Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 905-906

 ราชันเร้นลับ 905 : จุดบอดทางความคิด

จากประสบการณ์ของไคลน์ในการชมภาพยนตร์หรืออนิเมชั่นนักสืบหลายเรื่อง มันเชื่อว่าคนที่คลุมหน้าด้วยผ้าพันคอ สวมเสื้อคลุมเพื่อปกปิดเค้าโครงร่างกาย ส่วนใหญ่มักเป็นตัวปัญหา หรือไม่ก็ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ โดยเฉพาะยามที่ไม่ใช่ฤดูหนาว เพราะอุณหภูมิในทะเลคลั่งนั้นห่างไกลจากความหนาวเย็นพอสมควร


แต่นั่นไม่มีผลอะไรกับเรา แม้จะมีคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายเกิดขึ้น แต่คนที่ปวดหัวคือกัปตัน… ไว้ค่อยทำนายยืนยันอีกครั้งเหนือมิติสายหมอก ตรวจสอบว่าการเดินทางครั้งนี้ราบรื่นหรือไม่… ไคลน์ไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็ไม่ได้เพิกเฉยเสียทีเดียว


จากนั้น มันถอนสายตากลับ จ้องปลาย่างเดซีย์ที่บริกรนำมา


กินมื้อเย็นเสร็จ มันเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง ทำนายเหนือหมอกสีเทาจนแน่ใจและพบว่า สภาพแวดล้อมจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก การเดินทางมีบทสรุปที่ค่อนข้างราบรื่น


และนั่นทำให้ไคลน์หลับอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้การเข้าฌาน นอนยาวไปจนกระทั่งรุ่งสาง


เสียงหวูด ‘วี๊’ ดังขึ้น เรือโดยสารเริ่มออกตัวด้วยความเร็วคงที่ แล่นออกจากท่าเรือฮาลมันน์อย่างไม่รีบร้อน


ขณะที่ยังมองเห็นท่าเรือได้อย่างเลือนราง ไคลน์พบคนผู้หนึ่งปรากฏตัวที่นั่น


บุคคลดังกล่าวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อนอกสีน้ำเงินเข้ม จมูกโด่ง เบ้าตาจมลึก ดวงตาสีฟ้าอ่อน ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย โครงหน้าชัดลึก คางเชิดเล็กน้อย สีหน้าประหนึ่งเกลียดชังทุกคน


มันชำเลืองไปมาสักพัก ก่อนจะจ้องมาทางเรือลำที่ไคลน์โดยสาร


ทันใดนั้น ท้องฟ้าพลันหม่นหมอง ดูคล้ายกับประตูที่จะนำไปสู่ดินแดนอันมืดมิดและมายา


พายุเฮอริเคนส่งเสียงดังหวีดมาจากส่วนลึกของทะเล คลื่นยักษ์สีครามยกตัวลอยสูง สายฟ้าสีเข้มเปรียบดังรอยแยกแห่งความว่างเปล่า คอยกะพริบวิบวับอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหายไป


ทัศนียภาพตรงหน้าปิดกั้นการมองเห็นของทุกสายตาบนเรือโดยสาร ประหนึ่งว่าโลกทั้งสองใบมิได้เกี่ยวข้องกัน


ทะเลคลั่งสำแดงอำนาจและความน่ากลัวอีกครั้ง


เรือโดยสารไม่มีทางเลือกมากนัก ทำได้แค่แล่นไปบนเส้นทางปลอดภัยซึ่งมีพายุที่อ่อนกำลังกว่า


บังเอิญอะไรขนาดนี้… หรือว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ? ไคลน์ที่ยืนริมกระจกหน้าต่างห้องโดยสาร ถอนหายใจกับตัวเองแผ่วเบา ปักใจเชื่อว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติทำให้ทะเลคลั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน


แม้สภาพอากาศในทะเลคลั่งจะเปลี่ยนแปลงกะทันหันจนเป็นเรื่องปรกติ แต่การเปลี่ยนแปลงในจังหวะเวลาเช่นนี้ย่อมชวนให้เกิดความสงสัย


สุภาพบุรุษที่ท่าเรือคนเมื่อครู่ กำลังไล่ตามผู้โดยสารที่น่าสงสัยคนเมื่อคืน? และเมื่อผู้โดยคนสารเห็นว่าตัวเองถูกเปิดเผย จึงทำการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ บังคับให้เรือโดยสารต้องแล่นออกไป? ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ เริ่มการคาดเดาบางสิ่งอย่างคลุมเครือ


และถ้าเป็นแบบนั้นจริง หมายความว่าผู้โดยสารที่น่าสงสัยคนเมื่อคืนที่ใช้ผ้าพันคอปิดหน้าปิดตา น่าจะเป็นครึ่งเทพหรือไม่ก็พกพาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 เป็นอย่างน้อย!


