นเชิด


หลังจากยืนยันสภาพปัจจุบันของตนและพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไคลน์เดินไปยังส่วนลึกของมิติสายหมอกสีเทา เดินไปยังบันไดแสงที่ราวกับจะนำพาไปสู่สวรรค์


เป็นไปตามที่คาด มีขั้นบันไดแสงควบแน่นเพิ่มอีกหนึ่งชั้น


ในคราวนี้ ไคลน์มั่นใจว่า ตนสามารถใช้บันไดแสงยักษ์จำนวนหกขั้น เป็นฐานสำหรับขึ้นไปบนกลุ่มเมฆสีเทาด้านบน


หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว… ชายหนุ่มมาถึงจุดสูงสุด จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปเหยียบเมฆสีเทา


ภาพที่เห็นคือบานประตูแห่งแสงอันเจิดจ้า เจือสีน้ำเงินเข้มอีกเล็กน้อย โครงสร้างบานประตูก่อตัวจากแสงทรงจำขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละทรงกลมมีหนอนแมลงสีใสกำลังดีดดิ้นอยู่ด้านใน บ้างโปร่งใส บ้างโปร่งแสง


นี่คือภาพเดียวกับที่ไคลน์ได้เห็นผ่านดวงตา ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ แต่ของจริงกลับคลุมเครือกว่ามาก คล้ายกับมีบางสิ่งกีดขวางการมองเห็น


นอกจากนั้น เหนือบานประตูส่องแสง ด้ายสีดำเส้นบางห้อยลงมาจากด้านบน ทั้งหมดกำลังแขวน ‘รังไหม’ ที่โปร่งใส


‘รังไหม’ เหล่านี้โยกเอนแผ่วเบา ด้านในเป็นร่างวิญญาณที่แตกต่างกัน บ้างผิวคล้ำ บ้างผิวเหลือง บ้างผิวขาว บางคนสวมกางเกงยีน บางคนถือโทรศัพท์มือถือ บางคนสวมเสื้อผ้าหรูหรา บางคนมีใบหน้างดงาม ทุกคนมีแสงออร่า แต่กลับปิดตาสนิท


ดวงตาไคลน์พลันแข็งทื่อ ประหนึ่งได้กลับไปอยู่บนโลกและเดินสวนกับผู้คนขวักไขว่


จากนั้น มันสังเกตเห็น ‘รังไหม’ จำนวนสามรังถูกเปิดออก ด้านในว่างเปล่า กำลังโยกเอนไปตามสายลม


ไคลน์เงยหน้าขึ้น เก็บรายละเอียดทุกสิ่งอย่างเงียบงัน


(จบภาคที่สี่)



 

 

 


ราชันเร้นลับ 947 : เยี่ยมชม

 

กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ภายในห้องพักแบบสองห้องนอน


ตำรวจหลายนายในเครื่องแบบสีขาวสลับดำเดินตามเจ้าของบ้านที่เปิดประตูเข้ามา แต่ละคนเลื่อนมือขึ้นมาปิดปาก


ด้านในมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น!


“คุณตำรวจ ผมเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้เช่าใกล้เคียงแจ้งว่าได้กลิ่นเลือดจำนวนมาก” เจ้าของอาคารที่สวมหมวกผ้าไหม มองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าอยู่ในห้องอีกแม้แต่วินาทีเดียว


เจ้าหน้าที่ตำรวจตาสีฟ้า ผมสีดำ ประดับอินทรธนูสารวัตร โบกมือและกล่าว


“ไปรอที่ประตู พวกเราจะสอบปากคำคุณด้วย”


ขณะกล่าว พวกมันสวมถุงมือสีขาว สายตาจดจ้องไปยังประตูไม้ของห้องนอน


ทว่า ไม่มีใครรีบร้อนเข้าไป ทุกคนเพียงมองไปรอบๆ พร้อมกับเก็บรายละเอียด


กองถ่านหิน ตู้กับข้าวที่เก็บจานชามและอาหาร เตาขนาดเล็ก กระทะเหล็กสะอาดสะอ้าน โต๊ะที่มีคราบมันเยิ้มเล็กน้อย โต๊ะกลมสองตัวที่ล้มลง เก้าอี้สองตัวที่บิดเบี้ยว ขวดแก้วที่บรรจุผงลึกลับจำนวนมาก และไพ่ทาโรต์ที่กระจัดกระจาย


“ผู้คลั่งไคล้ศาสตร์เร้นลับที่มีเงินทุนปานกลาง?” สารวัตรตาสีฟ้าพยักหน้าเล็กน้อยพลางประเมิน จากนั้นก็ส่งสัญญาณบอกให้ลูกน้องเปิดประตูห้องนอน


