Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 927-930
ราชันเร้นลับ 927 : อำนาจแห่ง ‘ทรราช’
ภายในเงามืดของอาคาร หัวใจของไคลน์ที่กำลังซ่อนตัวพลันเต้นแรงกะทันหัน แต่เพียงไม่นานก็สงบลง ปราศจากความตื่นตระหนก
เพราะมันมั่นใจเป็นอย่างมากว่า ร่างที่สะท้อนบนผิวเรียบของแผ่นจานทองคำนั้นไม่ใช่ตน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตัวจริง!
ถ้าเป็นตัวไคลน์จริงๆ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซก็ต้องเห็นหมอกสีเทา เห็นภาพประหลาดที่ดูคล้ายสัตว์ในตำนานบางชนิด และนั่นจะทำให้ไคลน์หมดสติไปทันที!
เนื่องจากไม่เผชิญความผิดปรกติใดเลย จึงหมายความว่าภาพสะท้อนใน ‘กระจก’ ไม่ใช่ตัวเรา… ไคลน์เปิดเนตรด้ายวิญญาณพลางสั่งให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซที่ถือไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ เดินเข้าไปใกล้เสาสีซีดที่พังทลายและบ้านโทรม จากนั้นก็แอบปลดปล่อย ‘ความโชคดี’ อย่างเงียบๆ
หุ่นเชิดผิวคล้ำค่อยๆ เข้าใกล้แผ่นจานสีทองทีละก้าว โน้มตัวลงพร้อมกับใช้ไม้เท้าช่วยค้ำและหยิบแผ่นจานขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
แผ่นจานดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองชั้น ภายในและภายนอก แกนกลางเรียบราวกับกระจก ลวดลายไม่ซับซ้อน ส่วนขอบถูกสลักด้วยลวดลายคล้ายนก มอบความรู้สึกงดงามแบบโบราณ
ภาพที่สะท้อนยังคงไม่แปรเปลี่ยน แม้คนที่ส่องกระจกจะเป็นหุ่นเชิดเอ็นโซ แต่ภาพที่ปรากฏกลับเป็นไคลน์ซึ่งมีใบหน้ามืดมนและดวงตาสีซีดไร้อารมณ์ มีแม้กระทั่งคทาเทพสมุทรและมงกุฎกับชุดคลุมของสันตะปาปาที่ติดมากับไพ่ทรราช หากไม่ใช่เพราะปราศจากหมอกสีเทา ไคลน์คงคิดว่าแผ่นจานสามารถสะท้อนผ่านสายของหุ่นเชิดจนมาถึงร่างวิญญาณที่แท้จริงของตนได้ หรือไม่ก็เหมือนกับเหตุการณ์ในความฝันของซากสมรภูมิแห่งเทพที่ ‘นักบุญมืด’ ถูกแบ่งแยกบุคลิกหลังจากเผลอส่องกระจก
หมายความว่ายังไง… ร่างต้นไคลน์ค่อยๆ โผล่ออกจากเงาของอาคารอย่างไม่รีบร้อน กลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับตอนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองกัลเดรอน จากนั้นก็ใช้พลังพิเศษของ ‘ตัวตลก’ เพื่อมองร่างกายตัวเองแบบสามมิติภายในใจ
มือข้างหนึ่งกำลังถือคทากระดูกที่เลี่ยมด้วยเพชรพลอยสีน้ำเงิน สวมเสื้อคลุมและมงกุฎสันตะปาปาที่ประดับประดาด้วยอัญมณีหลายเม็ด ใบหน้าถูกซ่อนอยู่ในเงาดำของมงกุฎจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่อารมณ์ค่อนข้างมืดมนและเย็นชา คล้ายกับซอมบี้ที่เพิ่งถูกขุดออกจากสุสาน!
นี้มัน… ไคลน์พลันประหลาดใจ ไม่คาดหวังว่าจะเป็นตัวมันเองที่เปลี่ยนไป เช่นนั้นจึงหมายความว่า ภาพที่แผ่นจานทองคำกำลังสะท้อนให้เห็น แท้จริงแล้วคือสภาพปัจจุบันของตัวมันเอง ขาดเพียงสายหมอกสีเทา!
แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับหมอกสีเทา ก็แปลว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่… ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว
ตามปรกติแล้ว จากประสบการณ์อันยาวนานของไคลน์ รวมถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ มันเชื่อว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไร แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ตอนนี้ตนกำลังถือ ‘คทาเทพสมุทร’ อาจทำให้การตัดสินใจหุนหันกว่าปรกติ คอยเตือนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เรื่องที่สอง ค่อนข้างชัดเจนว่าเมืองนี้เคยเป็นอาณาจักรแห่งเทพ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี และอาจมีบางสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับคืนชีพหลงเหลืออยู่ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดเหตุการณ์พิสดาร เลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญความตึงเครียดขณะสำรวจ
หลังจากบังคับให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เดินกลับมาและใช้พลังพิเศษในขอบเขตความตายเพื่อตรวจสอบร่างต้นตัวเอง ไคลน์พบข้อสันนิษฐานเบื้องต้น
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เข้าสู่กัลเดรอนจะค่อยๆ ถูกเปลี่ยนให้เป็นคนตาย ลักษณะแบบนี้คล้ายกับโลกแห่งความตาย แต่ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง เช่นถ้าเป็นที่นี่ สิ่งมีชีวิตจะไม่ตายในทันทีและกลายเป็นอันเดดไร้สติ แต่จะค่อยๆ กลายเป็นวิญญาณคนตาย…
เราเพิ่งสังเกตเห็นเพราะเอ็นโซกับลูเธอร์ไวล์ตายไปแล้ว ไม่สามารถกลายเป็นคนตายได้อีกรอบ… สาเหตุที่ทั้ง ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสและ ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรียต่างไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะเหล่านักท่องเที่ยว เทวทูต และ สัตว์วิญญาณที่เคยเข้ามาและมีชีวิตรอดกลับไป ล้วนแล้วแต่กลับสู่สภาวะปรกติได้ตามธรรมชาติ? การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะไม่ส่งผลต่ออิทธิพลของสายหมอกสีเทาที่แทรกแซงโลกความเป็นจริง… ถ้าอย่างนั้น ภาพที่แผ่นจานทองคำสะท้อนให้เห็น คือตัวเราในสภาพคนตาย ไม่ใช่สภาพในปัจจุบัน หรือเป็นตัวเราในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะกัลเดรอน? ไคลน์เอนเอียงไปทางข้อหลังมากกว่า แต่ก็ไม่มีหลักฐานรองรับ
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ
แคร้ง!
แคร้ง! แคร้ง!
น้ำเสียงทั้งหนักแน่นและชัดเจน ประหนึ่งมีคนทุบโลหะ
ไคลน์ไม่รีบตอบสนอง คอยฟังอย่างระมัดระวังเป็นเวลาสองสามวินาที จากนั้นก็บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซวางแผ่นจานทองคำอันหนักอึ้งลง เดินไปยังซากหลุมศพที่อยู่ไม่ไกล
ครึ่งหนึ่งของหลุมฝังศพเป็นอาคารใต้ดิน ด้านบนมีภาษาแห่งความตายเขียนไว้ว่า:
“…ผู้ชายใจร้อน ตายเพราะนำศีรษะของตัวเองไปปะทะกับค้อนของผู้อื่นเพื่อพิสูจน์ความแข็ง”
‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเดินไปรอบๆ ซากหลุมศพ มาถึงประตูทางเข้าอาคารที่ดูคล้ายสุสาน เหยียดแขนซ้ายออกไปหมุนที่จับและดึงประตูออกสุดแรง
ท่ามกลางเสียงสนิม ประตูบานใหญ่ค่อยๆ เปิดอ้า
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ลูกศรสีซีดพุ่งออกมา!
พวกมันถากผ่านใบหน้า ศีรษะ ลำตัว ต้นขาด้านในของเอ็นโซและลอยออกไปไกลจนกระทั่งหัวปักพื้นโดยที่ ‘ผู้ชนะ’ ไม่ได้รับบาดเจ็บ
ต้องยอมรับว่า หุ่นเชิดประเภทนี้เกิดมาเพื่อสำรวจสถานที่อันตราย… ไคลน์ถอนหายใจอย่างโล่งอกสุดขีด บังคับให้เอ็นโซมองไปยังอาคารด้านล่าง
มันพบช่างตีเหล็กคนหนึ่ง เป็นยักษ์ผิวดำที่มีกะโหลกศีรษะแตกในลักษณะคล้ายกับแตงโมถูกทุบ มือข้างหนึ่งกำลังใช้ค้อนยักษ์ทุบใส่ทั่ง แต่บนทั่งไม่มีอะไรวางอยู่
เมื่อเห็นว่ายักษ์กะโหลากศีรษะแตกยังคงมี ‘ด้ายวิญญาณ’ ตามปรกติ ยืนยันว่าไม่ใช่อวตารวิญญาณของใคร ไคลน์ถอนหายใจอีกครั้งด้วยความผ่อนคลาย
ขณะเตรียมให้เอ็นโซสังเกตต่อ ร่างกายของมันพลันเกิดอาการชากะทันหัน ความคิดค่อยๆ เชื่องช้าลง
สำหรับความรู้สึกนี้ มันเคยเผชิญมาก่อน สมัยที่ได้รับอิทธิพลจากสมบัติปิดผนึก ‘2-049’ ในเมืองทิงเก็น นับว่าเป็นภาวะที่คล้ายคลึงกันมาก!
