Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 935-940

ราชันเร้นลับ 935 : พบหน้า

 

แอนเดอร์สันที่กำลังเพลิดเพลินไปกับขนมปังมันชีส มองหน้าเดนิส ผงกศีรษะครุ่นคิด


“ไม่รู้ทำไม แต่ฉันไม่อยากออกจากไบลัมตะวันตก… ฮะฮะ ในฐานะนักล่าสมบัติ อุตส่าห์ได้อยู่ที่นี่ทั้งที จะกลับไปมือเปล่าได้ยังไง? ภายในผืนป่าอันกว้างใหญ่ ในวัดร้าง ยังหลงเหลือทองคำ อัญมณี ของเก่า และบางชิ้นอาจเป็นสมบัติวิเศษ รอให้เราเข้าไปช่วยเหลือออกมา!”


เดนิสเชิดค้างขึ้นพร้อมกับกระดก ‘กวาดาร์’ ที่เหลือในแก้ว


นี่คือเครื่องดื่มจากผลไม้ชนิดพิเศษของไบลัมตะวันตก มีสีส้ม รสเปรี้ยวอมหวาน มีฤทธิ์บรรเทาความร้อนและดับกระหาย มีคาเฟอีนอยู่จำนวนหนึ่ง สามารถฟื้นฟูความอ่อนเพลียและช่วยให้กระปรี้กระเปร่า


วางแก้วลง เดนิสเช็ดปากพร้อมกับกล่าว


“ฉันรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกว่านายกำลังวางแผนบางอย่างไว้”


“ฉันเองก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” แอนเดอร์สันยิ้มโดยไม่มองหน้า


มันกินอาหารเช้ากับกาแฟ


ไบลัมตะวันออกเต็มไปด้วยแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพสูง มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่ากาแฟเฟเนพ็อต กาแฟที่ราบสูงของทวีปใต้ และกาแฟเฟอร์โม่จากที่ราบสูงดวงดาวใกล้กับหุบเขาเพิร์ธ


โดยไม่รอให้เดนิสพูด แอนเดอร์สันยิ้มและกล่าว


“แล้วนายไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดีบ้างหรือ? ฉันคอยคุ้มกันให้ฟรี ส่วนนายก็ทำหน้าที่ล่าม ทุกคนได้ผลประโยชน์”


เมื่อพิจารณาว่าตนเป็นเพียงลำดับ 7 ที่กำลังจะเผชิญหน้ากับกองกำลังหลายฝ่าย เดนิสรู้สึกว่าคำพูดของแอนเดอร์สันฟังขึ้น


มันกระแอมแห้ง


“แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ฉันจะบอกให้นายอยู่ห่างๆ”


“ถ้านายพูดว่า ‘ได้โปรดเถอะครับ’ ฉันก็ไม่ว่าอะไร” แอนเดอร์สันตอบผ่อนคลาย


เดนิสสวมเสื้อคลุม เดินไปที่ประตูโรงแรม เตรียมเริ่มลงมือสืบสวน


ระหว่างทาง มันโพล่งขึ้น


“นายเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหม? ฝันว่าตัวเองถูกเทวทูตโอบกอดด้วยปีกทีละชั้น… ไม่สิ ไม่ใช่แค่ความฝัน กระทั่งภาพหลอนแบบเดียวกันก็เคยเห็น”


แอนเดอร์สันชำเลืองถุงมือที่เดนิสสวม ครุ่นคิดสักพักก่อนจะยิ้ม


“นายเป็นสาวกของตัวตนลึกลับที่ไหนรึเปล่า? หรือเคยไปสัมผัสกับวัตถุโบราณส่งเดชไหม?”


เดนิสชะงักเล็กน้อย ฝืนยิ้มพลางกล่าว


“ถ้ามันง่ายแบบนั้น ฉันคงหาสาเหตุด้วยตัวเองได้นานแล้ว!”


ขณะกล่าว มันเดินผ่านชายสามคนที่เดินเข้ามาจากทางเข้าโรงแรม


แอนเดอร์สันกวาดตาไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ ยืนยันว่ารอบตัวไม่มีปัญหา จากนั้นก็ชำเลืองไปทางชายทั้งสามด้วยท่าทีผ่อนคลาย พบว่ามีหนึ่งคนเป็นนายจ้าง และอีกสองคนเป็นคนรับใช้ นายจ้างค่อนข้างสูง ผิวสีน้ำตาลใบหน้าอ่อนโยน น่าจะเป็นลูกครึ่งไบลัมและโลเอ็น แต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมตามแบบฉบับชาวทวีปเหนือ ชุดสูทสีดำและไม้ค้ำเลี่ยมทอง


คนรับใช้ทั้งสองล้วนเป็นชนพื้นเมือง คนหนึ่งคล้ายกับมาจากแปลงเกษตรกรรม พวกมันช่วยเจ้านายถือไม้ค้ำและกระเป๋าเดินทางหนัง คนหนึ่งเป็นลูกผสม ใบหน้าอวบกลม เสื้อผ้าค่อนข้างหลวม พิจารณาจากดาบที่เหน็บรอบเอวน่าจะเป็นผู้คุ้มกัน


แอนเดอร์สันถอนสายตากลับอย่างไม่แยแส เดินถามเดนิสออกไปที่ถนน


มันชี้ไปยังโลงศพหลากหลายรูปแบบด้วยความสนใจ


“อยากลองใช้บริการไหม? ดูน่าสนใจทีเดียว การได้ลงไปนอนในนั้นจะทำให้ตระหนักว่าความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และบางที เรายังสามารถเปิดฝาโลงขึ้นมายืนหยัดได้อีกครั้ง”


เดนิสชำเลืองไปทางระบบขนส่งพิสดาร ส่ายหน้าและกล่าวโดยไม่ลังเล


“ในฐานะโจรสลัดที่นับถือเทพวายุสลาตัน ฉันมีข้อห้ามหลายเรื่อง หนึ่งนั้นในคือการอยู่ให้ไกลจากโลงศพ”


“แต่ฉันไม่มีข้อห้ามแบบนั้น” แอนเดอร์สันสุ่มหยิบ ‘เดลิกซี่’ ออกจากกระเป๋าเสื้อและโยนไปทางเด็กส่งหนังสือพิมพ์เพื่อซื้อสองสามฉบับ


ต้องยอมรับว่า หากเป็นในด้านเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ทวีปใต้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าทวีปเหนือ เนื่องจากค่าแรงถูกกว่า แถมยังมีเด็กจำนวนมากที่ต้องการหางานทำเพื่อจุนเจือครอบครัว


เดนิสเดินไปยังสุดเส้นถนน มองหารถม้าสำหรับชาวต่างชาติพลางหยิบหนังสือพิมพ์ที่แอนเดอร์สันซื้อมากวาดตาอ่าน


ทันใดนั้นเอง มันเหลือบไปเห็นข่าวหนึ่ง


“…โจรสลัดคนดัง ลูเธอร์ไวล์ ผู้เรียกตัวเองว่าพลเรือเอกขุมนรก ถูกสังหารโดยนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ บนเรือทิวลิปดำ กองเรือทั้งหมดถูกยึดครองโดยมิเรลลา ผู้อ้างตัวว่าเป็นอัครทูตแห่งมรณา”


“นี่มัน…” เดนิสอ้าปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ค้างนาน


ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าทำไมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงเตือนให้ระวังเกี่ยวกับนิกายวิญญาณ!


ชายเสียสติรายนี้ลงมือสังหารลูเธอร์ไวล์ นายพลโจรสลัดที่แข็งแกร่งที่สุด!


สิบวินาทีถัดมา เดนิสยื่นหนังสือพิมพ์ให้แอนเดอร์สันด้านข้างด้วยสีหน้าเหม่อลอย


“ลองอ่านดู”


แอนเดอร์สันรับหนังสือพิมพ์ด้วยรอยยิ้ม รีบกวาดตาอ่าน


หลังจากเงียบงันสักพัก มันผิวปากและหัวเราะในลำคอ


“หมอนั่นควรได้รับฉายาใหม่… มือสังหารนายพลโจรสลัด!”


เดนิสไม่กล้าพยักหน้า ถอนสายตากลับพลางรำพัน


“ในตอนที่พบกันครั้งแรก ฉันคิดว่าหมอนั่นน่ากลัวมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะระดับนี้”


มันหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ตนพยายามโน้มน้าวให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์เข้าร่วมกลุ่มโจรสลัดฝันทองคำ


ในทางกลับกัน หลังจากเดินผ่านคนทั้งสองเข้าไปในโรงแรมและเช่าห้องพักหรู ไคลน์ก้มมอง ‘นักล่า’ ทั้งสองที่กำลังเดินไปบนถนนอย่างไม่ระมัดระวังตัว


ลูบกระดุมข้อมือแผ่วเบาหนึ่งครั้ง มันคลี่กระดาษจดหมายและเขียน


“…อันดับแรก ฉันสงสัยว่าตัวตนที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์จะเป็นวิญญาณมารของเส้นทางนักล่า คุณสามารถเริ่มสืบสวนได้จากทิศทางนี้…”


“…พร้อมกับจดหมาย ผมจะแนบตะกอนพลังของ ‘นักปลอบวิญญาณ’ ไปด้วย เขาคือเหยื่อผู้โชคร้ายที่ถูกกลืนวิญญาณ ผมปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระโดยสัญญาว่าจะส่งตะกอนพลังคืนโบสถ์รัตติกาล…”



ไบลัมตะวันออก ขณะเลียวนาร์ดเตรียมเข้าร่วมการประชุมในตอนเช้า มันเห็นผู้ส่งสารระดับเทวทูตเจ้าของสี่เศียรหัวทองตาแดงปรากฏขึ้นตรงหน้า


มันรับจดหมายด้วยความเคยชิน แกะซอง ก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้พบกับวัตถุที่คล้ายกับค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว


นี่มัน… เลียวนาร์ดเข้าใจอย่างคลุมเครือว่าสิ่งนี้คืออะไร จึงรีบคลี่กระดาษอ่าน


ราวยี่สิบวินาทีถัดมา มันถอนหายใจออกแผ่วเบา พึมพำกับตัวเอง


อย่างที่คิด ตะกอนพลัง…


ไคลน์ยังคงเป็นมิตรกับเหยี่ยวราตรีและโบสถ์รัตติกาล…


ตัวมันที่ค่อนข้างโล่งใจ นำหนอนแมลงโปร่งแสงที่ตายแล้วสองตัวยัดใส่ซองจดหมายเดียวกัน จากนั้นก็อัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ส่งมันให้เธอพร้อมกับเหรียญทอง


จัดการเสร็จ เลียวนาร์ดปลดกระดุมเสื้อเม็ดบน เดินออกจากห้อง ลงไปยังชั้นใต้ดิน


ระหว่างทาง มันได้พบกับดาลีย์·ซิโมเน่


ดาลีย์ยังคงแต่งกายเป็นผู้สื่อวิญญาณตามเดิม ถามพลางจ้องหน้าอีกฝ่าย


“มีเบาะแสใหม่หรือยัง?”


“…วิญญาณมารต้องสงสัยว่าจะอยู่บนเส้นทางนักล่า” เลียวนาร์ดตัดสินใจไม่ปิดบัง


ดาลีย์พยักหน้ารับ ครุ่นคิดก่อนจะพูด


“ถ้าอย่างนั้นต้องหลงเหลือร่องรอยการยั่วยุให้เห็น นั่นจะกลายเป็นเบาะแสให้เรา… แน่นอน หนึ่งในนั้นคงมีเบาะแสที่ผิดๆ ปะปนอยู่”



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ประตูห้องกัปตันโทสะสีครามถูกเคาะ


“เข้ามา” อัลเจอร์วางอุปกรณ์เดินเรือทองเหลืองในมือลง กล่าวเสียงทุ้ม


ลูกเรือเปิดประตูและมองกลับหลัง ก่อนจะถูกพวกพ้องจำนวนมากรบเร้าจนต้องเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีลังเล ปิดท้ายด้วยการใช้หมัดขวาทุบอกซ้าย


“วายุสลาตันจงเจริญ!”


