Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 931-934
ราชันเร้นลับ 931 : แนวทางใหม่ในการสืบ...
ชำเลืองไปทางสีหน้าเดนิส แอนเดอร์สันกล่าวต่อทันทีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“แต่ว่า สมองของพวกมันคล้ายกับถูกซอมบี้กัดกิน แต่ละคนโง่จนไม่เข้ากับความสง่างามของฉัน… ฉันจึงตัดสินใจโกหกในบางเรื่องและถอนตัวออกมา… หืม… ทำไมถึงหน้าซีดขนาดนั้น? เหงื่อออกเยอะไปหน่อยไหม? เป็นโรคลมแดดหรือ? ในฐานะนักล่า นายต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมนะ จำเอาไว้”
เดนิสยกมือขวาขึ้นปาดเหงื่อ ภายในใจสาปแช่งคำสองสามคำ ก่อนจะฝืนยิ้มและกล่าว
“ฉันเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า หากใครเคยศรัทธาเทพมารไปแล้ว คนผู้นั้นจะไม่มีวันถอนตัวได้”
ขณะกล่าว มันยกคางขึ้นพร้อมกับทำท่าทางบอกใบ้ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดจบแบบไหน โดยที่เรื่องของเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้อยู่ในหัวอีกแล้ว ไม่สนว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรกับชุมนุมแสงเหนือ และไม่ได้คิดว่าต้นตนของความยุ่งเหยิงมาจากเทพมารที่ชื่อ ‘เดอะฟูล’
“ที่พูดมาก็ไม่ผิด” แอนเดอร์สันตอบด้วยรอยยิ้มปราศจากความขุ่นเคือง “แต่ในตอนนั้น ฉันมิได้ศรัทธาเทพมารดังกล่าวจากก้นบึ้ง บทสวดทั้งหมดที่ท่อง ฉันแอบเปลี่ยนชื่อเป็นเทพปัญญาความรู้… หึหึ พวกมันไม่ชอบใช้สมองอยู่แล้ว ไม่สิ… พวกมันไม่มีของแบบนั้นด้วยซ้ำ เมื่อนายอยู่ท่ามกลางคนโง่พวกนี้ ขอเพียงแสร้งทำตัวศรัทธาอย่างสุดโต่ง พวกมันก็พร้อมจะเชื่อคำโกหกงี่เง่าทุกรูปแบบ”
โดยไม่รอให้เดนิสพูด มันชิงถาม
“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงถามเกี่ยวกับชุมนุมแสงเหนือ?”
เดนิสกัดบาร์บีคิว เคี้ยว และกลืนอย่างเชื่องช้า หลังจากผ่านไปราวยี่สิบวินาที มันเรียบเรียงคำพูดและถาม
“ฉันนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้พอดี… ด้วยเหตุผลบางอย่าง เกอร์มัน·สแปร์โรว์กลายเป็นเป้าหมายหลักที่ชุมนุมแสงเหนือหมายหัว รวมถึงนิกายวิญญาณก็ด้วย… ต้องไม่ลืมว่า นายกับฉันเป็นคนรู้จักของหมอนั่น”
“ให้ฉันคอยระวังตัวจากคนของชุมนุมแสงเหนือและนิกายวิญญาณใช่ไหม?” แอนเดอร์สันพยักหน้ารับพลางหัวเราะ “ดูเหมือนว่านายจะเพิ่งบอกอะไรที่คล้ายๆ กันเมื่อไม่นานมานี้ มีทั้งโรงเรียนกุหลาบ โบสถ์วายุสลาตัน กองทัพโลเอ็น… ฟู่ว… บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์เหมาะที่จะเป็นนักล่ามากกว่าฉันเสียอีก”
เดนิสเถียงไม่ออก ทำได้เพียงถอนหายใจในฐานะผู้ร่วมชะตากรรม
แอนเดอร์สันครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แล้วนายมาทำอะไรที่ไบลัมตะวันตก? ช่วยเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำงาน?”
ได้ยินคำถามดังกล่าว เดนิสเงียบไปครู่หนึ่ง วางสิ่งของในมือลงพลางจัดเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน
“สำรวจศาสนาของคนทุกชนชั้นในไบลัมตะวันตก”
นี่คือเป้าหมายแบบ ‘สวยหรู’ ที่คิดชื่อขึ้นมาหลังจากปรึกษากับ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า แต่ความจริงแล้วเป็นการตรวจสอบขอบเขตของอิทธิพลขององค์กรลับที่สำคัญในไบลัมตะวันตก
แน่นอน หนึ่งในวัตถุประสงค์ก็คือ การเข้าไปเจรจาครั้งแรกกับกองกำลังปกครองท้องถิ่น สอบถามว่าอีกฝ่ายต้องการซื้อเครื่องกระสุนและอาวุธปืนหรือไม่
“สำรวจศาสนาของคนทุกชนชั้นในไบลัมตะวันตก…” แอนเดอร์สันทวนคำพูดของเดนิส ยกมือขวาขึ้นลูบหน้าผากคล้ายกับกำลังปวดหัว
…
หลังจากจบชุมนุมทาโรต์พร้อมกับตักเตือน ‘พลเรือเอกดวงดาว’ ให้ใส่ใจ ‘การสอบสวน’ ของชุมนุมแสงเหนือและนิกายวิญญาณให้ดี โดยแนะนำว่าเป็นการดีที่สุดที่จะขอความช่วยเหลือจากนิกายมอสส์ ไคลน์ก็ต้องมาวุ่นวายกับธุรกรรมสามทางของเดอะเวิร์ล เดอะมูน และเดอะซัน ก่อนจะรับเงินห้าพันปอนด์
จนกระทั่งเสร็จมื้อค่ำ มันหยิบหนังสือพิมพ์พร้อมกับคาบกล้องยาสูบปลอมที่ไม่ได้จุดไฟ พลางอ่านหนังสือพิมพ์ จนกระทั่งเห็นผู้ส่งสารเดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับจดหมาย
ของเลียวนาร์ดสินะ… ไคลน์เอื้อมมือไปรับพลางสังเกตว่าไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์จะหยุดรอหรือไม่ และพบว่ามิสผู้ส่งสารเดินกลับเข้าไปในโลกวิญญาณอย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้หมายความว่า เลียวนาร์ด·มิเชลทำการชำระเงินค่าไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ไคลน์จึงใช้มืออีกข้างคลี่กระดาษออกมาอ่าน
“อินซ์·แซงวิลล์ปรากฏตัวในไบลัมตะวันออก ต้องสงสัยว่าจะนัดพบกับปาลังเก้·ทัสซิบแห่งนิกายวิญญาณสังกัดฝ่ายที่สนับสนุนโครงการมรณาเทียม…”
อินซ์·แซงวิลล์… ไคลน์เคี้ยวชื่อพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่รีบร้อน
ในจดหมาย เลียวนาร์ดระบุว่ามันต้องการแอบสืบสวนอย่างลับๆ เพื่อค้นหาจุดประสงค์ของอินซ์แซงวิลล์
แต่ปัญหาก็คือ ตามที่หมอนั่นบอกใบ้เมื่อครั้งก่อน ‘0-08’ จะมีคุณสมบัติพิเศษในทำนองว่า ‘ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้’ หลังจากนั้นมันจะสร้างชุดความบังเอิญและชักนำผู้คนโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว… ในสถานการณ์ปัจจุบัน การตรวจสอบอินซ์·แซงวิลล์โดยที่ 0-08 ไม่รู้ตัวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงจะล้มเหลว ยังทำให้ตัวตนของเราถูกเปิดเผยได้ง่าย… ไคลน์ครุ่นคิดพลางสั่งให้เอ็นโซยืนนวดไหล่จากด้านหลัง
มันอ่านทบทวนจดหมายของเลียวนาร์ด·มิเชลใหม่ตั้งแต่ต้น โดยหวังว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติม หรือไม่ก็จุดตั้งต้นของการสืบสวนภายในประโยคเหล่านี้
ไบลัมตะวันออก… นิกายวิญญาณ… มรณาเทียม… ปาลังเก้·ทัสซิบ… อินซ์แซงวิลล์อยากได้อะไรจากพวกมัน? พยายามหาพันธมิตรให้กับฝ่ายราชวงศ์ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์?