ต้องไม่ลืมว่า ด้วยความพลังและสมบัติวิเศษของไคลน์ในปัจจุบัน หากมิได้พึ่งพา ‘คทาเทพสมุทร’ คงไม่มีปัญญาจะเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับนี้


แน่นอน ไคลน์อาจมีวิธีอื่นให้ลองเสี่ยง นั่นคือการขว้างนกหวีดทองแดงอะซิกลงไปในทะเล รอดูว่าจะทำให้ ‘ทะเลคลั่ง’ คลั่งยิ่งกว่าเดิมได้หรือไม่


ให้ตายสิ… เราแค่อยากเดินทางไปทวีปใต้เหมือนเศรษฐีทั่วไป แล้วทำไมระหว่างทางถึงต้องเผชิญเหตุการณ์ครึ่งเทพไล่ล่ากัน… เฮ้อ… แรงกดดันที่เราได้รับ ไม่เหมาะสมกับลำดับของตัวเองเลยสักนิด… ไคลน์จิกกัดตัวเอง และในท้ายที่สุด มันเลือกจะเชื่อผลการทำนายเมื่อคืน


ท่ามกลางพายุ เรือโดยสารแล่นตามร่องน้ำสงบ ผ่านฉากอันน่าหวาดเสียวประหนึ่งวันโลกาวินาศ อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารบนเรือส่วนใหญ่ยังคงใจเย็น คล้ายกับปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้นานแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่ตัวสั่นเนื่องจากเพิ่งเผยเดินทางผ่านทะเลคลั่ง พยายามจับคว้าทุกสิ่งใกล้ตัวเพื่อเป็นหลักยึด


จนกระทั่งเวลาผ่านไป พายุและสายฟ้าเริ่มลดจำนวนลง ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย


ทันใดนั้น ไคลน์บนดาดฟ้าเรือพลันถูกกระตุ้นสัมผัสวิญญาณ รีบหันหน้าไปทางท่าเรือฮาลมันน์ตามจิตใต้สำนึก


เหนือผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มเป็นที่เป็นลอนคลื่น ใต้เมฆสีขาวที่กระจัดกระจายอย่างเบาบาง เปลวไฟสีขาวกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ แหวกอากาศและทุกสรรพสิ่งด้วยความเร็วสูง


เปลวไฟดังกล่าวขยายขนาดอย่างต่อเนื่อง เริ่มชัดเจนขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ – หอกเพลิงเล่มยักษ์!


หอกเพลิงร่อนลงบนดาดฟ้าเรือหัวเรือ แต่กลับมิได้เกิดประกายไฟลุกลาม หลังจากแผดเผาแผ่นไม้ไปเพียงครึ่งแผ่น เปลวไฟเริ่มกระจายตัวพร้อมกับจัดระเบียบเป็นร่างใหม่


ร่างดังกล่าวมีจมูกโด่ง เบ้าตาจมลึก และดวงตาสีฟ้า เป็นชายคนเดียวกับที่ปรากฏตัวบนท่าเรือก่อนจะออกเดินทาง!


ชายที่ดูคล้ายกับอยู่ในวัยกลางคน มองไปรอบๆ อย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะเดินผ่านผู้โดยสารที่กำลังดวงตาเบิกโพลงและอ้าปากค้างเข้าไปในเขตห้องโดยสาร


ดอน·ดันเตสซึ่งยังคง ‘ตะลึง’ ถอนหายใจแผ่วด้วยความโล่งอก เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาหาตน


เป็นการปรากฏตัวที่เท่ฉิบหาย สมแล้วที่เป็นครึ่งเทพ… ปัญหาเดียวในตอนนี้ก็คือ หวังว่าทั้งสองคนจะไม่ทะเลาะวิวาทกัน แม้ว่าความขัดแย้งจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ช่วยไปทำกันที่ทะเลข้างๆ ได้ไหม ไม่อย่างนั้น เรือลำนี้คงมิอาจทนรับแรงกระแทก… เราสามารถ ‘ท่องเที่ยว’ หนีออกไปได้อย่างราบรื่นก็จริง แต่เรือลำนี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เราช่วยได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น… ไคลน์วาดดวงจันทร์สีแดงบนหน้าอกตามความเคยชิน สวดวิงวอนถึงเทพธิดา


