Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 907-912
ราชันเร้นลับ 907: พลังแห่งศาสตร์เร้นลับ
บ้านส่วนใหญ่ในเมืองเครนสร้างขึ้นริมถนนที่คดเคี้ยว บริเวณที่ค่อนข้างโลกจะถูกใช้เป็นจัตุรัสหรือไม่ก็ตลาด
ไคลน์แบกกระเป๋าเดินทาง อาศัยสัญชาตญาณของนักทำนายเลือกทิศทาง มองหาผับที่ครึกครื้นระหว่างทาง
รถม้าบนท้องถนนมีไม่มากนัก ใช้เวลานานกว่าจะเห็นรถม้าเช่าสักคันหนึ่ง การขนส่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไบลัมตะวันออกคือ ‘โลงศพ’ เกิดจากธรรมเนียมการบูชาเทพมรณา ผู้คนจึงมองว่าโลงศพเป็นสถานที่แห่งความสงบสุข ดังนั้น ไคลน์จึงเห็นคนสองสามคนเดินผ่านไปโดยกำลังแบกโลงศพสีดำ ฝาโลงเบากว่าปรกติมาก คล้ายประตูรถม้าที่สามารถเปิดปิดได้ตามใจชอบ
มีตั้งแต่สองคนห้าม หรือสี่คน แปดคน หรือใช้รถม้าลาก… ประเพณีพื้นบ้านเช่นนี้ค่อนข้างน่ากลัวในตอนกลางคืน อา… ระหว่างวันก็ไม่ดีกว่ากันสักเท่าไร เมืองทั้งเมืองดูมืดมน… ไคลน์ชื่นชม ‘ทิวทัศน์’ ริมถนนสักพักก่อนจะเดินเข้าไปในลานกว้าง ฝั่งซ้ายมือเป็นวิหารของ ‘วายุสลาตัน’ ฝั่งขวามือเป็นร้านอาหาร ผับ และร้านค้าอื่นๆ
ขณะมันหยุดฝีเท้า โลงศพที่หามโดยสี่คนกำลังถูกวางลงข้างๆ
หลังจากฝาโลงเปิดขึ้น ผู้โดยสารที่นอนอยู่ด้านในลุกขึ้นยืนและก้าวลงมา เป็นสุภาพบุรุษชาวทวีปเหนือที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำ
เสื้อนอกของสุภาพบุรุษรายนี้ถูกคล้องไว้กับแขน คอยสวมหลังออกจากโลงศพ
ถัดมา ไคลน์เฝ้ามองสุภาพบุรุษคนดังกล่าวมุ่งหน้าไปยังวิหารของโบสถ์วายุสลาตัน
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดชะมัด… ไม่ใช่ว่าศาสนจักรวายุสลาตันชอบที่จะเปลี่ยนประเพณีของดินแดนอาณานิคมให้เป็นแบบเดียวกับโลเอ็นหรอกหรือ? ทำไมถึงไม่ทำแบบเดียวกันในไบลัมตะวันออก? หรือเป็นเพราะเส้นทางมรณาใกล้เคียงกับเส้นทางรัตติกาล โบสถ์วายุสลาตันจึงพยายามรักษาความเชื่อในดินแดนที่บูชาเทพมรณา หวังให้โบสถ์รัตติกาลเผยแผ่ศาสนาได้ลำบาก? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด เลี้ยวเข้าไปในตึกทางขวามือ เตรียมเข้าไปในผับแห่งหนึ่ง
ด้วยประสบการณ์อันโชกโชน มันเริ่มเข้าใจอย่างคลุมเครือว่า เหตุใดรูปแบบเสื้อผ้าของจักรวรรดิไบลัมโบราณจึงถูกบรรยายไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่ม
ชอบใส่กางเกงเบาๆ และโปร่ง มองว่าจีบเป็นของสวยงาม… เพราะจะได้สะดวกเวลานอนในโลงศพ? ไคลน์ยิ้มพลางส่ายหน้า ผลักเปิดประตูไม้หนักๆ ของผับ เดินผ่านกลุ่มคนเมาเข้าไปในเคาน์เตอร์บาร์
ขณะเดียวกัน ทหาร ‘ผู้ติดตาม’ ทั้งสองคนเกรงว่าความจะแตก จึงสร้างระยะห่างกับดอน·ดันเตส ทำเพียงหยุดรอที่ประตู
ฉวยโอกาสไม่กี่อึดใจที่เกิดขึ้น ไคลน์รีบหักเลี้ยวพร้อมกับแหวกว่ายผ่านฝูงชนประหนึ่งปลา วิ่งออกไปทางประตูหลังของผับด้วยความเร็วสูง
แม้ว่ามันจะพูดตูทานไม่ได้ แต่ก็พอจะเข้าใจสัญลักษณ์ที่วาดบนป้ายประกาศ พอจะทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางไหน และตรงไหนห้ามลูกค้าทั่วไปเข้า
หลังจากหักเลี้ยวเข้าไปในมุมอับของประตู ไคลน์หมุนตัวกลับหลังพร้อมกับถอดเสื้อนอกออกอย่างรวดเร็ว ห้อยไว้บนแขน
ถัดมา มือข้างหนึ่งกุมหัวไม้ค่ำที่เลี่ยมทอง ส่วนอีกข้างปิดหน้าพร้อมกับลดความเร็วในการเดิน ตรงกลับไปที่ประตูผับ
หลังจากเดินออกจากจุดที่ถอดเสื้อนอกราวสิบเมตร ไคลน์เลื่อนมือขวาออกจากใบหน้า รูปลักษณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จอนสีขาว ดวงตาลุ่มลึก บุคลิกสง่างาม ทั้งหมดอันตรธานหายไปโดยสิ้นเชิง ถูกแทนที่ด้วยรูปลักษณ์ของชาวโลเอ็นตามปรกติที่พบเห็นได้ทั่วไปในทวีปเหนือ
ในท่าถือกระเป๋าและไม้ค้ำ ไคลน์เดินอย่างใจเย็นผ่านหน้าทหาร ‘ผู้สะกดรอย’ ทั้งสองคนขณะที่มันพยายามมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาดอน·ดันเตส ออกจากผับอย่างราบรื่น
ไม่ว่าจะเป็นการสะกดรอยหรือต่อต้านการสะกดรอย ทั้งสองสิ่งคือจุดแข็งของผู้ไร้หน้า!
กลับถึงจัตุรัส ไคลน์เลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ ที่ลาดเอียงไปขึ้น ภายในใจเริ่มวางแผนหาห้องพัก
ขณะเดินไปบนถนนค่อนข้างเปลี่ยว มันก็ได้ยินเสียงตะโกนอันน่าสะพรึงกลัวของผู้หญิง
เสียงดังกล่าวดังขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะเงียบสนิท
แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายตะโกนว่าอย่างไร แต่ไคลน์สัมผัสได้ถึงความกลัว สยองขวัญ และตื่นตระหนก ดังนั้น มันเปลี่ยนแผนทันที เลี้ยวเข้าไปในทางแคบๆ ที่ปลอดคนยิ่งกว่าเก่า
ผ่านไปไม่ถึงสิบวินาที ในตรอกเปลี่ยวดังกล่าว ชายท้องถิ่นผิวสีน้ำตาลคนหนึ่ง อายุราวสามสิบ กำลังข่มเหงเด็กผู้หญิงอายุไม่เกินสิบสามหรือสิบสี่ มีการใช้ความรุนแรง
ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตา ลดความเร็วในการเดิน ก่อนจะหยุดฝีเท้าในเงามืดใกล้ๆ
ในเวลานี้ ใบหน้าของเด็กสาวกำลังบิดเบี้ยวด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด แต่ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนสักเท่าไร ก็ยากที่จะสลัดให้หลุด ผลลัพธ์เดียวคือการถูกทุบตีรุนแรงกว่าเดิม
น้ำตาและน้ำมูกไหลอาบใบหน้าเด็กสาว และเนื้อจากถูกเศษผ้ายัดมาก จึงทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้
แต่ทันใดนั้น เด็กสาวมีอันต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าไอ้ระยำที่พยายามจะถอดเสื้อผ้าของเธอ เริ่มเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าลง
“…” โดยไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กสาวทำได้เพียงมองไอ้ระยำตรงหน้าค่อยๆ มีดวงตาเบิกโพลง กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกแผ่วเบา แต่อารมณ์ค่อนข้างคลุมเครือ มือเท้ากระตุกและหยุดเป็นพักๆ พยายามทำต่อจากสิ่งที่เคยทำ แต่ก็เชื่องช้าเสียจนขัดขืนได้ง่ายดาย
เด็กสาวผลักอีกฝ่ายออกตามสัญชาตญาณ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นยอดเยี่ยมมาก เมื่อพบว่าตัวเองเป็นอิสระ เธอรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เตรียมหนีออกไปจากตรอก ทว่า แข้งขากลับอ่อนระทวยอย่างมิอาจควบคุม หลังวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กสาวสะดุดก้อนหิน เกือบจนเกือบล้มคะมำ
ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง ภายในใจทวีความตื่นตระหนก มือเท้าสั่นระริกยิ่งกว่าเดิม
ถัดมาไม่นาน เสียงฝีเท้าหยุดลง
เด็กสาวหันกลับมามองตามสัญชาตญาณ พบไอ้ระยำกำลังยืนตัวแข็งทื่อในจุดที่ห่างออกไปราวสองเมตร อีกฝ่ายเคลื่อนไหวประหลาดๆ ราวกับข้อต่อของมันขึ้นสนิม
“เกิดอะไรขึ้น…” เด็กหญิงตัวเล็กๆ รู้สึกเหมือนฝันไป
ชายผิวสีน้ำตาลดิ้นรนอยู่สักพัก จนกระทั่งท้ายที่สุด มันเผยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวเป็นภาษาตูทาน
“ถ้าในอนาคตเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก เธอต้องรีบวิ่งไปที่วิหารที่ใกล้ที่สุด หรือไม่ก็จุดที่มีผู้คนพลุกพล่าน”
เด็กสาวพลันผงะก่อนจะส่งเสียงกรีดร้อง หันหลังและวิ่งหนีไป
ด้วยจิตใต้สำนึก เธอเลือกวิ่งไปยังทิศทางของวิหารใกล้กับจัตุรัส
รอจนเหตุการณ์ภายในตรอกกลับมาเงียบสงบ ชายท้องถิ่นผิวสีน้ำตาลหันกลับไปมองเงาดำด้านหลัง จ้องไคลน์ที่กำลังเดินออกจากจุดดังกล่าว
“หุ่นเชิดตัวใหม่… ทั้งอ่อนแอและไม่คล่องตัว ปราศจากพลังพิเศษ หน้าตาค่อนข้างไม่เป็นมิตร นอกจากการพูดตูทานได้ ประโยชน์ด้านอื่นไม่มีเลยสักนิด” ไคลน์วิเคราะห์คร่าวๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่ทำชั่วซึ่งๆ หน้า ถ้าไม่ใช่เพราะมันรู้ภาษาตูทาน เราคงฝังไปแล้ว”
มันอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับหุ่นเชิดตัวก่อนอย่าง ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล
เซนอลคือ ‘วิญญาณอาฆาต’ สามารถ ‘กระโดดกระจก’ และซ่อนบนผิวสะท้อนของเหรียญทอง… ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครพบ… แถมยังมีเสียงหวีดแหลมและพลังในการสิงร่างเป้าหมาย เป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบของนักเชิดหุ่น
และที่สำคัญที่สุด… เซนอลรู้ภาษาตูทาน… การนำหุ่นเชิดตัวนี้ไปเทียบกับเซนอล ก็เหมือนกับการเทียบหามูลค่าของเงินหนึ่งเพนนีกับสี่หมื่นสองพันปอนด์…
เราไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร… ทำได้แค่ใช้สอดแนม แถมยังไม่มีความทรงจำเก่าๆ เว้นเสียแต่จะได้พบคนรู้จัก ดวงวิญญาณจึงจะยอม ‘คาย’ ข้อมูลออกมาเพิ่มเติม… ตอนนี้เรียกว่า ‘อัฟ’ ไปก่อนก็แล้วกัน ไม่สิ เอาเป็น ‘อูฟ’ ดีกว่า…
ไคลน์ลูบหน้าผากพลางถอนหายใจ รีบนำหุ่นเชิดออกจากจุดเกิดเหตุก่อนที่เด็กหญิงจะไปตามนักบวชออกมา
ถัดมาไม่นาน อาศัยทักษะรู้ภาษาของหุ่นเชิด ไคลน์ย้ายไปยังย่านที่มีความเจริญและล้าหลังบรรจบกัน สุ่มหาเช่าโรงแรมเข้าพักโดยไม่ต้องใช้เอกสารยืนยันตัวตน เพราะไคลน์ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เป็นชาวเมืองท้องถิ่น
ขาดการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอาณานิคมทางทะเล… ไคลน์วางสัมภาระลง โยนเงินสดส่วนใหญ่ที่กำลังพกติดตัวเข้าไปในมิติหมอก เหลือไว้เพียงห้าสิบปอนด์สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผ่านทะเลคลั่งมาแล้ว มันไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปรกติ จึงหยิบนกหวีดทองแดงและกล่องบุหรี่เหล็กออกมามิติลึกลับเหนือหมอกสีเทา เพื่อให้มิสเตอร์อะซิกระบุพิกัดของตนได้ง่าย
จัดการทั้งหมดเสร็จ เนื่องจากกินอาหารค่ำบนเรือโดยสารเรียบร้อย ไคลน์จึงมีเวลาว่าง ตัดสินใจรีบมองหาหุ่นเชิดตัวที่สอง
ส่วนคำถามที่ว่า จะหาได้จากไหน ไคลน์ที่ยังไม่รู้จักเมืองเครนดีพอ ตัดสินใจใช้พลังนักทำนาย พลังแห่งศาสตร์เร้นลับ!
