Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 913-916

 ราชันเร้นลับ 913 : การเตรียมตัวของไคลน์

พร้อมหรือยัง? แน่นอนว่าไม่… ไคลน์ยิ้มแห้งพลางชี้ไปทางหุ่นเชิดเอ็นโซ


“ถุงมือนั่นยังไม่ถูกผนึก”


ในขณะกล่าว เอ็นโซเจ้าของผิวหนังแดงจนเกือบลอก ใช้มือซ้ายที่กำลังสวมแหวน ‘บุปผาโลหิต’ และ ‘ดอกไม้เขียว’ เพื่อถอดถุงมือหนังมนุษย์จากมือข้างขวา


นี่คือยุบพองหิวโหย


ตามปรกติแล้ว หากไม่ได้ใช้งาน ไคลน์มักจะโยนยุบพองหิวโหยไว้บนมิติหมอกสีเทา เพราะหลังจากถุงมือชนิดนี้กลายพันธุ์ ผนึกเดิมไม่สามารถใช้การได้อีก ทุกวันต้องได้กินคนเป็น ไม่อย่างนั้นมันจะกินผู้สวม แต่เมื่อพิจารณาว่ามิสเตอร์อะซิกตอบจดหมายแล้ว คงใกล้มาหาเต็มที ไคลน์จึงตัดสินพกยุบพองหิวโหยติดตัวไว้บนโลกความจริง


เพราะมันไม่อยากให้เกิดบทสนทนาในทำนองนี้:


“คุณจะให้ผมผนึกถุงมือนั่นอีกครั้งใช่ไหม?”


“ใช่ครับ… ผมขอเข้าห้องน้ำสักครู่”


หรือ:


“คุณพร้อมหรือยัง?”


“ไม่ครับ… ผมขอเข้าห้องน้ำสักครู่”


เพียงจินตนาการฉากดังกล่าว ไคลน์พลันเขินอายอย่างอธิบายไม่ถูก แม้จะไม่กังวลเรื่องนี้มิสเตอร์อะซิกอาจค้นพบความลับของมิติเหนือสายหมอก แต่ไคลน์ก็เป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเอง


ดังนั้น หลังจากได้รับหุ่นเชิดใหม่และเสร็จสิ้นการทดสอบ ‘มองตัวเอง’ ไคลน์นำยุบพองหิวโหยกลับมายังโลกความจริงและจัดการอาหารของมันให้เรียบร้อยล่วงหน้า


โดยไม่เหมือนกับทุกครั้ง ผู้สวมใส่เปลี่ยนจากตัวเองเป็นหุ่นเชิดเอ็นโซ


นอกจากที่ว่ามาข้างต้น เพื่อระงับแรงกระตุ้นในการกินคนของยุบพองหิวโหย ไคลน์พกเห็ดธรรมดาติดตัวไว้สองสามดอก และให้หุ่นเชิดรักษาระยะห่างต่ำกว่าห้าเมตรเสมอ


ได้ยินคำถามของชายหนุ่มและได้เห็นพฤติกรรมของหุ่นเชิด อะซิกพยักหน้ารับ เหยียดแขนออกไปจับถุงมือหนังมนุษย์


ไคลน์ฉวยโอกาสหยิบเห็ดออกมาจากกระเป๋าและทิ้งลงถังขยะที่ไม่ห่างออกไป


เป๊าะ!


ชายหนุ่มดีดนิ้วเพื่อให้เห็ดเผาตัวเอง เปลวไฟแดงก่ำลุกโชน แต่มิได้ไม่กระทบกับสิ่งรอบข้าง


นี่คือพลัง ‘ควบคุมไฟ’ ของนักมายากล


หลังจากจัดการเสร็จ เมื่อเห็นสายตาของอะซิกมองตรงมาทางตน ไคลน์หัวเราะแห้ง


“การกลายพันธุ์ทำให้ยุบพองหิวโหยค่อนข้างหวาดกลัวเห็ด ผมจึงใช้จุดอ่อนดังกล่าวเพื่อควบคุมความกระหายของมัน”


อันที่จริง การพกเห็ดติดตัวแทบไม่มีประโยชน์ในแง่การควบคุมความกระหายของยุบพองหิวโหย จริงอยู่ สมบัติปิดผนึกรายนี้อาจสูญเสียตัวตนไปชั่วคราว แต่ทันทีที่เห็ดหายไป ถุงมือจะหันมาแว้งกัดผู้สวมทันที เว้นเสียแต่จะมี ‘อาหาร’ อื่นที่หากินได้ง่ายกว่าถูกวางอยู่ตรงหน้า


“เห็ด…” อะซิกถือถุงมือเปื้อนเลือดพลางพึมพำ จากนั้นก็เปลี่ยนให้บรรยากาศโดยรอบมืดลง ประหนึ่งแสงแดดนอกหน้าต่างถูกปฏิเสธมิให้เข้ามา


ไม่ว่าสัญลักษณ์ อักขระ หรือลวดลาย ไม่ว่าจะมีสีเทาอ่อนหรือเขียวเข้ม ความพิศวงจำนวนมากกำลังผุดขึ้นในอากาศ คล้ายกับกำลังถูก ‘เขียน’ ด้วยสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น เช่นวิญญาณอาฆาต เงาดำ และวิญญาณ


พวกมันพัวพันและรวมตัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นบานประตูทองแดงที่ลึกลับและมายาที่ดูคล้ายจะเชื่อมต่อกับอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่เปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึก เงียบสงัด และสยองขวัญ


ประตูมายาบานดังกล่าวค่อยๆ หดตัวลง จนในที่สุดก็ถูกวางลงบนยุบพองหิวโหย ส่งผลให้เลือดที่เปื้อนบนผิวหนังจางลงอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงความซีดเซียว


ไม่กี่วินาทีถัดมา ถุงมือหนังข้างนี้กลับเป็นปรกติอีกครั้ง ลักษณะภายนอกยังคงเป็นถุงมือหนังแผ่นบาง แต่ถึงแม้จะไม่มีเห็ดคอยข่มความกระหาย มันก็จะไม่แสดงอาการฉุนเฉียวหรือกระหายเลือด


“เป็นเหมือนเดิมแล้ว” อะซิกยื่นยุบพองหิวโหยให้ไคลน์


รู้สึกดีที่มีลูกพี่ใหญ่คอยสนับสนุน! ไคลน์ถอนหายใจพลางขอบคุณจากก้นบึ้ง จากนั้นก็สวมยุบพองหิวโหยที่มือซ้าย


ครุ่นคิดสักพัก มันตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดปาก


“มิสเตอร์อะซิก นับตั้งแต่ที่ผมเคลื่อนที่ผ่านทะเลคลั่งด้วยนกหวีดทองแดงที่คุณเคยมอบให้ ความฝันเดิมๆ ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง… ฉากภายในความฝันทั้งมืดมนและเย็นชา เป็นภาพของสุสานกลับหัวที่จมลึกลงไปในดิน ด้านในเต็มไปด้วยโลงศพ ในโลงศพมีคนตายนอนอยู่ ด้านหลังคนตายมีขนนกสีขาว… ขนนกเหล่านั้นถูกย้อมด้วยน้ำมันสีเหลือง และในส่วนลึกสุดของสุสาน หมอกสีดำแผ่ออกมาจนดูคล้ายกับปกคลุมทุกสิ่ง… ภายในฝัน คุณและผมกำลังสำรวจสุสานดังกล่าว พวกเราเผลอไปกระตุ้นบางสิ่งที่น่ากลัวเข้า ทำให้หมอกดำส่งเสียงหอบกระเส่าพร้อมกับแผ่ท่อมายาสีดำบางๆ ออกมาหา… ผมจะตื่นทุกครั้งที่ฝันถึงตรงนี้… ทั้งหมดฟังดูเหมือนผลลัพธ์ของโครงการสร้างมรณาเทียมของนิกายวิญญาณ”