ขณะเกิดความคิดดังกล่าว มันเห็นร่างหนึ่งลอยออกจากห้องโดยสาร ล้มกระแทกลงบนดาดฟ้าเสียงดัง ไม่ใช่ใครนอกจากนักท่องเที่ยวที่น่าสงสัย ผู้ใช้ผ้าพันคอคลุมหน้า


ปัจจุบัน สุภาพบุรุษรายดังกล่าวเปิดเผยใบหน้าไปแล้วกว่าครึ่ง ปลายจมูกมีรอยแดง เคราหนารอบปากมีฟองน้ำลายเกาะติด


ดวงตาที่เกือบจะเป็นทรงสามเหลี่ยมของมันอัดแน่นไปด้วยความหวาดผวา รีบวางมือบนดาดฟ้า ผลักร่างกายขยับไปด้านหลัง


“ใครเป็นคนบอกให้แกพกสิ่งนั้นและปลอมตัวมาขึ้นเรือ?” หน้าประตูเขตห้องโดยสาร ชายวัยกลางคนเจ้ามองจมูกโด่งและดวงตาสีฟ้าเดินออกมาอย่างเชื่องช้า ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสำเนียงอินทิส


ผู้โดยสารที่ทำตัวน่าสงสัยรีบส่ายหัว


“ฉ…ฉันไม่รู้! อีกฝ่ายแต่งตัวแบบเดียวกัน… ข…เขาให้เงินมาหนึ่งร้อยปอนด์และบอกว่า ให้ฉันลงเรือลำนี้ไปยังทวีปใต้ จากนั้นก็เดินทางกลับมาเอง!”


ชายวัยกลางคนเฝ้ามองอย่างเงียบงัน สายตาทะลุทะลวงราวกับจะทิ่มเข้าไปในดวงวิญญาณของเป้าหมาย


ฉากตรงหน้าทำให้ผู้โดยสารน่าสงสัยเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ร่างกายสั่นระริกรุนแรง พูดติดตะกุกตะกักซ้ำอีกครั้งเพื่ออธิบาย แต่เนื้อหาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


ชายคนดังกล่าวถอนสายตากลับ ทันใดนั้น เปลวไฟพลันลุกโชนขึ้นปกคลุมร่างกาย


ถัดมา มันกลายร่างเป็นหอกเพลิงขนาดใหญ่ พุ่งตรงไปยังทิศทางของท่าเรือฮาลมันน์


หอกไฟเล่มดังกล่าวพุ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานก็เหลือเพียงจุดแสงเล็กๆ


หากไม่นับในช่วงแรก ระหว่างเริ่มลงมือจนกระทั่งกลับไป ครึ่งเทพรายนี้ไม่มองหน้าผู้โดยสารรอบๆ แม้แต่ครั้งเดียว ราวกับพวกมันไม่มีตัวตนอยู่จริง


กลลวงง่ายๆ แต่ได้ผล… ให้คนปลอมตัวมาขึ้นเรือแทนตัวเอง จากนั้นก็ใช้พลังบางอย่างเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ สร้างหลักฐานว่าตัวเองอยู่บนเรือ แต่ความจริงแล้วกำลังซ่อนตัวอยู่ในท่าเรือ รอจนกว่าศัตรูจะขึ้นเรือไล่ตาม จึงค่อยหาทางออกทางอื่น… ไคลน์สรุปเรื่องราว


สิ่งนี้ทำให้มันเกิดคำถาม ผู้ถูกไล่ล่าน่าจะเคยเป็น ‘นักวางแผน’ หรือ ‘นักมายากล’ หรือผู้วิเศษเส้นทางอื่นที่เก่งกาจด้านการใช้เล่ห์เหลี่ยม


สำหรับชายที่เพิ่งกลายร่างเป็นหอกไฟ เมื่อพิจารณาจากเปลวเพลิงสีขาวที่ลุกโชน พิจารณาพฤติกรรมหยิ่งผยอง การวางตัวที่น่ารังเกียจ การพูดสำเนียงอินทิส และปัจจัยด้านอื่น ไคลน์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะเป็นครึ่งเทพของเส้นทาง ‘นักล่า’ และอาจอยู่ในลำดับ ‘อัศวินเลือดเหล็ก’


แต่เราไม่รู้ว่าขัดแย้งกันด้วยเหตุผลอะไร… ไคลน์ส่ายหน้า เดินกลับไปยังห้องโดยสาร


และด้านบนดาดฟ้า บรรดาผู้โดยสารเริ่มได้สติกลับมา ต่างคนต่างกระซิบกระซาบเพื่อหารือเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ได้เห็นเมื่อครู่:


มนุษย์สามารถแปลงร่างเป็นเปลวไฟ และเปลวไฟสามารถเปลี่ยนกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง!


ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย เรือโดยสารแล่นต่อไปตามร่องน้ำปลอดภัยโดยปราศจากอุบัติเหตุระหว่างทาง เข้าจอดในท่าเรือแห่งหนึ่งช่วงเย็น


ไคลน์ไม่ได้ขึ้นฝั่งเหมือนเดิม กังวลว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นอีก


มันหยิบนาฬิกาพกสีทอง กดเปิดฝาและตรวจสอบ เพื่อวางแผนว่าควรไปที่ร้านอาหารตอนไหน


รออีกครึ่งชั่วโมง… ไคลน์พึมพำกับตัวเองเงียบงัน เงยหน้าขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่าง


ขณะเดียวกัน ผู้โดยสารจำนวนหนึ่งที่มีกำหนดลงที่ท่าเรือปัจจุบัน เริ่มถือกระเป๋าเดินทาง ทยอยเดินลงไปจนกระทั่งถึงท่าเรือ


เหลียวซ้ายแลขวา สายตาของไคลน์ก็หยุดลงที่บุคคลหนึ่ง


บุคคลดังกล่าวสวมหมวกอ่อนสีดำ จอนสีทองเข้ม ดั้งโด่ง ริมฝีปากเม้มแน่น โครงหน้าชัดลึก ประหนึ่งประติมากรรมโบราณ ปราศจากริ้วรอยบนใบหน้า


ชายคนนี้ไม่ได้แบกกระเป๋า เดินปะปนไปกับฝูงชนลงท่าเรือก่อนจะหายไปจากมุมถนน


ไคลน์จ้องมองโดยไม่ขยับตัว ประหนึ่งร่างกายนี้ไม่ใช่ของตน


มันรู้สึกว่าเลือดของตัวเองเย็นลงกะทันหัน ชื่อหนึ่งผุดเข้ามาในสมองทันที


อินซ์·แซงวีลล์!



โคมไฟถนนที่ท่าเรือกำลังเปิดอยู่ หน้าต่างของห้องพักบนเรือเองก็เริ่มส่องแสงไม่ต่างกัน


แต่ห้องพักเฟิร์สคลาสของดอน·ดันเตสยังคงมืดและเงียบสงัด


ไคลน์กำลังนั่งอย่างไร้อารมณ์ ความคิดมากมายแล่นเข้ามาสมองอย่างมิอาจควบคุม


นับตั้งแต่เหตุการณ์มหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ นี่คือครั้งแรกที่เราได้พบอินซ์·แซงวีลล์…


ครึ่งเทพคนนั้น… เป้าหมายคงเป็นอินซ์·แซงวีลล์…


แผนของมันลึกล้ำกว่าที่เราคิด… มันจ้างให้คนปลอมตัวขึ้นเรือเพื่อสลัดให้หลุดจากการติดตาม แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างจุดบอดทางจิตวิทยา ทำให้คนที่ตามล่ามองข้ามเรือลำนี้จากจิตใต้สำนึก คิดว่าตัวเองหลงกลอีกฝ่าย…


แต่ในความเป็นจริง มันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น…


การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโดยบังเอิญเมื่อครั้งนั้น… น่าจะเป็นฝีมือของอินซ์·แซงวีลล์ที่ใช้ ‘0-08’


แล้วทำไมถึงถูกไล่ล่าโดย ‘นักล่า’ จากอินทิส… มันกำลังวางแผนอะไร?


ท่ามกลางความคิดที่ล่องลอย ไคลน์หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาถือ โน้มตัวใช้ปากจ่อและออกแรงเป่า


โดยไม่มีสุ้มเสียง ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ มิสผู้ส่งสารที่ถือหัวทองตาแดงสี่หัว ปรากฏตัวจากความว่างเปล่า


ไคลน์อ้าปาก ก่อนจะปิดลงอีกครั้ง รีบนำกระดาษและปากกาออกมาเขียน


มิสเตอร์ดอน·ดันเตสพบเบาะแสของอินซ์·แซงวีลล์บนเกาะแห่งหนึ่งในขอบเขตทะเลคลั่ง”


พับกระดาษจดหมายเสร็จ ไคลน์มอบเหรียญทองหนึ่งเหรียญให้มิสผู้ส่งสาร


“ส่งไปที่ตู้จดหมายของบ้านที่ 7 ถนนพินสเตอร์ เขตเหนือของเบ็คลันด์”