หลังออกจากโรงแรมไปพร้อมกับอูฟ ไคลน์หักกิ่งต้นดอนนิงส์แมนเพื่อใช้ต่างแทงวิญญาณ เข้าฌานอย่างชำนาญพร้อมกับกระซิบกระซาบ
“ตำแหน่งของหุ่นเชิดตัวใหม่”
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ดวงตาที่คล้ายกับสามารถมองทะลุผ่านอุปสรรคระหว่างภาพมายาและความเป็นจริง กำลังจ้องมองแท่งวิญญาณอย่างไม่กะพริบ
กิ่งไม้ร่วงหล่นลงพื้น ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
หลังจากเดินตรงไปสักพัก ไคลน์ทำนายใหม่อีกครั้งและเดินไปตามทิศทางของผลการทำนาย ผ่านไปราวเจ็ดแปดรอบก็มาถึงขั้นบันไดที่สูงชัน
บันไดแห่งนี้เชื่อมต่อถนนหลายเส้นในเมืองเครน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองขั้นบนสุด ไคลน์ยังไม่พบใคร
ผลลัพธ์การทำนายนำมาที่นี่ไม่ผิดแน่… แล้วทำไมถึงไม่มีใคร? เพราะไม่ใช่การทำนายเหนือมิติหมอกสีเทา ผลลัพธ์จึงไม่ถูกต้อง? แต่ตอนนี้เราเป็นถึงลำดับ 5 นักเชิดหุ่น พลังการทำนายเข้มแข็งที่สุดในบรรดาผู้วิเศษที่ต่ำกว่าครึ่งเทพ… ไคลน์ขมวดคิ้วพลางมองไปรอบตัว แต่ก็ยังไม่พบเป้าหมายใด
ครุ่นคิดสักพัก มันตัดสินใจเดินลงและหยุดนั่งพักใต้ร่มเงาของขั้นบันไดที่เชื่อมกับเขตริมฝีปากล่าง รอคอยอย่างเบื่อหน่ายและไม่มั่นใจนัก
ไม่กี่นาทีถัดมา มันยืนขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบังคับหุ่นเชิด ‘อูฟ’ นั่งในตำแหน่งเดิมของตัวเอง
จากนั้น ไคลน์เดินออกห่างเพื่อซ่อนตัวอยู่ในจุดลับสายตาซึ่งไกลออกไปราวสองร้อยเมตร
…
เมืองเครน เขตริมฝีปากล่าง
เลียวนาร์ด·มิเชล ดาลีย์·ซิโมเน่ และคนที่เหลือเดินตามโซสต์ หัวหน้าหน่วยถุงมือแดงไปยังละแวกหนึ่ง
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี โซสต์กล่าวเน้นย้ำอีกครั้งกับลูกน้องทุกคน
“เป้าหมายของเราคืออูลิก้า อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 13 เป็นสมาชิกคนสำคัญของนิกายวิญญาณ รับผิดชอบในการติดต่อประสานงานกับหน่วยต่างๆ ในกรุงเบ็คลันด์… แม้ข้อมูลทางฝั่งเราจะระบุว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ผมได้เบิกสมบัติปิดผนึกระดับ 1 มาด้วย และยังมีท่านเจ้าคุณ ‘ดวงตาแห่งเทพธิดา’ รอส่งความช่วยเหลือมาทุกเมื่อ… นอกจากนั้น ผู้พักอาศัยในละแวกนี้ส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมือง เราจะยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจเป็นสมาชิกของนิกายวิญญาณ”
ราชันเร้นลับ 908 : ไม่ทิ้งปัญหา
เขตริมฝีปากล่าง บ้านเลขที่ 13 ถนนเขี้ยวแหลม
อูลิก้าร่างท้วม ผิวสีน้ำตาลเข้ม ดวงตากลมเล็ก กำลังนั่งบนโซฟาพลางห่อใบยาสูบสีเหลืองตากแห้ง สมุนไพร และเครื่องเทศสิบชนิดที่มีความพิเศษเฉพาะของทวีปใต้เข้าด้วยกัน จากนั้นหั่นเป็นเส้นยาว
ถัดมา มันนำ ‘ยาสูบไบลัมตะวันออก’ ที่ทำเองขยับเข้าไปต่อกับไม้ขีดไฟที่ลูกน้องถือ ส่วนปลายบุหรี่ค่อยๆ กลายเป็นสีดำและโค้งงอเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
อูลิก้าใช้ริมฝีปากงับปลายอีกฝั่งพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพ่นควันสีขาวที่ถูกย้อมด้วยสีฟ้าอ่อนๆ ออกมาอย่างเชื่องช้า กล่าวกับแขกบนโซฟาเดี่ยวข้างๆ
“สิ่งนี้เรียกว่าบุหรี่… บุหรี่ของแท้… ไอ้ที่ชาวทวีปเหนือสูบนั่นมันของเด็ก!”
แขกบนโซฟาเดี่ยวเป็นชายวัยสี่สิบ ดั้งจมูกโด่ง ดวงตาเกือบเป็นสีฟ้า ใบหน้าอ่อนโยน เส้นผมสีดำหนาหยักศกเล็กน้อย ผิวไม่คล้ำ แต่ก็ไม่ขาว คล้ายกับลูกครึ่งโลเอ็นและไบลัม
มันหัวเราะในลำคอ ตอบเป็นภาษาตูทาน:
“น่าเสียดาย ผมไม่สนบุหรี่สักชนิด”
“เอ็นโซ คุณน่าจะสนุกกับชีวิตสักหน่อยนะ” ยังไม่ทันที่อูลิก้าจะพูดจบ สัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งซึ่งเกิดจากเส้นทาง ช่วยให้มันตระหนักถึงอันตราย
การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้อูลิก้ามองว่าเป็นเรื่องใหญ่
ยังไม่ทันจะลุกออกจากตำแหน่งเดิม ทัศนียภาพตรงหน้าอูลิก้าพลันมืดสนิท ประหนึ่งได้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนภายในบ้าน มาพร้อมกับอาการง่วงนอนรุนแรง ก้นบึ้งหัวใจรู้สึกสุขสงบ
ทั่วทั้งถนนเขี้ยวแหลม ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนที่มีไฟเปิดหรือปิดอยู่ ปัจจุบันกำลังเงียบสงัด คล้ายกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่เลย หรือไม่ก็ ทุกคนหลับไปอย่างกะทันหันในวินาทีเดียวกัน
ทันใดนั้น อูลิก้าที่กำลังกรน พลันลุกพรวดขึ้นด้วยร่างที่ลาดเอียงทำมุมกับพื้น ดวงตาเผยความเหม่อลอยแกมชัดเจนอย่างขัดแย้งในตัวเอง
ด้านหลังมัน เด็กผู้หญิงผิวสีซีดที่ร่างกายโปร่งใสจนเกือบจะเป็นภาพมายา โผล่มาด้านหลังอูลิก้าตอนไหนไม่มีใครทราบ!
เด็กผู้หญิงคนดังกล่าวมีตาสีฟ้า ริมฝีปากคล้ำ สายตาหันไปมองด้านข้าง มือเท้าสีซีดและโปร่งใสทะลวงเข้าไปในร่างกายอูลิก้าประหนึ่งผีเข้าสิง
การดำรงอยู่ของ ‘เธอ’ ทำให้ดวงวิญญาณอูลิก้าพลันเย็นยะเยือก มันจึงเป็นอิสระจากภาวะง่วงนอนได้อย่างฉิวเฉียด รอดพ้นจากอำนาจครอบงำของ ‘ฝันร้าย’
ขณะยังไม่สร่างสนิท อูลิก้ารีบวิ่งไปยังบันไดตามสัญชาตญาณพร้อมกับเหยียดฝ่ามือทั้งสองข้างออก ดันไปด้านหน้า คล้ายกับกำลังผลักประตูที่ไม่มีใครมองเห็น
เพียงพริบตา บานประตูที่เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับ บานประตูทองแดงที่ยากจะอธิบายชัดเจนพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าอูลิก้า ก่อนจะเปิดแง้มพร้อมกับเสียงเสียดสี
ภายในช่องว่างที่เปิดแง้ม ที่นั่นอัดแน่นไปด้วยความมืดซึ่งมองไม่เห็นก้นบึ้ง ด้านในเต็มไปด้วยดวงตาจำนวนมากกำลังมองออกมายังโลกด้านนอก
พร้อมกันนั้น ท่ามกลางประตูที่เปิดแง้ม วัตถุและสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดจำนวนมากที่ยุบพองและพยายามกรูกันออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ขณะอูลิก้าเตรียมถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อเปิดประตูให้กว้าง เปลี่ยนให้โลกแห่งความสยองขวัญด้านในออกมาอาละวาดบนถนนเขี้ยวแหลม แต่ทันใดนั้น สายตาของมันชำเลืองเห็นฝ่ามือสีซีดโปร่งแสงคู่หนึ่งผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่า ทะลวงผ่านความมืดมิดพร้อมกับพยายามดึงประตูให้กลับมาปิดสนิท
แขนข้างดังกล่าวไม่มีต้นตอ มิได้เชื่อมต่อกับร่างกาย มีเพียงข้อมือที่เปื้อนเลือดซึ่งไม่ทราบว่าถูกใครตัดทิ้ง!
เมื่อต่างฝ่ายต่างออกแรง ประตูทองแดงลึกลับจึงหยุดอยู่กับที่ ไม่เปิดและไม่ปิด
บนท้องฟ้าเหนือบ้านเลขที่ 13 โซสต์ผู้กลายเป็น ‘จอมอาคมวิญญาณ’ ถูกรายล้อมด้วยพลังที่มองไม่เห็น กำลังยืนแน่นิ่งบนอากาศพลางถือวงแหวนทรงกลดที่ทำจากทองคำด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ค่อยๆ ชูขึ้นเหนือศีรษะ
เมื่อวงแหวนทรงกลดสีทองโผล่พ้นศีรษะโซสต์ แสงเรืองรองพลันพวยพุ่งออกมาอย่างท่วมท้นในจุดเดียว
เพียงพริบตา กึ่งกลางท้องฟ้าคล้ายกับมีดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากความว่างเปล่า แสงและความร้อนทั้งหมดสาดส่องไปยังบ้านเลขที่ 13 ถนนเขี้ยวแหลม
แสงเหล่านั้นทะลวงผ่านอาคารโดยไม่สร้างความเสียหายใด สาดส่องลงไปบนประตูทองแดง โอบกอดอูลิก้าที่ยืนอยู่ด้านหน้ามัน
สีหน้าอูลิก้าพลันเผยความเจ็บปวดแสนสาหัส เด็กผู้หญิงหน้าซีดจนเกือบโปร่งใสด้านหลังอูลิก้าพลันกรีดร้อง แต่สุดท้ายก็โดน ‘แสงแดด’ สยบไว้อย่างท่วมท้น
ร่างกายเด็กสาวบิดงอและระเหยไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงอากาศสีดำที่ถูกแผดเผาท่ามกลางมหาสมุทรแห่งแสง
ภายในบ้านหลังดังกล่าวไม่มีจุดให้หลบแดดอีกต่อไป!
จนกระทั่ง ‘แสงแดด’ จางลง ประตูทองแดงที่ยากจะอธิบายก็เลือนหายไปโดยสมบูรณ์ บนพื้นมีศพสีดำพร้อมกับมีคราบน้ำมันสีเหลืองเจือจาง
ปึด! ศพแยกออกจากกัน ร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งโผล่จากด้านใน
ร่างดังกล่าวมีหน้าตาเหมือนอูลิก้าทุกประการ แต่สีผิวกลายเป็นสีดำสนิทประหนึ่งเปื้อนหมึก สูงเพียง1.2 หรือ 1.3 เมตร ตามผิวกายเต็มไปด้วยหนองข้น
ทันทีที่ออกมา มันรีบวิ่งไปทางบันไดด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เปิดประตูห้องใต้ดินซึ่งเป็นทางลับที่เตรียมไว้ล่วงหน้า วิ่งตรงไปตลอดทาง
ภายในสิบวินาที อูลิก้าร่างมืดและตัวหดเริ่มมองเห็นทางออก มองเห็นแสงแห่งความหลัง
มันยังไม่ประมาท มือขวาถูกกำแผ่วเบา ร่างโปร่งใสและมายาเจ็ดหรือแปดร่างโผล่ออกจากลำตัว
ร่างเหล่านี้ดูยังไงก็ไม่ปรกติ ราวกับเป็นการนำสิ่งเลวทรามจากมนุษย์ พืช หรือสัตว์บางชนิดเข้าด้วยกัน บางร่างดึงแขนอูลิก้า บางร่างยกขาขึ้น พาอูลิก้าบินไปในอากาศ
ถัดมา ปุ่มกลไกของตัวอาคารถูกกด เสียงเฟืองเสียดสีดังสนั่น ประตูทางออกเปิดกระแทกเสียงดังโครมใหญ่ ภาพตรงหน้าคือมุมหนึ่งของถนนที่เงียบและมืด
ด้านหน้ายังมีถนนทอดยาวลงไป สองฝั่งถนนเป็นตึกรามบ้านช่อง ดูราวกับคลื่นทะเลท่ามกลางแสงจันทร์สีแดง
ขณะอูลิก้าเตรียมบินออกจากทางลับด้วยความช่วยเหลือของวิญญาณ เตรียมปะปนเข้าไปในเมืองเครนอย่างกลมกลืน ทะเลสาบสายหมอกพลันปรากฏขึ้นในการมองเห็น
ทะเลสาบส่องประกายระยิบระยับ เสริมความงดงามและเงียบสงบด้วยระลอกคลื่นที่กระเพื่อมจากจุดกึ่งกลาง ร่างมายาอันสง่างามร่างหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นจากใจกลางผิวน้ำ
นี่คือสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณที่ทรงพลัง ในตำนานของมนุษย์ หล่อนมักถูกเรียกว่า ‘เทพธิดาแห่งทะเลสาบ’ !
ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ ความแข็งแกร่งของ ‘ผู้ชี้นำวิญญาณ’ จะขึ้นอยู่กับวิญญาณคนตายหรือวิญญาณตามธรรมชาติที่แต่ละคนกำลังควบคุม ในทำนองเดียวกัน ‘จอมอาคมวิญญาณ’ เองก็ไม่แตกต่าง ต่างเพียง ‘ผู้ชี้นำวิญญาณ’ จะเน้นไปที่คนตาย ส่วน ‘จอมอาคมวิญญาณ’ จะเน้นไปที่สัตว์วิญญาณ
ทันใดนั้น ร่างโปร่งใสและแปลกประหลาดรอบๆ อูลิก้าพลันส่งเสียงที่น่าหวาดกลัวและสยดสยอง รีบทิ้งแขนขาที่กำลังถืออยู่ จากนั้นก็ลอยเข้าไปในร่างสีดำที่หดตัว
โครม! ร่างอูลิก้าตกกระแทกพื้น แต่ก็ไม่เจ็บ เนื่องจากกำลังถูกความง่วงที่ทรงพลังเล่นงานจนหลับสนิทโดยไม่รู้ตัว
ณ ทางออกลับ ดาลีย์·ซิโมเน่ที่สวมเสื้อคลุมผู้สื่อวิญญาณพร้อมกับทาขอบตาและแก้มสีฟ้า โผล่ตัวออกจากความมืดและเดินเข้ามาใกล้อูลิก้าที่มีร่างกายสีดำสนิท จากนั้นก็เปิดปากพูด
“วิญญาณคนตายที่มันนำมาผสานกับร่างช่างแปลกประหลาด หากไม่มีร่างของมนุษย์ให้วิญญาณเหล่านี้อาศัยประหนึ่ง ‘บ้าน’ พวกมันจะเหี่ยวเฉาและตายไปอย่างรวดเร็ว… พวกเราต้องเร่งมือเพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุด”
เลียวนาร์ด·มิเชลเดินออกจากเงามืดด้านข้าง เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยขณะเหลือบมองดาลีย์·ซิโมเน่
“คุณเป็นผู้ชี้นำวิญญาณไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงควบคุม ‘เทพธิดาแห่งทะเลสาบ’ ได้?”
“แล้วคุณล่ะ… เป็นนักกวี ทำไมถึงแต่งกลอนไม่ได้?” ดาลีย์ตอบอย่างไม่สบอารมณ์
…
อีกด้านหนึ่งของถนน บนหน้าผาที่ไม่ชันเกินไปนัก ร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวลงมาด้านล่างไปตามแนวหินที่ยื่นออก เพียงไม่นานก็ลงมาถึงมุมมืดของถนนคาง
ชายคนนี้มีผิวสีแทน ดวงตาสีฟ้า ผมดำดกหนา หยักศกเล็กน้อยไม่ใช่ใครนอกจากเอ็นโซที่เคยเป็นแขกรับเชิญของอูลิก้า ณ บ้านเลขที่ 13 ถนนเขี้ยวแหลม ในเขตริมฝีปากล่าง
เอ็นโซไม่ใช่สมาชิกของ ‘นิกายวิญญาณ’ แต่เป็นคนทรยศของโรงเรียนชีวิตที่หลบหนีออกมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากโรงเรียนกุหลาบ
มันไม่ใช่ผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักปรุงยา’ ที่สามารถกลายเป็น ‘แวมไพร์’ มิได้กราบไว้บูชา ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ มันแค่ไม่อยากอยู่ในกฎระเบียบที่อาจารย์กับอาจารย์ของอาจารย์ตั้งไว้ มันอยากใช้ชีวิตตามอำเภอใจ และหวังจะใช้ประโยชน์ความพิเศษของ ‘ผู้ชนะ’ ได้อย่างเต็มที่
ความคิดแบบนี้ทำให้มันศรัทธาปรัชญาการปล่อยตัวไปตามแรงปรารถนาของโรงเรียนกุหลาบมาก ใช้เวลาไตร่ตรองไม่นานก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับอีกฝ่าย สนองความต้องการของตนอย่างสุดเหวี่ยง
สำหรับวันนี้ มันเป็นตัวแทนของโรงเรียนกุหลาบเพื่อประสานงานกับนิกายวิญญาณสาขาเมืองเครน สำรวจหาความเป็นไปได้ของความร่วมมือ แต่คาดไม่ถึงว่า ‘คนตายสีดำ’ อูลิก้า จะถูกโจมตีโดยโบสถ์รัตติกาล แถมยังเป็นการบุกถล่มระดับสูง!
โชคดีที่เราเชี่ยวชาญการต่อต้านพลังทำนาย คนของโบสถ์รัตติกาลไม่รู้ว่าล่วงหน้าเราอยู่ในบ้านของอูลิก้าด้วย อย่างมากก็คงคิดว่าเราเป็นลูกน้องเจ้านั่น ส่งผลให้เปิดช่องว่างมากมายสำหรับการหลบหนี และ ‘แสงแดด’ นั่นจะชำระล้างเพียงเป้าหมายที่อยู่ในขอบเขตของความตาย ความชั่ว และความโสโครกเป็นหลัก แทบไม่ส่งผลร้ายแรงต่อเรา… ไม่ผิดแน่ นั่นคงเป็นการโจมตีระดับครึ่งเทพ… เอ็นโซเดินอยู่ในเงามืดข้างถนนพลางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
หลังจากหนีออกมาได้ไกล มันหันไปมองข้างหลังและพบว่าไม่มีใครไล่ตามมา จึงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกพลางกระซิบ
ผู้ชนะก็คือผู้ชนะวันยังค่ำ! ผู้ชนะตลอดกาล!
เอ็นโซที่ได้รับความมั่นใจในตัวเองกลับมา ตัดสินใจเดินไปยังถนนที่ไหนสักแห่งด้วยรอยยิ้ม หักเลี้ยวซ้าย ลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
เป็นบันไดยาวที่สูงชัน เชื่อมต่อกับถนนหลายเส้นของเมืองเครน
…
ใกล้กับถนนเขี้ยวแหลม โซสต์พลันลืมตาขึ้นและหันไปพูดกับเลียวนาร์ดและดาลีย์·ซิโมเน่
“เมื่อครู่มีคนชื่อเอ็นโซอยู่ในบ้านอูลิก้าด้วย มันเป็นสมาชิกของโรงเรียนกุหลาบ ลำดับไม่ต่ำ น่าจะมีตำแหน่งสูง… พวกคุณแยกย้ายกันไปค้นหารอบๆ โดยเร็ว ดูว่าพบเบาะแสบ้างไหม พยายามจับกุมตัวให้ได้ พวกเราจะไม่ทิ้งปัญหาให้มาแว้งกัดภายหลัง”
สำหรับถุงมือแดงคนอื่นและเหยี่ยวราตรีท้องถิ่น บ้างแยกย้ายไปตามสมาชิกนิกายวิญญาณที่เหลือ บ้างเข้าฝันเป้าหมาย หวังว่าจะได้ข้อมูลที่สดใหม่ ส่วนที่เหลือมีหน้าที่คอยเฝ้าระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ปกป้องพวกพ้องที่กำลังใช้พลัง
“ครับ หัวหน้าโซสต์” เลียวนาร์ดขานรับโดยไม่ลังเล
ดาลีย์นำมือป้องหู กล่าวหลังจากยืนฟังสองสามวินาที
“เด็กแถวๆ นั้นบอกกับฉันว่า มีคนหนีไปทางหน้าผา”
ราชันเร้นลับ 909 : นำความโชคดีมาเสิร์ฟ
ณ บันไดหินสูงชันที่ทอดยาว แสงจันทร์แดงกำลังสาดส่องลงมายังส่วนใจกลาง ส่งผลให้เกิดเงายาวทอดไปตามทาง
เอ็นโซทำตัวเหมือนกับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตามปรกติ ฝีเท้าค่อนข้างเร็ว ภายในใจกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตื่นตระหนก บรรจงเดินลงทีละขั้น มันเชื่อในความโชคดีของตัวเอง เชื่อในพลังของ ‘ผู้ชนะ’ และมั่นใจว่าตนจะไม่ถูกจับโดย ‘เหยี่ยวราตรี’
ขณะพบว่าเดินอีกไม่กี่ขั้นก็จะถึงชั้นล่าง เอ็นโซที่ผ่านลำดับ ‘สัตว์ประหลาด’ พลันตระหนักถึงบางสิ่ง จึงก้มมองลงไปยังเงามืดข้างบันไดขั้นล่างๆ
มันเห็นร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในอย่างเหม่อลอย รูปกายภายนอกมองเห็นได้ยากเนื่องจากปัญหาด้านความสว่าง แต่งกายเหมือนกับชาวไบลัมตะวันออกทั่วไป
ร่างดังกล่าวหยิบกล่องไม้ขีดออกมา ขูดกับขอบกล่องหนึ่งครั้งเพื่อสร้างแสงสว่าง
เอ็นโซไม่สนใจจะมองนานนัก แต่ทันใดนั้น ฉากหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในนิมิตลางสังหรณ์
ร่างดังกล่าวโยนไม้ขีดไฟออกมา ลักษณะคล้ายกับให้ของขวัญ และในวินาทีที่ไม้ขีดไฟลอยเข้าใกล้ เปลวไฟพลันขยายตัวอย่างท่วมท้น กลายเป็นชายในชุดสูททางการและหมวกสูง!
ได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยิน เรื่องเหล่านี้ถือเป็นกิจวัตรประจำวันของ ‘สัตว์ประหลาด’ เอ็นโซที่ปัจจุบันอยู่ในลำดับ ‘ผู้ชนะ’ มันเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองโดยปราศจากความลังเล กระโจนลงไปข้างหน้าตามแนวบันได กลิ้งสองสามหนจนกระทั่งถึงถนนด้านล่าง
ในเวลากัน ‘หุ่นเชิด’ อูฟเจ้าของผิวสีน้ำตาลลุกขึ้นยืนจากอาการเหม่อลอย บิดเอวพลางแกว่งแขน โยนไม้ขีดไฟในมือไปยังจุดที่เอ็นโซเคยยืน
ยังไม่ทันที่ไม้ขีดจะกระทบพื้น เปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นไปในอากาศอย่างท่วมท้น ทั้งงดงามและตระการตา
ท่ามกลางเปลวเพลิง ไคลน์ที่สวมชุดสูทสีดำและหมวกทรงกึ่งสูงกระโจนออกมา แต่กลับคาดสายตาจากเป้าหมาย
ราวสิบวินาทีก่อน ชายหนุ่มพบว่ามีคนกำลังเดินลงบันไดฝีเท้าค่อนข้างกระวนกระวาย คล้ายกับกำลังหนีมาจากบางสิ่ง มันจึงสงสัยว่านี่อาจเป็นหุ่นเชิดตัวใหม่ จึงรีบทำการ ‘ทำนายฝัน’ และได้คำตอบว่าอีกฝ่ายมีความเกี่ยวข้องกับโรงเรียนกุหลาบ ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
ด้วยคำตอบดังกล่าว ไคลน์ตัดสินใจลงมือโดยไม่ลังเล แต่น่าเสียดาย เนื่องจากเวลากระชั้นชิดเกินไป จึงมิได้แทรกแซงจิตสัมผัสของอีกฝ่ายด้วย ‘เทวทูตกระดาษ’ ที่บันทึกไว้ใน ‘ยุบพองหิวโหย’ ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นการคลาดสายตา
ทันใดนั้น หุ่นเชิดอูฟเดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ตามด้วยการวิ่งไล่ชกเอ็นโซที่กำลังลุกขึ้นยืน
เอ็นโซพลันใจเต้นแรง แต่มิได้ลนลาน เพียงฉากหลบด้านข้างเล็กน้อยพร้อมกับปล่อยให้การโจมตีธรรมดาพุ่งผ่านไป
ถัดมา มันชักปืนและรีบเล็ง ยิงกระสุนเข้าใส่หน้าอกของอูฟ
เลือดสาดกระเซ็นทันที หุ่นเชิดอูฟโงนเงนและล้มลง การหายใจอ่อนระทวยอย่างรวดเร็ว
ไคลน์ไม่ปล่อยให้โอกาสทองสั้นๆ หลุดมือ รีบหายตัวไปโผล่ต่อหน้าเป้าหมาย ปิดกั้นเส้นทางการหลบหนี
ทันใดนั้น เอ็นโซพลันเกิดลางสังหรณ์ประหลาดที่ยากจะอธิบาย จึงรีบหลับตาลงในสภาพปิดสนิท
มันไม่รู้ว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ แต่ในฐานะผู้วิเศษลำดับกลางของเส้นทาง ‘โชคชะตา’ มันเชื่อว่าสัญชาตญาณคือสิ่งที่ควรพึ่งพา!