รอจนกระทั่งอัลเจอร์ให้สัญญาณ มันฝืนยิ้มและกล่าว


“กัปตัน เมื่อไม่นานมานี้ โจรสลัดจำนวนมากรวมถึงลูกเรือของเรือการค้าต่างเล่าตรงกันว่า พวกมันค้นพบสิ่งของมีค่าภายในท่าเรือแบนชี มีแม้กระทั่งทองคำ… ช่วงนี้ดูเหมือนพวกเราจะยังไม่มีภารกิจใหญ่ ทุกคนจึงคิดเห็นตรงกันว่า ควรแวะไปที่ท่าเรือแบนชีสักครั้ง แม้มันจะถูกขุดค้นไปบ้างแล้ว แต่ก็น่าจะยังมีอีกหลายสิ่งหลงเหลือ…”


อัลเจอร์ยังคงทำหน้านิ่ง ครุ่นคิดหลายวินาทีก่อนจะพูด


“ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ เอาแบบนี้เป็นไง เราจะแล่นเรือไปยังทิศทางของท่าแบนชี แต่ยังไม่เจาะจงว่าที่นั่นคือจุดหมาย ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง พวกเราจะหยุดพักที่นั่นหนึ่งวัน”


“รับทราบครับ กัปตัน!” ลูกเรือคนดังกล่าวใช้กำปั้นขวาทุบอกซ้ายอย่างกระตือรือร้น “ขอพายุจงสถิตกับท่าน”


“ขอพายุจงสถิตกับท่าน” อัลเจอร์มองแผ่นหลังของลูกน้อยที่เดินจากไปและปิดประตู


จากนั้น มันเทแลงติร้อนแรงใส่แก้วราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ใบหน้าปราศจากความสุขหรือโกรธ เพียงค่อยๆ จิบเหล้าอย่างผ่อนคลาย


ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในความคาดหมายของอัลเจอร์ เพราะข่าวคราวการค้นพบวัตถุมีค่าในซากปรักหักพังของท่าเรือแบนชี เป็นสิ่งที่มันแอบเผยแพร่ในสภาพปลอมตัว


ในฐานะกัปตันเรือของโบสถ์วายุสลาตัน มันถูกลูกเรือจับตามองอยู่เสมอ หากเป็นฝ่ายออกปากต้องการไปยังท่าเรือแบนชีด้วยตัวเอง นั่นจะถูกมองว่าน่าสงสัย อัลเจอร์จึงหาทางทำให้ลูกเรือเป็นฝ่ายรบเร้าก่อน!


ด้วยเหตุนี้ หากค้นพบความผิดปรกติบางอย่างบนท่าเรือแบนชี ก็จะไม่มีใครสงสัยตัวมันที่เป็นกัปตัน


และสำหรับลูกเรือ โดยเฉพาะลูกเรือที่เพิ่งผลาญเงินไปกับบายัม ข่าวลือแบบใดเย้ายวนใจมากที่สุด น่าตื่นเต้นมากที่สุด อัลเจอร์ย่อมทราบดี


นอกจากนั้น โทสะสีครามยังจอดแช่อยู่ที่บายัมมานานแล้ว หากไม่ออกเรือเสียบ้างอาจตกเป็นเป้าสงสัย


สำหรับการติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ มันมอบให้เป็นหน้าที่ของ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา เนื่องจากเธออาจกำลังถูก ‘สืบสวน’ โดยคนของชุมนุมแสงเหนือ แคทลียาและอนาคตกาลจึงเอาแต่เตร็ดเตร่อยู่ในน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์มาได้ระยะหนึ่งแล้ว กล่าวกันว่าที่นี่คือฐานสำคัญของนิกายมอสส์


หลังจากดื่มเหล้าเสร็จ อัลเจอร์วางแก้ว มองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งทะเล พึมพำเสียงต่ำ


“แบนชี…”



เมื่อพิจารณาว่าใกล้จะปลายมิถุนายนแล้ว วิล·อัสตินอาจคลอดได้ทุกเมื่อ หลังจากไคลน์เตรียมการเบื้องต้นเสร็จ มันส่งตัวเองเข้ามิติหมอกและนำเครื่องรับโทรเลขไร้สายกลับมายังโลกความจริง ตักเตือนตัวเองว่าห้ามถามเกินสองคำถาม


ห้องมืดลงและมีบรรยากาศเย็นเยียบทันที เครื่องรับโทรเลขไร้สายส่งเสียงกุกกักด้วยตัวเอง



 

 

 


ราชันเร้นลับ 936 : ไม่อยากพลาด

 

ท่ามกลางเสียงกุกกัก กระดาษมายาสีขาวถูกพ่นออกจากเครื่องรับสัญญาณโทรเลข ด้านบนถูกเขียนด้วยข้อความภาษาโลเอ็น


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ภักดีและถ่อมตนของท่าน มาหาท่านตามคำเรียกร้องแล้ว!”


“ท่านทราบหรือไม่ ลูกของอลัน·คริสต์คลอดแล้วเมื่อคืนก่อน?”


โชคดีที่ติดต่อกระจกวิเศษได้ทันเวลา… ไคลน์พยักหน้ารับแผ่วเบาพร้อมกับตอบ


“ตอนนี้ทราบแล้ว”


กุกกักกุกกัก กระดาษมายาสีขาวถูกพ่นออกมาเพิ่ม


“ตามหลักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ถึงตานายท่านถามข้าบ้างแล้ว”


ไคลน์อยากจะถามเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์ 0-08 และวิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’ แต่ฉุกคิดได้ว่าตนเคยล้มเหลวในการทำนายบนมิติหมอกมาแล้ว กระจกวิเศษก็คงมองเห็นอะไรไม่มาก อย่างเก่งก็ช่วยบอกข้อมูลของ 0-08 และการที่ไม่มีพลังของมิติหมอกช่วยกีดขวาง ตนก็จะเข้าข่าย ‘รู้จัก 0-08 และถูก 0-08 รู้จัก’ ทันที ซึ่งนั่นขัดต่อความประสงค์ที่จะซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังและกำกับละครเวที


ชายหนุ่มครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะตอบ


“มีวิธีเร่งการย่อยโอสถบ้างไหม?”


“สวมบทบาทให้ดีขึ้น” บนกระดาษมายาสีขาว ข้อความสองสามคำถูกเขียน


เมื่อได้เห็นคำตอบจากกระจกวิเศษ ไคลน์เงียบไปสักพักก่อน ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา


สำหรับตัวไคลน์ในปัจจุบัน อินซ์·แซงวิลล์ปรากฏตัวเร็วเกินไป!


กว่าโอสถนักเชิดหุ่นจะย่อยสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาอีกเกือบสองเดือน เมื่อถึงตอนนั้น ตัวมันที่เตรียมวัตถุดิบพร้อมสรรพก็จะใช้การแก้แค้นเป็นเวทีสำหรับเลื่อนลำดับ คอยกำกับละครและสังหารครึ่งเทพอย่างอินซ์·แซงวิลล์ ยิ่งปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างไปกับเรื่องนี้อย่างสุดหัวใจ แต่กลับกลายเป็นว่า อินซ์·แซงวิลล์ ‘ปรากฏตัว’ ในตอนที่มันยังไม่พร้อม แผนการที่วางไว้จึงคลาดเคลื่อน


ตามความคิดแรกของไคลน์ มันต้องการรวบรวมข้อมูลจำนวนหนึ่ง ค้นหาว่าอินซ์·แซงวิลล์อยู่ที่ไหน รอจนกระทั่งสิ้นเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน จากนั้นก็วางแผนอย่างละเอียดตามข้อมูลแวดล้อม แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันพบว่าแผนดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยาก อินซ์·แซงวิลล์ที่กำลังครอบครอง 0-08 นั้นไม่มีทางเปิดเผยตัวเอง ความพยายามในการค้นหาตัวจะล้มเหลวเนื่องจากความบังเอิญที่ซ้อนทับ หากไม่ฉวยโอกาสในตอนที่มันถูกวิญญาณมารเข้าสิงจนลงมือโฉ่งฉ่าง ไคลน์คงไม่มีโอกาสลงมือกับอินซ์·แซงวิลล์อีกเลยหลังจากอีกฝ่ายขจัดปัดเป่าวิญญาณมารสำเร็จ


และถ้าผู้ที่สิงร่างเป็นวิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’ จริง ไคลน์ยังกังวลว่าอินซ์·แซงวิลล์จะตายไปก่อนที่ตนกับเลียวนาร์ดจะได้ลงมือแก้แค้น เป็นความตายเนื่องจากถูกใช้เป็นเครื่องมือในแผนการ หรือไม่ก็เป็นความตายตลกๆ ที่ 0-08 กำหนดขึ้น มิได้ตายเพื่อชดใช้กรรมที่มันก่อน


ด้วยทุกสิ่งประกอบกัน ไคลน์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากหาวิธีย่อยโอสถให้เร็วขึ้น เสร็จภายในหนึ่งถึงสองสัปดาห์ได้ยิ่งดี ดังนั้น คำตอบของกระจกวิเศษจึงทำให้มันสิ้นหวัง เพราะตระหนักว่าตนคงเร่งความเร็วในการย่อยมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว


ภายในสองสัปดาห์ หรือในอีกสองสามวันถัดไป มันจะหาโอกาสสวมบทบาทอย่างลึกซึ้งได้จากที่ไหน?


ท่ามกลางความเงียบ ไคลน์ตัดสินใจหนักแน่น มันจะไม่นำการแก้แค้นกับโอกาสในการเลื่อนลำดับมาปะปนกัน หลังจากนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะทำเพื่อให้แก้แค้นอินซ์·แซงวิลล์สำเร็จ


มันไม่อยากพลาดโอกาสอันแสนหายากครั้งนี้


แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬจะเพิ่งผ่านมาได้สิบเดือน ยังไม่ครบหนึ่งปีถ้วน แต่ไคลน์กลับรู้สึกว่ามันคือช่วงเวลาที่ยาวนาน นานจนอดทนรอไม่ไหวอีกต่อไป


หลังจากชำเลืองเครื่องรับสัญญาณโทรเลขที่มีบรรยากาศมืดมน ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าวเสียงขรึมด้วยใบหน้าขึงยัง


“ในตอนที่เราจ้องมองตัวเองด้วยดวงตาของหุ่นเชิด ‘ผู้ชนะ’ เราได้ทราบว่าทำไมผู้วิเศษเส้นทางโชคชะตาถึงต้องมีปฏิกิริยาเช่นนั้นทุกครั้งที่ได้พบเรา… คำถามก็คือ เจ้าเห็นอะไรจากเรา”


ประโยคดังกล่าวเป็นราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทุกสิ่งพลันเงียบสงัดรวมถึงเครื่องรับโทรเลข จนกระทั่งผ่านไปสักพัก เสียงกุกกักดึงขึ้นอีกครั้ง


กระดาษมายาสีดำถูกพ่นออกมา ถ้อยคำทั้งหมดเป็นสีขาว


“ข…ข้าเห็นการค้ำจุนและปกครองจากท่าน…”


“คำตอบเช่นนี้ ท่านพอใจหรือไม่?”


ค้ำจุน ปกครอง… หมายความว่ายังไง? ไคลน์อยากจะถาม แต่คิดว่าอาโรเดสคงอธิบายได้ไม่ชัดเนื่องจากขาดความรู้ที่เกี่ยวข้อง


เมื่อตระหนักว่ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายอาจกำลังมองมา ไคลน์พยักหน้าและพูด


“พอใจ… วันนี้พอแค่นี้ เจ้ากลับไปได้”


เสียงกุกกักของเครื่องรับโทรเลขดังอย่างมีชีวิตชีวา แม้กระทั่งกระดาษที่พ่นออกมาก็กลับไปเป็นสีขาว


“ลาก่อน นายท่านผู้ยิ่งใหญ่~ ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่าน อาโรเดส ยินดีให้บริการท่านทุกเมื่อ”


ในคราวนี้ ดูเหมือนว่ากระจกวิเศษจะลืมส่งเครื่องหมายโบกมือ


เผ่นเร็วชะมัด… ไคลน์พึมพำพลางเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่สายหมอกสีเทา เสกเดอะเวิร์ลขึ้นมาพร้อมกับบอก ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาว่า เลือดสัตว์ในตำนานที่เธอต้องการพร้อมแล้ว ได้โปรดแจ้งวิธีฟื้นพลังชั่วคราวขณะอยู่ในสภาพอ่อนแอ


ผ่านไปไม่นาน พลเรือเอกดวงดาวประกอบพิธีกรรมสังเวยสิ่งของให้เดอะฟูล และบอกให้ตัวตนอันยิ่งใหญ่ส่งต่อให้เดอะเวิร์ลพร้อมกับแจ้งให้ทราบว่า วิธีฟื้นฟูพลังในสภาพที่ร่างกายอ่อนแอก็คือ ให้ยืมพลังจากตัวเองในประวัติศาสตร์หรืออดีตเป็นการชั่วคราว!


คุ้นหูชะมัด… เหมือนกับความสามารถของลำดับ 3 เส้นทางนักทำนาย ‘ปราชญ์โบราณ’ … ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะหยิบวัตถุที่มาดามเฮอร์มิทสังเวยขึ้นมา


นี่คือส่วนหัวของไม้ค้ำ ฝังอัญมณีสีใส ถูกแกะสลักด้วยสัญลักษณ์ซับซ้อนและลึกลับ ยากต่อ นี่คือหัวของอ้อย ฝังพลอยใสเป็นแถบยาว มันถูกแกะสลักด้วยสัญลักษณ์สามมิติที่ซับซ้อน ลึกลับ และน่าอัศจรรย์จนยากอธิบาย


ไคลน์ยังจดจำได้แม่น หนึ่งคือเนตรไร้รูม่านตาที่ไม่สมบูรณ์ และอีกหนึ่งคือ ‘เส้นเกลียว’ ที่ไม่สมบูรณ์


นี่คือวัตถุที่ชี้นำไปหาลำดับ 0 ‘เดอะฟูล’ ? แต่มันไม่ซับซ้อนไปหน่อยหรือ? เรารู้สึกคุ้นเคยกับหัวไม้ค้ำอันนี้มาก มันคล้ายกับลูกบอลคริสตัลที่เดอะซันน้อยสวดวิงวอนถึงเรา! เป็นวัตถุที่สอดคล้องกับดวงดาวสีแดงเข้ม? ไคลน์พยายามมองออกไปนอกวังโบราณด้วยสีหน้าครุ่นคิด พบดวงดาวพร่างพราวกำลังลอยอยู่บนฟ้าอย่างเงียบงัน ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ


เมื่อพิจารณาว่าน่าจะเป็นวัตถุที่ใช้ครั้งเดียวแล้วหายไป คล้ายกับยันต์ ชายหนุ่มละทิ้งความคิดที่จะทดลอง เพียงเสกกระดาษออกจากกองขยะ เขียนสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนและผิดปรกติบนหัวไม้ค้ำลงไป



อาณาจักรโลเอ็น บ้านของนายแพทย์อลัน·คริสต์


ภายในห้องนอนใหญ่ แม่บ้านคนหนึ่งกำลังดูแลทารกตัวน้อยที่หลับใหล โดยที่ห้องโถงด้านล่างมีแขกทยอยเข้าร่วมงานแล้วกว่าครึ่ง


ทันใดนั้น ณ มุมหนึ่ง ร่างของสามบุคคลก่อตัวจากความว่างเปล่าอย่างพร้อมเพรียง ผู้ที่นำหน้าสุดสวมหมวกผ้าไหม้ สูททางการสีดำ ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์·โมเร็ตติที่ปราศจากการแปลงโฉม


มันหยิบยันต์ออกมา กระซิบภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“แดงฉาน!”


เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชนและดับมอด ท่ามกลางเสียงระเบิดแผ่วเบา ความสุขสงบพลันท่วมท้น แม่บ้านคนดังกล่าวมิอาจหักห้ามอาการง่วง หลบลึกลงข้างๆ เตียง


ไคลน์มิได้บังคับหุ่นเชิดทั้งสอง ใช้ร่างต้นเดินยังทางแปลทารกและมองเข้าไป


อีกฝ่ายคือทารกที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมสีเงิน ผิวขาวราวกับหิมะ มืออวบอ้วน


เด็กคนนี้มิได้หวาดกลัว ‘คนแปลกหน้า’ เพียงดูดนิ้วและมองหน้าไคลน์กลับ


“แฮ่ม…” ไคลน์ยิ้มโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะถอดหมวกทำความเคารพ “ขอแสดงความยินดีที่ได้เกิดมา”


“คำพูดเหล่านั้นต้องพูดกับพ่อและแม้ของข้า!” เด็กน้อยดึงนิ้วออกจากปาก กล่าวด้วยโทนเสียงและสำเนียงที่ไม่เข้ากับวัย


ไคลน์หัวเราะในลำคอ ไม่มัวเสียเวลากับถ้อยคำไร้สาระของอสรพิษแห่งชะตา เพียงกล่าวเข้าประเด็น


“ผมนำวิธีฟื้นฟูความแข็งแกร่งในเวลาสั้นๆ มาให้… ช่วยส่งเลือดจากสายสะดือมาหนึ่งหยดด้วย”


วิล·อัสตินกางฝ่ามือพลางกล่าว


“แสดงวัตถุชิ้นนั้นให้ข้าดูก่อน”


“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นวัตถุ?” ไคลน์ถามด้วยความประหลาดใจ


วิล·อัสตินพ่นลม


“สัญชาตญาณแห่งชะตากรรม”


ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด… ไคลน์นำหัวไม้ค้ำที่ซ่อนไว้ข้างหลังส่งให้อีกฝ่าย


ทารกสัมผัสพลางจ้องมองสักพัก ก่อนจะขึ้นเสียง


“ใช้ได้เพียงครั้งเดียว!”


“ใช่ แค่ครั้งเดียว มีปัญหาตรงไหนหรือ?” ไคลน์เรียบเรียงคำพูดสักพัก “ด้วยระดับและความสามารถของคุณ การจดจำสัญลักษณ์ที่แกะสลักคงไม่ใช่เรื่องยาก จากนั้นก็รวบรวมวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง ประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้อง ก็สามารถใช้ได้หลายครั้งไม่ใช่หรือ…”


วิล·อัสตินตัดบท


“เข้าใจแล้ว ข้าจะยอมรับก็ได้… แต่จงอย่าลืมว่า เจ้าเป็นคนเสนอวิธีการเมื่อครู่!”


ไคลน์สับสนไปพักหนึ่ง จนกระทั่งเริ่มเข้าใจบางสิ่งและตระหนักว่า ตนที่มาที่นี่เพื่อเอาเปรียบทารก กลับกลายเป็นฝ่ายถูกทารกเอาเปรียบ


“อา… ผมเป็นคนแนะนำเอง” ไคลน์ถอนหายใจพลางพยักหน้า


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอวบอิ่มของทารก กางมืออีกข้างออก


“ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว… ทั้งหมดสองหยด หนึ่งหยดให้คู่ค้า อีกหนึ่งหยดสำหรับเจ้าที่คอยเป็นธุระในการแลกเปลี่ยน”


ค่านายหน้า? ไคลน์เผยความประหลาดใจ รีบจ้องไปบนฝ่ามือวิล·อัสติน


ที่นั่นมีเลือดสีเงินจำนวนสองหยด แต่ละหยดคล้ายกับมีกงล้อเล็กๆ จำนวนมากกำลังหมุน เชื่อมต่อกันในลักษณะหัวถึงหางจนครบหนึ่งรอบ


เพียงได้มอง ไคลน์รู้สึกราวกับจะสูญเสียความสามารถในการคิด สมองแทบจะสั่งการแต่เรื่องซ้ำๆ


ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า นำกล่องบุหรี่โลหะที่บรรจุนกหวีดทองแดงอะซิกออกมาเปิดฝา บรรจุเลือดสองหยดที่ถูกผนึกอย่างเรียบร้อยเข้าไป


“ขอบคุณสำหรับความใจกว้าง” ไคลน์กล่าวด้วยสีหน้าท่าทีจริงใจ ก่อนจะหันไปถาม “สิ่งนี้นำไปใช้สร้างเป็นยันต์ได้ไหม?”


ทารกดูดนิ้วอีกครั้งพลางกล่าว


“แน่นอน… สำหรับสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้อง เจ้าเคยเห็นมาหมดแล้ว สามารถเลือกนำมาผสมได้ตามที่ต้องการ ส่วนจะได้ผลอย่างไรนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้า”


ไคลน์พยักหน้า ถามอีกครั้ง


“แล้วต้องสวดวิงวอนถึงใคร? คุณคงไม่พร้อมตอบสนองพิธีกรรมระดับสูงไปอีกสักพัก ส่วนการสวดวิงวอนถึงโอโรเลอุสก็ค่าเท่ากับการยั่วยุ… ผมควรสวดวิงวอนถึงลำดับ 2 แห่งเส้นทางโชคชะตาใช่ไหม? แต่ผมไม่ทราบนามเต็มของใครเลย”


วิล·อัสตินยิ้ม


“มีคนที่ง่ายกว่านั้น”


“ใคร?” ไคลน์ถามอย่างตื่นเต้น


ทารกตอบด้วยรอยยิ้ม


“ราชินีแห่งความอับโชคและความกลัว”



 

 

 


ราชันเร้นลับ 937 : ไม่กี่วันถัดมา

 

จักรพรรดินีแห่งความอับโชคและหวาดกลัว… นั่นมันเทพธิดาไม่ใช่หรือ? ใช่แล้ว ความอับโชคเป็นส่วนหนึ่งในขอบเขตโชคชะตา เทพธิดามีอำนาจแบบนั้นอยู่ เป็นเรื่องปรกติที่จะพลังในการตอบสนอง… การที่วิล·อัสตินแนะนำเราแบบนี้ ไม่ใช่การแนะนำส่งๆ แต่เขามั่นใจว่าเราเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ของเทพธิดา เพียงแต่ยังไม่รู้ตัว… ผลลัพธ์เหมือนกับตอนที่ทำนายเกี่ยวกับวิธีได้รับโอสถลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย… หลังจากเหตุการณ์วิหารนักบุญแซมมวล ดูเขาจะมั่นใจขึ้นมา… ไคลน์ตกใจในตอนต้นก่อนจะเริ่มกระจ่างในภายหลัง


คล้ายกับกำลังพึมพำ มันกล่าว


“หากสวดวิงวอนถึงเทพธิดา ไม่ว่าจะเลือกสัญลักษณ์แบบนี้ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะเอนเอียงไปทางขอบเขตของความโชคร้าย”


“นั่นเป็นความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว!” ทารกที่ห่อด้วยผ้าไหมสีเงินโพล่งขึ้น


หลังจากได้รับการยืนยัน ไคลน์ที่เริ่มมั่นใจในตัวเองเผยรอยยิ้ม


“ตกลง… แล้วคุณยังใช้ชื่อวิล·อัสตินอยู่ไหม?”


มันอยากทราบว่า อีกฝ่ายจะเปลี่ยนชื่อหลังจากคลอดหรือไม่


“ถ้าเจ้าชอบจะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ชื่อใหม่ของข้าคือวิล·คริสต์” ทารกตอบเสียงเรียบ


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ถามด้วยความสงสัย


“ถ้าอยากจัดการกับผู้ถือครอง 0-08… คุณมีคำแนะนำอย่างไร? ผมไม่อยากทราบข้อมูลของ 0-08 แค่อยากทราบว่าคุณมีข้อเสนอแนะบ้างไหม”


ทารกจ้ำม่ำเผยรอยยิ้มพร้อมกับแหกปาก


“อุแว๊!”


มุมปากไคลน์ขยับเล็กน้อย เมื่อเห็นสาวใช้กำลังจะตื่น มันรีบถอยหลังสองสามก้าวและหายตัวไปพร้อมกับหุ่นเชิดทั้งสอง



ณ น่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ บนอนาคตกาลที่จอดเทียบท่าอยู่ในท่าเรือของกลุ่มต่อต้าน


‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียามองเห็นเลือดหยดหนึ่งลอยออกจากบานประตูมายาของพิธีกรรมซึ่งก่อตัวจากแสงเทียนไข


เพียงเธอมองผิวเผิน ดวงตารีบปิดสนิททั้งที่กำลังสวมแว่นตาหนาเตอะ


ในวินาทีนี้ ภายในใจเธอคล้ายกับมีกงล้อลึกลับและมหัศจรรย์หมุนวน ก่อตัวกลายเป็นอสรพิษสีเงินที่ส่วนหัวเชื่อมติดกับหาง


ฉากดังกล่าวทำให้เธอเอาแต่คิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปมา ก่อนจะรีบขอบคุณเดอะฟูลพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่เริ่มกลับมาเป็นปรกติ


ไม่ผิดแน่ นี่คือเลือดจากสัตว์ในตำนานเส้นทางโชคชะตา แถมยังมีระดับสูงกว่าเทวทูตทั่วไป… แคทลียาสิ้นสุดพิธีกรรมอย่างมีความสุข นำอุปกรณ์ที่เตรียมไว้บรรจุเลือดลงไป


หลังจากได้รับข้อมูลของเส้นทางสัตว์ประหลาดมาจากราชินีเงื่อนงำ ผนวกกับการทราบถึงการมีอยู่ของ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสจากมิสเตอร์ฟูล เพียงไม่นานก็สามารถคาดเดาเจ้าของหยดเลือด


อาจเป็นคนของโรงเรียนชีวิต และอาจเป็นอีกหนึ่งลำดับ 1 ของเส้นทาง… แต่ไม่ว่าจะแบบไหน จำนวนเทวทูตที่มิสเตอร์ฟูลครอบครองก็ไม่ต่ำกว่าสอง แถมยังมี ‘มารบรรพกาล’ ที่เรายังไม่มีข้อมูล… ถ้าไม่นับเรื่องที่ยังขาดแคลนสมบัติปิดผนึก ขุมพลังขององค์กรที่นับถือมิสเตอร์ฟูลสามารถเทียบชั้นได้กับเจ็ดโบสถ์หลัก เป็นความแข็งแกร่งชนิดที่นิกายมอสส์และแก่นรุ่งอรุณเทียบไม่ติด


สมแล้วที่เป็นเทพบรรพกาลผู้กำลังฟื้นคืนพลัง…


แคทลียาที่ตกตะลึงไปสักพัก เริ่มถอนหายใจยาว หันมาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง


การเตรียมตัวด้านอื่นๆ นับว่าราบรื่นมาก หากไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย อีกเดียวเดือนกว่าๆ ก็จะได้ทดลองเลื่อนเป็นลำดับ 4 และได้ครอบครองออร่าเทพ!