ไคลน์อ้างว่าเป็นความฝัน แต่ความจริงแล้วเป็นภาพที่ตนเห็นจากการทำนายฝันผ่านนกหวีดทองแดง รายละเอียดถูกเล่าอย่างลงลึกเพื่อเตือนสติมิสเตอร์อะซิก ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายประมาทเลินเล่อ และเหนืออื่นใด ‘การทำนายฝัน’ ก็เทียบเท่ากับความฝันประเภทหนึ่ง และอะซิกก็ทราบว่าไคลน์เป็นผู้วิเศษของเส้นทางนักทำนาย ไม่แปลกที่จะเผชิญเหตุการณ์ในทำนองนี้


วิวรณ์จากความฝันปรกติและวิวรณ์จาก ‘การทำนายฝัน’ มีความแตกต่างเพียงเรื่องเดียว นั่นคือ แบบหนึ่งเป็นประเภทเรียกใช้งาน และอีกแบบหนึ่งจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ


อะซิกฟังอย่างเงียบงัน มิได้พูดขัดจังหวะไคลน์ จนท้ายที่สุดก็พยักหน้าและตอบ


“น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เทพมรณาทิ้งไว้ในทะเลคลั่ง… โครงการสร้างมรณาเทียมของนิกายวิญญาณดูเหมือนจะมีความคืบหน้าไปมากทีเดียว”


แม้ว่ามิสเตอร์อะซิกจะเป็นถึง ‘กงสุลมรณะ’ แห่งยุคสมัยที่สี่ แต่เขาก็มิได้ดูแคลนความฝันของเรา… ไคลน์ยกมือขวาลูบหน้าและแปลงโฉมให้เป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์


จากนั้นก็กล่าว


“เหลืออีกหนึ่งเรื่องที่ผมต้องเตรียมตัว นั่นคือการยืนยันให้แน่ใจว่า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์มิได้อยู่ในสถานที่อันตราย และไม่มีครึ่งเทพของนิกายวิญญาณอยู่ใกล้ๆ”


สำหรับคำถามที่ว่า กระดุมข้อมือเมอร์ล็อคยังอยู่บนเรือของอีกฝ่ายหรือไม่ ไคลน์มิได้คาใจ เพราะมันคอยทำการตรวจสอบในทุกสองสามวันเสมอและยืนยันได้ว่า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ยังมิได้ค้นพบสมบัติวิเศษดังกล่าว หรืออาจหาพบแล้วแต่จงใจไม่ขยับ เขยื้อน รอให้ ‘นักผจญภัยเสียสติ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์แวะมา ‘เยี่ยมเยียน’ กับดักด้วยตัวเอง


อะซิกตอบอย่างใจเย็น


“ไว้พวกเราเข้าไปใกล้ๆ ก็จะรู้เอง”


“ตกลง” ไคลน์บังคับให้เอ็นโซเดินไปที่ชั้นวางเสื้อนอกและหยิบไม้ค้ำเลี่ยมทองออกมา


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวเสร็จแล้ว อะซิกยกมือขวาขึ้นมาจับไหล่ไคลน์


ไคลน์เองก็เหยียดมือขวาออกไปจับไหล่เอ็นโซ


สีสันของทัศนียภาพรอบตัวพลันแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน แดงยิ่งแดงฉาน ดำยิ่งดำสนิท ฟ้ายิ่งฟ้าฉูดฉาด เส้นแสงมากมายซ้อนทับหลายชั้น มอบความสว่างแต่คมชัด


คนทั้งสองเริ่มเดินทางผ่านโลกวิญญาณ ไม้ค้ำสีดำเลี่ยมทองกำลังบิน ‘ตรงไปข้างหน้า’ พร้อมกับชี้ตำแหน่งและทิศทางของกระดุมข้อมือเมอร์ล็อคที่หายไป


ผ่านไปสักพัก ไม้เท้าหยุดชะงักกลาง ‘อากาศ’ อะซิกก็เองก็หยุดการเคลื่อนไหว แต่ยังไม่ออกจากโลกวิญญาณ


คล้ายกับกำลังพิจารณาบางสิ่ง คล้ายกับกำลังฟังบางอย่าง ผ่านไปราวสองสามวินาที มันเปิดปากพูด


“ไม่มีปัญหา”


กล่าวจบ มันพาไคลน์ที่กำลังจับหุ่นเชิด ‘เดิน’ ออกจากโลกวิญญาณ


ขณะเดียวกัน ไคลน์หวนนึกถึงประสบการณ์ในอดีต เมื่อครั้งที่ตนและมิสเตอร์อะซิกพยายามฟื้นฟูความทรงจำด้วยการตามล่าเอกสารโบราณที่อยู่ในมือของ ‘พลเรือโทโรคภัย’ เทรซี่


ณ ตอนนั้น อะซิกบอกว่า ‘ปัญหาไม่ร้ายแรง’ แต่ผลลัพธ์กลับออกมาเป็น ที่นั่นมี ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ คาร์เทอริน่ารออยู่


ไม่มีปัญหา… ก็ได้… ไม่มีปัญหาก็ไม่มี… ไคลน์มองไปรอบตัวพลางพึมพำ


นี่คือสภาพแวดล้อมที่มันค่อนข้างคุ้นเคย เรือใบลำใหญ่ที่กำลังส่องแสงท่ามกลางความมืดอมเขียว ธงเรือเป็นดอกทิวลิปสีดำสนิท รวมไปถึงซอมบี้ โครงกระดูก วิญญาณ เงาดำ และสิ่งมีชีวิตอันเดดชนิดอื่นที่คอยควบคุมใบเรือ บ้างก็ลาดตระเวน บ้างก็เฝ้าปืนใหญ่ ปัจจัยทั้งหมดช่วยยืนยันว่าที่นี่คือ ‘ทิวลิปดำ’ เรือธงของ ‘พลเรือเอกขุมนรก’


ความแตกต่างที่ไคลน์เห็นจากครั้งก่อนก็คือ ณ ปัจจุบัน ‘ทิวลิปดำ’ เต็มไปด้วยผู้วิเศษที่ยังมีชีวิต


ในสภาพเหน็บดาบเล่มบางไว้ข้างเอว สวมเสื้อเชิ้ตโจรสลัดรุ่มร่าม สวมเสื้อนอกหรูหรา สวมหมวกสามมุมที่มีสัญลักษณ์กะโหลกสีขาว และสวมหน้ากากสีเงิน กัปตันเรือทิวลิปดำ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าเขตห้องโดยสาร จ้องมองมาทางไคลน์


ทันใดนั้น แหวนสี่เหลี่ยมสีดำที่ลูเธอร์ไวล์สวมบนมือขวาพลันสั่นระริกพร้อมกับส่องแสงสว่างวาบ


เปลวไฟสีซีดในดวงตานายพลโจรสลัดผู้เย่อหยิ่งพลันไหววูบพร้อมกับหดขนาดลง


ถัดมา ลูเธอร์ไวล์รีบเดินไปหาอะซิก·อายเกสพลางหมอบกราบและจุมพิตลงบนดาดฟ้าเรือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าลูกเรือจำนวนมากที่กำลังยืนทึ่งหรือไม่ก็ประหลาดใจ


ราชันเร้นลับ 914 : เสียงเรียกจากส่วนลึกของอนุสาวรีย์บรรจุศพ

“…” เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ ไคลน์พลันมีสีหน้าแบบเดียวกับลูกเรือคนเป็นของ ‘ทิวลิปดำ’ แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น


ในตอนแรก มันจินตนาการไว้สองฉาก


ภาพแรก ลูเธอร์ไวล์ได้ขอความช่วยเหลือจากครึ่งเทพแห่งนิกายวิญญาณไว้ล่วงหน้า ดักซุ่มโจมตีเกอร์มัน·สแปร์โรว์และผู้แข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลัง สิ่งนี้สามารถเป็นไปได้เมื่อพิจารณาว่าอีกฝ่ายเคยผ่านลำดับ 7 ผู้สื่อวิญญาณมาก่อน ย่อมทราบถึงภัยอันตรายที่กำลังมาเยือน