ท่ามกลางเสียงเสียดสีของไม้ กลิ่นที่เหม็นฉุนยิ่งกว่าเดิมพลันพวยพุ่ง


เจ้าหน้าที่คนที่เปิดประตูชำเลืองเข้าไปเล็กน้อย อุทานไม่เป็นภาษาก่อนจะรีบถอยห่าง


สารวัตรขมวดคิ้วเล็กน้อย จับบ่าเจ้าหน้าที่คนที่เพิ่งถอยออกมา เดินอ้อมเข้าไปใกล้ห้องนอน


กวาดสายตาหนึ่งครั้ง สีหน้าของมันพลันแปรเปลี่ยน


ภายในห้องนอน บนเตียงไม้ ชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่โดยถูกมัดมือไว้กับราวกั้นเหนือศีรษะ


มันอยู่ในสภาพเปลื้องผ้า ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ เลือดแห้งหมดตัวไปนานแล้ว ย้อมผ้าปูที่นอนและผ้าห่มข้างๆ ให้กลายเป็นสีแดงเข้ม


เมื่อเพ่งมองอย่างชัดเจน ดูเหมือนคนตายจะถูกรัดแน่นด้วยลวดเหล็ก ผิวหนังและเนื้อจมลึกเข้าไปถึงกระดูก


ฉากตรงหน้า กระทั่งตำรวจที่เคยผ่านตาฉากฆาตกรรมนับไม่ถ้วนก็ยังรู้สึกยากจะทำใจยอมรับ สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่านี่อาจเป็นพิธีกรรมบางอย่าง


ขณะสารวัตรเตรียมกล่าวบางสิ่ง คนสองคนวิ่งพรวดเข้ามาในห้อง คนหนึ่งพยายามถ่ายรูป ส่วนอีกคนยิงคำถามชุดใหญ่


“คดีฆาตกรรมอีกแล้ว? ไม่ใช่ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ เขตตะวันออกเต็มไปด้วยคดีฆาตกรรมหรอกหรือ? คุณตำรวจ คิดว่านี่เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องหรือไม่?”


สารวัตรผมดำตาฟ้าขมวดคิ้วชนกัน โบกไม้โบกมือ


“อย่าเข้ามาวุ่นวายในที่เกิดเหตุ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของคนร้าย”


มันหันไปกล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนเมื่อครู่


“คาลิส เชิญนักข่าวสองคนนี้ออกไป บอกพวกเขาว่า ถ้ามีข้อสงสัยอะไร กรุณาติดต่อไปที่ซิลวารัสยาร์ดโดยตรง”


รอจนกระทั่งนักข่าวถูกเชิญออกจากที่เกิดเหตุ สารวัตรถอนหายใจยาว


“คงได้ลงหนังสือพิมพ์อีกแล้ว… บ้าจริง”



เขตจักรพรรดินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของเอิร์ลฮอลล์


“เกิดเหตุฆาตกรรมในเขตตะวันออก เหยื่อต้องสงสัยว่าจะถูกทรมานก่อนตาย” ออเดรย์ที่กินมื้อค่ำเสร็จแล้ว กำลังอ่านหนังสือพิมพ์เบ็คลันด์ยามเย็นไปเรื่อยๆ ภายในห้องนั่งเล่น


ได้ยินเสียงบุตรสาวพึมพำ เอิร์ลฮอลล์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ


“สำหรับเขตตะวันออก นี่ไม่ใช่ข่าวใหม่ จากสถิติแล้ว ที่นั่นมีคนตายทุกวัน และไม่ใช่แค่หนึ่ง”


ออเดรย์มิได้ใส่ใจมากนัก หลังจากสนทนากับพ่อ แม่ พี่ชายสักพัก เธอกับซูซี่เดินกลับห้องส่วนตัว


หนึ่งคนหนึ่งสุนัขเข้าใจความคิดของกันและกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว ซูซี่เดินไปเฝ้าหน้าประตูห้อง ส่วนออเดรย์ก็ลงกลอนมิดชิด นั่งลงข้างเตียง สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลอย่างเงียบงัน


ผ่านไปสักพัก แสงสีแดงเข้มท่วมท้นการมองเห็น ปกคลุมทุกสิ่งมิดชิด


ออเดรย์ถูกส่งมายังมิติเหนือสายหมอก ภายในพระราชวังอันงดงามและแปลกตา


จากนั้น เธอเห็นห้องเล็กๆ ถูกวางอยู่ด้านข้าง บานประตูที่มีลวดลายเล็กน้อยกำลังเปิดแง้ม


