Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 903-904

 ราชันเร้นลับ 903 : บิชอปนักวิชาการ

คฤหาสน์ของชาฟฟ์มิได้รกและสกปรกเหมือนกับชายโสดส่วนใหญ่ สิ่งของถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีแม้กระทั่งฝุ่นที่ขอบหน้าต่าง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ด้วยฐานะของ ‘ช่างฝีมือ’ มันไม่เคยขาดแคลนเงินทอง แต่เนื่องจากต้องเก็บคอยซ่อนหลายสิ่งไว้เป็นความลับ ไม่สะดวกที่จะจ้างคนรับใช้จำนวนมาก จึงต้องจ้างแบบรายชั่วโมงแทน


ชำเลืองสายตาไปรอบๆ อัลเจอร์พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างคราวก่อน การตกแต่งเรียบง่ายเหมือนเคย ปราศจากภาพวาดและประติมากรรมราคาแพง ดูคล้ายกับบ้านของคนธรรมดา


แน่นอน อัลเจอร์ทราบดี ชาฟฟ์สามารถเรียกตัวเองว่าเศรษฐีได้อย่างไม่กระดากปาก เพียงแต่มันไม่สนใจความฟุ่มเฟือย ชาฟฟ์สามารถจ่ายเงินหลายร้อยปอนด์สำหรับไวน์ที่มีชื่อเสียงซึ่งผลิตในจำนวนจำกัด สามารถซื้อบ้านให้เมียน้อย แต่มันจะไม่เสียเงินไปกับการซื้อพรมราคาแพง ชุดน้ำชาลายคราม ถ้วยและจานรองเลี่ยมทองคำ รวมถึงภาพวาดสีน้ำมันที่มีชื่อเสียงโดยเด็ดขาด


“ไวน์เลือดโซเนียหนึ่งแก้ว” สีหน้าของอัลเจอร์ยังคงไม่แปรเปลี่ยน เลือกใช้คำพูดและภาษากายเพื่อแสดงออกว่า มันเข้ามาเพียงเพื่อดื่มสุราเท่านั้น


ชาฟฟ์ยักไหล่


“นายควรจะขอบใจนะที่ฉันไม่มีนิสัยชอบเก็บแลงติไว้ที่บ้าน”


มันเดินไปยังบาร์ขนาดเล็กในห้องนั่งเล่น หยิบไวน์สีเลือดของโซเนียออกมาวาง หงายแก้วสองแก้ว


อัลเจอร์ซึ่งนั่งลงบนโซฟา ฉวยโอกาสนี้ยกมือขึ้นพลางนวดท้ายทอย คล้ายกับพยายามบรรเทาความรู้สึกไม่สบายของกระดูกสันหลังส่วนคอ


อาศัยท่าทางดังกล่าวช่วยปกปิด มันมองไปรอบห้องอย่างเป็นธรรมชาติ ตรวจสอบจุดที่มองไม่เห็นก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว


เนื่องจากชาฟฟ์ขี้เกียจตกแต่งบ้าน อัลเจอร์จึงบรรลุวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็ว สายตาของมันหันไปทางกระจกหน้าต่างของตู้ใบหนึ่งและหยุดค้างสักพัก


ภายในกระจกใส มันเห็นหญ้าแห้งและดอกไม้บางส่วน


ภายในนั้นมีบุปผาขอบสีแดง หญ้าจันทราเลือด ใบไม้หน้าลิง จุดร่วมของวัตถุดิบเหล่านี้คือ พวกมันล้วนเป็นประเภทที่พบได้ทั่วไปในทวีปใต้ แต่ไม่มีทางพบในทวีปเหนือ


อัลเจอร์ถอนสายตากลับ เฝ้ามองชาฟฟ์เดินถือขวดและแก้วไวน์มาอย่างใจเย็น


ยื่นมือออกไปรับแก้ว มันชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องราวภายในทะเล จนกระทั่งไวน์เลือดโซเนียขวดเล็กครึ่งขวดถูกดื่มจนเกลี้ยง


เห็นภาพดังกล่าว อัลเจอร์กล่าวคำอำลาด้วยรอยยิ้มและเดินจากไป


ห้านาทีหลังจากที่อัลเจอร์ลับสายตา ชาฟฟ์ผู้นั่งนิ่งด้วยท่าทางมึนเมาเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังบันได เปิดประตูไม้ที่นำทางไปสู่ห้องใต้ดิน


“เขาพบความผิดปรกติไหม?”


