Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 917-920

 ราชันเร้นลับ 917 : สามทางเลือก

การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดภายในอนุสาวรีย์บรรจุศพ ทำให้ไคลน์ผู้กำลังหลับตาสนิท ยากที่จะคาดเดาว่าปัจจุบันกำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่ทราบว่าสถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางที่ดีหรือร้าย ดังนั้น แม้ว่าจะท่องคาถาเปิดใช้งานยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ แล้ว แต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามขว้างออกไป เกรงว่าจะเกิดผลกระทบด้านลบที่ตรงกันข้ามกับความปรารถนา


หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที ไคลน์รู้สึกเพียงว่า กระแสเวลาไหลผ่านอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน ประหนึ่งผ่านไปเป็นสิบปีก็มิปาน


ในที่สุด มันได้ยินเสียงอะซิกกล่าวด้วยความสงสัย


“เป็นท่านเองหรือ…”


เพียงพริบตาหลังจากนั้น เสียของสตรีที่ไม่สั่นคลอน ดังขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ


“เจ้ามีสามทางเลือก… ประการแรก สานต่อกระบวนการปัจจุบัน แสวงหาความสมบูรณ์แก่ดวงวิญญาณและยอมให้ซาลินเจอร์เกิดใหม่ในร่างกายเจ้า… ประการที่สอง ข้าจะช่วยดึงวิญญาณของเจ้าครึ่งหนึ่งออกจากงูตัวนั้น ส่วนเจ้าไปหาวิธีเย็บเอาเอง แต่วิธีนี้จะทำให้เจ้ากลับไปเป็นตัวตนเก่า หยุดวังวนการตายและฟื้นฟูความทรงจำ แต่เจ้าจะไม่ใช่ตัวเจ้าในปัจจุบัน และช่วงชีวิตที่เคยผ่านมาในอดีตจะกลายเป็นหนึ่งในความฝันซึ่งค่อยๆ เลือนหายไป… ประการที่สาม หันหลังให้กับทุกสิ่งและออกไปจากที่นี่ แต่ลำดับพลังของเจ้าจะหยุดค้างในระดับปัจจุบันโดยไม่สามารถเลื่อนขั้นได้อีก และจะเผชิญกับวังวนความตายไม่จบสิ้น ต้องฟื้นฟูความทรงจำไม่จบสิ้น และไขว่คว้าหาอดีตไม่จบสิ้น”


ไคลน์พลันผงะ คาดไม่ถึงว่าจะยังมี ‘คนอื่น’ อยู่ในส่วนลึกของสุสานแห่งนี้ด้วย แถมยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่นี่ สามารถมอบทางเลือกให้แก่ ‘กงสุลมรณะ’ อะซิก·อายเกสได้ถึงสามทาง


หรือจะเป็นเทพมรณาเทียมที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหมอกดำ?


ไม่ใช่… ใครๆ ก็รู้ว่าเทพมรณาเทียมไม่มีสติปัญญามากขนาดนี้ ไม่เคยมีข้อมูลที่ ‘ท่าน’ พยายามสื่อสารมาก่อน…


ดึงวิญญาณออกมาครึ่งหนึ่งและหาวิธีเย็บเอง… หมายความว่ายังไง? ดวงวิญญาณของมิสเตอร์อะซิกอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์?


แล้วไปดึงมาจากไหน? ‘ท่าน’ ผู้นี้สามารถทำในสิ่งที่แม้แต่มิสเตอร์อะซิกก็ยังทำไม่ได้?


และนอกจากนั้น ใครคือซาลินเจอร์? แล้วทำไมถึงเกิดใหม่ภายในร่างกายมิสเตอร์อะซิก? อย่างบอกนะว่า เขาหรือ ‘ท่าน’ คือ ‘เทพมรณา’ ผู้ทำให้เกิดยุคสมัยแห่งความไร้ชีวิตชีวา? บิดาหรือปู่ของมิสเตอร์อะซิก? เทพมรณามองเห็นอนาคตการร่วงหล่นของตัวเอง จึงเหลือเศษเสี้ยวสำหรับคืนชีพไว้ในร่างมิสเตอร์อะซิก?


ตัวเลือกแรกตัดทิ้งได้เลยโดยไม่ต้องคิด ทั้งข้อสองและข้อสามต่างมีปัญหาในตัวเอง สำหรับข้อที่สอง มิสเตอร์อะซิกจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็น ‘ท่าน’ ที่เราไม่คุ้นเคย… ส่วนข้อสามจะต้องแบกรับคำสาปของอมรณาไว้ตลอดชีวิต ไม่มีทางหนีพ้น… หากมิสเตอร์อะซิกมั่นใจในตัวเอง เชื่อว่าชีวิตที่ผ่านมาเป็น ‘หลักยึดเหนี่ยว’ การเลือกข้อที่สองก็ไม่เลวนัก สามารถปรับปรุงอุปนิสัยระหว่างอดีตและปัจจุบันให้สมดุล… แต่นั่นก็ต้องครึ่งอยู่กับดวงวิญญาณอีกหนึ่งซีกที่ถูกแบ่งออกไป เราไม่เคยสัมผัสกับอีกครึ่งหนึ่งของเขา ไม่มีทางเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ บางที หลักยึดเหนี่ยวอาจไม่ได้ผล…


ข้อมูลมากมายแล่นเข้ามาในหัวไคลน์อย่างรวดเร็ว สมองเต็มไปด้วยคำถามและความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ทำไม่ได้มากไปกว่าการยืนอยู่ห่างๆ และปิดตาให้สนิท


นั่นคือชีวิตของอะซิก เป็นอนาคตที่ชายคนนั้นต้องเผชิญ ไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนได้


และสิ่งที่ไคลน์ควรจะพูด มันได้พูดไปหมดแล้ว ปัจจุบันจึงทำได้เพียงยืนเป็นกังวลอยู่ที่นี่อย่างมิอาจยื่นมือช่วย รอให้มิสเตอร์อะซิกเป็นคนตัดสินใจเอง


อะซิกจ้องหน้าสตรีเลอโฉมในเสื้อคลุมศีรษะ ไม่กล่าวคำใดออกมาเป็นเวลานาน เปลวไฟสีซีดในดวงตายังคงสั่นไหว


งูขนนกกึ่งมายากึ่งคมชัด คล้ายกับมันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ รีบตวัดหางกวาดไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ก้มศีรษะลงพร้อมกับอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นเลือดเนื้อสีแดงเข้มและเขี้ยวที่ย้อมน้ำมันสีเหลือง ก่อนจะเหยียดลิ้นงูสีดำสนิทเปื้อนเมือกสีเขียวเข้ม ออกมาตวัดอะซิก·อายเกส


ทว่า ความพยายามทั้งหมดของมันลงเอยด้วยความล้มเหลว คล้ายกับพลังของมันไม่มีผลกับโลกทางนี้


ท่ามกลางความเงียบเชียบ อะซิกยกมือขวาขึ้น ลูบหน้าผากพลางยิ้มและตอบ


“บางที ผมคงคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว… เลือกข้อสาม”


เมื่อสิ้นเสียง สตรีสวมผ้าคลุมศีรษะตรงหน้าเหยียดแขนออกมาคว้าเครื่องประดับทองคำรูปนกและบีบไว้ในมือสักพัก ก่อนจะชักแขนกลับพร้อมกับดึงวัตถุโบราณออกจากรอยแยกกึ่งกลางหน้าผากของอะซิก


สีหน้าอะซิกพลันบิดเบี้ยวอีกครั้ง คล้ายกับกำลังเผชิญความเจ็บปวดแสนสาหัส


ในทุกหยดของเลือดที่ไหลริน ในทุกอณูของเลือดเนื้อ เศษเสี้ยวดวงวิญญาณจำนวนมากค่อยๆ แผ่ซ่าน ก่อนจะผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นร่างวิญญาณที่โปร่งใส


แม้ร่างวิญญาณดังกล่าวจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว แต่ก็เผยให้เห็นความขัดแย้งและไม่กลมกลืน เนื่องจากครึ่งหนึ่งของวิญญาณเป็นสีเหลืองทอง ไล่ตั้งแต่คิ้ว ดวงตา ไปจนถึงแขนขา มอบบรรยากาศสง่างามแต่เรียบง่าย


เมื่อไม่มีเครื่องประดับทองคำเป็นตัวเชื่อม ร่างวิญญาณกึ่งทองคำของอะซิกจึงค่อยๆ แยกออกจากกันทั้งเป็น


ลำคออะซิกแผดเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนมนุษย์อีกครั้ง ไคลน์ซึ่งได้ยินจากระยะไกล พลันปวดศีรษะรุนแรงประหนึ่งถูกเข็มจำนวนมากทิ่มแทงสมอง


ผ่านไปไม่กี่วินาที ร่างวิญญาณของอะซิกถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยสมบูรณ์ ครึ่งหนึ่งกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ผสานเข้ากับเครื่องประดับรูปนก ครึ่งหนึ่งกลับคืนสู่ร่างเนื้อ ผสมผสานกับเลือดเนื้อที่เป็นของอะซิก·อายเกส


เปลวไฟสีซีดในดวงตาทั้งสองข้างของอะซิกพลันดับมอด ขนนกสีขาวและเกล็ดสีดำที่งอกขึ้นบนตามผิวหนังค่อยๆ เลือนหาย สีหน้าที่บิดเบี้ยวค่อยๆ บรรเทาลงก่อนจะกลับเป็นปรกติ