ท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึ้มและสายฟ้าสีเงินผ่าลงมาเป็นระยะ บรรยากาศโดยรอบสว่างไสวจนมองเห็นแม่น้ำที่คดเคี้ยวแต่เหือดแห้ง


และใจกลางทุ่งกว้าง ตรงจุดที่แม่น้ำคดเคี้ยวครึ่งวงกลม เงารางของบางสิ่งกำลังซ้อนทับกันหลายชิ้นอย่างเด่นสง่า ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากเมืองร้างอันไร้ชีวิตชีวา


หลังจากเดินทางมาหลายวัน ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโสของเมืองเงินพิสุทธิ์ ‘นักล่าปีศาจ’ โคลิน·อีเลียดนำทีมสำรวจมาถึงจุดหมาย – เมืองนอร์ธ


ทีมสำรวจชุดนี้มีสมาชิกไม่มาก หากไม่นับโคลินจะมีเพียงสี่คน หนึ่งในนั้นคือหกสภาอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์ รวมถึงลำดับ 5 การ์เดี้ยนสองคนซึ่งประกอบด้วยลิเกอร์และกุนนาลุน และลำดับ 6 นักบวชแสง เดอร์ริค·เบเกอร์ ความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าทีมสำรวจเต็มอัตราศึก บางทีอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ


ตามคำบอกเล่าของโคลิน·อีเลียด เป็นเพราะเมืองนอร์ธเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดดุร้าย ส่งผลให้สถานที่ดังกล่าวอันตรายมาก แถม ‘ตัวจำแลงกาย’ ก็ยังปลอมตัวได้เก่งกาจ ชอบอาศัยความไว้วางใจระหว่างพวกพ้องเป็นจุดแข็ง ส่งผลให้ยิ่งทีมสำรวจมีขนาดเล็กเท่าไรก็ยิ่งดี และเมื่อยิ่งเป็นทีมเล็ก ก็ยิ่งต้องเป็นการรวมตัวของหัวกะทิ


หลังจากมองไปยังเมืองด้านหน้าที่ปกคลุมด้วยหมอกจาง ถึงขนาดสายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะยังไม่ช่วยให้มองเห็นด้านใน ‘นักล่าปีศาจ’ โคลิน·อีเลียดชักดาบยาวทั้งสองเล่มออกมาถือ ทาครีมสีเทาเงินลงไปบนคมดาบเล่มหนึ่ง ส่วนอีกเล่มฉาบด้วยของเหลวสีทอง


จากนั้น มันปักดาบยาวทั้งสองเล่มลงบนพื้นด้านหน้า ก่อนจะนำขวดโลหะจำนวนสามขวดออกจากช่องลับในเข็มขัด เปิดฝาและดื่มยาด้านในเข้าไปรวดเดียว


ขณะเดียวกัน ลิเกอร์และกุนนาลุนต่างเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มศึก ส่วนทางด้านเดอร์ริค·เบเกอร์ถือค้อนด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างผายออก ตามด้วยการเปล่งภาษาคนยักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พระองค์ตรัสว่า จงสัมฤทธิผล!”


ท่ามกลางความเงียบงัน โคลิน·อีเลียดและคนที่เหลือต่างรู้สึกราวกับยาวิเศษที่ดื่มเข้าไป แสงยามเช้าที่พวกมันอาบร่าง ครีมและขี้ผึ้งที่ฉาบลงบนดาบ ทั้งหมดถูกเสริมพลังเล็กน้อยโดยพร้อมเพรียง


ทันใดนั้น วงแหวนอันแสนอบอุ่นที่กระเพื่อมอย่างงดงาม นำพาความกล้าหาญและฮึกเหิมยังทีมสำรวจทุกคน


หลังจากเดอร์ริคใช้ ‘คำสาบานศักดิ์สิทธิ์’ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้ทุกคน โคลินชำเลืองไปทางโลเฟียร์ที่กำลังยืนถือโคมไฟหนังสัตว์อย่างเงียบงัน ก่อนที่มันจะมองตรงไปยังเขตรอบนอกของเมืองนอร์ธซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบยี่สิบเมตร กล่าวกับเด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นจากเดิมเล็กน้อย


“จงใช้พลังของคุณทำให้ถนนข้างหน้าสว่าง”


กล่าวจบ มันมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดเสริม


“หลังจากเข้าเขตเมืองนอร์ธ ห้ามแยกตัวเด็ดขาด… ผมเคยแนะนำสัตว์ประหลาดในแถบนี้ให้ทุกคนรู้จักไปหมดแล้ว คงตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า ตัวจำแลงกายจะฉวยโอกาสที่พวกเราแยกออกจากกัน”


กุนนาลุนคือนักรบหญิงหน้าตาดี สูงสองเมตรครึ่ง ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าว


“ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกเราถึงไม่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวเพื่อล่าตัวจำแลงกาย?”


“อย่าเสี่ยงดีกว่า แผนนั้นอันตรายเกินไป ง่ายต่อการที่พวกเราจะพลาดท่าฆ่ากันเอง หรือไม่ก็หลงทางอยู่ในเมืองนอร์ธแห่งนี้ไปตลอดกาล” โคลิน·อีเลียดเจ้าของเส้นผมสีเทายุ่งเหยิง กล่าวตักเตือนด้วยมาดเคร่งขรึม


เดอร์ริคมองไปข้างหน้าที่ปกคลุมด้วยหมอกจาก ซักถามตามความเคยชิน


“ท่านเจ้าเมือง เมืองนี้เคยอยู่ภายใต้วังราชาคนยักษ์หรือไม่?”


“ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันก็อยู่ใกล้กับอีกหนึ่งเทพบรรพกาล” นักล่าปีศาจตอบเยือกเย็น


ในท่าแบกกระบองเหล็กดำสองอัน ลิเกอร์ที่มีความสูงไม่ต่ำกว่าสองเมตรครึ่งเช่นกัน ซักถามด้วยความสงสัย


“เทพบรรพกาลตนใด?”


“ราชาหมาป่าอสูร จอมทำลายล้าง เฟรเกีย”


งั้นหรือ… เดอร์ริคจดจำคำสั่งของเจ้าเมือง เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับผายมือออกสองข้าง


ทันใดนั้น แสงอาทิตย์อันบริสุทธิ์ผุดผ่องพลันพวยพุ่งออกจากร่างเด็กหนุ่ม ช่วยมอบความสว่างแก่ซากปรักหักพังของอาคาร รวมถึงถนนหินเบื้องหน้า ฉาบเมืองที่แสนสงบสุขอย่างท่วม


บนถนน เงารางของคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในการมองเห็นของเดอร์ริคและคนที่เหลือ บ้างแต่งกายด้วยผ้าลินิน บ้างสวมเสื้อผ้าหนังสัตว์ ท่าทางคล้ายกำลังยุ่งมาก


ทันทีที่ถูกแสงแดดอาบร่าง พวกมันต่างหันมามองเป็นตาเดียวโดยปราศจากสุ้มเสียง สายตาทุกคนล้วนจดจ้องมาทางทีมสำรวจจากเมืองเงินพิสุทธิ์



ตกกลางคืน เสียงนกกาและนกอื่นๆ จะดังขึ้นเป็นระยะรอบท่าเรือแบนชี ส่งผลให้เมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังแห่งนี้มีกลิ่นอายความตายและความมืดมนชัดเจนขึ้น แม้แต่เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งก็ยังมิอาจขจัดความรู้สึกดังกล่าวได้หมดจด


ในฐานะสาวกของวายุสลาตัน และในฐานะลูกเรือของโทสะสีคราม เหล่าลูกเรือล้วนเต็มไปด้วยความห้าวหาญ ไม่แยแสบรรยากาศอันน่าขนลุกของซากอาคารโดยรอบ สนใจเพียงทรัพย์สินและเงินทองที่อาจหลงเหลือ มีแต่จะยิ่งเพิ่มความกระตือรือร้น ทันทีที่จอดเทียบท่าก็ลงเรือทันที จับกลุ่มสองถึงสามคนและกระจายกันออกค้นหา


อัลเจอร์มิได้ร่วมวงสำรวจ เพียงเดินเตร็ดเตร่ไปตามซากอาคารโดยหวังตามหาร่องรอยหรือเบาะแสหลังจากเมืองถูกทำลาย


ขณะเดิน อัลเจอร์ที่สวมแหวน ‘แส้จิต’ และเหน็บ ‘มีดหมื่นพิษ’ ไว้ตรงเอวก็มาถึงกำแพงที่ถูกทำลายไปหลายส่วน ตรงประตูที่ถล่มลงมีซากไม้ไหม้เกรียมจำนวนหนึ่ง


ถ้าจำไม่ผิด ที่นี่ควรจะเป็นสำนักงานโทรเลขของท่าเรือ… อัลเจอร์พยักหน้ารับ ขยับเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเพ่งมองอย่างละเอียด


มันพบว่า ท่ามกลางเศษไม้และหินกรวด บนพื้นที่ว่างๆ สีดำไหม้เกรียม มีรอยเลือดสองจุดเป็นทางยาว คล้ายกับมนุษย์สองคนถูกบดเป็นซอสเนื้อที่นั่น


และแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปนานแล้ว แต่เลือดสีแดงทั้งสองจุดกลับยังสว่างสดใส คล้ายกับยังแฝงไว้ด้วยชีวิตชีวา


หน้าผากอัลเจอร์กระตุกแผ่วเบาทันที มันสามารถจินตนาการถึงบางสิ่งที่ชั่วร้ายก่อนจะเกิดเหตุการณ์บุกทำลายท่าเรือแบนชี


เมื่อกวาดตามองสักพัก อัลเจอร์สังเกตเห็นว่าข้างๆ จุดเลือดทั้งสองจุด บริเวณที่แสงจันทร์เข้าถึงได้ยาก มีภาพหนึ่งถูกสลักอยู่บนซากผนัง


ภาพดังกล่าวค่อนข้างหยาบ แถมยังไม่มีสี เป็นภาพสัตว์ประหลาดหัวปลาหมึกกำลังสวมชุดเกราะ ถือสามง่ามยาว ร่างกายปกคลุมไปด้วยสายฟ้า ใต้เท้าเป็นคลื่น ด้านหลังเป็นผ้าคลุมขนนก!


รูม่านตาอัลเจอร์พลันขยายออก ภายในใจกำลังปั่นป่วนสุดขีด


มันทราบดีว่าสัตว์ประหลาดในภาพหมายถึงสิ่งใด เพราะเดอะซันน้อยเคยแสดงให้เห็นแล้ว


นี่คือภาพของเทพวายุสลาตันที่ถูกกุหลาบไถ่บาปบิดเบือน!


และการที่ภาพเช่นนี้ยังคงอยู่ย่อมหมายความว่า คนของกุหลาบไถ่บาปเพิ่งมาถึงและวาดไว้จากเกิดเหตุการณ์บุกถล่ม ไม่อย่างนั้น ภาพไม่มีทางสมบูรณ์ได้ถึงเพียงนี้ท่ามกลางซากอาคารบ้านเรือนที่ยับเยิน เป็นภาพที่ถูกวาดขึ้นในภายหลัง!


นี่คือเบาะแสที่เดอะเวิร์ลบอกให้เราค้นหาในท่าเรือแบนชี? เขากำลังตามล่ากุหลาบไถ่บาป? อัลเจอร์พึมพำเล็กน้อยก่อนจะยกมือขวา


เดิมที มันตั้งใจจะทำลายภาพให้ไม่เหลือซาก แต่หลังจากครุ่นคิดสักพัก อัลเจอร์ตัดสินใจหดแขนกลับและเดินอ้อมสำนักงานโทรเลขราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น



 

 

 


ราชันเร้นลับ 938 : ลงมือเขียน

 

เหนือสายหมอกสีเทาที่ไร้ขอบเขต ภายในพระราชวังอันหรูหรา


ค้นพบภาพวาดเทพวายุสลาตันที่บิดเบี้ยว ต้องสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของกุหลาบไถ่บาป? อา… ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งกุหลาบไถ่บาป… ไคลน์กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล เฝ้ามองดาวแดงที่เป็นตัวแทนของแฮงแมนอย่างเงียบงัน


อาศัยข้อมูลของอีกฝ่าย ไคลน์สามารถยืนยันได้ว่า วิญญาณมารที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์คือเทวทูตสีชาด!


ท่ามกลางความเงียบสงัด ไคลน์นั่งนิ่งในตำแหน่งหัวโต๊ะทองแดงยาว ดูคล้ายกับเทวรูปที่สง่างาม


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันพยักหน้ารับเล็กๆ ถอนหายใจออกแผ่วเบา


ร่างของมันเลือนหายไป กลับสู่โลกแห่งความจริงและนอนหลับ เลิกคิดทุกสิ่งรวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอินซ์·แซงวิลล์


จนกระทั่งเช้า ไคลน์ลุกจากเตียง ทำกิจวัตรเดิมที่ทำเป็นประจำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ดินเท้าเปล่าไปทางหน้าต่างและดึงม่านเปิด


ริมถนนด้านนอกโรงแรม เดนิสที่แต่งกายคล้ายชาวไบลัมตะวันตกแต่สวมเสื้อคลุมศีรษะ เดินถือถุงมือเหล็กสีดำไว้ในอ้อมแขน มุ่งหน้าไปทางจัตุรัสทางขวามือ จากรายงานที่อีกฝ่ายแจ้งให้ทราบ ไคลน์รู้ว่าเดนิสเตรียมติดต่อกับคนของกองกำลังที่ปกครองในละแวกนี้ ถามเกี่ยวกับความต้องการที่จะซื้ออาวุธสงคราม


แอนเดอร์สันไม่ได้ตามไป เพียงสางเส้นผมหวีแสกอัตราส่วนสามต่อเจ็ดให้ยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังริมจัตุรัสและหาที่นั่ง หยิบถุงมือสีดำออกมาสวมข้างซ้าย เล่นละครหุ่นตลกๆ ต่อหน้าคนที่สัญจรผ่านไปผ่านมา


ภาพของชายหนึ่งคนกับหุ่นกระบอกที่มีเสียงหลากหลาย พ่นวาทะอันคมคายและคำถากถางใส่กัน ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้างได้ไม่น้อย


ปัญหาเดียวก็คือ ภาษาที่ใช้เป็นอินทิส ไม่ใช่ตูทาน น้อยคนนักจะเข้าใจ ส่งผลให้หลังจากยืนมองสักพักก็ต่างคนต่างแยกย้าย


ไคลน์เฝ้ามองนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดของทะเลหมอก สีหน้ายังคงเรียบเฉย ปราศจากความใคร่ครวญใดๆ



ไบลัมตะวันออก สำนักงานชั่วคราวของถุงมือแดงหน่วยโซสต์


ซินดี้ผมสีทองยาวสลวยเดินเข้ามาพร้อมโทรเลขสองสามใบ กล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างตื่นเต้น


“พบเบาะแสใหม่!”