ถัดมา เอ็นโซรีบเบือนหน้าไปทางอื่นในสภาพปิดตา ใช้สัมผัสวิญญาณแทนการมองเห็นและวิ่งหนีเข้าไปในถนนเส้นอื่น ทว่า บุรุษเจ้าของใบหน้าแสนธรรมดาที่สวมหมวกทรงสูงและชุดสูทสุภาพ โผล่ออกมาดักหน้ามันอีกครั้ง
ไม่ว่าจะตรงไป เลี้ยวซ้าย หรือเลี้ยวขวา ร่างของไคลน์จะโผล่ดักหน้าอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับกำลังวิ่งรอบเอ็นโซด้วยความเร็วสูง ปิดกั้นเส้นทางหนีล่วงหน้าหนึ่งก้าวโดยไม่โจมตีเข้าไปโดยตรง ส่งผลให้ไม่ว่าเอ็นโซจะหนีไปทางไหน จะใช้พลังพิเศษหรือไม่ ชายสวมชุดสูทสุภาพสีดำก็จะปรากฏตัวตรงหน้าเสมอ
ผ่านไปสักพัก ในสภาพหลับตา เอ็นโซเริ่มไตร่ตรองว่าศัตรูอาจมิได้มีเพียงหนึ่ง แต่มาเป็นกลุ่ม
‘นักท่องเที่ยว’ สามารถทำให้ศัตรูคิดว่าตัวเองถูกล้อมได้ด้วยตัวคนเดียว!
ผ่านไปราวสิบวินาที ความคิดของเอ็นโซที่สลัดเท่าไรก็ไม่หลุด พลันเฉื่อยชาลงกะทันหัน คล้ายกับจิตใจและข้อต่อถูกเชื่อมด้วยกาว
พลัง ‘ท่องเที่ยว’ กับ ‘นักเชิดหุ่น’ นั้นสอดประสานกันได้อย่างลงตัว ขณะที่ไคลน์หายตัวไปมา มันรักษาระยะห่างจากเอ็นโซไม่เกินกว่าสิบเมตรเสมอ! ขณะเดียวกันก็แอบเข้าควบคุม ‘ด้ายวิญญาณ’ ของอีกฝ่าย!
แย่ล่ะสิ… การที่อีกฝ่ายไม่โจมตีเข้ามา… เอาแต่ขวางทาง… ไม่ใช่เพราะ… กำลังรอ… เหยี่ยวราตรี… แต่… มีจุดประสงค์อื่น… ในสภาพปิดตา ความคิดเอ็นโซค่อยๆ เชื่องช้าลง ทันใดนั้น มันก้าวพลาดไปเหยียบหินจนร่างกายเสียสมดุลกะทันหัน ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง ส่งผลให้ปืนพกกระเด็นลอยไปไกลหลายเมตร
ตุ้บ!
ความเจ็บปวดและกระวนกระวายทำให้เอ็นโซหลุดพ้นจากสภาพเฉื่อยชา ได้รับความคล่องแคล่วกลับคืนมา
สำหรับอุบัติเหตุในทำนองนี้ เอ็นโซไม่ประหลาดใจสักเท่าไร เพราะในฐานะ ‘ผู้ชนะ’ มันมักเผชิญเหตุไม่คาดฝันที่เป็นประโยชน์กับตัวเองเสมอ และลงเอยด้วยการคว้าชัยชนะ
โดยไม่ลังเล มันรีบวิ่งตรงไปยังสุดเส้นถนนตรง เตรียมกระโดดข้ามราวกั้นลงไปในทะเล อาศัยโชคชะตานำพาให้รอดพ้นจากอันตราย ทันใดนั้น นิมิตลางสังหรณ์หนึ่งพลันผุดขึ้นในความคิด
ฉากดังกล่าว มันกำลังไออย่างรุนแรงจนมิอาจก้าวขา!
โรค! อีกฝ่ายมีพลังทำให้เราป่วย! การที่ไม่โจมตีเข้ามาและเอาแต่ขวางทาง ก็เพื่อต้อนให้เราวนเวียนอยู่ในแถบนี้และแอบแพร่เชื้อโรคเข้ามาในร่างกาย! เอ็นโซผงะเล็กน้อย ก่อนจะเกิดความโล่งอกเหนือพรรณนา
แหวน ‘ดอกไม้เขียว’ ที่มันกำลังสวม เป็นสิ่งที่ได้มาจากสาวกของดวงจันทร์บรรพกาล เมื่อเปิดใช้งานจะรักษาได้ทุกโรคและอาการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรงจนเกินไป!
นี่คือ ‘โชคเข้าข้าง’ ! เอ็นโซแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่ามีเชื้อโรคลอยอยู่ในอากาศ รีบใช้มือทั้งสองข้างยันตัวขึ้นและวิ่งไปตามทางที่คิดไว้ มุ่งหน้าไปยังรั้วกั้นที่สุดปลายถนน
วิ่งไปเพียงสองก้าว มันก็ไอกระแอมกะทันหัน ส่งผลให้ความเร็วลดลงโดยไม่ตั้งใจ
อาการไอไม่ยอมหายไปเหมือนทุกที มีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งกำลังสำรอกปอดออกจากลำคอ
ร่างของไคลน์ที่กำลังสวมหมวกทรงสูงและชุดสุภาพพลันสว่างวาบด้านหลังเป้าหมาย รักษาระยะห่างไว้ราวสิบเมตร
ทันใดนั้น เอ็นโซกางแขนออก ปลดปล่อยระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นให้พุ่งออกจากร่างกาย
ลักษณะเหมือนกับพายุพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ พุ่งกระจายไปยังร่างวิญญาณทั้งหมดรอบตัวพร้อมกับสร้างอาการวิงเวียนศีรษะ
ไคลน์เองก็มีนิมิตลางสังหรณ์ เมื่อเห็นเอ็นโซกางแขนออก ร่างของชายหนุ่มพลันอันตรธานหาย โผล่อีกครั้งบนบันไดสูงชัน
ในสภาพหลับตา เอ็นโซตระหนักว่าความพยายามของตนล้มเหลว จึงเลิกคิดเรื่องที่จะจัดการกับอีกฝ่ายก่อนหนีไป ตัดสินใจวิ่งต่อไปยังรั้วกั้น ณ สุดปลายถนน
มันกำลังมีลางสังหรณ์ว่า หากมัวเสียเวลานานกว่านี้ ‘เหยี่ยวราตรี’ จะไล่ตามมาทันและทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น
ในฐานะอดีต ‘ผู้โชคดี’ และในฐานะ ‘ผู้ชนะ’ ยิ่งมีความวุ่นวายมากเท่าใด โอกาสหลบหนีสำเร็จก็ยิ่งริบหรี่!
ขณะเดียวกัน เนื่องจากเปลี่ยนทิศทางหลบหนีหลายครั้งอย่างส่งเดช เอ็นโซเดินผ่านหุ่นเชิดอูฟซึ่งถูกยิงเข้าที่หน้าอกอีกครั้ง
นิ้วชี้ข้างซ้ายของอูฟกำลังสวมแหวนทองคำประดับทับทิม
ทุกครั้งที่แสงสีแดงเลือดกะพริบวิบวับ อาการบาดเจ็บที่หน้าอกอูฟค่อยๆ สมานตัวเข้าด้วยกัน ร่างทั้งร่างเด้งพรวดขึ้นกะทันหันพร้อมกับอ้าปากกว้าง รีบวิ่งปรี่เข้าหาเอ็นโซที่บังเอิญผ่านมา
ภายในปากของอูฟ ลิ้นที่แทบไม่หลงเหลือเค้าเดิม กลายสภาพเป็นราวกับเศษเนื้อและก้อนเลือด
แหวนบุปผาโลหิต!
แหวน ‘บุปผาโลหิต’ ที่อูฟสวมอยู่ ไคลน์ได้รับมันมาจากมิสเตอร์ X ผลข้างเคียงคือการสุ่มทำให้ผู้สวมใส่สูญเสียเหตุและผล กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่พึ่งพาเพียงสัญชาตญาณ แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้สวมใส่ควบคุมร่างกายในเชิงลึกได้ดีขึ้น ตราบเท่าที่ยังไม่ตายในทันที และไม่ถูกชำระล้างหรือปัดเป่าโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะบาดเจ็บเพียงใดก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างช้าๆ!
นอกจากนั้นยังช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถใช้งานเวทโลหิต เป็นสมบัติวิเศษที่เหมาะกับหุ่นเชิดอย่างมาก!
ย้อนกลับไปก่อนที่ไคลน์จะออกตามหาหุ่นเชิดตัวใหม่ เมื่อยังไม่ชัดเจนว่าเป้าหมายเป็นผู้วิเศษเส้นทางใด ลำดับที่เท่าไร มันจึงต้องเตรียมการรอบคอบ ให้อูฟสวมแหวนบุปผาโลหิตติดตัว จะได้ดูเหมือนเป็นการ ‘แสดง’ ที่มีตนเป็นตัวละครหลัก และหุ่นเชิดเป็นตัวละครรอง แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม
ในวินาทีที่เอ็นโซวิ่งผ่านจุดที่อูฟนอนนิ่ง มันเจ็บเข่ากะทันหัน น่าจะเกิดจากการล้มครั้งก่อน
เมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง เอ็นโซรีบหมอบลงพร้อมกับสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนพุ่งผ่านศีรษะมันไป เป็นการโจมตีที่พลาดเป้า!
การลอบจู่โจมของอูฟยังไม่สามารถจัดการกับ ‘ผู้ชนะ’ ได้!
ขณะเอ็นโซเตรียมยิ้มและเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง ภายในใจพลันสัมผัสถึงลางร้าย รีบขดตัวกะทันหันเพื่อปกปิดจุดตายของตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน ร่างของหุ่นเชิดอูฟพองขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะระเบิดอย่างไร้สุ้มเสียง
เศษเลือดเนื้อก่อตัวเป็นพายุทันที ปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่รอบๆ ตัวอูฟไปพร้อมกับสร้างความเสียหายแกเอ็นโซ
หนึ่งในการเตรียมตัวของไคลน์ก็คือ อาศัยพลังของยุบพองหิวโหยที่กลายพันธุ์ ฝัง ‘ระเบิดเลือดเนื้อ’ ลงในหุ่นเชิด!
กริ๊ง! แหวนทองฝังทับทิมตกลงบนพื้นถนน ร่างของไคลน์ค่อยๆ สว่างขึ้นข้างตัวเอ็นโซ
ชายหนุ่มยกฝ่ามือซ้าย เปลี่ยนให้ถุงมือกลายเป็นสีเข้ม ดูคล้ายกับกำลังก่อตัวจากอนุภาคขนาดเล็ก ตามด้วยการพ่นถ้อยคำที่อัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและเลวทราม
“เชื่องช้า!”
เนื่องจากดวงดี เอ็นโซจึงหลีกเลี่ยงความเสียหายส่วนใหญ่จากแรงระเบิด แต่ทันใดนั้น ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยของมันพลันชะงัก การเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มมุมปากค่อยๆ แปรเปลี่ยนทีละนิด
ถัดมา เอ็นโซลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บปวด ส่งผลให้ร่างของบุคคลหนึ่งสะท้อนบนกระจกตา – ชายสวมสูทสีดำสุภาพและหมวกทรงสูง
“อ๊า!”
เอ็นโซแหกปากตะโกนลั่น รีบยกมือทั้งสองข้างปิดตา
เลือดสีแดงไหลชุ่มออกจากหว่างนิ้วเอ็นโซ
สัตว์ประหลาด? ยืมมองที่เป้าหมายที่กำลังเจ็บปวดและมีสีหน้าบิดเบี้ยวสักพัก ไคลน์ขมวดคิ้วพลางควบคุมด้ายวิญญาณต่อ เพียงไม่นานก็สำเร็จการควบคุมขั้นต้น
สำหรับคราวนี้ ชายหนุ่มไม่ถูกขัดจังหวะด้วยความบังเอิญใดๆ อีก เอ็นโซซึ่งอยู่ในสภาพกึ่งเสียสติ เริ่มมีเกล็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามร่างกาย หมดสิทธิ์ดิ้นรนขัดขืนอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง ไคลน์เข้าควบคุมในเชิงลึกอย่างราบรื่น
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเอ็นโซลุกขึ้นยืน เกล็ดงูตามลำตัวเริ่มจางหาย
เอ็นโซวางมือบนหน้าอกพลางโค้งคำนับให้ไคลน์ จากนั้นก็เดินไปหยิบแหวนทองคำฝังทับทิม สวมไว้บนนิ้วชี้ซ้ายของตัวเอง เข้าคู่กับแหวนสีเขียวในมืออีกข้าง
ไคลน์ยับยั้งชั่งใจมิให้มองตัวเองผ่านสายตาหุ่นเชิด เพียงบังคับให้เอ็นโซจัดการกับเลือดเนื้อและร่องรอยในจุดเกิดเหตุ
จัดการทั้งหมดเสร็จ มันเดินเข้าไปในเงามืดข้างถนนพร้อมกับหุ่นเชิด อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ราชันเร้นลับ 910 : เส้นทาง “สัตว์ประหลาด”
ไม่กี่นาทีถัดมา ดาลีย์·ซิโมเน่และเลียวนาร์ด·มิเชลที่ตัดสินใจผิดพลาดอย่างต่อเนื่องระหว่างการสืบสวน ในที่สุดก็มาถึงขั้นบันไดสูงชัน
ทั้งสองค่อยๆ เดินทางลงทีละก้าวอย่างไม่รีบร้อน ตื่นตัวจากการโจมตีที่ไม่คาดฝันตลอดเวลา พร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ
ทว่า เมื่อเดินมาถึงด้านล่าง ทั้งสองกลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดเลย ไม่พบแม้แต่ร่องรอยหรือเบาะแสที่เป็นประโยชน์
ดาลีย์ตัดสินใจยกมือแนบหู ตั้งใจฟังเสียงของสายลม
ไม่กี่วินาทีถัดมา เธอมองไปรอบๆ และพูด
“มีการยิงกัน… อาวุธปืนตกลงบนพื้นตรงหัวมุมถนนด้านหน้า… ชายที่ชื่อเอ็นโซเสียชีวิตแล้ว…”
“ฝีมือใคร?” เลียวนาร์ดถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ในความคิดของมัน เนื่องจากเหยี่ยวราตรีประสบความโชคร้ายในการสืบสวนหลายครั้ง เอ็นโซจึงมีเวลาหลบหนีเหลือเฟือ ไม่น่าจะถูกโรงเรียนกุหลาบฆ่าปิดปากได้
เช่นนั้นแล้ว แล้วใครเป็นคนลงมือฆ่าผู้วิเศษที่น่าจะอยู่ในลำดับ 6 หรือไม่ก็ 5 รายนี้?