ใบหน้าของอะซิกค่อนข้างซีด ค่อนข้างโปร่งใส หน้าผากสั่นกระตุกอย่างชัดเจน คล้ายกับกำลังเจ็บปวดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับดวงวิญญาณ


“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” อะซิกคำนับสตรีเลอโฉมผู้สวมเสื้อคลุมศีรษะอย่างนอบน้อม ก่อนจะหมุนตัวเดินมาทางขั้นบันไดที่ว่างเปล่า กลับมายืนด้านข้างไคลน์


“ลืมตาได้แล้ว” อะซิกยิ้มด้วยความอ่อนเพลีย


ไคลน์ลืมตาขึ้นและรีบสำรวจอะซิกฝั่งตรงข้าม เมื่อพบว่าไม่มีอาการเสียสติหรือคลุ้มคลั่งจึงเผยความโล่งใจ แอบชำเลืองสายตาไปยังส่วนลึกของสุสานด้วยความอยากรู้อยากเห็น


ที่นั่นมีเพียงหมอกดำคอยปกคลุมทุกสิ่ง


“เมื่อครู่ใครหรือครับ?” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถาม


อะซิกยิ้มพลางยื่นมือมาจับไหล่


“ถึงผมอยากจะบอกมากเพียงใด แต่คุณก็คงไม่ได้ยิน เว้นเสียแต่ท่านต้องการให้คุณได้ยิน”


ได้ยินเช่นนั้น ไคลน์จับไหล่หุ่นเชิดทั้งสองตามสัญชาตญาณ


สีสันรอบตัวฉูดฉาดและซ้อนทับกันอีกครั้ง ในไม่ช้าทั้งคู่ก็เคลื่อนที่ผ่านโลกวิญญาณซึ่งสอดคล้องกับทะเลคลั่ง เดินทางกลับไปยังห้องพักโรงแรมที่ไคลน์เช่าไว้ในเมืองเครน


อะซิกปล่อยมือ ลูบหน้าผากพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ผมคงต้องหลับไปอีกสักพัก… ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคราวนี้จะนานแค่ไหน หากมีคำถาม คุณสามารถถามเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณได้โดยตรง คงรู้จักพิธีกรรมอยู่แล้วใช่ไหม?”


“มิสเตอร์อะซิก… คุณไม่เป็นอะไรแน่นะ?” ไคลน์ถามด้วยความเป็นกังวล


ขณะเดียวกัน มันจิกกัดตัวเอง


ครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณต้องหายไปตลอดกาล จะให้ไม่เป็นอะไรได้ยังไง?


อะซิกยิ้มและตอบ


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร… ก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม เมื่อใดที่เห็นว่าตัวเองกำลังจะตาย ผมก็แค่จัดเตรียมทุกอย่างสำหรับชีวิตใหม่ ตัดความสัมพันธ์กับชีวิตเก่า จากนั้นสูญเสียความทรงจำพร้อมกับคืนชีพ ออกค้นหาอดีตอีกครั้ง… เทียบกับทุกครั้งที่ผ่านมา อย่างน้อยคราวนี้ผมก็มีคุณ คนที่รู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับตัวผม หากผมต้องสูญเสียความทรงจำอีกครั้ง การอ่านจดหมายของคุณคงช่วยให้จดจำอะไรได้มากมาย”


มันเว้นวรรค ตามด้วยพยักหน้าแผ่วเบาและหัวเราะ


“การนอนหลับก็ไม่ได้แย่เสมอไป… อย่างน้อยผมก็ยังฝัน เป็นความฝันที่ไม่เคยเลือนหายไปไหน ผมยังคงนอนอาบแดดกับเธอที่ริมทะเลใต้ ยังคงสอนเด็กดื้อให้รู้จักการใช้ดาบ ยังคงสร้างชิงช้าให้กับเจ้าตัวเล็กที่เอาแต่ใจ…”


กล่าวจบ อะซิกโยนนกหวีดทองแดงด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


“อย่าลืมเขียนจดหมายหาผมบ้าง… แต่ก่อนที่จะตื่น ผมคงไม่ได้เขียนตอบกลับ”


ในวินาทีที่ไคลน์เหยียดแขนออกไปรับนกหวีดทองแดงโบราณที่มีลวดลายงดงาม อะซิกหายตัวไปจากห้อง ไม่มีใครทราบว่าไปที่ไหน


จ้องมองความว่างเปล่าสักพัก ไคลน์ถอนหายใจเสียงต่ำ



หากต้องการไปที่อื่นนอกจากเมืองเครน ถ้าเป็นทางบกก็ต้องเดินตามเส้นทางอันคดเคี้ยวขึ้นข้างบน ผ่านถนนหลายเส้นจนกระทั่งจุดสูงสุดของเมือง ถึงตอนนั้นก็จะสามารถปีนขึ้นไปบนภูเขาและเข้าสู่เขตที่ราบสูง


ณ ปัจจุบัน หน่วยถุงมือแดงที่นำโดยโซสต์ กำลังยืนอยู่บนจัตุรัสที่สูงที่สุดของเมืองพลางมองไปทางทะเลคลั่งที่ค่อนข้างผิดปกติ


ดาลีย์·ซิโมเน่ซึ่งยังคงใช้มือจับหน้าผาก ค่อยๆ ลดฝ่ามือลงพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าเจือความประหลาดใจ


“ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติแล้ว… หมดปัญหา”


“ปกติแล้ว?” เลียวนาร์ดถามด้วยความฉงน


ตามความเห็นของมัน หากการกลายพันธุ์ของทะเลคลั่งยังไม่สิ้นสุดลง คงเป็นเรื่องยากที่ดาลีย์จะกลับสู่ภาวะปกติ


“อาการแบบนี้อาจจะมาเป็นพักๆ …” โซสต์คาดเดาคลุมเครือ


ขณะดาลีย์เตรียมตอบ สัมผัสวิญญาณของทุกคนพลันถูกกระตุ้นอย่างพร้อมเพรียง ต่างฝ่ายต่างรีบหันไปทางทะเลคลั่ง


ท่ามกลางบรรยากาศอันดำมืด ดวงดาวค่อยๆ สว่างขึ้นทีละดวง



เบ็คลันด์ ภายในวิหารนักบุญแซมมวล


อาร์ชบิชอปแอนโทนี·สตีเวนสันได้รับโทรเลขฉุกเฉินจากทะเล


เนื้อหาของโทรเลขค่อนข้างเรียบง่าย แต่ก็ค่อนข้างน่าทึ่ง


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้ขึ้นเรือ ‘ทิวลิปดำ’ พร้อมกับชายคนหนึ่งและเปลี่ยนให้ลูเธอร์ไวล์กลายเป็นหุ่นเชิด ลูเธอร์ไวล์เรียกคนที่มากับเกอร์มันว่า ‘กงสุลมรณะ’ ”


เกอร์มัน·สแปร์โรว์… กงสุลมรณะ… นักบุญแอนโทนีทวนทั้งสองคำอย่างแผ่วเบา


มันเอนหลังอย่างเชื่องช้าพลางหลับตา นึกทบทวนข้อมูลของสมบัติปิดผนึก ‘0-17’ ภายในใจ เป็นข้อมูลที่สมบูรณ์มาก


“หมายเลข: 17”


“ชื่อ: เทวทูตแห่งความลับ”


“ระดับอันตราย: ‘0’ อันตรายยิ่งยวด… ระดับความเฝ้าระวังสูงสุด ระดับการรักษาความลับสูงสุด ห้ามถามข้อมูล ห้ามแพร่งพรายข้อมูล ห้ามเอ่ยถึง ห้ามแอบสอดแนม”


“ผู้ที่สามารถเข้าถึงข้อมูล: สันตะปาปา, นักวิจัยทีม A และอาร์ชบิชอปมุขมณฑลเบ็คลันด์ (หมายเหตุ เมื่ออาร์ชบิชอปถูกย้ายออกจากเบ็คลันด์ จำเป็นต้องใช้สมบัติปิดผนึก ‘1-29’ เพื่อล้างความทรงจำที่เกี่ยวข้อง) ”


“วิธีผนึก: อาศัยความร่วมมือของสมบัติปิดผนึก ‘1-29’ และ ‘1-80’ เพื่อผนึกให้สมบูรณ์”


“รายละเอียด: นี่มิใช่วัตถุ”



“คำเตือน: ไม่สามารถใช้งาน ‘ท่าน’ ได้!”


