Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 921-926
ราชันเร้นลับ 921 : สุภาพไว้ก่อน
เมื่อกล่าวถึงความเข้าใจเกี่ยวกับเทพบรรพกาล ไคลน์มีความรู้ทัดเทียมผู้วิเศษลำดับสูงส่วนใหญ่ เพราะท้ายที่สุด เบื้องหลังของชายหนุ่มมีเมืองเงินพิสุทธิ์ที่รอดมาจากยุคสมัยที่สองคอยสนับสนุนด้านข้อมูลเกี่ยวกับตำนานโบราณ
เท่าที่มันทราบ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารีเป็นเทพธิดาบรรพกาลในขอบเขตของความตาย แต่หลังจากพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ลืมตาตื่นและไล่ทวงคืน ‘อำนาจ’ เกรจารีได้ถูกสร้างความเสียหายอย่างหนัก จนกระทั่งร่วงหล่นลงในช่วงปลายยุคสมัยที่สอง
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของเธอยังไม่ได้หายไปไหน ยังมีร่องรอยหลงเหลือจวบจนยุคสมัยปัจจุบัน อย่างน้อยก็ในฐานะผู้สร้างโลกแห่งความตาย!
เมืองแห่งความตาย… วิญญาณนิรนาม… เทพธิดาบรรพกาล… ฟังดูอันตรายมาก… ไคลน์มองไปยังเครื่องรับโทรเลขที่อยู่ตรงหน้า ดำดิ่งไปกับความคิดของตน
กุกกุกกุก! กระดาษมายาสีขาวถูกพ่นออกมาเพิ่ม
“แต่นอกจากนั้น ข้าไม่ค่อยมั่นใจ… นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามีข้อเสนอแนะ ท่านอยากได้ยินไหม?”
ถามได้ดี… ไคลน์สลัดความคิดพลางพยักหน้า
“ว่ามา”
เสียงของเครื่องรับโทรเลขเริ่มเบาลงและถี่ขึ้น ถ้อยคำหนึ่งบรรทัดของปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนกระดาษมายาสีขาว
“เกี่ยวกับเมืองกัลเดรอน ท่านสามารถถาม ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรียได้โดยตรง”
สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพา ‘แสงแดง’ … ไคลน์พยักหน้ากับตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็ถาม
“การเปิดหน้ากาก ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ จะทำให้เกิดอันตรายไหม?”
“ไม่!” คำตอบที่แน่วแน่ปรากฏขึ้นในดวงตาไคลน์
เยี่ยม… ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“วันนี้พอแค่นี้”
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่และปราดเปรื่อง ภายในหนึ่งหนึ่งถึงสองนาทีข้างหน้า สายตาคู่หนึ่งจะจ้องมาทางนี้! อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน เฝ้ารอการเรียกหาครั้งถัดไปเสมอ ลาก่อน~” เสียงของเครื่องรับโทรเลขดังอย่างฉะฉาน
ภายในอีกหนึ่งถึงสองนาที? แล้วทำไมถึงไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้? ไคลน์ออกท่าทางลนลาน คล้ายกับเห็นการนับถอยหลังของระเบิดเวลา มันรีบใช้วัสดุเดิมของแท่นบูชาที่ยังไม่ถูกเก็บกวาด ประกอบพิธีกรรมสังเวย โยนเครื่องรับโทรเลขเข้าไปยังมิติเหนือสายหมอก
จัดการทั้งหมดเสร็จ หลังจากยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติรอบตัว ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดลูเธอร์ไวล์เดินฉากไปทางด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมองโดยตรง จากนั้นก็ถอดหน้ากากสีเงินสว่างออก
แสงสีซีดเข้มพลันสว่างวาบ แต่มิไม่ได้เจิดจ้าเท่ากับที่ไคลน์เคยเห็นขณะต่อสู้กับลูเธอร์ไวล์ครั้งล่าสุด แสงสว่างเพียงปกคลุมพื้นที่ขนาดเล็กโดยรอบ คล้ายกับเทียนไขที่ใกล้ดับมอด
ขณะเดียวกัน ความรู้สึกเย็นชาและมืดมนของสภาพแวดล้อมรอบๆ เลือนหายไปพร้อมกับเครื่องรับโทรเลขไร้สาย แปรเปลี่ยนเป็นบรรยากาศเจือความสยองขวัญอย่างคลุมเครือ
ภาพดังกล่าวทำไคลน์นึกถึงสุสาน นึกถึงโลกแห่งความตายในตำนาน
ผ่านไปไม่กี่วินาที เมื่อไม่พบความผิดปกติเพิ่มเติม มันสั่งให้หุ่นเชิดอีกตัวหนึ่ง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเดินไปหยุดหน้า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เพื่อสังเกตใบหน้าใต้หน้ากากอย่างระมัดระวัง
ใบหน้าดังกล่าวแทบไม่มีเลือดเนื้อ ผิวหนังสีซีดแนบติดกับกระดูก โปร่งใสคล้ายผลึกแก้ว
ภายใต้ ‘ผลึกแก้ว’ เงาโปร่งใสที่ยากจะอธิบายกำลังเวียนว่ายไปมาด้วยความเร็วสูง บางครั้งก็โผล่บนกะโหลกศีรษะ บางครั้งก็หดตัวลงในช่องว่างและโผล่บนฟัน
หากเป็นหนึ่งถึงสองเดือนก่อนสมัยที่เพิ่งเดินทางข้ามโลกได้ไม่นาน ไคลน์คงหวาดผวากับรูปลักษณ์ของพลเรือเอกขุมนรกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปัจจุบัน มันเคยเห็นการกลายพันธุ์มากมาย รวมไปถึงภาวะคลุ้มคลั่งของผู้วิเศษ รูปลักษณ์เพียงแค่นี้มิอาจทำให้จิตใจหวั่นไหว
หลังจาก ‘วิจัย’ อย่างละเอียด ไคลน์เริ่มเข้าใจสภาพปัจจุบันของลูเธอร์ไวล์
ทั้งหมดเกิดจากคุณสมบัติพิเศษของ ‘ผู้เฝ้าประตู’
หลังจากกลายเป็นลำดับ 5 ผู้เฝ้าประตู ผู้วิเศษสามารถใช้บางส่วนร่างกายทำหน้าที่เหมือน ‘กรง’ โดยกรงดังกล่าวคือประตูที่เชื่อมกับ ‘โลกแห่งความตาย’ สามารถกักเก็บวิญญาณคนตายและวิญญาณเร่ร่อนได้จำนวนหนึ่ง ด้วยวิธีนี้ พวกมันจะได้รับพลังพิเศษหลากหลายชนิด มีตัวช่วยทรงพลังที่พร้อมรบตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องพกกองทัพอันเดดติดตัวไปไหนมาไหนให้สะดุดตา
สิ่งนี้คือต้นตอของตำนานพื้นบ้านมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ‘วิญญาณอยู่ข้างหลังคุณ’ อันโด่งดัง
‘ผู้เฝ้าประตู’ ยังมีอีกหนึ่งนิยามที่เป็นความหมายเก่าแก่นั่นคือการคอย ‘เฝ้า’ โลกแห่งความตายที่กักเก็บไว้ในร่าง ห้ามมิให้วิญญาณที่ถูกกักขังหลบหนี และสามารถใช้งานพวกมันเพื่อทำประโยชน์ สอดคล้องกับสัญลักษณ์ที่เป็นบานประตูมายา
และหลังจาก ‘มรณาโบราณ’ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารีทำการเปิดโลกแห่งความตาย พระองค์ได้มอบเศษเสี้ยว ‘อำนาจ’ ในขอบเขตความตายให้กับผู้เฝ้าประตูทุกคน ส่งผลให้ผู้วิเศษในลำดับนี้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
เหตุผลที่ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ต้องสวมหน้ากากไว้เสมอ เพราะมันทำการกักขังสิ่งมีชีวิตของโลกแห่งความตายที่ทรงพลัง ในแง่หนึ่ง สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ถูกมันใช้งาน แต่ในทางกลับกัน สิ่งดังกล่าวก็กัดกร่อนร่างกายอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนให้ลูเธอร์ไวล์กลายเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งคนตาย โดยในเวลาเดียวกัน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังคงเชื่อมต่อกับโลกแห่งความตายตลอดเวลา พยายามเปิดประตูเพื่อกลับไปที่นั่น
นี่คือพลังที่เกิดจากการรวมความแข็งแกร่งของผู้เฝ้าประตูและอำนาจในขอบเขตความตายไว้ด้วยกัน ยิ่งสวมแหวนมรณาเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพ ลูเธอร์ไวล์สามารถขยายขนาด ‘ประตูของโลกแห่งความตาย’ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจนทิวลิปดำสามารถแล่นผ่านเข้าไป
ครึ่งคนครึ่งคนตาย… ไม่น่าแปลกใจที่ลูเธอร์ไวล์กล้าเข้าสู่โลกแห่งความตายโดยตรง มนุษย์ทั่วไปคงมิอาจอาศัยอยู่ในนั้นได้แม้แต่วินาทีเดียว… อา… สิ่งมีชีวิตจากโลกแห่งความตายที่มันกักขังไว้ ช่วยเปลี่ยนให้ร่างกายลูเธอร์ไวล์มีคุณสมบัติแบบเดียวกับวิญญาณ จึงสามารถดึงร่างวิญญาณของผู้อื่นออกจากร่างเนื้อได้โดยตรง เราเคยโดนกับตัวมาแล้ว… ทันใดนั้น ไคลน์บังคับให้พลเรือเอกขุมนรกสวมหน้ากากสีเงินสว่างกลับไป
หน้ากากมีหน้าที่ปลอบวิญญาณ ช่วยให้สิ่งมีชีวิตจากโลกแห่งความตายในตัวลูเธอร์ไวล์อยู่ในภาวะสงบนิ่ง…
เมื่อกระจ่าง ไคลน์หันเหความสนใจกลับไปยังแท่นบูชาอีกครั้ง
มันเตรียม ‘ติดต่อ’ กับเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณ
สำหรับเรื่องนี้ ไคลน์มีสองตัวเลือก หนึ่งคือการประกอบพิธีกรรม ‘พันธสัญญาลับ’ และพิธีกรรม ‘สื่อวิญญาณ’ หลังจากพิจารณาสักพัก ไคลน์เลือกอย่างหลัง เนื่องจากพิธีกรรมพันธสัญญาลับจะต้องปลดปล่อยร่างวิญญาณให้เป็นอิสระเพื่อติดต่อกับสิ่งมีชีวิตปลายทาง จากนั้นก็ ‘รับ’ ความรู้ พลัง ความช่วยเหลือ หรือประสบการณ์ทางวิญญาณปริมาณหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความคิดและความลับของตนก็ต้องถูกเปิดเผยต่ออีกฝ่ายด้วย
ส่วนพิธีกรรมสื่อวิญญาณก็ยังมีสองประเภทให้เลือก หนึ่งคือการสื่อสารโดยตรง และสองคือพิธีกรรม ‘วิญญาณสถิต’ อย่างไรก็ตาม แสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณนั้นขึ้นชื่อในด้านความสูงส่ง หากร้องขอการสื่อสารโดยตรง ไคลน์ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะตอบสนอง ดังนั้น มันต้องเตรียมตัวเผื่อไว้ในกรณีที่อีกฝ่ายเลือกสนทนาแบบ ‘วิญญาณสถิต’ ถือเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ
จุดเทียนสามเล่มเสร็จ มันหยดของเหลวจำพวกน้ำมันสกัดมินต์ ตามด้วยการหยิบ ‘กระดาษคน’ วางไว้บนแท่นบูชาเพื่อเป็นภาชนะของ ‘วิญญาณสถิต’ – หากไม่มีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน เป้าหมายของพิธีกรรม ‘วิญญาณสถิต’ จะกลายเป็นตนแทน เหมือนกับที่เดนิสทำกับ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า และเมื่อประกอบพิธีกรรมไปยัง ยังมีอีกสองสถานการณ์รออยู่ หนึ่งคือการที่ผู้ประกอบพิธีกรรมถูกครอบงำจนหมดสติ ถูกอีกฝ่ายควบคุมร่างเพื่อสนทนาถามตอบกับ ‘บุคคลที่สาม’ ส่วนแบบที่สอง ผู้ถูกครอบงำยังมีสติรู้ตัว โดยที่ผู้ครอบงำจะควบคุมบางส่วนของร่างกายเพื่อสนทนา ยกตัวอย่างเช่น การพูดด้วยปากหรือเขียนด้วยมือ
หลังจากไคลน์เตรียมพิธีกรรมขั้นต้นเสร็จในเวลาอันสั้น มันก้าวถอยหลังและเปิดปาก ท่องคาถาภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ตัวข้า! ขอวิงวอนในนามของตัวข้า! ขอภาวนาการสื่อสารกับแสงสว่างแห่งโลกวิญญาณที่ไม่เคยจางหาย ศูนย์รวมของความรู้อันไร้ก้นบึ้ง ‘สีแดง’ ผู้ถือครองอำนาจและเจตจำนง…”
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างพิธีกรรมสื่อวิญญาณกับพิธีกรรมปรกติก็คือ ผู้ประกอบพิธีมิอาจสวดวิงวอนถึงเทพได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดารัตติกาลหรือเทพปัญญาความรู้ แต่หากพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพถูกเอ่ยในพิธีกรรม จุดจบเดียวคงหนีไม่พ้นความล้มเหลว
จากมุมมองของศาสตร์เร้นลับ สิ่งนี้หมายความว่า เจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณมิได้เข้าฝ่ายหรือเป็นข้ารับใช้ของเทพตนใด
หลังจากร้องขอการสนทนากับวิญญาณธรรมชาติเสร็จ ไคลน์เห็นแสงเทียนสามดวงพลันขยายตัวอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวจนดูคล้ายกับบานประตูที่เปิดออก
รอบแท่นบูชาถูกความเงียบงันและมืดมิดปกคลุมทันที ดวงตาที่ยากจะอธิบายกำลังมองมาจากทิศทางต่างๆ กัน
ลมหนาวพัดกระโชก นอกจากเทียนสามเล่ม วัตถุทั้งหมดบนแท่นบูชาพลันลอยขึ้นไปในอากาศ จากบรรดาพวกมัน กระดาษคนค่อยๆ พยุงตัวยืนตรง ผิวกระดาษถูกย้อมด้วยสีแดงสว่างคมชัด ดูไม่เหมือนเลือดเลยสักนิด