“ไม่มีทาง”


“อย่างไรก็ตาม คุณไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่ต่อไป รีบย้ายมาอยู่กับพวกเราเร็วๆ”


“ฉันยังทำงานของลูกค้าไม่เสร็จ”


“ไม่ต้องทำให้เสร็จก็ได้ ใช่ว่าได้เจอพวกเขาอีกเสียเมื่อไร… นายกำลังจะมีชีวิตใหม่แล้วนะ”


“…ตกลง”



ห่างออกไปสองช่วงตึก อัลเจอร์ที่กำลังนั่งบนม้านั่งในสวนของใครบางคน จับติ่งหูด้วยมือขวา คอยฟังคำพูดที่ลอยมาจากสายลม



ไบลัมตะวันตก ท่าเรือเบห์เรนส์ นอกบ้านที่ดูเหมือนจะธรรมดา


“เป็นเพราะนายมีความสัมพันธ์แย่ๆ กับโบสถ์แห่งความรู้ ก็เลยให้ฉันบากหน้ามาขอยันต์ ‘ชำนาญภาษา’ แทน?” เดนิสเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก มองไปยังแอนเดอร์สันด้วยสีหน้าหงุดหงิด


แอนเดอร์สันพูดกึ่งหัวเราะกึ่งตำหนิตัวเองพลางยิ้มแห้ง


“ไม่ใช่ความสัมพันธ์แย่ๆ …”


“แล้วเป็นความสัมพันธ์แบบไหน? ศัตรู?” เดนิสโพล่ง


แอนเดอร์สันชำเลืองด้วยหางตา


“ผลข้างเคียงของถุงมือ ร้ายแรงกว่าที่นายคิดอีกนะ”


มันเว้นวรรคเล็กน้อย หัวเราะและพูดเสริม


“คำอธิบายที่ชัดเจนที่สุดคือ ไม่ว่าจะเป็นฉันหรือสมาชิกของศาสนจักรแห่งความรู้ พวกเราต่างฝ่ายต่างไม่อยากติดต่อกัน”


เดนิสถือถุงมือด้วยมืออีกข้าง กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ


“แล้วฉันต้องขอยันต์ยังไง… เดินเข้าไปหานักบวชของโบสถ์จารีตแล้วถามเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับ? อยากให้ฉันถูกขังไว้ในห้องปิดตายนักรึไง!”


ในปัจจุบัน เดนิสอาจหุนหันพลันแล่น แต่ไม่ใช่คนโง่


แอนเดอร์สันยกมือขึ้นและตอบ


“เรื่องง่ายมาก นายก็แค่เอ่ยชื่อฉันออกมา บอกกับเขาว่านายมีธุระด่วนต้องสะสางในไบลัมตะวันตก ไม่มีเวลาเรียนรู้ภาษาตูทานให้ชำนาญ ไม่กล้าจ้างนักแปลท้องถิ่น ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากโบสถ์ บอกกับอีกฝ่ายว่าต้องการยันต์ ‘ชำนาญภาษา’ สักสองสามแผ่น… ระหว่างนี้ นายต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถพูดได้หลายภาษาของทวีปเหนือ แสดงให้นักบวชเห็นว่า ไม่ใช่เพราะนายไม่เก่งพอจะเรียนตูทาน แต่เป็นเพราะไม่มีเวลา จากนั้น พวกเขาจะทดสอบนาย ถึงตรงนี้ ขอเพียงสอบให้ได้คะแนนที่เหมาะสม นายก็จะได้รับยันต์”


สอบ… เมื่อได้ยินคำที่คุ้นเคย หน้าผากเดนิสสั่นกระตุกอย่างมิอาจควบคุม ฝืนยิ้มแห้ง


“เป็นเพราะนายกลัวการสอบ ก็เลยไม่กล้าเข้าไปเอง?”


อันที่จริง เดนิสแค่พูดส่งๆ เพื่อปกปิดความอึดอัด แต่กลับเหลือบไปเห็นสีหน้าของแอนเดอร์สันกำลังแข็งทื่อ


ดูเหมือนจะใช่สินะ หมอนี่ยังมีเรื่องที่ตัวเองปอดแหก… เดนิสจิกกัดในใจ เผยสีหน้าของผู้เหนือกว่า


จากนั้น มันเดินเข้าไปในบ้านที่ดูธรรมดาๆ หลังดังกล่าว พบว่าการตกแต่งภายในดูคล้ายห้องเรียนมากกว่าสถานที่สำหรับเผยแผ่ศาสนาของโบสถ์ปัญญาความรู้ในไบลัมตะวันตก


