Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 899-902
ราชันเร้นลับ 899 : โลกวิญญาณแห่งทะเลคลั่ง
พายเดซีย์ใช้ส่วนผสมมากกว่าเบ็คลันด์ แต่ชอบเพิ่มเครื่องเทศของท้องถิ่นเข้าไป ทำให้เกิดความรู้สึกปะแล่มเล็กน้อยในช่วงสองสามคำแรก แต่เมื่อปรับตัวได้ จะเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ทันที… ไคลน์นั่งอยู่ในห้องของโรงแรม กัดพายชุ่มน้ำมันเป็นบางครั้ง ดื่มชาเย็นชื่นใจเป็นบางคราว ชีวิตค่อนข้างสะดวกสบาย
รอจนกระทั่งอิ่ม ชายหนุ่มมิไม่ได้เก็บกวาดทันที แต่หยิบหมวกทรงสูงที่เก้าอี้ข้างๆ มาสวมไว้เหนือศีรษะ
ขณะเดียวกัน ถุงมือฝ่ามือซ้ายของมันกลายเป็นสีโปร่งใส คนทั้งคนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หายไปอย่างสมบูรณ์
ไคลน์เข้าสู่โลกวิญญาณเพื่อ ‘ท่องเที่ยว’ ไปยังท่าเรือโปโตในทะเลคลั่ง แสวงหาอาหารสำหรับ ‘ยุบพองหิวโหย’
ท่าเรืออิสเคอร์เซ่นเป็นของอ่าวเดซีย์ก็จริง แต่ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นชายฝั่ง เพราะสถานที่ดังกล่าวเป็นเกาะ – เกาะที่อยู่ทางสุดเขตตอนใต้ของอ่าวเดซีย์ และการมุ่งหน้าลงใต้ไปตรงๆ ย่อมหมายถึงการเข้าสู่เขตทะเลคลั่ง
ดังนั้น ไคลน์ที่เพิ่งเข้าสู่โลกวิญญาณในแถบอ่าวเดซีย์และเริ่มออกเดินทาง พลันพบความผิดปรกติเบื้องหน้า
กระแสอากาศของโลกวิญญาณรอบตัวไคลน์กำลังบิดม้วนเป็นเกลียวสายลม เสียงหวีดแหลมปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งดูราวกับไม่มีขอบเขตสิ้นสุด แสงด้านในมืดสลัว ด้านบนมีชั้นเมฆและสายฟ้าที่มอบความรู้สึกสั่นสะท้าน ฉากรอบข้างดูราวกับเป็นภาพของวันสิ้นโลก
ในวินาทีนี้ ไคลน์คล้ายกับหลงเข้ามาในมหาสมุทรที่ถูกปกคลุมด้วยวังวนพายุนิรันดร์ แต่ชายหนุ่มยังมั่นใจว่าที่นี่คือโลกวิญญาณ
อย่างที่คิด… เหมือนที่กล่าวไว้ในหนังสือศาสตร์เร้นลับหลายเล่ม พลังอันยิ่งใหญ่ที่ส่งให้เทพมรณา ‘ร่วงหล่น’ ไม่เพียงจะเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในทะเลระหว่างทวีปเหนือและใต้ แต่ถึงขั้นสร้างภัยธรรมชาติที่ไม่มีวันสงบ เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย สมแล้วที่มีชื่อว่าทะเลคลั่ง… นอกจากนี้ยังทำลายกำแพงที่กั้นแบ่งระหว่างโลกความจริงและภาพมายา สร้างมลพิษกัดกร่อนโลกวิญญาณจนทั้งสองฝั่งมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน… ในเขตทะเลคลั่งแห่งนี้ หากมีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ หรือใช้พลังที่เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ จะมีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันสูงมาก… ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์เต็มเปี่ยม จ้องมองฉากที่เคยทำได้เพียงอ่านจากคำบรรยายในหนังสือ
ตามความคิดของชายหนุ่ม หากไม่ใช่เพราะมีทะเลคลั่งคอยกีดขวาง อาณาจักรของทวีปเหนือคงไม่รอจนกว่าจักรพรรดิโรซายล์จะสำรวจเส้นทางปลอดภัยจึงค่อยรุกรานทวีปใต้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้วิเศษลำดับครึ่งเทพส่วนมากมักไม่มีอุปสรรคกับอันตรายทางธรรมชาติ
เส้นทางเดินเรือปลอดภัยของโรซายล์ ไม่ได้คำนึงถึงอันตรายจากภัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงภัยจากศาสตร์เร้นลับด้วย!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เนื่องจากทะเลคลั่งส่งอิทธิพลต่อโลกวิญญาณในตำแหน่งใกล้เคียง เรียกได้ว่าซ้อนทับกัน ไคลน์เองก็สามารถอาศัยแผนที่เดินเรือเพื่อหลีกเลี่ยงจากอันตรายของโลกวิญญาณได้โดยตรง
ย้อนนึกถึงสิ่งที่อ่านก่อนหน้านี้ ไคลน์มองหาตำแหน่งที่ใช่ ก่อนจะเข้าสู่โลกวิญญาณอันลึกลับและมืดมิด
เสียงสายลมรุนแรงหวีดแหลมดังมาจากทุกทิศ แม้แต่การพัดผ่านไปในระยะห่างก็ยังสร้างความเย็นเยียบให้ไคลน์ไปถึงกระดูกและดวงวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเชื่อว่า หากเดินทางผ่านทะเลคลั่งด้วยร่างวิญญาณโดยไม่ได้พกไพ่ ‘จักรพรรดิมืด’ ไพ่ ‘ทรราช’ หรือนกหวีดทองแดงอะซิกเพื่อเสริมกำลังวิญญาณ บางทีอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส
และหากไม่ได้อยู่บน ‘เส้นทางเดินเรือปลอดภัย’ การต้องเผชิญหน้ากับพายุสีดำที่มีกลิ่นอายความตายคละคลุ้งด้วยร่างเนื้อ ก็คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก
เมื่อเทียบกับสายลม สายฟ้าสีดำอันตรายกว่ามาก หากโดนเข้าไปเพียงหนึ่งเส้น ไคลน์เชื่อว่าตนคงต้องคิดถึงเรื่องเกิดใหม่ ส่วนอันตรายประเภทกระแสน้ำวนและสัตว์ต่างๆ นั่นคืออีกหนึ่งรูปแบบของภัยคุกคามที่ยังไม่มีข้อมูล
ที่นี่ไม่มีน้ำทะเลของจริง… เราไม่มีทางทราบว่าจุดสิ้นสุดของกระแสน้ำวนหน้าตาเป็นอย่างไร… ไคลน์เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางเดินเรือปลอดภัย ไม่ช้าไม่เร็ว มองไปรอบตัวเป็นครั้งคราว สะสมความรู้และประสบการณ์
ทันใดนั้น ชายหนุ่มพบสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
ลากเคียวยักษ์ใหญ่ไปมา ดำรงชีวิตอยู่ภายในพายุสีดำ คล้ายกับร่างกายก่อตัวจากกะโหลกศีรษะจำนวนมาก
หัวกะโหลกเหล่านั้นมีสีเทาหรือไม่ก็ดำ ขนาดไม่สม่ำเสมอ มาจากหลายสายพันธุ์ เรียงซ้อนทับกันกลายเป็นลำตัว แขนขา และศีรษะ
เมื่อไคลน์เห็นสิ่งมีชีวิตประหลาด อีกฝ่ายก็เห็นไคลน์เช่นกัน หัวกะโหลกทั้งหมดพลันหันมายังชายหนุ่มอย่างพร้อมเพรียง เกิดเป็นเสียงกระดูกลั่นที่ยากจะเก็บซ่อน
เบ้าตาลึกเหล่านั้นสบตาไคลน์ละข้าง ทีละหัว
หน้าผากของไคลน์กระตุกระรัว รีบใช้ความสามารถ ‘ท่องเที่ยว’ ผ่านไปจากเขตดังกล่าว เข้าสู่เส้นทางเดินเรือปลอดภัยถัดไป
และในเขตทะเลมายาที่ใกล้เคียงกัน แขนเปื้อนเลือดและหนวดรยางค์มายาสีเขียวยื่นขึ้นมาบนผิวน้ำทะเล
…
ด้านนอกเมืองเงินพิสุทธิ์ อนุสาวรีย์บรรจุศพสีดำตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนพื้นดิน ดูคล้ายกับพีระมิดกลับด้าน
ณ ปัจจุบัน ภายในรอยแยกของผนังอนุสาวรีย์บรรจุศพ กลุ่มของพืชสีดำได้เจริญเติบโตจนหนาแน่น แม้แต่ประตูหนักที่ทางเข้ายังถูกปกคลุม
โคลิน·อีเลียดที่สะพายดาบคู่ พร้อมกับอาวุโสอีกสองคนของ ‘หกสภาอาวุโส’ กำลังยืนอยู่ด้านนอกประตู ตรวจสอบทางเดินที่ลาดลึกลงไปในพื้นดิน
โลเฟียร์เจ้าของเส้นผมสีเงินหยักศกเล็กน้อย จ้องมองอย่างเงียบงันสักพักก่อนจะพูด
“ตอนนี้น่าจะพร้อมแล้ว”
เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่เธอมักจะสลับไปมาระหว่างบุคลิกอันหลากหลาย ปัจจุบัน อาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ รักษามาดเงียบขรึมไว้เป็นเวลานาน ไม่เปิดเผยอาการผิดปรกติ ดวงตาสีเทาอ่อนค่อนข้างลุ่มลึก
โคลินพยักหน้าแผ่วเบา หยิบขวดยาออกจากช่องขนาดเล็กสองช่องที่เข็มขัดรัดเอว คลายเกลียวฝา ดื่ม ‘อึกอึก’ เข้าไปในปาก
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของมันสว่างขึ้นทันที ผิวหนังที่ปราศจากริ้วรอยเริ่มมีเส้นเลือดโป่งขึ้น แผ่แสงสีเงินเจือจาง
ถัดมา เจ้าเมืองรายนี้ชักดาบตรงออกมาถือ ทาครีมสีเงินลงบนผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่มันเตรียมการไปทีละขั้น อีกหนึ่ง ‘หกสภาอาวุโส’ ฮอยต์·เฌอมงต์ ลงมือทำในสิ่งที่คล้ายกัน
ชายโกนหัวรายนี้มีรอยสักลวดลายสีน้ำเงินเข้มอยู่บนศีรษะ สูงเกือบ 2.5 เมตร อายุคล้ายกับไม่เกินสี่สิบห้า แต่ความจริงแล้วมีอายุเกือบแปดสิบปี นี่คืออีกหนึ่งลำดับ 4 ‘นักล่าปีศาจ’ ครึ่งเทพซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเมืองเงินพิสุทธิ์
ภายในเมืองเงินพิสุทธิ์ เนื่องจากมีวัตถุดิบหลักเหลือเฟือ และชาวเมืองมีความรู้ด้านเทคนิคสวมบทบาท แถมยังมีประสบการณ์การต่อสู้จริงที่เพียงพอ ดังนั้น ผู้วิเศษลำดับปานกลางและต่ำจึงเลื่อนลำดับได้ค่อนข้างง่าย ผู้วิเศษลำดับ 6 สามารถหาได้ทั่วไป แต่นับจากลำดับ 5 เป็นต้นมา เนื่องจากมีพิธีกรรมและวัตถุดิบหายากเข้ามาเกี่ยวข้อง จำนวนของผู้วิเศษในลำดับนี้จึงลดลงเป็นแนวดิ่ง ไปจนถึงลำดับ 4 ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ หนึ่งรุ่นอาจมีไม่ถึงหนึ่งคน
ฮอยต์·เฌอมงต์ไม่ได้ใช้ดาบสองเล่มเหมือนกับ ‘นักล่าปีศาจ’ ทั่วไป แต่เป็นการใช้ค้อนศึกสีเทาขนาดมหึมาและคันธนูยักษ์ขนาดเท่าตัวคน อาวุธเช่นนี้จะช่วยให้ฮอยต์สามารถทาขี้ผึ้งได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างจากนักล่าปีศาจปรกติ เป็นการสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างในการต่อสู้ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ดูเหมือนคนยักษ์ขนาดย่อมที่หลุดออกมาจากภาพวาดสีน้ำมัน
ธนูยักษ์คันดังกล่าวเป็นสมบัติวิเศษ ผลข้างเคียงไม่ร้ายแรงนัก ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ ธนูคันนี้ถูกตั้งชื่อหลังจากถูกนำไปใช้คร่าชีวิตมังกรระดับครึ่งเทพ:
ธนูล่ามังกร!
เสร็จสิ้นการเตรียมการ ฮอยต์กระแทกค้อนเหล็กสีเทาลงตรงหน้าจนเกิดเสียงกึกก้อง จากนั้นก็ง้างคันศรยักษ์ ดึงไปด้านหลังเชื่องช้า
แสงประกายสายฟ้าพลันปรากฏ ก่อนจะค่อยๆ ควบแน่นในจุดกึ่งกลาง ยิ่งดึงสายออกไปไกลเท่าไร สายฟ้าก็ยิ่งก่อตัวกลายเป็นลูกศรที่ส่องแสงสว่างจ้ากึ่งกลางคันธนู
นิ้วของฮอยต์ที่รั้งสายธนูถูกปล่อยออก ลูกศรไฟฟ้าเส้นยาวพุ่งตรงไปที่ประตูอนุสาวรีย์บรรจุศพซึ่งปกคลุมไปด้วยวัชพืชลักษณะคล้ายเส้นผมของมนุษย์
ประตูหนักด้านหน้าดูเหมือนจะสึกกร่อนมาสักพักแล้ว เพียงไม่นานก็ขาดออกจากกันด้วยการระเบิดของสายฟ้า แตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยจนเผยให้เห็นทางเดินลึกด้านใน
ภายในทางเดินมีแสงสีขาวซีด ยากจะมองเห็นปลายทางในทันที เพียงมอบความรู้สึกมืดมนและหนาวเหน็บ
อักขระซับซ้อนสีเขียวสองอันพลันปรากฏในดวงตาโคลิน ภาพของทางเข้าอนุสาวรีย์บรรจุศพกำลังสะท้อนอยู่กึ่งกลางกระจกตา
ไม่กี่วินาทีถัดมา โคลินถือดาบยาวในลักษณะเฉียง เดินนำหน้าเข้าไปในอนุสาวรีย์บรรจุศพ ส่วน ‘ธนูล่ามังกร’ ของฮอยต์ถูกเก็บกลับไปไว้บนหลัง ดึงค้อนขนาดใหญ่สีเทาเหล็กขึ้นจากพื้นและเดินเข้าไป
สีหน้าของโลเฟียร์ในชุดคลุมสีม่วงยังคงไม่แปรเปลี่ยน เดินมือเปล่าตามเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ ผ่านซากประตูที่พังลง
ลงไปเรื่อยๆ ตามทางเดินและบันได สมาชิกทั้งสามคนของ ‘หกสภาอาวุโส’ ปราศจากอาการอ่อนเพลียหรือวิตกกังวล ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสนิท มีเพียงเสียงฝีเท้าดังกังวานไปทั่ว
เดินลึกลงไปอีกชั้น ทันใดนั้น แม่น้ำพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกมันทั้งสาม – แม่น้ำมายาที่มืดมิด
ใต้ผิวน้ำ แขนเปื้อนเลือดที่ผิวหนังถูกฉีกออก เถาวัลย์สีฟ้าที่คอยพยุงใบหน้าของทารก หนวดรยางค์ลื่นๆ ที่มีดวงตาอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น พวกมันพยายามกระโดดให้โผล่พ้นน้ำราวกับต้องการสำรวจว่ามีสิ่งใดผ่านไปผ่านมา
ณ ริมแม่น้ำใกล้กับทางเข้า ร่างของกลุ่มบุคคลที่มีส่วนสูงไม่เท่ากันกำลังยืนหันหลังให้อาวุโสทั้งสาม เดินวนเวียนไปมาราวกับกำลังหาวิธีข้ามแม่น้ำ
ทันใดนั้น หนึ่งในกลุ่มบุคคลสังเกตเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้พวกตน จึงค่อยๆ หันกลับมามองโคลิน ฮอยต์และโลเฟียร์
อีกฝ่ายเป็นชายชรา ผมสีขาวโพลน มีริ้วรอยร่องลึกที่มุมหน้าผากและปาก ดวงตาสีฟ้าอ่อนแต่ขาดประกาย สีหน้าสับสนและล่องลอย
ดวงตาโคลิน·อีเลียดพลันหดลีบอย่างรวดเร็ว จดจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
นี่คือน้องชายของมัน น้องชายคนที่เคยถูกอามุนด์สิงร่าง น้องชายที่โคลินเคยจบชีวิตด้วยมือตัวเอง!
ทันใดนั้น ร่างที่เหลือพลันหันหลังกลับมา ใบหน้าของโคลิน ฮอยต์และโลเฟียร์เผยความคุ้นเคยเจือภาวะมึนงง
สีหน้าโลเฟียร์ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ที่ด้านหลังของเธอ ไม่มีใครทราบว่าอัศวินมายาสูงกว่าห้าเมตรปรากฏตัวตั้งแต่ตอนไหน
อัศวินดังกล่าวสวมชุดเกราะสีเงินโบราณ ดวงตาสีแดงเข้มราวกับเลือดสด แต่ลุกโชนเหมือนกับเปลวไฟ
…
หลังจากเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวังบน ‘เส้นทางเดินเรือปลอดภัย’ นานกว่าสิบวินาที ไคลน์มาถึงท่าเรือโปโตในเขตทะเลคลั่ง ที่นี่ไม่ได้ถูกภายใต้การปกครองของอาณาจักรใด ถือเป็นเมืองที่โจรสลัดมีอิสระเป็นพิเศษ
หลังจากย่ำเท้าลงบนพื้นหิน ไคลน์ที่แปลงโฉมเป็นคนแปลกหน้าอย่างสุ่มๆ ยังไม่รีบร้อนเดินเข้าไปในเมืองท่าขนาดเล็กซึ่งมีสถาปัตยกรรมซับซ้อน มือข้างหนึ่งหยิบกล่องบุหรี่โลหะออกจากกระเป๋าเสื้อ
ย้อนกลับไปเมื่อครู่ ระหว่างกำลังเดินทางผ่าน ‘ทะเลคลั่ง’ ด้วยโลกวิญญาณ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่านกหวีดทองแดงของอะซิกออกอาการสั่นเบาๆ!