ดีกว่าห้องสารภาพบาปคราวก่อนมาก… แต่สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับอุปนิสัยของมิสเตอร์เวิร์ล สภาพจิตใจของเขาไม่ปรกติ? ออเดรย์เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด พลางปิดประตูที่มีลวดลาย


ก่อนหน้านี้ เธอได้นัด ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพื่อมาดูอาการและพบว่า สภาพจิตใจของอีกฝ่ายหายเป็นปรกติแล้ว แต่วันนี้กลับได้รับคำขอร้องให้รักษาอย่างกะทันหัน


สิ่งนี้ทำให้เธอฉงนปนประหลาดใจ


ภายในห้องมืดที่ค่อนข้างกว้าง ออเดรย์เอนหลังพิงกำแพงที่เห็นได้ชัดว่ามีมนุษย์อยู่อีกฝั่ง ร่างกายค่อยๆ ไถลลงอย่างเชื่องช้า งอเข่าลงในท่าวางขาเฉียง


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ เธอปรับสภาพจิตใจและเป็นฝ่ายพูดก่อน


“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์เวิร์ล~”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง สัมผัสวิญญาณออเดรย์เริ่มตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันของกายปัญญาอีกฝ่าย หรือในภาษาที่เข้าใจได้ง่ายก็คือ อารมณ์และความรู้สึก


หม่นหมอง ท้อแท้ สับสน ซึมเศร้า และไร้จุดหมาย… ปัญหาของมิสเตอร์เวิร์ลแตกต่างจากคราวก่อนโดยสิ้นเชิง… เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่? ออเดรย์เม้มริมฝีปากล่างแผ่วเบา ตัดสินใจใช้ ‘ปลอบโยน’ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม


นี่คือหนึ่งในพลังที่มีประโยชน์ที่สุดของนักจิตบำบัด ซึ่งในสมัยโบราณชื่อว่านักจิตวิเคราะห์


‘เมฆมืด’ ด้านหลังกำแพงสลายไปเล็กน้อย ในที่สุดเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็เปิดปากพูด


“สายัณห์สวัสดิ์ มิสจัสติส”


ออเดรย์เอนหลังพิงกำแพงครุ่นคิดสักพัก เปลี่ยนแผนเดิม ยังคงรักษาน้ำเสียงสดใสเอาไว้


“ดิฉันอยากทราบว่า คุณเพิ่งเผชิญหน้ากับสิ่งใดมา… ดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ที่เข้มข้น… เข้มข้นจนเหนือคำบรรยาย… ยังไม่ต้องคิดเรื่องอื่น คุยกันก่อน คุยกันเหมือนเพื่อนสนิท… ถ้าคุณสนใจเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของฉัน ทางนี้ก็ยินดีเล่าในส่วนที่น่าตื่นเต้นให้ฟัง”


เกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกฟากหนึ่งกำแพงยังคงเงียบ ถามโดยไม่ตอบอีกฝ่าย


“คุณวาดฝันอนาคตแบบไหนเอาไว้”


สายตาออเดรย์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอบขึงขัง


“เลื่อนลำดับพลัง พัฒนาตัวเองให้เป็นครึ่งเทพ จะได้ปกป้องพ่อแม่พี่น้องได้อย่างมั่นคง… จริงสิ ในช่วงก่อนหน้านี้ ฉันได้ติดตามเจ้าหน้าที่ของกองทุนไปเยี่ยมผู้ขอทุนหลายราย สภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาช่างอนาถาเกินกว่าจินตนาการไปมาก แม้จะอ่านรายงานและเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้เห็นของจริงก็อดสะเทือนใจไม่ได้… เด็กผู้หญิงบางคนอายุน้อยกว่าดิฉันไม่กี่ปี แต่ผอมและตัวเล็กมาก เธอไม่ได้กินอาหารทุกวัน เสื้อผ้ามีแค่สองชุด แถมยังเก่าโทรม ในตอนที่เธอพูดว่าอยากเรียน ดวงตาของเธอช่างบริสุทธิ์และจริงใจ เต็มไปด้วยความเว้าวอน จนทุกวันนี้ก็ยังลืมไม่ลง”


ขณะกล่าว เธอพบความเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พบว่าอีกฝ่ายมิได้เป็นทะเลสาบสงบนิ่งอีกต่อไป หากแต่มีคลื่นกระเพื่อมขึ้นลงที่ไม่มั่นคง