ไคลน์ในอดีตยังขาดประสบการณ์ เพิ่งทราบหลังจากได้เป็น ‘นักเชิดหุ่น’ ว่าอาการแบบนี้หมายถึง ‘ด้ายวิญญาณ’ ของตนกำลังถูกควบคุมโดยสมบัติปิดผนึก!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้มันกำลังถูกใครบางคนเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ!
นอกจากนั้น สิ่งที่แตกต่างไปจากปรกติก็คือ ร่างกายของมันไม่เพียงจะ ‘ขึ้นสนิม’ ในข้อต่อประหนึ่งถูกใครบางคนหยอดกาว แต่ยังเกิดความรู้สึกคล้ายกับเป็นอัมพาตจากการถูกฟ้าผ่า การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบากมาก
ท่าไม่ดีแล้ว… หัวขโมยโลกวิญญาณ… เรามัวแต่ระแวง… ว่าอีกฝ่ายจะใช้อวตารวิญญาณ… ดึงความสนใจ… เพื่อแอบเข้ามาใกล้… แต่เราไม่ทันระวัง… ผู้สมรู้ร่วมคิด… ของมัน… ยักษ์… ช่างตีเหล็ก… ทำให้เรา… ประมาท… และเรา… พึ่งพาหุ่นเชิด… มากเกินไป… จนทำให้… ละเลย… ความปลอดภัย… ของร่างต้น… ความคิดมากมายพรั่งพรูเข้ามาในสมองไคลน์อย่างมิอาจควบคุม คล้ายกับพยายามบดบังความคิดที่จะเอาตัวรอด
ทันใดนั้น ช่างตีเหล็กยักษ์ที่กะโหลกศีรษะแตกยกค้อนขนาดมหึมาขึ้น ปรี่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วประหนึ่งหวังจะทุบหุ่นเชิดเอ็นโซให้เป็นซอสเนื้อ ในเวลาเดียวกัน บริเวณลำคอของไคลน์รู้สึกคล้ายกับมีลมหนาวพัดผ่าน ส่งผลให้รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง
บริเวณโดยรอบที่เคยเงียบสงัด ปัจจุบันมีสัตว์ประหลาดมากมายโผล่ออกจากเสาหินสีซีด บ้างก็โผล่จากซากอาคาร บ้างก็โผล่จากหลุมศพ
บางตนมีเพียงร่างกายท่อนบน บางตนโปร่งใสจนแทบจะมองไม่เห็น บางตนทั้งยืดและย้วยเหมือนก๋วยเตี๋ยว บางตนมีหน้าอกและหน้าท้องเหวอะหวะ เผยให้เห็นอวัยวะภายในชุ่มเลือด บางตนมีใบหน้าสีเขียวเข้มเหมือนกับวิญญาณมาร บางตนมีร่างกายที่เต็มไปด้วยตา บางตนดูคล้ายแมงกะพรุนที่ลอยไปในอากาศ
สายตานับไม่ถ้วนจดจ้องไคลน์จากจุดต่างๆ โดยปราศจากอารมณ์และความรู้สึก
ทันใดนั้น ไคลน์ฝืนอ้าปากด้วยความยากลำบาก เปล่งถ้อยคำแหบแห้งอย่างเชื่องช้า:
“ร้องเพลง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง กึ่งกลางถุงมือข้างซ้ายพลันแยกออกเป็นรูปปาก เผยให้เห็นฟันซี่ขาวสองแถว
“ขอพระองค์จงเจริญ!”
“พระองค์ผู้รังสรรค์ทุกสรรพสิ่ง”
“พระองค์ผู้ปกครองทุกสิ่งจากในเงามืด”
“พระองค์ผู้นำพาความเสื่อมโทรมมายังทุกสิ่งมีชีวิต!”
ท่ามกลางเสียงร้องหวีดแหลมที่ฟังดูคล้ายเสียงเล็บมือขูดกับกระดานดำ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซพลันสะดุดล้มจากฝีมือไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ ที่กำลังพ่นฟองอากาศอย่างตื่นเต้น ช่วยให้หุ่นเชิดรอดพ้นจากการถูกทุบด้วยค้อนยักษ์
“ซ่า! ซ่า! ซ่า!”
ไคลน์ที่เผชิญอาการปวดหัวรุนแรง ได้รับสติและความนึกคิดกลับคืนมาบางส่วน ความคิดที่เริ่มขาดห้วงเริ่มปะติดปะต่ออีกครั้ง
ทว่า ร่างกายยังคงเป็น ‘สนิม’ และเฉื่อยชา
ถัดมา ในสภาพที่ขยับตัวไม่ได้ มันถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปควบคุมหุ่นเชิดลูเธอร์ไวล์ที่กำลังยืนข้างๆ สั่งให้ปล่อยหมัดซ้ายตรงใส่ร่างต้น
เปรี้ยง!
ไคลน์โซซัดโซเซทันที หายจากอาการชาเป็นปลิดทิ้ง
จากนั้น ในสภาพสวมมงกุฎสันตะปาปา จุดเดือดของมันต่ำเป็นพิเศษ อารมณ์กำลังเดือดพล่าน สะบัดผ้าคลุมด้านหลังพร้อมกับยกคทาเทพสมุทร
อัญมณีสีฟ้าสว่างขึ้นทีละเม็ด ทันใดนั้น สายฟ้าสีเงินผุดขึ้นกลางอากาศทีละเส้นสองเส้น
สายฟ้าเหล่านี้แผ่ ‘กิ่งก้าน’ ปกคลุมพื้นที่รอบนอกของเมืองกัลเดรอนในรัศมีกว่าร้อยเมตรจนดูราวกับเป็น ‘ป่าสายฟ้า’ ขณะเดียวกัน ออร่าของพลังทำลายล้างและความเกรี้ยวกราดกำลังครอบงำบรรยากาศอย่างท่วมท้น!
สัตว์ประหลาดที่กรูออกมาจากจุดต่างๆ พลันถูกทำลาย ระเหย หรือไม่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ต่อหน้าแสงสว่างสีเงิน
หลังจากพายุสายฟ้าที่โหมกระหน่ำสงบลง คทาเทพสมุทรในมือ ‘ทรราช’ ไคลน์เริ่มเปล่งแสงแวววาวอีกครั้ง
ฝูงอสรพิษไฟฟ้าที่ดุร้ายและเกรี้ยวกราดกระหน่ำฟาดผ่าลงมายังผืนดินเบื้องล่างจนดูเหมือนกับคลื่นยักษ์
หลังจากปล่อย ‘พายุสายฟ้า’ ออกมาสองระลอกติดต่อกัน ไคลน์พลันอ่อนเพลียสุดขีด แต่สติก็เริ่มกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง
จนกระทั่งมันฉุกคิดถึงบางส่วน หัวใจไคลน์แทบหยุดเต้น
พายุสายฟ้าเป็นการโจมตีวงกว้าง ไม่สามารถจำแนกมิตรหรือศัตรู ผู้ที่ปลอดภัยจะมีเพียงคนถือคทาเทพสมุทรและพวกพ้องใกล้เคียง แต่นอกเหนือจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะเผชิญกับหายนะร้ายแรง!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์อาจยังสบายดี แต่หุ่นเชิดเอ็นโซมีโอกาสสูงที่จะถูกกวาดล้าง
ไคลน์มองกวาดตามสัญชาตญาณและพบ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซกำลังขดตัวอยู่ข้างๆ หลุมฝังศพกึ่งอาคาร ด้านหลังเอ็นโซมีค้อนขนาดยักษ์ที่ยังหลงเหลือประกายไฟฟ้าอย่างชัดเจน โดยใกล้ๆ กันยังมีฝ่าเท้ามหึมาที่ไหม้เกรียมสองข้าง
หลุมศพในตำแหน่งดังกล่าวพังพินาศเป็นส่วนใหญ่ ดินสีดำยังมีประกายสายฟ้าสีเงินหลงเหลือ
ยังไม่ตาย… สมแล้วที่เป็น ‘ผู้ชนะ’ ดวงที่สั่งสมมานานคงถูกใช้ไปจนเกือบหมด… ไคลน์โล่งใจกับฉากตรงหน้า ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาที่เปิดเนตรด้ายวิญญาณ
มันกำลังมองหาหัวขโมยโลกวิญญาณ!
ชายหนุ่มเชื่อว่า ระยะทางที่หัวขโมยโลกวิญญาณสามารถควบคุม ‘ด้ายวิญญาณ’ ไม่น่าจะกว้างไปกว่ารัศมีทำลายล้างของพายุสายฟ้า!