“เบาะแสอะไร?” โซสต์วางถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวในมือลง เลียวนาร์ด ดาลีย์ และคนที่เหลือต่างก็มองไปทางประตู


ซินดี้ยื่นโทรเลขให้หัวหน้า


“คำกล่าวของจักรพรรดิโรซายล์ที่ว่า ‘ทุกที่ที่เคยผ่านไปต้องทิ้งร่องรอยเสมอ’ สามารถใช้ได้จริง! มีคนจำนวนมากเห็นอินซ์·แซงวิลล์ระหว่างทาง จนพวกเราสามารถพบเส้นทางโดยสมบูรณ์ของเจ้านั่น… จากข้อมูลดังกล่าว อินซ์·แซงวิลล์ค่อนข้างขัดแย้งในตัวเอง เคยมีครั้งหนึ่งที่มันขึ้นไปบนเกาะอาณานิคมของอินทิสและพักเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับออกไปและวนเข้ามาใหม่ เกิดเรื่องเช่นนี้อยู่หลายหน… เหมือนกับ…”


นี่มันความไม่สอดคล้องที่ไคลน์เคยเล่าให้ฟังไม่ใช่หรือ? เลียวนาร์ดผ่อนคลายลงเล็กน้อย ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเลือกใช้คำ


“การเคลื่อนที่แบบคลื่น”


“ถูกเผง การเคลื่อนที่แบบคลื่น!” ซินดี้ถอนหายใจ หันไปอธิบายต่อ “นอกจากนี้ อินซ์·แซงวิลล์ยังฆ่าหน่วยข่าวกรองของกองทัพอินทิสไปหลายคน แถมยังซื้อวัตถุดิบวิเศษมากมาย ไม่มีใครทราบว่ามันต้องการจะทำอะไรกันแน่”


นี่มัน… เลียวนาร์ดนึกทบทวนสักพัก


“อินซ์·แซงวิลล์ซื้อวัตถุดิบวิเศษเส้นทางใดบ้าง?”


“เส้นทางนักรบ นักล่า และผู้ขับขาน” ซินดี้ชี้ไปทางกระดาษโทรเลขในมือโซสต์


มีเส้นทางนักล่าอย่างที่คิด… หลังจากไม่พบโอกาสบอกใบ้ให้พวกพ้องเอะใจเกี่ยวกับเส้นทางนักล่ามานาน เลียวนาร์ดถอดหายใจโล่งอก ภายในใจไม่เคลือบแคลงเบาะแสที่ไคลน์มอบให้อีกแล้ว สิ่งนั้นต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน!


ขัดตอนถัดไป เราจะชี้นำยังไงให้ทุกคนเชื่อว่าวิญญาณมารที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์มาจากเส้นทางนักล่า… เลียวนาร์ดขบคิดหลายสิ่งในใจ รอให้โซสต์อ่านโทรเลขให้จบและส่งกระดาษต่อให้คนอื่น เลียวนาร์ดตัดสินใจลองเสี่ยงลงมือทำบางอย่าง


ก่อนจะกล่าว มันชำเลืองไปทางดาลีย์โดยไม่รู้ตัว พบว่าสตรีที่แต่งกายเป็นผู้สื่อวิญญาณรายนี้ตอบกลับด้วยการทำท่ากดฝ่ามือลงพื้น คล้ายกับบอกให้ล้มเลิกความตั้งใจ


มาดามดาลีย์หมายความว่ายังไง? ยังไม่ถึงเวลา รอคอยโอกาสที่เหมาะสมกว่านี้ก่อน? เลียวนาร์ดลังเลสักพัก ก่อนจะเป็นดาลีย์สะบัดกระดาษโทรเลขในมือพร้อมกับมองไปรอบๆ


“ฉันมีข้อสันนิษฐาน”


“ว่ามา” โซสต์กล่าว


ดาลีย์ยิ้ม


“ฉันสงสัยว่า อินซ์·แซงวิลล์กำลังถูกวิญญาณมารเข้าสิง”


พ… พูดออกไปแบบนั้นเลย? ตัวตนจะไม่ถูกเปิดเผยเอาหรือ? เลียวนาร์ดพลันตะลึง


โดยไม่รอให้โซสต์ ซินดี้ หรือคนที่เหลือถาม ดาลีย์พึมพำต่อ


“อินซ์·แซงวิลล์เคยเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ ที่ปัจจุบันกลายเป็น ‘ผู้พิทักษ์ราตรี’ ย่อมสามารถเป็นภาชนะให้วิญญาณมารสิงร่างเพื่อหยิบยืมพลัง… เจ้านั่นคือผู้ครอบครอง 0-08 ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะใช้สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้เพื่อแสวงหาวิญญาณที่ทรงพลังมายกระดับฝีมือ… ดังนั้น ในขณะที่ยังควบคุมวิญญาณมารได้ไม่สมบูรณ์ ย่อมต้องมีผลข้างเคียง และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในโทรเลข… นอกจากนั้น พวกเรากำลังสงสัยอยู่ไม่ใช่หรือ ว่าทำไมเจ้านั่นคือแอบติดต่อกับบุคคลสำคัญของนิกายวิญญาณ? แถมยังคาดเดาไปต่างๆ นานา? บางที อินซ์·แซงวิลล์อาจกำลังหาวิธีขจัดปัดเป่าวิญญาณมาร หรือไม่ก็หาทางควบคุมโดยสมบูรณ์ นั่นต้องเป็นจุดประสงค์ของมันแน่”


โซสต์คิดตามสักพัก เรียบเรียงคำพูดและกล่าว


“เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ… แต่ทฤษฎีที่เจาะจงเช่นนี้ คุณได้แรงบันดาลใจมาจากเบาะแสใด?”


เลียวนาร์ดเริ่มประหม่า ส่วนดาลีย์เพียงยิ้มและอธิบาย


“สัมผัสที่หกของสตรี… เหมือนที่ฉันรู้ความคิดคุณในบางครั้ง และพวกคุณที่เหลือด้วย… นอกจากนั้น พวกเรากำลังสืบสวนแบบวิเคราะห์หาเหตุผล จำเป็นต้องนำเสนอแนวทางและความเป็นไปได้ทั้งหมด จากนั้นก็ค่อยๆ ตัดประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปตามผลการสอบสวน จนกระทั่งเหลือเพียงคำตอบที่ถูกต้อง ดังนั้น เราต้องพยายามคิดให้แหวกแนวที่สุด ไม่ว่าจะฟังดูไร้สาระแค่ไหนก็ต้องกล้าเสนอ! จากรายละเอียดของผลการสืบสวนล่าสุด ฉันคิดว่าสมมติฐานของฉันมีความเป็นไปได้สูง”


มาดามดาลีย์เลือกใช้คำได้ยอดเยี่ยมมาก… อย่างน้อยเราก็คล้อยตาม… เธอตัดสินใจนำเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับวิญญาณมารเพื่อปกป้องเรา ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยงแทน? ดูเหมือนว่าพอเป็นเรื่องของอินซ์·แซงวิลล์ เธอยอมทำทุกอย่าง… เลียวนาร์ดตกตะลึง ภายในใจผุดอารมณ์มากมาย


หลังจากฟังคำตอบของดาลีย์ โซสต์พยักหน้าเล็กน้อย


“นั่นสินะ ในเมื่อเป็นการวิเคราะห์หาแนวทางการสืบสวน เราไม่ควรตีกรอบความคิดตัวเอง… มีความเป็นไปได้สูงมากที่อินซ์·แซงวิลล์จะถูกวิญญาณมารครอบงำ… ผมจะรายงานเรื่องนี้ให้ท่าน ‘ดวงตาแห่งเทพธิดา’ รับทราบ หลังจากนั้น เหล่าอาร์ชบิชอปและอาวุโสใหญ่ก็จะเริ่มสืบสวนขยายผลในทิศทางนี้… เพราะท้ายที่สุด เรายังรู้จัก 0-08 น้อยเกินไป”



“ทีมถุงมือแดงของโซสต์ค้นพบความผิดปรกติของอินซ์·แซงวิลล์จากโทรเลขของสายข่าว ดาลีย์·ซิโมเน่นำเสนอสมมติฐานเกี่ยวกับการถูกวิญญาณมารสิงร่างและได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย”


“หล่อนอ้างว่าเป็นการอนุมานที่สมเหตุสมผล แต่แท้จริงแล้ว หล่อนทราบมันมาจากเลียวนาร์ด·มิเชลที่มีปรสิตสิงอยู่ในร่างกาย โดยเลียวนาร์ดได้รับข่าวมาจากจดหมายที่ไรเน็ตต์·ไทนเคอร์เป็นผู้นำมาส่ง… ใครเป็นผู้ส่งกันนะ?”


“ในเวลาเดียวกัน เลียวนาร์ด·มิเชลและดาลีย์·ซิโมเน่ได้ทราบว่าวิญญาณมารที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์อยู่บนเส้นทางนักล่า”


ปากกาขนนกทรงโบราณที่ปราศจากหมึก คล้ายกับถูกถือไว้ด้วยมือล่องหน ขีดเขียนอย่างรวดเร็วบนสมุดบันทึกแสนธรรมดา


ทันใดนั้น ฝ่ามือสีขาวซีดเหยียดออกมาคว้าปากกาไว้


เจ้าของมือมีผมสีทองเข้ม ใบหน้าชัดลึกประหนึ่งรูปปั้นแกะสลักโบราณ ดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ส่วนอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กที่เด่นชัด


มันลดข้อมือลงพร้อมกับเขียน


“แต่นั่นคือความจริงแน่หรือ? ทุกสิ่งจะดำเนินไปตามเรื่องราวที่เลียวนาร์ด·มิเชล ดาลีย์·ซิโมเน่ และโซสต์คาดหวังไว้หรือไม่?”



ดินแดนเทพทอดทิ้ง ณ เมืองนอร์ธที่แม้แต่สายฟ้าก็มิอาจช่วยมอบความสว่าง


เมื่อร่างจำนวนมากจ้องมองมาทางตนโดยไม่ส่งเสียง เดอร์ริคผงะสุดขีด เกือบเผลอหยุดใช้พลังมอบแสงสว่างขณะหลบหน้าหนี


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากถูกฝึกหนักมาตั้งแต่เด็ก แถมยังมีประสบการณ์ในทำนองเดียวกันอีกมาก เดอร์ริคไม่ลนลาน ไม่รีบร้อนหยุดใช้พลัง ระงับความกลัวและรอฟังคำสั่งถัดไปจากเจ้าเมือง


ในดวงตาโคลิน·อีเลียด อักขระเวทมนตร์สีเขียวเข้มสองอันส่องสว่างอย่างโดดเด่น สะท้อนภาพถนนในสายหมอกและร่างของบุคคลนิรนามที่ไม่เขยื้อน


ทันใดนั้น มันคำรามต่ำพร้อมกับคุกเข่าลงหนึ่งข้าง มือกำด้ามดาบยาวทั้งสองที่ปักลงบนพื้น


บริเวณท้ายทอย ผิวหนังสีน้ำเงินเข้มบวมพองออก ด้านบนสลักลวดลายที่ซับซ้อนยากอธิบาย กึ่งมายากึ่งคมชัด


ในขณะเดียวกัน ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์หายใจกระเส่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด รีบยกมือขึ้นมากุมศีรษะ คายก้อนเลือดเนื้อที่ดีดดิ้นออกมาหนึ่งคำ


บนฝ่ามือและผิวหนังของเธอ เกราะสีเงินประหลาดผุดขึ้นมากปกคลุมหลายชั้น


“ดับไฟ” ผ่านไปสักพัก ‘นักล่าปีศาจ’ โคลินพึมพำเสียงแผ่ว


เดอร์ริครีบดับแสง ส่งผลให้สายหมอกจางๆ ปกคลุมร่างเหล่านั้น และความเงียบสงัดกลับมาปกคลุมเมืองนอร์ธอีกครั้ง


ทุกสิ่งกลับเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว โคลิน·อีเลียดบรรจงลุกขึ้นยืน มองอย่างจดจ่อไปทางหอคอยสูง วิหาร และอาคารอื่นท่ามกลางสายหมอก


“แตกต่างจากตอนที่ผมสำรวจครั้งแรก… ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น” ‘นักล่าปีศาจ’ โคลินถอนสายตากลับ มองไปรอบตัวพลางซักถาม “พวกคุณพอจะมีไอเดียอะไรบ้างไหม”


‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์นั่งยองลง หยิบก้อนเลือดเนื้อที่ตกลงมาก่อนหน้า แต่ยังไม่รีบใส่ปากเพื่อเคี้ยวและกลืน


“พวกเราควรเปลี่ยนเส้นทาง สำรวจทางเข้าอื่นๆ ของเมืองนอร์ธ บางทีอาจได้พบเบาะแสบางอย่าง”


เธอที่เอาแต่ปิดปากเงียบมาตลอดทาง นี่คือครั้งแรกที่แสดงความเห็นคิดเห็นและมุมมองของตัวเอง



 

 

 


ราชันเร้นลับ 939 : เหยื่อล่อ

 

โคลิน·อีเลียดชำเลืองไปทางโลเฟียร์โดยไม่กล่าวสิ่งใด รอจนกระทั่งดาบยาวสองเล่มที่ปักบนพื้นถูกดึงขึ้น มันพยักหน้าและกล่าว


“ตกลง”


คณะเดินทางทั้งห้าเดินตระเวนไปรอบๆ เมืองนอร์ธ พยายามเข้าไปอยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องผวากับ ‘ชีวิตประจำวัน’ ของชาวเมืองที่ดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างปรกติ ไม่กล้าสำรวจส่งเดช


เมื่อพบว่าความถี่ของสายฟ้าลดลง ความมืดค่อยๆ ครอบงำบรรยากาศ โคลินจ้องเข้าไปในเมืองนอร์ธและกล่าวด้วยสีหน้าลุ่มลึก


“ก่อนอื่น เราต้องตั้งค่ายขนาดย่อม จากนั้นค่อยเดินทางต่อในตอนกลางวัน”


กลางวันหมายถึงช่วงที่สายฟ้ามีความถี่สูง ช่วยให้ความมืดเกิดขึ้นไม่นาน


สมาชิกของทีมสำรวจไม่มีใครคัดค้าน เพียงไม่นานก็สร้างค่ายง่ายๆ ที่ริมแม่น้ำแห้งโดยใช้ก้อนหินเป็นแกนหลัก


สุดฝั่งหนึ่งของค่ายมีหินก้อนใหญ่คอยเป็นเพิงให้หลบฝน ใจกลางค่ายมีกองไฟที่กำลังลุกไหม้ ซากสัตว์ประหลาดจำนวนมากโดยรอบถูกโยนเข้าไปในกองไฟเป็นระยะ โคลิน โลเฟียร์ และคนที่เหลือนั่งล้อมวงรอบกองไฟ ต่างคนต่างกินอาหารแห้งที่พกติดตัวมาด้วย หรือไม่ก็ซากสัตว์ประหลาดที่พิสูจน์แล้วว่าไม่มีอันตรายมากนัก


ขณะไขมันโดนความร้อน โคลิน ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโส มองไปยังเดอร์ริค·เบเกอร์และกล่าว


“เราสองคนออกไปสำรวจรอบค่ายก่อน รอจนกว่าที่เหลือจะกินเสร็จ ค่อยกลับมาเปลี่ยนเวร”


หากเป็นยามปรกติ เดอร์ริคคงไม่เอะใจเป็นพิเศษ แต่ในวินาทีนี้ ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวก็คือ


เจ้าเมืองมีเรื่องจะพูดคุยเป็นการส่วนตัว


“ครับ” เดอร์ริคยัดเนื้อที่เหลือเข้าปาก พลางยก ‘เทพสายฟ้าคำราม’ ข้างๆ ขึ้นมาถือ


เนื้อชิ้นสุดท้ายสุกแล้วแน่นอน แต่กลับยังมีสีเขียวน่าสยดสยอง


จนกระทั่งเดินมาถึงริมค่ายที่มืดสลัว ‘นักล่าปีศาจ’ โคลินกล่าวเสียงต่ำหน้านิ่ง


“เมืองนอร์ธอันตรายและน่ากลัวกว่าที่ผมประเมินไว้ คุณคิดว่าพวกเราควรทำอะไรต่อ?”


เราไม่เคยมีประสบการณ์ที่นี่มาก่อน แล้วทำไมเจ้าเมืองถึงมาถามเรา? เดอร์ริคตกตะลึงทันที ในใจนึกอยากยกมือขึ้นมาเกาหัวตามสัญชาตญาณ


จากนั้น มันนึกทบทวนถึงบทสนทนาก่อนหน้าที่มีกับเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ จากนั้นก็ฉุกคิดถึงคำแนะนำของมิสเตอร์แฮงแมนเกี่ยวกับความนัยแฝงระหว่างบทสนทนา นั่นทำให้เด็กหนุ่มเริ่มตระหนักถึงคำพูดที่แฝงมากับประโยคเมื่อครู่


เจ้าเมืองกำลังบอกใบ้เรา!


เขากำลังจะบอกว่า เมืองนอร์ธอันตรายและน่ากลัวว่าที่คาดไว้มาก การล่าตัวจำแลงกายไม่ใช่เรื่องง่าย คณะสำรวจสามารถเปลี่ยนเป้าหมายได้หรือไม่?


เขาต้องการให้เราสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลและรับวิวรณ์เกี่ยวกับความเห็นของท่าน?


อา… มิสเตอร์เวิร์ลฉลาดและรอบคอบมาก ระหว่างเดินทางมาที่นี่ เขาสอนวิธีล่ามารพิสดารด้วยกลอุบายง่ายๆ โดยการชิงเลือดของมันมา… ในสถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่ต้องนำแผนนั้นออกมาใช้!


หลังจากครุ่นคิด เดอร์ริคตอบอย่างเถรตรง


“ครับ ท่านเจ้าเมือง ผมมีคำแนะนำ”


โคลิน·อีเลียดถอนหายใจโล่งอก กลืนประโยคที่ตรงไปตรงมากว่าเดิมลงคอพร้อมกับพยักหน้ารับ


“เล่ามา”


“ในเมืองเมืองนอร์ธเปลี่ยนไปจากเดิม มีความเสี่ยงที่จะบุกเข้าไปตรงๆ พวกเราจึงควรเป็นฝ่ายล่อตัวจำแลงกายออกมา” เดอร์ริคมิได้เสนอแนะวิธีของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตรงๆ แต่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์


‘นักล่าปีศาจ’ โคลินมิได้โต้แย้ง เพียงถามกลับอย่างรอบคอบ


“ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรใช้วิธีใดล่อตัวจำแลงกายออกมา?”


เดอร์ริคตอบโดยไม่ลังเล


“ผมมีวัตถุที่สามารถล่อตัวจำแลงกายออกมา เพียงวางไว้ด้านนอกเมืองนอร์ธหรือไกลกว่านั้นเล็กน้อย พวกเราก็สามารถล่อตัวจำแลงกายออกมาได้”


โคลินเจ้าของผมสีเทาซีดและยุ่งเหยิง ไม่ประหลาดใจกับคำตอบ เพียงพยักหน้ารับ


“วัตถุแบบใด?”


มันรู้อยู่แล้วว่า เดอร์ริค·เบเกอร์แอบประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบระหว่างทางมาที่นี่!


นอกจากนั้น หากไม่ใช่เพราะมันช่วยปกปิด ความจริงดังกล่าวคงถูกล่วงรู้โดยโลเฟียร์ ลิเกอร์ และกุนนาลุน


เดอร์ริคไม่ทราบว่าต้องเรียกหรืออธิบายว่าอย่างไร จึงหยิบกล่องโลหะสี่เหลี่ยมสีดำออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน เป็นกล่องที่ไม่มีคำเรียกในเมืองเงินพิสุทธิ์ จากนั้นก็สลายกำแพงวิญญาณ


ถนัดมา เด็กหนุ่มมิได้ก้มลงไปมอง แต่เลือกจะเบือนหน้าไปทางอื่นและเปิดกล่องด้วยสัมผัสจากมือ


ด้านในกล่องเป็นวัตถุรูปทรงคล้ายมนุษย์ขนาดเท่าฝ่ามือ มองผิวเผินจะสังเกตเห็นของหลวงสีใส ผุดฟองอากาศเป็นบางครั้ง สลับกับส่องแสงสีดำ เมื่อมองอย่างละเอียดจะพบหนอนแมลงกำลังม้วนตัวรอบๆ วัตถุดังกล่าว ลวดลายบนตัวพวกมันเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อนจนยากจะอธิบาย


นี่คือร่างจริงของหัวขโมยโลกวิญญาณที่ไคลน์รวบรวมได้เมื่อไม่นานมานี้!


มันเชื่อว่า สำหรับมารพิสดาร วัตถุดิบวิเศษชิ้นนี้น่าหลงใหลยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ใช่แค่เพราะกฎแรงดึงดูดระหว่างพลังพิเศษ แต่ยังเป็นเพราะถ้ามารพิสดารได้ครอบครองสิ่งนี้ มันจะกลายเป็น ‘จอมเวทพิสดาร’ ที่สมบูรณ์แบบ สามารถปลดพันธนาการขีดจำกัดร่างกายและยกระดับตัวตนกลายเป็นครึ่งเทพอย่างแท้จริง!


ดังนั้น เพื่อให้การล่ามารพิสดารง่ายและสะดวกขึ้น ไม่ต้องเสียเวลายืดเยื้อ ไคลน์ยอมเสี่ยงส่งร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณให้เดอะซันน้อยใช้ประกอบแผนการล่า


โคลินจ้องมองอย่างระมัดระวังสักพัก กล่าวพลางถอนสายตากลับ


“ดูเหมือนว่าจะใช้ได้ผล… ปิดฝากล่อง แต่ไม่ต้องผนึกด้วยกำแพงวิญญาณ แค่พกมันไว้กับตัวคุณ รอดูว่าจะล่อพวกมันมาที่ค่ายของเราได้ไหม”


“พวกมัน?” เดอร์ริคถามตามความเคยชิน


บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็นเก่าแก่ รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้น


“คุณคิดว่าเมืองนอร์ธมีตัวจำแลงกายแค่ตัวเดียวหรือ? หากระดับของวัตถุต่ำกว่านี้ เกรงว่าจะมีสัตว์ประหลาดมากกว่านี้ถูกล่อออกมาพร้อมกัน”


เดอร์ริคเขินอายเล็กน้อยพลางเกาท้ายทอย ทำตามคำสั่งของเจ้าเมือง ปิดกล่องโลหะสีดำและยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านใน


ในการลาดตระเวนรอบถัดไป มันตื่นตัวกว่าปรกติหลายเท่า แต่สุดท้ายก็ไม่มีตัวจำแลงกายโจมตีเข้ามา


ผ่านไปสักพัก โลเฟียร์ ลิเกอร์ และกุนนาลุนออกมาเปลี่ยนเวร ส่วนเดอร์ริคกลับไปนั่งรอบกองไฟ


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงอีกาตาแดงขนดำราวเจ็ดถึงแปดตัวบินตรงมาและวนรอบๆ อยู่ด้านบน


ฉากตรงหน้านำมาซึ่งความรู้สึกสยดสยองอันยากจะบรรยาย โคลิน·อีเลียดรีบชักดาบยาวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมอง


ทันใดนั้น หัวใจของมันพลันเต้นแรง สายตารีบมองกลับมายังเดอร์ริค·เบเกอร์


ณ กองไฟฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอมเหลืองสูง 1.9 เมตรสองคนต่างมองกลับมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ


โคลินหรี่ตาลงเล็กน้อย รีบตะโกน


“ส่องแสง!”


เด็กหนุ่มคนหนึ่งผงะตกใจในตอนแรก ก่อนจะรีบสร้างแสงแดดอันอบอุ่นออกจากร่างกาย


ท่ามกลางเสียง ‘ฟ้าว’ เดอร์ริคเห็นภาพตกค้างของโคลิน จากนั้นก็เห็นโคลินใช้ดาบยาวในมือฟันใส่เดอร์ริคตัวปลอม


มันกลายเป็นเงาดำที่พร่ามัวแต่โปร่งใส่!


พร้อมกันนั้น อีกาตาแดงบินโฉบลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะพองตัวและแปรสภาพกลายเป็นเงาดำขนาดใหญ่


เหนือเงาเหล่านี้มีดวงตาหนึ่งดวงที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อน รอบข้างมีดวงตาที่คล้ายกันแต่เล็กกว่ารายล้อม


ตัวจำแลงกาย!


ฝูงตัวจำแลงกายที่ปลอมตัวฝูงเป็นอีกา!


ในวินาทีที่เงาดำโฉบใกล้ศีรษะ สมองเดอร์ริคกำลังขาวโพลน ร่างกายมิอาจเคลื่อนไหวประหนึ่งถูกสาปหิน ทำได้เพียงยืนมองศัตรูพุ่งเข้าหาตัวเอง


โครม!