“ภาคผนวก 1: สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในยุคไร้ชีวิตชีวาแห่งยุคสมัยที่สี่ ปีที่พบ: ไม่ปรากฏ, วันที่พบ: ไม่ปรากฏ, สถานที่พบ: ไม่ปรากฏ”


“ภาคผนวก 2: จากบันทึก ‘ท่าน’ ตื่นขึ้นมาแล้วห้าครั้ง”


“ภาคผนวก 3: ไม่สามารถใช้งาน ‘ท่าน’ ได้เนื่องจากติดข้อจำกัดที่สำคัญบางประการ… เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ‘ท่าน’ สามารถถูกใช้เป็นภาชนะในการเสด็จเยือนผืนพิภพของเทพธิดา”


ราชันเร้นลับ 918 : คาดเดาและทฤษฎี

เมืองเครน ภายในห้องพักของโรงแรม


ไคลน์นั่งบนเก้าอี้เอนหลังพลางเอื้อมมือออกไปรับชาดำกับมะนาวฝานที่ชงโดย ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ


อีกด้านหนึ่งของมัน ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์กำลังอยู่ในสภาพสวมหน้ากากสีเงิน ดาบเสียบเอว ยืนตัวตรง ดูคล้ายกับผู้พิทักษ์แสนซื่อสัตย์


ปัจจุบัน ไคลน์เพิ่งสงบสติได้อย่างสมบูรณ์ มีพลังงานเพียงพอที่จะวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นในอนุสาวรีย์บรรจุศพของมรณา ท่ามกลางคำถามที่ถาโถม สิ่งที่มันสนใจมากที่สุดคือผู้ที่ช่วยเหลือมิสเตอร์อะซิกให้พ้นจากปัญหาในช่วงเวลาวิกฤติ แถมยังมอบให้สามตัวเลือก


ประการแรก เสียงผู้หญิง…


ประการที่สอง เรื่องนี้ต้องเป็นประโยชน์ต่อ ‘ท่าน’ มิฉะนั้นคงไม่ลงทุนถ่อมาที่นี่เพื่อให้ความช่วยเหลือ แน่นอน เว้นเสียแต่จะบังเอิญผ่านทางมาและสงสาร จึงยื่นมือช่วยเหลือ เหตุผลนี้ค่อนข้างฟังขึ้น แต่ปัญหาคือ อนุสาวรีย์บรรจุศพเกิดขึ้นจากพลังเทพ ตะกอนพลัง และซากศพที่หลอมรวมกับสภาพแวดล้อมของมรณาหลังจากร่วงหล่น ถ้าไม่มี ‘กุญแจ’ ที่สอดคล้องกัน แม้แต่เทพก็คงหาไม่พบ จะเปิดประตูก็ไม่ได้ แล้วจะมีคนบังเอิญผ่านมาได้อย่างไร?


นอกจากนั้น มิสเตอร์อะซิกตัดสินใจอย่างกะทันหัน มิไม่ได้แวะไปหาคนของนิกายวิญญาณเพื่อ ‘สอบถาม’ ข้อมูลก่อน แค่ตามเสียงเรียกจนกระทั่งถึงทะเลคลั่งและเข้าสู่ ‘ขุมทรัพย์ของมรณา’ หากไม่ใช่ตัวตนที่สามารถระบุพิกัดของเราหรือเขา หรือมีความสามารถในการคาดการณ์ที่ทรงพลัง ก็แทบไม่มีตัวตนใดสามารถมาถึงได้ทันเวลา…


และสุดท้าย ซาลินเจอร์ที่สามารถคืนชีพในร่างมิสเตอร์อะซิกคงไม่พ้นตัวตนจากยุคสมัยที่สี่เจ้าของวลี ‘ถึงข้าจะบ้า แต่ข้าก็แข็งแกร่ง’ อย่างเทพมรณา… สตรีคนดังกล่าวเรียกเทพมรณาด้วยสรรพนามขาดความเคารพ…


หรือว่า…


ขณะไคลน์กำลังวิเคราะห์อย่างจริงจัง มันผุดสมมติฐานบางข้อขึ้นในใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ดังกล่าว


เท่าที่มันทราบ สามเส้นทางพิเศษอันประกอบด้วยรัตติกาล มรณา และคนยักษ์ล้วนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน สามารถสับเปลี่ยนได้ในลำดับสูง นอกจากเทพธิดาจะสามารถกุม ‘อำนาจ’ บางส่วนในขอบเขตดวงจันทร์ผ่านสมบัติปิดผนึกระดับ 0 บางชิ้น หรือไม่ก็ผ่านสมญานาม ‘สตรีสีชาด’ พระองค์ยังครองสมญานาม ‘มารดาแห่งการหลับใหลและความเงียบ’ ซึ่งสามารถบ่งชี้ไปยังโลกแห่งความตายและ ‘อำนาจ’ ในขอบเขตของความตายได้เช่นกัน


เมื่อผนวกกับประสบการณ์ในหมู่บ้านสายหมอกที่ผ่านมา รวมถึงประสบการณ์สมัยยังอยู่ที่ทิงเก็นและสัมผัสกับดาบศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้สัตย์สาบาน เห็นได้ชัดว่าเทพธิดานั้นมี ‘อำนาจ’ ในขอบเขต ‘ความอับโชค’ ด้วย และทำให้ไคลน์เชื่อว่า ตนอาจเคยอยู่ใน ‘เป้าหมายการจับตามองพิเศษ’ ของอีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่มันใช้ ‘คทาเทพสมุทร’ เพื่อทำเครื่องหมายกับสาวกบางคน


ถ้าสมมติให้เป็นเช่นนั้นและหาเหตุผลมารองรับ คำถามทั้งหมดจะถูกไขกระจ่างหากอีกฝ่ายเป็นเทพธิดา…


ในฐานะหนึ่งในเจ็ดเทพจารีต และหนึ่งในผู้ชนะคนสุดท้ายของ ‘ยุคไร้ชีวิตชีวา’ เทพธิดามีศักดิ์และสิทธิ์เพียงพอที่จะเพิ่มสมญานามในขอบเขต ‘ความตาย’ ให้กับตัวเอง…


และตัวเราที่ถูกทำเครื่องหมายโดยพระองค์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดจำพวก การเข้าไปในสถานที่ผิดวิสัยอย่าง ‘กรุสมบัติของเทพมรณา’ ย่อมต้องทำให้พระองค์รับรู้และตอบสนองกลับมา และเนื่องจากต้องใช้เวลาดำเนินการสักพัก กว่าจะลงมือก็เกือบสายเกินไป…


สำหรับพระองค์ เทพมรณาเทียม หรือที่เรียกว่า ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘มรณา’ ที่เริ่มมีชีวิตชีวา น่าจะมีประโยชน์ต่อการเสริม ‘อำนาจ’ ในขอบเขต ‘การหลับใหลและความเงียบ’ ของท่านได้ไม่มากก็น้อย… อาจถึงขั้นช่วยให้พระองค์ ‘กัดกร่อน’ อำนาจของเทพมรณาได้โดยตรง เช่นเดียวกับที่มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเคยกระทำกับเทพผู้ถูกล่าม…


เมื่อ ‘เทพมรณา’ ร่วงหล่น… ตะกอนพลังลำดับ 1 ทั้งสามก้อนควรแยกตัวตามธรรมชาติ เราไม่รู้ว่าใครได้ครอบครองไปบ้าง… หากเทพธิดารวบรวมพวกมันสำเร็จ บางที สมญานามอย่าง ‘ผู้ปกครองโลกแห่งความตายโบราณ ราชินีแห่งอันเดดทั้งปวง’ อาจตกเป็นของพระองค์…


แม้ว่ามิสเตอร์อะซิกจะถูกบุคคลระดับสูงของโบสถ์รัตติกาลไล่ล่ามาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเลยสักครั้ง… คล้ายกับเทพธิดาเฝ้ารอให้เรื่องราวดำเนินมาถึงวันนี้อย่างใจเย็น… ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ไคลน์พลันเกิดความคิดนอกรีต


อันที่จริง มันค่อนข้างเคร่งศาสนา อย่างน้อยก็เปลือกนอก ไคลน์รีบยกมือขวาขึ้นมาแตะสี่จุดตามเข็มนาฬิกาเพื่อทำสัญลักษณ์พระจันทร์แดงอย่างเคร่งครัด ปากขยับพึมพำ


“เทพธิดาจงเจริญ”


สิ่งนี้ทำให้มันหวนนึกถึงคำตอบของ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสติน หลังจากอีกฝ่ายไปว่า ตนจะได้รับสูตรโอสถลำดับสูงของเส้นทาง ‘นักทำนาย’ ด้วยวิธีใดบ้าง:


สามารถหาได้จากซาราธที่เสียสติ หรือไม่ก็ยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส… แต่ถ้าเราเป็นข้ารับใช้แห่งรัตติกาล ให้ถือว่าเขาไม่ได้พูดอะไร…


หลังจากเหตุการณ์ในหมู่บ้านสายหมอก ไคลน์ค้นพบว่าการไปเยือนภูเขาโฮนาซิสให้ผลลัพธ์เดียวกับการตามหาซาราธ หรือแม้กระทั่งการขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจากวิหารนักบุญแซมมวลก็ยังให้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน จนกระทั่งเมื่อครู่ มันเริ่มพบว่าประโยคสุดท้ายของวิล·อัสตินมิได้ไร้ความหมายเสียทีเดียว


ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบคาง พึมพำกับตัวเอง


“อาจจะ… มีสิทธิ์เป็นไปได้ว่า… เรากลายเป็นข้ารับใช้ของรัตติกาลไปแล้ว…”


สำหรับสิ่งนี้ ไคลน์มิได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด


ภายในหนึ่งปีแรกหลังจากเดินทางมายังโลกปัจจุบัน มันใช้ชีวิตในฐานะเหยี่ยวราตรีของเมืองทิงเก็น มีเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนร่วมงานที่ดี มีชีวิตที่ค่อนข้างอบอุ่น และยอมรับในแนวคิดกับหลักคำสอนของศาสนารัตติกาล จนกระทั่งปัจจุบัน ความรู้สึกเดิมยังคงไม่เปลี่ยน แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าตนศรัทธาในเทพธิดารัตติกาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าไคลน์เคารพนับถือเทพตนนี้มากที่สุด