ศีรษะทั้งสี่ในมือทั้งสองข้างของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ หันมาอย่างพร้อมเพรียง ตาทั้งแปดจ้องหน้าไคลน์


เธอไม่กล่าวคำใด เพียงกัดกระดาษจดหมายและเหรียญทอง


ราชันเร้นลับ 906 : คำเตือนของเลียวนาร์ด

เบ็คลันด์ เขตเหนือ


ในยามค่ำคืน พระจันทร์สีแดงถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ บรรยากาศค่อนข้างสลัว มีเพียงโคมไฟริมถนนทั้งสองข้างทางเท่านั้นที่คอยมองแสงสว่างเจือจาง ช่วยให้มองเห็นถนนและทางเข้าบ้าน


กล่องจดหมายของบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ถูกวางไว้อย่างเงียบงันตรงจุดตัดของแสงสว่างและความมืด อาบสายลมเย็นที่พัดผ่านจากด้านข้าง


ทันใดนั้น หนังสือพิมพ์ ใบเรียกเก็บเงิน และจดหมายจากแหล่งที่ไม่รู้จักพลันพรั่งพรูออกจากปากกล่อง


พวกมันดูคล้ายกับถูกจับด้วยมือที่มองไม่เห็น ลอยตรงไปทางประตู สอดเข้าไปในช่องว่าง


ภายในบ้าน ในห้องโถง หนังสือพิมพ์คลี่ออกด้วยตัวเอง พลิกหน้าอย่างรวดเร็วจนถึงแผ่นสุดท้าย จากนั้น ทั้งหมดหล่นลงบนเก้าอี้ ซ้อนทับกับหนังสือพิมพ์ฉบับก่อนๆ


ใบเรียกเก็บเงินและจดหมายยังคงลอยอยู่กลางบ้าน ตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่น รายแรกหยุดลงอย่างรวดเร็ว เขย่าตัวเองสองสามครั้ง ก่อนจะร่อนลงไปบนโต๊ะกาแฟพร้อมกับจัดเรียงตัวเองอย่างเป็นระเบียบ สำหรับรายหลัง จดหมายฉบับใดที่ไม่มีซองจะคลี่ออกด้วยตัวเองกลางอากาศ


ผ่านไปสักพัก จดหมายบางส่วนลอยไปยังชั้นวางของในห้องอ่านหนังสือของที่ชั้นหนึ่ง บางส่วนลอยไปทางกรรไกรและแกะซองด้วยตัวเอง คลี่ตัวเองกลางอากาศค้างไว้สักพัก จากนั้นก็ทยอยลอยเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งตัวเองลงชักโครก


ครืด!


ปุ่มกลไกของโถส้วมกดตัวเอง เศษกระดาษจมลงไปในท่อน้ำทิ้ง


บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์กลับสู่สภาวะปกติ เงียบสงบเช่นเดียวกับบ้านหลังอื่นๆ ที่ไม่มีใครอยู่


ณ ทวีปใต้ ไบลัมตะวันออก เมืองเครน


เลียวนาร์ด·มิเชลที่เพิ่งมาถึง กำลังพักผ่อนอยู่ในบ้านพักที่ทางโบสถ์รัตติกาลท้องถิ่นเตรียมไว้ให้


ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นในหัว


“เจ้าหนู มีจดหมายสำคัญ”


“จดหมาย?” เลียวนาร์ดถามเสียงต่ำ ภายในใจเริ่มคาดเดา


คนที่จะส่งจดหมายสำคัญไปยังบานเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์โดยสนใจว่าจะมีคนอยู่ที่บ้านหรือไม่ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สิ สองคน


ไคลน์·โมเร็ตติและดอน·ดันเตส!


สำหรับเหตุผลที่ชายชราเจ้าของชื่อพาลีส·โซโรอาสเตอร์ไม่ได้รับอิทธิพลจากทะเลคลั่ง สามารถส่งพลังข้ามไปยังทวีปเหนือและอ่านเนื้อหาของจดหมายได้อย่างชัดเจน เลียวนาร์ดพอจะคาดเดาเหตุผลได้หนึ่งถึงสองข้อ เพราะมันเคยช่วยอีกฝ่ายจับผีในบ้าน


ข้อสันนิษฐานของมันก็คือ


ชายชราคงแบ่งหนอนแห่งกาลเวลาออกไปสิงร่างผีตนนั้นในฐานะปรสิต คอยทำหน้าที่เป็นตา หู และปาก ขณะที่เดินทางมายังทวีปเหนือ


พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบคำถาม


“จดหมายจากไคลน์โมเร็ตติ มันกล่าวว่า ขณะดอน·ดันเตสกำลังเดินทางลงไปยังทวีปใต้ ร่องรอยของอินซ์·แซงวีลล์ถูกพบบนเกาะระหว่างทางในทะเลคลั่ง”


เลียวนาร์ดเงียบงันสักพัก อ้าปากเล็กน้อย แต่มิอาจกล่าวสิ่งใด


ผ่านไปเป็นเวลานาน มันกระซิบด้วยเสียงค่อนข้างแหบ


“อย่างที่คิด… มันยังไม่ลืมการแก้แค้น… ในสถานการณ์แบบนี้ ผมพอจะทำอะไรได้บ้าง?”


“เจ้าจะทำอะไรได้บ้าง? เจ้าอยู่ในลำดับ 6 ต่อให้อินซ์·แซงวิลล์ จะควบคุม 0-08 ได้ไม่ชำนาญ แต่เจ้าก็หมดสิทธิ์ล้างแค้นโดยสิ้นเชิง เพียงแค่อีกฝ่ายเผยร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ ก็มากพอจะทำให้เจ้าคลุ้มคลั่งในทันที หรือไม่ก็กลายเป็นคนเสียสติ โอกาสแก้แค้นสำเร็จอยู่ที่ศูนย์! สิ่งนี้เรียกว่าเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพของผู้วิเศษระดับครึ่งเทพ” พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างขึงขัง


มันเว้นวรรค หัวเราะในลำคอและพูดต่อ


“ถือว่าเจ้าทำได้ดี รู้จักเจียมตัวกว่าเมื่อก่อน หากเป็นสมัยอดีต เจ้าคงจะพูดว่า ผมจะรายงานเบาะแสของอินซ์·แซงวีลล์ให้ศาสนจักรทราบและเข้าร่วมทีมไล่ล่า แต่ปัจจุบัน เจ้ารู้จักประมาณตนและปรึกษาก่อน”


เลียวนาร์ดพยายามโต้แย้งในใจหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เงียบ


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เล่าต่อ


“สิ่งที่เจ้าทำได้ในตอนนี้ก็คือ บอกข้อมูลที่จำเป็นกับไคลน์·โมเร็ตติ รอให้มันตอบกลับ จากนั้นก็รอสนับสนุนตามคำแนะนำของอีกฝ่าย”


“หมายความว่า ผมห้ามหาข้ออ้างเพื่อแจ้งให้ศาสนจักรทราบว่าอินซ์·แซงวีลล์อยู่ที่ไหน?” เลียวนาร์ดถามเสียงแผ่วเจือความประหลาดใจ


พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะในลำคอ


“ไม่ต้องกังวล รอให้ถึงช่วงเวลาสำคัญ ค่อยทำแบบนั้น… แม้ว่า 0-08 จะชอบฆ่าเจ้าของ แต่มันก็ไม่อยากกลับไปถูกปิดผนึก หากเจ้าแจ้งเบาะแสกับศาสนจักรและวางแผนไล่ล่า อินซ์·แซงวีลล์จะไหวตัวทันล่วงหน้าและหลบหนีไป… สำหรับตอนนี้ เจ้าต้องเตือนไคลน์·โมเร็ตติ”


เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย ก่อนจะถาม


“ตาแก่… ดูเหมือนคุณจะรู้จัก 0-08 เป็นอย่างดี”


อีกฝ่ายไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังมาก่อน!


พาลีสหัวเราะด้วยน้ำเสียงค่อนข้างชรา


“แน่นอนว่าข้าคุ้นเคย เพราะในช่วงยุคสมัยที่สี่ 0-08 เคยทำให้เทวทูตต้องร่วงหล่นมาแล้ว… ข้าเล่าให้เจ้าฟังมากไม่ได้ เพราะถ้าเข้ารู้จักมันมาก มันก็จะรู้จักเจ้ามากเช่นกัน และนั่นจะทำให้เจ้ามีโอกาสกลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่มันเขียน”


ได้ยินเรื่องเล่าอันคลุมเครือของชายชรา เลียวนาร์ดเริ่มหวาดกลัวในตัว 0-08 สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้myh’ ลึกลับและพิศวงเกินกว่าความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับของมัน!