มรณาเทียม… นิกายวิญญาณ…
ขณะกำลังใช้สมอง ไคลน์เริ่มฉุกคิดถึงบางสิ่ง เป็นเรื่องไม่มีใครรู้นอกจากตนกับมิสเตอร์อะซิก
เทพธิดารัตติกาลได้ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘มรณา’ เรียบร้อยแล้ว สิ่งนั่นก็คือ ‘เทพมรณาเทียม’ โดยที่ปัจจุบัน พระองค์กำลังพยายาม ‘ย่อย’ ‘แย่งชิง’ และ ‘ยึดครอง’ อำนาจดังกล่าวมาเป็นของตัวเอง!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป้าหมายการสวดวิงวอนของฝ่ายสนับสนุนเทพมรณาเทียมแห่งนิกายวิญญาณในปัจจุบัน จะถูกส่งผ่านไปถึงเทพธิดารัตติกาลในที่สุด รอจนกระทั่งพระองค์สามารถกุม ‘อำนาจ’ เบ็ดเสร็จ พวกมันจะถูกล้างสมองในระดับหนึ่งและค่อยๆ กลายเป็นผู้ศรัทธาแห่งโบสถ์รัตติกาล หรือไม่ก็ พวกมันจะถูกใช้งานเพื่อการติดต่อกับนิกายวิญญาณอีกฝั่งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็แอบร่วมมือกับเหยี่ยวราตรีอย่างลับๆ
สำหรับไคลน์ สิ่งนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก สาระสำคัญที่แท้จริงก็คือ ในเอกสารโบราณที่มันเคยอ่าน มีข้อความหนึ่งเขียนไว้ว่า:
ในการจะสร้างเทพมรณาเทียม สมาชิกนิกายวิญญาณต้องสวดวิงวอนถึง ‘เอกลักษณ์’ ทุกวันประหนึ่งอีกฝ่ายคือเทพแท้จริง พยายามกระตุ้นสติปัญญาของมันขึ้นไปทีละขั้น
แน่นอน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการ แถมยังไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด
ถ้าอย่างนั้น… จะเป็นไปได้ไหมว่า ในตอนที่ปาลังเก้·ทัสซิบสวดวิงวอนถึง ‘เทพมรณาเทียม’ ตามกิจวัตรปรกติ มันจะเล่าถึงจุดประสงค์ของอินซ์·แซงวิลล์ด้วย เพื่อแลกกับคำอวยพรจากอีกฝ่าย?
แต่มันคงไม่คาดไม่ถึงว่า ‘เทพมรณาเทียม’ ที่อยู่อีกฝั่ง ปัจจุบันได้ถูก ‘เทพธิดารัตติกาล’ ควบคุมขั้นต้นเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังครอบครองได้ไม่สมบูรณ์ แต่ทุกความเคลื่อนไหวก็ตกอยู่ในกำมือของพระองค์…
จากมุมมองดังกล่าว หากเราสวมวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาลโดยตรง บางทีอาจได้ทราบถึงจุดประสงค์ของอินซ์·แซงวิลล์… ฟังดูเป็นไปได้มากทีเดียว! ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ ไคลน์ก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนการที่ฟังดูเหมือนจะไร้สาระ มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะประสบความสำเร็จ
และเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นจริงได้ก็คือ:
‘ผู้นำ’ ของศัตรูคือ ‘สายลับ’ ของเรา!
หลังจากบังคับให้หุ่นเชิดเอ็นโซหยุดนวด ไคลน์ลุกขึ้นและเดินวนเวียนไปมา ครุ่นคิดหาวิธีทดสอบ
เนื่องจากอินซ์·แซงวีลล์เป็นคนทรยศต่อศาสนจักร เป็นความอัปยศของเหยี่ยวราตรี หากมีโอกาสกำจัดมันให้สิ้นซาก เทพธิดาก็ควรจะมีความสุขกับเรื่องนี้ ไม่ถือสาที่จะส่งความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ …
แต่ตอนนี้คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการเข้าช่วงชิง ‘อำนาจ’ ในขอบเขตความตาย พระองค์อาจไม่สะดวกที่จะตอบสนองพิธีกรรมไปอีกสักพัก มีเพียงการตอบรับอัตโนมัติในพิธีกรรมทั่วไป… และนอกจากนั้น เรายังขาดวัสดุที่เกี่ยวข้องกับพระองค์…
เหนือสิ่งอื่นใด เราคอยเตือนตัวเองเสมอว่าห้ามประมาทเทพธิดา อย่าได้ไว้ใจพระองค์มากเกินไป… เมื่อลองมาคิดดูอีกที การสวดวิงวอนตรงๆ เพื่อขอวิวรณ์ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เราต้องรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย… กระแสความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์จนเกิดความลังเล
หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน มันพยายามค้นหาวิธีที่พอจะยอมรับได้
ทันใดนั้น มันผุดแนวคิดที่บ้าบิ่นออกมา
สวดวิงวอนโดยตรงถึง ‘มรณาเทียม’ !
ด้วยวิธีนี้ ความเสี่ยงจะมีต่ำมาก เพราะ ‘เทพมรณาเทียม’ ตัวจริงจะไม่ตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนและพิธีกรรมทุกชนิด หากเราได้รับการตอบสนอง หมายความว่าแก่นแท้ของอีกฝ่ายคือเทพธิดารัตติกาล ในทางกลับกัน ไคลน์ยังมีขนนกจาก ‘ผลผลิตที่ล้มเหลว’ ในโครงการมรณาเทียม และยังมีนกหวีดทองแดงของอะซิก ง่ายต่อการรวบรวมวัสดุสำหรับประกอบพิธีกรรมเพื่อขอวิวรณ์!
นอกจากนั้น นี่ไม่ใช่การ ‘เชื่อมต่อ’ กับพระองค์โดยตรง แต่มีบางสิ่งคั่นกลาง… และวิธีนี้อาจจะช่วยให้พระองค์เข้าใจหลักการทำงานของมรณาเทียมมากขึ้น ยึดครองอำนาจในเส้นทางความตายได้ง่ายขึ้น… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก
อันดับแรก มันเตรียมประกอบพิธีกรรม ‘สังเวยและรับมอบ’ เริ่มจากการนำหนึ่งในสองขนนกที่ยังเหลือ พร้อมกันกับน้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง ผงวานิลลารัตติกาล และวัตถุดิบอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน ออกจากมิติหมอกกลับมายังโลกแห่งความจริง จากนั้นก็ดัดแปลงแท่นบูชาเล็กน้อย เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นแรกของพิธีกรรม เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เป้าหมายที่มันสวดวิงวอนถึงคือเทพธิดารัตติกาล จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมวัตถุดิบยิบย่อยในเส้นทางมรณา
แก่นแท้ของพิธีกรรมในทุกศาสนานั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน อาศัยความชำนาญ ไคลน์จุดเทียนและหยดน้ำมันสกัดสมุนไพร ตามด้วยการวาดสัญลักษณ์ของ ‘มนุษย์’ และ ‘การปกปิด’ ลงบนกระดาษหนัง ท่ามกลางหมอกควันจางๆ ไคลน์ปิดท้ายด้วยการวางนกหวีดทองแดงของอะซิกลงไป
โดยไม่มัวรีรอ มันใส่ขนนกสีขาวที่เปื้อนน้ำมันบางๆ ลงในหม้อเงินที่มีผงสมุนไพรถูกเผา จากนั้นก็เฝ้ามองขนนกที่บิดงอแต่ไม่ปรากฏรอยไหม้
หายใจออกเชื่องช้า ไคลน์ก้าวถอยหลังพร้อมกับท่องเป็นภาษาเฮอร์มิส
“พระองค์ผู้เป็นแก่นแท้ของความตาย”
“พระองค์ผู้ปกครองเหนือความตายทั้งปวง”
“พระองค์ผู้เป็นจุดหมายสุดท้ายของทุกสิ่งมีชีวิต”
“ข้าขอสวดวิงวอน ขอให้พระองค์ช่วยบอกจุดประสงค์ที่อินซ์·แซงวีลล์แอบติดต่อกับนิกายวิญญาณ”
“…”
ทันทีที่กล่าวจบ แสงเทียนทั้งสามขยายขนาดด้วยสีสันสว่างสดใส แต่เพียงไม่นานก็ถูกฉาบด้วยแสงสีเขียวเข้ม เปลี่ยนให้บรรยากาศเย็นยะเยือกและน่าขนลุก
ไคลน์หลับตาลงด้วยความประหม่า เข้าฌานนานสามสิบวินาที ก่อนจะเดินไปที่หน้าแท่นบูชาและหยิบน้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง หยดลงบนเทียนไขทั้งสามอย่างละหนึ่งหยด
จัดการเสร็จ มันเก็บนกหวีดทองแดงอะซิก จากนั้นก็นำกระดาษหนังไปจ่อเทียนไขที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวเอง ลนไฟให้ไหม้แล้วโยนลงในหม้อเงิน
ท่ามกลางเสียงสายลม ขนนกสีขาวที่ไม่ยอมไหม้ในตอนแรก พลันลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีซีดจนท่วมท้นหม้อเงิน บดบังการมองเห็นของไคลน์
สองสามวินาทีถัดมา เปลวไฟดับลงโดยสมบูรณ์ เหลือเพียงเศษผงในหม้อเงิน
โดยไม่มีลมพัด เศษผงเหล่านั้นเรียงตัวเป็นประโยค:
“ถูกวิญญาณมารสิงร่าง กำลังมองหาวิธีปัดเป่า”
ราชันเร้นลับ 932 : หน้าบาง
“…” เทพธิดาตอบกลับ… เห็นถ้อยคำที่เรียงจากผง ท่าทีแรกของไคลน์มิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของวิวรณ์ แต่เป็นความตกตะลึงเมื่อพบว่า เรื่องราวที่ดูเหมือนจะไร้สาระในตอนแรก กลับกลายเป็นจริงขึ้นมาในที่สุด
แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แถมยังมองว่าโอกาสประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง แต่ไคลน์ก็ยังตกอยู่ในภวังค์ประหลาดใจเป็นเวลานาน กว่าจะหลุดพ้นก็ต้องผ่านไปหลายสิบวินาที
ถัดมาไม่นาน ไคลน์บรรจงหายใจเข้าออก ยกมือขวาขึ้น ขยับสี่จุดบนหน้าอกตามเข็มนาฬิกา
“เทพธิดาจงเจริญ!!”