ในอีกแง่หนึ่ง อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ‘เทพธิดารัตติกาล’ ยังไม่เคยแสดงความมุ่งร้ายกับตน ตรงกันข้าม ตนมีแต่จะได้รับ ‘ของขวัญ’ บางอย่างตอบแทน ไคลน์จึงประเมินว่า ไหนๆ ก็ถูกหมายหัวเป็นพิเศษแล้ว และคงหลุดพ้นไม่ได้ง่ายนัก ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการอ้าแขนยอมรับชะตากรรมและใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้อย่างเต็มที่


แน่นอน เราจะไม่ประมาท… นอกจากนั้น เรายังมีศัตรูมากเกินไปในปัจจุบัน จำพวก ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ‘แม่มดบรรพกาล’ ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์และ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุส บางคนสามารถระบุพิกัดของเราได้ทุกเมื่อ ดังนั้นอย่าละอายใจที่จะหาต้นไม้ใหญ่เกาะ หากไม่ทำอะไรสักอย่าง อนาคตจะมีแต่ความยากลำบากรออยู่! ไคลน์ที่ตระหนักว่าตนมีศัตรูมากมายเกินกว่าลำดับพลังปัจจุบันจะรับมือไหว รีบปรับทัศนคติอย่างรวดเร็ว


สำหรับชายหนุ่ม หากเทพธิดาเริ่มทำเครื่องหมายกับตนนับตั้งแต่วินาทีที่สัมผัสกับดาบ ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น และตราบใดที่พระองค์ไม่ ‘สอดแนม’ นานหรือถี่เกินไป มันก็พอจะรับได้


อย่างน้อย พิจารณาจากประสบการณ์การทำเครื่องหมายด้วย ‘คทาเทพสมุทร’ การ ‘สอดแนม’ ตลอดเวลานั้นทำไม่ได้… อา… มิสเตอร์อะซิกคงหลับลึกไปอีกนาน และเทพธิดาคงมิอาจ ‘เสด็จลงมาเดินดิน’ ได้ไม่ง่ายนัก คงมีอุปสรรคและการเตรียมตัวที่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่อย่างนั้น เทพจารีตทั้งเจ็ดคงสามารถ ‘เสด็จลงมาเดินดิน’ กันจนเป็นเรื่องปรกติเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง… ดังนั้น เราต้องทำตัวไม่เตะตาในทวีปใต้ อย่าไปคาดหวังความช่วยเหลือจากภายนอก… ไคลน์เตือนตัวเองสองสามคำ ก่อนจะหันไปตรวจสอบหุ่นเชิดใหม่ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์


ด้วยความสัตย์จริง มันอยากเห็นใบหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากสีเงินมาตลอด แต่เมื่อย้อนนึกไปถึงครั้งสุดท้ายที่ได้ต่อสู้กัน การถอดหน้ากากของลูเธอร์ไวล์ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึง ชายหนุ่มจึงระงับความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ ไว้ค่อยทดลองใหม่ในตอนที่ออกจากเมืองและเข้าไปในดินแดนรกร้างปราศจากผู้คน


หลังจากใช้ความพยายามสักพัก ไคลน์ค้นพบลำดับพลังและความสามารถของหุ่นเชิดตัวใหม่


ลูเธอร์ไวล์เป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ ลำดับ 5 ของเส้นทาง ‘มรณา’ และไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว


ลำดับ 9 ของเส้นทางเดียวกันก็คือ ‘ผู้เก็บซากศพ’ ไคลน์พอจะมีข้อมูลอยู่บ้างสมัยทำงานกับเหยี่ยวราตรีทิงเก็น ทราบว่าคนเหล่านี้จะมีออร่าคล้ายศพ บรรยากาศหม่นหมอง อุณหภูมิร่างกายต่ำ เพื่อมิให้ถูกโจมตีโดยเหล่าอันเดดไร้สติปัญญา ขณะเดียวกันก็เสริมสมรรถภาพร่างกายขึ้น สามารถทนต่อการกัดเซาะของพลังกัดกร่อน ความเย็น และความตาย เปิดเนตรวิญญาณอยู่ตลอดเวลา แถมยังมีความเข้าใจในคุณสมบัติและจุดอ่อนของอันเดด


ลำดับ 8 ‘นักขุดสุสาน’ ผู้เก็บซากศพที่เลื่อนมาเป็นลำดับนี้จะมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น เนตรวิญญาณทรงพลังขึ้น มีความคล่องตัวมากขึ้น สามารถสื่อสารกับ ‘วิญญาณ’ ที่อยู่ใกล้เคียงได้ และขอร้องให้พวกมันช่วยเหลือ นอกจากนั้น ‘นักขุดสุสาน’ ยังสามารถวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของสัตว์วิญญาณและอันเดดที่พวกตนไม่คุ้นเคยได้ด้วยพลังที่เรียกว่า ‘เนตรมรณะ’


ลำดับ 7 ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ เป็นลำดับที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ผู้วิเศษจะเชี่ยวชาญพิธีกรรมลึกลับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ สามารถสื่อสารโดยตรงกับวิญญาณตามธรรมชาติและวิญญาณเร่ร่อนภายในโลกความจริง และนั่นทำให้การสืบข่าวเป็นเรื่องง่าย


ในทำนองเดียวกัน พวกมันสามารถใช้วิญญาณที่แตกต่างกันในการสร้างผลลัพธ์ที่คล้ายเวทมนตร์หลากหลายประเภท รวมถึงการสร้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติต่างๆ


ลำดับ 6 ‘ผู้ชี้นำวิญญาณ’ และลำดับ 5 ‘ผู้เฝ้าประตู’ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเท่ากับเมื่อครั้ง ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ แต่เป็นการขยายขอบเขตของการสื่อสาร และยกระดับให้ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ เริ่มเข้ามาพัวพันกับโลกวิญญาณ รวมไปถึงการ ‘จ้าง’ ผู้ส่งสารส่วนตัวจากบรรดาสัตว์วิญญาณจำนวนมาก ในลำดับ ‘คนเฝ้าประตู’ ผู้วิเศษจะสัมผัสถึงประตูที่ใช้เข้าสู่โลกแห่งความตาย รวมถึงสามารถควบคุมวิญญาณของคนตายด้านใน ประหนึ่งเป็นผู้เฝ้าทางเข้าออกที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างคนเป็นและคนตาย


นับตั้งแต่ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ เป็นเต้นไป จำนวนของสัตว์วิญญาณและอันเดดที่สามารถควบคุมได้จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนั้น ผู้ชี้นำวิญญาณยังเชี่ยวชาญ ‘ภาษาแห่งความตาย’ ที่สามารถทะลวงผ่านแนวป้องกันของร่างเนื้อ สื่อสารกับร่างวิญญาณโดยตรงเพื่อเข้าควบคุมหรือแม้กระทั่งสั่งให้เป็นทาส และในกรณีของ ‘ผู้เฝ้าประตู’ พวกมันมีพลังในการเปิดประตูลึกลับที่แบ่งแยกระหว่างความเป็นและความตาย – ประตูสู่โลกแห่งความตาย!


ถ้าไม่ใช่เพราะนกหวีดทองแดงอะซิกสามารถปั่นป่วนเหล่าวิญญาณที่ถูกผู้เก็บซากศพควบคุมอยู่ ตอนนั้นเราคงไม่มีปัญญาไปสู้กับพลเรือเอกขุมนรก หรือแม้กระทั่งปัจจุบัน หากไม่มีความช่วยเหลือจากพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ต่อให้ใช้พลังระดับครึ่งเทพโจมตี ก็ยังไม่แน่ว่าจะปิดฉากลูเธอร์ไวล์ลงได้… ในตอนที่วางแผนแก้แค้นอินซ์·แซงวิลล์ เราต้องพึงระวังไว้ว่าเจ้านั่นเคยเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ … ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง ยกแก้วขึ้นดื่มชาดำ


สำหรับอาวุธคู่กายลูเธอร์ไวล์ ดาบเล่มนี้มีนามว่า ‘แฮร์ริสเรเพีย’ เป็นขององค์ชายเก่าแก่คนหนึ่งจากทวีปใต้ พลังไม่สอดคล้องกับเส้นทางหรือลำดับใด ลักษณะเหมือนกับ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนที่เกิดจากการรวมตัวกันของตะกอนพลังที่ไม่ยึดตามหลักธรรมชาติ


ความสามารถพิเศษเพียงอย่างเดียวของดาบเล่มนี้ก็คือ นำพาความพินาศมาสู่เป้าที่ถูกแทง


ในฐานะนายพลโจรสลัดที่มีค่าหัวสูงสุด สมบัติวิเศษของลูเธอร์ไวล์ย่อมมีมากกว่าดาบวิเศษเล่มนี้ แต่น่าเสียดาย แหวนมรณาที่มีมูลค่าสูงที่สุดกลับถูกอะซิกยึดไป ส่วนหน้ากากสีเงินบนใบหน้า ไคลน์ยังไม่กล้าวิจัยในปัจจุบัน


และนอกจากนั้น… มันไม่ได้สนใจเงินเลยสักนิด ไม่พกเงินติดตัวแม้แต่เพนนีเดียว… ไคลน์วางถ้วยชาลงพลางถอนสายตากลับ ตัดสินใจใช้ประโยชน์จากเวลาว่างขณะรอเดนิสสืบข้อมูล เตรียมเดินทางออกจากเมืองเครนเพื่อไปยังที่ใดสักแห่ง



 

 

 


ราชันเร้นลับ 919 : การอนุมานที่ ‘สมบู...