“สวัสดีครับ” ไคลน์นึกทบทวนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือศาสตร์เร้นลับบางเล่ม ตามด้วยการทักทายตามมารยาทที่ถูกต้อง
อากัปกิริยาของมันคล้ายกับกำลังเผชิญหน้าอาจารย์
กระดาษคนสีแดงสว่างผงกศีรษะแผ่วเบา จากนั้นก็เปล่งเสียงมายาอันสง่างาม
“สวัสดี”
ค่อนข้างสุภาพ… เป็นอย่างที่คิด… พิธีกรรมสื่อวิญญาณกลายเป็นสถิตวิญญาณ โชคดีที่เตรียมตัวล่วงหน้า… หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ไคลน์กล่าวด้วยท่าทีจริงใจและให้เกียรติ
“ท่านไอร์·โมเรีย ผมมีบางสิ่งอยากจะถาม”
“เรียกไอร์·โมเรียเฉยๆ เถอะ… เชิญถาม” กระดาษคนที่ลอยอยู่ในอากาศ กล่าวกับไคลน์อย่างสุภาพยิ่งกว่า
“ผมต้องการทราบข้อมูลของเมืองกัลเดรอน” ไคลน์ยังคงไม่เปลี่ยนทัศนคติ เพราะในจักรวรรดิแห่งอาหารมีคำกล่าวอันโด่งดังว่า: ไม่เคยมีใครตำหนิผู้ที่สุภาพเกินไป
กระดาษคนสีแดงที่เกือบจะโปร่งใส ไตร่ตรองราวสองวินาทีและตอบ
“ขอทราบจุดประสงค์ได้ไหม”
ไคลน์ไม่ปิดบัง ตอบตรงไปตรงมา
“ล่าหัวขโมยโลกวิญญาณ”
ศีรษะของกระดาษคนขยับเล็กน้อย
“นั่นก็จริง เป็นเรื่องง่ายที่จะหาหัวขโมยโลกวิญญาณในเมืองกัลเดรอน สำหรับสถานที่อื่น หัวขโมยโลกวิญญาณเปรียบดังหยดน้ำในทะเล แถมยังจำแนกได้ยากมาก แม้แต่ข้าก็พบพวกมันไม่บ่อยครั้ง แถมยังมิอาจล็อกเป้าได้เป็นเวลานาน… พวกมันจะอาศัยอย่างชุกชุมในพื้นที่หลักของกัลเดรอน มีเพียงจำนวนน้อยที่กระจัดกระจายรอบนอก ตราบใดที่เจ้าไม่พยายามสำรวจเข้าไปลึก อันตรายก็คงไม่มากนัก น่าเสียดาย ด้วยเหตุผลบางประการ ที่นั่นห้ามมิให้เจ็ดแสงพิสุทธิ์อย่างเราเข้าไป ไม่อย่างนั้น พวกเราอาจให้ความช่วยเหลือเจ้าได้”
“ที่นั่นเคยเป็นอาณาจักรของเทพธิดาบรรพกาล เกรจารี?” ไคลน์ที่เริ่มวางใจ ซักถามเพื่อยืนยัน
กระดาษคนกล่าว
“ถูกต้อง เทพมรณาโบราณหวังจะใช้ ‘เมืองแห่งความตาย’ ในการคืนชีพ แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ‘อำนาจ’ ถูกยึดครองไปโดยเทพมรณาของไบลัม… ทว่า นั่นยิ่งทำให้เมืองกัลเดรอนทวีความอันตราย เพราะสิ่งที่เทพธิดาบรรพกาลเตรียมการเอาไว้ เกิดกลายพันธุ์หลังจากแผนการล้มเหลว ส่วนจะกลายพันธุ์เป็นอะไรนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
งั้นหรือ… ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ จากนั้นก็ยิงอีกหลายคำถามจากหลายแง่มุม จนกระทั่งได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ
…
บายัม ด้านนอกบ้านหลังที่ใกล้กับเขตท่าเรือ
อัลเจอร์และ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียากำลังรอให้คนข้างในรับประทานอาหารเย็นด้วยความอดทน
ราชันเร้นลับ 922 : เห็ดและปลา
มองไปยังมุขหน้าต่างที่สะท้อนแสงจากโคมไฟแก๊สติดผนัง อัลเจอร์ผู้เสื้อคลุมศีรษะและหน้ากาก เตรียมขอรายละเอียดของแผนการ แต่ทันใดนั้น มันเห็นเงาโผล่ออกจากความมืดสนิทในบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะกลายร่างเป็นชายหนุ่มร่างผอมบาง ผิวซีดคล้ายคนป่วย
‘ไร้เลือด’ ฮีธ ดอยล์… อัลเจอร์ทราบทันทีว่านี่คือผู้ช่วยกัปตันเรืออนาคตกาล
ฮีธไม่ได้มองอัลเจอร์ เพียงตรงไปทาง ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาและกล่าว
“กัปตัน พวกมันไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติ ยังคงนำเห็ดเหล่านั้นไปทำเป็นซุปครีม และเตรียมใช้เนื้อปลาทอดเป็นอาหารหลักในคืนนี้”
“ดีมาก” แคทลียาถอดแว่นตาหนาเตอะที่สันจมูกออก ด้วยดวงตาสีม่วงลึกลับ เธอมองไปทางตำแหน่งของห้องอาหารภายในบ้านซึ่งมีกำแพงกั้นไว้
ฮีธ·ดอยล์มิได้สานต่อบทสนทนา ร่างกายมืดลงและหดกลับไปอยู่ในเงามืด ไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายซ่อนอยู่ตรงไหน
หลังจากฟังบทสนทนาจบ ผนวกกับสิ่งที่มาดามเฮอร์มิท เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พอจะเข้าใจถึงแก่นสำคัญของการแผนในคืนนี้
เห็ด!
เห็ดพิษ!
แม้จะไม่ทราบวิธีที่พลเรือเอกดวงดาวใช้เพื่อทำให้สัญชาตญาณของผู้วิเศษภายในบ้านกลายเป็นหมันจนมิอาจแยกแยะระหว่างเห็ดธรรมดากับเห็ดพิษ แต่อัลเจอร์ก็เชื่อว่าสิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกเหนือธรรมชาติ
มันลังเลและกล่าว
“วิธีนี้จะทำให้ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์เสียชีวิตไหม?”
‘ช่างฝีมือ’ เถื่อนนับว่าหายากมาก หากเลือดได้ อัลเจอร์ก็ไม่ต้องการสูญเสีย ‘เพื่อน’ แบบนี้ไป สำหรับมัน ทางออกที่ดีที่สุดคือการกักขังอีกฝ่ายไว้ ชุบเลี้ยงในฐานะช่างฝีมือส่วนตัวสำหรับตนและเฮอร์มิท
“ไม่” แคทลียาส่ายหัวอย่างใจเย็น อธิบายอย่างคร่าว “พิจารณาจากข้อมูลของคุณ รวมถึงรายละเอียดที่ลูกเรือของฉันสังเกตเห็น มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ชาฟฟ์ไม่ชอบปลาอย่างมาก ออกไปทางรังเกียจ เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก้างปลาติดคอสมัยเด็ก”
อาศัยจุดดังกล่าว แคทลียาตัดสินใจเลือก ‘ปฏิบัติการเห็ด’ แผนนี้สามารถกัดกร่อนพลังงานของศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของภารกิจได้มาก
ก่อนอื่น แคทลียาตัดเห็ดที่สามารถดูดซับเลือดเนื้อเพื่อขยายพันธุ์ในสภาพแวดล้อมมืดมิดออกไปเป็นอันดับแรก เพราะเห็ดชนิดนี้สามารถถูกตรวจพบความผิดปรกติได้ด้วยสัมผัสวิญญาณ ไม่ต่างอะไรกับการตรวจจับยาพิษ นอกจากนั้น ผู้วิเศษที่นับถือดวงจันทร์บรรพกาลย่อมมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสมุนไพร พืช และผลไม้ ลำพังการตรวจสอบด้วยสายตา ก็มากพอจะช่วยให้จำแนกเห็ดอันตรายได้
หากต้องการซ่อนจากสายตาของพวกมัน มีแต่ต้องเลือกใช้อาหารที่ไม่เป็นอันตรายเท่านั้น โดยการกลายพันธุ์จะเกิดขึ้นหลังจากสัมผัสกับสิ่งอื่น
ณ จุดนี้ เห็ดที่แฟรงค์สร้างขึ้นนับว่าสมบูรณ์แบบ!
หากไม่สัมผัสกับปลาและน้ำ เห็ดชนิดดังกล่าวก็เป็นแค่เห็ดธรรมดา ไม่ทำให้คนกินได้รับพิษ ไม่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง ร่างกายจะย่อยอย่างช้าๆ พร้อมกับแยกส่วนประกอบจนกระทั่งถูกขับออกจากร่างกาย – ถึงตรงนี้ ต่อให้สัมผัสกับปลาและน้ำก็เปล่าประโยชน์
เพื่อการนั้น แคทลียาบอกให้แฟรงก์สร้างผลผลิตจากโครงการที่เคยพับเก็บไปแล้ว หลังจากได้รับเห็ดชุดหนึ่ง เธอสัญญาว่าจะล่า ‘นักบวชกุหลาบ’ จากชุมนุมแสงเหนือมาให้เป็นเหยื่อในการทดลอง
“เกลียดปลา…” อัลเจอร์พึมพำ พบว่าตนตามความคิดของเฮอร์มิทไม่ทันแล้ว
มันถามอย่างชัดเจนว่า เห็ดพิษจะทำให้ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์เสียชีวิตหรือไม่ แต่อีกฝ่ายกลับตอบว่า ‘ช่างฝีมือ’ จะไม่ตายเพราะเขาไม่ชอบกินปลา แถมยังรังเกียจมาก
เชื่อมโยงกันตรงไหน? อัลเจอร์ถามตัวเองในใจ แต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป
มันยังคงเงียบ เมื่อตัดสินใจที่จะรอ ก็มีแต่ต้องสังเกตสถานการณ์อย่างตั้งใจ
ผ่านไปสักพัก จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากบ้าน พร้อมด้วยเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด รวมถึงเสียงอาเจียน
“ลงมือ” แคทลียาออกคำสั่งอย่างรัดกุม
ร่างของเธอโปร่งใสทันที ประหนึ่งรูปปั้นที่สร้างจากหมู่ดาวพราวพราย
รูปปั้นดังกล่าวพังครืนในพริบตา ดวงดาวจำนวนมากล่องลอยไปทางประตูบ้าน แทรกผ่านช่องว่างด้านล่าง
จากนั้น ดวงดาวกลับมาประกอบกันเป็นแคทลียาอีกครั้ง
ถัดมา เธอได้ยินเสียงลมหวนที่อื้ออึง
กรอบประตูพลันสั่นสะเทือน บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ที่สวมผ้าคลุมศีรษะและหน้ากากเริ่มบุกเข้ามาในตัวบ้าน มิได้ล่าช้าไปกว่าพลเรือเอกดวงดาวมากนัก
ดวงตาของมันกวาดไปจนทั่ว เพ่งมองไปทางตำแหน่งห้องอาหารอย่างรวดเร็ว
‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ผงะถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดผวา พยายามออกห่างจากโต๊ะยาว
บนพื้นมีชายสองหญิงหนึ่งกำลังนอนแผ่ เห็ดถูกอาเจียนออกจากปากอย่างต่อเนื่อง โดยบริเวณหน้าอกและท้อง เสื้อผ้าของพวกมันฉีกขาดออกจากกัน มีเห็ดค่อยๆ งอกเงย
เมื่อตระหนักว่ามีใครบางคนเข้ามา พวกมันเงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก เผยให้เห็นสปอร์สีขาวบนใบหน้ากระจุกแล้วกระจุกเล่า
อัลเจอร์ที่กำลังสวมหน้ากาก ใบหน้าของมันกระตุกแผ่วเบาอย่างมิอาจหักห้าม
แม้จะมีประสบการณ์โชกโชนและมากไปด้วยความรู้ แถมยังเป็นผู้วิเศษที่เคยเห็นฉากสยองขวัญมากมาย ทว่า ภาพตรงหน้ากลับยังส่งผลกระทบต่อจิตใจที่เข้มแข็งของมัน
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาคาดหวังสิ่งนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะน่าสยดสยองขนาดนี้ หลังจากผงะไปครู่หนึ่ง เธอใช้มือขวาบีบปากเพื่อเป่านกหวีด
เชือกมายาโผล่ขึ้นจากพื้นห้อง รัดพันรอบลำตัวสาวกดวงจันทร์บรรพกาลทั้งสามคน
“มีวิธีหยุดสิ่งนี้ไหม?” แคทลียาหันหน้าไปทางเงาตรงมุมห้อง
หลังจากเงียบไปสักพัก เสียงของฮีธ·ดอยล์ดังขึ้น
“แฟรงค์เล่าว่า เขาไม่เคยศึกษาหาวิธีหยุด มีแต่ต้องเผาทิ้งเท่านั้น”
เผาทิ้ง… คิ้วของแคทลียาขยับเล็กน้อย ทันใดนั้น เธอหยิบผงบางอย่างออกจากถุงลับหนึ่งกำมือและโปรยออกไป
คล้ายกับผงดังกล่าวมีชีวิต พวกมันตกลงบนร่างกายสาวกดวงจันทร์บรรพกาลทั้งสามคน รวมถึงเห็ดบนตัว
เปลวไฟสีแดงลุกโชนอย่างเงียบงัน แผดเผาทุกสิ่งที่สัมผัสโดยปราศจากเสียง
‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ที่ตกตะลึงหลังจากเห็นการกลายพันธุ์ เตรียมต่อสู้กับผู้บุกรุกด้วยสมบัติวิเศษ แต่เพียงพริบตาก็ตัดสินใจยอมจำนน เนื่องจากพบว่าอีกฝ่ายคือ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา ทำเพียงยืนรอรับชะตากรรมอย่างใจเย็น
มันเชื่อว่าตนมีคุณค่าพอให้ใช้งาน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีทางถูกฆ่าทิ้งทันที และพลเรือเอกดวงดาวก็ไม่เคยมีชื่อเสียงด่างพร้อย
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เราต้องเข้าร่วมกลุ่มโจรสลัดดวงดาว… นอกจากนั้น พลเรือเอกโจรสลัดรายนี้ยังดูดีกว่าภาพวาดบนใบประกาศจับ มอบอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง… ชาฟฟ์ดึงสร้อยคอเขี้ยวหมาป่า มันยิ้มแห้งๆ อย่างประจบสอพลอ รอให้ผู้บุกรุกบอกจุดประสงค์
แคทลียาเหลือบมองมัน ตรวจสอบรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังสักพักจนกระทั่งยืนยันว่าเป็นเพียงชาวอินทิสทั่วไป ไม่พบความคล้ายคลึงใดๆ กับราชินี
พลเรือโจรสลัดกล่าวหลังจากครุ่นคิด
“เพื่อนบางคนแนะนำให้ฉันจ้างนายสร้างสมบัติวิเศษ แต่ดันพบนายอยู่กับสาวกดวงจันทร์บรรพกาล… ฝีมือของทั้งสามไม่แข็งแกร่งมากนัก ไม่เพียงพอจะสยบนายได้ แล้วทำไมถึงไม่หนีออกมา?”