มันสิ้นสุดพิธีกรรม กลับมาสนใจเนื้อหาของวิวรณ์อีกครั้ง
ถูกวิญญาณมารสิงร่าง จำเป็นต้องหาวิธีปัดเป่า?
อินซ์·แซงวิลล์ถูกวิญญาณมารสิงร่าง? ตั้งแต่ลำดับ 9 ถึง 5 มันเป็นผู้วิเศษของเส้นทาง ‘มรณา’ แถมลำดับครึ่งเทพก็ยังสลับมาเป็นเส้นทางรัตติกาลที่เชี่ยวชาญการรับมือกับวิญญาณ สิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณอาฆาตและวิญญาณมารน่าจะหวาดกลัวมันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงถูกวิญญาณมารสิงเอาได้?
เว้นเสียแต่ว่า วิญญาณมารจะมีระดับสูงมาก หรือไม่ก็มีความพิเศษอย่างมาก
น่าเสียดาย สำหรับวิญญาณมารตัวจริงเสียงจริง เราเคยเห็นเพียงตนเดียว นั่นคือวิญญาณมารโบราณที่ถูกผนึกไว้ในซากปรักหักพังใต้ดินของอลิสต้า·ทูดอร์ เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมันมากนัก จึงไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติของวิญญาณมาร… จริงสิ… สำหรับเรื่องนี้ ไว้เขียนจดหมายถามชารอนวันหลังก็ได้… นอกจากนั้นยังสามารถถามเดอะซันน้อย ให้อีกฝ่ายฝากไปถามอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์ที่ ‘ต้อนแกะ’ วิญญาณมารเข้าไปในตัว
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อินซ์·แซงวิลล์จะมองหาครึ่งเทพจากนิกายวิญญาณเพื่อแก้ไขปัญหา หากเป็นด้านการขับไล่วิญญาณมาร ถ้าไม่นับโบสถ์รัตติกาลและสุริยันเจิดจรัส ก็น่าจะเป็นนิกายวิญญาณที่เชี่ยวชาญที่สุด… หืม… อาจต้องการเพิ่มโบสถ์เทพสงครามเข้าไปด้วย เส้นทางที่ใกล้เคียงกันมักมีเอกลักษณ์หลายๆ อย่างคล้ายกัน…
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้… อินซ์·แซงวิลล์ไม่ต้องการให้เรื่องที่มันถูกวิญญาณมารเข้าสิง รู้ไปถึงหูของราชวงศ์และนิกายแม่มดที่เป็นฝ่ายเดียวกัน ไม่อย่างนั้น มันไม่จำเป็นต้องถ่อมาไกลถึงทวีปใต้ตามลำพัง! ขั้วอำนาจทั้งสองเกิดก่อนยุคสมัยที่ห้าเสียอีก ด้วยมรดกอันยาวนาน ย่อมต้องมีสมบัติปิดผนึกสักชิ้นสองชิ้นที่สามารถขับไล่วิญญาณมาร หรือต่อให้ไม่มีจริงๆ แต่การติดต่อนิกายวิญญาณผ่านนิกายแม่มด ย่อมปลอดภัยกว่าการติดต่อโดยตรงอยู่แล้ว…
ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์กางกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะ ลงมือเขียน
“ด้วยข้อมูลที่คุณให้มา ผมสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเบาะแสที่เคยรวบรวมได้ในอดีต… และต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากตัวตนอันยิ่งใหญ่ ผมได้รับข้อสรุปที่ชัดเจน:”
“อินซ์·แซงวิลล์ถูกวิญญาณมารเข้าสิง จำเป็นต้องให้นิกายวิญญาณช่วยปัดเป่า”
“ลำพังข้อเท็จจริงนี้ พวกเราสามารถวิเคราะห์เพิ่มเติมได้หลายเรื่อง:”
“อินซ์·แซงวิลล์มักจะแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องระหว่างคำพูดและพฤติกรรมอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางปกติอย่างไร้เหตุผล บ้างก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะทำ บ้างก็ทำพลาดโง่ๆ ชนิดที่พวกเราไม่เข้าใจ… หากปัญหาเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข มันจะต้องคอยติดต่อกับนิกายวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และอาจถี่ขึ้นในอนาคต…”
“ใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นจุดตั้งต้นในการสืบสวน บางทีพวกเราอาจจับหางของอินซ์·แซงวิลล์ได้ในสักวัน แต่ผมคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่พวกเราจะล็อกเป้าไปที่มัน ห้ามประมาทความบังเอิญที่เกิดจากสมบัติปิดผนึกระดับ 0 เด็ดขาด”
เขียนถึงตรงนี้ ไคลน์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการเผชิญหน้าในอดีตระหว่างตนกับอินซ์·แซงวิลล์
การสืบสวนของนักสืบเชอร์ล็อกไม่ได้พุ่งเป้าที่มันโดยตรง แต่เกือบจะทำให้แผนการที่สมรู้ร่วมคิดกับราชวงศ์และนิกายแม่มดต้องพังครืน เป็นเหตุให้อินซ์·แซงวิลล์ต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง นั่นคือการเสกอุกกาบาตจากท้องฟ้า หมายจะฆ่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้และกำจัดเงื่อนงำให้สิ้นซาก แต่ท้ายที่สุด ชายหนุ่มได้รับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์อะซิก ทำให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันแสนสิ้นหวัง และอินซ์·แซงวีลล์ต้องโผล่ออกมาหน้าฉาก
ในสถานการณ์ดังกล่าว ถ้ามิสเตอร์อะซิกฟื้นฟูพลังจนไปถึงระดับเดิม ป่านนี้อินซ์·แซงวิลล์คงตายไปแล้ว… แต่การจะทำให้สถานการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง สำหรับตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องยาก… การที่มันยอมปรากฏตัว ไม่ใช่เพราะนักสืบเชอร์ล็อกหรือเพราะ ‘กงสุลมรณะ’ อะซิก·อายเกสเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงทริสซี่·ชีคและแหวนที่น่าจะเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หากเธอไม่พยายามหลบหนีในตอนนั้น อินซ์·แซงวิลล์ก็คงไม่ต้องถูกบังคับให้ออกหน้าฉาก… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเขียน
“หากคุณสืบทราบที่มาและเป้าหมายของวิญญาณมารตนนั้นได้ เรื่องราวอาจง่ายขึ้นมาก…”
เมื่อเขียนเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์เสร็จ หัวใจไคลน์เริ่มสั่นคลอน มันต้องการพูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง แต่หลังจากร่างตัวอักษรไปได้เพียงสองสามคำ ชายหนุ่มหยุดปากกา ยกมือซ้ายขึ้นมาหยิกแก้มตัวเอง คล้ายกับกำลังกระอักกระอ่วนปนลังเล
พึมพำบางสิ่งเงียบๆ สักพัก ในที่สุดไคลน์ก็เขียนเนื้อหาส่วนต่อไปอย่างราบรื่น
“ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากสมบัติปิดผนึกระดับ 0 แต่อินซ์·แซงวิลล์ก็เป็นศัตรูที่ทั้งคุณและผมไม่สามารถรับมือได้ตามลำพัง พวกเราต้องเตรียมตัวมากกว่านี้”
“ถ้าคุณส่ง ‘หนอนกาลเวลา’ มาให้ผมจำนวนหนึ่ง ผมสามารถนำไปสร้างเป็นยันต์ขั้นสูงที่สามารถสยบครึ่งเทพได้ ชื่อของมันคือยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ สามารถสลับชะตากรรมของตนเองและเป้าหมายได้ในเวลาสั้นๆ”
วางปากกาลง ไคลน์ไม่อ่านทวน พับกระดาษจดหมายเก็บอย่างรวดเร็ว ใส่ซองด้วยท่าทีขึงขัง
มันหยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยและเหรียญทองออกมาถือ เป่าอัญเชิญมิสผู้ส่งสาร ยื่นจดหมายที่ตอบกลับเลียวนาร์ดให้ โดยคราวนี้มิได้กำชับให้ส่งไปยังบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ แต่เป็นตำแหน่งปัจจุบันของเลียวนาร์ด ไคลน์เชื่อว่าอีกฝ่ายคงยังไม่เคลื่อนที่ออกจากระยะการตรวจจับของมิสไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ส่ายหัวเล็กน้อยและพูด
การขอร้องคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด โดยเฉพาะคนหน้าบางแบบเรา…
มันสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของหุ่นเชิดเอ็นโซและลูเธอร์ไวล์อีกครั้ง เนื่องจากพวกมันถูก ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสเห็นขณะสำรวจกัลเดรอน
ระหว่างนี้เอง ไคลน์พลันผุดแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจ เตรียม ‘ส่ง’ พวกมันเข้าไปในมิติเหนือหมอกสีเทาและใช้ร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณช่วยปลอมตัว!