ครุ่นคิดสักพัก ‘นักจิตบำบัด’ รายนี้แสร้งไม่พบความผิดปรกติ ยังคงพึมพำกับตัวเอง


“ฉันเคยตั้งตารอการสมรสที่ดี โดยหวังว่า ‘เจ้าชาย’ ในฝันจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมตามที่นิยายเรื่องดังบรรยายเอาไว้ แต่หลังจากกลายเป็น ‘ผู้ชม’ ฉันพบว่าความฝันของตนคงยากจะเกินขึ้นจริง เพราะตัวเองสามารถอ่านความคิดของผู้ชายเหล่านั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยืนมองอีกฝ่ายโกหกหน้าตายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ พบว่าโลกนี้มิได้สวยหรูอย่างที่เข้าใจ นั่นทำให้มโนภาพของฉันแตกสลายและเกิดความผิดหวัง… อา… แน่นอน บางที ในอนาคตฉันอาจเปิดใจยอมรับข้อบกพร่องของผู้อื่น แต่สำหรับปัจจุบันคงทำใจได้ยาก”


เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกฝั่งกำแพงเริ่มเผยอารมณ์ขัน ออเดรย์ใช้พลังปลอบโยนอีกครั้งพลางได้ยินคำถามจากอีกฝ่าย


“คุณเคยฟังข้อมูลของมังกรจากเดอะซันน้อย น่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับมังกรจินตภาพใช่ไหม… สมมตินะ ถ้าผมบอกว่า พ่อแม่และพี่น้องของคุณ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เทวทูตของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ จินตนาการขึ้น ไม่เคยมีอยู่จริงมาก่อน คุณจะมีท่าทีเช่นไร?”


เสียสติและคลุ้มคลั่งคาที่… มิสเตอร์เวิร์ลเป็นเช่นนี้เพราะว่า เขาค้นพบว่าเป้าหมายสูงสุดของชีวิตตนจะไม่มีวันถูกเติมเต็ม? ออเดรย์ตื่นตัวในตอนต้น ก่อนจะพบแก่นของปัญหาในตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์


เธอไม่ตอบ ย้อนถามกลับ


“ดูเหมือนว่า คุณเพิ่งได้เห็นความหวังของตัวเองถูกทำลายมาไม่นาน”


“หึ…” ณ กำแพงด้านหลังออเดรย์ เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น “ก็ถูกของคุณ… ผมเคยคิดว่าตัวเองยังมีครอบครัว แต่ในภายหลัง นั่นเป็นได้แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ”


“ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น” ออเดรย์ถามอย่างเป็นกันเอง


เกอร์มัน·สแปร์โรว์เงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะกล่าว


“คุณเคยฟังนิทานที่จักรพรรดิโรซายล์ใช้สอนลูกไหม?”


“พวกมันคือความทรงจำในวัยเด็กของฉัน” ออเดรย์อืมในลำคอ


พร้อมกันนั้น เธอพบว่าอารมณ์ของเดอะเวิร์ลเกิดความผันผวนรุนแรง ความเจ็บปวดมากมายกำลังพรั่งพรูอย่างมิอาจหักห้าม


ในคราวนี้ ออเดรย์มองว่าไม่มีประโยชน์ที่จะใช้พลังปลอบโยน เพราะสัมผัสวิญญาณและความรู้พื้นฐานทางวิชาชีพกำลังบอกเธอว่า อีกฝ่ายจำเป็นต้องระบายด้วยตัวเอง


“ถ้าอย่างนั้น คงเคยฟังเรื่องเจ้าหญิงนิทรากับเจ้าชาย…” เกอร์มัน·สแปร์โรว์กล่าวด้วยเสียงค่อนข้างแหบพร่าและล่องลอย “มีคนแบบนั้นอยู่จริง… หลับใหลอย่างยาวนานจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในวันหนึ่ง… เขาคิดว่าครอบครัวของตัวเองยังคงอยู่ที่เดิม จึงพยายามทำงานหนักเพื่อพัฒนาตัวเองโดยหวังจะมีช่องทางตามหาพวกเขา นั่นคือเป้าหมายหลักของชีวิต แต่แล้ววันหนึ่ง เขาพบว่าตัวเองหลับใหลมานานไม่ต่ำกว่าสองสามร้อยปี หรืออาจนานถึงพันปี หรือนานยิ่งกว่านั้น ทุกสิ่งที่เคยเป็นของเขาจะไม่มีวันถูกหาพบ”


ความเจ็บปวดและสับสนที่กำลังท่วมท้น ออเดรย์สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ช่วยให้เธอเริ่มเข้าใจในบางประเด็น


ชายที่มืดมน สงวนกิริยา มากประสบการณ์ และป่าเถื่อนอย่างมิสเตอร์เวิร์ลเองก็มีเป้าหมายหลักของชีวิต เป้าหมายในการดำรงอยู่!