ครุ่นคิดสักพัก เลียวนาร์ดถามตามความเคยชิน


“แล้วผมจะเตือนไคลน์โมเร็ตติโดยที่ไม่ให้ 0-08 รู้ตัวได้ยังไง? หรือต่อให้รู้ แต่ก็เป็นการรู้แบบผิวเผิน และผมจะเป็นแค่ตัวประกอบของเรื่องราว”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง เลียวนาร์ดกำหมัดแน่นพร้อมกับขบกราม จากนั้น โดยไม่ต้องรอให้ชายชราตอบ มันพูดกับตัวเอง


“การบอกใบ้ทางอ้อม? ก่อนอื่น ผมจะบอกมันว่า ผมจะยังไม่รายงานเบาะแสของอินซ์·แซงวีลล์ให้ศาสนจักรทราบ… จากตรงนี้ มันน่าจะเข้าใจว่ามีบางสิ่งไม่ปรกติ และการทำแบบนั้นจะสร้างปัญหา เข้าใจว่าพวกเราต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก และถึงแม้มันจะมองไม่เห็นคำใบ้ แต่องค์กรลับของมันยังมีสมาชิกที่รู้เรื่องเกี่ยวกับยุคสมัยที่สี่ คงพอจะช่วยเหลือได้… และนอกจากนั้น หากผมเขียนไปว่า ‘หากคุณรู้จักมัน มันก็จะรู้จักคุณ’ โดยไม่เอ่ยถึง 0-08 โดยตรง ไคลน์น่าจะพอเดาได้ว่าหมายถึงสิ่งใด”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์ฟังอย่างเงียบงัน หัวเราะในลำคอ


“มนุษย์จะเติบโตเมื่อเผชิญความกดดัน”


เลียวนาร์ดถอนหายใจแผ่ว นั่งลง มองหากระดาษและปากกา ถ่ายทอดประโยคเมื่อครู่ให้เป็นตัวอักษร


ถัดมา มันประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารเกอร์มัน·สแปร์โรว์



ทะเลคลั่ง เกาะแห่งหนึ่งระหว่างทาง บนเรือโดยสารที่กำลังจอดเทียบท่าลำหนึ่ง


ผู้โดยสารจำนวนมากมิได้ขึ้นฝั่ง เอาแต่นอนขดตัวอยู่ในโซนล่างของเขตห้องโดยสาร ปรารถนาจะเดินทางไปให้ถึงทวีปใต้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง


แม้จะใช้เวลาเดินทางแค่ไม่กี่วัน แต่พวกมันก็ใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมเงินให้เพียงพอสำหรับค่าโดยสาร ทั้งหมดเป็นชาวโลเอ็นที่ไม่มีทางเลือกนอกจากเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้า


ไคลน์ที่กำลังอยู่ในบทของ ‘เศรษฐี’ ดอน·ดันเตส มีความสะดวกสบายที่ต่างจากคนเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง พักอยู่ในห้องโดยสารเฟิร์สคลาสอันกว้างขวาง สะอาด และหรูหรา มันอาศัยแสงเทียน แกะซองจดหมายที่ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เพิ่งนำมาส่ง


ตอนนี้จะยังไม่แจ้งเบาะแสของอินซ์·แซงวีลล์ให้ศาสนจักรทราบ… สำหรับเลียวนาร์ด การรายงานให้โบสถ์รัตติกาลทราบโดยไม่ถูกสาวถึงตัว ถึงจะทำได้ค่อนข้างยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้… ไม่ใช่ว่าหมอนั่นเข้าร่วมถุงมือแดงเพื่อแก้แค้นหรอกหรือ? กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันมีเหตุจำเป็นบางอย่างทำให้ไม่สามารถรายงานอินซ์·แซงวีลล์ได้ในตอนนี้… ไคลน์ขบคิดพลางก้มอ่านส่วนที่เหลือของกระดาษจดหมาย: ‘หากคุณรู้จักมัน มันก็จะรู้จักคุณ’


ทันใดนั้น ไคลน์พบว่าคำอธิบายนี้ค่อนข้างคุ้นหู!


มันเหมือนกับสภานักสิทธิ์สนทนา… ทุกการเอ่ยถึงจะถูกรับรู้… กล่าวอีกนัยหนึ่ง 0-08 เป็นสมบัติปิดผนึกของเส้นทางผู้ชม? การที่เลียวนาร์ดไม่แจ้งศาสนจักร เพราะกังวลในเรื่องนี้… มันคิดจะรอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสมเสียก่อน? อา… คนที่คิดแผนนี้ขึ้นมาคงเป็นคุณปู่ปรสิตในตัวมัน… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย แอบโล่งใจที่ตนมิได้ขอความช่วยเหลือจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ในจังหวะเมื่อครู่