ภาพที่สอง พลเรือเอกขุมนรกมิได้เตรียมตัวล่วงหน้า หลังจากฝืนรับมือมิสเตอร์อะซิกสักพัก มันก็พ่ายแพ้


แผนของไคลน์คือ หากเป็นกรณีแรก มันจะบอกให้มิสเตอร์อะซิกช่วยรับมือกับครึ่งเทพ ส่วนตนจะล่าพลเรือเอกขุมนรกด้วยตัวเองไปพร้อมๆ กับการทำหุ่นเชิดตัวที่สอง หากเป็นกรณีที่สอง มันจะขอร้องมิสเตอร์อะซิกว่า ตนขอดวลกับลูเธอร์ไวล์ตามลำพังด้วยหุ่นเชิดที่สวมยุบพองหิวโหย ส่วนร่างต้นจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อให้โอสถหุ่นเชิดย่อยได้เร็วขึ้น


ใครจะไปคิดว่า พลเรือเอกขุมนรกมิได้ต่อต้านแม้แต่น้อย กลับกัน มันรีบหมอบกราบและจุมพิตดาดฟ้าทันทีที่เห็นอีกฝ่าย ราวกับเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของอะซิก


แล้วแบบนี้จะซัดกันยังไง? … ไคลน์มองตรงด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ทราบว่าตนควรตอบสนองอย่างไร


และเรือทั้งลำ บรรยากาศเงียบสงัดกำลังเข้าครอบงำ


อะซิกยกมือขึ้นมากดหมวกผ้าไหมบนศีรษะ ก่อนจะเดินไปทางลูเธอร์ไวล์ที่กำลังหมอบกราบอย่างไม่รีบร้อน


หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว อะซิกหยุดยืนหน้า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์และกล่าวเสียงต่ำ


“โครงการมรณาเทียมของกลุ่มนิกายวิญญาณมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?”


ในสภาพหน้าผากแนบติดพื้น ลูเธอร์ไวล์ตอบกลับด้วยเสียงแหบแห้ง


“เทพมรณาที่สร้างขึ้นสามารถส่งอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อผู้วิเศษลำดับสูงที่ล้มเหลวในการเลื่อนลำดับ แต่ยังไม่สามารถตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนและพิธีกรรม”


อธิบายจบ มันยกร่างกายท่อนบนขึ้นเล็กน้อย ถอดแหวนสี่เหลี่ยมสีดำในมือขวาออกและยื่นไปข้างหน้า


แหวนวงดังกล่าวคล้ายกับถูกดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนหยิบไปอย่างไร้สุ้มเสียง ก่อนจะตกลงบนฝ่ามือของอะซิก


อะซิกศึกษาแหวนสองสามวินาทีก่อนจะสวมไว้ที่นิ้วชี้มือซ้าย


เพียงพริบตา ความรู้สึกสยอง ล้ำลึกสุดพรรณนา และสูงส่งเสียดฟ้าพลันแผ่ออกจากร่างกายอะซิก ซอมบี้และโครงกระดูกที่มีชีวิตโดยรอบ ไม่ว่าจะเปลือยเปล่าหรือสวมชุดเกราะหนังขาดๆ ต่างคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับก้มหน้า ประหนึ่งกล้ามองเพียงปลายเท้าตัวเอง เหล่าภูตผีและเงาดำที่ลอยในอากาศต่างร่อนลงพื้นดาดฟ้าหัวเรือ ไม่มีใครกล้าโบยบินในอากาศ


โจรสลัดคนอื่นๆ ต่างพากันทยอยคุกเข่าพร้อมกับก้มหน้าแนบพื้นดาดฟ้า ไม่มีใครกล้าเงยขึ้น


ไคลน์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองดูแผ่นหลังของมิสเตอร์อะซิกพร้อมกับฉากหลังที่โล่งโปร่ง พะงาบปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา


อะซิกก้าวไปข้างหน้าและหยุดยืนด้านข้างลำตัวพลเรือเอกขุมนรก จากนั้นก็กลับมาหาไคลน์ พูดกับลูเธอร์ไวล์


“เจ้าต้องเป็นหุ่นเชิดให้เขาหนึ่งปี เมื่อครบกำหนด เจ้าสามารถกลับสู่โลกวิญญาณได้โลกวิญญาณ”


อะซิกกล่าวประโยคเมื่อครู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ประหนึ่งไม่แยแสชีวิต ความตาย และอนาคตของพลเรือเอกขุมนรกแม้แต่น้อย ราวกับสำหรับมัน สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่จำเป็นต้องสนใจอารมณ์และความคิดของผู้ถูกสั่ง


ร่างกายลูเธอร์ไวล์สั่นระริกรุนแรง คล้ายกับกำลังโกรธ คล้ายกับไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำใด ยังก้มหน้าแนบชิดกับพื้นดาดฟ้าเรือเช่นเคย


“ขอรับ ท่านมหากงสุลมรณะ”


ทันทีกล่าวจบ สัญลักษณ์ลึกลับที่มีสีซีดและสีเขียวเข้มพลันสว่างไสวอย่างเข้มข้น ก่อตัวกลายเป็นประตูทองแดงมายา


ประตูทองแดงหดตัวลงอย่างรวดเร็วและผังลงบนหน้าผากของพลเรือเอกขุมนรก


ไคลน์เผยสีหน้าประหลาดใจเจือสับสน จนกระทั่งอะซิกพยักหน้าพร้อมกับชี้ไปยังพลเรือเอกขุมนรก ชายหนุ่มได้สติกลับมาและรีบก้าวไปข้างหน้า เข้าสู่ระยะสิบเมตรเพื่อควบคุมด้วยวิญญาณของลูเธอร์ไวล์


ลึกๆ ภายในใจ พลเรือโจรสลัดอยากจะลุกพรวดขึ้นมาเหวี่ยงกำปั้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ได้แค่คิด เพียงไม่นาน สติของมันค่อยๆ ทวีความเฉื่อยชา แม้ในใจต้องการขัดขืนก็ตาม


ผ่านสักพัก ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ที่สวมหน้ากากสีเงินลุกขึ้นยืน ก้มศีรษะและเดินมายืนข้างไคลน์ขนาบซ้ายขวากับเอ็นโซ


อะซิกเฝ้ามองอย่างเงียบงัน ท้ายที่สุดก็กล่าวเชื่องช้า


“สำหรับเส้นทางมรณา ตัวตนระดับสูงสามารถสยบผู้ที่มีพลังต่ำกว่าได้ง่ายดาย”


แค่เห็นก็พอจะเดาได้… ในตอนที่ผมเป่านกหวีดของคุณ กระทั่งพลเรือเอกขุมนรกที่เป็นถึงลำดับ 5 ก็ยังมิอาจควบคุมอันเดดของตัวเอง… ไคลน์พยักหน้ารีบเล็กน้อย บ่งบอกว่าจะจำเรื่องนี้ไว้


ถัดมา ซอมบี้เน่าเปื่อยที่กระจายตัวรอบเรือต่างค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ตัวหนึ่งถือกระดุมข้อมือสีน้ำเงินเดินมาหาไคลน์


กระดุมข้อมือเมอร์ล็อคที่หล่นหาย!


แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์กับเราในตอนนี้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยมันก็กลับมาหาเจ้าของ… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เอื้อมมือไปหยิบสมบัติที่เป็นของตัวเอง


จากนั้น มันเห็นอะซิกเดินกลับมา เหยียดแขนจับไหล่


ไคลน์รีบเอื้อมมือออกไปคว้าไหล่หุ่นเชิดเอ็นโซและลูเธอร์ไวล์


สีสันรอบตัวทวีความฉูดฉาดและซ้อนทับอีกครั้ง ไคลน์ตระหนักว่าตนกำลังเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณ หันไปถามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้อยากเห็น


“มิสเตอร์อะซิก คุณกำลังจะไปไหน?”