 

เบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด


ฟอร์สที่กำลังงีบหลับ พลันตื่นจากความฝันและพบกับหมอกสีเทาไร้ขอบเขตเบื้องหน้า และยังเห็น ‘เดอะมูน’ กำลังก้มศีรษะสวดวิงวอนด้วยประโยคที่ชัดเจน


“…ชานเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของเบ็คลันด์ กึ่งกลางป่าเดแลร์จะมีปราสาทร้างอยู่หนึ่งหลัง ภายในนั้นมีวิญญาณอาฆาตโบราณอย่างน้อยสองตน รวมถึงวิญญาณประเภทอื่นของคนตาย ปัจจุบันยังไม่ยืนยันว่าที่นั่นไม่มีผู้วิเศษอาศัยอยู่ ส่วนพิกัดโดยละเอียดคือ…”


ในที่สุดก็มีข่าวเกี่ยวกับวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘นักบันทึก’ เสียที… ข่าวมูลค่าสามร้อยปอนด์… ฟอร์สพลันตื่นเต้นยินดี รีบขอบคุณมิสเตอร์และขอให้อีกฝ่ายแจ้ง ‘เดอะมูน’ ว่าจะส่งค่าตอบแทนในภายหลัง


จัดการเสร็จ หญิงสาวพลิกตัวลุกขึ้นและเดินลงไปยังชั้นแรก เตรียมเทไวน์ใส่แก้วพลางครุ่นคิดว่าการสำรวจปราสาทต้องใช้สิ่งใดบ้าง


คงให้ใครเช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ในช่วงนี้ไม่ได้… ซิลก็ต้องมาด้วย… ในปราสาทร้างเต็มไปด้วยวิญญาณคนตาย นับว่าค่อนข้างอันตราย เราต้องคำนึงถึงการผสมผสาน ‘เวทมนตร์’ ให้ดี หากยังขาดในจุดใด ต้องใช้เงินจ้างให้มิสเตอร์เวิร์ล แฮงแมน เดอะซัน ช่วยบันทึกพลังพิเศษลงไป… แม้ว่าฟอร์สจะมีประสบการณ์การต่อสู้เพียงเล็กน้อย แต่เธอก็แฝงตัวในโลกเหนือธรรมชาติมานานหลายปี แถมในภายหลังยังได้เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ ได้เห็นได้ยินหลายสิ่ง ย่อมรู้จักเตรียมการก่อนลงมือเสี่ยง


สำหรับตัวเลือกที่จะขอให้มิสเตอร์เวิลด์ช่วยทำภารกิจนี้แทน เธอไม่เคยคิดถึง เพราะเชื่อว่าต้องให้ทุ่มเงินเก็บทั้งหมด รวมถึงการยก ‘ผลลัพธ์การเก็บเกี่ยว’ ให้อีกฝ่าย ก็ยังไม่มากพอจะจ้างให้บุคคลระดับเดอะเวิร์ลลงมือ


แน่นอน หากการสำรวจเบื้องต้นของเธอยืนยันว่าปราสาทร้างดังกล่าวเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่สถานที่ผู้วิเศษในระดับเธอจะสำรวจเข้าไปถึงส่วนลึก ฟอร์สคงไม่มีทางเลือกนอกจากแบกรับภาระหนี้สิน ยอมจ้างให้เดอะเวิร์ลเข้าไปรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถนักบันทึก เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นคือความหวังในการมีชีวิตรอดต่อไปเพียงทางเดียว


ในทางทฤษฎี เรื่องราวยังไม่น่าจะไปถึงขั้นนั้น ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ยังมีพลังพิเศษในลำดับครึ่งเทพสองชนิดที่มิสเตอร์เวิร์ลเหลือไว้… เราสามารถยืมใช้สักชนิดแล้วค่อยหาทางชดเชยในภายหลัง… ปัญหาเดียวก็คือ พลังระดับครึ่งเทพทั้งสองชนิดอาจไม่เหมาะกับการปราบภูตผีและวิญญาณคนตาย… ฟอร์สจิบแรนดี้ดำพลางประกอบความคิดให้เป็นรูปเป็นร่าง


คิดถึงตรงนี้ เธอได้ยินเสียงกุญแจถูกเสียบเข้าไปในรูกุญแจ จึงหันไปมองทางประตูตามสัญชาตญาณ


ประตูเปิดออกพร้อมกับซิลที่เดินเข้ามา ในมืออีกฝ่ายกำลังถือถุงกระดาษสองใบที่ส่งกลิ่นหอมรุนแรง


“พายเดซีย์?” ฟอร์สโพล่งถามก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “ไหนว่าพักนี้มีงานยุ่ง? ทำไมกลับบ้านเร็วนัก?”


ซิลโยนพายเดซีย์ไปทางฟอร์สหนึ่งถุง กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“บังเอิญผ่านทางมาพอดี แล้วก็ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง ก็เลยพักสักหน่อย”


โดยไม่รอให้ฟอร์สถาม เธอกล่าวออกมาเอง


“ฉันสะสมคะแนนผลงานมากพอแล้ว! ในไม่ช้าก็สามารถแลกสูตรโอสถนักสอบสวนได้!”


แม้งานของเธอในการเฝ้าจับตามอง ‘หัวหน้าราชองครักษ์’ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด จะยังไม่คืบหน้ามากนัก แต่ก็เป็นงานประเภทที่สามารถสะสมคะแนนผลงานได้เรื่อยๆ ด้วยกิจวัตรประจำวัน ที่ต้องทำมีเพียงการส่งรายงานที่น่าเชื่อถือทุกสัปดาห์ เพียงเท่านี้ก็สามารถรับ ‘เงินรางวัล’ ได้ตามสัดส่วนงาน ดังนั้น เมื่อนำไปรวมกับงานอื่นที่เคยทำสำเร็จในอดีต ซิลสามารถแลกรับสูตรโอสถนักสอบสวนได้ในอนาคตอันใกล้


“สักทีสินะ…” ฟอร์สดีใจแทนพวกพ้องจากก้นบึ้ง จากนั้นก็เขย่าแก้วไวน์ในมือแผ่วเบาและกล่าว “ดื่มฉลองกันไหม?”


ขณะเดียวกัน เธอหันมาคิดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง


นี่ถือเป็นข่าวดี หลังจากกลายเป็นลำดับ 7 ซิลน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ ส่งผลให้แผนสำรวจปราสาทโบราณค่อนข้างราบรื่น!


ซิลมองไปยังของเหลวใสในแก้วไวน์ ส่ายหัวเล็กน้อย


“การดื่มไม่ใช่สิ่งที่ดี!”


กล่าวจบ เธอขมวดคิ้ว


“นอกจากนั้น ฉันยังเกลียดกลิ่นของมัน”


โดยไม่รอให้ฟอร์สพูด ซิลนึกบางสิ่งได้กะทันหัน จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปทางประตู


“ฉันเห็นกล่องจดหมายเต็ม วันนี้ยังไม่ได้เปิดดูหรือ?”


“ยังไม่มีเวลาเลย” ฟอร์สทำหน้าคล้ายกับตนยุ่งมาก ก่อนจะลุกขึ้นและเตรียมเดินออกไปเปิดกล่องจดหมาย


ซิลที่มีความคล่องตัวสูงกว่า เปิดประตูและหยิบทุกสิ่งในกล่องออกมา


ผ่านไปสิบวินาที หญิงสาวกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับกองหนังสือพิมพ์และจดหมายสองสามฉบับ กล่าวพลางมองไปยังผู้รับ


“ทั้งหมดเป็นของเธอ! มีสองฉบับจากสำนักพิมพ์ หนึ่งฉบับเป็นคำเชิญสำหรับเสวนาเกี่ยวกับการผ่าตัด และอีกหนึ่งฉบับมาจากท่าเรือพริสต์”


ท่าเรือพริสต์… หัวใจฟอร์สพลันเต้นระรัว รีบวางแก้วไวน์ลงและหยิบจดหมายที่ซิลโยนมาให้


แม้จะอยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิท แต่ฟอร์สก็เปิดอ่านจดหมายทุกฉบับโดยไม่ปิดบัง พบว่าหนึ่งในนั้นถูกส่งมาจากอาจารย์โดเรียน·เกรย์·อับราฮัม


“เมืองกัลเดรอนเป็นสถานที่พิเศษในโลกวิญญาณ ผมไม่สามารถยืนยันต้นกำเนิดของมันได้ ทราบเพียงว่าอันตรายมาก ครั้งหนึ่งเคยมีครึ่งเทพเข้าไปสำรวจ แต่ก็มิได้กลับออกมาอีกเลย… ในตอนที่คุณขายพิกัดของเมืองดังกล่าวให้สมาชิกชุมนุม อย่าลืมเตือนอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้”


เป้าหมายของมิสเตอร์เวิร์ลคือเมืองที่แสนอันตรายในโลกวิญญาณ? ฟอร์สจ้องกระดาษจดหมายในมือด้วยดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย


หน่วย ‘ถุงมือแดง’ ที่มาถึงเมืองไบลัมตะวันออกแห่งถัดไป เข้าพบกับเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นและยืมใช้ห้องทำงาน


“ทุกคนพักผ่อนได้ พวกเราจะเริ่มงานในตอนเช้า” โซสต์หยิบนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบเวลา


ในคราวนี้ พวกมันจะโจมตีฐานลับของนิกายวิญญาณ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการมรณาเทียม ขุดคุ้ยหากลุ่มคนที่แฝงตัวอยู่ในเบ็คลันด์


สำหรับข้อมูลที่ได้รับจากอูลิก้า สิ่งนี้ถูกส่งกลับไปยังเบ็คลันด์ด้วยโทรเลข สำหรับการดำเนินงานขั้นถัดไป พวกมันไม่ต้องกังวล เพราะท้ายที่สุด หน่วยของโซสต์มิใช่ถุงมือแดงเพียงหน่วยเดียว แถมเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นของเบ็คลันด์ก็ยังนับว่าทรงพลังมาก


ขณะเลียวนาร์ด ดาลีย์ และคนที่เหลือเตรียมหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เหยี่ยวราตรีท้องถิ่นที่มีเชื้อสายไบลัมตะวันออกเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งและกล่าว


“มีโทรเลขใหม่ครับ… จากเบ็คลันด์”


โซสต์เหยียดแขนออกไปหยิบกระดาษ คลี่ออกและกวาดสายตาอ่าน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ปรากฏตัวอีกครั้ง… สามารถยืนยันว่าเป็นตัวจริงด้วยเทคนิคการทำนาย”


เกอร์มัน·สแปร์โรว์… เลียวนาร์ดไม่ประหลาดใจกับข่าวใหม่สักเท่าไร เพราะมันทราบจากดอน·ดันเตสแล้วว่า อดีตเพื่อนร่วมงานของตน ไคลน์·โมเร็ตติ ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่


มันถามด้วยความสงสัย


“คราวนี้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำอะไร?”