สอดคล้องกับด้านที่อ่อนโยนของเขา…. ช่างน่าสงสาร… แม้ว่าจะเปรียบเทียบด้วยนิทาน แต่น้ำเสียงและอารมณ์เมื่อครู่มีความจริงซ่อนอยู่… ทุกครั้งที่เขาพูดว่า ‘หลับใหล’ ‘ครอบครัว’ ‘สามร้อยปี’ ‘พันปี’ ‘หรือนานกว่านั้น’ ‘ไม่มีวันหาพบ’ ความเจ็บปวดของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ… แสดงว่าเป็นคนจากยุคโบราณ แต่มีชีวิตรอดมาถึงปัจจุบันได้ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง? สอดคล้องกับมิสเตอร์ฟูลที่เป็นเทพบรรพกาลคืนชีพ เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้เป็นข้ารับใช้… ออเดรย์จับประเด็นสำคัญของเรื่องราว


หญิงสาวเม้มริมฝีปาก ไตร่ตรองสักพักและกล่าว


“ครอบครัวของเขาได้ทิ้งคำพูดไว้บ้างไหม? ทำนองว่า ให้เขาทำอะไรหลังจากลืมตาตื่น?”



 

 

 


ราชันเร้นลับ 948 : ความหมายของการมีอยู่

 

ตามความคิดของออเดรย์ สภาพปัจจุบันของมิสเตอร์เวิร์ลมิได้เกิดจากอาการทางจิต และไม่ใกล้จะคลุ้มคลั่งแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะจุดประสงค์ในการดำรงชีวิตได้หายไปจน เกิดเป็นกำแพงขึ้นภายในจิตใจ หากต้องการช่วย ออเดรย์ต้องวางเป้าหมายระยะสั้นให้อีกฝ่าย ค่อยๆ ชี้นำให้ค้นหาความหมายของชีวิต ปัญหาทั้งหมดก็จะคลี่คลาย


ท่ามกลางความเงียบสงบ ออเดรย์ได้ยินเกอร์มัน·สแปร์โรว์จากอีกฟากของกำแพง


“ไม่”


อย่างที่คิด… ออเดรย์ไม่ประหลาดใจ ถามต่อ


“ถ้าอย่างนั้น เขาลองตามหาคำสั่งเสียของครอบครัวแล้วหรือยัง? ได้ลองขุดหลุมศพขึ้นมารึเปล่า? พยายามหาสาเหตุที่ทำให้หลับใหลอย่างยาวนานบ้างไหม?”


ด้านหลังกำแพง คล้ายกับร่างวิญญาณเลือนหายไปสองสามวินาที ปราศจากสุ้มเสียงโดยสมบูรณ์ จนกระทั่งมีเสียงแหบพร่ากล่าวขึ้น


“ไม่… ยัง…”


ยัง… หมายความว่า ในอนาคตอาจเกิดขึ้น? ออเดรย์รู้สึกผ่อนคลาย เพราะสัมผัสได้ชัดเจนว่าสภาพอารมณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ห่างไกลจากคำว่าหดหู่และท้อแท้ ตอนนี้มีแรงจูงใจบางๆ อยู่แล้ว แต่ยังค่อนข้างสับสน


ฉวยโอกาสดังกล่าว ออเดรย์ใช้ปลอบโยนอีกครั้ง ผลลัพธ์ในคราวนี้ดีขึ้นมาก อย่างน้อยเธอก็คิดว่ามิสเตอร์เวิร์ลหลุดพ้นจากความหดหู่และความตกต่ำทางสภาพจิตใจ ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปรกติ


ถัดมา ออเดรย์มิได้เอ่ยถึงวิธีการตามหาเบาะแสของครอบครัว ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจเกิดความรู้สึกต่อต้าน ทำเพียงพยักหน้าแผ่วเบาในบรรยากาศที่มืดมิด


“อา… หมายความว่ายังมีอีกหลายสิ่งให้เขาได้ทำ ยังมีปัญหาอีกมากที่ต้องแก้ไข! บางที เขาอาจจะได้พบกับคนในตระกูลตัวเอง? หรือใครบางคนในครอบครัวยังไม่ตายและมีชีวิตต่อมาเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลบางประการ? การที่มีชีวิตคนเรามีความหมาย เพราะมันมีความเป็นไปได้ซ่อนอยู่เต็มไปหมด… ระหว่างค้นหา เขาไม่ควรละเลยสิ่งรอบข้าง ชีวิตคนเราไม่ได้มีเส้นทางเดียวสักหน่อย เหมือนกับถนนที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอย เพราะถ้าชีวิตมีเพียงเส้นทางเดียว มันคงจำเจไปหน่อย เขาต้องมองหาเส้นทางอื่นๆ ดูบ้าง เปิดโลกให้กว้างและค้นหาสิ่งใหม่ๆ”