ตัวจำแลงกายพุ่งชนกำแพงล่องหน ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านั้น


ด้านข้างกองไฟ โคลินเสียบดาบเล่มหนึ่งปักพื้นพร้อมกับชักอีกเล่มออกจากแผ่นหลัง


บรรยากาศรอบตัวสว่างไสวทันที ประหนึ่งยามรุ่งอรุณในตำนานได้มาเยือนดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง แสงทรงกลดยามเช้าเจิดจ้าออกไปเป็นวงกว้าง ดูราวกับเป็นมหาสมุทรมายา กลืนกินเงาดำทั้งหมดจากล่างขึ้นบน


ณ ทางเข้าค่าย ด้านหลัง ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์มีอัศวินมายาสวมเกราะเงินสูงห้าเมตรปรากฏกาย


เปลวไฟสีแดงเข้มกำลังลุกโชนในดวงตาอัศวิน จดจ้องไปยังเป้าหมายโดยไม่ปล่อยให้คลาดสายตา


มันก้าวขาออกมาพร้อมกับพุ่งเป็นระยะทางหลายร้อยเมตรในพริบตา


แสงสีเงินอันแหลมคมพุ่งแหวกอากาศ ตัดผ่านทุกสิ่งให้กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย รวมถึงสัตว์ประหลาดจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในละแวกใกล้เคียง แน่นอน รวมไปถึง ‘ตัวจำแลงกาย’ บางส่วนที่หลบหนีการโจมตีอันหนักหน่วงของนักล่าปีศาจมายังที่นี่


สัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไม่ตาย แต่ย้ายร่างจริงไปที่อื่น อย่างไรก็ตาม แสงยามเช้าอันเจิดจ้าระลอกใหม่ท่วมท้นบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง


จนกระทั่งแสงยามเช้าจางหาย เผยให้เห็นร่างของโคลิน·อีเลียดผู้สวมเสื้อนอกสีน้ำตาล มันกำลังยืนมองจุดแสงที่กำลังควบแน่นบนรอยแยกของพื้นดิน ดูดกลืนเลือดสีแดงเข้มให้ค่อยๆ ระเหย


สำเร็จ! เดอร์ริคดีใจสุดขีด รีบผนึกกล่องโลหะสีดำด้วยกำแพงวิญญาณอีกครั้ง


‘นักล่าปีศาจ’ โคลินปักดาบลงพื้น นำขวดโลหะที่เคยบรรจุยาวิเศษ ตักเลือดบนดินเข้าไป


รอจนกระทั่งวัตถุดิบก่อตัว มันกล่าวกับโลเฟียร์และคนที่เหลือด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ผมต้องการวัสดุที่เหลือจากการกำจัดตัวจำแลงกาย ยินดีแลกเปลี่ยนโดยตรง”


สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์ ตามปรกติแล้วจะมีสองวิธีในการหาผลประโยชน์จากกำไรที่รวบรวมได้ในภารกิจสำรวจ หนึ่งคือ นำกลับไปที่เมืองเพื่อแลกเป็นคะแนนผลงานตามมูลค่า สอง หากไม่ใช่วัตถุที่สำคัญเป็นกรณีพิเศษ และหากถูกใจพวกพ้องที่ร่วมเดินทาง สามารถทำการแลกเปลี่ยนได้โดยตรงระหว่างกัน ไม่ว่าจะด้วยเงินสดหรือสิ่งของที่มีมูลค่าเท่าเทียม


“ไม่คัดค้าน” ลิเกอร์และกุนนาลุนกล่าวพร้อมกัน


โลเฟียร์ยังคงเงียบ แต่ก็นั่นก็หมายความว่าไม่ปฏิเสธ


หลังจากอัศวินมายาเกราะสีเงินหายไป เธอหันหน้าไปมองเดอร์ริค·เบเกอร์ด้านข้างกองไฟด้วยแววตาไร้อารมณ์



ไบลัมตะวันออก ภายในสำนักงานชั่วคราวของหน่วยถุงมือแดงทีมโซสต์


โซสต์มองไปรอบๆ และกล่าวกับทุกคน


“ท่านเจ้าคุณดวงตาแห่งเทพธิดาขอให้เราตรวจสอบการขายวัตถุดิบวิเศษของเส้นทางนักล่าในท้องถิ่นละแวกนี้ รวมถึงคดีการหายตัวไปและเสียชีวิตของผู้วิเศษในเส้นทางที่เกี่ยวข้อง… ท่านเจ้าคุณเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของดาลีย์ และยังสงสัยด้วยว่า วิญญาณมารอาจเป็นเส้นทางนักล่าเหมือนกับสายข่าวของอินทิสที่มันลงมือสังหาร… แน่นอน เรายังไม่ตัดความเป็นไปได้อื่นๆ ทิ้ง เพราะนี่เป็นเพียงหนึ่งในความเป็นไปได้จากทั้งหมด… อีกหนึ่งเรื่อง ที่เราต้องทำมีเพียงการรวบรวมข้อมูล ห้ามยุ่งเกี่ยวกับงานอื่น ห้ามลงมือสืบสวนในเชิงลึก นี่คือคำสั่งของท่านเจ้าคุณดวงตาแห่งเทพธิดาโดยตรง!รับทราบ?”


“รับทราบ!” ซินดี้และคนที่เหลือขานตอบ


โซสต์มองไปทางเลียวนาร์ดและดาลีย์ ก่อนจะสายตากลับและถอนหายใจ


“แยกย้ายไปทำงาน!”



 

 

 


ราชันเร้นลับ 940 : เรื่องราว

 

หลังออกจากสำนักงานของเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นที่บังหน้าด้วยบริษัทนักสืบเอกชน เลียวนาร์ดชำเลืองไปทางดาลีย์·ซิโมเน่ที่อาสาขอเข้าร่วมทีมของตน


“เริ่มจากตรงไหนดี? คุณมีคำแนะนำไหม?”


ดาลีย์ที่แต่งกายในชุดผู้สื่อวิญญาณ เสื้อคลุมยาวสีดำ และเครื่องสำอางที่พิสดารแต่น่าหลงใหล ชำเลืองไปทางเลียวนาร์ด·มิเชล


“นี่คือช่วงเวลาที่สุภาพบุรุษจะได้เฉิดฉาย”


เลียวนาร์ดมองไปยังถุงมือแดงฝั่งซ้ายมือ กล่าวอย่างระมัดระวัง


“หากเราทำในสิ่งที่หัวหน้าโซสต์บอก อาจได้พบเบาะแสบางอย่างก็จริง แต่คงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญนัก ผมคิดว่าท่านเจ้าคุณดวงตาแห่งเทพธิดาก็คงทราบเรื่องนี้ เพียงหาอะไรให้พวกเราทำฆ่าเวลา ขณะเดียวกันก็สร้างความสับสนแก่อินซ์·แซงวิลล์”


“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” ดาลีย์ถามเสียงขรึม มิได้หยอกล้อเหมือนทุกที


เลียวนาร์ดมองไปรอบตัวหนึ่งครั้ง กดเสียงให้เบาลง


“เท่าที่ผมทราบ 0-08 จะมีคุณสมบัติ ‘ถ้ารู้จักมัน มันจะรู้จักเรา’ แม้ทางเราจะไม่ทราบชื่อจริงและความสามารถของมัน และการเรียกด้วยรหัสก็ไม่ทำให้คุณสมบัติพิเศษแสดงผล แต่ถ้าหน่วยถุงมือแดงของเราสืบสวนวิญญาณมารในเชิงลึก แถมยังพูดถึงอินซ์·แซงวิลล์อยู่บ่อยครั้ง มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูก 0-08 ควบคุมชะตากรรม และเมื่อถึงตอนนั้น อินซ์·แซงวิลล์จะไหวตัวทัน รู้ว่าพฤติกรรมของตนถูกเปิดเผย มันจะพยายามทำลายเบาะแสและหลบหนีจากการสืบสวนของพวกเราด้วยความบังเอิญ”


ดาลีย์นึกทบทวนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอินซ์·แซงวิลล์ทั้งหมด ตามด้วยพยักหน้ารับ


“โซสต์เองก็เกริ่นถึงปัญหานี้มานาน แต่ไม่ชัดเจนเท่ากับคำอธิบายของคุณ มันทำได้แค่อนุมานปัจจัยที่เป็นไปได้และผลลัพธ์หากเกิดความล้มเหลว… ในเวลาเดียวกัน ท่านเจ้าคุณดวงตาแห่งเทพธิดาสั่งให้พวกเรากระจายตัวออกไปตรวจสอบในละแวกใกล้เคียง สืบหาข้อมูลของเส้นทางนักล่าและวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง แสร้งทำเป็นยังไม่ได้วางแผน แต่ความจริงแล้วแอบเตรียมวัตถุบางอย่างเพื่อวางกับดักล่อวิญญาณมาร รอจนกระทั่งถึงเวลาที่อินซ์·แซงวิลล์ถูกวิญญาณมารควบคุมร่างอีกครั้งและเผยตัว?”


เลียวนาร์ดหันกลับมามอง กล่าวขณะเดิน


“ก็คงงั้น… แต่ผมเชื่อว่า มีโอกาสที่ 0-08 จะตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้…”


ดาลีย์ที่เดินตามหลังในแนวเฉียง กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“คิดยังว่าแผนการยังมีโอกาสสำเร็จ อย่าลืมว่า หนึ่งในพระนามของพระองค์คือ มารดาแห่งความลับ”


“นั่นช่วยผนึกพลังของ 0-08 ได้ด้วยหรือ… จริงสิ ทางศาสนจักรอาจมีสมบัติปิดผนึกที่ช่วยสยบ 0-08 ได้อยู่หมัด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ 0-08 จะเคยถูกผนึกไว้ในมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์…” ดวงตาสีเขียวของเลียวนาร์ดส่องประกาย ภายในใจเริ่มโล่งอก


ดาลีย์พยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าอ่อนโยนมากขึ้น


ไม่กี่วินาทีถัดมา เธอหรี่ตาลงและโพล่งขึ้น


“คุณคิดว่าการสนทนาของเราจะถูกล่วงรู้โดย 0-08 ไหม?”


สีหน้าเลียวนาร์ดพลันหม่นหมอง มันไม่ตอบคำใด ไม่กล้าส่ายหน้า ทำเพียงมองหน้าดาลีย์โดยไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน



ภายในห้อง ฝ่ามือค่อนข้างซีดเปิดสมุดบันทึกบนโต๊ะไปที่หน้าแรก ก่อนจะพลิกเปิดมาทีละหน้า


“…หลังออกจากท่าเรือแบนชี เซารอน เมดีซี ไอน์ฮอร์นที่ได้รับวัตถุบางอย่าง เลิกหวาดระแวงโดยสิ้นเชิง พลังอำนาจไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงการวางแผนในเชิงสัญชาตญาณ หลังจากพยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างยากลำบาก อินซ์·แซงวิลล์ตัดสินใจทำข้อตกลงกับพวกมัน ระบุว่าจะยินยอมร่วมมือในบางเรื่องเพื่อให้เป้าหมายของกันและกันประสบความสำเร็จ”


“สำหรับวิญญาณมารเส้นทางนักบวชสีชาด สัญญาปากเปล่าดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไร แต่อินซ์·แซงวิลล์ไม่มีทางเลือก”


“ในความคิดของมัน มีเรื่องบังเอิญมากมายเกิดขึ้นระหว่างทาง แต่นั่นคือเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอย่างน้อย เซารอน เมดีซี ไอน์ฮอร์นก็ชำนาญในการสร้างเรื่องราวมากกว่าตนหลายเท่าตัว”


“…หลังจากยืนยันว่าปลายทางคือไบลัมตะวันออก อินซ์·แซงวิลล์นั่งเรือไปทางทะเลคลั่ง… มีบ่อยครั้งที่มันแวะเข้าไปในเกาะอาณานิคมของอินทิส ยั่วยุหน่วยพิเศษท้องถิ่นอย่างไร้เหตุผล จากนั้นก็ลงมือล่าเส้นทาง ‘นักล่า’ โดยก่อนที่ภัยจะมาถึงตัว อินซ์·แซงวิลล์จะได้สติกลับมาทันเวลา รีบปกปิดร่องรอยและหนีไปไกล”


“นี่อาจดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อทุกครั้งคือเรื่องบังเอิญแบบเดิม มันจะยังเป็นเรื่องบังเอิญอยู่อีกหรือ?”