สำหรับแคทลียา ศัตรูตัวฉกาจของแผนการนี้คือตัวช่างฝีมือเอง เพราะเธอไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ และเป็นการยากที่จะสยบอีกฝ่ายภายในเวลาอันสั้น เพราะชาฟฟ์พกพาสมบัติวิเศษหลายชนิดและจับคู่กันอย่างเหมาะสม เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่า ผลลัพธ์กลับลงเอยด้วยความราบรื่นผิดจากที่คาด
ชาฟฟ์ยิ้มและตอบ
“ประการแรก พวกมันจัดว่าค่อนข้างแข็งแกร่งในบายัม เมื่ออาศัยกลิ่นหอมและผงของดอกไม้บางชนิด ฉันต้องป่วยเป็นโรคประหลาดและอ่อนแอลงอย่างกะทันหัน”
แคทลียาชำเลืองด้วยหางตา กล่าวโดยไม่มองหน้า
“ปัจจุบัน สุขภาพของนายเป็นปรกติแล้ว ทำไมถึงยังไม่หนีออกมา?”
อัลเจอร์ทำเพียงมองอย่างเงียบงันจากด้านข้าง มิได้พูดแทรกออกไป เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตจากเสียง
‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์หัวเราะแห้ง
“ในตอนที่ถูกคุมตัว พวกมันบอกกับฉันว่า ขอเพียงเชื่อใน ดวงจันทร์บรรพกาล ด้วยพิธีกรรมบางชนิด อาการป่วยเรื้อรังบางอย่างของฉันสามารถถูกรักษาให้หายขาด แน่นอน ฉันลองทดสอบโดยไม่ขัดขืน และผลลัพธ์ก็น่าทึ่งมาก ฉันได้รับความรู้สึกของชายชาตรีกลับมา”
กล่าวจบ มันเว้นวรรคเล็กน้อย พบว่าตัวเองพูดมากเกินไป เล่าแม้กระทั่งโรคที่เป็นอย่างลับๆ
พอเป็นสตรี ไอ้หมอนี่ก็ลดความระแวงลง? อัลเจอร์พึมพำ
ชาฟฟ์มองหน้าคนทั้งสอง เมื่อไม่เห็นใครหัวเราะ จึงไอเบาๆ และเล่าต่อ
“นั่นไม่ใช่ผลจากยา… ฉันสามารถฟื้นฟูวัยเยาว์กลับมาได้อย่างแท้จริง นับแต่นั้นฉันก็ฝันถึงดวงจันทร์สีแดงระเรื่อที่น่าเย้ายวนมาสองครั้งแล้ว… ฉันคิดการเป็นสาวกดวงจันทร์บรรพกาลก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย จึงไม่กล้าหลบหนี”
แคทลียาและอัลเจอร์มองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะส่งสัญญาณบอกว่า ช่างฝีมือมิได้ทำผิดร้ายแรงจนสมควรตาย
ตราบใดที่บุคคลใดเคยหลงเชื่อเทพมารหรือตัวตนลึกลับจากก้นบึ้งจนจิตใจค่อยๆ ดำดิ่งและเสียสติ แม้จะได้รับความช่วยเหลือจนกลับตัวกลับใจในภายหลัง ได้รับการคุ้มครองโดยหน่วยพิเศษของทางการและไม่แสดงปัญหาเป็นเวลานาน แต่ไม่กี่ปีผ่านไป มันอาจบีบคอตัวเองตายอย่างเงียบงันขณะนอนหลับ!
คนเหล่านี้ไม่มีทางกลับมาได้ เว้นเสียแต่จะมีสิทธิ์ได้รับพรจากเทวทูตเดินดินในระดับสันตะปาปาแห่งศาสนจักรใหญ่ หรือไม่ก็ยอมรับการจองจำจากสมบัติปิดผนึกบางชนิด อาศัยอยู่ใต้ดินไปจนตาย
แน่นอน ภายใต้สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน มีหลายคนที่ได้ใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าและตายไปตามธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่มักเกิดกับคนธรรมดา เป็นเพียง ‘หมาก’ ที่เทพมาร ปีศาจ และตัวตนลึกลับสลัดทิ้งได้ง่ายดาย แต่ในทางกลับกัน ชาฟฟ์นั้นเป็นช่างฝีมือที่มีประโยชน์หลากหลาย
แคทลียาไม่พูดถึงสาวกดวงจันทร์บรรพกาลอีกต่อไป สำหรับเธอ ไม่ว่าช่างฝีมือจะเชื่อในเทพมารหรือไม่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ ตราบใดที่สามารถสื่อสาร ทำข้อตกลง และไม่เสียสติบ่อยครั้งนัก สามารถให้ความร่วมมือเป็นระยะ โจรสลัดอย่างเธอไม่มีความจำเป็นต้องคิดมาก
หญิงสาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ตอนนี้นายพกพาสมบัติวิเศษใดบ้าง? ฉันจะเลือกมาแค่บางสิ่ง ส่วนที่เหลือยังเป็นของนาย”
การที่เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ไม่ประหลาดใจมากนัก อีกฝ่ายเป็นโจรสลัด ไม่ใช่ตำรวจ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะหยิบสมบัติติดไม้ติดมือกลับไป การที่ยังใจดีเหลือไว้ให้บางส่วน ชาฟฟ์รู้สึกว่ามันควรขอบคุณจากก้นบึ้ง
อันที่จริง ด้วยลำดับและสมบัติวิเศษที่ชาฟฟ์พกพา บางที มันอาจหลบหนีสำเร็จหากสู้อย่างสุดฝีมือ แต่มันไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น
“ตกลง” ชาฟฟ์เริ่มจากกระเป๋าหน้าอก หยิบแว่นสีเทาอ่อนออกมา “แว่นการ์กอยล์ ตราบใดที่สบตากัน สามารถทำให้ศัตรูมึนงงไปชั่วขณะ อาการคล้ายกับถูกสาปหิน มีผลข้างเคียงด้านลบสองอย่าง หนึ่ง ถ้าสวมมันและมองเข้าไปในกระจก จะทำให้ตัวเองเป็นอัมพาต สอง ร่างกายจะรู้สึกหนักกว่าปรกติ ทุกการกระทำขาดความคล่องตัว”
นี่มันงานจ้างของเราไม่ใช่รึไง? สร้างเสร็จแล้วสินะ… อัลเจอร์จ้องหน้า ‘ช่างฝีมือ’ ด้วยดวงตาที่หรี่ลง
ราชันเร้นลับ 923 : ผลข้างเคียง
ชาฟฟ์มิได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาอัลเจอร์ จึงชี้ไปทางสาวกดวงจันทร์บรรพกาลคนหนึ่งที่กำลังถูก ‘เผา’ และกล่าว
“เจ้านั่นขโมยไม้เท้าไปจากฉัน ชื่อของมันคือ ‘วาจาสมุทร’ สามารถปล่อยสายฟ้าใส่เป้าหมาย เมื่อแกว่งและฟาดจะสร้างใบมีดลมเฉือน นอกจากนั้นยังสามารถสร้างลูกบอลน้ำขนาดใหญ่และน้ำฝนที่มีฤทธิ์กัดกร่อน และยังช่วยให้ผู้ถือไม่ต้องกลัวแรงดันจากทะเลลึกอีกต่อไป รวมถึงพลังในการดึงออกซิเจนออกจากน้ำได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันก็สามารถใช้เป็นไม้เท้าสำหรับขึ้นขี่และเหาะ… ผลข้างเคียงด้านลบมีสามข้อ หนึ่ง มันชอบร้องเพลงมาก ในทุกหกชั่วโมงต้องร้องเพลงให้ได้ เสียงเพลงไม่จำแนกมิตรหรือศัตรู ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามประเภทของเพลงที่เลือก บางครั้งอาจทำให้เสียสมาธิ บางครั้งอาจทำให้จิตใจสั่นสะท้าน บางครั้งอาจทำให้เกิดความหงุดหงิดและบั่นทอนสติสัมปชัญญะ แน่นอน ถึงจะไม่ครบหกชั่วโมง แต่ถ้านายต้องการ ก็สามารถสั่งให้มันร้องเพลงได้… ผลข้างเคียงข้อที่สอง พวกนายคงพอจะทราบแล้วหลังจากได้ยินฉันอธิบายข้อแรก มันมีสัญญาณชีพ และเป็นประเภทที่มีบุคลิกค่อนข้างแย่ ชอบแกล้งให้ผู้ถือลื่นล้มหรือลากลงบันได บางครั้งก็ทุบตีทีเผลอ… ข้อสาม ไม้เท้าอันจะทำให้ผู้ถือถูกฟ้าผ่าได้ง่าย ดังนั้น ในสภาพอากาศที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง ไม่ควรออกไปข้างนอกหรือพกมันไปด้วย”
นี่คือสมบัติปิดผนึกที่สร้างจากตะกอนพลัง ‘ผู้ขับขานสมุทรง’ ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หากเขารู้เข้าว่านายสร้างเสร็จนานแล้ว แต่ดันให้สาวกดวงจันทร์บรรพกาลเอาไปใช้ รับประกันได้เลยว่านายถูกขายให้คนที่ต้องการตัวอย่างแน่นอน… ในรูปแบบของตะกอนพลัง… อัลเจอร์มองไปทางโต๊ะอาหาร พบไม้เท้าสีดำเข้มเลี่ยมโลหะสีเงินสว่าง
เท่าที่มันทราบ ไม่สนว่าผลกระทบด้านลบจะร้ายแรงมากเพียงใด แต่สมบัติวิเศษที่มีสัญญาณชีพจะถือเป็นสมบัติปิดผนึกทั้งหมด เพราะนั่นหมายถึงอันตรายที่คาดเดาไม่ได้
เมื่อเห็นว่า ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาและพวกพ้องของเธอมิได้บอกให้หยุดพูด ชาฟฟ์จำต้องเล่าเกี่ยวกับสมบัติวิเศษชิ้นอื่นต่อไปด้วยสีหน้าขื่นขม
“มีดสั้นเล่มนี้มีชื่อว่า ‘มีดหมื่นพิษ’ แค่ฟังชื่อก็คงพอจะเดาได้แล้วกระมัง ฉันคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม… อา… มันจะสร้างพิษแบบสุ่มให้เป้าหมายทุกครั้งที่สร้างความเสียหาย ส่วนจะเป็นพิษแบบใด นั่นขึ้นอยู่กับดวง… ผลข้างเคียงมีน้อยมาก การปฐมพยาบาลที่เกิดขึ้นกับผู้ถือจะล้มเหลว รวมถึงการสั่งสมความรู้สึกมึนเมา”
ชาฟฟ์นำเสนอสมบัติวิเศษหลายชิ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ได้ยินแคทลียาพูด
“ทำดีมาก… ที่เหลือเป็นของนาย”
ฟู่ว… ไม่เลว อย่างน้อยก็ยังเหลือสามชิ้น… ไม่เพียงชาฟฟ์จะไม่ขุ่นเคือง ตรงกันข้าม มันรู้สึกจากก้นบึ้งว่า ‘พลเรือเอกดวงดาว’ เป็นคนดีมาก
แคทลียาหันไปมอง ‘แฮงแมน’ ทันที
“คุณเลือกก่อน”
เธอรู้ว่า ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้จ้างช่างฝีมือสร้างสมบัติวิเศษ จึงตัดสินใจอนุญาตให้แฮงแมนเลือกชิ้นที่เป็นของนักผจญภัยเสียสติไปก่อน
อัลเจอร์พยักหน้า นำไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ และ ‘แว่นตาการ์กอยล์’ ออกไป บอกเป็นนัยว่า ส่วนที่เหลือเป็นของเธอ
แคทลียาคิดสักพักก่อนจะพูด
“คุณเลือกอีกหนึ่ง ที่เหลือเป็นของฉัน”
เธอไม่สนใจสมบัติวิเศษที่เหลืออยู่มากนัก เพราะตนมีสมบัติสองชิ้นที่ค่อนข้างทรงพลังและสอดคล้องกับธรรมชาติของตัวเธอ โดยในภายหลัง เธอได้รับ ‘กระดุมผู้พิพากษา’ และ ‘ตาชั่งโชคชะตา’ ส่งผลให้ปกปิดจุดอ่อนจนมิดชิด ในสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อพิจารณาถึงผลข้างเคียงที่ซ้อนทับกันหลายชั้น หากไม่ใช่สมบัติวิเศษที่ยอดเยี่ยมจนเตะตา เธอก็แทบไม่ชายตามอง
แน่นอน ในฐานะนายพลโจรสลัด แคทลียาไม่เคยคิดว่าการมีสมบัติวิเศษมากเกินไปเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว สมบัติวิเศษเหล่านั้นสามารถส่งมอบให้กับนิกายมอสส์เพื่อแลกเป็นคะแนนผลงาน ส่วนหนึ่งก็ยังมอบให้ลูกเรือ
อัลเจอร์เงียบงันสักพัก พิจารณาจากสิ่งของที่มีอยู่และพลังพิเศษของตัวเอง มันเลือก ‘มีดหมื่นพิษ’
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาออกคำสั่งกับฮีธ·ดอยล์ทันที บอกให้มันเก็บสมบัติวิเศษบนพื้นที่ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์เป็นคนวาง รวมถึงสิ่งของจากสาวกดวงจันทร์บรรพกาล เพื่อนำออกไปจากบ้าน
ถัดมา เธอมองหน้าช่างฝีมืออีกครั้ง กระจกตาสีม่วงเข้มสะท้อนภาพร่างกายของอีกฝ่าย
“ทำไมสาวกดวงจันทร์บรรพกาลถึงต้องควบคุมตัวนาย?”