บรรดาอาคารโดยรอบที่เสื่อมโทรมอยู่ก่อนแล้ว ปัจจุบันแทบจะราบเป็นหน้ากลอง หินและกระดูกที่ยังหลงเหลือล้วนมีสภาพไหม้เกรียม แม้แต่แผ่นจานทองคำก็ยังแตกออกจากกัน
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งโผล่ออกจากกองกรวดห่างจากไคลน์เกินกว่าหนึ่งร้อยเมตร
อีกฝ่ายเป็นเพียงชุดคลุมสีขาวโปร่งแสง ไม่มีหัว ไม่มีมือหรือเท้า ดูคล้ายกับถูกสวมโดยมนุษย์ล่องหน
ณ ปัจจุบัน ร่างกายของมันดูทรุดโทรมมาก เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยไหม้ ค่อนข้างน่าสมเพช
หัวขโมยโลกวิญญาณ… พายุสายฟ้าสองระลอกที่เราใช้ออกไปด้วยความฉุนเฉียวและขาดสติยั้งคิด ดูเหมือนจะสยบมันได้หลายส่วน… ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที
ราชันเร้นลับ 928 : หลอกให้ตายใจ
ถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าว
เนื่องจากกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ ทันทีที่เข้าไปในเขตรอบนอกของกัลเดรอนที่ซึ่งปราศจากวิญญาณคนตาย ไคลน์ก็ถูกหัวขโมยโลกวิญญาณ ‘ล็อกเป้า’ ทันที โดยในตอนแรก อีกฝ่ายแอบย้ายแผ่นจานทองคำที่ไม่ทราบที่มา ไปยังเส้นทางที่ ‘ทำนาย’ ไว้ว่าไคลน์จะเดินผ่าน ส่งผลให้ไคลน์มองเห็นผ่านสายตาหุ่นเชิดและเกิดความสนใจ เริ่มเพ่งสมาธิไปที่การ ‘กลายสภาพ’ อย่างผิดปรกติของร่างกาย หลังจากนั้นก็เบี่ยงเบนความสนใจไคลน์ด้วยช่างตีเหล็กคนยักษ์ที่ไม่ใช่อวตารวิญญาณของมัน เมื่อไคลน์เผลอ อีกฝ่ายก็แอบเข้ามาในระยะที่สามารถควบคุมด้ายวิญญาณ จนกระทั่งทำให้ไคลน์เฉื่อยชาได้ด้วยความพยายามเพียงครั้งเดียว
ถ้าไม่ใช่เพราะเราเคยเห็นศพถูกแขวนท่ามกลางเสียงกระดิ่งลมในวิหาร จนเกิดเป็นความหวาดกลัวต่อผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย ส่งผลให้เตรียมหลากหลายวิธีสำหรับหลุดพ้นการถูกควบคุมด้วยวิญญาณ ป่านนี้คงได้กลายเป็นอวตารวิญญาณของหัวขโมยโลกวิญญาณไปนานแล้ว…
อันที่จริง ก่อนเข้ามาในนี้ เราควรคำนึงถึงกฎการดึงดูดของพลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียง… หลังจากถือคทาเทพสมุทร แม้ว่าจะมีพลังสยบจากไพ่ทรราช เรากลับยังหุ่นหันพลันแล่นจนละเลยรายละเอียดสำคัญ…
จากผิวเผิน เรารู้สึกว่าตัวเองรอบคอบเหมือนเคย แต่ในความเป็นจริง เราประมาทโดยไม่รู้ตัว และไม่คิดว่าตัวเองกำลังประมาท… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ยกแขนข้างที่ถือคทากระดูก เตรียมใช้ ‘พายุสายฟ้า’ สำหรับการโจมตีเป็นวงกว้างครั้งถัดไป
ถ้าครั้งเดียวไม่พอก็ต้องสองครั้ง… ถ้าสองครั้งไม่พอก็ต้องสามครั้ง! สรุปโดยสั้น ต้องฉวยโอกาสนี้โจมตีหัวขโมยโลกวิญญาณ ไม่ปล่อยให้มันหลบหนีจากระยะหวังผล!
นี่คือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด และยังเป็นสไตล์การต่อสู้ที่ไคลน์ใฝ่ฝันมาตลอด หากไม่ใช่เพราะสายฟ้าอ่อนแอลงมากภายในเมืองกัลเดรอน มันเชื่อว่าปัจจุบันคงได้เก็บเกี่ยวตะกอนพลังของเหยื่อไปนานแล้ว
หลังจากย่อยโอสถลำดับ 5 จนเกือบสมบูรณ์ พลังวิญญาณของไคลน์ก็มากพอที่กระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่องไปได้อีกสักพัก!
ทันใดนั้นเอง ร่างกายของ ‘มนุษย์ล่องหน’ ในชุดคลุมสีขาวโปร่งแสงพลันลุกโชนไปด้วยไฟสีซีด ก่อนจะหายตัวและโผล่อีกครั้งกลางอากาศในจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร
หัวขโมยโลกวิญญาณใช้พลัง ‘กระโจนเพลิง’ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าไคลน์หลายระดับ สามารถสร้างระยะห่างได้ในพริบตา!
ขณะเดียวกัน ภายในซากปรักหักพังของอาคารที่มันหนีเข้าไปซ่อนตัว คนยักษ์สีน้ำเงินเข้มสูงสี่เมตรกำลังเดินโซเซ
อกและท้องของยักษ์มีรูโหว่ขนาดใหญ่ อวัยวะภายในไม่หลงเหลืออีกแล้ว มันยืนเด่นตระหง่านประหนึ่งขุนเขา กีดขวางกึ่งกลางระหว่าง ‘ทรราช’ กับหัวขโมยโลกวิญญาณ ส่งผลให้ไคลน์มองหาเป้าหมายไม่พบ
ในสายตาไคลน์ ‘ด้ายวิญญาณ’ ของคนยักษ์กำลังรวมตัวกันและหลั่งไหลไปทางหัวขโมยโลกวิญญาณซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย มองผิวเผินก็ทราบทันทีว่าเป็นอวตารวิญญาณ
ด้านบนของคทาเทพสมุทร อัญมณีสีน้ำเงินพลันสว่างวาบ สายฟ้าสองสามเส้นพุ่งออกจากอากาศว่างเปล่า บิดเป็นเกลียวและรวมตัวเป็นลูกศรสีเงินขนาดยักษ์ พุ่งกระแทกศีรษะของคนยักษ์สีน้ำเงินเข้มในพริบตา
แนวป้องกันล่องหนทั้งหมดแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา กะโหลกศีรษะของคนยักษ์แยกออกจากกัน เศษเนื้อไหม้เกรียมนับไม่ถ้วนกระเด็นไปทุกทิศทาง ร่างกายไร้หัวของมันผุดก๊าซสีซีดที่ถูกย้อมด้วยสีเขียวเข้ม ก่อนจะระเหยและสลายไปพร้อมกับพลังชีวิตทั้งหมด
ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในพริบตา ไคลน์ที่สวมมงกุฎและชุดคลุมสันตะปาปายกคทากระดูกในมือขึ้นอีกครั้ง
แสงสีน้ำเงินกวัดแกว่งไปมาเป็นวงกลม สายลมหวีดโบกสะบัดพัดเสื้อคลุมของมัน
เขตรอบนอกเกือบทั้งหมดของกัลเดรอนพลันถูกเมฆมืดปกคลุมท้องฟ้า ท่ามกลางบรรยากาศตรงหน้า สภาพแวดล้อมมืดลงทันทีพร้อมกับแผ่แรงกดดันที่มองไม่เห็น
แปะ! แปะ! แปะ
ละอองฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วตกกระทบพื้นทีละเม็ด เศษฝุ่นที่สั่งสมมานานเริ่มคละคลุ้ง
ซ่า!
เม็ดฝนทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ก่อตัวกลายเป็นพายุฝนฟ้าคะนองระดับภัยพิบัติ
น้ำฝนทำให้เปลวเพลิงสีซีดลดขนาดลง ก่อนจะไหลรวมกันเป็นสายน้ำ ปลายทางคือจุดต่ำสุดของเมืองกัลเดรอน หลุมลึกและมืดมิดเบื้องล่าง
ในสภาพอากาศเช่นนี้ ‘กระโจนเพลิง’ ของไคลน์กลายเป็นหมันอย่างมิอาจเลี่ยง เฉกเช่นหัวขโมยโลกวิญญาณ!
แต่สำหรับ ‘ทรราช’ พลังวิญญาณของมันสามารถแผ่ขยายออกไปรอบๆ ด้วยความช่วยเหลือจากเมฆมืด คล้ายกับเทพที่มองลงมายังพื้นดิน
เมฆมืดทุกก้อน เม็ดฝนทุกเม็ด ทั้งหมดกลายเป็นดวงตาให้ไคลน์ จนกระทั่งพบตัวหัวขโมยโลกวิญญาณอย่างง่ายดาย
‘มนุษย์ล่องหน’ คนนี้สวมชุดคลุมสีขาวโปร่งแสง กำลังซ่อนตัวอยู่หลังเสาสีซีดที่หักโค่น ไม่ไกลจากจุดกึ่งกลางของเขตรอบนอก
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องดังหูดับตับไหม้ กลุ่มสายฟ้ารัดพันเป็นเกลียวสีเงินสว่างและพุ่งออกจากเมฆดำ ดิ่งตรงไปยังหัวขโมยโลกวิญญาณ
อาศัยสัมผัสวิญญาณที่ยอดเยี่ยม ‘มนุษย์ล่องหน’ ตนนี้มุดหลบลงไปในดินได้ทันเวลา
หนึ่งเส้น สองเส้น สามเส้น ลำแสงสีเงินสว่างเส้นใหญ่ พุ่งกระทบพื้นดินในจุดดังกล่าวอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้ดินเริ่มร้อนและละลายกลายเป็นหลุมลึกที่ไหม้เกรียม
ทันใดนั้น หัวขโมยโลกวิญญาณโผล่มาจากอีกด้านหนึ่งและรีบหนีไปหลบในกำบังใกล้เคียง บ้างหลบขวา บ้างหลบซ้าย แหวกว่ายคดเคี้ยวราวกับงู
แต่ไม่ว่ามันจะหนีไปไหน สายฟ้าสีเงินสามารถตามจู่โจมได้ทันท่วงที หรือแม้กระทั่งการยิงดักหน้า ไม่ปล่อยให้มันหลบหนีออกจากพื้นที่
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ทรราชซึ่งเปรียบประหนึ่ง ‘เทพ’ ผู้กำลังมองลงมายังหัวขโมยโลกวิญญาณเบื้องล่าง โบกคทาสีเงินโจมตีเป้าหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกือบทำสำเร็จหลายครั้ง
ยิ่งเวลาผ่านไป ไคลน์เริ่มวิตกกังวล ภายในใจลึกๆ นึกอยากสิ้นสุดการล่าโดยเร็ว จึงตัดสินใจกระตุ้นคทาเทพสมุทรอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจปริมาณพลังวิญญาณที่หลงเหลือ ส่งผลให้สายฟ้าผ่าลงมาถี่ขึ้น
ทันใดนั้น มันรู้สึกอ่อนเพลียรุนแรง
สิ่งนี้ทำให้ไคลน์ได้สติ ค้นพบความผิดปรกติ
ตั้งแต่แรก เห็นได้ชัดว่าหัวขโมยโลกวิญญาณสามารถหนีไปยังส่วนลึกของกัลเดรอนได้ไม่ยากเย็น แล้วทำไมมันถึงยังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ?