หัวขโมยโลกวิญญาณสามารถเปลี่ยน ‘อวตารวิญญาณ’ ของมันให้กลายเป็นร่างวิญญาณได้ จากนั้นก็สั่งให้ร่างวิญญาณแปลงกายเป็นสัตว์วิญญาณชนิดอื่น ตะกอนพลังของมันจะต้องมีพลังในทำนองนี้แน่ เพียงแต่ว่า การใช้งานนั้นค่อนข้างยาก แถมยังมาพร้อมกับผลข้างเคียงรุนแรง
อย่างไรก็ตาม สำหรับไคลน์ที่ครอบครองมิติลึกลับ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะมันไม่คิดจะใช้ตะกอนพลังในการต่อสู้จริง และการปรับแต่งรูปลักษณ์ของหุ่นเชิด ไม่จำเป็นต้องใช้พลังที่สมบูรณ์แบบหรือเร่งด่วนอะไรนัก และเหนือสิ่งอื่นใด ผลข้างเคียงในเชิงลบไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาใส่ใจ ต่อให้ถูกตะกอนพลังของครึ่งเทพกัดกร่อนแล้วอย่างไร? แค่ทิ้งไว้ในกองขยะก็พอ
หลังจากผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อน ไคลน์ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล มือข้างหนึ่งถือร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณขนาดเท่าฝ่ามือ ตามด้วยการแผ่พลังวิญญาณเข้าไปโดยไม่มองตรงๆ
ภาพที่มันเห็นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก รอบๆ หุ่นเชิดยังคงมีด้ายวิญญาณมายาสีดำที่กระจุกตัวหนาแน่น แต่เมื่อแผ่พลังวิญญาณเข้าไปควบคุม ไคลน์พบว่าไม่เพียงตนจะมีสิทธิ์ควบคุม ‘ด้ายวิญญาณ’ ของหุ่นเชิด แต่ยังสามารถสั่งให้ด้ายวิญญาณของตัวเองทะลวงผ่านเข้าไปในร่างของหุ่น
เมื่อทั้งสองฝ่าย ‘เชื่อมต่อ’ แบบสองทาง ไคลน์พลันรู้สึกว่าหุ่นเชิดและร่างต้นกลายเป็นหนึ่งเดียว พลังพิเศษของร่างต้นสามารถถูกใช้งานผ่านด้ายวิญญาณ รวมไปถึง ‘พลัง’ ของผู้ไร้หน้าอย่าง ‘แปลงโฉม’ !
หลังจากทดลองทำอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก ไคลน์รู้สึกเวียนหัว รู้สึกถึงความโกลาหลทางอารมณ์ มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะคลุ้มคลั่งอ่อนๆ
นี่คืออิทธิพลที่มิอาจเลี่ยงหลังจากใช้พลังวิญญาณสัมผัสกับ ‘ออร่าเทพ’ โดยตรง
ชายหนุ่มรีบเคลื่อนเศษเสี้ยวพลังของมิติหมอก พยายามรักษาเสถียรภาพของร่างต้นให้คงที่
หลังจากเผชิญความเจ็บปวดอีกสักพัก ไคลน์บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซมีรูปลักษณ์เหมือนกับชนพื้นเมืองของทวีปใต้มากขึ้น เป็นประเภทที่อพยพมาจากฟาร์มเกษตร ส่วน ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์กลายเป็นลูกครึ่ง ใบหน้าประเภทหนังหุ้มกระดูกที่เคยน่าสะพรึงกลัวกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ใบหน้าลูเธอร์ไวล์ค่อนไปทางอวบอิ่ม สำหรับหน้ากากสีเงินสว่างที่มีพลังในการปลอบโยนดวงวิญญาณ ไคลน์เองก็จนปัญญา จำเป็นต้องแปะติดไว้กับหน้าอกลูเธอร์ไวล์ พยายามแนบชิดผิวหนังให้มากที่สุด – วิธีจะช่วยให้พลังหน้ากากยังคงอยู่ ถึงจะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการสวมบทใบหน้า แต่ก็ช่วยประคองเสถียรภาพในปัจจุบัน
“น่าเสียดาย… ถ้าเปลี่ยนหน้ากากเป็นเครื่องประดับแบบอื่นได้ก็คงดี ปัญหาจะบรรเทาลงหลายส่วน…” หลังจากโยนร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณกลับไปที่กองขยะ ไคลน์ใช้มือลูบหน้าผาก ปล่อยความคิดให้ล่องลอย “อา… เรายังมีตะกอนพลังของ ‘นักปลอบวิญญาณ’ สามารถนำไปสร้างสมบัติวิเศษได้ จากนั้นก็ใช้แทนหน้ากากนี่… ไม่ได้… เราเตรียมจะคืนตะกอนพลังให้ศาสนจักร… ค่อยคืนผ่านทางเลียวนาร์ด…”
หลังจากความรู้สึกอึดอัดเริ่มบรรเทา ไคลน์หยิบนาฬิกาพกเรือนทองออกมาเปิดฝา
ถัดมา มันอัญเชิญกระดาษกระดาษคนและเคลื่อนพลังของมิติลึกลับ ผสมผสานทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันและโยนเข้าไปในจุดแสงที่ทำเครื่องหมายพิเศษ
นั่นคือจุดแห่งแสงตัวแทนเดนิส สาวกเพียงหนึ่งเดียวของเดอะฟูล!
จากมุมมองของไคลน์ ‘พลเรือเอกแห่งดวงดาว’ แคทลียามีนิกายมอสส์อยู่เบื้องหลัง ส่วน ‘พลโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าก็เป็นสมาชิกโบสถ์ปัญญาความรู้ และแอนเดอร์สัน·ฮู้ดก็ไม่ค่อยรู้ความลับของเกอร์มัน·สแปร์โรว์มากนัก ยิ่งเพื่อพิจารณาจากอุปนิสัยส่วนตัว แอนเดอร์สันไม่ใช่คนที่ชอบพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย ไม่ต้องกังวลว่าจะถูก ‘สอบปากคำ’ โดยชุมนุมแสงเหนือ มีเพียงเดนิสเท่านั้นที่น่าเป็นห่วงกว่าใคร อีกฝ่ายพเนจรอยู่ในไบลัมตะวันตก ยังกลับฝันทองคำไม่ได้สักพัก ความแข็งแกร่งก็ค่อนข้างต่ำ แถมยังสวมถุงมือที่ทำให้ตัวเองหุนหัน อาการน่าเป็นห่วงมาก
อาศัยข้อเท็จจริงเหล่านี้ เดอะฟูลจำเป็นต้องทำงานให้หนักขึ้น คอยโอบกอดเดนิสด้วย ‘เทวทูตกระดาษ’ ทุกวันเพื่อขัดขวางการทำนายจากศัตรู
…
เลียวนาร์ดไม่คาดคิดว่าไคลน์·โมเร็ตติจะตอบกลับเร็วเช่นนี้ จึงเปิดซองจดหมายด้วยสีหน้าผิดจาก จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านเนื้อหาที่เขียนไว้ด้านใน
และต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากตัวตนอันยิ่งใหญ่… เขาหมายถึงเดอะฟูล?
อย่างที่คิด ไคลน์สืบเรื่องอินซ์·แซงวิลล์ไปได้ค่อนข้างไกล… แค่เราเอ่ยถึงนิกายวิญญาณ เขาก็ได้ข้อสรุปทันที…
ถูกวิญญาณมารเข้าสิง… ทำไมหมอนั่นถึงถูกวิญญาณมารเข้าสิงได้?
แล้วเราจะทำข้อเท็จจริงนี้ไปใช้ประโยชน์ในแง่มุมไหน?
