Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 889-898
ราชันเร้นลับ 889 : คำเตือนถึงทุกคน
ไม่กล้าเอ่ยถึง ไม่กล้าแสดงภาพ… อย่างน้อยในสายตาอาโรเดส มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายก็มีตัวตนสูงส่งกว่าลำดับ 1 อย่างซาราธ ไม่สิ ยังสูงกว่า ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางสัตว์ประหลาดอย่าง ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ ด้วย… คงมีบางวิธีที่ช่วยให้อาโรเดสเปิดเผยข้อมูลได้อย่างอิสระ เช่นการนำขึ้นมาบนมิติหมอก… หึหึ จะไปทำแบบนั้นได้ยังไง? เว้นเสียแต่เราจะกลายเป็นเทวทูตและได้ครอบครองพลังของมิติลึกลับนั่นอย่างสมบูรณ์เสียก่อน… ไคลน์กลอกตาเล็กน้อย ไม่ถามซักไซ้ เลือกจะเปลี่ยนหัวข้อ
“ตาเจ้าถามแล้ว”
แสงสีเงินเรียงตัวใหม่อีกครั้งบนผิวกระจกเต็มบาน กลายเป็นคำใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ มีอะไรให้ข้ารับใช้อีกไหม?”
ถามได้ดี! ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“หลังจากที่เราออกจากเบ็คลันด์ จงให้ความสนใจกับสถานการณ์ของบ้านนายแพทย์อลัน·คริสต์ และเมื่อภรรยาของเขาคลอดบุตร ให้นำข่าวมาแจ้งกับเราในตอนที่เจ้าถูกอัญเชิญ”
หลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจัง ไคลน์พบว่าวิธีจับตามองสถานการณ์ของอสรพิษปรอทที่ดีที่สุดคือการฝากให้ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสดูแล เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถตรวจตราบ้านหลังนี้ได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง สิ่งที่ไคลน์ต้องทำมีเพียงการเปลี่ยนบ้านทุกๆ เดือนเพื่อนำเครื่องรับสัญญาณโทรเลขออกจากมิติเหนือสายหมอก
“ขอรับ นายท่าน~” คำพูดบนกระจกกำลังแสดงอารมณ์ปัจจุบันของอาโรเดสอย่างเต็มเปี่ยม “ข้ามีคำถาม”
“ว่ามา” ไคลน์พยักหน้าอนุญาต
สำหรับคราวนี้ ขณะที่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสกำลังเขียน มีการชะงักหยุดหลายครั้ง คล้ายกับออกอาการลังเล
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเด็กคนนั้น?”
ดูเหมือนมันจะกำลังสงสัยว่า เหตุใดผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณถึงต้องให้ความสำคัญกับทารกในครรภ์
หืม… เราเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของนายแพทย์อลัน? อาโรเดสไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติของวิล·อัสตินเลยสักนิด? ดูเหมือนว่า หากเป็นการปกปิดร่องรอยและโชคชะตา ‘อสรพิษปรอท’ นั้นยอดเยี่ยมกว่าเทวทูตตนอื่นหลายขุม… แต่กระจกวิเศษบานนี้เคยแจ้งเบาะแสเมื่อครั้ง ‘ผู้กลืนหาง’ โอโรเลอุสเดินทางออกจากเบ็คลันด์ได้แม่นยำ… หืม… คงเป็นเพราะเป็นการ ‘เริ่มต้นวงจรใหม่’ ของวิล·อัสติน ทำให้ยากที่จะพบความผิดปรกติแม้จะเป็นนักค้นหาระดับสูง… และคงเป็นเหตุผลเดียวกับที่สามารถหลบเลี่ยงจากสายตาของ ‘เทวทูตแห่งชะตา’ มาได้ตลอด… ไคลน์ตอบกลับด้วยความกระจ่าง