ลบ ‘กำแพงวิญญาณ’ เสร็จ ไคลน์เปิดกล่องบุหรี่โลหะ คีบนกหวีดทองแดงโบราณออกมาอย่างทะนุถนอม
นกหวีดทองแดงสูญเสียความเย็นและความนุ่มนวลซึ่งเคยมีตามปกติ ปัจจุบันแผ่ความร้อนออกมาเล็กน้อย แต่เพียงไม่นาน ความผิดปรกติก็เลือนหายไป
ราชันเร้นลับ 900 : “เสนอตัวเอง”
ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณในทะเลคลั่งเกิดจากการร่วงหล่นของเทพมรณา… ตำนานเล่าขานว่า ร่างกายและวัตถุของเทพองค์นี้ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในทะเล รอให้ใครบางคนถือกุญแจที่เฉพาะมาเปิด… นกหวีดทองแดงมีต้นกำเนิดมาจากมิสเตอร์อะซิก และมิสเตอร์อะซิกเป็นทายาทของเทพมรณาโดยตรง แถมยังเป็นทายาทรุ่นที่หนึ่งหรือไม่ก็สอง… ดังนั้น นกหวีดทองแดงกำลังสัมผัสถึงบางสิ่ง? หรือได้รับผลกระทบจากบางอย่าง? ความคิดมากมายแล่นสมองไคลน์ ประกอบเข้าด้วยกัน กลายเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้น
มันมีแผนจะรอที่ท่าเรือโปโต ค้นหาโรงแรม เปิดห้อง ส่งตัวเองไปยังมิติเหนือสายหมอก ทำนายความฝันเพื่อค้นหาผลลัพธ์ จากนั้นก็หาวิธีและโอกาสที่จะเดินทางกลับท่าเรืออิสเคอร์เซ่น ลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง
แต่ก่อนอื่น มันต้องหาอาหารสำหรับ ‘ยุบพองหิวโหย’
เดินไปตามหน้าผาริมทะเล ไคลน์เข้าเขตท่าเรือโปโต
ตึกรามบ้านช่องที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีแบบแผนในการสร้าง ขาดความเป็นระเบียบหรือสมมาตร ถนนบางเส้นกว้างมาก บางเส้นแคบมากจนผ่านไปได้เฉพาะคน ในบางเขตแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า เพราะเมื่อแหงนหน้ามองก็จะพบผ้าที่ถูกแขวนไว้จำนวนมาก
ไคลน์ใช้ใบหน้าใหม่เตร็ดเตร่อยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวสักพัก เดินท่ามกลางผู้คนมากมายที่แต่งตัวเป็นโจรสลัด ก็จะเตรียมแวะเข้าผับหรือสถานที่ในทำนองเดียวกันเพื่อหาเหยื่อตามความเคยชิน
ทันใดนั้น มันพบว่ารอบป้ายประกาศในจัตุรัสขนาดเล็กด้านหน้า ผู้คนจำนวนมากกำลังมารวมตัวกัน
เกิดอะไรขึ้น? ไคลน์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อาศัยความสมดุลและความคล่องตัวของ ‘ตัวตลก’ แทรกผ่านช่องว่างระหว่างฝูงชน มาถึงจุดที่สามารถมองเห็นป้ายประกาศได้อย่างทุลักทุเล
บนกระดานข่าว มีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะทับกระดาษทุกแผ่น ปิดส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดของด้านล่าง ไคลน์จึงมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว
หัวข้อเขียนไว้ว่า:
เรือจักรพรรดิมืดรับสมัครลูกเรือ
เรือจักรพรรดิมืด? นี่มันเรือของ ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ผู้สามารถเดินทางผ่านโลกวิญญาณไม่ใช่หรือ? ราชาโจรสลัดรายนี้กำลังรับสมัครลูกเรือ? ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย จงใจพึมพำ
“เป็นไปได้ยังไง…”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?” ชายร่างท้วมข้างๆ ที่พับแขนเสื้อขึ้นสูงหัวเราะ “เมื่อก่อนอาจเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เป็นไปแล้ว!”
“ทำไม?” ไคลน์ที่กำลังรอให้ใครบางคนพูดขึ้น ชิงถามกลับทันที
ชายร่างท้วมเจ้าของรอยสักสีน้ำเงินเข้มที่แขนและแก้ม ส่งผลให้ดูก้าวร้าวและดุดัน เมื่อได้ยินคำถาม มันชี้ไปยังช่องทางเดินเรือปลอดภัยและกล่าว
“สัปดาห์ที่ผ่านมา ‘จักรพรรดิมืด’ และเรือหุ้มเกราะพลังไอน้ำ ‘พริสต์’ ที่โลเอ็นคุ้ยโม้มานาน เกิดการสู้รบทางทะเลอย่างดุเดือด ลูกเรือหลายคนของ ‘จักรพรรดิมืด’ เสียชีวิต เป็นเหตุใดต้องการกำลังคนเพิ่มเติมด่วน!”
อะไรนะ? ปฏิกิริยาแรกของไคลน์ก็คือ นี่ไม่สมเหตุสมผลในเชิงศาสตร์เร้นลับเอาเสียเลย
ตามเนื้อหาในหนังสือพิมพ์และข่าวลือต่างๆ ที่เคยได้ยินในทะเล ชายหนุ่มทราบว่า ‘พริสต์’ คือเรือรบหุ้มเกราะที่ทันสมัยตามปรกติ ไม่มีสิ่งใดพิเศษ อาจจะเหนือกว่า ‘จักรพรรดิมืด’ ในแง่ของพลังทำลายทางกายภาพ แต่รายหลังสามารถ ‘กระโจน’ ได้ด้วยความช่วยเหลือของโลกวิญญาณ เปรียบเสมือนพลัง ‘นักท่องเที่ยว’ ที่ใช้ได้กับคนกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เรือทันสมัยทั่วไปจะเป็นภัยคุกคาม
และนอกจากนั้น ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ยังน่าจะเป็นครึ่งเทพลำดับ 3 ของเส้นทาง ‘จักรพรรดิมืด’ เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในการต่อสู้ทางทะเล สามารถบิดเบือนวิถีของกระสุนปืนใหญ่ได้ไม่ยากเย็น หากเผชิญหน้ากับกองทัพเรือที่ไม่มีพลังพิเศษเข้ามาเกี่ยวข้อง เรียกได้ว่าแทบจะไร้รอยขีดข่วน
ในมุมมองของไคลน์ เรือทั้งสองลำมิใช่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าความจริงจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
โดยไม่เก็บซ่อนความประหลาดใจ ชายหนุ่มโพล่งออกไป
“แล้วพริสต์ล่ะ?”
ชายมาดดุดันส่ายหน้าและตอบ
“แทบไม่มีข่าวเลย แต่เท่าที่ได้ยินมาก็คือแทบไม่เสียหาย มีเพียงเรือสนับสนุนสองลำที่จมลง”
นี้มัน… ไคลน์ตกใจในตอนต้น แต่ไม่นานก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
มันนึกถึงสถานการณ์เมื่อครั้งมัมมี่ของตูตันส์ที่สองถูกขโมย กองทัพมีผู้วิเศษที่คอยใช้พลัง ‘กฎหมาย’ เพื่อเปลี่ยนให้ ‘พลังเร้นลับอ่อนแอลง พลังแห่งความจริงแข็งแกร่งขึ้น’ เมื่อพลังนี้มีผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ เรือ ‘จักรพรรดิมืด’ ที่เป็นเรือวิเศษจึงถูกลดทอนความสามารถลงหลายส่วนจนเกือบกลายเป็นเรือธรรมดา การต้องเผชิญหน้ากับเรือหุ้มเกราะติดอาวุธหนักไม่ใช่เรื่องง่าย แม้กระทั่งการหนี
จากข้อมูลดังกล่าว นั่นหมายความว่าต้องมีทหารระดับครึ่งเทพอยู่บนเรือ ‘พริสต์’ มิฉะนั้น ‘กฎหมาย’ ดังกล่าวคงไม่มีผลบังคับใช้
ในสถานการณ์แบบนี้ การปล่อยให้ ‘จักรพรรดิมืด’ หลบหนีไปได้สำเร็จ หมายความว่า ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์แข็งแกร่งมากจนน่าเหลือเชื่อ ในระดับต่ำกว่าเทวทูตทั้งหมด นาสต์น่าจะแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ … อา… เป็นเพราะการดำรงอยู่ของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ กองทัพของโลกนี้มีแนวโน้มจะพัฒนาจนกระทั่งมีศักยภาพใกล้เคียงกับโลกเก่า เพื่อให้สามารถต่อกรกับกองผู้วิเศษในระดับที่สูงกว่าตัวเอง… ไคลน์พยักหน้ารับ แต่ไม่มีคำถามเพิ่มเติม
สำหรับผู้วิเศษที่มีลำดับต่ำกว่า 4 ในสงครามปืนไฟขนาดใหญ่ หากไม่นับคนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการยิงปืนหรือป้องกัน คนที่เหลือคงทำอะไรไม่ได้มากกว่าคอยหลบในกำบัง เป็นหน่วยสนับสนุนอยู่ห่างๆ เช่นเดียวกันกับ ‘นักเชิดหุ่น’ หากมีหุ่นเชิดครบมือ นักเชิดหุ่นแทบไม่ต้องกลัวการดวลตัวต่อตัวกับใครในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ แต่ถ้าเป็นในสนามรบที่ถูกปกคลุมด้วยกระสุนปืนกล ความเปราะบางของร่างกายจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ถึงแม้จะมี ‘กระดาษคนตัวแทน’ คอยเอาตัวรอดก็ตาม แต่ในหลายกรณีก็ไม่สามารถกระโดดพ้นจากระยะยิง ต้องได้รับบาดเจ็บซ้ำขณะเผยตัวเนื่องจากตอบสนองได้ไม่เร็วพอ
ท่ามกลางสงครามที่ดุเดือดร้อนแรง ลำดับกลางที่มีประโยชน์มากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘วิญญาณอาฆาต’ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว พวกมันไม่กลัวกระสุนปืนใหญ่ ไม่ถูกศัตรูพบตัว และยังสามารถใช้ ‘เสียงหวีด’ เพื่อสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง… หลังจากไคลน์ผุดความคิดมากมาย ชายกำยำมาดดุดันเริ่มเป็นฝ่ายเปิดปาก
“นายคิดจะเข้าร่วมจักรพรรดิมืดไหม?”