หนอนกาลเวลา… นี่มัน… เลียวนาร์ดที่อ่านลงมาถึงท้ายจดหมาย สีหน้าเผยความซับซ้อนเล็กๆ
ภายในใจ พาลีส·โซโรอาสเตอร์ยังคงนิ่งเงียบ ไม่กล่าวคำใดออกมา
ราชันเร้นลับ 933 : จุดร่วมของวิญญาณมาร
ผ่านไปสักพัก เลียวนาร์ดกระแอมในลำคอพลางยิ้ม มันลดเสียงลงและพูด
“ตาแก่… ข้อเสนอของไคลน์… ฟังดูไม่เลวเลยนะ… เข้าท่ามาก… ผลลัพธ์ของยันต์น่าจะยอดเยี่ยมพอสมควร ลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูก่อนไหม? ไม่ใช่ว่าคุณเคยพูดหรือ ว่าจะช่วยผมแก้แค้นอย่างเต็มที่… ฮะฮะ… เคยคิดว่าหนอนกาลเวลาจะทำได้แค่การสร้างร่างโคลนและคอยสนับสนุน…”
มันพรั่งพรูออกมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนพาลีส·โซโรอาสเตอร์ยังคงนิ่งเงียบ ก่อนจะถอนหายใจหลังจากผ่านไปสักพัก
“สำหรับตอนนี้ ข้าสามารถให้ ‘หนอนกาลเวลา’ ได้มากที่สุดแค่สองตัว”
โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดพูด พาลีสเสริมอีกสองประโยค
“หากต้องการล้างแค้นกับครึ่งเทพที่มีสมบัติปิดผนึกระดับ 0 สิ่งสำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งและระดับพลังของตัวเอง ไม่อย่างนั้น ถึงจะพกพายันต์คุณภาพสูงสักเพียงใด แต่ถ้าไม่มีโอกาสได้ใช้ก็เปล่าประโยชน์”
เลียวนาร์ดหุบยิ้มเล็กน้อย กล่าวหน้านิ่ง
“ผมจะพยายามย่อยโอสถ… ถ้าย่อยโอสถเสร็จเมื่อไร ถึงคะแนนผลงานจะไม่เพียงพอ แต่ผมก็มีช่องทางส่วนตัวสำหรับตามหาวัตถุดิบหลักของจอมอาคมวิญญาณ”
การที่มี ‘หนอนกาลเวลา’ เพียงสองตัว เลียวนาร์ดมิได้ผิดหวัง ตามความเห็นของมัน สองตัวถือเป็นกำไร การมีแค่ตัวเดียวก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ยิ่งมีสองตัวจะยิ่งหมายถึง มันและไคลน์สามารถแบ่งกันคนละตัว
หลังจากแสดงทัศนคติของตัวเอง มันถามด้วยความสงสัย
“ตาแก่… สำหรับหนอนกาลเวลาตัวที่แล้ว คุณคิดว่าไคลน์นำไปสร้างเป็นยันต์ไหม?”
มันยังจำได้แม่น ย้อนกลับไปในอดีต เพื่อจะหาว่าเอ็มลิน·ไวท์มาซื้อสมบัติวิเศษให้ใคร พาลีสได้ใส่หนอนกาลเวลาไว้ในถุงมือ ‘อินธน์’ แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อ ไม่มีข้อมูลใดถูกส่งกลับมาอีกเลย จนกระทั่งในภายหลัง เลียวนาร์ดสืบจนทราบว่าเอ็มลิน·ไวท์และเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ค่อนข้างสนิทกัน ทำให้สามารถอนุมานได้ว่า หนอนกาลเวลาตัวดังกล่าวถูกจัดการโดยเบื้องบนขององค์กรลับที่เชื่อในเดอะฟูล หรืออาจเป็นฝีมือของเดอะฟูลเองด้วยซ้ำ และมีความเป็นไปได้มากที่ศพหนอนกาลเวลาจะถูกมอบให้ไคลน์ ไม่อย่างนั้น อดีตเพื่อนร่วมงานของตนคงไม่ทราบถึงการมีอยู่ของหนอนกาลเวลา
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เหยียดหยันในลำคอ
“ถ้ายังไม่เคยใช้และเห็นผลลัพธ์ด้วยตัวเอง ทางนั้นคงไม่เป็นฝ่ายออกปากขอเพิ่มแบบนี้”
“ก็ได้… ข้าจะแยกหนอนกาลเวลาให้ นั่นจะส่งผลให้หลับไปอย่างน้อยสองสัปดาห์ หากมีคำถามก็หาคนตอบเอาเอง”
กล่าวจบ มันไม่เปิดโอกาสให้เลียวนาร์ดถาม พาลีสแผ่พลังวิญญาณ สร้างก้อนแสงที่ ‘ลอย’ อยู่ภายในใจเลียวนาร์ด ราวกับบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องการพูดอะไร
เลียวนาร์ดหัวเราะแห้ง กลับมาสนใจจดหมายที่ไคลน์·โมเร็ตติส่งมาให้ อ่านซ้ำอย่างระมัดระวัง
ถูกวิญญาณมารเข้าสิง… ต้องสืบหาต้นกำเนิดและจุดประสงค์ของวิญญาณมาร…
เราแทบไม่มีข้อมูลของวิญญาณมารเลย สมองขาวโพลนอย่างมาก…
ครุ่นคิดอยู่หลายนาที เลียวนาร์ดล้วงหยิบกล่องไม้ขีด เผากระดาษจดหมาย จากนั้นก็ออกจากห้องพักชั่วคราวที่ได้รับการจัดสรรจากเหยี่ยวราตรีท้องถิ่น เดินไปในแนวเฉียงและใช้นิ้วเคาะประตูห้อง
เพียงไม่นาน ดาลีย์·ซิโมเน่ซึ่งยังไม่ได้ลบขอบตาและปัดแก้มสีฟ้า เปิดประตูออกมาพลางเลิกคิ้ว
“ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ผู้ไร้หลับกล้ามาเคาะประตูห้องนอนสตรีในยามวิกาล?”
“แฮ่ม… ผมมีเรื่องอยากปรึกษา” เลียวนาร์ดไม่กล้าเล่นไปตามเกมของดาลีย์ รีบแสดงจุดยืนทันที
ดาลีย์ชำเลืองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า ยิ้มและตอบ
“ฉันไม่มีหน้าที่ต้องให้คำปรึกษาไก่อ่อน”
กล่าวจบ หญิงสาวฉากหลบให้ เป็นนัยอนุญาตให้เลียวนาร์ดเข้าไปในห้อง
โดยไม่กล้ามองไปรอบๆ มันมุ่งตรงไปทางเก้าอี้และนั่งลงทันที กล่าวเข้าประเด็น
“มาดาม ผมต้องการข้อมูลของวิญญาณมาร… คุณเป็นถึงลำดับ 5 ของเส้นทางมรณา สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลสูงกว่าผม ย่อมรู้มากกว่าผม”
“แล้วทำไมถึงมาถามฉัน” ดาลีย์กล่าวพลางนำมือวางลงบนขอบโต๊ะ
ยังไม่ทันที่เลียวนาร์ดจะตอบ เธอพึมพำ
“วิญญาณมารโดยส่วนใหญ่เกิดจากการตายของผู้วิเศษลำดับสูง มีส่วนน้อยที่พัฒนาจากวิญญาณอาฆาตซึ่งสามารถพัฒนาข้ามขีดจำกัดด้วยหลากหลายเงื่อนไข… กรณีแรกสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หลังจากผู้วิเศษลำดับสูงดื่มโอสถและได้รับครอบครองเศษเสี้ยวความเป็นเทพ ร่างวิญญาณจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับแก่น ส่งผลให้แม้พวกมันจะตายไป หรือไม่ก็สูญเสียพลัง แต่ร่างวิญญาณจะยังคงอยู่ อาจมีออร่าของเทพเจือปนอย่างเบาบาง ส่งผลให้น่าสะพรึงกลัวมาก ซึ่งกรณีหลังก็ไม่ต่างกันในเชิงโครงสร้างและหลักการ… ตามปรกติแล้ว วิญญาณมารจะค่อยๆ อ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไป จนกระทั่งสลายตัวโดยสมบูรณ์ ทว่า พวกมันสามารถหลอมรวมกับสถานที่ที่ถือกำเนิดขึ้น แถมยังเปลี่ยนให้โลกวิญญาณ หรือกระทั่งโลกแห่งความตาย หลอมรวมเข้าด้วยกันในสถานที่ดังกล่าว จากนั้นก็ดึงพลังออกมาใช้เพื่อคงสภาพ… ด้วยเหตุนี้ วิญญาณมารจำนวนมากจึงมี ‘อาณาเขต’ ค่อนข้างจำกัด ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่ต้องการไปที่อื่น แต่ทำไม่ได้ต่างหาก ข้อยกเว้นเดียวก็คือ ต้องสั่งสมพลังจนถึงระดับที่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างของระดับตัวตน”
เลียวนาร์ดไขว่ห้างขวาทับซ้าย ถามอย่างครุ่นคิด
“วิญญาณมารสามารถออกจาก ‘อาณาเขต’ ด้วยการสิงร่างมนุษย์ได้ไหม?”