“ทะเลคลั่ง” อะซิกตอบเยือกเย็น


มันเว้นวรรคก่อนจะเสริม


“ส่งนกหวีดทองแดงให้ผม”


“…ครับ” ไคลน์บังคับให้เอ็นโซล้วงหยิบกล่องบุหรี่เหล็กและนำนกหวีดทองแดงด้านในออกมา


อะซิกเอื้อมมือหยิบพลางกล่าวเสียงต่ำ


“สัญชาตญาณบอกกับผมว่า แหวนวงนี้เป็นมรดกของเทพมรณาร่วมกับนกหวีดทองแดงและตัวผม หากประกอบทุกสิ่งเข้าด้วยกัน ผมสามารถตามหาตำแหน่งที่เทพมรณาตกลงไปในทะเลคลั่งได้”


ไคลน์กล่าวจากจิตใต้สำนึก


“ความฝันบอกกับผมว่า ที่นั่นอันตรายมาก… ผมคิดเราควรตามหาสมาชิกของนิกายวิญญาณที่เป็นแกนหลักในโครงการมรณาเทียมให้พบ หลังจากตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากพวกมัน จึงค่อยตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง”


อะซิกเงียบไปสองสามวินาที


“เสียงจากที่นั่นกำลังเรียกหาผม…”


ไคลน์รีบหันหน้าไปมองอะซิก พบว่าสุภาพบุรุษที่มีใบหน้าอ่อนโยนและดวงตาลุ่มลึกราวนี้ คิ้วทั้งสองข้างกำลังย่นเข้าหากัน มุมปากปราศจากรอยยิ้มยกโค้ง


สีแล้วสีเล่าแล่นผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว อะซิกพาไคลน์เข้าไปในเขตทะเลคลั่งที่เต็มไปด้วยพายุมืดและสายฟ้าสีดำ


ทันใดนั้น แหวนสี่เหลี่ยมที่มืดมิดและนกหวีดทองแดงต่างเปล่งแสงระยิบระยับพร้อมกัน ฉาบใบหน้าอะซิกจนสว่างไสว


‘กงสุลมรณะ’ ผู้รอดชีวิตจากยุคสมัยที่สี่หลับตาลงทันที เงียบฟังเสียงร้องจากที่ใดสักแห่ง จนกระทั่งมือขวาของมันสั่นระริกรุนแรง


ทัศนียภาพของโลกวิญญาณโดยรอบพลันพังทลายลงและแปรสภาพกลายเป็นกระแสน้ำวนสีดำไร้ก้นบึ้ง


กระแสน้ำวนขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กลืนกินอะซิก ไคลน์ และหุ่นเชิดอีกสองตัวโดยสมบูรณ์


ไคลน์รู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างฉับพลัน แทบอาเจียนในทันที


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ร่างกายเริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นปรกติ ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอนุสาวรีย์บรรจุศพที่มืดมิดและเย็นยะเยือก รายล้อมด้วยโลงศพที่ฝาเปิดอยู่ ด้านในโลงศพมีศพนอนนิ่ง แผ่นหลังของศพเต็มไปด้วยขนนกสีขาว


ทั้งที่เราเตือนเขาแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังจะมา… ไคลน์ผงะไปครู่ใหญ่ ความจนปัญญาที่ไร้ทางออกกำลังครอบงำจิตใจ


มันมองไปข้างๆ และเห็นมิสเตอร์อะซิกยืนไม่ห่าง อีกฝ่ายกำลังจ้องไปยังบันไดที่นำพาไปสู่ส่วนลึกของสุสาน


ณ ที่นั่น มวลอากาศสีดำอันเข้มข้นกำลังหมุนวนอย่างเชื่องช้า


“เทพมรณาเทียมอาจอยู่ที่นั่น” ไคลน์อดไม่ได้ที่จะตักเตือน


คิ้วบนใบหน้าอะซิกมิได้ขมวดชนกันเหมือนเมื่อครู่ มันยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและกล่าว


“การหลับใหลคราวก่อนทำให้ผมได้รับความทรงจำกลับมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นภาพตัวเองบัลลังก์กะโหลก เห็นคนธรรมดาและผู้วิเศษเสียชีวิตตายไปต่อหน้าบัลลังก์ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทั้งหมดต้องตายกะทันหันโดยที่ศพค่อยๆ ลุกขึ้นมาในฐานะอันเดดที่ภักดีต่อผม… ผมจ้องมองเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยสายตาเย็นชา ปราศจากอารมณ์แปรปรวนทุกชนิด ผมปล่อยให้หายนะแบบเดียวกันลุกลามไปในเขตชนบทและแพร่กระจายสู่เมือง… ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูให้ดี นั่นอาจเป็นตัวตนที่แท้จริงของผมก็ได้”


‘กงสุลมรณะ’ แห่งจักรวรรดิไบลัมจากยุคสมัยที่สี่? ไคลน์พะงาบปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ปิดสนิท


อะซิกยกมือขึ้นลูบหน้าผาก กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งโดยปราศจากอาการสั่นไหว


“ผมรู้สึกว่า… ตัวเองกำลังย้อนกลับไปยังอดีตในจุดนั้น”


ราชันเร้นลับ 915 : ตัวฉันอีกคนหนึ่ง

โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ อะซิกจ้องไปยังส่วนลึกของสุสานและพูดกับตัวเอง


“ผมยังจำครั้งแรกที่คืนชีพได้ ตอนนั้นผมพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในร่างของซากศพสีซีด จึงสะดุ้งและรีบลุกขึ้นยืนอย่างหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน… ก่อนที่นักบวชจะมาเก็บรวบรวมศพเพื่อชำระให้บริสุทธิ์ ผมรีบหลบหนีออกมาอย่างตะกุกตะกัก เดินผ่านถิ่นทุรกันดาร ชนบท และเมือง ไม่ต่างอะไรกับวิญญาณเร่ร่อน จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครและมาจากไหน… ในตอนนั้น ไม่ว่าจะไปที่ใด ผมจะได้ยินเสียงผู้คนร้องระงมอยู่เสมอ โดยเฉพาะพิธีฝังศพหมู่ของนักบวช ผมจะได้ยินเสียงอันโหยหวนแผ่ซ่านไปทุกซอกทุกมุม… จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมบังเอิญช่วยหญิงสาวขุนนางคนหนึ่งไว้ จึงมีโอกาสได้เข้าไปในคฤหาสน์ของเธอ สตรีคนดังกล่าวทั้งสดใสและร่าเริง ส่วนผมเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่หลุดออกมาจากป่า ทั้งอ่อนไหว ขี้ระแวง ไร้ยางอาย ขี้กลัว และมักจะแสดงท่าทีเย็นชา ไม่แยแส ป่าเถื่อน เรียกได้ว่าขัดต่อศีลธรรมของมนุษย์แทบจะในทุกด้าน… เธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผมมาก ไม่ว่าจะพยายามหลบหน้าสักเท่าไร หรือพยายามทำเรื่องแย่ๆ กับเธอมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยไปไหน แถมยังทำให้ผมอ่อนโยนขึ้นด้วยรอยยิ้ม พยายามใช้สิ่งที่น่าสนใจเพื่อหลอกล่อ เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มคุ้นเคยกับการหยอกล้อของเธอ และคุ้นเคยกับการมีเธออยู่เคียงข้าง… เราสองคนแอบคบหากันอย่างลับๆ เธอกังวลว่าบิดาจะไม่เห็นด้วยในเรื่องที่จะแต่งงานกับอดีตชายจรจัด ซึ่งปัจจุบันเป็นทาส… เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันเศร้าหมองของเธอ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเลือดของตัวเองกำลังเดือดพล่าน จึงใจร้อนและบอกกับเธอไปว่า ผมขอออกไปเผชิญโลกกว้าง และจะกลับมาพร้อมกับบรรดาศักดิ์ขุนนางและขบวนสู่ขออย่างยิ่งใหญ่พร้อมช่อดอกไม้… ผมไปเข้าร่วมกับกองทัพและกลายเป็นอัศวิน ถือหอกยาวสามเมตร พุ่งประจันหน้ากับข้าศึกอย่างห้าวหาญ ต้องขอบคุณความโกลาหลบนทวีปเหนือในช่วงท้ายยุคสมัยที่สี่ ผมกลายเป็นบารอนและมีศักดินาเป็นของตัวเอง… ผมทำตามสัญญาสำเร็จ กลับมาพร้อมราชโองการของกษัตริย์ กลับมาพร้อมตราประจำตระกูลและอินทรธนูของอัศวิน รวมถึงช่อดอกไม้ที่ทำขึ้นเอง ผมขอเธอแต่งงาน”