ออเดรย์ที่พยายามพรั่งพรูคำศัพท์จากหนังสือ พลันฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหัน หรี่เสียงลง


“และนอกจากนั้น… อย่าสวมหน้ากากที่หนาเกินไป”


จะเป็นหน้ากากแผ่นบางๆ ใสๆ ก็ไม่ผิด เพราะในการชีวิตของมนุษย์ ไม่มีใครไม่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ไม่มีใครชื่นชอบที่จะเปิดเผยมุมส่วนตัวและด้านมืดของตัวเอง นั่นเป็นทั้งการป้องกันตัว และการแสดงความเคารพต่อผู้อื่น… หากมิสเตอร์เวิร์ลมีเพื่อนเพิ่มขึ้น ชีวิตใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา… ออเดรย์พึมพำคำเหล่านี้ในใจโดยไม่กล้าออกไป ด้วยเกรงว่าจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม


แต่ผิดคาด เกอร์มัน·สแปร์โรว์เงียบงันอีกครั้ง คล้ายกับทวีความสับสน


ผ่านไปสองสามวินาที มันกล่าวด้วยเสียงไม่แหบ


“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและการรักษา”


“ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะความแข็งแกร่งจากภายในตัวคุณต่างหาก” ออเดรย์ตอบขึงขัง


เธอใช้พลังปลอบโยนอีกครั้งในตอนสุดท้าย เพื่อรับประกันว่าสภาพจิตใจของมิสเตอร์เวิร์ลจะกลับไปใกล้เคียงปรกติ ไม่เกิดอาการแบบเดิมซ้ำ


จากนั้น เธอได้ยินเสียงเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ตกลงไหม?”


ออเดรย์ปรับน้ำเสียง รีบตอบกลับ


“แน่นอน นี่ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง ไว้คุณว่างเมื่อไรในสัปดาห์หน้า ดิฉันยินดีช่วยติดตามผล… นอกจากนั้น หากเป็นไปได้ คุณต้องกินยาเพื่อรักษาสภาพจิตใจ กินต่อเนื่องเป็นเวลาเจ็ดวัน ปรุงจากผงคาโมมายล์สิบกรัม ผงโรสแมรี่ห้ากรัม สารสกัดจะมะนาวสิบมิลลิลิตร… ในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ต้องงดของหวาน และพักผ่อนให้เพียงพอ”


ภายในห้องมืดและเงียบ หญิงสาวใช้มือยันกำแพง พยุงตัวลุกขึ้นเชื่องช้า


ทันใดนั้น เสียงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทะลุผ่านกำแพง


“คิดค่าปรึกษาเท่าไร”


ออเดรย์พิงผนังด้วยมือหนึ่งข้าง เอียงคอเล็กน้อยและตอบ


“ช่วยรอจนกว่าดิฉันจะได้รับสูตรโอสถลำดับ 5 ของเส้นทางผู้ชม ถึงตอนนั้น อาจต้องรบกวนให้คุณช่วยตามหาวัตถุดิบ… แต่ถ้าสมาคมแปรจิตจัดหาวัตถุดิบมาให้… หืม…”


มุมปากหญิงสาวยกขึ้นเล็กน้อย


“ในตอนที่คุณกลับมายังเบ็คลันด์ อย่าลืมนำของขวัญพิเศษจากชนพื้นเมืองติดตัวมาด้วย”


โลงศพสุดหรูหราที่แบกโดยทาสแปดคน? ไคลน์อีกอยู่อีกฝั่งของกำแพง นึกอยากรำพันติดตลก ก่อนจะยืนพิงกำแพงและส่งมิสจัสติสกลับสู่โลกความจริง


เพียงโบกมือหนึ่งครั้ง ห้องดังกล่าวพลันเลือนหาย ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับมายังตำแหน่งหัวโต๊ะของเดอะฟูล


เบื้องหน้าเป็นไพ่จักรพรรดิมืด ไพ่ทรราช และไพ่นักบวชสีชาดอยู่ทางฝั่งขวามือ ส่วนฝั่งซ้ายมียุบพองหิวโหยที่เลียวนาร์ด·มิเชลส่งกลับมาด้วยมิสผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์


“เราเป็นหนี้มิสผู้ส่งสารหนึ่งหมื่นเหรียญทองอีกแล้ว…” ไคลน์ถอนสายตากลับ ยกมือขวาลูบขมับ