“ทำได้ แต่คนธรรมดาและผู้วิเศษส่วนใหญ่มิอาจต้านทานภาระที่วิญญาณมารสร้างแก่ร่างกาย พลังวิญญาณจะรั่วออกจากร่างอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิร่างกายลดลง มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน” ขณะพูด ดาลีย์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “วิธีที่ดีที่สุดจึงเป็นการสิงร่างผู้วิเศษเส้นทาง ‘มรณา’ แน่นอน อย่างน้อยก็ต้องลำดับ 5 เพราะ ‘ผู้เฝ้าประตู’ ทุกคนจะมีคุกส่วนตัวสำหรับกักขังวิญญาณคนตาย เรียกได้ว่าเป็นโลกแห่งความตายขนาดย่อม เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะจะให้วิญญาณมารอาศัย ไว้คุณได้เป็น ‘จอมอาคมวิญญาณ’ ก็จะมีพลังที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่เน้นไปในด้านการผนึกวิญญาณและทำให้พวกมันหลับใหล มากกว่าจะเกี่ยวข้องกับโลกแห่งความตาย หึหึ… แต่การมีวิญญาณเร่ร่อนและวิญญาณมารผ่านเข้าออกร่างกายบ่อยๆ ก็น่าหงุดหงิดไม่น้อยเหมือนกัน”
ลำดับ 5 ของอินซ์·แซงวิลล์คือ ‘ผู้เฝ้าประตู’ … เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงถูกวิญญาณมารสิงสู่ได้เป็นเวลานาน หรือจะเป็นเพราะมันพยายามทำให้วิญญาณมารเชื่อง แต่ลงเอยด้วยความล้มเหลว? สมองเลียวนาร์ดกำลังเปิดโล่ง พบว่าข้อมูลทั้งหมดเชื่อมถึงกันอย่างลงตัว
มันครุ่นคิดสองสามวินาที ถามอีกครั้ง
“วิญญาณมารต้องการอะไร?”
“ต้องการ? ร้องเพลง? เต้นรำ? เขียนกวี? ผู้ชาย? ผู้หญิง? ทะเลดวงดาว?” ดาลีย์ย้อนถามติดตลก
เลียวนาร์ดตระหนักถึงปัญญาในการเลือกใช้คำของตน จึงยกมือขึ้นมาสางผมเล็กน้อยและตอบ
“ผมหมายถึง วิญญาณมารมีความปรารถนาบ้างไหม?”
“ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกมันปรารถนาขณะยังมีชีวิตอยู่… โดยธรรมชาติแล้ว สัญชาตญาณของวิญญาณมารจะตรงกับความต้องการสมัยที่ยังมีชีวิต แถมยังไม่รักษาสมดุลกับเหตุและผล ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นคุณ วิญญาณมารตนนั้นคงพยายามเขียนบทกวี จากนั้นก็จับเหยื่อจำนวนหนึ่งมากักขังเพื่อถามความเห็น หรือไม่ก็พยายามทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เหมือนกับพวกพระเอกในนิยายหรือละคร” หลังจากติดตลก ดาลีย์เล่าอย่างมีสาระ “อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสมัยที่ยังมีชีวิตจะเป็นคนยังไง แต่วิญญาณมารทุกตนจะมีความปรารถนาสองเรื่องร่วมกันเสมอ”
“สองเรื่อง?” เลียวนาร์ดเริ่มตั้งใจฟัง
ดาลีย์ชำเลืองด้วยหางตา
“เรื่องแรก การสูบวิญญาณของสิ่งมีชีวิต สิ่งนี้จะทำให้พวกมันมีความสุข ความสุขอันเกิดจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสายพันธุ์ นอกจากนั้น วิญญาณจำนวนมากที่สูบเข้าไป จะช่วยให้พวกมันปลดเปลื้องพันธนาการเกี่ยวกับ ‘อาณาเขต’ ของการใช้พลัง เพราะดวงวิญญาณจะเข้ามาแทนที่แหล่งพลังงานเดิมอย่างโลกวิญญาณและโลกแห่งความตาย… เรื่องที่สอง ตามหาวัตถุดิบโอสถของเส้นทางตัวเองสมัยยังมีชีวิต ด้วยสิ่งนี้ วิญญาณมารจะมีแหล่งพลังในการดำรงชีวิตเป็นของตัวเอง เมื่อถึงจุดหนึ่งจะไม่ต้องพึ่งพาพลังจากโลกวิญญาณหรือโลกแห่งความตายอีกต่อไป ไม่ถูกผูกมัดโดยอาณาเขต ในทางทฤษฎี พวกมันจะกลายร่างเป็นสัตว์วิญญาณชนิดพิเศษ”
เลียวนาร์ดเริ่มจับประเด็นบางอย่างได้ ทำหน้าครุ่นคิดสักพัก
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิญญาณมารสามารถดื่มโอสถได้เช่นกัน?”
“ไม่ใช่… โอสถถูกออกมาเพื่อมนุษย์เท่านั้น เป็นการลดความเสี่ยงของภาวะคลุ้มคลั่ง แต่สำหรับสัตว์วิเศษ พวกมันไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถกินวัตถุดิบสดๆ เข้าไปได้โดยตรง โดยเฉพาะวิญญาณมาร… ต้องไม่ลืมว่า สิ่งมีชีวิตประเภทนี้เปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง ป่าเถื่อน เอาแต่ทำตามสัญชาตญาณ ไม่ต่างอะไรกับพวกกึ่งเสียสติ… ไม่จำเป็นต้องดื่มโอสถอย่างมีพิธีรีตอง นอกจากนั้น วิญญาณมารยังมีสถานะเป็นร่างวิญญาณ สามารถ ‘ปรองดอง’ กับวัตถุดิบได้โดยตรงไปพร้อมกับย่อยอย่างเชื่องช้า” ดาลีย์แก้ไขความเข้าใจของเลียวนาร์ด
นี่มัน… ในกรณีของวิญญาณมารที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันกำลังพยายามตามหาวัตถุดิบหลักของเส้นทางตัวเองสมัยที่ยังมีชีวิต!เลียวนาร์ดตกใจในตอนต้น แต่เพียงไม่นานก็ฉุกคิดบางสิ่ง กล่าวด้วยสีหน้าเจือความยินดี
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากสำหรับคำตอบ”
พูดจบ มันลังเลสองสามวินาที เรียบเรียงคำพูดก่อนจะกล่าวต่อ
“มาดาม ผมคิดว่าพวกเราไม่ควรเอาแต่สืบสวนหาสาเหตุที่อินซ์·แซงวิลล์แอบพบกับครึ่งเทพของนิกายวิญญาณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสืบสวนย้อนกลับไปยังระหว่างทางจากเบ็คลันด์มาถึงไบลัมตะวันออก หาให้พบว่ามันทำอะไรลงไปบ้าง หรือรวบรวมสิ่งของแบบใด นั่นอาจช่วยให้พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์”
ดาลีย์เงียบไปสักพัก จนกระทั่งเลิกคิ้วพลางพึมพำ
“พูดได้ดี… ว่าแต่… เรื่องนี้เกี่ยวข้องยังไงกับวิญญาณมาร?”
“…ไม่เกี่ยว ผมตั้งคำถามเพราะว่าพวกเรากำลังจะได้เผชิญหน้ากับนิกายวิญญาณ มีโอกาสสูงที่จะได้ปะทะกับวิญญาณมารโดยตรง การเตรียมข้อมูลไว้ล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องเสียหาย… ส่วนอย่างหลังเป็นแนวทางที่ผมคิดได้ขณะพักผ่อนในช่วงที่ผ่านมา แต่เพิ่งมีโอกาสเล่าให้คุณฟัง” เลียวนาร์ดลดความเร็วให้การพูดลง และเพิ่มความเร็วสมองที่กำลังประมวลผลข้ออ้างตลบตะแลง
ดาลีย์ที่ฟังอย่างเงียบงัน หัวเราะในลำคอ
“ถ้าคุณโกหกเก่งแบบนี้ต่อหน้าสาวๆ ด้วยรูปลักษณ์ของคุณ ฉันรับประกันว่าคุณไม่มีทางโสดแบบทุกวันนี้… น่าเสียดาย ฉันดันเป็นผู้หญิงขี้สงสัย… ช่างเถอะ ไม่อยากฟังคำอธิบายแล้ว เชิญออกไปได้”
เลียวนาร์ดลุกขึ้นยืนโดยไม่พยายามกลบเกลื่อน เดินตรงไปทางประตู
ขณะจับลูกบิด เสียงอันล่องลอยของดาลีย์ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ฉันไม่รู้ว่าคุณซ่อนความลับอะไรไว้ หรือว่าไปรู้อะไรเข้า… เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญกับฉัน… แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอินซ์·แซงวิลล์ หากคุณต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อมาหาได้ทุกเมื่อ”
เลียวนาร์ดชะงักไปสองวินาที พะงาบปากสองสามหน แต่สุดท้ายก็ทำเพียงประตูและเดินออกจากห้อง
…
เมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริค·เบเกอร์ได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมทีมสำรวจ หัวหน้าทีมคือเจ้าเมืองโคลิน·อีเลียด จุดหมายคือเมืองนอร์ธ เป็นซากปรักหักพังของเมืองทางทิศเหนือที่มี ‘ตัวจำแลงกาย’ และสิ่งชีวิตที่น่าสะพรึงอื่นๆ อาศัยอยู่!
ราชันเร้นลับ 934 : หนึ่งบวกหนึ่งมากกว...