ถัดมา มันเห็นชายชราผมหงอก


แม้สุภาพบุรุษรายนี้จะมิได้สวมชุดนักบวชศาสนจักรแห่งความรู้ แต่ด้วยมาดเชิงวิชาการที่เอ่อล้น ทำให้เดนิสมั่นใจว่าชายคนนี้มีระดับอย่างน้อยก็บิชอป


เป็นบรรยากาศที่ใกล้กัปตันของมันมาก


“สวัสดีครับ” โดยไม่ต้องสวมเสื้อคลุมหัวเพื่อปกปิดใบหน้า เดนิสในชุดชาวบ้านธรรมดาฉีกยิ้มและเดินเข้าไปหา


ชายชราเฝ้ามองอีกฝ่ายใกล้เข้า ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเนิบนาบ


“เดนิส”


“…” เดนิสพลังชะงักในท่าแข็งค้าง ‘เขารู้จักเรา?’ ‘ทำไมถึงรู้จักเรา?’ ‘ค่าหัวของเราไม่ได้โด่งดังแค่ในทะเลหรอกหรือ?’


ชายชราชำเลืองด้วยหางตาก่อนจะถาม


“คุณมาที่นี่เพื่อขอยันต์ ‘ชำนาญภาษา’ ใช่ไหม?”


“…ใช่ครับ” เดนิสพยักหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า รู้สึกราวกับมิอาจเก็บซ่อนความลับจากอีกฝ่าย


สุภาพบุรุษนักวิชาการพยักหน้าแผ่วเบา


“คุณกำลังจะไปที่ดินแดนของคาทามี่และเมซันเญสใช่ไหม”


“ใช่ครับ” เดนิสตอบด้วยท่าทางเฉื่อยชา


สุภาพบุรุษวัยชรามาดนักวิชาการ หยิบเครื่องรางทองเหลืองสี่แผ่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อและพูดว่า


“ใช้ได้นานสองเดือน เท่าก็น่าจะเพียงพอแล้ว”


“…” เดนิสรับยันต์ด้วยสีหน้าว่างเปล่า ผ่านไปไม่กี่วินาที มันตัดสินใจถามกลับ “แค่นี้หรือครับ?”


มันง่ายดายขนาดนี้เชียว?


ไหนการสอบ?


“ไม่เอาหรือ” ชายชรามาดนักวิชาการยิ้มเล็กๆ


“ม…ไม่ใช่แบบนั้นครับ!” เดนิสรีบส่ายศีรษะ ก่อนที่สมองจะตอบสนอง ชิงถามตามความเคยชิน “คุณรู้จักผมได้ยังไง? แล้วทำไมถึงทราบว่าผมต้องการยันต์ ‘ชำนาญภาษา’ ?”


ชายชรามาดนักวิชาการเผยความสงสารเล็กๆ ในดวงตา ก่อนจะบรรจงเล่าอย่างใจเย็น


“กัปตันของคุณติดต่อมา… เธอกล่าวว่า ในตอนที่คุณลงจากเรือ ไม่ว่าทุกคนจะตะโกนเรียกดังแค่ไหน คุณก็ไม่ยอมหันกลับไปมอง… ตอนนั้นเธอเตรียมยันต์ ‘ชำนาญภาษา’ ไว้ให้คุณพร้อมแล้ว”


กล่าวจบ ชายชราส่ายหน้าด้วยแววตาซับซ้อน คล้ายกับเฝ้ามองนักเรียนที่มักเลินเล่อในชั้นเรียน


“ผมน่าจะฉุกคิดได้… คนรอบคอบอย่างกัปตัน ไม่มีทางที่จะไม่คำนึงถึงปัญหาทางด้านกำแพงภาษา” เดนิสอยากยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองหนึ่งฉาด


หลังจากชายชราฝั่งตรงข้ามเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเดนิส มันส่ายหน้าอีกครั้งก่อนจะถาม


“การมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ… คงไม่ใช่ความคิดของคุณเองใช่ไหม? ผมเตรียมพลังทำนายเพื่อตามหาคุณอยู่แล้ว”


“อา… ใช่ครับ เป็นวิธีที่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดแนะนำ” เดนิสตอบเสียงเรียบ


ชายชรามาดนักวิชาการพลันผงะ ใบหน้าเริ่มดำมืด


ในเวลาเดียวกัน แอนเดอร์สันกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้นอกบ้าน หักกิ่งไม้เล่นและสุ่มวาดลวดลายบนสนามหญ้าอันว่างเปล่า รอเดนิสกลับออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย


มันไม่กังวลว่า ‘นักล่าไก่อ่อน’ จะไม่ได้ยันต์ ‘ชำนาญภาษา’ ติดมือกลับมา เพราะตราบใดที่เดนิสเอ่ยชื่อ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า ทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย จุดเดียวที่อาจทำให้เสียเวลานานคือจำนวนรอบที่จะสอบให้ผ่าน


ขณะเพิ่งวาดส่วนหัวของ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนเสร็จ เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยจากมาจากด้านใน จากไกลเข้ามาใกล้


แอนเดอร์สันจับกิ่งไม้ค้างไว้สองสามวินาที เงยหน้าขึ้นและหันไปทางประตู มันเห็นเดนิสถือปึกกระดาษหนาๆ เดินออกมาด้วยสีหน้าซับซ้อน


“นาย… สอบไม่ผ่าน?” แอนเดอร์สันยิ้มแห้ง คาดไม่ถึงว่าแผนการขอยันต์ ‘ชำนาญภาษา’ จะล้มเหลว


เดนิสส่ายหน้าเชื่องช้า


“ไม่มีการสอบ”


“…” แอนเดอร์สันผงะในตอนต้น รีบถามอย่างด้วยความฉงน “กัปตันของนายให้ความช่วยเหลือ?”


เดนิสปล่อย ‘อืม’ ในลำคอ ส่งปึกกระดาษให้แอนเดอร์สันพร้อมกับกล่าว


“บิชอปข้างในขอให้บอกกับนายว่า: นักล่าที่แท้จริงมิได้อาศัยเพียงสัญชาตญาณของตัวเอง มิใช่พึ่งพาเพียงข้อมูลของเหยื่อ แต่ต้องรู้และเข้าใจจิตวิทยาของพวกมันด้วย จงหาความรู้เสริมให้มาก… และนี่คือข้อมูลที่เขาฝากมาให้นาย”


แอนเดอร์สันเผยสีหน้าผงะเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ หัวเราะในลำคอ กล่าวพลางยิ้ม


“ขอบใจมาก… ไม่เยอะอย่างที่คิด”


มุมปากเดนิสกระตุกสองสามหน พยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าขึงขัง


“นี่เป็นแค่รายชื่อหนังสือ… บิชอปคนนั้นกล่าวว่า ถ้านายมุ่งมั่นอย่างหนักเป็นเวลาสองปี ก็น่าจะอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องจบทุกเล่ม”


รอยยิ้มบนใบหน้าแอนเดอร์สันแข็งค้างเป็นเวลานาน



อ่าวเดซีย์ ท่าเรืออิสเคอร์เซ่น


เฉกเช่นนักท่องเที่ยวทวีปใต้ทั่วไป ไคลน์ซื้อตั๋วเดินทางไปไบลัมตะวันออก ขึ้นเรือลูกผสมระหว่างไอน้ำผ้าใบ รอบลำเรือมีปืนใหญ่หลายกระบอกถูกติดตั้ง


ท่ามกลางเสียงหวูดยาว เรือแล่นออกจากท่า เพียงไม่นานก็เข้าสู่น่านน้ำทะเลคลั่ง


ระหว่างทาง ไคลน์พบว่ากองเรือเดซีย์แห่งอาณาจักรโลเอ็นกำลังลาดตระเวนในเส้นทางเดินเรือปลอดภัย คล้ายกับกำลังทำหน้าที่คุ้มกัน


ดูเหมือนว่า การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในทะเลคลั่งก่อนหน้านี้จะดึงดูดความสนใจของทหารโลเอ็นได้ไม่มากก็น้อย… ถ้าเป็นแบบนี้ นิกายวิญญาณคงยากที่จะตรวจสอบท้องทะเลในละแวกดังกล่าวได้อย่างราบรื่น… แต่ว่า กองทัพเรือก็ไม่น่าจะตรวจตราเส้นทางเดินเรือทั้งหมดได้อย่างครบถ้วนเหมือนกัน…ไคลน์ที่กำลังยืนอยู่ในห้องโดยสาร มองออกไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดด้วยอารมณ์ซับซ้อน


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มได้ยินเสียงสวดวิงวอนมายา จึงรีบส่งตัวเองเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก ตรวจสอบข้อความจากอีกฝ่าย