“มิตรสหาย”
ส่วนเรื่องจะเป็นบิดาอุปถัมภ์ให้วิล·อัสตินหรือไม่นั้น ชายหนุ่มเพียงแค่คิดเล่นๆ ไม่กล้าตัดสินใจหรือบังคับ ด้วยกังวลว่าอสรพิษแห่งชะตารายนี้จะรำคาญ
“แค่มิตรสหาย…” ระหว่างตัวอักษร อาโรเดสเผยความผิดหวังอย่างอธิบายไม่ถูก “นายท่านเชิญถามมาได้เลย”
ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“เจ้ารู้ไหมว่า คนที่เราเห็นในสโมสรนายทหารผ่านศึกไบลัมตะวันออกเป็นใคร? หากเจ้าไม่แน่ใจว่าหมายถึงใคร เราสามารถวาดให้ดูได้”
ภายในกระจกอันมืดมิด คลื่นน้ำกระเพื่อมบนพื้นผิว เผยให้เห็นภาพของชายหนวดเคราดกหนา ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ไม่ใช่ใครนอกจากครึ่งเทพที่ไคลน์สงสัยว่าจะอยู่ในเส้นทางจักรพรรดิมืด
ขณะเดียวกัน ข้อความที่สอดคล้องกันถูกเขียนอยู่ใต้ ‘ภาพถ่าย’
“ชายคนนั้นมีชื่อว่าโจนาส·โคลเกอร์ สังกัดหน่วย MI9 ยศปัจจุบันคือพลตรี ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ อยู่ในลำดับ 5 ของเส้นทาง ‘นักกฎหมาย’ แต่ถือครองสมบัติปิดผนึกที่ทรงพลัง”
MI9… รองผู้บังคับการ… ดูเหมือนว่าจะเป็น ‘ตัวแทน’ ที่ราชวงศ์ส่งมาทำงานในหน่วยข่าวกรองโดยเฉพาะ… ไคลน์นึกทบทวนข้อมูลที่กระจกวิเศษแจ้งให้ทราบ ครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่ก็ไม่พบหนทางในการสืบสวน ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไร เพราะท้ายที่สุด อีกฝ่ายเป็นครึ่งเทพ ไม่ว่าจะเฝ้าจับตามองหรือสืบประวัติ ไม่ว่าจะลงมือเองหรือจ้างคนอื่นทำ ทั้งหมดรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายตื่นตัว แถมยังอาจถึงขั้นลงมือตอบโต้
วิธีเดียวที่พอจะพึ่งพาได้ในตอนนี้ก็คือ ให้มิสจัสติสช่วยรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงจะมีสถานะสูงส่ง แต่ยังมีเส้นสายในแวดวงทหาร แถมยังเป็นถึงลำดับ 6 ของเส้นทางผู้ชม สามารถชักนำหัวข้อสนทนาได้โดยไม่มีใครสงสัย
ต้องยอมรับว่า แม้เส้นทางผู้ชมจะไม่ถนัดในการต่อสู้ซึ่งหน้า แต่ก็มีประโยชน์มากในด้านอื่นๆ และด้วยความสามารถของนักจิตบำบัดกับ ‘นักสะกดจิต’ เส้นทางผู้ชมมีสิทธิ์ควบคุมและชี้นำการต่อสู้ได้ในระดับหนึ่ง… ไคลน์ถอนหายใจ ครุ่นคิดว่าตนควรถามกระจกวิเศษเกี่ยวกับเรื่องใดอีก
ทันใดนั้น แสงและเงาบนผิวกระจกจางลง เรียงตัวกันเป็นคำใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อยากทราบไหมว่าใครอยู่เบื้องหลังคดีฆ่าตัวตายของคารอน?”