“ลังเลอยู่” ไคลน์ตอบส่งๆ
ชายร่างท้วมที่มีรอยสักสีน้ำเงินเข้มทั่วแขน กล่าวด้วยความสนใจ
“ฉันคิดจะลองอยู่… ในที่นี้ มีไม่ถึงสิบคนที่สามารถเอาชนะฉันได้ แถมยังมีประสบการณ์โจรสลัดโชกโชน พวกมันจะเห็นหัวฉันแน่! แต่ว่านะ… ฉันจะไม่อยู่บน ‘จักรพรรดิมืด’ นานเกินไปนัก เพราะมีข้อบังคับที่น่าเบื่อมากเกินไป เช่นการห้ามปล้นมากเกินไป ห้ามฆ่าคนที่ไม่ขัดขืน ห้ามข่มขืนผู้หญิงเว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะสมยอม ให้ตายสิ เรื่องพวกนี้ฟังดูเหมือนโจรสลัดตรงไหน? แม้ว่า ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ จะเป็นหนึ่งในสี่ราชา ถูกขนานนามให้เป็นราชาโจรสลัดตัวจริง แต่กลับตั้งกฎเหลวไหลแบบนี้… แม่เย็*! ฉันชินกับวิถีชีวิตของโจรสลัดไปแล้วและชื่นชอบมันมาก จะไม่เปลี่ยนอีกเด็ดขาด! แต่ฉันได้ยินมาว่าลูกเรือของ ‘จักรพรรดิมืด’ สามารถมีพลังพิเศษได้ทุกคน ขอแค่เข้าร่วมเป็นสมาชิก… ดังนั้น ฉันจะเข้าร่วมกับพวกมันสักระยะ ก่อนจะออกมาตั้งกลุ่มโจรสลัดของตัวเอง”
ขณะชายกำยำพูดพล่ามน้ำลายแตกฟอง มันพบว่าสีหน้าแววตาของชายแปลกหน้าข้างๆ เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ลังเลสักพัก มันตัดสินใจถาม
“มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ทำไม?”
…
ดาบยาวที่ส่องประกายแวววาวด้วยน้ำมันสีเงิน แทงลงด้านล่างพร้อมกับตรึงร่างของบุคคลที่มีใบหน้าเหม่อลอยไว้บนพื้น
ร่างดังกล่าวบิดไปมา กระเสือกกระสน ก่อนจะค่อยๆ สลายเหลือเพียงความว่างเปล่าท่ามกลางละอองแสงสีเงิน
โคลิน·อีเลียดดึงดาบกลับ เหยียดตัวตรง มองไปรอบๆ และพบว่าอาวุโสสองคนแห่ง ‘หกสภาอาวุโส’ ฮอยต์และโลเฟียร์ เสร็จสิ้นการเก็บกวาดเป้าหมายที่รับผิดชอบ บริเวณรอบแม่น้ำกลายเป็นเขตปลอดศัตรู
ทันใดนั้น เหนือแม่น้ำที่ดูมายาและมืดมิด เรือลำหนึ่งแล่นมาจากฝั่งตรงข้าม หยุดเทียบท่าใกล้กับคนทั้งสาม
ได้เห็นฉากตรงหน้า โคลินหายใจเข้าออกเชื่องช้า พึมพำด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึม
“ผู้ส่งวิญญาณ…”
โคลินเคยทำงานร่วมกับอดีตเจ้าเมืองเป็นเวลานาน ค่อนข้างคุ้นเคยกับอีกฝ่าย ทั้งคู่ต่างทราบว่า ปัญหาหลักของเมืองเงินพิสุทธิ์ก็คือการขาดแคลนโอสถลำดับ 3 ‘อัศวินสีเงิน’ แห่งเส้นทางคนยักษ์ ส่งผลให้ทุกคนที่ก้าวมาเป็นครึ่งเทพไม่มีหนทางให้มุ่งหน้าไปต่อ ทางเลือกเดียวคือสลับไปเป็นลำดับ 3 ของเส้นทางใกล้เคียง จนกระทั่งในภารกิจสำรวจครั้งหนึ่ง แสงแห่งความหวังได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน เนื่องจากพวกมันพบสูตรโอสถลำดับ 3 ของเส้นทาง ‘ฟีนิกซ์’
ผู้ส่งวิญญาณ!
นับแต่นั้นเป็นต้นมา อดีตเจ้าเมืองเริ่มสร้างอนุสาวรีย์บรรจุศพแห่งนี้และย้ายตัวเองเข้ามาอาศัย ปิดตายทางเข้าออก
หลังจากสังเกตอย่างเงียบงันสักพักด้วยอักขระสีเขียวเข้มในดวงตา โคลิน·อีเลียดพูดอย่างใจเย็น
“ขึ้นเรือกันเถอะ”
ฮอยต์และโลเฟียร์ไม่แสดงความคัดค้าน เชื่อมั่นในการตัดสินใจของเจ้าเมืองอย่างเต็มที่ เดินตามหลังไปอย่างใกล้ชิด ขึ้นเรือที่มืดมนและแปลกประหลาด
ระหว่างนี้ ทั้งสามปราศจากความลังเลหรือมัวชมวิวโดยรอบ ไม่มีการชะลอฝีเท้า ราวกับไม่ได้ลงสำรวจ แต่เป็นการเดินทางที่มีจุดหมายปลายทางแน่นอน
เรือออกตัวอย่างเชื่องช้า ล่องข้ามแม่น้ำที่มายาและมืดมิด แล่นตรงไปเป็นทางยาว
แขนที่เปื้อนเลือดและหนวดรยางค์ลื่นตะเกียกตะกายโผล่พ้นผิวน้ำอย่างบ้าคลั่ง พวกมันพยายามทุบเรือ แต่ก็ไม่ทิ้งร่องรอย ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบแม้แต่น้อย
ผ่านไปเพียงสิบวินาที อาวุโสทั้งสามแห่ง ‘หกสภาอาวุโส’ ก็มาถึงอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำมายา
ที่นี่มีแท่นบูชาตั้งอยู่ ด้านบนมีโลงศพเหล็กสีดำ
โคลิน·อีเลียดกระโดดออกจากเรือทันที ชักดาบยาวออกมาเพิ่มอีกหนึ่งเล่ม เมื่อเทียบกับในช่วงแรก ปัจจุบันมันระมัดระวังตัวกว่าเดิมหลายเท่า
ถัดมา ฮอยต์ถือค้อนเหล็กสีเทา กระโดดลงฝั่งพร้อมกับเสียงทึบ ส่งผลให้ดินโดยรอบสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน
หลังจากเพ่งมองโลงศพขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยกะโหลกสัตว์ประหลาดจำนวนมาก ฮอยต์เดินไปข้างหน้าสองก้าว วางค้อนยาวลงตรงหน้าพร้อมกับหยิบคันศรล่ามังกรออกมาถือ
แต่ทันใดนั้น ฮอยต์พลันคันคะเยอที่หลังมือ มันก้มมองลงตามสัญชาตญาณและพบว่า รูขุมขนในบริเวณดังกล่าวมีขนสีขาวละเอียดที่เปื้อนน้ำมันสีเหลือง กำลังงอกเงยออกมาอย่างต่อเนื่อง
…
ณ ท่าเรือโปโต หลังจากไคลน์ให้อาหาร ‘ยุบพองหิวโหย’ มันเดินหาโรงแรมและเปิดห้องที่ไม่สะอาดสักเท่าไร
จากนั้น ชายหนุ่มเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอกสีเทา
ในท่านั่งบนเก้าอี้ ‘เดอะฟูล’ ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงอะซิกออกมาถือ ตามด้วยการเสกกระดาษและปากกา เขียนประโยคทำนายที่เกี่ยวข้องลงไป
“สาเหตุของความผิดปกติที่เกิดกับนกหวีดทองแดงในวันนี้”
ราชันเร้นลับ 901 : กระดาษคนกลายพันธุ์
ในครั้งนี้ ไคลน์มิได้นำนกหวีดทองแดงอะซิกเข้าสู่มิติเหนือสายหมอกโดยตรง แต่ใช้วิธีเดียวกับการทำนาย ‘ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่กลายพันธุ์’ ในครั้งแรก เป็นการทำนายผ่าน ‘ภาพฉาย’ ของวัตถุ แม้วิธีนี้จะทำให้ความแม่นยำลดลงอาจส่งผลให้ไม่ได้รับวิวรณ์สำคัญ แต่ด้วยพลังของมิติหมอก วัตถุที่ถูกทำนายสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดความเสียหาย
มันยังจำได้แม่นยำ เมื่อครั้งที่ใช้ใบหูสีดำจาก ‘ผู้สดับ’ เพื่อลองทำนายหาต้นกำเนิด สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ถูก ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ แผ่อิทธิพลโดยตรงจนเปลี่ยนสภาพกลายเป็นยันต์
ดังนั้น เมื่อสงสัยว่าผลลัพธ์ของการทำนายอาจชี้ไปยังศพหรือร่างกายที่ยังเหลือของ ‘เทพมรณา’ ซึ่งยังหลงเหลือกลิ่นอายของเทพแท้จริงลำดับ 0 ที่สามารถสร้างทะเลคลั่งอันเกรี้ยวกราดขึ้นมา ไคลน์ตัดสินใจเก็บนกหวีดทองแดงอะซิกไว้ในโลกความจริง เลือกจะทำนายด้วยภาพฉายแทน หลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความเสียหายกับวัตถุแสนสำคัญชิ้นนี้ เพราะท้ายที่สุด ‘เทพมรณา’ และ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ นั้นอยู่ในระดับเดียวกัน!