ต้องไม่ลืมว่า ปฏิบัติการของถุงมือแดงในคืนนี้มีการใช้สมบัติปิดผนึกเพื่อต่อต้านการทำนายล่วงหน้า จึงไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าพวกตนจะลงมือ ไม่ควรมีใครดักรอเอ็นโซที่อาจจะหนีมาในทิศทางนี้
ดาลีย์ส่ายหัว
“เด็กๆ พวกนั้นไม่เห็นว่าเป็นฝีมือของใคร น่าจะเป็นผู้วิเศษที่มีพลังต่อต้านการทำนายในระดับสูง… อาจเป็นศัตรูส่วนตัวของเอ็นโซที่บังเอิญคิดจะลงมือในคืนนี้พอดี”
หลังจากเสนอข้อสันนิษฐานของตัวเอง ดาลีย์และเลียวนาร์ดต่างแยกย้ายกันค้นหาในละแวกใกล้เคียง ดูว่าพอจะมีเบาะแสอย่างอื่นอีกหรือไม่
ฉวยโอกาสดังกล่าว เลียวนาร์ดเดินไปแถวๆ รั้วกั้นสุดเส้นถนน จากนั้นก็ลดเสียงลงและพูด
“ตาแก่ พบอะไรบ้างไหม?”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ ตอบกลับหลังจากผ่านไปสองสามวินาที
“เจ้าเองก็น่าจะได้ยินเสียงกรีดร้อง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการสืบสวน… เสียงดังกล่าวเป็นของเอ็นโซ คล้ายกับได้เห็นในสิ่งที่น่ากลัวและยากจะอธิบาย สิ่งที่สามารถก่อสร้างการกัดกร่อนทางร่างกายและจิตใจได้โดยตรง”
เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย รูม่านตาหดลีบ ทวนคำเสียงต่ำ
“สิ่งที่น่ากลัวและยากจะอธิบาย…”
…
ในห้องพักโรงแรม ไคลน์ ‘เทเลพอร์ต’ กลับมาพร้อมกับหุ่นเชิด ตัวใหม่
มันบังคับให้หุ่นเชิดยืนอยู่ด้านข้าง ส่วนตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้พลางถอนหายใจและจ้องสำรวจ
ผู้วิเศษเส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ … แต่ยังดีไม่เท่าเซนอล ซ่อนตัวบนผิวเหรียญทองไม่ได้ ต้องคอยเดินตามข้างๆ …
พิจารณาจากเส้นทางพลังพิเศษ มันคงไม่ใช่สมาชิกหลักของ โรงเรียนกุหลาบ แต่ลำดับกลับค่อนข้างสูง มีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งใหญ่โตในองค์กร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเราไม่ปลอมตัวให้มิดชิด คงง่ายที่จะตกเป็นเป้าการไล่ล่าจากโรงเรียนกุหลาบ…
แต่คิดในมุมกลับ เราสามารถใช้เจ้านี่เป็นเหยื่อล่อเพื่อจับ ‘วิญญาณอาฆาต’ มาทำหุ่นเชิดตัวใหม่ ถึงตอนนั้น เราจะปล่อยให้มันเดินคนเดียวโดยที่ร่างต้นซ่อนตัวอยู่ห่างออกไปสองร้อยเมตร รอให้เหยื่อเข้ามาติดเบ็ด…
ไม่สิ ไม่ดีแน่ อย่าปล่อยให้ความโลภครอบงำ ทวีปใต้เป็นแหล่งกบดานของโรงเรียนกุหลาบ หากเราเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองเมื่อใด ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ จะส่งคนมาไล่ล่า และคราวนี้อาจไม่ใช่แค่นักบุญ แต่เป็นเทวทูตทั้งหมดขององค์กร!
อา… คงต้องปลอมตัวให้หุ่นเชิดตัวนี้ไปก่อน… ในฐานะ ‘ผู้ไร้หน้า’ เทคนิคการปลอมตัวของเราค่อนข้างดี… ตอนนี้คงต้องใช้พลังพิเศษตามหาหุ่นเชิดตัวที่สอง รอจนกว่าเดนิสจะสืบสวนเกี่ยวกับไบลัมตะวันตกเสร็จ รอจนกว่ามิสเตอร์อะซิกจะแวะมาหาเรา…
ไคลน์รีบวางแผนอนาคต จากนั้นก็ใช้หลากหลายวิธีการเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับหุ่นเชิดตัวใหม่ของตน
ชื่อของโอสถคือ ‘ผู้ชนะ’ เป็นลำดับ 5 แห่งเส้นทางโชคชะตา!
จากบรรดาทุกโอสถทางผ่าน ‘สัตว์ประหลาด’ ลำดับ 9 จะมีสัมผัสวิญญาณรุนแรง มักจะได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน ได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น สามารถมองเห็นอนาคตเป็นครั้งคราว คล้ายกับนิมิตลางสังหรณ์ของตัวตลก
ผู้วิเศษในลำดับนี้มักจะตกอยู่ในอาการเหม่อลอยบ่อยครั้ง พึมพำถ้อยคำที่คนอื่นไม่เข้าใจ เป็นสาเหตุให้ถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาด
ลำดับ 8 มีชื่อว่า ‘เครื่องจักร’ ผู้วิเศษในลำดับนี้จะมีพลังการประมวลผลที่น่าทึ่งและการควบคุมที่แม่นยำ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพร่างกายจะถูกยกระดับอย่างมีนัยสำคัญ กลายเป็นผู้เก่งกาจในด้านการต่อสู้ ยิงปืน และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในทำนองเดียวกัน พวกมันยังเก่งกาจด้านการทำนายและต่อต้านการทำนาย
ลำดับ 7 มีชื่อว่า ‘ผู้โชคดี’ หรือ ‘คนดวงดี’ ผู้วิเศษลำดับนี้มักจะเผชิญโชคดีในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น การเก็บเงินหล่นได้ระหว่างทาง ศัตรูมักยิงพลาดเป้า ทอยลูกเต๋าได้เลขตามที่หวัง และชอบผู้หญิงที่ชอบตน เป็นต้น แต่พลังชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้ ความโชคดีจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและไม่ตายตัว บางครั้งรุนแรงมาก บางครั้งก็ไม่ต่างจากปรกติ จึงหวังพึ่งพาไม่ได้ ต้องคอยเตือนตัวเองก่อนจะลงมือทำอะไรเสมอ
ลำดับ 6 คือ ‘นักบวชวินาศ’ ในแง่หนึ่ง ผู้วิเศษลำดับนี้สามารถข้ามผ่าน ‘ความฉิบหาย’ ได้ดีกว่าคนอื่น เนื่องจากหยั่งรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองล่วงหน้า จึงเตรียมวิธีรับมือหรือวิธีบรรเทาความรุนแรงของเหตุการณ์ลง ในอีกแง่หนึ่ง พวกมันยังสามารถเป็นฝ่ายริเริ่มสร้าง ‘ความฉิบหาย’ แก่ศัตรู โดยตัวเองจะอาศัย ‘ความพิเศษ’ ในแง่ของโชคชะตาเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายส่วนใหญ่ จากนั้นอาศัยความโกลาหลเพื่อชิงลงมือจู่โจมศัตรู หรือกล่าวได้ว่า ‘นักบวชวินาศ’ สามารถดึงคู่ต่อสู้เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่พวกมันสามารถใช้จุดแข็งได้ดีที่สุด
แน่นอน นักบวชวินาศหลายๆ คนมักมีวิธีเบี่ยงเบนให้ความฉิบหายที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเล่นงานศัตรูโดยตรง
นอกจากนั้น นักบวชวินาศยังสามารถสร้าง ‘พายุวิญญาณ’ พวกมันจะอาศัยพลังวิญญาณที่เข้มแข็งกว่าคนอื่น สร้างอิทธิพลโดยตรงต่อร่างวิญญาณของศัตรู ส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะหรือเหม่อลอยไปพักหนึ่ง หากศัตรูของ ‘นักบวชวินาศ’ เข้าสู่สถานะหลัง เป็นเรื่องง่ายมากที่จะก่อความผิดพลาดขึ้น ปล่อยให้ความฉิบหายลุกลามจนกระทั่งกลืนกินตัวเอง
ลำดับ5 ‘ผู้ชนะ’ ผู้วิเศษลำดับนี้สามารถควบคุมโชคของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง สามารถใช้ความ ‘อดกลั้น’ เพื่อสะสม ‘โชค’ ไว้เป็นจำนวนมาก และใช้โชคเหล่านั้นข้ามผ่านสถานการณ์วิกฤติในรูปแบบต่างๆ ขณะเดียวกันก็มีโอกาสได้พบเจอเหตุการณ์ ‘บุญหล่นทับ’ ในอัตราที่ต่ำมาก ยกตัวอย่างเช่น การได้รับมรดกอย่างกะทันหันจากบุคคลที่ไม่คาดคิด ท่าเดินตลกๆ อาจดึงดูดให้เพศตรงข้ามหันมาสนใจ และการทำให้ศัตรูที่กำลังไล่ล่าเกิดหลงทางหรือตัดสินใจผิดๆ อย่างโง่เขลา
เมื่ออยู่ในลำดับนี้ สัมผัสวิญญาณของผู้วิเศษบนเส้นทาง ‘โชคชะตา’ จะถูกยกระดับจนแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำนายหรือต่อต้านการทำนาย พวกมันเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนั้นยังมีพลังในการทำให้ศัตรูได้รับโชคร้ายในระดับหนึ่ง เปลี่ยนดวงชะตาของเป้าหมายให้อับโชคกะทันหัน
ผู้วิเศษเส้นทางสัตว์ประหลาดจะสุดโต่งเกินไปแล้ว… นอกจากพลังวิญญาณอันท่วมท้นและโชคชะตาที่แข็งแกร่ง พวกมันแทบไม่มีพลังพิเศษในด้านใดเลย แม้แต่สมรรถภาพร่างกายและความสามารถในการคิดคำนวณจากลำดับ ‘เครื่องจักร’ ก็ยังพัฒนาขึ้นไม่มากในลำดับหลังๆ … นี่มัน ‘นักต้มตุ๋น’ ในอุดมคติของเรา ไม่ต้องมีพลังพิเศษสำหรับโจมตีหรือป้องกัน ต้องเอาชีวิตรอดด้วยสัญชาตญาณและโชคชะตา…
ว่ากันตามตรง เส้นทางสัตว์ประหลาดค่อนข้างพิเศษจากบรรดาทั้งหมดยี่สิบสองเส้นทาง… เราเดาไม่ออกเลยว่า เส้นทางใดใกล้เคียงกับเส้นทางสัตว์ประหลาด… หรือว่าเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตา จำเป็นต้องถูกทิ้งไว้ตามลำพังอย่างเลี่ยงไม่ได้? ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะผุดแนวคิดในการใช้หุ่นเชิดตัวใหม่
แน่นอน มันยังต้องทำนายบนมิติเหนือหมอกสีเทาเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่า พลังติดตัวอย่าง ‘โชค’ และ ‘ความฉิบหาย’ จะยังมีผลกับผู้วิเศษที่เสียชีวิตไปแล้วหรือไม่
หากยังมีผลอยู่ ไคลน์อาจต้องถูก ‘ความฉิบหาย’ ทดสอบเป็นครั้งคราว
เมื่อเทียบกันแล้ว หุ่นเชิด ‘พลเรือเอกโลหิต’ ดีกว่าหลายเท่า… เฮ้อ… มนุษย์จะเห็นคุณค่าที่แท้จริงก็ต่อเมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไป… ไคลน์จิกกัดตัวเองพลางส่ายหน้า เริ่มพิจารณาพลังพิเศษของเส้นทางสัตว์ประหลาด คิดหาวิธีต่อสู้กับเส้นทางนี้ในลำดับกลางถึงล่าง
วิธีแรกก็คือ หลอกให้พวกมัน ‘จ้อง’ ทีเผลอ และทันทีที่สัตว์ประหลาดมองเห็นสายหมอกสีเทาหรือภาพในทำนองเดียวกัน ดวงวิญญาณของพวกมันจะเจ็บปวดอย่างทุรนทุรายทันที มีแนวโน้มสูงที่จะคลุ้มคลั่งคาที่
วิธีที่สองก็คือ โยนวัตถุพิเศษไปหาอีกฝ่าย ทำให้ ‘สัตว์ประหลาด’ มองเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยิน โดยในกรณีของไคลน์ มันมีผลึกเลือดจากปีศาจระดับสูงที่สามารถสร้างอิทธิพลเดียวกับ ‘ออร่าของผู้ละเมอ’
วิธีที่สาม หลอกล่อให้อีกฝ่ายนำพาความโชคร้ายมาสู่ตน จากนั้นก็แสร้งทำเป็นโชคร้ายและมองหาโอกาสโต้กลับ โดยที่ในความเป็นจริง ตนจะไม่ได้รับอิทธิพลใดๆ จากโชคชะตา
ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์สั่งให้หุ่นเชิดล้วงกระเป๋าสตางค์พร้อมกับหยิบเงินจำนวนสามสิบห้าปอนด์ สิบซูล และเจ็ดเพนนีออกมา
ผิวของกระเป๋าสตางค์ถูกปักลวดลายดอกไม้พร้อมกับชื่อ ดูเหมือนจะเป็นงานฝีมือประเภทหนึ่ง
เอ็นโซ… ไม่ว่านี่จะเป็นชื่อของนายหรือไม่ นับแต่นี้ไป นายคือเอ็นโซ… ไคลน์ชำเลืองไปทางหุ่นเชิดที่อยู่ด้านข้าง ก้มลงหน้าลงและหยุดมองแหวนทองคำเลี่ยมมรกตที่มือขวา
หลังจากใช้พลัง ‘ทำนาย’ มันทราบทันทีว่าแหวนวงนี้ชื่อ ‘ดอกไม้เขียว’ คุณสมบัติไม่ซับซ้อน สามารถรักษาโรคและอาการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรงจนเกินไป
เนื่องจากพลังพิเศษมิได้เลิศหรู ผลกระทบด้านลบจึงมีไม่มาก แค่ดึงดูดยุงได้ดีกว่าปรกติ
โชคดีที่คนสวมไม่ใช่เรา… อา… ผู้วิเศษเส้นทางสัตว์ประหลาดมักไม่ค่อยพกพาสมบัติวิเศษ หรือต่อให้มี อย่างมากก็พกเพียงวัตถุระดับต่ำหนึ่งถึงสองชิ้น… นี่เป็นข้อกำหนดของโชคชะตา? ไคลน์นึกทบทวนด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองหุ่นเชิดเอ็นโซที่เอาแต่จ้องเข้าหากำแพง ภายในใจเกิดความ ‘อยาก’ กระทำบางสิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
มันต้องการมองตัวเองผ่านสายตาของหุ่นเชิดสัตว์ประหลาด เนื่องจากอยากทราบว่า อีกฝ่ายมองเห็นความพิเศษอะไรในตัวมันกันแน่!