เพื่อมิให้อินซ์·แซงวิลล์หลบหนีผ่านโลกวิญญาณ ชายหนุ่มนัดแนะกับไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ไว้ล่วงหน้าหลังจากวางแผนฆาตกรรม หน้าที่ของเธอคือการขับไล่ดวงวิญญาณทั้งหมดในโลกวิญญาณละแวกใกล้เคียงจัตุรัสคืนชีพ และค่าจ้างก็ยังเป็นหนึ่งหมื่นปอนด์เท่าเดิม


สิ่งที่ทำให้มันประหลาดใจก็คือ 0-08 ทรงพลังกว่าที่คิดไว้มาก ทั้งที่อินซ์·แซงวิลล์ถูกคำสาปแห่งเทพ และปากกาขนนกถูกราชาเทวทูตอาดัมสยบฤทธิ์เดชไปหลายส่วน แต่มันกลับยังสามารถ ‘ดึงดูด’ สิ่งมีชีวิตลึกลับและทรงพลังให้ทะลวงผ่านผนึกของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ได้ในคราวเดียว หากไม่เพราะดาลีย์·ซิโมเน่ฝืนสื่อวิญญาณและทำพันธสัญญา อินซ์·แซงวิลล์คงหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย


แน่นอนว่า อินซ์·แซงวิลล์ที่ได้รับคำสาปแห่งเทพ ต่อให้หลบหนีไปได้สำเร็จ แต่ก็มีโอกาสสูงที่มันจะเผชิญหน้าเคราะห์กรรมอื่นๆ เช่นการถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับโยนทิ้งไว้สักแห่งที่อันตรายกว่าเก่า หรือไม่ก็ลงมือทำร้ายมันตรงๆ แต่ว่าเรื่องเหล่านั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของไคลน์


เมื่อตระหนักถึงหนี้หนึ่งหมื่นเหรียญทอง ไคลน์ปวดหัวอีกครั้ง แต่สภาพจิตใจดีขึ้นมาก


หลังจากได้เห็น ‘รังไหม’ เหนือเมฆสีเทา รวมถึงบานประตูแห่งแสงบนขั้นบันไดแสง ชายหนุ่มถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนัก ความหวังทั้งหมดแตกสลายไม่มีชิ้นดี จากคนที่เคยมองโลกอย่างผู้ใหญ่ มีมุมมองชีวิตที่กว้างและเป็นกลาง ทุกสิ่งพังครืนลงในพริบตา กลายเป็นซอมบี้เดินดินไปพักใหญ่


โชคยังดี มันยังมีความต้องการจะเอาชีวิตรอด จึงติดต่อนักจิตบำบัดส่วนตัว มิสจัสติส และนัดแนะมารักษาอาการ


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจพลางขบคิดเกี่ยวกับรังไหม พิจารณาจากฉากที่เห็น ข้อสมมติฐานแรกก็คือ


ตัวตนที่มีระดับสูงมาก หรือสมบัติปิดผนึกบางชนิด ใช้พลังบางอย่างเพื่อจับกลุ่มคนจำนวนมากจากดาวเคราะห์โลกมาในเวลาเดียวกัน โดยที่คนหนึ่งเคยประกอบพิธีกรรมเสริมดวงชะตา คนหนึ่งซื้อถาดเงินลึกลับ และคนหนึ่งถูกไวรัสลึกลับกัดกินโทรศัพท์…


จากนั้น ผู้เดินทางข้ามโลกเหล่านี้ถูกแขวนไว้บนประตูแห่งแสง รอคอยโอกาสหรือสถานการณ์บางอย่างที่จะถูกส่งไปยังโลกความจริง


จากการสังเกตของไคลน์ ประตูแห่งแสงไม่มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง กลไกของมันเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณดิบ กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเงื่อนไขบรรลุ มันจะดวงวิญญาณภายในรังไหมให้ไปเกิดในร่างของใครบางคนบนโลกความจริง


พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ไคลน์เดาว่าเงื่อนไขน่าจะมีอยู่สองข้อ


ประการแรก ต้องไม่มีผู้เดินทางข้ามโลกอยู่ภายในโลก ณ ขณะนั้น หรือไม่ก็ผู้เดินทางข้ามโลกคนก่อนถูกตัดสินให้ล้มเหลวหรือตาย และประการที่สอง การ ‘เรียก’ จากวัตถุหรือพิธีกรรมบางชนิด ยกตัวอย่างเช่น ไคลน์·โมเร็ตติแอบประกอบพิธีกรรมที่เขียนไว้ในสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส


สำหรับเงื่อนไขอื่น เราไม่มีทางล่วงรู้ เว้นเสียแต่จะพบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์… เมื่อผนวกทุกสิ่งที่เราทราบเข้าด้วยกัน ทฤษฎีนี้น่าจะใกล้เคียงความจริงมากที่สุด… เพราะนั่นจะช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมจักรพรรดิโรซายล์ที่มาจากยุคสมัยเดียวกันเราบนโลกเก่า ถึงมีช่วงว่างระหว่างช่วงเวลามากกว่าสองสามร้อยปี… นั่นเพราะถึงเราจะเดินทางข้ามโลกมาพร้อมกัน แต่ก็ถูก ‘ปล่อย’ ในยุคสมัยที่แตกต่างกัน! ก่อนจะถูกดึงเข้าสู่โลกความจริง ไม่มีทางรู้เลยว่าเราหลับไปนานแค่ไหน… สรุปแล้ว เราเป็นน้องชายห้องข้างๆ เขา… ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยดวงตาส่องประกาย ก่อนจะกลับไปหม่นหมองอีกครั้ง


ข้อสันนิษฐานเหล่านี้เกิดจากการพิจารณาถึงเงื่อนไขของประตูแห่งแสง สถานการณ์ปัจจุบันของตน และเนื้อหาที่เคยอ่านในไดอารี


แน่นอน สิ่งนี้มิได้แปลว่าไม่มีความเป็นไปได้ทางอื่น เพียงแต่ในปัจจุบัน ไคลน์ยังไม่มีหลักฐานที่จะรองรับข้อสันนิษฐาน ยกตัวอย่างเช่น รังไหมอาจหมายถึงผู้เดินทางข้ามโลกเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทฤษฎีนี้ขัดแย้งกับพลังในการคืนชีพของตน หรือการที่ร่างวิญญาณแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง


และทฤษฎีนี้ก็มิได้เปลี่ยนแปลงความจริงไปมากนัก ยังคงหมายความว่า มันออกจากโลกมาอย่างน้อยสองถึงสามร้อยปี หรือกระทั่งพันปี ต่อให้ค้นพบวิธีเดินทางกลับไป สิ่งที่เรียกว่าบ้านก็คงไม่หลงเหลืออีกแล้ว


พิจารณาจากช่องว่างของช่วงเวลา ความหดหู่ก่อตัวในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้


และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้จิตใจไคลน์แตกสลายฉับพลัน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ‘การกลับบ้าน’ คือเป้าหมายสูงสุดของมันเสมอมา


มิสจัสติสพูดถูก ยังเหลือคำถามและปัญหาให้สำรวจและค้นหาคำตอบ… ทำไมบนประตูแห่งแสงต้องมีรังไหมของผู้เดินทางข้ามโลกแขวนอยู่? เป้าหมายของมันคืออะไร? ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้? เคยมีคนถูกดึงขึ้นมามากน้อยแค่ไหน? และคนอื่นไปไหนแล้ว? ราชันสวรรค์ไร้ขอบเขต? ไคลน์พยายามอย่างหนักที่บังคับตัวเองให้ขบคิด จะได้มีเป้าหมายใหม่ๆ ในอนาคต


น่าเสียดาย มันทำได้เพียงเข้าใกล้ประตูแห่งแสง แต่มิอาจสัมผัสโดยตรง มิอาจสำรวจหรือตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น การวิจัยจึงมาถึงทางตันเนื่องจากขาดข้อมูล


คงต้องตามหาเบาะแสจากโลกความจริงควบคู่กันไป… นอกจากนั้น เราสามารถขึ้นไปบนก้อนเมฆสีเทาและเห็นประตูแสงหลังจากกลายเป็นลำดับ 4 หมายความว่า ณ ลำดับ 2 ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอีกครั้ง เราอาจควบคุมประตูแห่งแสงบานนั้นและตรวจสอบข้อเท็จจริง?


หืม… ความคิดของเราได้รับผลกระทบจากเจ็ดแสงพิสุทธิ์ เทพธิดา และอาโรเดสจนเกือบเชื่อว่าเราคือเจ้าของมิติหมอกสีเทาตัวจริง เชื่อว่าเราคือผู้ปกครองสูงสุดแห่งโลกวิญญาณ… พิจารณาจากสถานการณ์ เราอาจเป็นแค่ ‘หนูทดลอง’ ที่ถูกสุ่มปล่อยลงไปอย่างส่งเดช เมื่อใดที่ล้มเหลว ผู้เดินทางข้ามโลกคนถัดไปก็จะปรากฏตัว… ไคลน์ครุ่นคิดพลางเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว


อีกหนึ่งประเด็นที่มันอยากทราบก็คือ:


รังไหมทั้งสามที่ว่างเปล่า หนึ่งแทนตัวเอง สองแทนจักรพรรดิ และสามแทนใคร?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)