ชาฟฟ์กะพริบตาและตอบ
“ของมันแน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? บีบบังคับให้ฉันสร้างสมบัติวิเศษให้พวกมัน…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวใจของชาฟฟ์พลันหยุดเต้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีม่วงเข้มที่จ้องมาอย่างเย็นชา รีบเสริมอย่างลนลาน
“นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีแผนการบางอย่างที่ต้องการความช่วยเหลือจากช่างฝีมือ ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ฉันไม่แน่ใจ เพราะยังไม่ได้เริ่มงาน”
แคทลียาถอนสายตาด้วยท่าทางครุ่นคิด มองหน้าแฮงแมนพลางผงกศีรษะ
พวกมันตัดสินใจที่จะไม่นำตัวช่างฝีมือออกไปทันที ปล่อยมันไว้อย่างเดิม ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันหวังจะสะกดรอยช่างฝีมือเพื่อสืบหาว่า สาวกดวงจันทร์บรรพกาลมีแผนการอย่างไร
อันที่จริง สำหรับเฮอร์มิทและแฮงแมน สิ่งที่สาวกดวงจันทร์บรรพกาลกำลังทำอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันสนใจสักเท่าไร แต่แคทลียาต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้ออ้างสำหรับติดต่อกับราชินีเงื่อนงำ ส่วนอัลเจอร์ต้องการข้อมูลไปแลกกับคะแนนผลงานของโบสถ์วายุสลาตัน ดังนั้น ทั้งสองจึงบรรลุข้อตกลงว่าสอบสวนเพิ่มเติม
แน่นอน ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เชื่อในหลักการหนึ่งมาตลอด:
ยิ่งคุณมีข้อมูลข่าวสารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งถือไพ่เหนือกว่าผู้อื่นในทุกสถานการณ์!
หลังจากเงียบงันสักพัก แคทลียาพูดกับ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เนื่องจากนายเป็นสาวกดวงจันทร์บรรพกาลแล้ว การพาตัวกลับไปคงไม่เกิดประโยชน์”
ชาฟฟ์พยักหน้าหงึกหงัก เป็นนัยว่าเธอพูดถูก
แคทลียาเว้นวรรคเล็กน้อย หันไปด้านหน้าและกล่าว
“แต่ฉันก็ยังหวังจะสานสัมพันธ์ระยะยาวกับนาย เพื่อการนั้น ฉันต้องการเลือดของนายสักสองสามหยด นั่นจะช่วยให้ฉันตามตัวนายได้ง่ายขึ้น”
เพียงพริบตา ใบหน้าชาฟฟ์เต็มไปด้วยความขมขื่น ริมฝีปากของมันขยับสองสามหน แต่สุดท้ายก็มิอาจกล่าวคำปฏิเสธ
ฟู่ว… มันพ่นลมหายใจและตอบ
“ตกลง”
กล่าวจบ ชาฟฟ์หยิบมีดตัดกระดาษข้างๆ ขึ้นมา เฉือนเข้าที่ปลายแขนจนเลือดไหลออกมาสองสามหยด
แคทลียายกแขนขวาทันที ตวัดฝ่ามืออย่างนุ่มนวล บังคับให้หยดเลือดเหล่านั้นลอยขึ้นและบินไปหาเธอ
หลังจากสังเกตเลือดบนฝ่ามือสักพัก นายพลโจรสลัดกล่าวอีกครั้ง
“นายนามสกุลอะไร?”
“จูนน์” ชาฟฟ์ตอบทันควัน
แคทลียาไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหมุนตัวและเดินออกจากประตูโดยมี ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เดินตามหลัง
บ้านหลังดังกล่าวถูกความเงียบปกคลุมอย่างรวดเร็ว ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์เดินไปนั่งที่โซฟาตัวหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน ประหนึ่งยังคงหมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป ยากจะกลับสู่ความรู้สึกเดิม
ผ่านไปเกือบสิบนาที ทันใดนั้น ในท่านั่งตัวตรง ชาฟฟ์หยิบรูปปั้นมนุษย์ขนาดเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน
รูปปั้นดังกล่าวทำจากทองเหลืองล้วน บริเวณใบหน้าว่างเปล่า มีเลือดค่อยๆ ซึมออกจากด้านในทีละนิดจนแข็งตัวเป็นคราบ
ชาฟฟ์รีบเช็ดหน้ารูปปั้นด้วยผ้า ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ยกมุมปากพลางพึมพำกับตัวเอง:
โชคดีที่เรามี ‘ตุ๊กตาโชคชะตา’ ตัวนี้…
ฮึ… เธอคิดว่าจะใช้หยดเลือดนั่นหาเราพบจริงหรือ? ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องคำสาปแช่ง!
ในย่านสลัมของบายัม บนถนนที่ปราศจากโคมไฟ
อัลเจอร์ซึ่งสวมหน้ากากและผ้าคลุมศีรษะ ชำเลืองไปทางเฮอร์มิทด้านข้าง ซักถามเสียงทุ้มลึก
“หลังจากที่ชาฟฟ์หนีออกจากโบสถ์จักรกลไอน้ำ เขามีชีวิตอย่างสุขสบายได้จวบจนปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าเจ้านั่นไม่ใช่คนโง่เขลา การยอมมอบหยดเลือดให้คุณโดยไม่แสดงท่าทีขัดขืน แปลว่าคงมีวิธีหลีกเลี่ยงการติดตาม… อีกทั้ง เขายังไม่ได้เล่าถึงสาเหตุที่ถูกสาวกดวงจันทร์บรรพกาลพบตัว”
ในทางทฤษฎี สาวกน่าจะสืบย้อนถึงที่มาของตะกอนพลังพิเศษมนุษย์หมาป่า แต่ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้อัลเจอร์ฟัง
แคทลียาดึงแว่นตาหนาเตอะออกมาสวมบนสันจมูก กล่าวเสียงเรียบ
“เลือดนั่น… ไม่ได้ใช้เพื่อสะกดรอย”
อัลเจอร์พยักหน้าครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวคำอำลาและเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวที่มืดมิด
มันเดินวกวนไปตามถนนหลายเส้น จนกระทั่งสบโอกาสเลิกปลอมตัวและออกจากบายัม เมื่อกลับถึงท่าเรือส่วนตัวของกองกำลังต่อต้าน อัลเจอร์ตรงขึ้นเรือ ‘โทสะสีคราม’ ทันที
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ลูกเรือของมันผลาญพลังงานและเงินทองที่สะสมมาจนเกือบเกลี้ยง ปัจจุบันจึงกำลังหมกตัวอยู่บนเรือ รอออกทะเลอีกครั้ง
เมื่อเห็นอัลเจอร์กลับมา ลูกเรือคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นพลางยิ้มและถาม
“กัปตัน กินมื้อเย็นรึยัง?”
“ยัง… ช่วยเตรียมอะไรง่ายๆ ให้หน่อย” อัลเจอร์มัวแต่ยุ่งอยู่กับภารกิจจนไม่มีเวลาเติมเต็มความหิว
ลูกเรือที่มีงานรองเป็นพ่อครัว ขานตอบทันที
“ไม่มีปัญหา… วันนี้พวกเรามีเห็ดสดๆ จากป่า กัปตันจะลองเห็ดทอดเนยสักหน่อยไหม?”
ใบหน้าอัลเจอร์กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวด้วยมาดนิ่ง
“ไม่เอา… ขอเป็นสเต๊กเนื้อธรรมดา… ความสุขระดับห้า… ไม่สิ สุกระดับเจ็ด”
…
ไบลัมตะวันออก ชายขอบของผืนป่า
ไคลน์กับหุ่นเชิดทั้งสองไม่รีบร้อนที่จะออกจากป่าเพื่อเข้าไปในเมือง แต่วางแผนเตรียมทำสีย้อมหน้ากากให้พลเรือเอกขุมนรก
และก่อนหน้านั้น มันมีสิ่งอื่นที่ต้องทำ
นั่นคือการตามหาผู้ช่วยในภารกิจสำรวจเขตรอบนอกของเมืองกัลเดรอน!
ไคลน์ไม่เคยเป็นหมาป่าเดียวดาย โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น หากไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ ไคลน์คิดจะเชื้อเชิญผู้วิเศษทรงพลังมาคอยช่วยเหลือโดยแลกกับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ไม่มีวันเข้าไปสำรวจตามลำพังอย่างประมาท
สำหรับไคลน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรวบรวมวัตถุดิบโอสถที่ต้องการและรอดชีวิตกลับมา!
ถ้าเลือกได้ เราก็อยากรออีกสักสองสัปดาห์ จากนั้นก็อุ้มทารกหรือไม่ก็เข็นรถเข็นเด็กเพื่อเข้าไปสำรวจบริเวณรอบนอกของเมืองกัลเดรอน… แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ นำฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาเป่า
ผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ เดินถือสี่หัวออกจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน
ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเปิดปากพูด
“ผมอยากสำรวจเมืองกัลเดรอนในอนาคตอันใกล้ ตอนนี้มีพิกัดของโลกวิญญาณแล้ว ผมสงสัยว่า สามารถจ้างคุณไปช่วยคุ้มกันได้ไหม? ราคาเท่าไร?”
ศีรษะผมทองตาแดงทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์อ้าปากและกล่าวเรียงกัน
“ไม่ได้…” “ข้า…” “เข้าไป…” “ไม่ได้…”
ราชันเร้นลับ 924 : ปัจจัยสำคัญก่อนลงม...