เล่าถึงตรงนี้ สีหน้าของอะซิกค่อยๆ อ่อนโยน คล้ายกับหวนนึกถึงความทรงจำดีๆ ในสมัยอดีต กระทั่งมุมปากก็ยังยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว


หัวใจไคลน์เริ่มสูบฉีดเต้นเมื่อได้ยินเรื่องราว เพราะดูเหมือนมิสเตอร์อะซิกที่คุ้นเคยจะกลับมาอีกครั้ง


“แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ?” มันถามอย่างระมัดระวังคำพูด


อะซิกมองไปข้างหน้า


“หลังจากนั้น… พวกเราสร้างปราสาทในที่ดินของตัวเอง มีลูกชายที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เดาได้ไม่ยากเลยว่า เขาจะต้องเติบใหญ่กลายเป็นชายหนุ่มแข็งแรงในอนาคต… เขาชอบการต่อสู้ มักจะวิ่งไปรอบ ๆ ด้วยดาบใหญ่ พร่ำบอกว่าอยากเป็นอัศวิน… ผมคิดว่านั่นคงเป็นเพียงความฝันทั่วไปของเด็ก ยากที่จะยึดติดได้นาน แต่ถึงแม้จะพลาดท่าจนขาหัก กะโหลกร้าว เขาก็ยังไม่เลิกฝึก คิดว่าการซ่อนตัวอยู่ในห้องและฝืนฝึกฝนสีหน้าบิดเบี้ยว จะหนีพ้นจากสายตาของผมไปได้ ฮะฮะ! เขาประเมินพ่อของตัวเองต่ำไป วิญญาณทั้งหมดภายในดินแดนดังกล่าวกำลังรับใช้ผมอย่างลับๆ … หลายปีผ่านไป ความทรงจำของผมฟื้นฟูกลับมาทีละนิด ภรรยาของผมเอาแต่บ่นว่าปราสาทมืดเกินไป อยากออกไปในที่ที่มีแสงแดดอบอุ่น ผมก็ยอมทำตามที่เธอขอ แต่จนกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ ผมเพิ่งเข้าใจทีหลังว่า เธอมิได้เกลียดการใช้ชีวิตในปราสาท แต่กลัวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวผม กลัวสามีผู้เย็นชาและค่อยๆ กลายเป็นคนแปลกหน้า… เธอไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้กับผม ยังคบกับผมตามปรกติ พวกเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ณ ริมทะเลทางตอนใต้ พวกเราต้องการมีลูกเพิ่ม แต่น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ… จนกระทั่งผมมีลางสังหรณ์ว่าความตายครั้งถัดไปกำลังย่างกรายเข้ามา ซึ่งในตอนนั้น พวกเราเพิ่งกลับมาถึงที่ดิน เพิ่งกลับมาถึงปราสาท… ลูกชายคนโตของผม เด็กคนนั้นบอกว่าต้องการไปอยู่ที่เบ็คลันด์เพื่อเป็นบริวารของไวเคาต์และเอิร์ล เริ่มต้นเส้นทางอัศวินของตัวเอง… ผมถามเขาว่า ทำไมถึงเลือกชีวิตแบบนี้ทั้งที่ยังเป็นวัยรุ่น? เขาตอบกลับมาว่า เขามีผมเป็นต้นแบบ ต้องการที่จะเป็นอัศวินและขุนนางด้วยลำแข้งตัวเองแทนที่จะสืบทอดต่อจากพ่อและแม่… ตัวผมในตอนนั้น แม้ความทรงจำจะฟื้นฟูกลับมาจนเกือบสมบูรณ์แล้ว แต่การเผชิญหน้ากับเด็กคนนี้ก็ยังสร้างความลำบากใจอยู่เสมอ เป็นบรรยากาศกระอักกระอ่วนและไม่สบายใจ แต่เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ผมกลับตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก หัวใจพอโต เกิดความภูมิใจที่ยากจะบรรยาย ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเด็กคนนี้คือลูกของผม เป็นลูกที่แตกต่างจากทายาทในจักรวรรดิไบลัมโดยสิ้นเชิง”


ไคลน์รู้ว่ามิสเตอร์อะซิกกำลังพูดถึงตัวตนในฐานะ ‘ปฐมบารอนลามุด’ และเด็กที่ทำให้อีกฝ่ายภาคภูมิใจ ถูกวางยาพิษจนเสียชีวิตในวัยชราหรือไม่ก็วัยกลางคน ศพถูกตรึงไว้ในโลง กระทั่งกะโหลกศีรษะก็ถูกอินซ์·แซงวีลล์ขโมยไป


อะซิกมองด้วยสายตาเหม่อลอย


“ผมตายอีกครั้งและตื่นขึ้นด้วยความมึนงง สัญชาตญาณบอกให้ละทิ้งที่ดินของตัวเอง และด้วยการเตรียมการล่วงหน้าก่อนจะตาย ผมตัดสินใจออกพเนจรไปที่อื่น ทุกครั้งที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมจะกำหนดให้ตัวเองมีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน บางครั้งก็เจอรักที่หวานชื่น บางครั้งก็ได้ลูกสาวที่น่ารักน่าเอ็นดู และเมื่อความทรงจำเริ่มฟื้นฟูกลับคืนมา อารมณ์มากมายเริ่มถาโถมและเตือนสติ มันทำผมฉงนและเกิดความขัดแย้ง… ครั้งหนึ่ง ผมมีชีวิตใหม่เป็นลูกกตัญญู คอยนำพาความภาคภูมิใจมาสู่พ่อแม่ นำชีวิตที่ดีให้พวกเขา และมีหลานชายกับสาวที่น่ารักให้พวกเขา แต่เมื่อความทรงจำของผมเริ่ม ‘ตื่นขึ้น’ เมื่อผมเริ่มค้นหาตัวเอง นั่นทำให้ผมค้นพบความจริงที่ว่า ในช่วงบั้นปลายของชีวิตก่อนหน้า ผมปล่อยให้ลูกชายที่แท้จริงของพวกเขาเสียชีวิตในสนามรบโดยไม่ช่วยเหลือ จากนั้นก็สวมรอยมาเป็นสมาชิกในครอบครัว แสร้งว่ามีชีวิตรอดมาจากสงคราม… ใจหนึ่งผมรู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิดบาป แต่อีกใจหนึ่งกลับมองว่าเป็นเรื่องปรกติ เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย คล้ายกับภายในใจผมมีสองบุคลิก… ในเวลานั้น ผมมีหน้ากากที่สามารถเปลี่ยนเป็นใครก็ได้ แต่มันหายไปหลังจากตื่นขึ้นในครั้งหนึ่ง บางที ผมอาจจงใจทำมันหายด้วยตัวเอง”


ไคลน์หวนนึกถึงลูกสาวที่มิสเตอร์อะซิกเคยเล่าให้ฟัง เด็กผู้หญิงที่ชอบขอกินลูกอม ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพักก่อนจะถามกลับไป