โซสต์มองไปรอบๆ กล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง


“เขาขึ้นเรือ ‘ทิวลิปดำ’ และเปลี่ยน ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ให้กลายเป็นหุ่นเชิด”


“พลเรือเอกขุมนรก?”


“ลูเธอร์ไวล์?”


“หุ่นเชิด?”


ถุงมือแดงต่างส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ แม้กระทั่งเลียวนาร์ด·มิเชลก็ยังเผยท่าทีตกตะลึง


ต้องไม่ลืมว่า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ผู้สวมแหวนแห่งความตาย มีค่าหัวสูงที่สุดในบรรดาเจ็ดนายพลโจรสลัด แข็งแรงที่สุด และถูกขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งภายใต้ ‘สี่ราชา’ ผู้วิเศษลำดับ 5 ทั่วไปไม่มีทางเทียบติด นอกจากนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังเป็นฝ่ายขึ้นเรือไปหาด้วยตัวเอง หมายความว่ารอบๆ ต้องเต็มไปด้วยกองทัพอันเดดและผู้ใต้บังคับบัญชาของลูเธอร์ไวล์จำนวนมาก แต่กระนั้นก็ยังสามารถเปลี่ยนให้อีกฝ่ายเป็นหุ่นเชิด!


แม้พวกมันจะไม่ค่อยรู้เรื่อง ‘ผู้ไร้หน้า’ และ ‘นักเชิดหุ่น’ มากนัก แต่เมื่อพิจารณาจากคำว่า ‘หุ่นเชิด’ ทุกคนก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า จุดจบของ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ อาจน่าเศร้ายิ่งกว่าความตาย


แข็งแกร่งขนาดนี้แล้วหรือ? เป็นผลลัพธ์จากการลอบแทรกซึมเข้าไปในประตูยานิสของวิหารนักบุญแซมมวล? เลียวนาร์ดปิดปากเงียบ มิได้ถามสิ่งใดอีก


โซสต์เริ่มเล่าต่อ


“จากคำบอกเล่าของลูกเรือที่หนีออกจาก ‘ทิวลิปดำ’ ตอนนั้นไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ขึ้นเรือพร้อมกับชายอีกคนหนึ่ง และเมื่อ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เห็นชายคนดังกล่าว มันเลิกต่อต้านทันที รีบหมอบกราบลงบนดาดฟ้าและเรียกขานอีกฝ่ายว่า ‘กงสุลมรณะ’ โดยหลังจากนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนลูเธอร์ไวล์เป็นหุ่นเชิด”


“กงสุลมรณะ…” เลียวนาร์ดเอียงคอโดยไม่รู้ตัว มองไปทางดาลีย์·ซิโมเน่


มันเชื่อว่า ลำดับ 5 ของเส้นทาง ‘ผู้เก็บซากศพ’ ควรเข้าใจคำจำกัดความของ ‘กงสุลมรณะ’


ดาลีย์ปล่อย ‘หึ’ ในลำคอ ส่ายหน้าและพูด


“ฉันทราบเพียงว่า… ในจักรวรรดิไบลัมโบราณ ทายาทโดยตรงของ ‘มรณา’ ซึ่งเป็นผู้ปกครองโลกแห่งความจริง ถูกเรียกว่า ‘กงสุลมรณะ’”


“แต่ผู้นำฝ่ายราชวงศ์ของนิกายวิญญาณ ไม่เคยเรียกตัวเองว่า ‘กงสุลมรณะ’ เลยสักครั้ง” ซินดี้ ‘ถุงมือแดง’ อีกคนกล่าวด้วยสีหน้าสับสน


นี่คือข้อมูลทั่วไปที่ทราบกันดีในหมู่เหยี่ยวราตรี ผู้วิเศษลำดับ 7 ขึ้นไป รวมถึง ‘ถุงมือแดง’ ล้วนมีสิทธิ์เข้าถึง


ยิ่งเป็นฝ่ายที่ผลักดันโครงการมรณาเทียม ยิ่งไม่มีใครเรียกตัวเองว่า ‘กงสุลมรณะ’ แม้แต่คนเดียว


“ใครจะไปรู้… บางที นิกายวิญญาณอาจเกิดการแตกแยกภายในและแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอีกครั้ง โดยที่ปัจจุบันมีฝ่ายหนึ่งอยู่ข้าง ‘กงสุลมรณะ’” ดาลีย์คาดเดาอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดและกล่าวต่อ “เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีต้นกำเนิดที่ลึกลับมาก ทางเราไม่ทราบจุดประสงค์ของการแอบเข้าไปในประตูยานิส บางที เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับนิกายวิญญาณ”


นิกายวิญญาณตกเป็นเป้าหมายหลักของโบสถ์รัตติกาลมาโดยตลอด ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นฝังรากลึก


ประโยคเมื่อครู่ทำให้เลียวนาร์ด·มิเชลฉุกคิดบางสิ่ง เพราะมันรู้อยู่แก่ใจว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือไคลน์·โมเร็ตติ อีกฝ่ายเข้าร่วมองค์กรลับที่ใช้ไพ่ทาโรต์เป็นโค้ดเนม องค์กรลับที่นับถือ ‘เดอะฟูล’ อย่างแรงกล้า และปัจจุบันกำลังมีปฏิสัมพันธ์บางอย่างกับนิกายวิญญาณ


ไม่มี ‘กงสุลมรณะ’ ในหมู่สมาชิกนิกายวิญญาณรุ่นปัจจุบัน… ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เรียกได้ว่าเป็น ‘แขน’ ของนิกายวิญญาณ หากจัดการลูเธอร์ไวล์ก็เทียบได้กับจัดการกับนิกายวิญญาณ…


ดอน·ดันเตสเคยกล่าวไว้ว่า สมาชิกขององค์กรมาจากร้อยพ่อพันแม่และมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน… จุดประสงค์ของไคลน์คือการแก้แค้น ถ้าอย่างนั้น ใครสักคนในองค์กรอาจมีเป้าหมายเป็นการโจมตีนิกายวิญญาณ? เพื่อคืนชีพให้มรณา หรือไม่ก็สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง?


เมื่อพิจารณาว่าดอน·ดันเตสคือสัตว์ประหลาดที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่องค์กรดังกล่าวจะมี ‘กงสุลมรณะ’ จากยุคสมัยโบราณ… บางที ไพ่ทาโรต์ของชายคนนั้นอาจเป็น ‘เดธ’ ก็ได้! ท่ามกลางกระแสความคิดมากมาย เลียวนาร์ดพบว่าตนเริ่มเข้าใจความจริงไปทีละนิด


ถัดมา มันยังนึกถึงรายละเอียดบางอย่าง


ดอน·ดันเตสเป็นสัตว์ประหลาดที่รอดชีวิตจากยุคสมัยที่สี่…


เขารู้จักทวีปใต้เป็นอย่างดี…


เขาเพิ่งออกจากเบ็คลันด์และไม่ทราบที่อยู่ปัจจุบัน!


เลียวนาร์ดเริ่มตื่นตัว ถือโอกาสที่เพื่อนร่วมทีมกำลังสนทนา หยิบถ้วยชาขึ้นมาจ่อปากพลางพึมพำกับตัวเอง


“ตาแก่… เป็นไปได้ไหมว่าดอน·ดันเตสคือกงสุลมรณะ?”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างชรา


“ไม่ใช่… กงสุลมรณะแห่งจักรวรรดิไบลัมเป็นทั้งตำแหน่งและสถานะ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นชื่อของโอสถลำดับ 2 แห่งเส้นทาง ‘มรณา’ ในช่วงเวลานั้นด้วย”


ลำดับ 2… องค์กรลับดังกล่าวมีเทวทูตลำดับ 2… ดวงตาเลียวนาร์ดพลันหรี่ลง กระซิบกระซาบอีกครั้ง


“แล้วทำไมคุณถึงมั่นใจว่าดอน·ดันเตสไม่ใช่ ‘กงสุลมรณะ’ ? เพราะเขาไม่ใช่เทวทูตหรือ?”