เข้าไม่ได้… เจ็ดแสงพิสุทธิ์เองก็ไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากติดสาเหตุบางประการ… เป็นข้อจำกัดของเมืองกัลเดรอนเกี่ยวกับสิ่งชีวิตระดับสูงของโลกวิญญาณ? แต่มิสผู้ส่งสารรู้ได้ยังไงว่ามีข้อจำกัดดังกล่าว? เธอเคยทดสอบมาแล้ว? ถ้าเป็นแบบนั้น เราไม่จำเป็นต้องถาม ‘แสงแดง’ กับ ‘กระจกวิเศษ’ ก็ได้… หรือเป็นสิ่งที่สัมผัสวิญญาณบอกมา? หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ไคลน์ถอนหายใจออกอย่างเงียบงัน
ทันใดนั้น มันหยิบเหรียญทองส่งให้ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูล”
หลังจากไรเน็ตต์งับเหรียญทองด้วยหนึ่งในสี่หัวและหายตัวไป ไคลน์กลับมาครุ่นคิดอีกครั้ง พิจารณาว่าตนยังเหลือตัวช่วยใดที่เหมาะสมอีกบ้าง
“มิสเตอร์อะซิกหลับยาว… ไม่รู้ว่าจะตื่นตอนไหน คงรอนานขนาดนั้นไม่ได้… วิล·อัสตินกำลังจะคลอด แต่เขาก็ยังเด็กมากอยู่ดี สภาพร่างกายไม่พร้อมแน่นอน ต่อให้ใช้วิธีฟื้นฟูความแข็งแกร่งชั่วคราวที่มาดามเฮอร์มิทเคยเสนอก็ตาม… นอกจากนั้น วิธีดังกล่าวคงสิ้นเปลืองเกินกว่าจะใช้กับเรื่องเล็กน้อยของเรา… อีกทั้ง ทันทีที่เขาออกจากเบ็คลันด์หรือกลับไปอยู่ในระดับตัวตนเดิม มีโอกาสสูงที่จะถูก ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสล็อกตำแหน่ง…
อาศัยเส้นสายผ่านอสรพิษปรอท ขอความช่วยเหลือจากเหล่าครึ่งเทพแห่งโรงเรียนชีวิต เช่น สมาชิกสภาริคคาร์ด? ฟังดูเป็นไปได้ยาก โรงเรียนชีวิตกำลังเกิดการแบ่งแยกจากภายในอย่างรุนแรง สภาแห่งชะตามีงานยุ่งมากเกินกว่าช่วยเรา แถมยังต้องคอยตระเวนไปทั่วโลกพร้อมกับแผ่กลิ่นอายของ ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ เพื่อล่อลวง ‘เทวทูตโชคชะตา’ …
‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต… เรายังไม่รู้จักเธอดีพอ แถมเธอยังเข้าใจว่ามีเทวทูตและครึ่งเทพมากมายอยู่ภายใต้อาณัติของเดอะฟูล… เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่เป็นข้ารับใช้ย่อมหยิบยืมความช่วยเหลือได้ง่ายๆ … แม้เราจะอ้างว่าเป็นความร่วมมือที่ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ก็มิสิทธิ์ที่ความลับจะถูกเปิดเผย… เฮ่อ… จากภายนอก อาจดูเหมือนมีเทวทูตและครึ่งเทพมากมายอยู่ภายใต้อาณัติของเดอะฟูล แต่ความเป็นจริงคือ เดอะฟูลแอบไปถ่ายรูปข้างๆ เทวทูตและครึ่งเทพเหล่านั้น…
เจ้าเมืองเมืองเงินพิสุทธิ์? เราสามารถใช้เงื่อนไขนี้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือในอนาคต แต่ปัญหาคือ อีกฝ่ายไม่สามารถออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง เราควรเก็บโอกาสไว้ใช้กับมารพิสดารมากกว่า…
เบื้องบนของผีดูดเลือด? เหตุผลไม่เพียงพอที่จะขอร้องพวกมัน… แถมยังมีโอกาสที่เราเผยความลับต่อหน้าลิลิธ ไม่มีใครทราบว่าเทพธิดาบรรพกาลที่ยังไม่ร่วงหล่นตนนี้มีเนื้อแท้เป็นอย่างไร หากหล่อนเป็นดวงจันทร์บรรพกาลที่ปลอมตัวมา เราก็เลิกคิดเรื่องการคืนชีพไปได้เลย”
ไคลน์นึกทบทวนความเหมาะสมไปทีละคน จนในที่สุด มันอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ
ในยามที่เดือดร้อน เพื่อนมักมีน้อยเกินไปเสมอ!
มันอดไม่ได้ที่จะคิดถึงการประกอบพิธีกรรมและสวดวิงวอนถึงรัตติกาล ร้องขอความโปรดปรานและความเห็นใจจากเทพธิดา แจ้งความจำนงว่าตนต้องการร่างวิญญาณที่แท้จริงและผงละอองจากหัวขโมยโลกวิญญาณ หรือไม่ก็ส่งอาร์ชบิชอป อาวุโสใหญ่ หรือผู้บำเพ็ญเร้นลับมาช่วยสักคน
น่าเสียดาย เรื่องดังกล่าวทำได้เพียงคิดในใจ ไม่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ แม้ไคลน์จะค่อนข้างยอมรับในตัวเทพธิดารัตติกาล และไม่รังเกียจที่จะเป็นข้ารับใช้ของอีกฝ่าย แต่มันก็ยังไม่ลดความหวาดระแวง ไม่อยากเอาแต่พึ่งพาของขวัญจากเทพในทุกเรื่อง โดยเหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์ยังคลางแคลงว่าพิธีกรรมในทำนองนี้อาจไม่มีการตอบสนอง เพราะลำดับและความแข็งแกร่งในปัจจุบันของมัน ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเรียกร้องสิ่งใดจากลำดับ 0 หากเทพตนดังกล่าวปรารถนาจะให้ ท่านก็คงมอบให้เองตามธรรมชาติ แต่ถ้าท่านไม่ให้ สวดวิงวอนให้ตายก็เปล่าประโยชน์
ถ้าเราหน้าบางเหมือนลุงนีลล์ บางทีอาจลองเสี่ยงดู เพราะเทพธิดาเคยตอบสนองพิธีกรรมขอเงินชำระหนี้ที่แทบไม่มีสาระสำคัญ รวมถึงยังช่วยรักษาอาการท้องผูก… เธอเป็นเทพที่ค่อนข้างเอาใจใส่สาวก แต่แน่นอน การทำแบบนี้ย่อมมาพร้อมกับ ‘ผลข้างเคียง’ บางอย่าง… ไคลน์หวนนึกถึงอดีต ใบหน้าแฝงความขื่นขมเล็กน้อย
มันตัดสินใจเปลี่ยนแนวคิด ในเมื่อหาพวกพ้องช่วยเหลือไม่ได้ ก็คงต้องลองพิจารณาจากศัตรู
อา… บางที เราควรนำไพ่จักรพรรดิมืด ไพ่ทรราช และเครื่องรับโทรเลขติดตัวไปด้วย จากนั้นก็รออยู่หน้าทางเข้ารอบนอกของเมืองกัลเดรอน ถ้าหาก ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ หรือบุคคลระดับสูงของโบสถ์วายุสลาตัน หรือเซียอา ผู้นำแห่งโรงเรียนกุหลาบ หรือเทวทูตครึ่งเทพตนใดตนหนึ่งมาถึง เราก็จะรีบหนีเข้าสู่ ‘เมืองแห่งความตาย’ ทันที…
ไม่น่าจะได้ผล… แบบนี้มันโจ่งแจ้งเกินไป ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์และเบื้องบนของโบสถ์วายุสลาตันไม่น่าจะหลงกลตามเราเข้ามาในกัลเดรอน แต่น่าจะคอยดักเฝ้าประตูอยู่ด้านนอกและรอให้เราออกไปแทน
จริงอยู่ ‘เทพหายนะ’ เซียอาอาจไล่ตามเราเข้ามาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่อีกฝ่ายเป็นถึงเทวทูต ลำพังเขตรอบนอกของเมืองกัลเดรอนไม่น่าจะสร้างอันตรายได้ กลายเป็นเราเสียเองที่รนหาความตาย…
ไคลน์ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ล้มเลิกแผนการกอบโกยท่ามกลางความโกลาหล เนื่องจากประเมินว่าตนคงไม่สามารถจำลองเหตุการณ์ความวุ่นวายบนภูเขาด้านนอกบายัมขึ้นมาได้ใหม่ ยิ่งห่างไกลจากความเป็นผู้วิเศษลำดับสูงมากเท่าไร เรื่องดังกล่าวก็ยิ่งประสบความสำเร็จได้ยากเท่านั้น
คนที่มักเดินบนขอบเหวเสมอ ในไม่ช้าก็ร่วงหล่นลงไป!
ยังเหลือใครที่พอจะช่วยเราได้อีก? ไคลน์เหลือบไปทางหุ่นเชิดสองตัวด้านข้าง รายชื่อพวกพ้องคนแล้วคนเล่าแล่นเข้ามาในสมอง รวมไปถึงชาวชุมนุมทาโรต์
ทันใดนั้น มันฉุกคิดถึงบางสิ่ง
มิสชารอนเคยบอกว่า มัมมี่ตูตันส์ที่สองเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเลื่อนลำดับของเธอ เป็นสิ่งที่มีความหมายต่อเธอมาก กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอกำลังจะกลายเป็นครึ่งเทพ ลำดับ 4 ‘หุ่นกระบอก’ แห่งเส้นทาง ‘มนุษย์กลายพันธุ์’
ถ้าเธอเลื่อนลำดับสำเร็จ ทางนี้สามารถขอความช่วยเหลือจากเธอได้ พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน…
ต้องขอบคุณตัวเองที่เลือกจะช่วยเธอวันนั้น ไม่อย่างนั้นวันนี้คงหมดหวังไปแล้ว…
ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน นำเศษกระดาษและปากกาหมึกซึมออกมาถือ ใช้แผ่นหลังของหุ่นเชิดเอ็นโซเป็นที่วางกระดาษ
“ไม่ได้เจอกันนาน พักนี้เป็นยังไงบ้าง…”
ไคลน์ลงมือขีดเขียน ก่อนที่จู่ๆ จะชะงักกลางคัน เนื่องจากรู้สึกอึดอัดกับความอ้อมค้อมและไม่จริงใจในเนื้อหา
มิสชารอนเป็นคนสงวนท่าที เก็บงำอารมณ์ ทุกครั้งที่เธอเขียนจดหมาย หัวเรื่องจะถูกระบุอย่างชัดเจน ไม่มีคำเวิ่นเว้อ เราต้องคำนึงถึงอุปนิสัยของเธอและจริงใจกว่านี้… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะหยิบเศษกระดาษแผ่นเดิมขึ้นมาสะบัดและเผาทิ้งด้วยเปลวไฟสีแดงเข้ม
ครุ่นคิดสองสามวินาที ไคลน์เขียนลงบนกระดาษแผ่นใหม่
“ตอนนี้ผมทราบพิกัดทางวิญญาณของเมืองกัลเดรอนแล้ว หากปัจจุบันคุณคือครึ่งเทพ ผมต้องการความช่วยเหลือ แต่ถ้ายัง ให้ถือเสียว่าผมไม่ได้พูด ยังมีสหายคนอื่นให้ผมหยิบยืมความช่วยเหลือได้”
“เชอร์ล็อก·โมเรียตี้”
พับกระดาษจดหมายเสร็จ หลังจากจ่าหน้าซอง ‘ถึงมาดามมาเรีย’ ที่ด้านนอก ไคลน์หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาอีกครั้ง เลื่อนขึ้นมายังริมฝีปากและเป่า
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ในชุดมืดมนและซับซ้อนปรากฏกายคล้ายกับเธอไม่เคยจากไปไหน เพียงพริบตาก็ก้าวออกจากว่างเปล่าและโผล่ตรงหน้าชายหนุ่ม
ไคลน์ส่งกระดาษที่พับเรียบร้อยพร้อมกับเหรียญทองหนึ่งเหรียญ กล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง
“นำส่งไปที่บ้านเลขที่ 126 ถนนการ์ด เขตฮิลสตัน กรุงเบ็คลันด์… แค่วางไว้ในกล่องจดหมายก็พอ”
“ตกลง” ขณะศีรษะหนึ่งขานรับ อีกศีรษะหนึ่งงับกระดาษและเหรียญทองตามลำดับ
ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์กังวลเล็กน้อย จึงถามอีกสองสามประเด็น
“แผนที่คราวก่อนยังอยู่ใช่ไหม? คงรู้นะว่าตรงไหนคือเขตฮิลสตัน ตรงไหนคือถนนการ์ด”
ศีรษะผมทองตาแดงทั้งสี่ในมือไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ ตอบเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
“ยังอยู่…” “ข้ารู้จัก…” “สถานที่เหล่านั้น…” “หาไม่ยาก…”
ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลายพลางกล่าวคำอำลากับมิสผู้ส่งสารอย่างสุภาพ
มันลืมเรื่องของเมืองกัลเดรอนไปก่อนชั่วคราว กลับมาจดจ่ออยู่กับการปลอมตัวให้หุ่นเชิดลูเธอร์ไวล์
เช้าวันรุ่งขึ้น ชายหนึ่งซึ่งมีผิวสีน้ำตาล ผมสลวยหยักศกเล็กน้อย แต่งกายด้วยชุดทางการของชาวโลเอ็น สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง พาคนรับใช้สองคนเดินเข้าไปในเมืองเทอร์นิคซึ่งติดกับชายขอบป่า
สินค้าหลักของเมืองนี้คือไม้ ยาง และผลผลิตจากป่า โดยระยะหลังเริ่มมีการก่อตั้งสถาบันวิจัยของเหลวเพื่อการเจริญเติบโตของเส้นผมหลายแห่ง รวมถึงโรงงานในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ไคลน์ซึ่งปลอมตัวเป็นเศรษฐีท้องถิ่น หลังจากได้โรงแรมสำหรับเข้าพัก มันนั่งลงบนเก้าอี้เอาหลังที่ทำจากหวาย ปิดท้ายด้วยการชื่นชมฝีมือตัวเอง
‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซมีได้มีผิวสีแทนเหมือนเดิม แต่กลายเป็นสีดำสนิท เมื่อผนวกเข้ากับผมเส้นเล็กที่อ่อนนุ่ม คิ้วหนา โครงหน้าชัดลึก รวมถึงกางเกงจีบหลวมๆ และเสื้อสีขาวสลับดำสไตล์ไบลัม มันดูไม่แตกต่างจากคนรับใช้ของชาวพื้นเมืองที่สามารถพบได้ทั่วไปในคฤหาสน์ตามชนบท
ในส่วนของพลเรือเอกขุมนรก เสื้อผ้าที่เคยหรูหราของลูเธอร์ไวล์กลายเป็นสไตล์เดียวกับเอ็นโซ มีรอยไหม้เด่นชัดบนร่างกายหลายจุด หน้ากากสีเงินสว่างถูกย้อมด้วยสีเหล็กดำถ้วนทั่ว เพื่อทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าชายคนนี้ต้องคอยสวมหน้ากากเพื่อปกปิดแผลไฟคลอก ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คนทั่วไปหวาดผวา
หลังจากจัดการมื้อกลางวันที่ส่งตรงถึงห้อง ไคลน์ได้ยินเสียงสวดวิงวอน
ผู้ชาย… มิสเตอร์แฮงแมน? แต่ก็อาจเป็นเอ็มลินหรือเดอะซันน้อย พวกเขาใกล้จะเริ่มการซื้อขายตะกอนพลังของแวมไพร์ลำดับ 5 แล้ว… ขณะไคลน์เตรียมเข้าห้องน้ำเพื่อถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือหมอก สัมผัสวิญญาณของมันพลันถูกกระตุ้น
หลังจากรีบเปิดเนตรวิญญาณ ชายหนุ่มเห็นไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ผู้ปราศจากศีรษะบนลำคอ กำลังคาบจดหมายพลางเดินออกจากโลกวิญญาณที่ซ้อนทับกับความเป็นจริง
มิสชารอนตอบแล้ว? ไคลน์ขอบคุณมิสผู้ส่งสารเป็นอันดับแรก ตามด้วยหยิบจดหมายและคลี่ออกมาอ่าน
“ต้องขอโทษด้วย แต่ฉันอาจต้องใช้เวลาเตรียมตัวและปรับสภาพอีกราวหนึ่งถึงสองเดือน… ถ้าคุณยังยืนกรานที่จะพึ่งพาดิฉัน ก็เป็นอันตกลงตามนี้… ชารอน”
หนึ่งถึงสองเดือน… ก็ใช่ว่าจะรอไม่ได้… เรายังย่อยโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ไม่เสร็จ… ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ พลางควานหากระดาษและปากกา เขียนตอบกลับไปว่า
“ใช้เวลาของคุณให้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับทางนี้ งานของผมไม่เร่งด่วนและสามารถรอได้… เชอร์ล็อก·โมเรียตี้”
หลังจากมอบจดหมายและเหรียญทองให้ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พร้อมกับกำชับให้ส่งไปยังบ้านเลขที่ 126 ถนนการ์ด เขตฮิลสตัน กรุงเบ็คลันด์ ทันใดนั้น ไคลน์ผุดคำถามกะทันหัน
ในยามสงคราม ก่อนทำศึกทุกครั้งยังมีการต้องสำรวจสนามรบล่วงหน้า ตรวจหาภัยอันตรายที่อาจซ่อนเร้น เช่นนั้นแล้ว เมืองที่เต็มไปด้วยอันตรายอย่างกัลเดรอน เราจะประมาทและทำตัวไม่เป็นมืออาชีพได้ยังไง?