“ผมคิดว่า… คุณยังไม่ได้กลายเป็นคนสองบุคลิก แต่เป็นการต่อสู้กับจิตใจด้านมืด… หลังจากสูญเสียความทรงจำในอดีต คุณที่เริ่มต้นชีวิตใหม่หนแล้วหนเล่ากลายเป็นคนใจดีและน่าหลงใหล เต็มไปด้วยความเห็นใจและความอ่อนโยน ยิ่งคืนชีพบ่อยครั้งเท่าไร คุณก็ยิ่งพบความจริงข้อนี้… นี่อาจเป็นนิสัยที่แท้จริงของคุณ เป็นแก่นแท้ของคุณ แต่กับตัวคุณในช่วง ‘กงสุลมรณะ’ นิสัยด้านลบเกิดจากอิทธิพลของตะกอนพลัง จุดประสงค์ของมันคือการทำให้ผู้วิเศษคลุ้มคลั่ง นอกจากนั้น คุณยังได้รับอิทธิพลจากเทพมรณาซึ่งมีลำดับสูงกว่าบนเส้นทาง เท่าที่ผมทราบ เทพมรณาเสียสติโดยสมบูรณ์หลังจากเหตุการณ์ ‘สงครามสี่จักรพรรดิ’ ”


คำพูดของไคลน์ไม่ได้มีเหตุผลรองรับมากนัก เพราะมันรู้เพียงไม่กี่ช่วงชีวิตของอะซิก ประกอบด้วยบารอนลามุด พ่อที่ไกวชิงช้าให้ลูกสาวน่ารัก ลูกชายกตัญญูที่นำพาชีวิตสงบสุขให้พ่อแม่ และครูสอนประวัติศาสตร์ที่อ่อนโยนและเป็นมิตร


จุดประสงค์ของมันคือการสร้างทฤษฎีขึ้นมาเอง พยายามโน้มน้าวให้มิสเตอร์อะซิกต่อสู้กับ ‘อุปนิสัยของกงสุลมรณะ’ ที่อาจหวนกลับมาพร้อมความทรงจำ ช่วยให้อีกฝ่ายใคร่ครวญเกี่ยวกับช่วงชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด นำความอ่อนโยนเหล่านั้นมาปรองดองกับความเย็นชาสมัยเป็นกงสุลมรณะ


ขณะกำลังสนทนา ไคลน์ผุดแนวคิดใหม่ได้กะทันหัน จึงไม่รอให้มิสเตอร์อะซิกถามกลับ เป็นฝ่ายยิงคำถามไปก่อน


“มิสเตอร์อะซิก คุณรู้จัก ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ไหม? เหล่าทวยเทพและเทวทูตต่างใช้สิ่งนี้เพื่อคอยแก้ไขจิตใจตนเอง ไม่ปล่อยให้ความเลวทรามจากตะกอนพลังฉุดรั้งจนเสียสติและคลุ้มคลั่ง”


“ผมรู้จัก” อะซิกพยักหน้าโดยไม่มองตอบ


แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ไคลน์ก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“บางที การที่คุณต้องคอยเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยอาการความจำเสื่อมครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งนี้อาจเป็น ‘หลักยึดเหนี่ยว’ เพื่อป้องกันมิให้คุณเสียสติและคลุ้มคลั่ง!”


อย่าละทิ้งพวกมัน อย่าหลงลืมพวกมัน นั่นคือสิ่งที่คุณเป็น! กล่าวจบ ไคลน์เสริมประโยคภายในใจของมันอย่างเงียบงัน


“หลักยึดเหนี่ยว…” อะซิกทวนคำซ้ำ สีหน้าเผยท่าทีครุ่นคิดและสับสนชัดเจน


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันก็ถอนหายใจและกล่าว


“นั่นอาจเป็นคำอธิบายที่ดี เพราะอย่างน้อย ความขัดแย้งในภายในจิตใจผมก็บรรเทาลงมาก”


“แต่ว่า… มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเข้าไปด้านในเพื่อดูมีสิ่งใดซ่อนอยู่ ทำไมมันถึงเรียกหาผม และสิ่งใดทำให้ผมต้องตายและฟื้นคืนชีพครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับสูญเสียความทรงจำ… สิ่งที่สร้างความรำคาญใจให้กับผมนานนับพันปี คอยหลอกหลอนชีวิตของผมหนแล้วหนเล่า ผมคิดว่าคำตอบจะถูกเฉลยในวันนี้”


ดวงตาของอะซิกค่อยๆ ทวีความลุ่มลึก น้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่นจนยากจะบรรยาย


ไคลน์อยากจะหยุดอีกฝ่าย แต่หลังจากพะงาบปาก มันหุบกลับไปอีกครั้ง


อะซิกใช้มือกดหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง กล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนโดยไม่มองหน้า


“อย่าลืมหลับตาให้สนิท”


กล่าวจบ มันเดินตรงไปข้างหน้า ก้าวไปตามขั้นบันได ตรงไปยังส่วนลึกของอนุสาวรีย์บรรจุศพที่มืดมิด


หมอกสีดำที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มิได้ส่งเสียงหายใจกระเส่าอีกต่อไป แต่กระจัดกระจายไปรอบๆ เพื่อเน้นวัตถุมายาที่อยู่ด้านล่างให้คมชัดยิ่งขึ้น


วัตถุดังกล่าวคืองูขนนกที่ตัวใหญ่ราวกับเกาะ!


มีเกล็ดขนาดใหญ่สีเขียวเข้มจนเกือบดำ ขนนกที่ย้อมด้วยน้ำมันสีเหลืองงอกจากช่องว่างเกล็ด บนขนแต่ละเส้นจะมีท่อมายาสีดำบางๆ ยื่นออกมา


งูขนนกที่มีขนาดมหึมาตัวนี้ดูกึ่งลวงตากึ่งคมชัด ยากจะอธิบายรูปร่างได้อย่างเจาะจง คล้ายกับมีองค์ประกอบบางส่วนที่มนุษย์มิอาจทำความเข้าใจ


ภายในเบ้าตามีเปลวไฟสีซีดกำลังลุกไหม้ และใบหน้าของมันยังละม้ายคล้ายคลึงกับใบหน้ามนุษย์!


ผิวหน้ามีสีแทน ใบหน้าอ่อนโยนนุ่มนวล มีไฝเม็ดเล็กอยู่ใต้หูขวา ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนกับอะซิก·อายเกสอีกหนึ่งคน!


ราชันเร้นลับ 916 : ชะตากรรมที่มิอาจเลี่ยง

เมื่อได้เห็นงูขนนกที่ฝังร่างลึกท่ามกลางหมอกสีดำ เมื่อได้เห็นใบหน้าที่อยู่บนยอดลำตัวขนาดมหึมาราวกับขุนเขา อะซิกพลันประหลาดใจในตอนต้น หน้าผากกระตุกแผ่วเบาทันที คล้ายกับถูกใครบางคนตอกลิ่มเข้าไปในขมับและแยกศีรษะออกเป็นสอง


ท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าว ท่ามกลางกระแสความคิดมากมาย ภาพชุดหนึ่งผุดขึ้นมากะทันหัน


ใบหน้าของงูขนนกที่ดูเหมือนกับตนทุกประการ แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ


ท่ามกลางดินแดนอันเงียบสงบ ซากศพสีซีดเรียงรายนับไม่ถ้วน


ลอยเหนือขึ้นไปในอากาศ เมฆที่ประกอบขึ้นจากกะโหลกของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ล่องลอยกระจัดกระจาย


หนวดรยางค์สีเข้มทะลวงขึ้นจากพื้นดิน แต่ละปลายหนวดมีดวงตาที่เหมือนกับปลาตาย


ภายในฉากที่เห็น ร่างวิญญาณสีใสของอะซิกถูกบางสิ่งบางอย่างกระชากออกจากร่างเนื้อ


ดวงตาคู่หนึ่งที่มีเปลวไฟสีซีดคล้ายใกล้ดับมอด ชำเลืองลงมาหาอะซิก ทันใดนั้น ขนนกสีขาวที่ย้อมด้วยน้ำมันสีเหลืองทำการตัดร่างวิญญาณโปร่งใสของอะซิกออกเป็นสองส่วน


ร่างวิญญาณซีกหนึ่งบินขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ ‘เมฆกะโหลก’ ด้านบนท้องฟ้า ส่วนที่เหลือผสานเข้ากับเครื่องประดับทองคำซึ่งผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่า และด้วยอำนาจของเปลวเพลิงสีซีด วัตถุดังกล่าวแปรสภาพกลับไปเป็นเลือดเนื้ออีกครั้ง


ฉากตรงหน้าเปรียบประหนึ่งถูกทุบด้วยค้อนของเทพสายฟ้า รัวกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในจิตใจอะซิก สร้างความเจ็บปวดทุรนทุรายจนยากจะฝืนทน จำต้องยกมือขึ้นกุมหัว เข่าทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรงตรงบันได


ในที่สุด มันจดจำทุกสิ่งได้อย่างกระจ่างชัด เข้าใจว่าทำไมตนต้องตายและฟื้นคืนชีพตลอดเวลา เข้าใจเหตุผลที่สูญเสียความทรงจำและต้องตามหามันคืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ดวงวิญญาณของมันไม่สมบูรณ์!