แล้วทำไมไคลน์ถึงกล้าใช้ ‘การเดินทางของกรอซาย’ โดยตรงในการทำนายหาต้นกำเนิด? นั่นก็เพราะ ‘มังกรจินตภาพ’ ร่วงหล่นไปเป็นเวลานานมากแล้ว ตะกอนพลังที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ได้รับการถ่ายทอดทางสายเลือด เปลี่ยนมือไปหลายครั้ง และตัวบันทึกการเดินทางเองก็แข็งแรงมาก แม้กระทั่งการโจมตีอย่างเต็มรูปแบบของ ‘คทาเทพสมุทร’ ก็มิอาจสร้างความเสียหาย ละด้วยเหตุผลเดียวกัน มิสเตอร์ประตูก็มีลำดับอย่างมากไม่เกิน ‘ราชาเทวทูต’ แถมยังอยู่ในสภาพที่ถูกเนรเทศและกักกัน ลำพังการส่งเสียงเพรียกยังทำได้ลำบาก เป็นการยากมากที่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่มิติหมอก
ต่อให้เราได้รับบาดเจ็บหรือถูกกัดกร่อน ก็ยังสามารถฟื้นตัวได้เร็วมากด้วยพลังของมิติเหนือสายหมอก แต่ถ้านกหวีดทองแดงถูกทำลาย มันก็จะหายไปตลอดกาล ไม่สามารถติดต่อมิสแล้วมันแตกจริงๆ ไม่สามารถติดต่อมิสเตอร์อะซิกได้อีกเลย และไม่สามารถใช้เพื่อดึงดูดสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดด… ไคลน์ถือนกหวีดทองแดงและกระดาษที่มีประโยคทำนายอย่างใจเย็น เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปิดตาครึ่งหนึ่งพลางเข้าฌานและท่องมนต์เสียงต่ำ
“สาเหตุของความผิดปกติที่เกิดกับนกหวีดทองแดงในวันนี้”
หลังจากท่องเจ็ดครั้งติดต่อ ไคลน์หลับสนิท เข้าสู่ภวังค์ความฝัน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันเห็นอนุสาวรีย์บรรจุศพที่มืดสนิทและเย็นยะเยือก เห็นบันไดสีเข้มที่ทอดยาวลงมา เห็นโลงศพวางเรียงรายเป็นจำนวนมาก
โลงศพทั้งหมดเปิดอยู่ ด้านในมีศพคนตาย บนตัวศพมีขนสีขาวเปื้อนน้ำมันสีเหลืองงอกเต็มหลัง
กระทั่งในความฝัน ไคลน์พบว่าตนคุ้นเคยกับฉากนี้มาก ประหนึ่งเคยเห็นมันมาก่อน
ทันใดนั้น คล้ายกับชายหนุ่มได้กลิ่นเหม็นเน่า ได้ยินเสียงหอบกระเส่าอย่างเชื่องช้า สัมผัสได้ถึงความมืดอันแสนสิ้นหวังที่ค่อยๆ ทวีความเข้มข้น เกิดความรู้สึกอยากตายอย่างบอกไม่ถูก
โดยทันทีทันใด เสียงพูดเพียงสูงๆ ต่ำๆ เริ่มดังกังวาน เหล่าคนตายที่นอนหงายในโลงศพเริ่มลอยตัวขึ้น สายตามองออกไปนอกความฝันด้วยใบหน้าครึ่งหนึ่งเน่าครึ่งหนึ่งซีด!
ตึกตัก! หัวใจไคลน์เต้นระรัวอย่างมิอาจยับยั้ง ประหนึ่งถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็นและกระชากออกจากหน้าอก
ระหว่างนี้ ความฝันของชายหนุ่มแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฉากตรงหน้ากลับมาเป็นความว่างเปล่า
ภาพสุดท้ายที่ไคลน์เห็นคือ ศพเหล่านั้นไม่เพียงจะมีขนสีขาวที่แผ่นหลัง แต่ส่วนที่เหลือของผิวหนังก็ยังมีท่อบางๆ สีดำที่แทบจะเป็นภาพมายา เสียบเข้าไปในร่างกายศพ ปลายอีกด้านหนึ่งเชื่อมต่อไปยังส่วนที่ลึกของอนุสาวรีย์บรรจุศพที่ปกคลุมหมอกสีดำหนาแน่น ชั่วร้าย และเยือกเย็นไร้ขอบเขต
หมอกสีดำบรรจงหดตัวและขยายตัว มาพร้อมกับเสียงหอบกระเส่า ภาพเคลื่อนไหวดังกล่าวยังคงคมชัดในสายตาและโสตประสาทของไคลน์ อิทธิพลของมันทำให้ผิวหนังชายหนุ่มซีดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเริ่มเน่าและพุพองเป็นหนอง ตามรูขุมขนมีขนนกเปื้อนน้ำมันสีเหลืองผุดขึ้นเป็นปุยสีขาวละเอียด นกหวีดทองแดงของอะซิกในมือแตกกระจัดกระจายกลายเป็นหมอกดำ
ทั่วทั้งพระราชวังโบราณ โต๊ะยาวที่มีร่องรอยเก่าแก่ผุพังและล้มครืนในพริบตา เก้าอี้พนักสูงยี่สิบสองตัวถูกปกคลุมด้วยขนนกสีขาวราวกับว่าจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง
ทันใดนั้น หมอกสีเทาบนพื้นเริ่มเคลื่อนตัวอย่างเงียบงัน ส่งผลให้มิติลึกลับด้านบนสั่นสะเทือนแผ่วเบา ทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็วประหนึ่งไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ไคลน์ที่ล้มลงไปบนพื้น เอื้อมมือจับขาโต๊ะ บรรจงพยุงตัวขึ้นเพื่อนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ชายหนุ่มลูบหน้าผาก เริ่มการเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว
รุนแรงน้อยกว่า ‘ผู้สร้างที่แท้จริง’ และ ‘สุริยันเจิดจรัส’ แต่รุนแรงกว่าเหนือมิสเตอร์ประตู อย่างไรก็ตาม เราไม่แน่ใจว่าการถูกกักขังของมิสเตอร์ประตูจะทำให้พลังอ่อนแอลงไปกี่ส่วน ทำให้ส่งพลังเข้ามาในมิติหมอกได้น้อย
เรากำลังคิดอะไรอยู่? ต่อให้เป็นครึ่งเทพ ก็ใช่ว่าจะทนรับสิ่งเหล่านี้ได้สบายๆ สักหน่อย…
น่าเสียดาย เราไม่ได้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหมอกสีดำ ไม่อย่างนั้นอาจได้รับสูตรโอสถบางชนิด หรือไม่ก็ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับจำนวนมาก…
ไคลน์นึกเสียดายอย่างอธิบายไม่ถูก มองไปยังด้านข้างของเก้าอี้ เห็นหมอกสีดำมายากำลังลอยตัว
หมอกเหล่านี้เกิดจาก ‘ภาพฉาย’ นกหวีดทองแดงของอะซิกที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไม่รู้สึกถึงพลังอะไรเลย… แปลว่าไม่สามารถใช้เป็นยันต์… แล้วนำไปใช้ทำอะไรได้? หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน ‘เทวทูตกระดาษ’ ถูกเรียกมาจากกองขยะและโยนเข้าใส่หมอกสีดำมายา
ในวินาทีที่วัตถุสองชนิดสัมผัสกัน พวกมันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวทันที กระดาษคนตัวแทนเปลี่ยนเป็นสีดำที่มอบบรรยากาศลุ่มลึก ขณะเดียวกันก็มีขนสีขาวเปื้อนน้ำมันสีเหลืองงอกออกมาจากด้านหลัง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคงอยู่เพียงหนึ่งวินาที ก่อนที่กระดาษคนตัวแทนจะกลับสู่สภาพเดิม แต่ไม่ทั้งหมด เค้าโครงเปลี่ยนไปกลายเป็นกึ่งจริงกึ่งมายา
นอกจากนั้นยังมีลวดลายคล้ายขนนกถูกวาดจนทั่วด้านหลังของกระดาษคน
เราจะใช้เจ้านี่ทำอะไรได้บ้าง? ไคลน์เสกให้กระดาษคนกลายพันธุ์กระดาษลอยมาตกลงบนฝ่ามือในสภาพหงายหลัง
ชายหนุ่มไม่กล้าใช้การทำนายเพื่อยืนยันผล กลัวที่จะเห็นฉากในความฝันอีกครั้ง แต่ในครั้งถัดไป หลังจากอีกฝ่ายเตรียมตัวเป็นอย่างดี ความรุนแรงคงเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า
หลังจากการตรวจสอบซ้ำไปมาหลายหน ไคลน์ได้ข้อสรุปเบื้องต้นจากความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับของตน
อาจไม่มีพลังใดแฝง แต่ตัววัสดุมีความพิเศษ บางที หากนำ ‘กระดาษคนตัวแทน’ ชิ้นนี้ไปสร้าง ‘เทวทูตกระดาษ’ อาจเกิดผลลัพธ์พิสดารในขอบเขตของเทพมรณา
เหมือนกับฮาร์โมนิก้านักผจญภัย ถึงจะไม่มีพลังแฝง แต่ก็สามารถเรียกผู้ส่งสารที่ทรงพลังได้…
ไคลน์เสก ‘กระดาษคนกลายพันธุ์’ ไปเก็บทันที กลับมาเพ่งสมาธิเพื่อตีความภาพในความฝัน
สุสานมืด… โลงศพมีฝาเปิด… ศพที่มีขนนกงอกจากด้านหลัง… หมอกสีดำเข้มข้น… วิวรณ์เหล่านี้ดูเหมือนจะชี้ไปยัง ‘เทพมรณา’ หรือของสำคัญที่ ‘เทพมรณา’ ทิ้งไว้… หรือไม่ก็… ผลงานจากโครงการสร้างเทพมรณาเทียมของนิกายวิญญาณ?