อา… ระหว่างรอให้มิสชารอนเลื่อนลำดับเสร็จ เรายังมีเวลาเหลือเฟือที่จะไปสำรวจล่วงหน้า รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นโดยไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น บริเวณดังกล่าวมีข้อจำกัดแบบใดบ้าง จะสร้างความเปลี่ยนแปลงใดกับพลังในขอบเขตความตาย หรือการตรวจสอบทำนองว่า มีทางเข้าทั้งหมดกี่ทาง ตายตัวหรือไม่ และสามารถส่งร่างวิญญาณกลับมายังมิติสายหมอกในพริบตาได้ไหม… เมื่อยืนยันปัจจัยข้างต้น แผนการอย่างคร่าวก็จะถูกร่างขึ้น… แน่นอน ก่อนจะไปสำรวจ เราต้องทำนายยืนยันให้ชัดเจน… ไคลน์วางแผนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำภายในห้องนอนใหญ่
ราชันเร้นลับ 925 : เลือก ‘เสื้อผ้า’
เหนือสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้ง ภายในวังโบราณอันงดงาม
ไคลน์ไม่รีบร้อนลงมือทำนาย ก่อนอื่น ตอบสนองต่อพิธีกรรมสังเวยจาก ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ และนำไม้เท้าที่สร้างจากตะกอนพลัง ‘ผู้ขับขานสมุทร’ มาวางตรงหน้า
วาจาสมุทร… ชื่อนี้ทำเอาคิดถึงวันเก่าๆ อย่างบอกไม่ถูก ตั้งได้ไม่เลว… คุณสมบัติพื้นฐานคล้ายคลึง ‘คทาเทพสมุทร’ แต่เป็นรุ่นที่อ่อนแอกว่า นอกจากนั้นยังไม่มีพลังระดับครึ่งเทพจำพวก ‘พายุสายฟ้า’ และ ‘สึนามิ’ … แถมยังมีผลข้างเคียงด้านลบไม่น้อยทีเดียว… นึกถึงคำอธิบายของแฮงแมน ไคลน์ลูบหัวไม้เท้าสีดำเข้มที่เลี่ยมด้วยโลหะเงิน
บางที อาจเป็นผลจากการสยบตามธรรมชาติของมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา ไม้เท้าวิเศษอันนี้จึงมิได้แสดงสัญญาณชีพให้เห็น ทำเพียงนอนนิ่งอย่างเงียบงันราวกับเป็นแค่ไม้เท้าแสนธรรมดา
ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ พลางพึมพำกับตัวเอง
สมบัติวิเศษที่มีสัญญาณชีพ ว่ากันตามตรงค่อนข้างน่ารำคาญไม่น้อย แต่ในอีกมุมหนึ่ง นั่นหมายความว่าเราสามารถสื่อสารกับมันได้โดยตรง ต้องไม่ลืมว่า ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ เคยมีนิสัยเลวร้ายแค่ไหน แต่หลังจากถูกอบรมก็กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายทันทีไม่ใช่หรือ?
นอกจากนั้น เรายังสามารถนำไปให้คนรับใช้ถือในยามปรกติ… อา… ‘ผู้ชน’ เอ็นโซเหมาะสมอย่างมาก แม้ปัจจุบันจะไม่มีพลังการเสริมโชคแบบติดตัว แต่สามารถ ‘สะสม’ โชคเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาสำคัญได้ การปล่อยให้เกิดความซวยเล็กๆ น้อยๆ นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้น ถึงจะเผลอสะดุดล้ม ตกบันได หรือถูกไม้เท้ากระแทกหน้าไปบ้าง ก็ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปรกติ ไม่มีเรื่องให้ผิดสังเกต
หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบ มันพบว่าการกลั่นแกล้งของไม้เท้ามิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว หากเผชิญหน้ากับ ‘นักเชิดหุ่น’ คนอื่น หรือหัวขโมยโลกวิญญาณ หรือมารพิสดาร และตนเกิดเป็นฝ่ายเสียท่าให้ก่อน เมื่อถูกควบคุมขั้นต้น ทั้งความคิดและการกระทำจะตกอยู่ในภาวะเฉื่อยชา ยากที่จะหลุดพ้นด้วยตัวเอง แต่ทันใดนั้นเอง เจ้าไม้เท้าขี้แกล้งเกิดนึกอยากจะทำให้เจ้าของสะดุดล้มหรือตกบันไดขึ้นมา นั่นไม่เท่ากับว่าไคลน์จะหลุดพ้นจากปัญหาทันทีเลยหรือ?
หึหึ… ถ้าผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติวิเศษถูกนำมาใช้ให้ถูกวิธี พวกมันสามารถกลายเป็นความช่วยเหลือได้เช่นกัน…
แน่นอน ในการต่อสู้ปกติ การกลั่นแกล้งในทำนองเดียวกันอาจก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่จำเป็น คงต้องชั่งน้ำหนักให้ดี และต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกหลายครั้งเพื่อหาจุดสมดุลให้ได้…
ในส่วนผลกระทบด้านลบเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะถูกฟ้าผ่าขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ไคลน์มิได้สนใจ ประการแรก หากไม่ได้เข้าไปในพื้นที่พิเศษ พายุฝนฟ้าคะนองก็ไม่ใช่สิ่งที่พบเจอได้บ่อยนัก ไม่จำเป็นต้องไปคำนึงถึง ประการที่สอง ในฐานะ ‘นักทำนาย’ การทำนายสภาพอากาศก่อนออกไปข้างนอกถือเป็นกิจวัตรประจำวัน และท้ายที่สุด หากยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงพายุฝนฟ้าคะนองได้จริงๆ ไคลน์ก็แค่มอบไม้เท้าให้เอ็นโซเป็นคนถือ ด้วยเหตุนี้ แม้สายฟ้าจะผ่าลงมายัง ‘ผู้ชนะ’ แต่ก็คงไม่แคล้วกระทบกับสายล่อฟ้าใกล้ๆ
ได้แต่หวังว่าตัวเราจะไม่ใช่สายล่อฟ้านั่น… ไคลน์หัวเราะจิกกัดตัวเอง จากนั้นก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่รบกวนจิตใจมากที่สุดจากในบรรดาผลข้างเคียงทั้งหมด:
ร้องเพลงด้วยพลังพิเศษทุกหกชั่วโมง!
ความฉิบหายที่ไม่จำแนกมิตรหรือศัตรู… ผลลัพธ์เป็นแบบสุ่ม แถมยังโจมตีเป็นวงกว้าง!
หลังจากใช้ความคิด ไคลน์ตัดสินใจว่าจะสื่อสารกับไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ เพื่อลดความถี่ในการร้องเพลง รวมถึงการให้อีกฝ่ายบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนจะร้อง
จริงสิ… วันนี้เรากินข้าวเช้าเร็ว จากที่คำนวณ ‘ยุบพองหิวโหย’ ใกล้ถึงเวลาเห่าหอนแล้ว… ไคลน์ครุ่นคิดพลางถอดถุงมือหนังมนุษย์ออกจากมือซ้าย โยนลงบนที่ว่างด้านข้างกองขยะ
จากนั้น มันหยิบไม้เท้าสีดำเข้มเลี่ยมโลหะสีเงินโยนไปยังทิศทางเดียวกัน ตามด้วยการเคลื่อนย้ายพลังส่วนหนึ่งของมิติลึกลับเหนือสายหมอกเพื่อสร้างบาเรียที่สามารถกีดขวางเสียงและภาพทั้งหมด ปล่อยให้ ‘ยุบพองหิวโหย’ และ ‘วาจาสมุทร’ อยู่ด้วยกันตามลำพัง
จัดการเสร็จ ไคลน์ตวัดมือเล็กน้อย เสกกระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนประโยคทำนาย:
“วันนี้เป็นวันอันตรายที่จะลาดตระเวนเขตรอบนอกของเมืองกัลเดรอน”
วางปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มลง ไคลน์ปลดลูกตุ้มวิญญาณออกจากข้อมือซ้ายและถือไว้ ห้อยลงบนกระดาษในลักษณะจ่อสัมผัส
หลังจากท่องประโยคทำนายเจ็ดครั้งด้วยเสียงแผ่ว ชายหนุ่มลืมตาและพบว่าจี้บุษราคัมแน่นิ่ง ไม่มีการหมุนเกิดขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การทำนายล้มเหลว
“สถานการณ์เฉพาะของเมืองกัลเดรอน เป็นความลับไปทั่วทั้งโลกวิญญาณ ส่งผลให้การทำนายล้มเหลวตั้งแต่เริ่ม… นอกจากนั้น สถานที่ดังกล่าวเคยเป็นอาณาจักรเทพบรรพกาล เคยมีการจัดเตรียมแผนสำหรับคืนชีพไว้ที่นั่น อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่รบกวนการทำนาย” ไคลน์เก็บลูกตุ้ม กลับมานั่งคิดอย่างรอบคอบ “มีแต่ต้องเชื่อในคำบอกเล่าของ ‘แสงแดง’ ที่กล่าวว่า เขตรอบนอกของกัลเดรอนไม่อันตรายมากนัก… นอกจากนั้นเรายังมีหุ่นเชิด สามารถปล่อยให้พวกมันเข้าไปสำรวจก่อน ตรวจสอบว่าภายในนั้นกีดขวางพลังของมิติสายหมอกหรือไม่… หากพลังของมิติหมอกเข้าไปไม่ถึง เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ ไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยตัวเอง”
ไคลน์ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ไม่ลังเลอีกต่อไป โบกมือเพื่อสลายม่านพลังที่สร้างขึ้นเมื่อครู่
จากนั้น มันเห็นยุบพองหิวโหยที่ล่าถอยไปจนถึงขอบกองขยะ กำลังพยุงตัวยืนด้วยนิ้วสามนิ้ว โดยมีนิ้วโป้งและนิ้วก้อยกำลังเอนไปด้านหลังเพื่อพิงกับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ท่าทางคล้ายกับกำลังอ่อนเพลียจนยากจะยืนให้ตรง
ขณะเดียวกัน กึ่งกลางฝ่ามือเผยรอยแยกคล้ายปาก เผยให้เห็นฟันมายาสีขาวสองแถว ปากขยับหายใจหอบต่อเนื่อง
อีกด้านหนึ่งของม่านพลัง ไม้เท้าสีดำเข้มเลี่ยมด้วยโลหะเงินที่ถูกวางอยู่บนพื้น ดีดเด้งตัวเองเป็นระยะโดยมีฟองน้ำสีฟ้าลอยขึ้นมาจากด้านบน
“ดี… เงียบสักที” เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์พึมพำโล่งใจ
กล่าวจบ ทันใดนั้นไม้เท้าวาจาสมุทรพลันลุกขึ้น ‘ยืน’ คล้ายกับมีคนถือ จากนั้นก็ค่อยๆ ‘เขย่ง’ มาหาไคลน์ทีละก้าวจนกระทั่งถึงเก้าอี้เดอะฟูลและเข้าไปหลบที่ใดสักแห่ง ในทางกลับกัน ‘ยุบพองหิวโหย’ เริ่มออกวิ่งโดยใช้นิ้วทั้งห้าต่างเท้า แต่ก็ยากที่จะตามทัน ผ่านไปได้ครึ่งทาง สุดท้ายก็สะดุดล้ม
ไคลน์เฝ้ามองโดยไม่กล่าวคำใด เพียงถอนหายใจยาว
“หลังจากหลอมรวมมิสเตอร์ A ดูเหมือนยุบพองหิวโหยจะมีสัญญาณชีพที่แข็งแกร่งขึ้น แต่สติปัญญากลับยังต่ำติดดิน เห็นได้ชัดจากการที่ แม้จะต้อนแกะ ‘ผู้รับใช้วายุ’ จนตัวเองสามารถบินได้ในระยะทางสั้นๆ แต่กลับยังเคลื่อนที่ด้วยการใช้นิ้วทั้งห้าวิ่งแทนเท้า”
กล่าวจบ มันหันไปมองไม้เท้าวาจาสมุทรที่ซ่อนอยู่ข้างๆ
“แกเป็นลำดับ 5 ของเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ ไม่ใช่รึไง? แล้วทำไมถึงยังเขย่งขาเดียวอยู่อีก? เฮ่อ… สัญญาณชีพของพวกมันมีสติปัญญาไม่ต่างจากทารกรึไง? ไม่สิ… มีทารกในครรภ์บางคนฉลาดกว่าพวกแกทั้งหมดรวมกัน!”