ในทำนองเดียวกัน อะซิกยังเข้าใจด้วยว่า เหตุใดงูขนนกในส่วนลึกของหมอกดำจึงมีใบหน้าแบบเดียวกับมัน


เพราะนั่นคือตน!


นั่นคือ ‘อะซิก·อายเกส’ อีกหนึ่งคน!


ทั้งหมดคือการเตรียมการอย่างลับๆ ก่อนที่เทพมรณาจะร่วงหล่น


เมื่อมี ‘เย็บวิญญาณ’ ก็ย่อมต้องมี ‘แบ่งวิญญาณ’ ในเวลานั้น เทพมรณาที่บ้าคลั่งและทรงพลังคล้ายกับคาดเดาจุดจบของตัวเองได้ และไม่ต้องการที่จะตายไปทั้งอย่างนั้น จึงแอบแบ่งดวงวิญญาณของลูกชายตัวเอง วิญญาณของ ‘กงสุลมรณะ’ แห่งอาณาจักรไบลัมออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งถูกเย็บเข้ากับวัตถุบางชนิด


ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นความตั้งใจของเทพมรณาหรือไม่ หรืออาจเป็นความบังเอิญจากโครงการสร้างมรณาเทียมของนิกายวิญญาณ ครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณอะซิกผสานเข้ากับวัตถุที่นิกายวิญญาณใช้ในโครงการ – ‘เอกลักษณ์’ แห่งเส้นทางมรณา ส่งผลให้เอกลักษณ์ได้รับสัญชาตญาณบางอย่างและเริ่มสร้างอิทธิพลอย่างรุนแรงกับผู้วิเศษเส้นทาง ‘ผู้เก็บซากศพ’ ที่เลื่อนลำดับล้มเหลว


สำหรับดวงวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง แม้การผสานเข้ากับวัตถุสีทองจะช่วยเติมเต็มความไม่สมบูรณ์ของวิญญาณ แต่เนื่องจากเนื้อวิญญาณนั้นมีเพียงครึ่งเดียว จึงต้องเผชิญความตายครั้งแล้วครั้งเล่าและฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ ประหนึ่งลำดับ 4 ‘อมรณา’ โดยหลังจากคืนชีพขึ้นมา อะซิกจะได้รับอิทธิพลจาก ‘เครื่องประดับทองคำ’ ในร่างกาย ช่วยให้ได้ยินเสียงร้องของวิญญาณอีกครึ่งหนึ่ง ทุกครั้งที่เริ่มต้นชีวิตใหม่จึงต้องคอยตะเกียกตะกายตามหาความทรงจำของตัวเองเสมอ


ในอดีต อะซิกพยายามหาสาเหตุ แต่เนื่องจากการฟื้นฟูความทรงจำตามธรรมชาตินั้นใช้เวลานาน กว่าจะรู้ความจริงก็เข้าสู่ภาวะใกล้ตาย สายเกินไปที่จะลงมือทำอะไร นอกจากนั้น โครงการมรณาเทียมของนิกายวิญญาณยังหยุดนิ่งมานานหลายร้อยปี แทบไม่มีความคืบหน้าจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มันจึงหาคำตอบไม่พบ


ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!


อะซิกลดมือลงตอนไหนไม่มีใครทราบ ปัจจุบันสองมือถูกใช้เพื่อพยุงร่างกายกับพื้นบันได ลำคอเปล่งเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนกับมนุษย์


เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากและหล่นกระทบขั้นบันไดหินด้านล่าง ก่อนจะขยายตัวกลายเป็นชั้นน้ำมันสีเหลืองอ่อนที่มีขนนกสีขาวงอกเงยขึ้นมาปกคลุม


ในเวลานี้ มันสัมผัสถึงเสียงร้องและความปรารถนาจากอีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณ ตระหนักว่า ‘ตัวตน’ ทั้งสองที่ถูกพรากจากกันมานานกว่าพันปีแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว กลับคืนสู่ความสมบูรณ์ดังเดิม


“ไม่…” อะซิกพึมพำด้วยความเจ็บปวด ฝืนร่างกายให้ไม่ยกศีรษะขึ้นหรือเหยียดแขนขวาออกไป


อะซิกมองเห็นอย่างชัดเจน ‘ตัวตน’ ภายในงูขนนกไม่มีอารมณ์หรือเหตุและผลแม้แต่น้อย มีเพียงความเยือกเย็นและความบ้าคลั่ง หากต้องกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง มันเกรงว่าตัวเองจะกลับไปสู่สถานะเดิมของ ‘กงสุลมรณะ’ และอาจกลายเป็นเทพมรณาปลอมๆ ที่มีเพียงออร่าเทพโดยไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์!


จากนั้น มันก็จะลืมทุกสิ่ง ลืมทุกคนที่ตนเคยมอบความรักให้


“ไม่…” อะซิกครางอีกหนึ่งคำออกจากลำคอ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุม เกล็ดสีดำเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนลำคอ


ผิวหนังบริเวณหน้าผากพลันโป่งออกราวกับมีชีวิต ก่อนจะปริแตกจนเกิดรอยแยกสีแดงฉาน


แสงสีทองเรืองรองปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า จากนั้นก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปทรงภายในเลือดเนื้อ


สิ่งนี้เครื่องประดับโบราณที่ทำจากทองคำ รูปลักษณ์เหมือนกับนกที่ร่างกายผอมเพรียว ปีกทำจากเปลวไฟสีซีด ภายในดวงตาสีทองแดงมีชั้นแสงซ้อนทับ ค่อยๆ ก่อตัวเป็นประตูลึกลับและมายา


ในวินาทีที่สิ่งนี้โผล่ออกมา อะซิกคำรามต่ำด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เงยหน้าขึ้นโดยสมบูรณ์ เบ้าตามีเปลวไฟสีซีดสองดวงลุกโชนอย่างพร้อมเพรียง


งูขนนกกึ่งมายากึ่งคมชัดที่อยู่ภายในส่วนลึกของหมอกสีดำทำการเหยียดตัวตรงในแนวดิ่ง เงยหน้าที่เหมือนกับอะซิกทุกประการ ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอย่างเงียบงัน


ท่ามกลางเปลวเพลิงสีซีดทั้งดวงสี่กำลังสั่นไหว มือของอะซิกค่อยๆ พยุงร่างขึ้นด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว จากนั้นก็ย่างกรายเข้าหางูขนนกที่น่าจะเป็นเทพมรณาเทียม


ยิ่งเข้าใกล้ อนุสาวรีย์บรรจุศพทั้งหลังก็ยิ่งสั่นสะเทือน ฉากรอบตัวกลายเป็นสีโปร่งใส เผยให้เห็นโลกที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกและเงาดำ


ท่อนแขนเปื้อนเลือด เถาวัลย์สีดำที่มีใบหน้าทารก หนวดรยางค์ลื่นๆ ที่มีตาปลาตายหรือไม่เขี้ยวแหลมสองแถว ทะลวงผ่านขอบเขตระหว่างโลกจริงและมายาเข้ามาในอนุสาวรีย์บรรจุศพ แต่กลับหมอบแน่นิ่งบนพื้นดินโดยไม่กล้าขยับตัว