ในฐานะสิ่งมีชีวิตของโลกวิญญาณที่ไม่มีร่างเนื้อ มันสามารถดำดินเพื่อหลีกเลี่ยงฟ้าผ่า หลบการจ้องมองจากเบื้องบนของ ‘ทรราช’ แล้วทำไมมันถึงยังโผล่หน้าออกมาในบริเวณใกล้เคียง?
มันกำลังล่อให้เราโจมตี… คงประเมินจากคุณสมบัติของด้ายวิญญาณเราและวิธีที่เราควบคุมหุ่นเชิด จึงทราบว่าระดับของเรายังไม่ถึงครึ่งเทพ และต้องการผลาญพลังวิญญาณของเราให้หมด! ไคลน์พลันตื่นตัวสุดขีด เมื่อผนวกเข้ากับการเผชิญหน้าในครั้งแรก มันเพิ่งตระหนักเมื่อสายว่า หัวขโมยโลกวิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่เจ้าเล่ห์มาก
ขณะเดียวกัน มันผุดคำถามใหม่
‘พายุฝนฟ้าคะนอง’ และน้ำฝนที่ไหลลงไปเมื่อครู่ จะดึงดูดอันตรายจากเขตใจกลางเมืองขึ้นมาที่นี่หรือไม่?
เราประมาทอีกแล้ว เผลอละเลยรายละเอียดสำคัญโดยไม่รู้ตัวบ่อยครั้ง… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ตัดสินใจเก็บคทาเทพสมุทรกลับ
สายฝนหยุดลงทันที เมฆดำในอากาศอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว สภาพอากาศโดยรอบกลับมาเป็นปรกติ
ไคลน์บังคับให้เอ็นโซกลับมาพร้อมกับไม้เท้าวาจาสมุทร โดยระหว่างนั้นก็บังคับให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์คอยป้องกันร่างต้น
ถัดมา หนึ่งคนกับสองหุ่นเชิดค่อยๆ เดินกลับไปยังทางเข้า คล้ายกับต้องการหนีออกจากกัลเดรอนก่อนที่พลังวิญญาณจะแห้งเหือด
ระหว่างนั้น ไคลน์ยังคงเปิดเนตรด้ายวิญญาณเพื่อป้องกันมิให้หัวขโมยโลกวิญญาณเข้าใกล้
มันเพิ่งสังเกตเห็นว่า ด้ายวิญญาณของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ค่อนข้างพิเศษ ด้ายส่วนหนึ่งแผ่ออกจากร่างกายและขยายไปรอบๆ ตามปรกติ อีกส่วนหนึ่งรวมตัวกันเป็นกระจุกหนาและเชื่อมต่อกับผ้าคลุมสีขาวโปร่งแสง
ไคลน์สงสัยว่า นี่คงเป็นสภาวะที่หัวขโมยโลกวิญญาณใช้สำหรับควบคุมอวตารวิญญาณ ถือเป็นวิธีที่แตกต่างจาก ‘นักเชิดหุ่น’
กวาดสายตาสักพัก ทันใดนั้น มันเห็นด้ายมายาสีดำจำนวนหนึ่งยื่นออกจากซากอาคารที่พังทลาย และมีบางส่วนรวมตัวเป็นกระจุกและเชื่อมต่อกับจุดห่างไกล
ไคลน์ไม่ลังเลที่จะยกคทาเทพสมุทรในมือ เส้นสายฟ้าขนาดมหึมาถูกสร้างขึ้นกลางอากาศที่ว่างเปล่า
เปรี้ยง!
ท่ามกลางเสียงอึกทึกที่สั่นคลอนไปทั้งหัวใจและดวงวิญญาณ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ยกมือซ้ายขึ้น
ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันกลายเป็นภาพมายา ฝ่ามือและแขนยืดยาวออกราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด เล็งไปทางซากอาคารหลังดังกล่าว
ระหว่างทาง สีฝ่ามือของมันซีดลงกะทันหัน กึ่งกลางผุดใบหน้ามายาที่นูนยื่น จากนั้นก็แลบลิ้นปลายแหลมที่คล้ายกับงูออกมา ผิวลิ้นปกคลุมด้วยขนสีขาว
ลิ้นดังกล่าวเหยียดยาวออกไปไกลในพริบตา ทะลุผ่านกำแพงและตรงไปยังจุดที่ ‘ด้ายวิญญาณ’ มากองบรรจบกัน จากนั้นก็ ‘ดูด’ วิญญาณที่บิดเบี้ยวและพร่ามัวออกมาหนึ่งดวง
รอบดวงวิญญาณ ด้ายวิญญาณส่วนหนึ่งอันตรธานหายไปอย่างกะทันหัน ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาตั้งแต่แรก
ส่วนดังกล่าวคือกลุ่มด้ายวิญญาณที่เคยจับตัวเป็นกระจุกและเชื่อมต่อกับจุดห่างไกล!
พวกมันคือด้ายวิญญาณปลอม!
หัวขโมยโลกวิญญาณสามารถสร้างด้ายวิญญาณปลอม หรือสลับตำแหน่งกับอวตารวิญญาณได้ในทันที!
ไคลน์รีบกวาดสายตามองไปทางอื่น และไม่ผิดคาด ชายหนุ่มเห็นกลุ่มด้ายวิญญาณกำลังแหวกว่ายอยู่ใต้ดินความเร็วสูง จุดหมายของพวกมันคือร่างต้นของไคลน์
มันใช้งานคทาเทพสมุทรอีกครั้ง เสกสายฟ้าระเบิดที่สามารถแผ่อิทธิพลเป็นวงกว้าง เล็งผ่าลงมายังพื้นดิน
ขณะเดียวกัน ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซใช้โชคที่เหลืออยู่เพื่อเพิ่มความโชคร้ายให้เป้าหมาย พร้อมกับสั่งให้ไม้เท้าวาจาสมุทรยิงสายฟ้าสีเงิน
ด้วยความโชคดี สายฟ้าแหวกผ่านช่องเล็กๆ ลงไปในดิน กระแทกใส่ร่างศัตรูโดยตรง ส่งผลให้ด้ายวิญญาณบางส่วนหายไปทันที
แต่นี่ก็ยังเป็นของปลอม!
กว่าไคลน์จะรู้ตัว ความคิดของมันก็เริ่มเฉื่อยชาอีกครั้ง ร่างกายเป็นอัมพาตเกือบสมบูรณ์
ขณะปากของชายหนุ่มเริ่มขยับอย่างยากลำบาก เตรียมออกคำสั่งกับสมบัติวิเศษ ‘มนุษย์ล่องหน’ ที่สวมผ้าคลุมโปร่งแสงพลันตกลงมาจากท้องฟ้า ร่อนลงตรงหน้าไคลน์
จนถึงเมื่อครู่ หัวขโมยโลกวิญญาณซ่อนตัวอยู่บนท้องฟ้าในจุดที่มีเมฆสีเทาปกคลุม!
ทันทีที่ ‘มนุษย์ล่องหน’ ปรากฏกาย หนอนโปร่งใสตัวหนึ่งคลานออกจากลำคอในจุดที่ควรจะเป็นหัว ผิวของหนอนแมลงสลักลวดลายลึกลับและพิสดาร
เพียงไคลน์จ้องมอง สติของมันพลันระเบิดในพริบตา ต่อให้ไม่ถูกควบคุมด้วยด้ายวิญญาณ แต่ก็ไม่แคล้วต้องสูญเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง
บนใบหน้าภายในเงามืดของมงกุฎสันตะปาปา ตุ่มเนื้อเริ่มผุดขึ้นทีละเม็ดสองเม็ด แต่ละเม็ดค่อนข้างโปร่งใส ดูคล้ายกับหนอนแมลงที่กำลังบิดตัวไปมา
หากไม่ใช่เพราะมีไพ่ทรราชคอยค้ำจุนร่างวิญญาณ ไคลน์คงล้มลงกับพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด เกลือกกลิ้งและทุรนทุราย
หัวขโมยโลกวิญญาณเองก็มีร่างสัตว์ในตำนาน!
ทันใดนั้น ‘มนุษย์ล่องหน’ ในชุดคลุมสีขาวสามารถเข้าควบคุมด้ายวิญญาณของไคลน์ได้ง่ายดายโดยปราศจากอุปสรรค เพียงไม่กี่วินาทีก็ใกล้จะสำเร็จ
ขณะจ้องมองเหยื่อที่กำลังจะกลายเป็นอวตารวิญญาณของมัน หัวขโมยโลกวิญญาณพลันเห็นอีกฝ่ายฝืนขยับปากอย่างยากลำบากและคายคำหนึ่งออกมา
ไคลน์ฟื้นตัวจากสภาวะเกือบคลุ้มคลั่งได้เร็วกว่าที่หัวขโมยโลกวิญญาณคาดไว้มาก และคำที่พ่นออกมาในภาษาเฮอร์มิสโบราณมีใจความว่า:
“โชคชะตา!”