ไคลน์หลังจากบ่นสองสามประโยค มันถอนหายใจกับตัวเองพลางพึมพำด้วยอารมณ์ขัน
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะใจร้ายกับพวกหรอกนะ แต่…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ถุงมือและไม้เท้าที่ยังคงพยายามเล่นไล่จับต่างพากันชะงัก ไม่กล้าที่จะทำเสียง
ไคลน์กลืนคำพูดที่เหลือลงคอ ตามด้วยการหยิบไม้เท้าวาจาสมุทรขึ้นมาถือ พยายามสื่อสารกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจและเมตตา
หลังจากเปิดอกคุยกันเสร็จ ไม้เท้าสีดำเข้มเลี่ยมเงินแสดงอาการสั่นเพื่อบอกเป็นนัยว่า มันจะพยายามร้องเพลงให้น้อยลงในอนาคต หากเมื่อใดที่ไม่สามารถอดกลั้น มันจะแจ้งให้เจ้านายทราบล่วงหน้า สัญญาณที่ใช้แจ้งเหตุประกอบด้วย การสั่นสะเทือนตัวเองเบาๆ หรือไม่ก็ลอยขึ้นไปในอากาศสองสามเซนติเมตร หรืออีกหลายวิธีที่มิได้กล่าวถึง
ขณะเดียวกัน มันเองก็ทำการต่อรอง:
ไคลน์ต้องไม่ถือไม้เท้าด้วยมือข้างที่สวมยุบพองหิวโหย!
แน่นอน หากเจ้าของยืนกรานจะทำ มันคงต่อต้านไม่ได้ และจำต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรม
ดีกว่ายุบพองหิวโหยอีก… ไม่ดื้อเท่าไร… ไคลน์กวักมือเรียกยุบพองหิวโหยและนำมาสวมไว้ที่มือซ้าย
ขณะเฝ้ามอง ‘ประตูอัญเชิญ’ ที่เกิดจากพิธีกรรม ไคลน์เริ่มพิจารณาว่าตนควรนำสิ่งใดไปสำรวจเมืองกัลเดรอนบ้าง
หุ่นเชิดทั้งสองต้องไปด้วยแน่นอน ไม่ต้องอธิบายให้สรรพคุณยืดยาว พวกมันสามารถใช้เป็นเหยื่อล่อ สามารถสำรวจเส้นทางข้างหน้า สามารถใช้เป็นหนูทดลอง ตรวจสอบว่ามีกับดักหรือไม่ ช่วยให้ ‘นักเชิดหุ่น’ ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายมากเกินไป
เอ็นโซจะสวมแหวนบุปผาโลหิต ส่วนลูเธอร์ไวล์จะพก ‘แฮร์ริสเรเพีย’ นี่คืออุปกรณ์การรบมาตรฐาน นอกจากนั้น ไคลน์ยังวางแผนจะให้เอ็นโซใช้ไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’
สำหรับตัวเอง ไคลน์จะเข้าไปในฐานะร่างวิญญาณ หากพบสิ่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย การอัญเชิญจะสิ้นสุดลงทันที ส่งตัวเองกลับมายังหมอกสีเทา ดังนั้น สิ่งที่พิจารณาคือ ‘เสื้อผ้า’ ที่จะสวมไปลุยศึก
นกหวีดทองแดงอะซิก? คงไม่ได้ เรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพมรณา และเมืองกัลเดรอนก็เคยเป็นอาณาจักรของเทพมรณาบรรพกาล… มีความเป็นไปได้สูงที่จะสร้างความผิดปรกติรุนแรง ดึงดูดอันตรายมาจากพื้นที่แกนกลาง
ไพ่จักรพรรดิมืด หรือทรราช? หืม… คราวนี้เป็นการสำรวจส่วนลึกของโลกวิญญาณ หุ่นเชิดทั้งสองมีค่าเทียบเท่าคนตายอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกสูบเลือด… หึหึ… ลูเธอร์ไวล์เองก็เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งคนตาย ไม่มีเลือดสักหยด ส่วนเลือดของเอ็นโซก็มีประโยชน์แค่การทำให้ดูเหมือนคนในยามปกติ แถมยังสามารถฟื้นฟูได้ด้วยพลังของแหวนบุปผาโลหิต…กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถนำ ‘คทาเทพสมุทร’ ไปที่กัลเดรอนได้!
อยู่ในส่วนลึกของโลกวิญญาณ… อยู่ห่างจากน่านน้ำของหมู่เกาะรอสต์ ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากคำสวดวิงวอนของสาวก…ปัญหาเดียวก็คือ เราจะกลายเป็นคนฉุนเฉียวและโกรธง่าย อาจทำให้ตัดสินใจหุนหัน… เรื่องนี้นับว่าอันตรายมากในภารกิจสำรวจ หืม… ยังมีวิธีแก้อยู่ แค่เราพกไพ่ทรราชที่มีระดับตัวตนสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถระงับฤทธิ์เดชของคทาเทพสมุทรได้ในระดับหนึ่ง ช่วยให้เราไม่ฉุนเฉียวและระเบิดโทสะได้ง่ายนัก…
เมื่อผนึกกำลังระหว่างไพ่ทรราชและคทาเทพสมุทร ความแข็งแกร่งของเราจะเทียบเท่ากับลำดับ 4.5 ถือเป็นการลดความเสี่ยงลงหลายระดับ และถ้าร่วมมือกับมิสชารอนในอนาคต เราก็ยังสามารถไปได้ด้วยสภาพเดิม เพียงแค่บอกให้เธออยู่ในร่างวิญญาณอาฆาตไว้ตลอดเวลา ไม่สิ… วิญญาณมาร เท่านี้ก็ไม่มีปัญหา!
เราไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกี่ยวกับ ‘กฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษ’ เพราะในกรณีที่กัลเดรอนสามารถกีดขวางพลังของมิติหมอก เราจะส่งตัวเองกลับทันทีหลังจากตรวจสอบยืนยันจากข้างนอก ย่อมไม่มีใครสามารถล็อกเป้าและตามมาได้ทัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว โลกวิญญาณไม่ใช่ ‘ถิ่น’ ของเส้นทางลูกเรือ… แต่ถ้ากัลเดรอนไม่สามารถกีดขวางพลังจากมิติหมอก จนยอดฝีมือลำดับสูงของโบสถ์วายุสลาตันดึงดูดเข้าหา เราสามารถใช้ประโยชน์จาก ‘ความฉุนเฉียว’ ของอีกฝ่ายได้… ทันใดนั้น ไคลน์เหยียดแขนพร้อมกับเสกให้ไพ่ทรราชบนโต๊ะทองแดงยาวลอยมาตกลงบนฝ่ามือ
ถัดมา มันสอด ‘ไพ่เย้ยเทพ’ แผ่นดังกล่าวเข้าไปในร่างวิญญาณของตัวเอง
เพียงพริบตา ออร่าของความยิ่งใหญ่และความน่าสะพรึงกลัวจากก้นบึ้งพลันแผ่ออกจากที่นั่งของเดอะฟูล มงกุฎสันตะปาปาปรากฏขึ้นบนศีรษะไคลน์อย่างเงียบเชียบ เสื้อผ้าแปรเปลี่ยนเป็นชุดคลุมทางศาสนาที่หรูหรา
ชุดคลุมยาวดูคล้ายกับเครื่องแต่งกายของสันตะปาปาในการ์ตูน ‘เซนต์เซย์ย่า’ จากโลกเก่า เพียงแต่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ
เสียงลมโหยหวนพลันดังกังวาน ชุดคลุมของสันตะปาปาสะบัดพลิ้วในทันที ไคลน์ยกมือขวาขึ้นและค้างไว้ในอากาศ ก่อนจะคว้าคทากระดูกที่ลอยเข้ามาหา
ด้านบนของคทาถูกตกแต่งด้วยอัญมณีเปล่งแสงสีน้ำเงินหรือฟ้าอ่อนระยิบระยับ สายฟ้าที่รายล้อมกำลังหมุนเป็นเกลียวรอบตัว ‘ทรราช’ บนบัลลังก์
ตุ้บ! ไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ ทิ้งตัวลงกับพื้นทันที พยายามคืบคลานเข้าหาไคลน์ที่กำลังแต่งตัวเป็นสันตะปาปาและถือคทากระดูก
ราชันเร้นลับ 926 : เมืองที่ดำดิ่ง
เริ่มใจร้อนขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดขนาดนั้น… ไคลน์ที่กำลังสวมมงกุฎสันตะปาปา ชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้ม และคทาเทพสมุทร ตรวจสอบสภาพปัจจุบันของตัวเองด้วยความระมัดระวัง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไพ่ทรราชสามารถระงับผลด้านลบของคทาเทพสมุทรได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็มิได้ถูกลบออกอย่างสมบูรณ์
ไคลน์สงบอารมณ์ด้วยการเข้าฌาน จากนั้นก็หันไปมองกองขยะตรงมุมห้อง
การเดินทางของกรอซาย… อุปกรณ์ป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเราในตอนนี้ แถมยังมีวิธีใช้ประโยชน์ด้านอื่นที่ยอดเยี่ยม แต่ปัญหาคือ มันถูกสร้างเทพบรรพกาลอีกตนหนึ่ง ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล… ตามคำบอกเล่าของเดอะซันน้อย ราชามังกรตนนี้เคยเป็นพันธมิตรกับเจ้าของเมืองกัลเดรอน – ‘เทพมรณาบรรพกาล’ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี… ไม่มีใครรู้ว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ จะไปกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่จำเป็นหรือไม่… กันไว้ดีกว่าแก้…
ในทำนองเดียวกับนกหวีดทองแดงของอะซิก มนุษย์กระดาษกลายพันธุ์ก็คงนำติดตัวไปไม่ได้เช่นกัน สิ่งนั้นมีเศษเสี้ยวมรณาเทียมหลงเหลือ… อาจช่วยสยบสิ่งมีชีวิตภายในเมืองกัลเดรอนได้ก็จริง แต่ก็มีอันตรายซ่อนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน…
ตะกอนพลังของนักบวชแสง… สิ่งนี้สามารถสยบอันเดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นศัตรูโดยธรรมชาติกับชาวเมืองแห่งความตาย แต่มันยังเป็นแค่วัตถุดิบหลัก มิได้ถูกสร้างขึ้นในฐานะสมบัติวิเศษ การใช้งานจึงค่อนข้างจำกัด และผลกระทบด้านลบนั้นรุนแรงมาก คงไม่มีประโยชน์กับตัวเราในสภาพปัจจุบันมากนัก… นอกจากนั้น สายฟ้าเองก็สามารถ ‘ชำระล้าง’ เหล่าคนตายได้เช่นกัน เมื่อถือคทาเทพสมุทรและวาจาสมุทร เราก็ไม่จำเป็นต้องนำตะกอนพลังของนักบวชแสงติดตัวไปด้วย… ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์ค่อยๆ ตัดตัวเลือกที่เหลืออยู่ในกองเศษซากออกทีละหนึ่ง
ในสภาพสวมถุงมือหนังมนุษย์ไว้ในมือซ้ายและถือคทาเทพสมุทร มันยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย เสกให้ไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ ลอยมาตกลงบนฝ่ามือ
ถัดมา ไคลน์ที่กำลังสวมชุดสันตะปาปา ทำการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของร่างวิญญาณ เก็บซ่อนใบหน้าไว้ในเงาของมงกุฎ
มันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มพลิ้วไหวแผ่วเบาไปตามแรงลม ขณะที่คทากระดูกกำลังส่องแสงพร่างพราย
เพียงก้าวไปข้างหน้า ‘ทรราช’ ไคลน์ผ่าน ‘ประตูอัญเชิญ’ ออกจากแสงเทียน เข้าสู่โลกแห่งความจริงและพบว่าตนกำลังอยู่ในห้องน้ำที่ค่อนข้างกว้าง
หลังจากสอดยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ และลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ เข้าไปในร่างวิญญาณ มันเปิดประตูห้องน้ำและกลับไปยังห้องนั่งเล่น บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเดินเข้ามาหยิบวาจาสมุทร
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ดึงปืนพกลางมรณะออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็ส่งให้กับ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์
จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มจับไหล่หุ่นเชิดสองตัวพร้อมกับอาศัยพลัง ‘นักท่องเที่ยว’ ตรงไปยังพิกัดทางวิญญาณที่มิสเมจิกเชี่ยนมอบให้
การเดินทางค่อนข้างราบรื่น ออร่าของ ‘ทรราช’ ทำให้สัตว์วิญญาณกลัวที่จะเข้าใกล้ ไม่กล้าแม้แต่จะมองตรงๆ ผ่านไปไม่นานก็มาถึงจุดหมาย