ตั้งแต่ส่งข้อมูลของ ‘ตัวจำแลงกาย’ ที่สงสัยว่าจะเป็นมารพิสดารให้มิสเตอร์เวิร์ล เดอร์ริคคิดอยู่เสมอว่าต้องมีสักวันที่อีกฝ่ายจ้างตนตามหาวัตถุดิบดังกล่าว แต่ปัจจุบันมันยังแข็งแกร่งไม่พอ แม้จะตั้งทีมล่าร่วมกับเพื่อนสนิท แต่โอกาสสำเร็จก็ยังต่ำมาก นอกจากนั้น การสำรวจทางไกลก็ยังต้องมีหนึ่งใน ‘หกสภาอาวุธ’ เป็นคนนำทาง เมืองเงินพิสุทธิ์ไม่อนุญาตให้ทีมสำรวจที่ตั้งกันเองออกไปล่าได้ไกลจากเขตเมืองมากนัก มันอดทนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาสักพัก ในบางครั้งก็ใช้เป็นแรงผลักดันที่จะพัฒนาตัวเองและเลื่อนลำดับพลัง
แล้วก็ต้องผิดคาด ผ่านไปเพียงไม่นาน เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งทีมสำรวจเมืองนอร์ธขึ้น แถมยังนำทางโดยเจ้าเมืองโคลิน·อีเลียดด้วยตัวเอง!
เมื่อผนวกเข้ากับเนื้อหาของชุมนุมทาโรต์ในคราวก่อนที่ตนแลกเปลี่ยนข้อมูลกับมิสเตอร์แฮงแมน จัสติส และคนอื่นๆ เดอร์ริคเริ่มสร้างข้อสันนิษฐาน
ระหว่างการสำรวจอนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมือง มิสเตอร์ฟูลเสนอความช่วยเหลือบางอย่างให้กับเจ้าเมืองคนปัจจุบัน ช่วยให้อีกฝ่ายขัดขวางแผนการของ ‘พระผู้สร้างเสื่อมทราม’ สำเร็จอย่างราบรื่นพร้อมกับสะสางปัญหา ดังนั้น เมื่อนักล่าปีศาจรายนี้เห็นว่าเดอร์ริคถามถึง ‘ตัวจำแลงกาย’ มันก็คิดจะล่าวัตถุดิบมาสังเวยให้กับเทพเพื่อเป็นการเอาใจ!
“นี่คือการตอบแทนตามมารยาท แถมยังเป็นการรักษาสมดุลของพลัง…” ถ้อยคำที่แฮงแมนกล่าวเอาไว้ กำลังดังกังวานภายในจิตใจเดอร์ริค ช่วยให้จิตใจของมันปราศจากความลังเล อาศัยจังหวะก่อนที่จะออกเดินทาง สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อแจ้งต่อให้เดอะเวิร์ลทราบเกี่ยวกับการสำรวจในครั้งนี้
มันได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว เป็นเสียงของเดอะเวิร์ลที่กล่าวว่า:
“…ถ้าการล่ามารพิสดารเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป ผมยินดีลดระดับความต้องการลง เอาแค่เลือดของมันจำนวนหนึ่ง… หากคุณรวบรวมได้เมื่อไร ตะกอนพลังนักบวชแสงจะตกเป็นของคุณทันที”
ตะกอนพลังของ ‘นักบวชแสง’ ? มิสเตอร์เวิร์ลมีตะกอนพลังของ ‘นักบวชแสง’ ในมือแล้ว? หรือเขากำลังหมายหัวเหยื่อไว้และสามารถไปเชือดได้ทุกเมื่อ? แค่เราได้เลือด… ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าเมือง ผนวกกับทีมเวิร์คอันยอดเยี่ยมของหน่วยสำรวจ โอกาสสำเร็จมีสูงมาก… เดอร์ริคโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เดินถือ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ ออกจากบ้าน ตรงไปที่สนามซ้อม
ทันทีที่ถึงจุดหมาย มันเห็นร่างของเจ้าเมืองโคลิน·อีเลียด ดาบยาวสองเล่มถูกสะพายไว้บนหลัง สูงโปร่งและน่าเกรงขาม ทำให้ทุกคนเกิดความสบายใจแค่เพียงได้มอง
และถัดจาก ‘นักล่าปีศาจ’ ยังมีอีกหนึ่งคนยืนอยู่ เธอสวมชุดคลุมสีดำที่มีลวดลายสีม่วง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘คนเลี้ยงแกะ’ อาวุโสโลเฟียร์ สตรีเจ้าของผมหยักศกสีเงินยาวสลวย
โลเฟียร์ที่ดูเหมือนเข้าร่วมทีมสำรวจนี้ด้วย หันหลังกลับมามอง กระจกตาสีเทาซีดของเธอสะท้อนร่างเดอร์ริค·เบเกอร์โดยปราศจากความผันผวนทางอารมณ์
เดอร์ริคผงะตกใจ ลดความเร็วลงโดยไม่รู้ตัว
…
ไบลัมตะวันออก เหนือหมอกสีเทา
หลังจากชื่นชมพฤติกรรมของเจ้าเมืองเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ริเริ่มตั้งทีมสำรวจเมืองนอร์ธ ไคลน์กำชับกับเดอะซันน้อยว่า ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายมากนัก สิ่งที่ต้องการจากเป้าหมายมีเพียงเลือด
เมื่อถึงตอนนั้น มันสามารถนำเลือดมาป้ายลงบนปกการเดินทางของกรอซาย จากนั้นก็เตรียมทำศึกใหญ่กับ ‘มารพิสดาร’ ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี เก็บเกี่ยววัตถุดิบที่ต้องการจากมัน
สำหรับคำถามที่ว่า พลังในการดูดกลืนเข้าไปในโลกหนังสือของ ‘บันทึกการเดินทางของกรอซาย’ จะถูกตัดขาดโดยความพิเศษของดินแดนเทพทอดทิ้งหรือไม่ ไคลน์เองก็คำนึงถึงประเด็นนี้และคิดหาทางแก้ไขไว้แล้ว นั่นคือการส่งหนังสือเล่มดังกล่าวให้เดอะซันน้อยพกพา จากนั้นก็สังเวยคืนเมื่อเสร็จภารกิจ
และนอกจากนั้น มันมิได้กังวลว่า ‘มารพิสดาร’ จะเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ไม่มีเลือด เพราะสูตรโอสถจอมเวทพิสดารระบุไว้อย่างชัดเจนว่า:
“วัตถุดิบเสริม: เลือดของมารพิสดารสองร้อยมิลลิลิตร…”
วิธีแก้ปัญหามักมีมากกว่าปัญหาเสมอ… ไคลน์พึมพำด้วยความพึงพอใจ ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง
ก่อนจะเข้านอน มันได้รับจดหมายจากเลียวนาร์ด·มิเชลโดยมีเนื้อหาระบุว่า ‘หนอนกาลเวลา’ ที่ต้องการจะพร้อมส่งในอีกสองวันข้างหน้า รวมถึงเขียนอธิบายเกี่ยวกับวิญญาณมารอย่างละเอียด
อีกหนึ่งวันถึงจะได้ และมีเพียงสองตัวเท่านั้น สภาพของคุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดคงค่อนข้างย่ำแย่… อา… ไม่สามารถออกจากอาณาเขต สามารถใช้พลังได้ในรัศมีที่กำหนดเท่านั้น… ความปรารถนาที่มีร่วมกันก็คือ ข้อแรก แนวโน้มในการสูบวิญญาณของสิ่งมีชีวิต และข้อที่สอง ปรารถนาการกินวัตถุดิบโอสถในเส้นทางเดิมสมัยยังมีชีวิตอยู่… กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิญญาณมารจะใช้ร่างกายอินซ์·แซงวิลล์ในการรวบรวมวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องและตะกอนพลัง… นี่เส้นทางการสืบสวนที่ควรเป็นจุดตั้งต้น… ไคลน์ถือจดหมายด้วยมือทั้งสองข้าง สมองครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย
ทันใดนั้น มันจดจำได้หนึ่งสิ่ง
ย้อนกลับไปในตอนที่มันได้พบกับอินซ์·แซงวิลล์บนเกาะกลางทะเลคลั่ง อีกฝ่ายกำลังถูกไล่ล่าโดยครึ่งเทพที่แข็งแกร่งของเส้นทาง ‘นักล่า’ !
หรือว่า… จะเป็นเพราะวิญญาณมารตนนั้น?
เราเคยคิดว่าอินซ์·แซงวิลล์ได้รับมอบหมายจากฝ่ายราชวงศ์บางกลุ่ม ลงมือทำอะไรบางอย่างกับอินทิส แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวและต้องเปิดเผยตัวเอง ส่งผลให้ถูกครึ่งเทพของพวกมันตามล่า…
แต่จากข้อมูลล่าสุด ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ใช่แบบนั้น… วิญญาณมารในตัวมันปรารถนาตะกอนพลังของเส้นทาง ‘นักล่า’ และทันทีที่สามารถควบคุมร่างกายได้ชั่วขณะ มันจะไล่ฆ่าผู้วิเศษในเส้นทางนักล่า… ผลลัพธ์อาจเป็นได้ทั้งสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ก็ไม่แคล้วลงเอยด้วยการถูกครึ่งเทพของเส้นทางนักล่าหมายหัว โดยที่อีกฝ่ายอาศัยสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของนักล่าเพื่อสะกดรอยตาม… ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งเชื่อว่าข้อสันนิษฐานล่าสุดเข้าใกล้ความจริง
เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะอธิบายได้ว่า เหตุใดอินซ์·แซงวิลล์ที่ครอบครอง 0-08 ถึงถูกพบตัว!