นี่คือคาถาสำหรับใช้งานยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ !
หากไคลน์ต้องการจะหนีจริงๆ เพียงแค่จับไหล่หุ่นเชิดทั้งสองและตัดการเชื่อมต่อพิธีกรรมก็พอ นั่นจะทำให้สามารถส่งตัวเองกลับมายังมิติหมอกสีเทาได้ทันที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินกลับมายังทางเข้าเมืองกัลเดรอน
ทั้งหมดทำไปเพื่อวางกับดักล่อหัวขโมยโลกวิญญาณ!
การที่ไคลน์สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วจากความเจ็บปวดขณะเห็นร่างสัตว์ในตำนานบางส่วน แถมยังมีเรี่ยวแรงเปล่งถ้อยคำสั้นๆ ได้ทันเวลา เป็นเพราะมันเคยเผชิญเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าศัตรูจะใช้วิธีการหรือพลังแบบใด แต่เป้าหมายที่ต้องประสบพบเจอโชคร้าย มักรับมือได้ง่ายกว่าปรกติเสมอ
ย้อนกลับไปในตอนที่ไคลน์สู่สภาวะเฉื่อยชา การตอบสนองแรกมิใช่การสั่งให้สมบัติวิเศษร้องเพลง แต่เป็นการบังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซระเบิดความโชคดีที่เหลืออยู่ทั้งหมด เปลี่ยนให้หัวขโมยโลกวิญญาณต้องพบเจอกับความโชคร้ายแทน!
ราชันเร้นลับ 929 : ร่างวิญญาณที่แท้จริง
“โชคชะตา!”
หลังจากถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณดังกังวาน บรรยากาศรอบๆ ตัวหัวขโมยโลกวิญญาณและไคลน์พลันมืดลงทันที
แต่ก็ไม่ได้มืดมากนัก คล้ายกับเมฆเพิ่งเคลื่อนมาบังท้องฟ้า
ทว่า ในวินาทีที่เงามายาเลือนหายไป ‘มนุษย์ล่องหน’ ในชุดคลุมสีขาวโปร่งแสงพลันแน่นิ่ง พื้นผิวของผ้ามีร่องรอยคล้ายหนอนแมลงกำลังดีดดิ้น ตามร่างกายปรากฏสัญญาณความเมื่อยล้าและเฉื่อยชา
ตรงกันข้ามกับมัน ดวงตาไคลน์ฟื้นคืนความแจ่มใส ใบหน้าภายใต้เงามืดของมงกุฎสันตะปาปาปราศจากตุ่มเนื้อ
คล้ายกับในปัจจุบัน ไม่ใช่หัวขโมยโลกวิญญาณที่กำลังควบคุมด้ายวิญญาณของไคลน์และใกล้ประสบความสำเร็จ แต่เป็นไคลน์ที่กำลังควบคุมด้ายวิญญาณของหัวขโมยโลกวิญญาณ และกำลังจะเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นหุ่นเชิด!
ยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ กำลังสับเปลี่ยนชะตากรรม!
นี่คือยันต์ขั้นสูงที่สร้างขึ้นจาก ‘หนอนกาลเวลา’ สามารถขโมยชะตากรรมของเป้าหมายและนำมาเปลี่ยนเป็นชะตากรรมของผู้ใช้ในระยะเวลาสั้นๆ
ดังนั้น สถานการณ์ของไคลน์กับหัวขโมยโลกวิญญาณจึงสลับที่ ฝั่งหนึ่งเกิดใหม่จากความตาย ฝั่งหนึ่งเปลี่ยนจากผู้ชนะกลายเป็นผู้สิ้นหวัง
หลังจากยืนยันได้ว่า หัวขโมยโลกวิญญาณทั้งฉลาดและรับมือได้ยาก การล่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ไคลน์จึงแสร้งทำเป็นหนีอย่างประมาท แต่ความจริงแล้วจงใจปล่อยให้ตัวเองถูกหัวขโมยโลกวิญญาณเข้าควบคุม ล่อให้อีกฝ่ายปรากฏตัวด้วยร่างจริง จากนั้นก็เตรียมใช้ยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ ในช่วงเวลาวิกฤติ!
ด้วยแผนการดังกล่าว ยิ่งหัวขโมยโลกวิญญาณลงมือกับศัตรูอย่างโหดเหี้ยมเพียงใด สถานการณ์ของตัวมันเองก็จะยิ่งสิ้นหวังมากเท่านั้น!
แน่นอน หากยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ ไม่ประสบความสำเร็จ หรือหัวขโมยโลกวิญญาณไม่ปรากฏร่างจริงออกมา แต่ใช้วิธีบางอย่างเพื่อควบคุมด้ายวิญญาณแทน ไคลน์ยังมีทางออกสุดท้ายที่จะเอาตัวรอด นั่นคือการยุติการอัญเชิญโดยตรง ส่งตัวเองกลับมายังหมอกสีเทา อาจต้องยอมสังเวยหุ่นเชิดทั้งสองตัวและสมบัติวิเศษสักสองสามชิ้นเพื่อความไม่ประมาท
โดยไม่มัวเสียเวลาทึ่งกับประสิทธิภาพของยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ หรือทึ่งกับพลังของเทวทูตจากเส้นทางนักจารกรรม ไคลน์อาศัยประโยชน์จากความจริงที่ว่า การแลกเปลี่ยนทางชะตากรรมยังไม่สิ้นสุด รีบยกคทาเทพสมุทรขึ้นโดยไม่ลังเล
อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มของสันตะปาปาสะบัดพลิ้วท่ามกลางสายลม มงกุฎสีทองสะท้อนแสงสีน้ำเงินและสีฟ้าอ่อน ส่วนหัวของคทากระดูกยิงลำแสงสว่างวาบออกมาในชั่วพริบตา เส้นสายฟ้าพัวพันกันเป็นเกลียวก้อน กระแทกร่างหัวขโมยโลกวิญญาณเข้าอย่างจัง!
แสงสีเงินสว่างวาบท่วมท้นร่างกายเป้าหมาย ย้อมบริเวณโดยรอบให้เป็นสีขาวโพลน
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ไคลน์เสกลูกบอลสายฟ้าอันน่าสะพรึงอย่างต่อเนื่อง เผาผลาญพลังวิญญาณของตนอย่างไม่ตระหนี่
จนในที่สุด ชายหนุ่มได้ยินเสียงคำรามต่ำที่คล้ายกับดังมาจากส่วนลึกของดวงวิญญาณ สัมผัสวิญญาณแจ้งว่าเป้าหมายถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว
ไคลน์ลดคทาเทพสมุทรลง เฝ้ามองสายฟ้าสีเงินเลือนหาย
ปัจจุบัน ร่างวิญญาณของมันเริ่มขาดความคมชัด แม้จะถูกเสริมความแข็งแกร่งจากไพ่ ‘ทรราช’ แต่ก็ยังเลือนรางลงหลายส่วน
เมื่อแสงจากสายฟ้าสลายไป ไคลน์มองเห็นร่างของ ‘มนุษย์ล่องหน’ ในชุดคลุมสีขาวโปร่งแสงอีกครั้ง
หลังจากมีแสงขุ่นมัวสว่างขึ้นจากภายใน ร่างของหัวขโมยโลกวิญญาณเกิดระเบิดกะทันหัน แตกตัวกลายเป็นฟองอากาศมายานับไม่ถ้วน
‘ทรราช’ ประสบความสำเร็จในการล่า
แต่ทันใดนั้น มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเกิดขึ้นในส่วนลึกของเมืองกัลเดรอน คล้ายกับสัตว์ประหลาดยักษ์กำลังลืมตาตื่นเนื่องจากตายของหัวขโมยโลกวิญญาณ หรือไม่ก็เป็นการพรั่งพรูของสิ่งมีชีวิตที่อันตรายจำนวนนับไม่ถ้วน
ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเริ่มควบแน่นกลายเป็นกลุ่มก้อนแสงมายาสีเทาที่มีลักษณะเหมือนสายน้ำ ค่อยๆ หลั่งไหลขึ้นมาด้านบนทีละนิด
หัวขโมยโลกวิญญาณตัวอื่น? ไม่ใช่ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวกลัวกว่านั้น… ตัวตนที่หัวขโมยโลกวิญญาณที่รับใช้? นอกจากนั้น ในส่วนลึกของกัลเดรอน ปลายสุดของหลุมลึกสีดำ บรรยากาศยังคงเงียบเชียบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา นั่นยิ่งทำให้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก… จิตไคลน์เริ่มตึงเครียดและฟุ้งซ่าน ระหว่างที่รอให้ตะกอนพลังของหัวขโมยโลกวิญญาณควบแน่น มันเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับความเคลื่อนไหวในส่วนลึกของกัลเดรอน
ทั้งที่ล่าเหยื่อสำเร็จ แต่มันมีได้เต็มไปด้วยความสุข ตรงกันข้าม มีเพียงความกังวลราวกับยืนอยู่บนขอบเหว
ระหว่างนี้ ไคลน์บังคับให้เอ็นโซและลูเธอร์ไวล์ขยับเข้ามาใกล้ จากนั้นก็โยนคทาเทพสมุทรให้ ‘ผู้ชนะ’ เป็นคนถือ เป็นการขจัดความใจร้อนและหุนหันพลันแล่น มีสติขบคิดอย่างใจเย็นเกี่ยวกับวิธีรับมือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงทบทวนรายละเอียดเล็กๆ ที่ตนอาจมองข้ามในช่วงที่ผ่านมา
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พลันหวนนึกถึงบางสิ่ง
ในตอนที่มันสั่งให้สมบัติวิเศษร้องเพลง ยุบพองหิวโหยเอาแต่กล่าวสรรเสริญคำพระผู้สร้างแท้จริง แถมยังเอ่ยถึงพระนามเต็มอันสูงส่งโดยตรง
แม้ถุงมือหนังมนุษย์จะมิได้ใช้ภาษาเก่าแก่อย่างเฮอร์มิสโบราณที่สามารถกระตุ้นพลังธรรมชาติ แต่ภาษาที่มันเปล่งออกมาก็ยังเป็นเฮอร์มิสซึ่งสามารถใช้ในพิธีกรรมสังเวย! กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระผู้สร้างแท้จริงอาจได้ยินคำสรรเสริญจากยุบพองหิวโหยและพบว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นที่นี่
นอกจาก ‘กระแสน้ำสีเทา’ ที่เพิ่มขึ้นจากเบื้องล่างและสิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงจากส่วนลึกของเมือง ตอนนี้ยังมีอันตรายอื่นถูกเพิ่มเข้ามา… หืม… จริงสิ… ตอนนี้เราอยู่ในร่างวิญญาณ มีสถานะเทียบเท่ากับวิญญาณอาฆาต… ขณะความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง สัมผัสวิญญาณของไคลน์พลันถูกกระตุ้น จึงมองไปยังทางเข้าเมืองกัลเดรอนตามจิตใต้สำนึก
ณ ที่นั่น เกิดแสดงสว่างวาบพร้อมกับมีร่างหนึ่งย่างกรายเข้ามา
บุคคลดังกล่าวสวมชุดคลุมผ้าลินินเรียบง่าย ผมสีเงินยาวสลวย
เพศชาย ใบหน้าอ่อนโยนและสง่างาม ดวงตาแฝงความเย็นชาเล็กๆ คล้ายกับกำลังเฝ้ามองชะตากรรมของทุกคนบนโลก
ด้านหลังของมัน แสงสว่างเริ่มก่อตัวเป็นปีกมายาบริสุทธิ์ผุดผ่องที่สยายออกไปด้านข้าง บดบังแสงทางเข้าจนสลัว
“…” ไคลน์เกือบหลุดแหกปาก ชุดของคำนามพลันแล่นเข้ามาในสมอง
โอโรเลอุส!