จะอันตรายมากไหม… ถึงจะแค่มองตัวเอง แต่เราก็มีสิทธิ์คลุ้มคลั่งคาที่? ไม่สิ… มองโลกในแง่ร้ายเกินไป ย้อนกลับไปสมัยอยู่เมืองทิงเก็น ‘สัตว์ประหลาด’ อาเดมิทอร์เคยจ้องเราทั้งที่ยังไม่ได้เป็นลำดับ 9 ด้วยซ้ำ ผลลัพธ์มีเพียง เลือดไหลออกจากดวงตาและเผชิญความเจ็บปวดสักพัก
ถึงเราจะพัฒนาขึ้นจากตอนนั้นมาก แต่พิจารณาจากตอนที่ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเห็นเราเมื่อครู่ มันยังไม่คลุ้มคลั่งคาที่ แต่มีอาการคล้ายกับปฏิกิริยาตอนที่เราเห็นร่างสัตว์ในตำนานบางส่วนของ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทีย
ลองทำนายเหนือมิติหมอกสีเทา? นั่นคงไม่ได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหมอกโดยตรง ผลลัพธ์คงถูกแทรกแซง… ลองพึ่งพาพลังทำนายของตัวเองบนโลกความจริง? ไคลน์หยิบเหรียญทองด้วยสีหน้าครุ่นคิด ควงเหรียญเล่นให้กระโดดไปมาระหว่างนิ้ว
ผ่านไปสักพัก เหรียญทองถูกดีดขึ้นกลางอากาศและร่วงหล่น ตกลงบนฝ่ามือไคลน์
ราชันเร้นลับ 911 : ฉากประหลาด
ไคลน์ก้มมองฝ่ามือตัวเอง กระจกตาสะท้อนภาพของเหรียญทอง
เหรียญทองกำลังหงายพร้อมกับเผยให้เห็นใบหน้าราชา
คำตอบสอดคล้องกับประโยคทำนาย บอกเป็นนัยว่าไคลน์สามารถมองตัวเองผ่านสายตาหุ่นเชิดได้!
หลังจากได้รับคำตอบ ไคลน์ยังคงลังเล คิดว่าตนควรประกอบพิธีกรรมเพื่อนำหุ่นเชิดเอ็นโซเข้าไปในมิติเหนือสายหมอกดีไหม เพราะที่นั่นค่อนข้างปลอดภัย ช่วยบรรเทาความรุนแรงจากการกัดกร่อนทางร่างกายและจิตใจได้หลายส่วน
แต่มันสงสัยว่า การทำแบบนั้นอาจไม่เกิดประโยชน์ เพราะสิ่งที่ผู้วิเศษเส้นทาง ‘โชคชะตา’ สังเกตเห็นน่าจะเป็นภาพฉายของมิติลึกลับที่อยู่บนร่างกาย หากกระทำบนหมอกสีเทา เอกลักษณ์ดังกล่าวอาจหายไป เฉกเช่นการพยายามสำรวจรูปร่างของช้าง แต่ดันเข้าไปทำในตัวช้าง
นิ้วมือค่อยๆ หดกลับทีละนิ้ว ไคลน์กำเหรียญทองในมือโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ก่อนจะตัดสินใจได้
มันลุกพรวดขึ้น นำกริชเงินสำหรับพิธีกรรมออกมาสร้าง ‘กำแพงวิญญาณ’ เพื่อปกคลุมห้อง
นี่คือการป้องกันเสียงกรีดร้องและความผิดปรกติเล็กๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้!
ถัดมา ไคลน์ประกอบพิธีกรรมเพื่อโยน ‘ยุบพองหิวโหย’ เข้าไปในหมอกสีเทา
มันกลัวว่า ในตอนที่เกิดปัญหากับร่างกายตัวเอง ถุงมือจะฉวยโอกาสกลืนกินผู้สวม!!
นี่คือคุณสมบัติโดยธรรมชาติของยุบพองหิวโหย เมื่อมันยังไม่ได้กินอาหาร และไม่ได้กินมนุษย์วันละหนึ่งคนอย่างต่อเนื่อง มันจะกินผู้สวมใส่แทน และไคลน์มักปล่อยให้มันหิวมากกว่าให้อาหาร
หลังจากจัดระเบียบและเตรียมการอย่างแน่วแน่ ไคลน์เอื้อมมือไปหยิบแหวน ‘บุปผาโลหิต’ จากมือเอ็นโซและนำมาสวมที่มือซ้ายของตัวเอง
เป็นการรับประกันว่า แม้ตนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังสามารถครองสติควบคุมร่างกาย
ขณะเตรียมสวมใส่ ไคลน์ชะงักเล็กน้อยด้วยความลังเล หยุดอีกอยู่สักพักก่อนจะหยิบกระดาษกับปากกาและเขียนข้อความ
“ห้ามลืมถอดแหวน”
มันกังวลว่า หลังจากการทดลองสิ้นสุดลง ตนจะได้รับผลข้างเคียงจาก ‘บุปผาโลหิต’ จนทำให้สติปัญญาถดถอย ลืมถอดเจ้าสิ่งนี้ออก
เมื่อถึงตอนนั้น ทางรอดเดียวอาจเป็นการรอให้เจ้าหญิงแสนสวยมาจุมพิตเพื่อปลุก… ไม่สิ มาช่วยถอดแหวน… ไคลน์หัวเราะจิกกัดตัวเอง หายใจออกพร้อมกับถอดเสื้อนอก สวมแหวน
จากนั้น มันหันไปมองหุ่นเชิดตัวใหม่ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ
ความลังเลเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ตราบใดตัดสินใจหนักแน่นไปแล้ว ไคลน์จะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
หลังจากปรับอารมณ์เล็กน้อยด้วยการเข้าฌาน ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดค่อยๆ หมุนตัวกลับมามองร่างต้น
ในการมองเห็นของ ‘ผู้ชนะ’ ภาพแรกคือชั้นบางๆ ของหมอกสีขาวอมเทาที่กระจัดกระจาย
ท่ามกลางสายหมอกมีประตูแสงสว่างอันเจิดจ้าที่มีสีน้ำเงินเข้มเปื้อนจางๆ
ประตูแสงถูกสร้างจากลูกบอลแสงจำนวนนับไม่ถ้วน โดยที่ลูกบอลแสงแต่ละลูกกำลังโอบล้อมกระจุกหนอนแมลงที่ยุบพองตัวตลอดเวลา หนอนเหล่านั้นบ้างมีสีใส บ้างโปร่งแสง บนลำตัวมีลวดลายและสัญลักษณ์ซับซ้อนยากอธิบาย
ยังไม่ทันที่ไคลน์จะมีเวลาเพ่งมองรายละเอียด สมองพลันขาวโพลนก่อนจะหมดสติคาที่
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นด้วยภาวะความจำเสื่อมครู่หนึ่ง เกือบคิดไปตนนอนหลับตามปกติจนกระทั่งถึงเช้า
เกิดอะไรขึ้น? ข้างนอกยังมืดอยู่เลย… ไคลน์ใช้สองมือพยุงตัวนั่ง ส่งผลให้ตระหนักได้ว่า ตนกำลังนอนบนพื้น
ทันใดนั้น เมื่อเหลือบเห็นเอ็นโซจากหางตา ภาพและเสียงมากมายพลันปรากฏขึ้นภายในใจ
อา… เรากำลังศึกษาว่าเส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ มองเห็นอะไรจากเราในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น… ร่างกายของเรารับภาระเกิดขีดจำกัดจนเป็นลมหมดสติในพริบตา? เสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดนั่น… เป็นเสียงของเรา? ไคลน์ที่เริ่มฟื้นคืนความทรงจำ รีบตรวจสอบสภาพร่างกายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นบาดแผลชุ่มเลือดบนร่างกาย คล้ายกับจะมีบางสิ่งโผล่ออกมาจากข้างใน
ทันใดนั้น บนบาดแผลฉกรรจ์เหล่านี้ เลือดเนื้อบนผิวหนังเริ่มยุบพองและระเบียบใหม่อย่างรวดเร็วจนผิดปกติ
ไคลน์รีบก้มมองพื้นและพบว่าในจุดที่ตัวเองเคยนอน รอยเลือดถูกพิมพ์จนเป็นเค้าโครง
โชคดีที่เราสวมแหวนบุปผาโลหิต ไม่อย่างนั้นอาจเสียชีวิตน่าอนาถเนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์อันเกิดจากภาวะร่างกายถูกกัดกร่อนกะทันหัน… ไม่มีทางเดาได้เลยว่าความตายในครั้งนี้จะทำให้คืนชีพในร่างใด จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ประหลาด… ไคลน์ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก มองไปรอบตัวและพบว่าโต๊ะกับเก้าอี้อยู่ในสภาพพลิกคว่ำ แต่กำแพงวิญญาณยังไม่ถูกทำลาย
สถานการณ์ปัจจุบันทำให้มันเบาใจลงหลายส่วน ก่อนจะรีบตรวจสอบจนแน่ใจว่าความผิดปรกติไม่ลุกลามไปไกลกว่าร่างกายตัวเองและพื้นที่ใกล้เคียง
พิจารณาจากความเร็วในการฟื้นฟูบาดแผล ไคลน์เชื่อว่าตนหมดสติไปไม่เกินหนึ่งนาที
มันยกเก้าอี้มาวางและนั่งลง รู้สึกคล้ายกับหลงลืมบางสิ่ง แต่ยังนึกไม่ออก
จนกระทั่งสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น จึงหันไปเห็นข้อความที่เขียนว่า ‘อย่าลืมถอดแหวน’ ทันใดนั้น มันรีบถอดแหวนทองคำฝังทับทิมบนมือซ้ายออก
เมื่อความทรงจำทยอยกลับคืนมา ไคลน์ส่ายหน้าด้วยความกลัวเจือความขบขัน
ในบางครั้ง ดวงก็สำคัญไม่แพ้กัน… หากผลข้างเคียงด้านลบของแหวนบุปผาโลหิตสุ่มได้ค่าที่รุนแรงที่สุด เราอาจจะอ่านหนังไม่ออกไปตลอดชีวิต เนื่องจากไม่เข้าใจข้อความที่บอกให้ถอดแหวน…
เมื่อเห็นแผลตามตัวใกล้หายดี มันบังคับให้ ‘หุ่นเชิด’ เอ็นโซสวมแหวนบุปผาโลหิตกลับไป แต่ถอดแหวนดอกไม้เขียวออก
จัดการอย่างหลังเสร็จ ไคลน์ไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป สมาธิกลับไปสนใจภาพที่เห็นก่อนจะหมดสติ – ภาพที่ผู้วิเศษเส้นทางโชคชะตามองเห็นจากร่างกายตน
ประตูแสงที่เปื้อนสีน้ำเงินเข้มเล็กน้อย ลูกบอลแห่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วน หนอนโปร่งใสและโปร่งแสงยุบพองตัวเป็นกลุ่ม สัญลักษณ์และลวดลายที่ลึกลับและซับซ้อน คล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความรู้มากมาย แต่ไม่ช่วยให้ผู้ที่จ้องมองกระจ่างในสิ่งใด… ภาพเหล่านี้สื่อถึงสิ่งใด?