คราวนี้เป็นฝ่ายริเริ่มบอกข้อมูลด้วยตัวเอง? สำหรับคดีดังกล่าว เราเอาตัวเองออกมาแล้ว เพราะไม่อยากพัวพันกับเรื่องยุ่งเหยิงมากเกินไปนัก เพียงแค่รอให้เหยี่ยวราตรีสืบสวนหาผลลัพธ์… เรามองว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ จึงไม่อยากเสียเวลาถาม… ไคลน์พึมพำเงียบ พยักหน้าเล็กน้อย
“อยากสิ”
กระจกเงาเต็มบานเขียนบรรทัดตัวอักษรสีขาว
“ที่ปรึกษาของราชวงศ์ เฮอร์วิน·แรมบิส หนึ่งในคณะกรรมการของสมาคมแปรจิต”
สมาคมแปรจิต? ที่ปรึกษาราชวงศ์? ไคลน์พลันขมวดคิ้ว
นั่นเพราะชายหนุ่มยากจะคาดเดาว่า สมาคมแปรจิตกำลังวางแผนอะไร หรือเป็นเพราะราชวงศ์บางฝ่ายไม่พอใจกับสภาพการเมืองในปัจจุบัน จึงพยายาม ‘ผลักดัน’ ด้วยตัวเอง
สมาคมแปรจิตไม่ได้มุ่งเน้นไปในเชิงวิชาการและสำรวจโบราณสถานอย่างที่เราคิด… หรือว่าโดยธรรมชาติแล้ว เมื่อองค์กรลับเติบโตถึงจุดหนึ่ง เป้าหมายจะเปลี่ยนไปเป็นการแสวงหาอำนาจและแผ่อิทธิพลต่อโลกใบนี้? หรือพวกมันทำไปเพราะต้องการ ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ? เรายังไม่ทราบว่าพฤติกรรมของเฮอร์วิน·แรมบิสเป็นเป้าหมายส่วนตัว หรือการตัดสินใจขององค์กร หากเป็นอย่างแรกก็ค่อยเบาใจ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ยิ่งตำแหน่งในสมาคมแปรจิตของมิสจัสติสสูงขึ้น เธอก็จะยิ่งเผชิญความยากลำบาก… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ จากนั้นก็เล่นเกมถามตอบกับกระจก
“มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม?”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คำถามเช่นนี้คงไม่แคล้วถูกอาโรเดสเสกฟ้าผ่าแสกหน้า หรือไม่ก็ถูกจิกกัดอย่างเจ็บปวดด้วยเรื่องส่วนตัว แต่ในฐานะผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ ไคลน์เชื่อว่าตนมีสิทธิ์ถาม ขณะเดียวกันก็เป็นการทดสอบขีดจำกัดล่างของอาโรเดสไปในตัว
บนผิวกระจกเต็มบาน แสงสีเงินบิดเบี้ยวและเรียงเป็นคำใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ตามที่ท่านคาดไว้ อามุนด์มาถึงเบ็คลันด์แล้ว… แต่เป็นการมาเยือนในฐานะร่างโคลน ข้าจึงมองเห็น”
ตามที่เราคาดไว้? หมายความว่ายังไง? เราไปคาดหวังตอนไหน? ไคลน์เลิกคิ้วตอบ
“ขอบใจ… วันนี้พอแค่นี้ก่อน หากมีสิ่งใดจะรบกวน เราจะใช้เครื่องรับสัญญาณโทรเลขเรียกหาเจ้า”
“ขอรับนายท่าน! อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ถ่อมตนและซื่อสัตย์ของท่านพร้อมถวายการรับใช้ทุกเมื่อ! ลาก่อน~” ผิวกระจกถูกวาดเป็นรูปอีโมติค่อนโบกผ้าเช็ดหน้า
ไคลน์เฝ้ามองอย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งทุกสิ่งกลับสู่ภาวะปรกติ
วันถัดมาซึ่งเป็นวันจันทร์ ชายหนุ่มเตรียมความพร้อมสำหรับเดินทางไปยังทวีปใต้ นอกเหนือจากกระเป๋าเดินทางใบหลักที่บรรจุเสื้อผ้าสองเซตหลัก เงินสดห้าร้อยปอนด์ และเสื้อผ้าจิปาถะอีกเล็กน้อย ไคลน์นำเงินสด 12,125 ปอนด์และอีกแปดสิบเจ็ดเหรียญทองโยนขึ้นไปบนมิติเหนือสายหมอก