“ในแง่ของหลักเหตุและผล ความบังเอิญที่มากเกินไปย่อมหมายถึง ต้องมีปัจจัยหรือกฎบางอย่างอยู่เบื้องหลัง และความเป็นจริงก็คือ อินซ์·แซงวิลล์เป็นผู้เขียนย่อหน้าข้างต้นด้วย ‘ปากกาอัลเซอร์ฟอร์ด’ และยอมให้ตัวเองสลับไปมาระหว่างสภาวะ ‘ถูกครอบงำ” และ ‘ควบคุมตัวเอง’ อย่างเป็นธรรมชาติ ช่างเป็นแผนการที่แยบยล แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของอินซ์·แซงวีลล์เพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงเซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซี พวกมันร่วมมือกันแสร้งทำเป็นขัดแย้งในตัวเอง ให้คนภายนอกหลงเชื่อว่า อินซ์·แซงวิลล์จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อสร้างสมดุล”


“…อินซ์·แซงวิลล์ซื้อวัตถุดิบวิเศษเพิ่มเติมสำหรับเส้นทาง ‘ผู้ขับขาน’ และ ‘นักรบ’ เพื่อให้แผนการแนบเนียนยิ่งขึ้น เพราะเขาต้องการให้คนอื่นเข้าใจว่า วิญญาณมารกำลังใช้ร่างของตนเพื่อรวบรวมวัตถุต่างๆ ในเส้นทาง ‘นักล่า’ ไม่ให้ใครทราบว่าวิญญาณมารกับตนร่วมมือกันโดยปราศจากการต่อต้าน นอกจากนั้น ทั้งผู้ขับขานและนักรบต่างก็มีพลังสำหรับต่อสู้กับคนตายและขับไล่วิญญาณมาร คนที่ฉลาดและวิเคราะห์มากเกินไปจะเชื่อว่า อินซ์·แซงวิลล์กำลังถูกวิญญาณมารเข้าสิง”


“…หลังจากการยั่วยุหลายครั้ง ในที่สุดโทนี่·ดันกิ้นแห่งชุมนุมกางเขนเหล็กโลหิตก็เพ่งเล็งอินซ์·แซงวิลล์และลงมือไล่ล่า ระหว่างนี้ ‘นักบวชสงคราม” ผู้ปรารถนาจะเป็น ‘ผู้พิชิต’ อวดเบ่งพลังของเขาอย่างไม่แยแสสายตาคนรอบข้าง แม้ในยามที่การไล่ล่าถูกขัดขวางด้วยพายุ เขากลับยังปรากฏตัวบนเรือโดยสารของคนธรรมดา เปิดตัวอย่างอลังการและได้พบกับชายที่แอบอ้างเป็นอินซ์·แซงวิลล์”


“ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่ก็มิได้แปลกประหลาดขนาดนั้น เพราะหลักปรัชญาของชุมนุมกางเขนเหล็กโลหิตคือ คนธรรมดามีสิทธิ์ได้รับรู้ถึงพลังเหนือธรรมชาติ และโทนี่·ดันกิ้นก็เป็นคนหยิ่งผยอง มักใช้อวดเบ่งของตนเพื่อขจัดความเคลือบแคลงของผู้อื่นครั้งแล้วครั้งเล่า มีความมั่นใจในตัวเองเสียเต็มประดา และไม่คิดว่าการทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ผิด”


“ในทำนองเดียวกัน เขามั่นใจเกินไป จนเพิกเฉยต่อความเป็นไปได้ที่อินซ์·แซงวิลล์อาจอยู่บนเรือลำเดียวกัน สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับสัญชาตญาณของนักล่า แต่บนโลกเรา ทุกคนสามารถทำผิดพลาดกันได้!”


“เมื่ออินซ์·แซงวิลล์แวะลงบนเกาะกลางทาง เขาตระหนักถึงสายตาที่จ้องมองมาจากห้องโดยสารเฟิร์สคลาส แต่ก็มิได้ใส่ใจ เพราะนี่คือสิ่งที่มันต้องการให้เกิด การถูกผู้โดยสารบางคนจำหน้าได้คือผลลัพธ์ในอุดมคติ! อา ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น…”


“…โดยไม่เร็วไม่ช้าเกินไป ก่อนที่ทีมถุงมือแดงของโซสต์จะเริ่มดำเนินการ อินซ์·แซงวิลล์แอบไปพบกับ ‘มือสีซีด’ ปาลังเก้·ทัสซิบแห่งฝ่ายมรณาเทียมของนิกายวิญญาณ โดยหวังว่าจะให้อีกฝ่ายช่วยขับไล่วิญญาณมาร”


(รอยลบและรอยขีดฆ่า)


“…พัฒนาการของเรื่องราวค่อนข้างประหลาด ในขณะที่ดาลีย์·ซิโมเน่และเลียวนาร์ด·มิเชลจากหน่วยถุงมือแดงของโซสต์ยังไม่มีเบาะแสเพียงพอที่จะอนุมาน พวกเขากลับสามารถสันนิษฐานได้อย่างแม่นยำ โดยเบาะแสมาจากจดหมายที่ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เป็นคนนำมาส่ง”


“เกิดอะไรขึ้น? อินซ์·แซงวิลล์ค่อนข้างฉงน ตามความคิดของมัน เว้นแต่อีกฝ่ายจะจับตัวปาลังเก้·ทัสซิบหรือสมาชิกคนสำคัญของนิกายวิญญาณโดยตรง ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะสรุปได้รวดเร็วขนาดนี้”


“สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องเร่งมือขึ้นจากเดิมเล็กน้อย แต่โชคยังเข้าช่าง นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการ”


“หน่วยถุงมือแดงที่นำโดยโซสต์ค้นพบความผิดปกติของอินซ์·แซงวิลล์จากโทรเลขของสายข่าว ดาลีย์·ซิโมเน่เสนอสมมติฐานเกี่ยวกับการถูกวิญญาณมารสิงร่าง และทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน”


“หล่อนอ้างว่าเป็นการอนุมานที่สมเหตุสมผล แต่แท้จริงแล้ว หล่อนทราบมันมาจากเลียวนาร์ด·มิเชลที่มีปรสิตสิงอยู่ในร่างกาย โดยเลียวนาร์ดได้รับข่าวมาจากจดหมายที่ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เป็นผู้นำมาส่ง… ใครเป็นผู้ส่งกันนะ?”


“ในเวลาเดียวกัน เลียวนาร์ด·มิเชลและดาลีย์·ซิโมเน่ได้ทราบว่าวิญญาณมารที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์อยู่บนเส้นทางนักล่า”


“แต่นั่นคือความจริงแน่หรือ? ทุกสิ่งจะดำเนินไปตามเรื่องราวที่เลียวนาร์ด·มิเชล ดาลีย์·ซิโมเน่ และโซสต์คาดหวังไว้หรือไม่?”


“…หลังจากหารือกับมหาวิหารสุขสงบ อาวุโสใหญ่แห่งโบสถ์รัตติกาล อิลิยา เห็นพ้องกับข้อสันนิษฐานของดาลีย์ จึงตัดสินใจใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 1 แห่งเส้นทางนักล่าเป็นเหยื่อล่อ เมื่ออินซ์·แซงวิลล์ถูกวิญญาณมารครอบงำอีกครั้ง เขาจะเป็นฝ่ายเดินเข้าหากับดักด้วยตัวเอง”


“เพื่อปกปิดแผนการนี้ เธอขอให้หน่วยถุงมือแดงของโซสต์ดำเนินการตรวจสอบเบาะแสที่เกี่ยวข้องต่อไป”


“น่าเสียดาย พวกเขาทั้งหมดเข้าใจผิดตั้งแต่ต้น ความจริงก็คือ แม้อินซ์·แซงวิลล์จะถูกวิญญาณมารสิงร่าง แต่ก็ยังไม่เคยถูกวิญญาณมารควบคุมร่างเลยสักครั้ง! ทุกสิ่งที่ทำก่อนหน้าคือการแสดง ทั้งหมดดำเนินการไปตามแผนของ เซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซี โดยมุ่งเน้นตบตาคนของศาสนจักรรัตติกาล เพื่อให้อิลิยาวางกับดักอย่างประมาท และเมื่อถึงตอนนั้น วิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’ ก็จะยื่นมือช่วยเหลืออย่างเต็มใจ ส่งผลให้สถานการณ์สงครามพลิกผัน”


“จุดประสงค์ที่แท้จริงของอินซ์·แซงวิลล์ในการมาที่ทวีปทางใต้ก็คือ:”


“ตามล่าและสังหารอิลิยา อาวุโสใหญ่แห่งโบสถ์รัตติกาล ครอบครองตะกอนพลังของเธอและเตรียมเลื่อนลำดับ!”


“มันต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า โบสถ์รัตติกาลโง่เขลาเพียงใดที่ตัดสินใจทอดทิ้งตนในอดีต!”


“แน่นอน ก่อนจะเริ่มดำเนินแผนการ อินซ์·แซงวิลล์ต้องสนองความต้องการของเซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซีล่วงหน้าเกี่ยวกับตะกอนพลังของเส้นทางนักล่า และเพื่อรักษาความลับ เขามิได้วางแผนที่จะล่าในละแวกใกล้เคียง แต่เป็นการลงมือในสถานที่ห่างไกล”


“เมื่อนำความเป็น ‘อันเดด’ ของวิญญาณมารมาผสมผสานกับพลังของ ‘เทวทูตสีชาด’ และ ‘ผู้เฝ้าประตู’ แห่งเส้นทางเทพมรณา อินซ์·แซงวิลล์มีพลังในการ ‘เดินทางผ่านโลกวิญญาณ’ ระดับสูง สามารถไปยังสถานที่ห่างไกลและกลับมาได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ตัวเขาพยายามปกปิดพลังนี้มาตลอด”


“หลังจากทำให้เซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซีพึงพอใจ อินซ์·แซงวิลล์ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นแผนการด้วยการฆ่าดาลีย์·ซิโมเน่และเลียวนาร์ด·มิเชล แสร้งทำเป็นไม่รู้ถึงแผนการลอบจู่โจมของโบสถ์รัตติกาล ปล่อยให้ตัวเองถูกโจมตีและโต้กลับอย่างเต็มกลืน ทำเป็นเสียสติและมุ่งหน้าเข้าไปใน ‘กับดัก’ ”


“มันไม่คิดจะเก็บภัยซ่อนเร้นเอาไว้ เหล่าผู้คับแค้นจากเมืองทิงเก็นต้องตายให้หมด!”


สมุดบันทึกพลิกมาถึงหน้าว่าง ฝ่ามือสีซีดคว้าปากกาขนนกเขียนประโยคเสริมเข้าไป:


“สำหรับวันนี้ ทุกสิ่งจะผ่านไปด้วยดี”



ไบลัมตะวันตก แคว้นเหนือ เมืองคูคัว


“ยังสืบสวนไม่จบอีกหรือ?” แอนเดอร์สันถามเดนิสที่เดินอยู่ข้างๆ ด้วยความเบื่อหน่าย


“ใกล้แล้ว!” เดนิสตอบอย่างไม่มีสมาธิ “เกิดอะไรขึ้นกับนาย?”


ทันใดนั้น แอนเดอร์สันหยิบแผนที่และข้อมูลออกมาปึกหนึ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“พบตำแหน่งคร่าวๆ ของสุสานโบราณแล้ว ตามธรรมเนียมของไบลัมตะวันออกและตะวันตก ที่นั่นต้องมีสมบัติมากมาย แน่นอน เพราะความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ จึงต้องมีสมบัติไม่น้อยถูกฝังไปพร้อมกับคนตาย”


เดนิสตกตะลึง ถามด้วยความแปลกใจ


“ไม่ใช่ว่านายพูดตูทานไม่ได้หรอกหรือ?”


แล้วรวบรวมข้อมูลได้ยังไง?


แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ ยกฝ่ามือซ้ายที่สวมถุงมือสีดำ กองห้านิ้วออก:


“พูดไม่ได้ แต่สามารถขโมยความสามารถทางภาษาได้ชั่วคราว เพียงพอสำหรับการรวบรวมข้อมูล”


“…นึกแล้วเชียวว่านายต้องมีลูกไม้ปิดบังไว้!” เดนิสกัดฟันกรอดเล็กน้อย ชี้ไปทางถนนข้างจัตุรัส “ลาก่อน!”


แอนเดอร์สันไม่ห้ามอีกฝ่าย เพียงยิ้มและมองเดนิสเดินก้าวใหญ่จากไป


ทันใดนั้น ทั้งสองสังเกตเห็นบุคคลหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้


บุคคลดังกล่าวถือปากกาขนนกทรงโบราณ สวมชุดนักบวชสีดำ ผมสีทองเข้ม ใบหน้าปราศจากริ้วรอย โครงหน้าคล้ายรูปปั้นแกะสลักโบราณ ดวงตาข้างหนึ่งสีน้ำเงินเข้ม อีกฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ย่างกรายเข้าใกล้แอนเดอร์สันและเดนิสทีละก้าว


แอนเดอร์สันไม่รู้จักชายวัยกลางคนรายนี้ แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้านโดยไม่มีเหตุผล คล้ายกับกำลังเผชิญหน้าศัตรูทางธรรมชาติ


ภายในใจ ลางสังหรณ์แจ้งเตือนอันตรายกำลังโหวกเหวก รูม่านตาเบิกโพลงสุดขีด!


ทันใดนั้น เสียงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหู


“ไม่ต้องกังวล”


ใครกัน… แอนเดอร์สันเอียงคอด้วยสมองที่ขาวโพลน พบอีกหนึ่งบุคคลยืนอยู่ด้านข้าง จุดดังกล่าวแต่เดิมไม่มีใครเลย แต่อีกฝ่ายกลับโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่า


บุคคลนี้คล้ายกับยืนในตำแหน่งนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีใครมองเห็นหรือสนใจ


อีกฝ่ายสวมชุดคลุมสีขาวเรียบง่ายแปลกตา มีหนวดเคราสีทองอ่อนปกคลุมครึ่งล่างของใบหน้า ดวงตาใสซื่อเหมือนกับเด็ก หน้าตาใจดีและสำรวม


หลังจากมองไปยังปากกาขนนกในมืออินซ์·แซงวิลล์ฝั่งตรงข้าม ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนนักบวชธรรมดารายนี้ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับทำสัญลักษณ์สี่จุด


กึ่งกลางหน้าอกของมันมีสร้อยไม้กางเขนสีเงินแขวนอยู่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)