ในครั้งนี้ ผู้ที่สวดวิงวอนคือแฮงแมน โดยขอให้มิสเตอร์ฟูลช่วยบอกกับเฮอร์มิทว่า ‘ช่างฝีมือ’ คนดังกล่าวน่าจะถูกควบคุมตัวโดยลัทธิหรือองค์กรลับบางแห่ง ผมต้องการความช่วยเหลือ


ราชันเร้นลับ 904 : วิเคราะห์

ต้องสงสัยว่า ‘ช่างฝีมือ’ อาจถูกควบคุมโดยลัทธิหรือองค์กรลับบางแห่ง? แล้วทำไมคุณยังคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากเฮอร์มิท? ทำไมไม่เรียกใช้บริการของเดอะเวิร์ลโดยตรง! ไม่มีใครทราบว่า ‘อนาคตกาล’ กำลังลอยอยู่ในทะเลใดแถบใด และต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมาถึง แต่เดอะเวิร์ลสามารถ ‘ท่องเที่ยว’ ได้ทุกเมื่อ! หลังจากฟังคำสวดวิงวอนของแฮงแมน ไคลน์หักล้างคำขอของอีกฝ่ายภายในใจ คิดว่านี่จะทำให้ทุกสิ่งล่าช้าออกไป เกิดความสูญเสียโดยไม่จำเป็น


แต่เพียงไม่นานก็สงบลง คิดอย่างรอบคอบว่ามิสเตอร์แฮงแมนนั้นมากประสบการณ์และเป็นคนรัดกุม ยากที่จะทำผิดพลาดในเรื่องพื้นฐานเช่นนี้ การที่อีกฝ่ายขอความช่วยเหลือจากเฮอร์มิทแทนเดอะเวิร์ล ย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่างรองรับ


กล่าวอีกนัยหนึ่ง มิสเตอร์แฮงแมนพิจารณาว่า เรื่องนี้ไม่เร่งด่วนถึงขั้นต้องดำเนินการทันที ออกไปในทางอยากสังเกตให้มากกว่านี้อีกสักนิดเพื่อหาเบาะแสและรายละเอียดเพิ่มเติม… นอกจากนั้น เป็นเพราะมาดามเฮอร์มิทเสนอตัวช่วยในการชุมนุมล่าสุด เรื่องนี้จึงสามารถตีความได้ว่า กิจกรรมล่าสุดของเธออยู่ใกล้กับตำแหน่งของมิสเตอร์แฮงแมน หากมีปัญหาเกิดขึ้น สามารถแวะไปช่วยได้อย่างทันท่วงที… หรือไม่ก็… เธอมีลูกทางในการใช้พลัง ‘ท่องเที่ยว’ หรือสิ่งที่คล้ายคลึงกัน? ข้อนี้มีความเป็นไปได้ต่ำมาก… ไคลน์ใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีลวดลายโบราณ พบว่าตนควรเชื่อในประสบการณ์ของมิสเตอร์แฮงแมน


แน่นอน นอกจากคำขอร้อง ยังไม่มีคำอธิบายในเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่อีกฝ่ายค้นพบ ยังมีบางเรื่องที่เป็นปริศนา ยากจะคาดเดาหรือเปิดเผยความจริงออกมาในทันที


หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์โยนภาพการสวดวิงวอนของแฮงแมนเข้าไปในดาวสีแดงเข้มซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเฮอร์มิท


ขณะรอการตอบกลับจากพลเรือเอกดวงดาว ทันใดนั้น ชายหนุ่มพบว่าดาวแดงที่เป็นตัวแทนของ ‘เดอะซัน’ เริ่มยุบพองตัว ตามด้วยเสียงสวดวิงวอนซ้อนทับ


การสำรวจสุสานของอดีตเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ได้ผลลัพธ์เบื้องต้นออกมาแล้ว? ไคลน์แผ่พลังวิญญาณออกไปหาพลางคาดเดา


เป็นไปตามคาด เดอะซันน้อยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากอาวุโสทั้งสามคนเปิดสุสานอดีตเจ้าเมือง รวมถึงเหตุการณ์ที่วิญญาณของผู้ล่วงลับคืนชีพขึ้นมาใหม่ เหตุการณ์การข้ามแม่น้ำมายาที่มืดมิดโดยระหว่างทางเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด การเผชิญหน้ากับอดีตเจ้าเมืองที่ปกคลุมไปด้วยขนนกสีขาวในร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ และ ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์แบ่งเงาออกมาพร้อมกับพยายามกระโจนใส่ท่อมายาที่ยื่นออกมาจากร่างอดีตเจ้าเมือง ทว่า โคลิน·อีเลียดใช้ยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ เพื่อสลับชะตากรรมของตัวเองและอดีตเจ้าเมือง เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการต่อสู้