หรือจะเป็นร่างสัตว์ในตำนานที่สอดคล้องกับมิติลึกลับเหนือหมอกสีเทา? สัตว์ในตำนานของลำดับ 0… เทพแท้จริง?
เนื่องจากถูกม่านหมอกบดบัง จึงมีเพียงผู้วิเศษบนเส้นทาง ‘โชคชะตา’ เท่านั้นที่สามารถมองเห็น ส่งผลให้ได้รับการกัดกร่อนและแรงกระแทกอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ? แต่ในทำนองเดียวกัน เป็นเพราะมีสายหมอกคอยกลั่นกรอง ผู้วิเศษของเส้นทาง ‘โชคชะตา’ จึงไม่แตกสลายโดยสมบูรณ์เหมือนกับตอนที่จ้องมองเทพแท้จริงโดยตรง… แต่ข้อเสียคือจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ กลับมา?
ไคลน์ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยายามใช้พลังทำนายช่วยแปลความหมายเชิงสัญลักษณ์ของฉาก
ประตูแสงดูคล้ายกับสัญลักษณ์ด้านหลังเก้าอี้ ‘ผู้ฝึกหัด’ อาจหมายถึงมิสเตอร์ประตู…
ลูกบอลแสงที่เรียงซ้อนกันนับไม่ถ้วน… ดูเหมือนภาพที่เราใช้ในการเข้าฌาน และนั่นเกิดจากเทคนิคการทำสมาธิบนโลกเก่าที่เราลอกมาจากในนิยาย… จิตใต้สำนึกของเราได้รับผลกระทบ ส่งผลให้เลือกความทรงจำที่คล้ายกันออกมาแสดงแทน หรือว่า ‘ตัวเลือก’ ของเราส่งผลต่อฉากของมิติเหนือสายหมอกที่ทุกคนเห็น?
หนอนโปร่งใสที่ยุบพอง… สิ่งนี้ดูคล้ายกับกลุ่มก้อนหนอนแมลงบนบัลลังก์ยักษ์บนยอดหลักของเทือกเขาโฮนาซิส แต่มันต่างออกไปเล็กน้อย หรือจะเป็นเพราะอีกฝ่ายคือลำดับ 0 ‘เดอะฟูล’ แห่งเส้นทางนักทำนาย? แต่เรายังมองหนอนตัวที่โปร่งแสงไม่ชัด คงวิเคราะห์อะไรได้ยาก…
และนอกจากนั้น… สีน้ำเงินเข้มบนพื้นผิวประตู สิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงส่วนลึกของมิติลึกลับ จุดเรายังไม่สามารถปีนขึ้นไปถึง… ในตอนที่ยืนบนบันไดแสงขั้นสูงสุด เรามองเห็นเมฆครึ้มบนท้องฟ้า สีของมันคือน้ำเงินเข้ม…
หลังจากคิดอยู่นาน มิอาจหาคำตอบได้ด้วยข้อมูลในปัจจุบัน จำต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจชั่วคราว รอรวบรวมข้อมูลและเบาะแสเพิ่มเพื่อวิเคราะห์ในอนาคต
จัดการเก็บกวาดเสร็จ มันเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่มิติสายหมอก เตรียมตรวจสอบสภาพร่างกายของตนให้ละเอียดถี่ถ้วนเป็นครั้งสุดท้าย ขณะเดียวกันก็เพื่อยืนยันว่า หุ่นเชิดเอ็นโซยังมีพลังติดตัวประเภท ‘ดวงดี’ และ ‘ความฉิบหาย’ หลงเหลืออยู่หรือไม่
…
ณ บายัม ย่านชุมชนแออัด ภายในห้องทรุดโทรมที่ไม่ใหญ่โตจนเกินไป
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาที่กำลังนั่งหลังโต๊ะและมองไปทางประตู พลันได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะพิเศษ
“เข้ามา” เธอพูดโดยไม่ปิดบังเนื้อเสียง
ประตูไม้ส่งเสียงเสียดสีขณะเปิดออก ‘แฮงแมน’ ที่สวมเสื้อคลุมศีรษะสีดำเดินเข้ามา
เมื่อเห็นชุดคลุมของอีกฝ่าย แคทลียาดันแว่นตาหนาเตอะบนสันจมูกเข้าไปพลางยิ้มมุมปาก
“ถ้าคุณออกไปสภาพนี้ รับประกันได้เลยว่าไม่ถึงห้านาที คุณจะถูกรายล้อมด้วยคนของโบสถ์วายุสลาตัน”
เธอมิได้ปลอมตัว เนื่องจากทราบดีว่า หลังจากยอมให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ขึ้นเรือ ‘อนาคตกาล’ ข่าวลือดังกล่าวคงแพร่สะพัดไปทั่วท้องทะเลแล้ว และแฮงแมนคงเดาได้ไม่ยากว่า ‘เฮอร์มิท’ คือ ‘พลเรือเอกดาว’
อัลเจอร์ไม่ตอบสนองในทันที เลือกที่จะปิดประตูก่อน จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ออกมานั่งพลางกล่าวหน้านิ่ง
“คุณก็เหมือนกัน”
ความหมายของมันก็คือ จากบรรดาเจ็ดนายพลโจรสลัดทั้งหมด ‘พลเรือเอกดวงดาว’ เป็นถึงอันดับสองรองจาก ‘พลเรือเอกขุมนรก’ และต้องสงสัยว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างใกล้ชิด ย่อมตกเป็นการไล่ล่าของกองกำลังต่างๆ จำพวกโบสถ์วายุสลาตันและโบสถ์รัตติกาล ค่าหัวในปัจจุบันจึงสูงถึงสี่หมื่นห้าพันปอนด์แล้ว ไม่ว่าจะย่างกรายเข้าเมืองไหน ตราบใดที่ไม่ปลอมตัว นั่นหมายถึงการยอมให้ปัญหามากมายถาโถมเข้าใส่
แคทลียาผงกศีรษะเล็กน้อยพลางหันไปจ้องหน้าแฮงแมนที่ถูกเสื้อคลุมหัวบังไว้
“เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน การปลอมตัวคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์… แต่ช่างเถอะ ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณ”
เธอยังคงสวมแว่นต่อไป
บรรยากาศคุกคาม แถมยังมั่นใจมาก สมแล้วที่เป็นพลเรือเอกดวงดาว… อัลเจอร์ในสภาพสวมหน้ากากปกปิดใต้เสื้อคลุมอีกชั้น เลิกสนใจหัวข้อเกี่ยวกับการปลอมตัว รีบพูดเข้าประเด็นหลัก
“ขอบคุณที่ยอมช่วย”
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียานำมือขวาจับข้อศอกซ้าย
“ฉันยังคาใจ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของคุณ ผนวกกับทรัพยากรที่คุณมี ถึงแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฉัน แต่ก็น่าจะรับมือกับปัญหาของ ‘ช่างฝีมือ’ ได้ไม่ยากเย็น แล้วทำไมถึงยอมขอร้องให้ฉันมาช่วย?”
อัลเจอร์ที่เตรียมคำตอบไว้แล้ว กล่าวด้วยเสียงเรียบ
“ผมไม่ต้องการตกเป็นขี้ปากของคนอื่น”
คล้ายกับแคทลียาเข้าใจความนัยแฝง เธอไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบ
“ฉันต้องการข้อมูลเพิ่ม”
อัลเจอร์พยักหน้าแผ่วเบา
“จากการสังเกตและการคาดเดาของผม ‘ช่างฝีมือ’ คงถูกควบคุมตัวโดยสาวกดวงจันทร์บรรพกาล… น่าจะเป็นคนขององค์กรดั้งเดิมในทวีปใต้ ไม่ใช่ผู้ทรยศของโรงเรียนชีวิต”
สีหน้าของแคทลียายังไม่แปรเปลี่ยน ตอบหลังจากคิดสักพัก
“ทำไมถึงไม่ให้มิสเตอร์มูนช่วย เขาน่าจะสนใจเรื่องนี้”
อัลเจอร์ยกมุมปากเล็กน้อย ตอบเสียงเรียบ
“ถ้าพวกเราแก้ไม่ได้ บางทีอาจต้องพึ่งพาเขา”
ราชันเร้นลับ 912 : ต้นกำเนิดของ ‘ช่างฝีมือ’
แคทลียาเข้าใจความนัยของแฮงแมน หากปัญหาร้ายแรงเกินไป พวกตนสามารถบอกให้ ‘เดอะมูน’ ดึงเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดเข้ามาเอี่ยว ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้น ทั้งสองสามารถฉกฉวยโอกาสและสร้างผลประโยชน์ให้ฝ่ายตัวเอง
เธอยิ้มทันทีและกล่าวต่อ
“ถ้าหากสถานการณ์ร้ายแรงขนาดนั้น แค่ให้มิสเตอร์เวิร์ลช่วยก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือ? เรื่องราวจะดูง่ายลงทันที”
อัลเจอร์เงียบไปสองสามวินาที
“ผมต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสามารถในการสะสางปัญหาด้วยตัวเอง… นั่นคือตัวเลือกสุดท้าย”
ได้ยินคำตอบดังกล่าว ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาเริ่มเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน
แฮงแมนให้ความสำคัญกับทัศนคติของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์มาก… เพราะอีกฝ่ายคือข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล? นอกจากนั้น วิธีคิดของเขายังสอดคล้องเรื่องขบขันในแวดวงการเมืองที่ได้รับความนิยมในเบ็คลันด์ ทรีอาร์ และตามเมืองใหญ่อื่นๆ … หลังจากพบปัญหาหรือทำงานพลาด ท่าทีตอบสนองแรกคือการปกปิดปัญหาให้มิดชิด พยายามหาทางออกด้วยวิธีอื่น ไม่ปล่อยให้ ‘หัวหน้า’ หรือ ‘ผู้ตรวจสอบ’ รู้เข้า…
นั่นหมายความว่า แฮงแมนเคยหรืออาจกำลังอยู่ในองค์กรใหญ่ที่มีการจัดการเป็นระบบ อำนาจบริหารเป็นแบบขั้นบันได ส่งผลให้เคยชินกับระบบดังกล่าว… โบสถ์วายุสลาตัน? น่าจะไม่ใช่ นิสัยของเขาแตกต่างเกินไปที่จะแฝงตัวอยู่กับคนเหล่านั้น… กองเรือของราชาห้าห้วงสมุทร?
ท่ามกลางกระแสความคิด นายพลโจรสลัดหญิงผลักแว่นตาหนาเตอะของตนบนสันจมูก ชักนำหัวข้อสนทนากลับเข้าประเด็น
“มาคุยกันเรื่องของช่างฝีมือกันต่อ”
คล้ายกับอัลเจอร์เตรียมบทพูดไว้แล้ว มันพรั่งพรูออกมาโดยไม่ต้องหยุดอ่านหรือติดขัด น้ำเสียงสุขุมนุ่มนวลปราศจากอาการเร่งรีบ
“เนื่องจากไม่ต้องการให้ใครเข้าถึงช่างฝีมือ ครั้งหนึ่งผมเคยปกปิดตัวตนของเขาด้วยการจัดฉากให้เป็นบุคคลวงในของโบสถ์จักรกลไอน้ำ แต่น่าเสียดายที่หมอนั่นชื่นชอบไวน์ดังๆ เสพติดหญิงงามและความฟุ่มเฟือย ทำให้แอบรับงานจากผู้วิเศษนอกกฎหมายบ่อยครั้งเพื่อหาเงินมาปรนเปรอตัวเอง สุดท้ายก็ต้องทรยศโบสถ์จักรกลไอน้ำและซ่อนตัวอยู่ในบายัม… ในพักหลัง หมอนั่นเริ่มป่วยด้วยอาการประหลาดๆ และถูกเฝ้าจับตามองโดยใครบางคน แต่จากนั้นก็ถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสาวกดวงจันทร์บรรพกาล อีกฝ่ายอ้างว่าจะช่วยมอบชีวิตใหม่ให้”
แคทลียาฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาสีม่วงอ่อนหลังกระจกแว่นเผยให้เห็นถึงสมาธิ
รอจนกระทั่งแฮงแมนเล่าจบ เธอครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม
“ช่างฝีมือไม่เคยขาดแคลนของวิเศษ และอาชีพนี้ย่อมผสมผสานจุดเด่นและจุดด้อยของสมบัติวิเศษหลายๆ ชิ้นได้เก่งกาจกว่าใคร ฝีมือย่อมทัดเทียมกับผู้วิเศษลำดับ 5… แล้วสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลใช้วิธีการใดเพื่อควบคุมเขาโดยไม่ทำอันตรายกับร่างกาย? มีครึ่งเทพเข้ามาเกี่ยวข้องรึเปล่า?”