ผู้กลืนหาง!
เทวทูตโชคชะตา!
ราชาเทวทูต!
มันไม่มีเวลามัวคำนึงถึงความเป็นไปได้ในอนาคต ร่างวิญญาณของไคลน์พองตัวในสภาพมายา ฮุบกลืนเอ็นโซและลูเธอร์ไวล์เข้าไปในเวลาเดียวกัน รวมถึงเศษฟองอากาศจากศพหัวขโมยโลกวิญญาณที่กำลังควบแน่นเป็นตะกอนพลัง!
ทันใดนั้น กระจกตาสีเงินของโอโรเลอุสพลันสะท้อนร่างหนึ่งจากระยะไกล อีกฝ่ายแผ่บรรยากาศความน่าเกรงขามและพลังสะกดข่มสิ่งรอบข้าง สวมมงกุฎและชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มของสันตะปาปา รอบกายรายล้อมด้วยหมอกสีเทาที่ถูกออร่าของทรราชบดบังไปบางส่วน
เพียงพริบตา สายน้ำแห่งแสงปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้างของโอโรเลอุส ลักษณะคล้ายกับกำลังโอบล้อม ‘ทรราช’ และเขตรอบนอกของเมืองกัลเดรอนทั้งหมด
ท่ามกลางความเงียบสงัด อาคารสี่เหลี่ยมและต้นเสาสีซีดที่เคยถูกทำลายโดยพายุฝนฟ้าคะนอง ถูกฟื้นฟูให้กลับมามีสภาพดังเดิม แม้แต่ช่างตีเหล็กคนยักษ์ที่เคยเหลือเพียงสองเท้าไหม้เกรียม ก็ได้รับร่างกายกลับคืนมาและปรากฏตัวในสุสาน ใช้ค้อนทุบทั่งจนเกิดเสียงดัง
เหตุการณ์ทั้งหมดย้อนกลับไปในตอนที่ ‘ทรราช’ เริ่มเข้ามาในเมือง
แต่ปราศจากไคลน์ที่แต่งตัวเหมือนสันตะปาปา ปราศจากหุ่นเชิดสองตัว และปราศจากเศษฟองน้ำที่เหลือจากศพของหัวขโมยโลกวิญญาณ
เมื่อพบว่าตัวละครหลักของเหตุการณ์มิได้ถูกย้อนกลับมาฉาย ภาพมายาตรงหน้าแตกสลายคล้ายเศษกระจกทันที กลับไปเป็นความพังพินาศตามเดิม
‘ผู้กลืนหาง’ โอโรเลอุสเฝ้ามองอย่างเงียบงันสักพัก ไม่กระทำสิ่งใดเป็นเวลานาน โดยระหว่างนั้น ‘กระแสน้ำสีเทา’ ที่หลั่งไหลขึ้นมาจากส่วนลึกของกัลเดรอน ค่อยๆ ยุบตัวกลับลงไป
…
เหนือหมอกสีเทา ไคลน์ทรุดตัวลงอย่างเหนื่อยล้าบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล อ่อนเพลียเสียจนเอ็นโซและลูเธอร์ไวล์ไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งจะบีบนวดไหล่และขา
ชายหนุ่มโยนคทาเทพสมุทรกลับเข้าไปในกองขยะ จากนั้นก็ดึงไพ่ทรราชก็ออกจากร่างวิญญาณและวางลงข้างๆ ไพ่จักรพรรดิมืด ส่วนเศษฟองน้ำของหัวขโมยโลกวิญญาณกำลังลอยอยู่ข้างหน้า ยังคงควบแน่นเป็นตะกอนพลังอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ รวมตัวกลายเป็นจุดแสง
หลังจากพักผ่อนได้ครู่หนึ่ง ไคลน์เห็นเศษฝุ่นสีเทาตกลงบนผิวโต๊ะทองแดงยาวที่มีลวดลายโบราณ พร้อมกันกับวัตถุโปร่งแสงที่ดูคล้ายไม่มีน้ำหนัก
วัตถุดังกล่าวมีขนาดเท่าฝ่ามือ เกิดจากการรวมร่างของเส้นใยจำนวนมากที่ดูคล้ายหนอนแมลง รูปทรงโดยรวมของวัตถุดูคล้ายมนุษย์ ด้านในเต็มไปด้วยของเหลวไร้สี ผุดฟองอากาศสีเข้มเป็นระยะ
ไคลน์ไม่สามารถมองเข้าไปตรงๆ เนื่องจากวัตถุโปร่งใสไร้น้ำหนักตรงหน้ามีโครงสร้างที่สมบูรณ์และซับซ้อนเกินไป พื้นผิวเต็มไปด้วยลวดลายลึกลับที่ยากจะอธิบาย ประหนึ่งเป็นศูนย์รวมของความรู้ พลังอำนาจ การเปลี่ยนแปลง ความลึกลับ ความพิสดาร และความบ้าคลั่ง ไม่ใช่วัตถุในเชิงนามธรรมอีกต่อไป
ภาพตรงหน้าทำให้ไคลน์ปวดหัวรุนแรง จิตใจแทบแตกสลายคล้ายกับกำลังจะคลุ้มคลั่ง
นี่คือร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณ… ละอองฝุ่นของมันก็ด้วย… ประมาณเจ็ดสิบกรัมเห็นจะได้ เกินกว่าความจำเป็นไปมาก… ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ พลางเก็บฝุ่นใส่กล่อง จากนั้นก็โยนกล่องไปทางกองขยะพร้อมกับ ‘ร่างวิญญาณที่แท้จริง’ ปิดท้ายด้วยการฉาบหมอกสีเทาปกคลุม
จัดการทั้งหมดเสร็จ มันยกมือขึ้นมาลูบหน้าผาก หัวเราะเยาะตัวเองเสียงแผ่ว
ถ้าเราไม่ได้ถือคทาเทพสมุทร… หลังจากถูกหัวขโมยโลกวิญญาณโจมตี ตัวเราที่เยือกเย็นกว่านั้นคงตัดสินใจถอนตัวออกจากเมืองกัลเดรอนทันที รอจนกระทั่งมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง ค่อยกลับมาล่ามันอีกครั้งอย่างรัดกุม ไม่ทำให้พื้นที่ในส่วนลึกของเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง…
เฮ่อ… มีแต่ความประมาทเต็มไปหมด แม้ผลลัพธ์จะออกมาดี แต่ก็ไม่เข้ากับบุคลิกของเราเลยสักนิด… แถมยังไม่สอดคล้องกับการสวมบทบาทของเส้นทางนักทำนาย ในอนาคตคงต้องพยายามเลี่ยงการใช้คทาเทพสมุทรนอกมิติหมอก…
อา… ในเมื่อหัวขโมยโลกวิญญาณถูกล่าเรียบร้อยแล้ว คงไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากมิสชารอน ไว้อีกสักสองสามวันค่อยเขียนจดหมายไปหา เธอจะได้ไม่ต้องมัวกังวลกับเรื่องนี้…
แต่เรามีลางสังหรณ์ว่า… ในอนาคตจะได้ไปเยือนกัลเดรอนอีกครั้ง อาจยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากมิสชารอน…
นอกจากนั้น… เราต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมารพิสดารให้มาก ไม่ควรฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเมืองเงินพิสุทธิ์…
ท่ามกลางกระแสความคิดมากมาย ไคลน์ส่งตัวเองกลับโลกความจริงโดยมิได้นำหุ่นเชิดออกมาด้วย สิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญและเดินไปที่เตียงนอน ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียสุดขีด
…
“หนีไปได้?” โซสต์มองหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม พลางซักถามดาลีย์·ซิโมเน่ที่กำลังสื่อวิญญาณ
ปัจจุบัน ถุงมือแดงเพิ่งบรรลุภารกิจและสามารถจับกุมตัวสมาชิกนิกายวิญญาณได้หลายสิบคน แต่บุคคลสำคัญที่สุดในข่าวกรองอย่าง ‘มือสีซีด’ ปาลังเก้·ทัสซิบกลับมิได้อยู่ในแหล่งกบดาน
อีกฝ่ายเป็นถึงครึ่งเทพในลำดับ 4 หน่วยถุงมือแดงจึงไม่เพียงจะใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 1 ในปฏิบัติการ แต่ยังขอความช่วยเหลือจาก ‘ดวงตาเทพธิดา’ ท่านเจ้าคุณอิลิยา ถึงกระนั้นผลลัพธ์กลับยังน่าผิดหวัง
ดาลีย์·ซิโมเน่พยักหน้า
“ถูกต้อง”
เธอมองไปทางเชลย ถามด้วยน้ำเสียงล่องลอย
“ปาลังเก้·ทัสซิบไปไหน”
“เขาบอกว่า… ต้องออกไปพบใครบางคน” สมาชิกนิกายวิญญาณตอบเสียงเอื่อย
“ไปพบใคร?” เมื่อดาลีย์·ซิโมเน่ตั้งคำถาม เลียวนาร์ด·มิเชลและคนที่เหลือต่างหันมามอง
เหยื่อที่ถูกสื่อวิญญาณตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“อินซ์·แซงวีลล์”
ราชันเร้นลับ 930 : อดีตองค์กร
“อินซ์·แซงวิลล์”
ได้ยินชื่อดังกล่าว ถุงมือแดงทั้งหมดพลันปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดไปสักพัก
นับตั้งแต่อดีตบิชอปรายนี้ลงมือทรยศ โบสถ์รัตติกาลก็ไม่เคยหย่อนยานในการตามล่าตัว อาร์ชบิชอปและอาวุโสใหญ่ที่ทำงานเบื้องบนต่างผลัดกันรับผิดชอบงานนี้ บ้างก็เบิกสมบัติปิดผนึกออกไปตรวจตราหาเบาะแส แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยล็อกเป้าอินซ์·แซงวิลล์ได้เลยสักครั้ง อีกฝ่ายมักจะหนีไปได้ท่ามกลางกระแสความบังเอิญที่โชคดี มองไม่เห็นแม้แต่เงา ระหว่างนั้น มันยังก่อเรื่องร้ายแรงอีกหลายครั้งและฆ่าเหยี่ยวราตรีไปมากมาย
สำหรับโบสถ์รัตติกาล โดยเฉพาะเหยี่ยวราตรี อินซ์·แซงวีลล์คือความเกลียดชังถึงขั้นต้องการสาปแช่งให้ตาย!
เลียวนาร์ด·มิเชลกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว หายใจลึกกว่าเดิมเล็กน้อย
มันรีบบังคับอารมณ์ให้หยุดพลุ่งพล่าน เบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น
เข้าใจแล้วว่าทำไมดอน·ดันเตสถึงบังเอิญเจออินซ์·แซงวิลล์บนเกาะกึ่งกลางทะเลคลั่ง เพราะจุดหมายของรายหลังคงเป็นทวีปใต้ แถมยังเป็นไบลัมตะวันออก!
ขณะทุกคนกำลังเงียบ ดาลีย์·ซิโมเน่ใช้ร่างวิญญาณของตนสร้างเสียงที่ล่องลอย เย็นเยียบ และราบเรียบ ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเร็วในการพูดเล็กน้อย
“ไปพบกันที่ไหน”
สมาชิกนิกายวิญญาณส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย
“ไม่ทราบ”
ดาลีย์ถามคำถามอีกสองสามข้อ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบตรงตามที่ต้องการ
ในที่สุด เธอก้าวถอยหลังและมองหน้าโซสต์ หัวหน้าหน่วยถุงมือแดง
โซสต์ถอนหายใจ
“อันดับแรก แจ้งข้อมูลนี้ให้ท่านเจ้าคุณ ‘ดวงตาแห่งเทพธิดา’ ทราบ ให้ท่านแจ้งกับทางศาสนจักรว่า อินซ์·แซงวิลล์ที่พกพา 0-08 ไม่ใช่ศัตรูที่หน่วยถุงมือแดงของเราสามารถรับมือไหว… ประการที่สอง สืบหาเบาะแสของปาลังเก้·ทัสซิบเพื่อแกะรอย จากนั้นก็ภาวนาให้พวกเราพบจุดประสงค์ที่แท้จริงของอินซ์·แซงวิลล์… ท่ามกลางสถานการณ์ที่เราไม่สามารถสะกดรอยหรือล็อกเป้ามันได้ การสืบทราบจุดประสงค์จะช่วยระบุตำแหน่งได้ดีที่สุด และอาจทำให้เราสามารถวางกับดักล่วงหน้า… ประการสุดท้าย นับแต่นี้เป็นต้นไป ใส่ใจทุกความบังเอิญที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเสมอ ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ต้องรายงานให้ผมทราบ!”
“ครับ หัวหน้า!” สมาชิกถุงมือแดงขานตอบพร้อมเพรียง ส่วนเลียวนาร์ดยังคงนิ่งเงียบ เพียงหันไปมองดาลีย์·ซิโมเน่และพบว่า ‘ผู้เฝ้าประตู’ ที่มักเรียกตัวเองว่าผู้สื่อวิญญาณรายนี้ กำลังมีสายตาที่มืดมน
ขณะเดียวกัน เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังกังวานในใจ
“หึหึ… ดูเหมือนว่า ข้ากำลังจะได้ดูละครวิ่งไล่จับสนุกๆ แล้วสินะ”
ตาแก่หมายความว่ายังไง? หรือกำลังบอกใบ้บางสิ่ง? อย่าบอกนะว่า… ทั้งที่พวกเราเพิ่งวางแผนตรวจสอบจุดประสงค์ของอินซ์·แซงวิลล์ แต่กลับถูก 0-08 ตระหนักถึงเรียบร้อยแล้ว? เลียวนาร์ดถอนสายตากลับ ภายในใจผุดความคิดใหม่
ถ้า ‘คนที่ตายไปแล้ว’ แอบสืบสวนเกี่ยวกับอินซ์·แซงวีลล์ 0-08 จะยังตระหนักถึงอยู่หรือไม่?