ในเวลาเดียวกัน หุ่นเชิดเอ็นโซและลูเธอร์ไวล์ก้มตัวลงและบีบนวดขาของไคลน์
ปัจจุบัน ข้อมูลที่ค่อนข้างแน่ชัดมีเพียง วิญญาณมารตนดังกล่าวอยู่บนเส้นทางนักล่า… เราจะตอบจดหมายเลียวนาร์ดและให้หมอนั่นคอยชี้นำถุงมือแดงให้สำรวจในทิศทางนี้… เฮ่อ… แต่หมอนั่นเล่นละครไม่เก่ง ไม่ชำนาญจิตวิทยามนุษย์ คงไม่แคล้วได้ถูกเปิดโปงเข้าจนได้… แต่ก็ไม่แน่ เลียวนาร์ดอาจจะโยนเรื่องทั้งหมดให้กับสายข่าวนิรนามไม่เปิดเผยตัวตน… สายข่าวที่ไม่เคยมีอยู่จริง… วิญญาณมารของเส้นทางนักล่า… วิญญาณมารของเส้นทาง… นักล่า… ดวงตาไคลน์พลังเบิกโพลง ลำตัวลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ปล่อยให้หุ่นเชิดทั้งสองพลันเหม่อลอย
ไคลน์รู้จักวิญญาณมารไม่มากนัก และจากบรรดาทั้งหมด มีเพียงตนเดียวที่อยู่บนเส้นทางนักล่า!
ดวงวิญญาณดังกล่าวมีแก่นเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี โดยผสานเข้ากับดวงวิญญาณของเทวทูตลำดับ 1 อีกสองตนจากตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์น!
หากเป็นเส้นทางนักล่า คงไม่มีวิญญาณมารตนใดที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกแล้ว เว้นเสียแต่ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์จะยังหลงเหลือเศษเสี้ยวดวงวิญญาณ!
ก่อนหน้านี้ อินซ์·แซงวิลล์อยู่ในเบ็คลันด์ และวิญญาณมารที่น่าจะเป็นเมดีชีก็อยู่ในเบ็คลันด์เหมือนกัน…
และในภายหลัง วิญญาณมารสามารถหลบหนีจากผนึกโดยไม่มีใครทราบที่ไป ในทางกลับกัน อินซ์·แซงวิลล์ก็ถูกวิญญาณมารเข้าจริงจนต้องทุกข์ทรมาน
วิญญาณมารทั้งสองเป็นเส้นทางนักล่าเหมือนกัน…
อย่าบอกนะว่า… วิญญาณมารที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์คือเทวทูตสีชาด? ไคลน์ขมวดคิ้ว แทบไม่เชื่อการคาดเดาของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ยิ่งขบคิดก็ยิ่งมองเห็นถึงความเป็นไปได้!
ท่ามกลางกระแสข้อมูล มันพบหลักฐานสนับสนุนใหม่:
คุณสมบัติพิเศษของ 0-08 ก็คือ ‘ทุกการตระหนักถึงจะถูกล่วงรู้’ แน่นอนว่า เมดีซีที่เป็นราชาเทวทูตจากยุคสมัยที่สอง ย่อมทราบข้อมูลของ 0-08 อย่างทะลุปรุโปร่ง!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากวิญญาณมารตระหนักถึง 0-08 ตัว 0-08 เองก็จะตระหนักถึงวิญญาณมารด้วยเช่นกัน เกิดเป็นความเชื่อมโยงในบางแง่มุม
อา… เรายังเคยได้ยินวิญญาณมารพูดว่า ‘ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน’ … บ้าจริง… แต่ปัญหาก็คือ เราเคยสันนิษฐานว่า วิญญาณมารตนนั้นครอบครองตะกอนพลังลำดับ 1 อย่างน้อยหนึ่งก้อน ไม่มีเหตุผลให้มันต้องไปไล่เก็บผู้วิเศษเส้นทางนักล่า… หรือว่ามันไม่สามารถย่อยตะกอนพลังของลำดับ 1 ได้? ไคลน์ลูบหน้าผากด้วยความเคร่งเครียด ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติสายหมอก
หลังจากนั่งลงและเสกปากกากับกระดาษ มันเขียนประโยคทำนาย
“ผู้ที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์ คือวิญญาณมารที่ถูกผนึกในซากปรักหักพังใต้ดินของอลิสต้า·ทูดอร์”
หลังจากอ่านทวนซ้ำทุกคำนานหลายวินาที ไคลน์ถอดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้ายเพื่อทำนายด้วยลูกตุ้มวิญญาณ
เมื่อลืมตาขึ้น ภาพที่มันเห็นก็คือ
จี้บุษราคัมแน่นิ่ง
หมายถึงการทำนายล้มเหลว
ระดับตัวตนของอีกฝ่ายสูงเกินไป แถมยังมี 0-08… ไม่สิ วิญญาณมารยังมีไพ่นักบวชสีชาด ไพ่ใบดังกล่าวมีพลังต่อต้านการทำนายอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะล้มเหลวเมื่อเผชิญหน้าสามสิ่งนี้พร้อมกัน… อา แต่นั่นก็เท่ากับเป็นการยืนยันทางอ้อมไม่ใช่หรือ? ไคลน์ขบคิดหาเหตุผล ไตร่ตรองเกี่ยวกับวิธีที่พอจะทดสอบหาความจริง
มันเอานิ้วเคาะลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาว พึมพำกับตัวเอง
นอกจากจะฝากฝังให้เลียวนาร์ดคอยชักนำการสืบสวนของถุงมือแดง เราเองก็ต้องลงมือทำอะไรบางอย่างเช่นกัน…
สมมติให้วิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’ เข้าสิงอินซ์·แซงวิลล์และมีโอกาสควบคุมร่างกายเป็นครั้งคราว มันจะหาตะกอนพลังหรือวัตถุดิบของเส้นทางนักล่าได้จากที่ไหน?
ทรีอาร์ เมืองหลวงของอินทิส? นักบุญมิลอน เมืองหลวงของฟุซัค? หรือจะอาศัยไพ่เย้ยเทพเพื่อดึงดูดแมลงเม่าเข้ากองไฟด้วยกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ?
เดี๋ยวก่อนนะ… มันเคยเล่าว่า ลูกหลานของตระกูลเมดีซีอยู่ในท่าเรือแบนชี…
แม้จะถูกทำลายจนราบคาบ แต่ก็น่าจะมีบางสิ่งหลงเหลืออยู่!
นอกจากนั้น วิญญาณมารที่เกิดจากการผสานสามเทวทูตเข้าด้วยกัน มีนิสัยยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของวิญญาณมารที่เลียวนาร์ดอธิบายในจดหมาย… บางที มันอาจจงใจทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้บนเกาะแบนชี…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เสกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกมาพร้อมกับสวดวิงวอน เนื้อหาระบุให้ ‘แฮงแมน’ แวะกลับไปเยี่ยมท่าเรือแบนชีอีกครั้งเพื่อสำรวจหารายละเอียดเพิ่มเติม
หลังจากจัดการเสร็จ ไคลน์ไตร่ตรองอย่างละเอียด หากยืนยันได้ว่าวิญญาณมารในตัวอินซ์·แซงวีลล์เป็นเทวทูตสีชาดจริง ตนสามารถใช้กฎการดึงดูดของพลังพิเศษเพื่อวางกับดักล่วงหน้าได้ไหม?
เส้นทางนักล่า… นักล่า… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พลันนึกถึงนักล่าสองคนที่กำลังเตร็ดเตร่อยู่ในไบลัมตะวันตก
มันขมวดคิ้วเล็กน้อย วิเคราะห์ตามความเคยชิน
ไบลัมตะวันออกและตะวันตกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และระยะทางจากเมืองสุดท้ายที่อินซ์·แซงวิลล์ปรากฏตัว กับเมืองของแคว้นเหนือที่เดนิสกับแอนเดอร์สันอาศัยอยู่ ก็อยู่ห่างกันค่อนข้างมาก ต่อให้เป็นครึ่งเทพ แต่ถ้าไม่มีพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบวัน ในทางทฤษฎี เดนิสและแอนเดอร์สันจะยังปลอดภัยไปอีกสักพัก… ถึงลำดับของพวกเขาจะค่อนข้างต่ำ แต่ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าจะปลอดภัย…
…
ไบลัมตะวันตก แคว้นเหนือ เมืองคูคัว
เดนิสเหลือบมองแอนเดอร์สันด้านข้าง โพล่งขึ้นด้วยคำถาม
“ฉันจะไปสืบหาข้อมูล แล้วทำไมนายถึงยังตามมา? ไม่ใช่ว่าต้องกลับไปทะเลหมอกผ่านท่าเรือเบห์เรนส์รึไง?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น