ท่ามายาบางๆ สีดำ… ร่างกายปกคลุมไปด้วยขนนกสีขาวเคลือบน้ำมันสีเหลือง… ทำไมเราถึงคุ้นนัก… ใช่แล้ว สิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบหลักในฉากที่เราเห็นขณะทำนายถึงนกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิก… และสาเหตุที่อดีตเจ้าเมืองสร้างอนุสาวรีย์บรรจุศพ ก็เพราะต้องการสลับไปเป็นลำดับ 3 ‘ผู้ส่งวิญญาณ’ ของเส้นทาง ‘เทพมรณา’ … ไคลน์ฟังจบ สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว นำทุกสิ่งมาประกอบเข้าด้วยกัน พิจารณาหาข้อสรุปที่เป็นไปได้


เพียงไม่นาน มันผุดข้อสันนิษฐานขึ้นมาหนึ่งเรื่อง


การกลายพันธุ์ของอดีตเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างมรณาเทียมของนิกายวิญญาณ!


แม้ข้อสรุปนี้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อ ทำใจเชื่อได้ยาก เนื่องจากเมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่ใน ‘ดินแดนเทพทอดทิ้ง’ ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง สามารถเข้าออกได้โดยการเชื่อมต่อระหว่าง ‘วังราชาคนยักษ์’ และ ‘ซากสมรภูมิเทพ’ เท่านั้น ไม่เคยมีบันทึกว่าพลังของเจ็ดเทพจารีตสามารถทะลุทะลวงผ่านไปได้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นต่างๆ มีความคล้ายคลึงกันมาก ส่งผลให้ไคลน์ที่อ่อนไหวต่อความบังเอิญ นำไปผูกปมเข้ากับคน ‘คนเลี้ยงแกะ’ อาวุโสโลเฟียร์ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมสำรวจครั้งนี้ จากนั้นก็ตัดความเป็นไปได้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจนหมด พิจารณาหาจุดตัดของเรื่องราวที่อาจเชื่อมโยงกัน


ชายหนุ่มเริ่มต้นจากฉากที่ตนเห็นในการทำนาย รวมถึงประสบการณ์เกี่ยวกับขนนกสีขาวที่เคยงอกตามรูขุมขนเมื่อครั้งพยายามอัญเชิญผลผลิตที่ล้มเหลวของมรณาเทียม หลังจากนำผลการต่อสู้ของอาวุโสทั้งสามแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์เข้ามาประกอบ ความคิดแรกในหัวก็คือ โครงการมรณาเทียมของนิกายวิญญาณอาจประสบความสำเร็จจนถึงจุดหนึ่งแล้ว


อาศัยพิธีกรรมบูชายัญและการกลายพันธุ์ของผู้วิเศษลำดับสูงในองค์กรตัวเอง นิกายวิญญาณประสบความสำเร็จในการกระตุ้น ‘มรดก’ ที่เทพมรณาเหลือทิ้งไว้ เปลี่ยนให้ ‘เอกลักษณ์’ ที่เป็นเพียงนามธรรมและเป็นตัวแทน ‘อำนาจ’ แห่งเทพ ค่อยๆ มีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมาทีละนิด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ ‘สิ่งมีชีวิต’ !


ส่งผลให้วัตถุปราศจากปัญญาซึ่งไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่า ‘มรณาเทียม’ เริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งกับพิธีกรรมใหญ่ จนกระทั่งสามารถส่งอิทธิพลต่อผู้วิเศษของเส้นทางเดียวกันในลำดับที่ต่ำกว่า


หลังจากบรรลุเงื่อนไขบางประการ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหมอกสีดำ สามารถแผ่ขยายท่อมายาบางๆ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับเป้าหมาย กระตุ้นพลังที่ซ่อนเร้นในร่างกายด้วยการกลายพันธุ์


และวิธีนี้อาจเกี่ยวข้องกับลักษณะพิเศษบางประการของโลกแห่งความตายซึ่งอยู่ในขอบเขตของเทพมรณา ช่วยให้ท่อมายาสามารถทะลวงผ่านการตัดขาดจาก ‘ดินแดนเทพทอดทิ้ง’ และเข้าไปสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตด้านในได้!