อัลเจอร์ส่ายศีรษะเชื่องช้า
“ตอนนี้ยังไม่มีเงื่อนงำในประเด็นดังกล่าว แต่จากการเฝ้าสังเกตของผม ช่างฝีมือค่อนข้างสมัครใจที่จะร่วมมือกับอีกฝ่าย… ผมสงสัยว่านอกจากคำข่มขู่ ทางนั้นอาจมีสิ่งล่อใจที่ช่างฝีมือแพ้ทาง”
อัลเจอร์ปฏิเสธอ้อมๆ ว่าเกี่ยวกับทฤษฎีที่มีครึ่งเทพเข้ามาเอี่ยว
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาพยักหน้ารับ
“แล้วสาวกดวงจันทร์บรรพกาลพบช่างฝีมือได้ยังไง? จากคำอธิบายของคุณ ช่างฝีมือคนนี้จะทำธุรกิจกับคนที่คุ้นเคยและเชื่อถือได้เท่านั้น ไม่ชอบการขยายช่องทางธุรกิจ อาจกล่าวได้ว่ามีความระมัดระวังสูงเป็นพิเศษ”
อัลเจอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่พอจะมีข้อสันนิษฐานอยู่… เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยช่วยมิสเตอร์เวิร์ลขายตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าให้ช่างฝีมือคนดังกล่าว โอสถมนุษย์หมาป่าเป็นของเส้นทาง ‘มนุษย์กลายพันธุ์’ ไม่ว่าจะสูตรโอสถหรือตะกอนพลังล้วนถูกผูกขาดโดยโรงเรียนกุหลาบอย่างเข้มงวด มีการเล็ดลอดออกมาเพียงจำนวนน้อย”
ในทำนองเดียวกัน บรรดาสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลจากทวีปใต้ส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นสมาชิกของโรงเรียนกุหลาบ… แคทลียาเสริมในใจ พอจะคาดเดาได้ว่าข้อสันนิษฐานของแฮงแมนเป็นอย่างไร
มันสงสัยว่าตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าอาจเป็นต้นตอของปัญหา ช่างฝีมือจึงตกเป็นเป้าหมายของโรงเรียนกุหลาบ!
และนั่นคงเป็นเหตุผลที่โรงเรียนกุหลาบสามารถผูกขาดสูตรโอสถและตะกอนพลังของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ได้อย่างรัดกุม
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาซักถามอีกสองสามคำ เมื่อรับได้คำตอบที่น่าพึงพอใจ เธอถามคำถามสุดท้าย
“ช่างฝีมือชื่อว่าอะไร เป็นคนของอาณาจักรไหน?”
“มาจากอินทิส เรียกตัวเองว่าชาฟฟ์” อัลเจอร์ตอบหน้านิ่ง
“ชาฟฟ์…” แคทลียาขมวดคิ้วเล็กๆ พลางทวนชื่อ ‘ช่างฝีมือ’ ด้วยเสียงต่ำ
มีอะไรผิดปรกติหรือไง? ได้เห็นเช่นนั้น อัลเจอร์ถามตรงๆ
“เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนหรือ?”
ตามความเห็นของ อัลเจอร์ พลเรือเอกดวงดาวคือผู้มากประสบการณ์ เบื้องหลังลึกลับและทรงพลัง และยังเป็นผู้วิเศษที่ควบคุมตัวเองได้ดี ถ้าไม่ต้องการพูดถึงชายที่ชื่อ ‘ชาฟฟ์’ จริง ก็ไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าฉงนพร้อมกับทวนชื่อซ้ำ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้อัลเจอร์กล้าถามออกไปตรงๆ
แคทลียาเงียบไปสักพัก
“บุตรชายคนโตของจักรพรรดิโรซายล์ชื่อชิเอล… ออกเสียงใกล้เคียงกับชื่อนี้มาก”
ไม่รอให้แฮงแมนกล่าวสิ่งใด เธอพึมพำกับตัวเอง
“ไม่นานหลังจากจักรพรรดิถูกลอบสังหาร องค์ชายเสียชีวิตจากความกลัวและวิตกกังวล ในภายหลัง ตระกูลเซารอนหวังจะแขวนคอและเนรเทศลูกหลานของเขา แต่โบสถ์จักรกลไอน้ำเลือกที่จะยอมรับพวกเขาในฐานะนักบวช”
อัลเจอร์พยักหน้ารับ
“คุณกำลังสงสัยว่าเขาคือทายาทของชายคนนั้น?”
ไม่ว่าจะอินทิสหรือฟุซัค อาณาจักรส่วนใหญ่ของทวีปเหนือมักนำชื่อบรรพบุรุษหรือชื่อที่คล้ายกันมาตั้งเป็นชื่อตัวเอง คล้ายกับเป็นตัวแทนของมรดกแห่งความรุ่งโรจน์ ดังนั้น ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่ก็ยิ่งได้เห็นใครหลายคนตั้งชื่อว่า ‘xxx ที่สอง’ หรือ ‘ที่สาม’
แน่นอน เป็นเรื่องปรกติอย่างมากที่มนุษย์จะมีชื่อซ้ำกัน แต่ในกรณีของช่างฝีมือชาฟฟ์นั้นมิได้ซ้ำแค่ชื่อ มันยังเคยเป็นคนของโบสถ์จักรกลไอน้ำ แถมมาจากอินทิส และเป็นถึงลำดับ ‘ช่างฝีมือ’
เมื่อได้ยินคำถามของแฮงแมน ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาพยักหน้าแผ่วเบา
“ถ้าได้ตัวอย่างเลือดของเขา ฉันสามารถยืนยันได้ทันที”
อัลเจอร์เข้าใจถึงเหตุผล จึงเปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น
“จะลงมือเลยไหม? ผมช่วยสนับสนุนได้”
ผิวกระจกแว่นตาแคทลียาสะท้อนแสงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง
“ยังก่อน ฉันวางแผนจะสังเกตรอบๆ อีกสักพัก… อย่างน้อยเราก็ต้องหาเหตุผลให้ได้ว่า สาวกของดวงจันทร์บรรพกาลควบคุมตัวช่างฝีมือที่ชื่อชาฟฟ์ไปทำไม… ถ้าพวกมันเพียงต้องการให้ช่างฝีมือสร้างสมบัติวิเศษ เรื่องราวก็จะง่ายและสะดวกสบายขึ้นมาก แต่ถ้ามีจุดประสงค์อื่น ปัญหาอาจซับซ้อนกว่าที่เราคิดไว้ จำเป็นต้องเตรียมการเพิ่มเติม”
สมเป็น พลเรือเอกดวงดาว… อัลเจอร์พยักหน้ารับ
“ผมไม่สามารถแช่อยู่ที่บายัมได้นานเกินไป ไม่อย่างนั้นอาจถูกสงสัย ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือจากผม คงต้องเร่งมือหน่อย”
หลังจากได้รับการยืนยันจากอีกฝ่าย แฮงแมนลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน ดึงเสื้อคลุมศีรษะขึ้นและออกจากห้อง
แคทลียาซึ่งได้ทราบแหล่งกบดานปัจจุบันของ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ ถอดแว่นหนาๆ ออกพลางขมวดคิ้ว ประมือหนึ่งครั้งและออกคำสั่ง
“ฮีธ เข้ามา”
ณ เงามืดตรงรอยแยกใต้กรอบประตู ความมืดเริ่มยุบพองตัวก่อนจะงอกขึ้นจากพื้น กลายเป็นบุคคลรูปร่างสูง ผิวขาวซีด
จมูกโด่งมาก ผิวหน้าเกือบโปร่งใสคล้ายกับคนป่วย ไม่ใช่ใครนอกจากผู้ช่วยกัปตันของอนาคตกาล ‘นักบวชกุหลาบ’ ฮีธ·ดอยล์
แคทลียามองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับพูดว่า
“เรื่องก็เป็นแบบนี้… ฝากจัดการบนเรือด้วย”
“ครับ กัปตัน” ฮีธ·ดอยล์หดกลับเข้าไปในเงามืดหลังจากขานรับสั้นๆ
แคทลียารีบยกมือขวาขึ้น ยกค้างไว้สองสามวินาทีก่อนจะกล่าว
“…อยู่ห่างจากแฟรงก์ไว้หน่อยก็ดี การทดลองเห็ดของเขาไม่คืบหน้ามาสักพักแล้ว ฉันกังวลว่าเขากำลังผุดแนวคิดแปลกๆ”
…
“ตำแหน่งปัจจุบันของหุ่นเชิดตัวที่สองของเรา”
ไคลน์ในสภาพถือกิ่งไม้สองกิ่งด้วยมือทั้งสองข้าง พยายามท่องประโยคทำนายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่พบว่าพวกมันขยับเขยื้อน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การทำนายล้มเหลว หรือไม่ก็ เมืองเครนไม่มีหุ่นเชิดตัวที่สองซึ่งเหมาะกับตน
ศาสตร์เร้นลับดูเหมือนจะไม่มีความคืบหน้าใหม่ๆ … สงสัยพรุ่งนี้คงต้องเก็บของและย้ายออก… ไคลน์พึมพำพลางโยนกิ่งไม้ลงถังขยะ
แม้หุ่นเชิดเอ็นโซที่ยืนอยู่ข้างๆ จะไม่กล้ามองหน้าเจ้านายตรงๆ ทำได้เพียงก้มมองดิน แต่ก็ยังชงชาดำอย่างชำนาญและยื่นให้ไคลน์
เมื่อเทียบกับแต่ก่อน สีผิวของ ‘ผู้ชนะ’ รายนี้แดงขึ้นจากเดิมมากด้วยฤทธิ์ของแสงแดด เรียกได้ว่าเกือบจะลอกออก ทิ้งไว้อีกสักพักจะกลายเป็นผิวคล้ำ
เพื่อแปลงโฉมให้หุ่นเชิดตัวใหม่ เพื่อไม่ให้คนของโรงเรียนกุหลาบจดจำได้ ไคลน์พาสุภาพบุรุษรายนี้ ‘ท่องเที่ยว’ ไปยังทะเลในเขตที่มีแสงแดดจ้าและให้ยืนตากแดดเป็นเวลานาน
ขณะเดียวกันก็บังคับให้หุ่นเชิดโกนขนตัวเอง เหลือไว้เพียงตอขนบางๆ นอกจากนั้นยังกันคิ้ว ทาแป้งบนใบหน้าให้เกิดเป็นเส้นแสงและเงา รวมถึงการสวมแว่นกันแดด เอ็นโซดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม้แต่เพื่อนที่สนิทสนมก็ยังยากจะมองออก เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะเป็นผู้ไร้หน้า
นอกจากจะปลอมตัวในความเป็นจริงแล้ว ไคลน์ยังคงใช้ศาสตร์เร้นลับเข้าช่วย วิธีแรกคือการใช้อ้อมกอดของเทวทูตกระดาษ วิธีที่สองคือการให้ถือนกหวีดทองแดงอะซิก
นอกจากนั้น ไคลน์ยังยืนยันว่าพลังติดตัวของ ‘ผู้ชนะ’ ที่เกี่ยวกับ ‘ดวงดี’ และ ‘ฉิบหาย’ นั้นมิได้แสดงผล แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอยู่ในสถานะหุ่นเชิด หรือเป็นเพราะอิทธิพลของหมอกสีเทา
จิบชาดำหนึ่งคำ ไคลน์ละสายตาจากแผนที่ไบลัมตะวันออกและตะวันตกที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟเบื้องหน้า ภายในใจวิเคราะห์ว่าตนจะหาหุ่นเชิดตัวที่สองได้จากที่ไหนบ้าง
ทันใดนั้น สีสันรอบตัวมันพลันคมเข้มกะทันหัน คล้ายกับถูกจิตรกรวาดฉากรอบๆ ใหม่ด้วยหมึก
จากนั้น บุคคลหนึ่งปรากฏกายข้างหุ่นเชิดเอ็นโซ อีกฝ่ายสวมหมวกผ้าไหม สวมสูทสีดำ ร่างกายสันทัดสมส่วน ผิวสีแทน ความตาลุ่มลึก ใบหน้าอ่อนโยน มีไฝเล็กๆ ใต้หูขวา ไม่ใช่ใครนอกจากอะซิก·อายเกส
ในที่สุดมิสเตอร์อะซิกก็มา… ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้น ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายปรากฏตัวข้างๆ หุ่นเชิด
ภาพอันขบขันพลันผุดขึ้นในใจของชายหนุ่ม:
มิสเตอร์อะซิกที่อาศัยนกหวีดทองแดงเพื่อระบุตำแหน่ง ยังคงทำเหมือนทุกครั้ง หลังจากเดินทางมาถึง ชายคนนั้นก็คว้าไหล่ผู้ที่ถือนกหวีดทองแดงและหายกลับเข้าไปในโลกวิญญาณ ส่วนไคลน์ทำได้แค่ยืนมอง พยายามเอื้อมมือออกไปหยุด แต่ก็ช้าไปครึ่งจังหวะ
เทียบกับครั้งก่อน อะซิกเงียบขรึมกว่าปรกติ มันจ้องไคลน์ที่กำลังสวมใบหน้าใหม่พลางกล่าว
“คุณพร้อมหรือยัง?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น