หืม… แล้วทำไมเราถึงพบว่าฉากเมื่อครู่คุ้นตานัก?
ไคลน์นึกทบทวนอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งพบคำตอบในไม่ช้า
ฉากที่คล้ายกัน มันเคยเห็นในการทำนายเมื่อนานมาแล้ว!
ณ ตอนนั้น ประโยคทำนายที่เขียนลงไปก็คือ ‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้าปกปิดเรื่องของมิสเตอร์อะซิกโดยไม่ให้เหยี่ยวราตรีรับรู้’
ในความฝันมีสองฉาก ฉากแรกเป็นตัวเองกำลังจมอยู่ในทะเลเลือด แต่ในภายหลังถูกมิสเตอร์อะซิกช่วยไว้ อีกหนึ่งฉากก็คือ คนทั้งสองกำลังอยู่ในสุสานที่มืดมิดและหนาวเหน็บ ท่าทางคล้ายกับกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง!
ไคลน์เคยตีความไว้ว่า ฉากแรกหมายถึงตัวเองถูกมิสเตอร์อะซิกช่วยชีวิตไว้ ฉากที่สองหมายถึง ทั้งสองคนช่วยกันสำรวจอนุสาวรีย์บรรจุศพด้วยกัน หรือไม่ก็สถานที่บางอย่างที่เกี่ยวข้อง
เรื่องแรกได้รับการยืนยันแล้วเมื่อครั้งอุกกาบาตตกลงมาในกรุงเบ็คลันด์ เรื่องหลังมีเบาะแสเพิ่มเติมแล้วในวันนี้!
กำลังจะบอกว่า มิสเตอร์อะซิกและเรากำลังจะไปสำรวจอนุสาวรีย์บรรจุศพที่ ‘เห็น’ เมื่อครู่? แต่สถานที่ดังกล่าวอันตรายมาก สิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหมอกสีดำนั้นมีระดับสูงมาก อ่อนแอกว่าเทพแท้จริงเล็กน้อยเท่านั้น แถมยังเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย! ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดว่าการเข้าไปสำรวจตรงๆ คงไม่ใช่เรื่องดีนัก
ชายหนุ่มเกิดความคิดที่ว่า ตนต้องหยุดมิสเตอร์อะซิกให้ได้ แต่เพียงไม่นานก็รู้สึกคลางแคลงใจ เพราะภาพการทำนายที่เห็นน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ ‘ต้อง’ เกิดขึ้นในอนาคต ไม่น่าจะหลีกเลี่ยงได้ง่ายนัก ไม่อย่างนั้น การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาอาจทำให้มีจุดจบที่แย่กว่าเดิม
อย่างน้อยในครั้งแรก ฉากที่เห็นมีเพียงการสำรวจ ไม่ได้เกิดอันตรายร้ายแรง… อาจจะมีทางเลี่ยงแบบอ้อมๆ … นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไม ‘นักทำนาย’ ถึงมักจะตอบคำถามอย่างคลุมเครือ เพราะในบางครั้ง ระบุอย่างชัดเจนอาจทำให้เกิดผลลัพธ์ตรงกันข้าม! ไคลน์ตัดสินใจแล้วว่า ไว้ค่อยนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมิสเตอร์อะซิกในตอนที่พบกันคราวหน้า
หลังจากกำหนดเป้าหมาย ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ มองไปยังหลังคาโดมของพระราชวัง ส่งตัวเองออกจากมิติเหนือหมอกสีเทา
…
แสงสว่าง – แสงแห่งรุ่งอรุณอันบริสุทธิ์และคมชัดกำลังส่องสว่างจากร่างกายหนึ่งในอาวุโสแห่งหกสภาอาวุโส ไม่ใช่ฝีมือของใครนอกจากอีกหนึ่ง ‘นักล่าปีศาจ’ ฮอยต์·เฌอมงต์ แสงสว่างส่งผลให้เส้นขนสีขาวที่งอกขึ้นตามรูขุมขนบนผิวหนังเริ่มสลายตัว รวมไปถึงยับยั้งการยุบพองของเนื้อหนังที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา
กล้ามแขนของมันพองออกขณะดึงสายคันศรฆ่ามังกรไปด้านหลัง เปลี่ยนให้สายฟ้าสีเงินอันเจิดจ้าคล้ายแสงรุ่งอรุณ ควบแน่นกลายเป็นลูกศรอันทรงพลัง
ลูกศรพุ่งตรงไปข้างหน้า ปลายทางคือแท่นบูชาที่เต็มไปด้วยหัวกะโหลกสัตว์ประหลาด กระทบเข้ากับโลงศพเหล็กดำในพริบตา
ศรสายฟ้าเริ่มจางลงก่อนจะสลายไป ไม่สร้างผลกระทบใดกับโลงศพเหล็กดำ
ไม่สิ บริเวณโดยแท่นบูชากลับยิ่งทวีความมืดมัวและหม่นหมอง!
ภายในโลงเหล็กสีดำ เสียงกระดูกลั่นดังเล็ดลอดออกมา
“ทำไมกัน… ทำไมต้องมารบกวนการพักผ่อนของข้า?”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว หัวใจของฮอยต์พลันดำดิ่ง เนื่องจากจิตสังหารของอีกฝ่ายไม่มีการปกปิดหรืออำพราง หมายความว่าอดีตเจ้าเมืองอาจกลายเป็นสัตว์ประหลาดเรียบร้อยแล้ว
แสงแห่งความหวังของเมืองเงินพิสุทธิ์ มาถึงทางตันอีกครั้ง
โครม! ฝาโลงศพลอยขึ้นในสภาพขาดสองท่อน กลุ่มก้อนหมอกสีดำขนาดใหญ่ฟุ้งกระจายจากด้านล่างอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางฉากตรงหน้า ฮอยต์เห็นร่างหนึ่งบรรจงยืนขึ้นจากโลงศพเหล็ก สูงเกือบสี่เมตร มือยาวเท้ายาว ผิวหนังตรงลำตัวปกคลุมไปด้วยขนนกสีขาวเปื้อนน้ำมันเหลือง แผ่นหลังมีสิ่งที่คล้ายกับท่อมายาบางๆ สีดำเสียบอยู่ ปลายอีกด้านเชื่อมต่อกับบางสิ่งที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
หลังหกสภาอาวุโสทั้งสาม แม่น้ำสีดำก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์ที่เต็มไปด้วยแขนเปื้อนเลือด หนวดรยางค์ และเถาวัลย์นานาชนิด
ทันใดนั้น ฮอยต์เห็นร่างกายของเจ้าเมืองคนปัจจุบันเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เห็นเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่ถูกกล้ามเนื้อซึ่งกำลังพองออกค่อยๆ ฉีกขาดทีละส่วน
ราชันเร้นลับ 902 : เงา
เพียงพริบตา โคลินกลายเป็น ‘คนยักษ์’ สูงกว่าสี่เมตร ผิวหนังลำตัวกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ทุกตารางนิ้วของผิวหนัง ทุกรูขุมขน และทุกเลือดเนื้อ คล้ายกับกำลังวิวัฒนาการจนก้าวข้าวสามัญสำนึกของมนุษย์ปกติ เมื่อรวมทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกัน จะมอบความรู้สึกน่าสะพรึงที่ยากอธิบายเป็นคำพูด
นี่ไม่ใช่การพัฒนาในเชิงสามมิติอีกต่อไป นอกจากหน่วยวัดทางด้านความยาว ความกว้าง และความสูง ยังมีหน่วยข้อมูลจำพวกความแข็งแกร่งทางพลังวิญญาณและมาตรวัดคุณภาพในเชิงอื่น ทุกสิ่งพัฒนาขึ้นอย่างท่วมท้นท่ามกลางสัญลักษณ์และอักขระลึกลับซับซ้อน แต่ในความเป็นจริง ร่างกายของโคลิน·มิเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด การที่มนุษย์คนอื่นเห็นว่ามันอยู่ในร่างคนปรกติยามปรกติ นั่นเป็นเพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์มิอาจหยั่งถึงความเป็นจริงที่ถูกเก็บซ่อน แต่เมื่อได้เห็นร่างที่แท้จริงโดยปราศจากการปกปิด มนุษย์ที่ไม่มีเศษเสี้ยวความเป็นเทพจะถูกปนเปื้อนและกัดกร่อนทางวิญญาณ ทำลายจิตใจ สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก หากจะเสียชีวิตหรือฟั่นเฟือนคาที่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
ดังนั้นในเชิงศาสตร์เร้นลับ สิ่งมีชีวิตชนิดนี้จึงถูกเรียกว่า:
สัตว์ในตำนาน!