สำหรับมิสผู้ส่งสาร สิ่งนี้น่าจะเป็นอันตรายสำหรับเธอเช่นกัน


และประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ เรายังไม่ได้เตรียมตัว หากเสี่ยงโดยมีคนสนับสนุนแค่คนเดียว มีแนวโน้มสูงที่แผนของเราจะถูก 0-08 ตรวจพบล่วงหน้า จากนั้นก็การความบังเอิญมากมาย ช่วยให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่มันต้องการ… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ไตร่ตรองว่าตนควรทำอย่างไร แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน


หากไคลน์ต้องการพัฒนาลำดับพลัง สิ่งที่จำเป็นคือเบาะแสของมารพิสดารและหัวขโมยโลกวิญญาณ อย่างแรกขึ้นอยู่กับคำขอร้องจากเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ อย่างหลังขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มิสเมจิกเชี่ยนจะได้รับพิกัดจากอาจารย์ของเธอ ทั้งคู่ต่างเกิดจากปัจจัยภายนอก ไคลน์ไม่สามารถเร่งความเร็วได้ดังใจ


สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่มันทำได้ก็คือ ย่อยโอสถนักเชิดหุ่นโดยเร็วที่สุด!


และเนื่องจากตอนนี้ระบุ ‘กฎการสวมบทบาท’ ได้เกือบครบแล้ว สิ่งที่สำคัญคือการนำไปปฏิบัติจริง


ดังนั้น ไคลน์เชื่อว่าอีกไม่นาน ตนคงมีหุ่นเชิดในครอบครองได้มากถึงสองตัวพร้อมกัน!


ที่ต้องเลื่อนมานานขนาดนี้ เพราะปัจจุบันยังไม่มีเป้าหมายที่เหมาะสมในการเป็นหุ่นเชิด ต้องไม่ลืมว่า การใช้ชีวิตอยู่ในเบ็คลันด์ต้องเผชิญกับสายตาจากกลุ่มคนรับใช้มากมาย หากไม่ใช่หุ่นเชิดที่มีความพิเศษบางอย่าง คงยากที่จะซ่อนตัวอย่างมิดชิด แต่ปัจจุบัน เมื่อมีโอกาสเดินทางมายังทวีปใต้ มันตัดสินใจอย่างหนักแน่นแล้วว่า ขอเพียงเจอเหยื่อที่ชั่วช้าและเหมาะสม ตนจะเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นหุ่นเชิดชั่วคราวทันที จากนั้นก็ค่อยแทนที่ด้วยเป้าหมายที่เหมาะสมกว่าในภายหลัง!


บางที การเชิดหุ่นธรรมดาๆ เพื่อเพิ่มระดับความยากของแผนการ อาจช่วยให้ย่อยโอสถได้เร็วขึ้น… อา… สเป็คหุ่นเชิดของเราเริ่มต่ำลงเข้าไปทุกที ตอนนี้ขอแค่พูดตูทานได้ก็พอ จะได้ไม่ต้องหาล่ามคอยแปลภาษา เพราะเจ้าของและหุ่นสามารถแบ่งปันประสาทสัมผัสระหว่างกัน… ไคลน์ได้ข้อสรุปเบื้องต้นให้ตัวเอง รอจนกว่าจะมีแผนใหม่ ค่อยเขียนจดหมายถึงเลียวนาร์ด·มิเชลอีกครั้ง



ไบลัมตะวันออก เมืองเครน


ไคลน์ถือกระเป๋าเดินทาง ก้าวลงไปยังท่าเรือ เข้าสู่ทวีปใต้อย่างเป็นทางการ


มันมองไปยังเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องสูงต่ำไม่เท่ากัน รำพันในใจอย่างเงียบงัน


ก่อนจะออกจากที่นี่ ต้องหาหุ่นเชิดให้ได้สองตัว…


และก่อนหน้านั้น มันยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำ นั่นคือการสลัดให้หลุดจาก ‘ผู้ติดตาม’ ที่ทางกองทัพส่งมา


ทักษะการสอดแนมของชายทั้งสองมีระดับค่อนข้างสูง แต่ในสายตาไคลน์ พวกมันเจิดจ้ายิ่งกว่าหิ่งห้อยในยามค่ำคืน เพราะไม่ว่าจะพยายามกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมสักเพียงใด ไคลน์ก็มีพลังของผู้ไร้หน้าที่สามารถสังเกตและจดจำลักษณะทางกายภาพกับใบหน้าของมนุษย์ได้แม่นยำ เพียงไม่นานก็จำแนกได้เด่นชัด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)