พาลีสหัวเราะในลำคอและตอบ


“ไม่เลย เหตุผลไม่ซับซ้อน… เจ้าเองก็ได้เห็นภาพเหมือนของ ‘กงสุลมรณะ’ ตัวจริงมาแล้ว… และในตอนที่เคยสืบสวนคดีฆ่าตัวตายของเวิร์ช เจ้าก็เคยพบตัวจริงของเขามาแล้ว… กงสุลมรณะคืออาจารย์ในภาควิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโฮอี้ อะซิก·อายเกส”


อะซิก·อายเกส… เลียวนาร์ดผงะในตอนต้น ก่อนจะตระหนักได้


ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าทำไมไคลน์·โมเร็ตติถึงสามารถคืนชีพหลังความตาย และทำไมถึงได้เข้าร่วมองค์กรลับที่เกี่ยวกับไพ่ทาโรต์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยแสดงความพิเศษใดๆ ให้เห็นมาก่อน!


นั่นเพราะเบื้องหลังไคลน์มียังสมาชิกขององค์กรลับดังกล่าวคอยให้การสนับสนุน สมาชิกคนสำคัญซึ่งเป็นเจ้าของไพ่:


เดธ!


 

 

 


ราชันเร้นลับ 920 : ต้นกำเนิดของกัลเดรอน

 

บายัม บริเวณสลัม


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ที่สวมหน้ากากและดึงผ้าคลุมหัว กลับมาพบกับ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาอีกครั้ง


กึ่งกลางระหว่างทั้งสองมีโต๊ะกั้น นั่งฝั่งตรงข้ามกันโดยไม่มีใครพูดจาเป็นเวลานาน


จนกระทั่ง ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียากล่าว


“ได้ยินข่าวนั้นหรือยัง?”


อัลเจอร์ไม่ตอบทันที แต่ถามยอกย้อน


“ข่าวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์?”


แคทลียาเงียบสักพัก ผงกศีรษะ


“เขาเปลี่ยน ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ให้เป็นหุ่นเชิด”


ไม่ว่าจะเหยื่อรายก่อนหน้าอย่าง ‘พลเรือเอกโลหิต’ หรือเหยื่อล่าสุดอย่าง ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ทั้งสองต่างเป็นโจรสลัดที่มีค่าหัวสูงกว่าเธอ ซึ่งไม่ว่าเธอจะมั่นใจในตัวเองมากเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าคิดว่าผู้วิเศษลำดับ 5 สุดแกร่งทั้งสองคนอ่อนแอกว่าตน!


“คุณได้ข่าวเร็วกว่าที่ผมคิด” อัลเจอร์ยืนยันโดยนัยว่าข้อมูลของ ‘เฮอร์มิท’ นั้นถูกต้อง


ในฐานะส่วนหนึ่งของโบสถ์วายุสลาตันที่ควบคุมท้องทะเล มันย่อมได้รับข่าวสารโดยตรงจากทางการ


แคทลียาขยับปากเล็กน้อยและพูด


“ถ้าอนาคตกาลกำลังแล่นอยู่ในทะเล ฉันคงต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน หรืออาจนานเป็นสัปดาห์ แต่พักหลังฉันอยู่ในบายัม”


เธอมิได้เปิดเผยที่มาของข่าวกรอง


หลังจากเว้นวรรคเล็กน้อย พลเรือเอกดวงดาวถามอย่างใจเย็น


“สำหรับเรื่องนี้ คุณรู้อะไรอีกบ้าง?”


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ส่ายหน้า


“ในตอนที่กำลังจะสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม ผมบังเอิญเห็นสัญญาณติดต่อจากคุณพอดี จึงรีบเข้ามาพบ”


แคทลียาพยักหน้าพลางกล่าว


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์และพลเรือเอกขุมนรกไม่ได้ต่อสู้กัน ลูเธอร์ไวล์เองก็มิได้แสดงท่าทีต่อต้าน ทั้งหมดเป็นฝีมือของคนที่ขึ้นเรือทิวลิปดำไปพร้อมกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายคนนั้นถูกเรียกว่ากงสุลมรณะ”


กงสุลมรณะ… รูม่านตาของอัลเจอร์ขยายออกเล็กน้อย ภายในใจรู้สึกกดดันอย่างอธิบายไม่ได้


ไม่มีครึ่งเทพตนใดกล้าอ้างสมญานามดังกล่าวส่งเดชแน่!


และเหนือสิ่งอื่นใด อีกฝ่ายมิได้อวดอ้างศักดาก่อน แต่เป็น ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เสียเองที่ริเริ่มให้เกียรติและเลิกต่อต้าน ยอมศิโรราบอย่างไร้เงื่อนไข!


เมื่อเห็นแฮงแมนไม่เล่าต่อ แคทลียาเสริม


“ในเส้นทางมรณา ‘กงสุลมรณะ’ เป็นชื่อของลำดับ 2 ไม่ผิดแน่… อย่างไรก็ตาม องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบลัมเองก็สืบทอดชื่อนี้ต่อกันมาทุกรุ่น”


ไม่ผิดแน่ ระดับเทวทูต… เทวทูตในขอบเขตมรณา… อัลเจอร์ตัดความเป็นไปได้ที่กงสุลมรณะบนเรือทิวลิปดำจะเป็นจักรพรรดิแห่งไบลัม พิจารณาจากหลักการสำหรับสวมบทบาท ก่อนจักรวรรดิไบลัมจะล่มสลาย ตำแหน่งจักรพรรดิคงถูกมอบให้เทวทูตลำดับ 2 ตามธรรมเนียม… แต่บุคคลที่สามารถสั่งให้พลเรือเอกขุมนรกยอมเป็นหุ่นเชิดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยไม่มีการต่อต้าน ลำพังตำแหน่งจักรพรรดิเปล่าๆ คงไม่เพียงพอ…


ทันใดนั้น อัลเจอร์พลันฉุกคิดถึงบางสิ่ง เป็นสิ่งที่มันยากจะลืมเลือน


หลังจาก ‘พลเรือโทวายุ’ คีลิงเกอร์หลบหนีออกจากคฤหาสน์สำเร็จ ศพของมันกลับถูกพบในสภาพแน่นิ่งข้างทะเลสาบเทียม ใบหน้าของมันเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว เลือดเนื้อค่อยๆ ตกลงมาทีละก้อน กระทั่งดวงตาก็ยังหลุดจากเบ้า


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สภาพดังกล่าวเกิดจากขุมพลังระดับสูงของขอบเขต ‘ความตาย’ โดยอัลเจอร์สามารถยืนยันในภายหลังว่า นั่นเป็นฝีมือของหนึ่งในข้ารับใช้เดอะฟูล


สามารถ ‘เก็บ’ นายพลโจรสลัดได้ง่ายดาย แถมยังเป็นนายพลโจรสลัดที่พกพาสมบัติวิเศษทรงพลัง คีลิงเกอร์ต้องตายในสภาพน่าสมเพชอย่างไร้การต่อต้าน จึงจินตนาการได้ไม่ยากว่า อีกฝ่ายจะต้องแข็งแกร่งในระดับใด!


อาร์ชบิชอปสเน็ก ‘ผู้ขับขานแห่งเทพ’ ของโบสถ์วายุสลาตัน ประเมินว่าคนที่ลงมือจะต้องเป็นผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทาง ‘มรณา’ และไม่ใช่คนที่มันรู้จัก


อัลเจอร์ไม่เคลือบแคลงในประเด็นดังกล่าว ตอนแรกปักใจเชื่อกันว่าคงเป็นครึ่งเทพลำดับ 4 หรือลำดับ 3 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง: นักบุญ ขณะเดียวกันก็ทึ่งที่มิสเตอร์ฟูลมีข้ารับใช้เป็นผู้วิเศษลำดับสูง


ปัจจุบัน มันฝืนกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบเชียบ คิดว่าตนยังประเมินมิสเตอร์ฟูลต่ำไปมาก รวมถึงประเมินข้ารับใช้ของท่านผิดไป


อีกฝ่ายไม่ใช่นักบุญ แต่เป็นเทวทูตเดินดิน อยู่ในระดับเดียวกับสามมงกุฎแห่งศาสนจักรใหญ่!


ในเชิงศาสนา สามมงกุฎหมายถึง สันตะปาปา สังฆราช และพระราชาคณะ


มีกงสุลมรณะเป็นข้ารับใช้… แม้ว่ามิสเตอร์ฟูลจะยังคงฟื้นฟูตัวเอง แต่กองกำลังในมือค่อนข้างน่าสะพรึงทีเดียว… สมองอัลเจอร์กำลังเดือดพล่าน ดวงตากะพริบถี่หลายหน หมดคำจะกล่าวไปสักพัก


เมื่อ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาตระหนักว่าอีกฝ่ายเงียบไป เธอจึงเริ่มเปิดปากพูด


“กำลังนึกถึงบางสิ่งอยู่สินะ”


อัลเจอร์ไตร่ตรองสองสามวินาที กล่าวอย่างคลุมเครือ


“เท่าที่ผมทราบ จากบรรดาข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล หนึ่งในนั้นมีเทวทูตความตาย”


สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น… แคทลียาพึมพำ


“หมายความว่า เลือดของสัตว์ในตำนานที่เดอะเวิร์ลหามาให้ เป็นของเทวทูตความตายตนนี้?”