ดังนั้น เงาดำที่ ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์แบ่งออกไป คงเป็น ‘ของขวัญ’ จาก ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ จุดประสงค์เพื่อไล่ตามท่อมายาสีดำของอดีตเจ้าเมืองไป กัดกร่อนเทพมรณาแบบย้อนกลับ? บางที ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ ก็อาจใช้วิธีนี้เพื่อแทนที่ ‘เทพผู้ถูกล่าม’ จนสามารถยึดครองอำนาจในขอบเขต…


โชคยังดี เจ้าเมืองคนปัจจุบันของเมืองเงินพิสุทธิ์เยือกเย็นและมีสติดีมาก รู้ล่วงหน้าว่าควรขอความช่วยเหลือจากตัวตนลึกลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเดอะซันน้อย ใช้ยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ เพื่อทำลายกลอุบายของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ อย่างชาญฉลาด


อา… หนึ่งในสองสมบัติปิดผนึกที่ทรงพลังในเมืองเงินพิสุทธิ์ ดูเหมือนว่าจะมีคุณสมบัติในการชำระล้าง สามารถยับยั้งเงาดำที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเทพมรณา


หึหึ ดูเหมือนว่าเดอะฟูลจะเป็นผู้ขัดขวางแผนการของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม คนที่รับหน้าคืออามุนด์ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ‘หนอนกาลเวลา’ ก็เป็นผลผลิตจากเจ้านั่น… ไคลน์อาศัยคำอธิบายของเดอะซันน้อย ผนวกเข้ากับการคาดคะเนของตัวเอง ช่วยให้เข้าใจความขัดแย้งเบื้องต้นที่ซ่อนอยู่ในปฏิบัติสำรวจสุสานของเมืองเงินพิสุทธิ์


พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มสามารถตระหนักถึงสภาพจิตใจในปัจจุบันของอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ ได้เล็กน้อย


สำหรับโลเฟียร์ ท่อมายาบางๆ สีดำที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เมืองเงินพิสุทธิ์หลบหนีออกจากดินแดนเทพทอดทิ้งสำเร็จ ดังนั้น เธอมั่นใจในความถูกต้องของพฤติกรรมตัวเองอย่างมาก เพียงแค่นึกเสียดายที่เจ้าเมืองเป็นคนทำลายความหวังดังกล่าวทิ้งอย่างไม่ไยดี


คนทำชั่วยังไม่น่ากลัวเท่ากับคนที่ทำชั่วแล้วคิดว่าตัวเองทำดี… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ


ส่วนเหตุผลที่ว่า ทำไมเดอะซันน้อยถึงรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในอนุสาวรีย์บรรจุศพได้อย่างละเอียดนัก คำตอบนั้นไม่ซับซ้อน ใช้หัวแม่เท้าคิดก็พอจะเดาได้ว่า ‘เจ้าเมือง’ โคลิน·อีเลียดคงหาทางเล่าให้เด็กหนุ่มฟังผ่านการสนทนาอย่างเป็นกันเอง


ถึงจุดที่ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริครู้ว่าอาวุโสทั้งสามทำการเก็บกู้สมบัติปิดผนึกชิ้นใหม่ติดตัวกลับมาด้วย เป็นวัตถุที่เกิดจากการผสานระหว่างตะกอนพลังของอดีตเจ้าเมืองและกะโหลกศีรษะของมัน


อดีตเจ้าเมืองไต่เต้าจากเส้นทางคนยักษ์ เริ่มจากลำดับ 9 นักรบ จนมาถึงลำดับ 4 นักล่าปีศาจ ส่วนโอสถ ‘ผู้ส่งวิญญาณ’ นั้นเป็นของลำดับ 3 เส้นทางมรณา การผสมปนเประหว่างตะกอนพลังของสองเส้นทาง คงสร้างความพิสดารได้มากกว่าเส้นทางเดียว เมื่อผนวกเข้ากับอิทธิพลจากมรณาเทียม สมบัติปิดผนึกที่เกิดขึ้นจะต้องทรงพลังอย่างมากแน่นอน แต่ในทางกลับกัน ผลข้างเคียงในเชิงลบเองก็ต้องไม่ธรรมดา


อา… แม่น้ำมายาอันมืดมิดและสิ่งมีชีวิตพิสดารชนิดต่างๆ ตามคำบรรยายของเดอะซัน ส่วนใหญ่สอดคล้องกับโลกแห่งความตายที่เราเคยเห็นในทะเลคลั่ง และคล้ายคลึงกับผลลัพธ์ที่เกิดจากสมบัติวิเศษของชารอน… ไคลน์ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย พลางตั้งใจฟังเดอะซันน้อยสรุปผลการสำรวจและเปลี่ยนหัวข้อไปเป็นสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า ‘ตัวจำแลงกาย’