ไบลัมตะวันออก เมืองเครน


ดาลีย์·ซิโมเน่ซึ่งกำลังรีบไปยังตำแหน่งเป้าหมายถัดไป พลันชะงักฝีเท้ากะทันหัน ยกมือขึ้นมาป้องหูทั้งสองข้าง


“มีอะไร?” โซสต์ หัวหน้าหน่วย ‘ถุงมือแดง’ ถามด้วยความสงสัย


ดาลีย์ขมวดคิ้วพลางตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอย


“ฉันได้ยินเสียงประหลาด… รู้สึกคล้ายกับมีใครบางคนกำลังเรียกหาจากที่ใดสักแห่ง… ถึงขั้นอยากคุกเข่าลงกับพื้นด้วยซ้ำ”


“มีใครได้ยินอีกไหม?” โซสต์หันไปถามคนอื่น


ขณะเลียวนาร์ด·มิเชลส่ายหน้า มันได้ยินเสียงค่อนข้างชราในหัว


“มองไปทางทะเลคลั่งสิ”


เลียวนาร์ดหมุนตัวตามจิตใต้สำนึก มองไปยังตำแหน่งท่าเรือ ทอดสายตาเข้าไปในทะเลคลั่งที่ห่างออกไปไกลลิบ เห็นเพียงความมืดสนิทที่ลุ่มลึก ปราศจากลมพายุ ปราศจากคลื่นยักษ์ ปราศจากเมฆดำหรือฟ้าผ่า ปราศจากฝน ปราศจากแสงแดด



แม้ว่าไคลน์จะกำลังปิดตา แต่สัมผัสวิญญาณก็ช่วยให้รับรู้การเคลื่อนไหวรอบตัว ช่วยให้ได้ยินเสียงครางอันเจ็บปวด รวมไปถึงเสียงกรีดร้องของมิสเตอร์อะซิก สัมผัสได้ถึงความเงียบเชียบที่จับต้องได้ สัมผัสได้ถึงออร่าแห่งความตาย


เกิดอะไรขึ้น? ‘มรณาเทียม’ ที่อยู่ลึกลงไปในสุสานไม่ได้โจมตีใส่มิสเตอร์อะซิกโดยตรง แต่สร้างอิทธิพลทางอ้อม? กระแสความคิดมากมายไหลผ่านสมองไคลน์ เกิดเป็นความผันผวนและกังวล


สัมผัสวิญญาณของมันแจ้งเตือนว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ตนควรจ้องมองโดยตรง!


ทว่า มันหาทางออกอื่นไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงปิดตาสนิทโดยมิอาจตรวจสอบสภาพปัจจุบันของมิสเตอร์อะซิกหรือสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญ


นี่มิใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยความกล้าหาญ แต่เป็นความต่างชั้นในระดับตัวตน เป็นช่องว่างที่มิอาจเติมเต็ม


เพียงพริบตา ไคลน์รู้สึกห่อเหี่ยวไร้พลังใจ แต่มันไม่อยากยอมแพ้ พยายามเค้นสมองนึกถึงสิ่งที่ตนสามารถทำได้


ยุบพองหิวโหย? ไม่ได้… เหตุการณ์ตรงหน้าเป็นคนละระดับโดยสิ้นเชิง คงไม่มีประโยชน์…


ลางมรณะ?


‘การเดินทางของกรอซาย’ ? เราไม่ได้เอามา… ไพ่ ‘จักรพรรดิมืด’ ? ไพ่ ‘ทรราช’ ? เราไม่ได้พกติดตัวมาเลย…


ยันต์โจรปล้นดวง… ใช่แล้ว ยันต์โจรปล้นดวง!


ไคลน์รู้สึกยินดีเป็นล้นพ้นเมื่อมองเห็นทางออก


แผนคือการใช้ยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ เพื่อย้อนกลับชะตากรรมของตนและมิสเตอร์อะซิกชั่วคราว อีกฝ่ายจะได้รอดพ้นจากอิทธิพลของ ‘เทพมรณา’ เทียม!


อย่างน้อย เรายังคืนชีพได้ แต่สำหรับมิสเตอร์อะซิก ความตายครั้งก่อนๆ ไม่ได้เกิดจากการถูกฆ่า ไม่มีใครทราบว่าครั้งนี้เขาจะคืนชีพได้อีกหรือไม่! ไคลน์มิได้ปักใจเชื่อว่ายันต์ ‘โจรปล้นดวง’ จะส่งผลต่ออะซิกและความตายเทียม แต่ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว มีแต่ต้องลองเสี่ยง จึงรีบยกมือขวาขึ้นและล้วงเข้าไปในกระเป๋า


ทันใดนั้น ไคลน์เกิดลังเลในพฤติกรรมของตัวเอง


แขนของมันถูกยกขึ้นและกลับคืนตำแหน่งเดิม


ชายหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ คล้ายกับแปรสภาพกลายเป็นประติมากรรมหินอ่อน


ริมฝีปากของไคลน์พะงาบขึ้นลงหลายครั้ง สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะรีบกระแทกมือขวาเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและดึงออกมา


ในมือกำยันต์ที่ดูคล้ายแผ่นผลึกสีดำอย่างแน่นหนา


ขณะเดียวกัน อะซิกค่อยๆ ขยับเข้าใกล้งูขนนกที่มีขนาดมหึมาราวกับขุนเขา ฝีเท้าเร่งขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งได้กลับคืนสู่บัลลังก์


แต่ทันใดนั้น ดวงตาที่กำลังมีเปลวไฟสีซีดลุกโชน พลันเอ่อล้นไปด้วยความเจ็บปวด สีหน้าบิดเบี้ยวถึงขีดสุด


“ไม่…” อะซิกครางต่ำอีกครั้ง ทุกจุดที่เผยให้เห็นผิวหนังกำลังมีขนนกสีขาวเปื้อนน้ำมันงอกออก


ท่ามกลางเสียงร้อง ความปรารถนาอันแรงกล้าส่งผลให้ร่างกายสูญเสียการควบคุมอย่างสมบูรณ์ อะซิกเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อกระโจนเข้าหางูขนนกยักษ์ที่มีใบหน้าเหมือนกับตัวเอง


ณ เครื่องประดับรูปนกกึ่งกลางหน้าผาก เปลวไฟสีซีดพลันลุกไหม้อย่างโชติช่วงพร้อมกับแผ่ขยายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย


เมื่อสัมผัสวิญญาณของไคลน์กำลังร้องเตือนอย่างบ้าคลั่ง ปากรีบพ่นถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ


“โชคชะตา!”


ขณะมันเตรียมขว้างยันต์ออกไป สภาพแวดล้อมโดยรอบพลันเงียบสงัด ปราศจากทุกสุ้มเสียงโดยสมบูรณ์


ฝ่ามือสีขาวเรียวยาวของสตรียื่นออกจากอากาศว่างเปล่า กดลงบนเครื่องประดับทองคำรูปนกบนหน้าผากของอะซิกอย่างอ่อนโยน


ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกึ่งกลางระหว่างอะซิกกับงูขนนกมายาที่มีร่างกายใหญ่ยักษ์ ขัดจังหวะการเข้าหากันของทั้งสอง


ด้วยความช่วยเหลือจากพลังภายนอก ในที่สุดอะซิกก็สามารถต่อต้านแรงปรารถนาที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวสำเร็จ เปลวไฟสีซีดในดวงตากำลัง ‘สะท้อน’ ร่างที่ลอยอยู่ในอากาศ


อีกฝ่ายเป็นหญิงงาม สวมเสื้อคลุมยาวทรงโบราณและผ้าคลุมศีรษะ บนใบหน้าปราศจากอารมณ์ทั้งปวง ดวงตามืดสนิทปราศจากชีวิตชีวา


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)