แต่สำหรับปัจจุบัน ศีรษะของโคลินมิได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ เพียงบวมพองกว่าปรกติเล็กน้อย และจากหน้าผากถึงหัวคิ้วมีช่องรอยแยกสีเข้มคล้ายดวงตาในแนวตั้ง
ก่อนจะถึงลำดับ 2 ร่างของสัตว์ในตำนานจะยังไม่สมบูรณ์!
และสำหรับตัวตนที่ทรงพลังในระดับนี้ การเผยร่างสัตว์ในตำนานมีทั้งข้อดีและข้อเสียชัดเจน ในแง่หนึ่ง ร่างสัตว์ในตำนานสามารถนำมาซึ่งความแข็งแกร่งและยกระดับตัวตนทางธรรมชาติ แต่ในทางกลับกัน ร่างสัตว์ในตำนานจะมาพร้อมแนวโน้มของภาวะเสียสติและคลุ้มคลั่ง นี่ไม่ใช่บททดสอบทางจิตใจเด็กเล่น แต่มีเพียงบุคคลที่จิตเข้มแข็งเท่านั้นจึงจะทนรับไหว
ดังนั้นในกรณีของนักบุญส่วนใหญ่ หากไม่ถูกผลักดันจนหมดสิ้นหนทาง จะไม่คิดเผยร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์เด็ดขาด อย่างมากก็เลือกที่จะเปิดเผยแค่บางส่วนของร่างกาย เพราะสำหรับพวกมัน สิ่งนี้ไม่ต่างจากการเต้นรำบนใบมีดเช่น ง่ายต่อการประสบภาวะคลุ้มคลั่ง ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง
โดยส่วนมากแล้วจะมีผู้วิเศษอยู่สองจำพวก พวกแรกเป็นชนกลุ่มน้อยที่ปลดปล่อยจิตใจให้ไหลไปตามธรรมชาติ ถูกความเลวทรามและชั่วร้ายกัดกิน ส่วนอีกพวกหนึ่งคือกลุ่มที่มีเจตจำนงแน่วแน่และมีจิตใจเข้มแข็ง สำหรับกลุ่มแรก หากเปิดเผยร่างสัตว์ในตำนานของตัวเอง ส่วนมากจะเกิดภาวะคลุ้มคลั่งทันที เปลี่ยนกลับเป็นสภาพปรกติไม่ได้ สำหรับกลุ่มหลัง พวกมันสามารถใช้ร่างสัตว์ในตำนานเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การต่อสู้ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจนำพาไปสู่ภาวะคลุ้มคลั่งและเสียสติมากนัก แน่นอน ใช่ว่าจะไม่มีผลข้างเคียงหลงเหลืออยู่เลย เพราะสำหรับบุคคลที่กำลังเดินไปบนขอบเหว ทุกการเปิดเผยร่างจริงจะยิ่งทำให้ถูกกัดกร่อนลึกลงไปกว่าเดิม ไม่มีทางหลีกเลี่ยงปัญหาได้อย่างสมบูรณ์
จากบรรดา ‘หกสภาอาวุโส’ แห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ทั้งหมด เจ้าเมืองโคลินเป็นเพียงน้อยคนที่สามารถควบคุมร่างสัตว์ในตำนานของ ‘นักล่าปีศาจ’ ได้อย่างชำนาญ
ในท่าถือดาบยาวสองเล่มที่ถูกฉาบน้ำยาต่างชนิดกัน ทันทีที่ก้าวเท้าขวาออกไปข้างหน้า ร่างกายโคลินพลันกระโจนขึ้นไปในอากาศพร้อมกับเสียงแผ่นดินสั่นสะเทือน กระโดดทีเดียวจนถึงด้านบนแท่นบูชา ตะครุบใส่อดีตเจ้าเมืองที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยขนนกสีขาว
ตามพื้นผิวของร่างกายคนยักษ์ แสงรุ่งอรุณพลันพวยพุ่งออกมาทุกทิศ ขจัดปัดเป่าความมืดโดยรอบ ชำระล้างสิ่งมีชีวิตอันน่าสยดสยองจำนวนมากในแม่น้ำมายาด้านหลัง
ขณะเดียวกัน ฮอยต์·เฌอมงต์ง้างสายคันศรล่ามังกรออกไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนให้ศรฟ้าร้องสีเงินอันงดงามและแพรวพราว ควบแน่นจนกลายเป็นคลื่นพลังงานที่ปั่นป่วน ก่อนจะพุ่งแหกอากาศเข้าไปหาอดีตเจ้าเมืองที่กลายเป็นสัตว์ประหลาด
โลเฟียร์หลับตาลงในท่าเตรียมพร้อม อัศวินเกราะเงินสูงกว่าห้าเมตรด้านหลังเธอเริ่มลากดาบยักษ์มายา พุ่งปรี่เข้าหาแท่นบูชาซึ่งหน้าพร้อมกับฟันสับและสร้างรอยแยกที่มีแสงสีเงินท่วมท้น
นอกจากนั้น บริเวณปลายเท้าอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ เงาดำเริ่มยุบพองตัวเองราวกับมีชีวิตขึ้นมา
เงาดำพุ่งออกจากโลเฟียร์อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสภาพแวดล้อมมืดสลัวที่มีแสงรุ่งอรุณสว่างจ้าหลายชุด เงาดำส่งตัวเองแล่นผ่านกลุ่มเงามืด มุ่งหน้าไปยังโลงศพเหล็กสีดำด้านบนแท่นบูชา
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของมันดูเหมือนจะไม่ใช่อดีตเจ้าเมืองที่กลายพันธุ์ แต่เป็นท่อที่เสียบอยู่ในภายในร่างกายอีกฝ่าย เป็นท่อมายาสีดำบางๆ ที่เชื่อมต่อลึกเข้าไปด้านหลังอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด!