รอจนกระทั่ง ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคพูดจบ ไคลน์พบว่าตัวจำแลงกายมีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็น ‘มารพิสดาร’


วุ่นวายอยู่กับนำเหรียญทองจากกองขยะสักพัก ชายหนุ่มรีบลงมือทำนายและสามารถยืนยันสมมติฐานของตัวเอง


ด้วยฝีมือในปัจจุบันของเดอะซันน้อย คงเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปล่าตัวจำแลงกายในซากปรักหักพังอันห่างไกล ทำได้เพียงอดทนรออย่างใจเย็น รอให้เจ้าเมืองสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลอีกครั้ง หรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือผ่านเดอะซันน้อย… เราไม่รีบร้อนอยู่แล้ว เพราะปัจจุบันยังไม่มีเบาะแสของหัวขโมยโลกวิญญาณ… ไคลน์พยักหน้ากับตัวเองแผ่วเบา


หลังจากขอให้มิสเตอร์ฟูลช่วยส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังเดอะเวิร์ล เดอร์ริคระบุว่าตนมีคะแนนผลงานมากพอแล้ว สามารถนำไปแลกกับตะกอนพลังของแวมไพร์ลำดับ 5 ได้ทันที ปิดฉากการค้าขายสามทางที่คาราคาซังมานาน และบอกให้มิสเตอร์มูนเตรียมตัวให้พร้อม



ณ หมู่เกาะรอสต์ ‘อนาคตกาล’ กำลังแล่นอย่างเชื่องช้า


‘พลเรือเอกดวงดาว’ หลังจากขอบคุณมิสเตอร์ฟูล แคทลียาดันแว่นที่ดั้งจมูกขึ้น เปิดหน้าต่างห้องกัปตัน ตะโกนบอกกับทุกคน


“หันหัวเรือ ตรงไปที่บายัม”


หลังจากออกคำสั่งเสร็จ นายพลโจรสลัดยกมุมปากเล็กน้อย ดีใจที่ในที่สุดก็มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับ ‘ช่างฝีมือ’ เสียที


แต่ทันใดนั้น หญิงสาวผุดคำถามหนึ่งภายในใจ


หากเธอสามารถติดต่อจ้างงานจาก ‘ช่างฝีมือ’ ได้ง่ายขึ้น แฟรงค์·ลีที่ยังหาสูตรโอสถลำดับ 5 ไม่ได้ จะไม่พยายามสร้างสมบัติวิเศษจากตะกอนพลัง ‘ดรูอิด’ หรอกหรือ? เพื่อให้การทดลองที่กำลังค้างคากลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง


แบบนี้ไม่ดีแน่… แคทลียายกมือขึ้นมาจับหน้าผากโดยไม่รู้ตัว



บนเรือโดยสาร ไคลน์ที่สะสางเรื่องยุ่งวุ่นวายทั้งหมดเสร็จ เริ่มกลับมามีความสุขกับการเดินทาง


เนื่องจากทะเลคลั่งมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพอากาศ เรือโดยสารที่ชายหนุ่มนั่งมาด้วย ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ไกลกว่าและคดเคี้ยวกว่าเดิม แต่ก็ปลอดภัยกว่ามาก จนกระทั่งแล่นมาจอดเทียบท่าเรือที่ชื่อ ‘ฮาลมันน์’ ในคืนเดียวกัน


ไคลน์ไม่ได้ขึ้นฝั่ง แต่เลือกจองที่นั่งริมหน้าต่างของร้านอาหารชั้นบน เตรียมดื่มด่ำไปกับอาหารมื้อค่ำ


ระหว่างรออาหาร ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งใดเป็นพิเศษ เพลิดเพลินทิวทัศน์ยามค่ำคืนของท้องถิ่น


ทันใดนั้น มันพบบุคคลน่าสงสัยกำลังถือกระเป๋าเดินทางและเตรียมขึ้นมาบนเรือ


ที่บอกว่าน่าสงสัย เป็นเพราะชายคนดังกล่าวไม่เพียงจะสวมเสื้อคลุมสีดำยาวกับสวมหมวกทรงสูงเพื่อซ่อนสัดส่วนร่างกาย แต่ยังใช้ผ้าพันคอปกปิดใบหน้าจนมิดชิด เว้นไว้เพียงคู่ดวงตา


และดวงตาคู่ดังกล่าวเอาแต่ก้มมองพื้น ยากที่จะสังเกตว่ามีจุดเด่นเป็นอย่างไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)