…
หลังจากหลับไปสองชั่วโมง ไคลน์ลูบหน้าผากที่ยังปวดแปลบ ค่อยๆ พยุงตัวลุกจากเตียง
จากนั้น มันดึงกริ่งประตูและรอพนักงานเสิร์ฟมาถึง
ผ่านไปไม่นาน ชนพื้นเมืองที่แต่งกายตามธรรมเนียมชาวโลเอ็น – เสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีแดง เดินมาหยุดที่หน้าห้องพร้อมกับเคาะประตูด้วยนิ้ว
ไคลน์บิดที่จับและแง้มประตูเปิด ออกคำสั่งเสียงแผ่ว
“ส่งชุดอาหารกลางวันมาที่ห้องได้เลย วันนี้ผมกินก่อนเวลา”
ณ เวลานี้ มันกำลังปรากฏตัวด้วยร่างของหุ่นเชิดผิวแทน เอ็นโซ – ในฐานะสุภาพบุรุษที่มีคนรับใช้ติดสอยห้อยตามมาถึงสองคน แถมยังเข้าพักห้องหรูหรา ย่อมไม่มีทางที่จะออกมาสั่งบริกรด้วยตัวเอง
“ตกลงครับ อาหารกลางวันหนึ่งชุด ต้องการอะไรเป็นพิเศษไหม?” บริกรชาวพื้นเมืองหยิบกระดาษและปากกาออกมาจด ขณะก้มหน้าบันทึก มันถามเป็นภาษาโลเอ็นด้วยสำเนียงที่ค่อนข้างแปลก
ไคลน์ตอบด้วยภาษาโลเอ็นสำเนียงแปร่งๆ ไม่ต่างกัน
“จานหลักเป็นเนื้อตุ๋น เสิร์ฟพร้อมไวน์ซ่า น้ำแข็ง และมะนาว”
“รับอาหารสำหรับคนใช้สองที่ด้วยไหมครับ” พนักงานเสิร์ฟพื้นเมืองถามตามหน้าที่
ไคลน์เงียบไปสักพัก
“เอาด้วย”
กล่าวจบ มันปิดประตูและรีบประกอบพิธีกรรมนำเอ็นโซกับลูเธอร์ไวล์ออกจากหมอกสีเทา สำหรับยุบพองหิวโหยและวาจาสมุทร พวกมันถูกทิ้งไว้ในกองขยะชั่วคราว รายหนึ่งถูกทิ้งเพราะความหิว อีกรายหนึ่งถูกทิ้งเพราะไคลน์ไม่อยากฟังเพลง
หลังจากไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดเก็บกวาดห้อง พนักงานเสิร์ฟหลายคนทยอยเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารกลางวัน ผ่านไปไม่นาน ภายในห้องเหลือเพียงเสียงมีดส้อมปะทะกับจานชาม รวมถึงเสียงเคี้ยวแผ่วเบา
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์วางมีดส้อมลง หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความพึงพอใจ ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาพลางพึมพำ
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราได้อ้วนจริงๆ แน่…”
หุ่นเชิดสูญเสียความสามารถในการกินโดยสมบูรณ์ แต่ไคลน์ก็ต้องพยายามปกปิด เลี่ยงไม่ได้ที่จะเพิ่มปริมาณอาหารตามจำนวนคนรับใช้ ส่งผลให้มันต้องกินมากกว่าปรกติ
“…โชคดีที่เราเป็นผู้ไร้หน้า” ไคลน์เรอพลางปิดปาก ตามด้วยดื่มไวน์ซ่าภายในแก้ว
มันเพิ่งรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายอย่างแท้จริง และมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะขบคิดเกี่ยวกับรายละเอียดการสำรวจกัลเดรอน
เส้นทางนักจารกรรมน่ากลัวมาก ลำพังยันต์ที่สร้างด้วย ‘หนอนกาลเวลา’ ก็มากพอจะก่อให้เกิดปาฏิหาริย์… ไม่มีทางจินตนาการออกว่า ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ที่เป็นราชาเทวทูตจะแข็งแกร่งสักเพียงใด… ต่อให้เป็นแค่ร่างโคลน ก็คงไม่ง่ายที่จะรับมือ… โชคดีที่เราไม่ใช่คนกล้าหาญส่งเดช รู้จักเลียนแบบการตัดสินใจของผู้ที่มีประสบการณ์ เลือกหนีมายังทวีปใต้…
พระผู้สร้างแท้จริงเพ่งเล็งเราเป็นพิเศษสินะ… ถึงกับส่ง ‘ผู้กลืนหาง’ โอโรเลอุสมาด้วยตัวเอง…
รู้สึกเหมือนกับกำลังเดินทางข้ามเวลา… เทวทูตที่เคยเห็นแต่ในจิตรกรรมฝาผนังโบราณ โผล่ตัวเป็นๆ ออกมาให้เห็นในระยะใกล้ชิด… โชคดีที่เราสามารถยุติการอัญเชิญได้ในพริบตา…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เผยสีหน้าตึงเครียดหลังจากพบปัญหาใหญ่:
โอโรเลอุสเป็นราชาเทวทูตจากเส้นทางสัตว์ประหลาด!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อีกฝ่ายสามารถมองเห็นความพิเศษของไคลน์ได้โดยตรง เห็นไปถึงหมอกสีเทา เห็นประตูมายาที่สร้างขึ้นจากลูกบอลแสง เห็นหนอนโปร่งใสและโปร่งแสงที่ก่อตัวเป็นลูกบอลแสง!
ท่าไม่ดีแล้ว… เทวทูตโชคชะตาที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สองย่อมมีความรู้มากมาย และพระผู้สร้างแท้จริงอาจรู้มากยิ่งกว่านั้น… มีโอกาสพวกมันจะทราบว่าเราเป็นเจ้าของมิติลึกลับเหนือหมอกสีเทา… ไม่ว่าจะเห็นมากน้อยแค่ไหน แต่ระดับความสนใจที่มีต่อเราจะต้องเพิ่มขึ้นมากแน่! ไคลน์กำหมัดด้วยมือขวาและเลื่อนขึ้นมาจ่อปาก พิจารณาการสิ่งที่ชุมนุมแสงเหนือหรือกุหลาบไถ่บาปอาจกระทำ
ปัจจุบันยังค่อนข้างโชคดี ไม่ว่าจะกุหลาบไถ่บาปหรือชุมนุมแสงเหนือ พวกมันยังไม่เคยล็อกเป้ามาที่สาวกของเดอะฟูล
แต่ในการต่อสู้อันแสนวุ่นวายนอกเมืองบายัม ด้วยใบหน้าของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์ได้ทิ้งถุงมือ ‘อินธน์’ ที่ปนเปื้อนออร่าของพระผู้สร้างแท้จริงเพื่อล่อนักบุญจากชุมนุมแสงเหนือ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้นักผจญภัยเสียสติถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อของบุคคลต้องสงสัย
หากสืบขยายผลจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พลเรือเอกดวงดาว พลเรือโทธารน้ำแข็ง เดนิส และแอนเดอร์สันก็อาจถูก ‘สอบสวน’ โดยชุมนุมแสงเหนือเช่นกัน… จำเป็นต้องเตือนพวกเขา… ไคลน์ถอนหายใจยาวพลางลุกขึ้นยืน เตรียมส่งตัวเองเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก
ตามความเห็นของมัน การไล่ล่าของชุมนุมแสงเหนือค่อนข้างพิเศษ แตกต่างจากการไล่ล่าของกองทัพ โบสถ์วายุสลาตัน โรงเรียนกุหลาบ และนิกายวิญญาณ บรรดาสาวกของพระผู้สร้างแท้จริงล้วนเป็นพวกเสียสติ ไม่กลัวที่จะทำเรื่องบ้าบิ่น แถมยังมีราชาเทวทูตเดินดิน ผู้นำขององค์กรที่สามารถแอบส่องโชคชะตาของคนอื่น ต่อให้แคทลียาหรือคนที่เหลือจะล่องเรือในทะเล แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกหาพบ
จากบรรดาทั้งหมด ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าและ ‘นักล่าอันดับหนึ่งแห่งทะเลหมอก’ แอนเดอร์สัน ไม่ใช่บุคคลที่ไคลน์เป็นกังวลมากนัก พวกมันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชุมนุมทาโรต์เลย ไม่มีทางนำพาปัญหามาให้ สิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือ พวกเสียสติของชุมนุมแสงเหนืออาจใช้วิธีการที่รุนแรงเพื่อสอบสวนหาคำตอบ
…
ไบลัมตะวันตก แคว้นภาคเหนือ ณ เมืองคูคัวที่ปกครองโดยเมซันเญส
เดนิสที่กำลังกัดบาร์บีคิวพลันชะงักกะทันหัน เนื่องจากได้ยินข้อความของเดอะฟูล เป็นการฝากเตือนความจำโดยเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกทอดหนึ่ง
“จงระวังนิกายวิญญาณ ระวังชุมนุมแสงเหนือ โดยเฉพาะรายหลังต้องระวังเป็นพิเศษ แล้วก็ฝากเตือนแอนเดอร์สันกับเอ็ดวิน่าด้วย”
ระหว่างนิกายวิญญาณ… ระวังชุมนุมแสงเหนือ… ก่อนหน้านี้ยังไม่พออีกหรือไง… มีทั้งกองทัพ โบสถ์วายุสลาตัน โบสถ์รัตติกาล โรงเรียนกุหลาบ… เกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำอะไรลงไปอีกแล้ว? ทำไมถึงสร้างความบาดหมางไว้มากขนาดนี้! แม่เย็*! สีหน้าเดนิสพลันบิดเบี้ยว
มันยังไม่ทราบข่าวที่ว่า ตำแหน่งนายพลโจรสลัดที่แข็งแกร่งที่สุดมีการเปลี่ยนมือแล้ว
“นึกอะไรขึ้นได้รึไง?” แอนเดอร์สันวางมีดสำหรับหั่นเนื้อลงพลางเลิกคิ้ว ซักถามด้วยความสงสัย
เดนิสแอบสูดลมหายใจเข้า ยอกย้อนถามอย่างมีวาทศิลป์
“นายเคยได้ยินชื่อชุมนุมแสงเหนือไหม”
มันไม่แน่ใจว่าแอนเดอร์สันจะรู้เรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุด ชุมนุมแสงเหนือทำตัวค่อนข้างลึกลับ ชื่อเสียงของพวกมันถูกจำกัดเฉพาะภายในอาณาจักรโลเอ็น
แอนเดอร์สันหัวเราะ
“ที่ฉันตกใจกว่าก็คือ นายเคยได้ยินมาจากไหน? กัปตันเป็นคนบอกหรือ?”
โดยไม่รอให้เดนิสตอบ มันใช้นิ้วมือสางผมสั้นๆ พลางพึมพำต่อ
“พวกมันเชื่อในพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งบนโลกจะมีกลิ่นอายของเทพแฝงอยู่ เชื่อว่าชีวิตเป็นเพียงการเดินทางของดวงวิญญาณ ขอเพียงตั้งใจฟังคำสอนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าใจ ค้นพบ และสั่งสมบารมีเทพจนกลายเป็นเทวทูตได้ในที่สุด มีพลังบิดเบือนความเป็นจริง… เป็นแนวคิดที่ฟังดูค่อนข้างดี แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ พวกมันศรัทธาพระผู้สร้างแท้จริง…”
ได้ยินถึงตรงนี้ เดนิสอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน
“นายเองก็รู้เยอะพอตัว แต่ยังน้อยกว่าฉันนิดหน่อย”
แอนเดอร์สันยกมุมปากทันที ยิ้มอย่างร่าเริง
“ไม่ใช่เรื่องแปลก… ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นสมาชิกขององค์กรในอินทิส พวกมันต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงโลก เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับโลกเหนือธรรมชาติให้คนทั่วไปได้ทราบ และกลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริง”
“พวกมันถูกเรียกว่าชุมนุมกางเขนเหล็กโลหิต ศรัทธาในพระผู้สร้างแท้จริงเช่นกัน”
สีหน้าเดนิสพลันแข็งทื่อ เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น