ฉากตรงหน้าไคลน์มิได้แตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของโลกวิญญาณ บล็อกสีสันที่ฉูดฉาดและสดใสกำลังทับซ้อน มีหมอกบางๆ แพร่กระจายไปทุกจุด ในส่วนลึกเข้าไปมีดวงตาหลายคู่กำลังมองกวาดไปมา
ผ้าคลุมที่ติดกับชุดสันตะปาปาพลิ้วไหวเล็กน้อย ไคลน์สำรวจสักพักก่อนจะสั่งให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซและ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เข้าไปในกลุ่มหมอกบางๆ ที่ดูธรรมดา
ทันใดนั้น ทัศนียภาพจากหุ่นเชิดทั้งสองพลันปรากฏสู่สายตาไคลน์อย่างแจ่มชัด ด้านในเป็นเมืองที่งดงามซึ่งมักถูกบรรยายไว้ในตำนานปรัมปรา
เมืองแห่งนี้แตกต่างจากปกติ มิได้สร้างเรียงขึ้นไปด้านบน แต่เป็นวังวนที่ค่อยๆ ขดตัวม้วนลงด้านล่างรอบหลุมมืด มอบความรู้สึกคล้ายกับอนุสาวรีย์บรรจุศพที่กลับหัว
อาคารภายในมีหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดล้วนแปลกตา บางหลังสร้างขึ้นบนยอดเสาหินสีซีดสูงตระหง่าน บางหลังเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีประตูด้านบนหลังคา ไม่มีหน้าต่าง บางหลังสร้างลึกลงไปใต้ดิน มีป้ายหลุมศพเป็นทางเข้า บางหลังสร้างด้วยกระดูกสีขาว ทั้งยุ่งเหยิงและกระจัดกระจาย
ยิ่งลึกลงไปมากเท่าใด บ้านเรือนก็ยิ่งมีสภาพดีเท่านั้น และยิ่งอยู่ด้านบนมากแค่ไหน สภาพบ้านเรือนก็ยิ่งเสื่อมโทรม พังพินาศไปตามกาลเวลา
ไคลน์หยุดหุ่นเชิดทั้งสองไว้บนขอบของเมือง ก้มลงมองสำรวจทุกสิ่ง แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าสิ่งก่อสร้างด้านล่างหน้าตาเป็นเช่นไร ที่นั่นมีเพียงความมืดมิด คล้ายกับไม่ได้รับแสงสว่างมานับพันปี
หลังจากตรวจสอบสักพัก ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเริ่มก้มศีรษะลงพลางเปล่งถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณเสียงแหบ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา… ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
ทันทีที่กล่าวจบ ไคลน์ซึ่งอยู่ด้านนอกเมืองกัลเดรอนพลันได้ยินคำสวดวิงวอนมายาและพร่ามัว เป็นเสียงที่จงใจเปล่งให้แหบพร่า
“เป็นคำสวดวิงวอนจากหุ่นเชิดเมื่อครู่…” ไคลน์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พึมพำกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว “หมายความว่ากัลเดรอนมิได้กีดขวางพลังของสายหมอก อย่างน้อยบริเวณชายขอบ… เราสามารถเข้าไปได้”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่มันก็ไม่รีบร้อน เลือกจะใช้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ให้เข้าไปสำรวจแทน บังคับให้ยกแขนซ้ายพร้อมกับแบมือ
แสงมายาพลันสว่างวาบ จากนั้น แสงจุดหนึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของวงกลมที่ค่อยๆ ยุบเข้าด้านใน ก่อตัวเป็นบานประตูทองแดงในสภาพหน้าออก
บานประตูค่อนข้างพร่ามัวและขาดความคมชัด พื้นผิวถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกลับนับไม่ถ้วน มอบความรู้สึกเงียบสงัดและลุ่มลึกที่ยากจะบรรยาย
ท่ามกลางเสียงเปิดประตู บานประตูทองแดงลึกลับถูกดึงเข้ามาหาพร้อมกับเผยช่องว่าง
จากช่องว่างดังกล่าว ไคลน์เห็นความมืดสุดลึกล้ำ
ท่ามกลางความมืด แสงสีซีดกำลังสั่นไหวในลักษณะม้วนขึ้นสลับกับพุ่งลง คล้ายกับสายน้ำที่ไหลผ่านค่ำคืนอับแสง
สองฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยเสาหินขนาดใหญ่ที่ไม่ชัดเจน ลักษณะคล้ายกับสิ่งก่อสร้างภายในเมืองกัลเดรอน แต่ดูสมจริงและหรูหรากว่า
ทันใดนั้น ดวงตาคู่ใสและใบหน้าที่ยากจะพรรณนาพลันโผล่ขึ้นพร้อมกับพยายามแทรกผ่านช่องว่างของบานประตูทองแดง
ดวงตาของไคลน์เจ็บแปลบเล็กๆ คล้ายกับถูกแทง จึงรีบบังคับให้หุ่นเชิดลูเธอร์ไวล์กำหมัดซ้ายแน่น
โครม!
ประตูมายาที่เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับ ถูกผลักโดยพลังที่มองไม่เห็นจนปิดสนิทในคราวเดียว จนกระทั่งเลือนหายไปจากการมองเห็นของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ
บานประตูที่แบ่งแยกชีวิตและความตาย บานประตูลึกลับที่เคยมีปลายทางเป็นโลกแห่งความตาย ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อใช้งานที่นี่ ด้านหลังประตูไม่ใช่โลกแห่งความตายอีกต่อไป แต่เป็นเขตพื้นที่หลักของเมืองกัลเดรอนส่วนที่ลึกที่สุดของหลุมดำ? ไคลน์ในสภาพสวมมงกุฎสันตะปาปา สวมชุดคลุมยาว และถือคทาเทพสมุทร พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
พิจารณาจากสิ่งนี้ พลังในขอบเขต ‘ความตาย’ จะเกิดความผันผวนเมื่อถูกใช้ในเมืองกัลเดรอน
อาศัยข้อมูลดังกล่าว เป็นอีกครั้งที่ไคลน์บังคับให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ยกแขนซ้ายขึ้น
ครึ่งซ้ายของหุ่นเชิดกลายเป็นภาพมายาทันที เปล่งแสงสีเขียวสว่างจนดูคล้ายกับจะกลายเป็นวิญญาณอาฆาตหรือภูตผี
ท่อนแขนของลูเธอร์ไวล์ไม่เชื่อฟังกฎแห่งความเป็นจริงอีกต่อไป แขนซ้ายของมันยืดออกไปเป็นทางยาว กึ่งกลางฝ่ามือปรากฏแสงสีขาวซีด เป็นใบหน้ามายาที่กำลังยื่นออก
ใบหน้าดังกล่าวอ้าปากค้างครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นลิ้นที่แหลมยาวเหมือนงู ปกคลุมไปด้วยขนสีขาว
ลิ้นดังกล่าวยืดยาวออกไปไกลมากอย่างไม่สมจริง คล้ายกับสามารถเจาะเข้าไปในร่างกายมนุษย์ได้โดยตรงและสูบวิญญาณออกมา
เป็นอย่างที่คิด… พลัง ‘ทูตมรณา’ ของลูเธอร์ไวล์ที่ได้รับจากสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งความตาย เกิดการกลายพันธุ์… ไม่เพียงจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ยังสามารถดึงร่างวิญญาณจากระยะไกลและสูบเข้ามาได้โดยตรง… ขณะยืนอยู่หน้าทางเข้าเมืองกัลเดรอน ไคลน์บังคับให้พลเรือเอกขุมนรกสำแดงพลังพิเศษชนิดต่างๆ ในขอบเขต ‘ความตาย’ จนเริ่มเข้าใจความแตกต่างระหว่างภาวะปรกติกับการใช้ภายในกัลเดรอน
จากบรรดาพลังทุกชนิด จุดร่วมหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ประสิทธิภาพของพลังล้วนแข็งแกร่งขึ้น!
ถัดมา ไคลน์บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซทดลองใช้แหวนบุปผาโลหิตและไม้เท้าวาจาสมุทร หาข้อสรุปทีละอย่าง
พลังในขอบเขตโชคชะตาไม่ได้รับผลกระทบ…
การโจมตีด้วยสายฟ้าถูกสยบ… อ่อนแอลงมาก…
ไม่สามารถบินสูงเกินไป…
พลังลมเฉือน เสียงเพลง เกล็ดมายา สมดุลร่างกาย และเยื่อน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ …
เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ไคลน์บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซและ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เดินไปตามขั้นบันไดสีซีดตรงทางเข้า บรรจงลงไปทีละขั้น เข้าใกล้พื้นที่ชายขอบด้านในของเมืองกัลเดรอนที่อาคารเริ่มพังทลาย
ห่างออกไปราวสองร้อยเมตร ไคลน์ยกมือขวาขึ้น กดใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาของมงกุฎสันตะปาปาพลางเดินเข้าสู่สายหมอกพร้อมกับถือคทาเทพสมุทร
หลังจากเวียนหัวเล็กน้อย ฉากตรงหน้าชายหนุ่มแปรเปลี่ยนกะทันหัน เป็นการเข้าสู่ ‘เมืองแห่งความตาย’ กัลเดรอนโดยสมบูรณ์
ต่อสู้กับความฉุนเฉียวในใจสักพัก ไคลน์เปลี่ยนให้ถุงมือข้างซ้ายกลายเป็นสีเข้ม
ร่างของวิญญาณมันเริ่มเลือนราง เปลี่ยนจากสีปรกติกลายเป็นสีเข้ม และจากสีเข้มกลายเป็นเงาดำ มีเพียงคทาเทพสมุทรในมือเท่านั้นที่ยังเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนหรือน้ำเงิน
หลังจากใช้พลัง ‘อำพรางร่างวิญญาณ’ และพลังการ ‘สยบ’ ของทรราชเพื่อสยบแสงสว่าง ไคลน์ลอยตรงเข้าไปในแนวเฉียง ผสานเป็นเนื้อเดียวกับเงาของซากอาคาร แอบตามหลังหุ่นเชิดทั้งสองอย่างลับๆ เริ่มการลาดตระเวนเบื้องต้นในเขตรอบนอกของกัลเดรอน
ผ่านไปสักพัก ไคลน์ค่อยๆ สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
ที่นี่เงียบมาก!
มันเงียบเกินไป ราวกับคนทั้งเมืองตายไปหมดแล้ว แม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่รอด!
จากคำบอกเล่าของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสและ ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรีย เกรจารี ต้นตระกูลฟีนิกซ์ ได้ถอนรากถอนโคนกัลเดรอนและโยนลงไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ ไม่อนุญาตให้ชาวเมืองออกไปไหน นานๆ ครั้งจะมีวิญญาณตนอื่นเข้ามาข้างใน
แต่ในปัจจุบัน ไม่เพียงจะไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตภายในเขตรอบนอกของเมือง แต่กระทั่งโครงกระดูก ศพ หรือเศษกระดูกที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรม ก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย!
หัวใจไคลน์พลันเต้นแรง อาศัยการมองเห็นของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ และ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ ชายหนุ่มสำรวจรอบๆ ด้วยความระมัดระวังเป็นเท่าตัว
ระหว่างนั้น สายตา ‘ของมัน’ พลันกวาดไปบนต้นเสายักษ์สีซีดที่หักโค่น มองเห็นแผ่นจานทองคำขัดเงาด้านบนซากปรักหักพังของอาคารโบราณ
ร่างหนึ่งกำลังสะท้อนบนพื้นผิวเรียบของแผ่นจาน แต่นั่นไม่ใช่ร่างของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ แต่เป็นตัวไคลน์ที่กำลังสวมมงกุฎสันตะปาปาและชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม!
ภาพสะท้อนของไคลน์ดูมืดมนสุดขีด ใบหน้าขาวซีด ดวงตาอับแสง ประหนึ่งเสียชีวิตมานานแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น