“ก็อาจจะ…” แม้อัลเจอร์จะรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของพลเรือเอกดวงดาวไม่มีจุดบกพร่อง แต่ก็เป็นนิสัยของมันที่จะไม่ยืนยันหากไม่แน่ใจ


แคทลียาไม่สานต่อบทสนทนาเดิม


“จะเริ่มลงมือคืนนี้… ตั้งแต่หนึ่งทุ่มครึ่งถึงสองสุ่ม… ถ้าคุณสามารถให้ความช่วยเหลือ ก็แค่ไปพร้อมกับฉัน”


เธอตรวจสอบสถานการณ์ฝั่งช่างฝีมือแล้วหรือ? อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัย


“ทำไมต้องเป็นช่วงทุ่มครึ่งถึงสองทุ่ม?”


นั่นไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลงมือทำสิ่งผิดกฎหมาย เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หน่วยพิเศษของทางการสามารถตรวจพบความผิดปรกติและรุดหน้ามาถึงจุดเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว


แคทลียาผลักแว่นตาหนาเตอะกลับไปยังสันจมูก ตอบด้วยรอยยิ้มซับซ้อน


“เพราะนั่นคือเวลาอาหารเย็นของพวกมัน… และอาหารเย็นในวันนี้คือเห็ด”


เกี่ยวกันยังไง? อัลเจอร์ผู้มากประสบการณ์พบว่า ตนไม่เข้าใจความนัยแฝงของอีกฝ่ายเลยสักนิด



ไบลัมตะวันออก ภายในป่าดงดิบ


ไคลน์จงใจเบี่ยงออกจากถนนใหญ่และเข้ามาในดินแดนปลอดมนุษย์ เตรียมสั่งให้หุ่นเชิดลูเธอร์ไวล์ถอดหน้ากากสีเงินสว่างบนใบหน้า


ไคลน์มิได้ทำไปเพราะต้องการสนองความอยากรู้อยากเห็นเพียงอย่างเดียว แต่อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงก็คือ หน้ากากสีเงินของลูเธอร์ไวล์เด่นสะดุดตาเกินไปมาก หากไม่ทำอะไรสักอย่างกับมัน ไม่ว่าจะปลอมตัวพลเรือเอกขุมนรกได้แนบเนียนแค่ไหนก็ไม่มีทางเบี่ยงเบนความสนใจของคนรอบข้าง


ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของนักเชิดหุ่นคือความเด่นสะดุดตาของหุ่นเชิด… ยิ่งหุ่นเชิดทรงพลังเพียงใด ก็ยิ่งมีเชื่อเสี่ยงมากในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความเสี่ยงที่จะถูกตรวจพบหากพาไปไหนมาไหนด้วยกัน… ถ้าไม่ใช่เพราะเราไม่มีเวลาจัดการกับโจรสลัดบนเรือทิวลิปดำในตอนนั้น ปัจจุบันคงมีวิธีกลบเกลื่อน เช่นปล่อยให้ลูเธอร์ไวล์เป็นกัปตันต่อไป ส่วนเราก็แสร้งทำตัวเป็นลูกน้อง สำหรับผู้ไร้หน้า เรื่องนี้เรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ… ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อนพลางเดินผ่านป่าดงดิบ


รอบตัวไคลน์เต็มไปด้วยยุง แต่ไม่มีตัวใดกล้ามารังควาน เนื่องจากพวกมันกำลังรุมตอมพลเรือเอกขุมนรกและเจาะเลือด แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับไป


ไคลน์มอบแหวนดอกไม้เขียวที่ดึงดูดยุงให้กับหุ่นเชิดตัวใหม่ เพราะคุณสมบัติของแหวนดันไปซ้อนทับกับแหวน ‘บุปผาโลหิต’ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซใส่สองแหวนสองวงพร้อมกัน นอกจากนั้นไคลน์ยังยืนยันได้ว่า ร่างกายของลูเธอร์ไวล์ค่อนข้างพิเศษ ไม่ต้องกลัวยุงกัด


เดินมาได้สักพัก ไคลน์โยนเหรียญด้วยท่าทีผ่อนคลายพร้อมกับหยุดเดิน


หลังจากใคร่ครวญสองสามวินาที ไคลน์ตัดสินใจจัดการบางสิ่งก่อนจะทำการถอดหน้ากากหุ่นเชิดตัวใหม่ เพราะผลการทำนายเมื่อครู่ยืนยันว่า มีอันตรายรุนแรงซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก


หลังจากเตรียมวัตถุที่เกี่ยวข้องเสร็จ ไคลน์รีบประกอบพิธีกรรม อัญเชิญเครื่องรับโทรเลขไร้สายออกจากมิติเหนือหมอกสีเทามายังโลกความจริง


มันต้องการติดต่อ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส!


ก่อนออกจากเมืองเครน ไคลน์จ่ายเงินให้มิสเมจิกเชี่ยนจำนวนสามร้อยห้าสิบปอนด์เพื่อเป็นค่าพิกัดโลกวิญญาณของเมืองกัลเดรอน พร้อมกับได้รับคำเตือนว่าที่นั่นอันตรายมาก จึงตั้งใจจะหาข้อมูลเพิ่มเติมจากสองช่องทาง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ ‘ปฏิบัติการล่าวัตถุดิบ’


สองช่องทางที่ว่าก็คือ ช่องทางแรก ถามจากกระจกวิเศษ และช่องทางที่สอง ถาม ‘แสงแดง’ – เมื่อพิจารณาว่ามิสเตอร์อะซิกจะหลับยาว ไคลน์ตัดสินใจขยาย ‘เครือข่ายทางสังคม’ ออกไป อย่างน้อยก็ไม่ควรฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับเทพธิดารัตติกาล ต้องหาขั้วอำนาจอื่นมาถ่วงดุล และเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณซึ่งเป็นมิตรกับมนุษย์ ถือเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดในเวลานี้!


เมื่อเครื่องรับโทรเลขปรากฏกาย ผืนป่าโดยรอบพลันถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศหนาวเย็นและมืดมน ประหนึ่งโลกวิญญาณของที่นี่กำลังผสมผสานเข้ากับความเป็นจริง


ราวสิบวินาทีหรือน้อยกว่านั้น เสียง ‘กุกกุกกุก’ ดังขึ้น แผ่นกระดาษมายาสีขาวถูกพ่นออกมา


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ อาโรเดสข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน พร้อมช่วยเหลือท่านในทุกเรื่อง… สำหรับตอนนี้ ที่นี่ยังไม่อันตรายนัก ท่านคิดเห็นเหมือนกันหรือไม่?”


ได้เห็นถ้อยคำที่เต็มไปด้วยคำเยินยอ ไคลน์ถอนหายใจโล่งอกพลางยืนยันว่าตนประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อกับ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส


มันกังวลว่าบนกระดาษขาวจะเขียนข้อความจำพวก ‘ข้าต้องการมีลูกกับท่าน’ หรืออะไรเทือกนั้น


แน่นอน ไคลน์ลองทำนายถึงอันตรายจากการติดต่อกับกระจกวิเศษบนมิติหมอกล่วงหน้าและได้รับคำตอบว่าไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเคยขัดขวางพลังทำนายบนมิติหมอกมาก่อน รวมถึงการตีความที่ผิดพลาดของผลการทำนายเกี่ยวกับการลอบแทรกซึมประตูยานิส ทั้งหมดทำให้ไคลน์ไม่กล้าวางใจกับผลการทำนายบนมิติหมอก


“ใช่” ไคลน์พยักหน้าเคร่งขรึมก่อนจะถาม “รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองกัลเดรอนในโลกวิญญาณบ้าง?”


กุกกุกกุก! กระดาษมายาสีขาวถูกพ่นออกจากเครื่องรับโทรเลข


“ข้ามองไม่เห็นเมืองนั้นอย่างชัดเจนสักเท่าไร จึงไม่ทราบสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงภายใน ยืนยันได้เพียงว่า มีนักบุญเคยร่วงหล่นที่นั่นมาก่อน แต่ขณะเดียวกันก็เคยมีเทวทูต นักท่องเที่ยว และวิญญาณเร่ร่อนเข้าไปสำรวจเมืองกัลเดรอนและรอดกลับมาอย่างปลอดภัย แต่พวกมันก็ไม่พบอะไรมากนัก… แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ข้าทราบต้นกำเนิดของเมืองดังกล่าว”


โดยไม่รอให้ไคลน์ถาม หลังจากสิ้นเสียง กุกกุกกุก! กระดาษมายามายาสีขาวเริ่มถูกพ่นมากขึ้นเรื่อยๆ


“มันเคยมีชื่อว่า ‘เมืองแห่งความตาย’ เป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาบรรพกาลตนหนึ่ง ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เทพธิดาเกรจารี… แต่หลังจากพระองค์เปิดโลกแห่งความตาย อาณาจักรแห่งเทพจึงถูกย้ายไปที่นั่น และเมืองแห่งความตายก็ค่อยๆ กลายเป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์สำหรับลูกหลานและผู้ศรัทธาของท่าน… ทว่า นับตั้งแต่เทพธิดาบรรพกาล เกรจารี ถูกเทพสุริยันบรรพกาลสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง พระองค์ทำการถอนรากถอนโคนเมืองแห่งความตายและโยนเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณและสั่งห้ามมิให้ชาวเมืองตนใดย่างกรายออกมา ชื่อ ‘กัลเดรอน’ มาจากเทวทูตของตระกูลอับราฮัมที่เข้าไปพบเป็นคนแรก ถ้อยคำดังกล่าวหมายถึง ‘วิญญาณนิรนาม’ ในภาษาแห่งความตาย”


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)