…
หลังจากไคลน์กลับสู่โลกความจริง มันได้ยินเสียงคลื่นทะเลข้างนอกกำลังปั่นป่วน ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ไม่มีวี่แววว่าจะสงบลง
ชายหนุ่มเดินไปที่หน้าต่างห้องด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย มองลอดผ่านช่องว่างระหว่างบ้านสองหลังที่ไม่เป็นระเบียบ จนพบว่าด้านนอกท่าเรือโปโตกำลังเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆ คลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า และพายุสีดำ ทั้งหมดกำลังตั้งแนวสูงจากทะเลสู่ผืนนภา โดยมีฉากหลังเป็นสายฟ้าสีเงินกำลังตัดผ่าทุกสิ่งอย่างเงียบงัน
ราวกับประตูสู่วันโลกาวินาศกำลังถูกเปิดออก
และภายในเมืองท่า ห้วงอากาศที่เคยว่างเปล่าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีโปร่งแสง เผยให้เห็นโครงกระดูกอ้าปากกว้าง เถาวัลย์ที่คอยอุ้มชูใบหน้าของเด็กทารก ท่อนแขนเปื้อนเลือด หนวดรยางค์ลื่นๆ ที่มีรูปร่างพิสดาร กำลังพยายามทะลวงผ่านกำแพงที่กั้นแบ่งระหว่างโลกความจริงและอีกฟากหนึ่ง ทั้งน่ากลัวและสยดสยองเหนือคำบรรยาย
ฉากตรงหน้าสร้างความหวาดผวาให้กับโจรสลัดจำนวนมาก แข้งขาของพวกมันเริ่มอ่อนแรง ไม่กล้ายืนกลางถนนอย่างองอาจ พากันหนีตายเข้าไปในบ้านที่ใกล้ที่สุด
เงาดำและภูตผีที่แทบจะมองไม่เห็นกำลังบินว่อน บ้างผลุบๆ โผล่ๆ พลางเข้ามาใกล้ใบหูของมนุษย์ ทำท่าทางคล้ายกับกำลังหวีดร้อง แต่สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ในวินาทีนี้ ท่าเรือโปโตประหนึ่งตกถูกครอบงำด้วยโลกแห่งความตาย หรืออีกชื่อหนึ่งคือยมโลก ทั้งมืดมน สับสน และบ้าคลั่ง
ไคลน์ขมวดคิ้ว เข้าใจอย่างคลุมเครือว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
การทำนายเหนือหมอกสีเทาของมันเมื่อครู่ กระตุ้นให้สิ่งที่อยู่ลึกลงไปในสุสานอันเย็นเยียบเดือดดาล มันจึงระบายอารมณ์ ทำการเปลี่ยนสภาพอากาศในทะเลคลั่งและท่าเรือโปโต สร้างบรรยากาศประหนึ่งว่าโลกแห่งความกำลังจะมาเยือน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สุสานดังกล่าวซ่อนอยู่ในทะเลคลั่ง… น่าจะเป็นมรดกของที่เทพมรณาเหลือสิ่งไว้… แน่นอน สุสานดังกล่าวอาจเป็นส่วนหนึ่งในโครงการสร้างมรณาเทียมของนิกายวิญญาณ เกิดจากการ ‘หลอมรวม’ เข้ากับมรดกของเทพมรณา… ไคลน์ถอนสายตากลับ รีบประกอบพิธีกรรม สังเวยนกหวีดทองแดงของอะซิกเข้าไปยังมิติเหนือสายหมอก เพื่อไม่ให้ตัวตนลึกลับและชั่วร้ายใช้เป็นเครื่องระบุตำแหน่ง
จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มมองออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยสายตาพร่ามัว หัวเราะแห้งกับตัวเอง
ถึงกับต้อนรับกันแบบนี้… ขยันขันแข็งไม่เลว…
อา… นิกายวิญญาณคงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในทะเลคลั่งแน่นอนแล้ว อยากรู้เหมือนกันว่าพวกมันจะทำยังไงต่อ…
…
เหนือแม่น้ำมายาที่มืดมน คลื่นยักษ์ค่อยๆ ลดขนาดลง ท่อนแขน เถาวัลย์ และหนวดรยางค์ที่พยายามคว้าบางสิ่ง ทยอยระเหยไปทีละหนึ่งจนเกือบหมด บ้างก็เลือกที่จะถอยกลับ
รอบแท่นบูชา ผืนดินเต็มไปด้วยรอยแตกแขนง ขนสีขาวเปื้อนน้ำมันสีเหลืองกระจัดกระจายจนทั่ว
โคลิน·อีเลียดในร่างยักษ์ ทำการเสียบดาบยาวสองเล่มเข้าไปในร่างอดีตเจ้าเมือง ตรึงสัตว์ประหลาดเน่าเฟะซึ่งสูงน้อยกว่าตัวเองไม่มากไว้กับแท่นบูชาที่มีสภาพยับเยิน คันศรล่ามังกรในมือฮอยต์·เฌอมงต์กำลังควบแน่นลูกศรสายฟ้าสีเงินที่เต็มไปด้วยออร่าเกรี้ยวกราด เป้าถูกเล็งไปยังศีรษะของอดีตเจ้าเมืองที่หลงเหลือเลือดเนื้อเพียงเล็กน้อย
เงาที่โลเฟียร์แยกออกไป ภายใต้การคุ้มครองของอัศวินในชุดเกราะสีเงิน พุ่งไปถึงแท่นบูชาได้สำเร็จ ฉวยโอกาสที่อาวุโสอีกสองกำลังมีสมาธิกับเรื่องอื่น เงาดำพลันกระโจนขึ้นไปในอากาศ ปรี่เข้าหาท่อมายาสีดำที่ทอดยาวลึกเข้าไปอย่างไร้ก้นบึ้ง
เมื่อเริ่มเข้าใกล้ท่อมายา สีของเงาดำทวีความมืดมิดยิ่งกว่าเก่า ประหนึ่งอัดกำลังแน่นไปด้วยความคิดที่เลวทรามและชั่วร้ายที่สุดในใจมนุษย์
ทันใดนั้น เสียงคำรามต่ำดังกังวานไปทั่วแท่นบูชา
“ชะตา!”
พื้นที่บริเวณ ‘ด้านหน้า’ เงาดำพลันมืดสนิท ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เงาดำพบว่าตัวเองเปลี่ยนทิศทางและกระโจนเข้าหาโคลินร่างยักษ์ด้วยความเร็วสูง
โคลินก้มมองเงาดำ ทันใดนั้น แสงสว่างที่บริสุทธิ์และคมชัดเริ่มสว่างขึ้นภายในดวงตา
คล้ายกับแสงแรกที่ส่องสว่างหลังจากค่ำคืนอันยาวนาน
แสงดังกล่าวสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งท่วมท้นอนุสาวรีย์บรรจุศพ ส่งผลให้บริเวณห้องใต้ดินของหอคอยเมืองเงินพิสุทธิ์พลันส่องแสงที่สว่างไสวที่สว่างยิ่งกว่าออกมา
แสงทั้งสองพบกันกลางอากาศภายในอนุสาวรีย์บรรจุศพ ก่อนจะสาดลงบนพื้นและอาบร่างขนาดมหึมาของโคลิน·อีเลียด ชำระล้างเงาดำจนเริ่มสลายตัว ลดขนาดลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการขัดขืนเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลือนหายไปโดยสมบูรณ์
‘นักล่าปีศาจ’ โคลินหันกลับมามองโลเฟียร์โดยไม่กล่าวคำใดหรือแสดงสีหน้า ประหนึ่งว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
โคลินถอนสายตากลับอย่างรวดเร็ว นำทางแสงสว่างที่ยังหลงเหลือให้เข้าไปในดาบคู่ซึ่งกำลังเสียบร่างอดีตเจ้าเมือง
โลเฟียร์ยืนหลับตาอยู่ในตำแหน่งเดิม มิได้เผยท่าทีตกตะลึงหรือหวาดกลัว แต่เป็นการถอนหายใจแผ่วเบา
…
ณ ‘เมืองแห่งการให้’ บายัม อัลเจอร์·วิลสันเดินวกวนอยู่หลายรอบเพื่อสลัดให้หลุดจากสายตาในกรณีที่มีคนสะกดรอย จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้าน ‘ช่างฝีมือ’ และดึงกริ่ง
ในตอนแรกที่ได้ยินว่า ‘ช่างฝีมือ’ ป่วยเป็นโรคประหลาด แถมยังมีคนคอยสอดแนมรอบบ้าน อัลเจอร์สงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของนิกายแม่มด แต่หลังจากคิดดูให้ดี มันพบว่า ด้วยรสนิยมของ ‘ช่างฝีมือ’ อีกฝ่ายคงมิอาจต้านทานความเย้ายวนจากพลังพิเศษ ดังนั้น แม่มดไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยาก เพียงกระดิกนิ้วและหว่านเสน่ห์ ช่างฝีมือก็คงยอมเล่าทุกสิ่ง สัญญาทุกอย่าง
ดังนั้น อัลเจอร์คิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลอื่น จึงตัดสินใจมาดูด้วยตาตนเอง ด้วยกังวลว่าการจัดส่งสมบัติวิเศษจะล่าช้าอีกครั้ง มันไม่อยากสูญเสียตะกอนพลังไปอย่างเป็นปริศนา
ท่ามกลางกริ่งประตูบ้าน ‘ช่างฝีมือ’ เปิดประตูออก อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอม ผิวสีแทน มองไปที่อัลเจอร์และกล่าว
“นายมาทำอะไร?”
นี่คือ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ที่ทำงานกับอัลเจอร์มานานหลายปี ไม่มีใครทราบเบื้องหลังที่แน่ชัด
“ไม่ใช่ว่านายเขียนจดหมายแจ้งว่าป่วยหรอกหรือ?” อัลเจอร์ถามอย่างเป็นกันเอง
ชาฟฟ์หาวพลางตอบ
“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
อัลเจอร์ผงะเล็กน้อย มองไปรอบตัวและพูด
“แล้วคนสอดแนมลึกลับล่ะ?”
ถุงใต้ตาของชาฟฟ์ค่อนข้างบวม ดวงตาสีน้ำตาลเผยให้เป็นความอ่อนเพลียและหัวเสีย
“ใครมันจะไปรู้! พวกสอดแทนคงไม่โผล่หัวออกมาให้เห็นง่ายๆ อยู่แล้ว… สรุปก็คือ ฉันจะย้ายบ้านเร็วๆ นี้ ที่นี่อันตรายเกินไป”
อัลเจอร์ถอนหายใจโล่งอก
“แบบนั้นก็ไม่เลว”
มันเว้นวรรคชั่วคราว ก่อนจะพูดต่อ
“จะไม่ชวนเข้าไปดื่มสักแก้วหรือ?”
“พวกคนเถื่อนที่เอาแต่ดื่มเหล้าแรงๆ อย่างนาย ไม่มีวันดื่มด่ำไปกับไวน์ชั้นเลิศได้แน่” ชาฟฟ์ลูบเส้นผมสีเหลืองอ่อน ฉากหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้
อัลเจอร์เดินเข้าไปอย่างใจเย็น เพียงกวาดสายตาหนึ่งครั้ง มันเก็บรายละเอียดเกือบทั้งหมดไว้ในความทรงจำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น