เหตุผลที่ต้องเตรียมตัวอย่างรัดกุม เนื่องจากไคลน์ยังไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการคืนชีพครั้งล่าสุด หากไม่ใช่เพราะยังมีเงินสดหลายร้อยปอนด์เหลืออยู่ในบัญชีลับที่มิสจัสติสฝากไว้ มันไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องนอนข้างถนนกี่วัน บางทีอาจต้องสมัครงานกับคณะละครสัตว์เพื่อเป็นตัวตลก หรือไม่ก็แอบเข้าไปในบ้านหัวหน้าแก๊งอันธพาลสักแห่งเพื่อ ‘ยืม’ เงิน
เมื่อเหลือบไปเห็นเวลาใกล้บ่ายสามโมง ไคลน์ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง เตรียมจัดชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์
ชายหนุ่มเคยทำนายบนมิติแห่งนี้และทราบว่า หากไม่ได้อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ก็มิอาจตรวจพบความผิดปรกติเกี่ยวกับสมาชิกชุมนุมทาโรต์ที่ถูกดึงจิตเข้ามาบนมิติเหนือสายหมอก
ถัดมาไม่นาน ท่ามกลางพระราชวังอันงดงาม แสงสีแดงเข้มทยอยสว่างขึ้น ร่างบุคคลอันเลือนรางเริ่มคมชัด
หลังจากทราบว่าคาบเรียนวิชาจิตวิทยาจะกลับมาเริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ ‘จัสติส’ ออเดรย์ที่ได้ติดต่อกับสมาคมแปรจิตอีกครั้ง หันไปมองยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอย่างอารมณ์ดี ตามด้วยการยืนขึ้นและยกชายกระโปรงมายา โค้งคำนับนอบน้อม
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”
ฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว แฮงแมนลุกขึ้นทำความเคารพไม่ต่างกัน แต่ภายในใจกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
เดิมที มันสัญญากับ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จะส่งมอบสมบัติวิเศษที่สร้างจากตะกอนพลังผู้ขับขานสมุทรให้ภายในสัปดาห์เดียวกัน แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกับช่างฝีมือ ทำให้ส่งงานได้ไม่ทันเวลา
ด้วยเหตุนี้ อัลเจอร์จึงอยากอธิบายให้เดอะเวิร์ลทราบถึงเหตุผลก่อน จึงค่อยไปช่วยช่างฝีมือแก้ปัญหา
หลังจากสมาชิกทักทายกันเสร็จ ขณะ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเตรียมพูด เธอเห็นมิสเตอร์ฟูลเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีลวดลายโบราณสองครั้ง
เสียงทื่อๆ ทำให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์เกิดความตึงเครียด ไม่มีใครทราบว่ามิสเตอร์ฟูลกำลังจะกล่าวสิ่งใด
ต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่! มิสเตอร์ฟูลถึงกับต้องแจ้งตั้งแต่เริ่มชุมนุม! ‘จัสติส’ ออเดรย์ประเมินในใจ
‘เดอะฟูล’ ไคลน์กวาดสายตาไปรอบตัว เผยรอยยิ้มเล็กๆ
“อามุนด์มาถึงเบ็คลันด์สักพักแล้ว… เป็นร่างโคลน”
อามุนด์? ผู้เย้ยเทพอามุนด์? ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคพลันผุดความทรงจำอันเลวร้าย
ไม่ว่าจะเป็นปรสิตอามุนด์ที่สิงร่างหัวหน้าทีมสำรวจ อามุนด์ที่ถามเด็กหนุ่มว่า ‘กำลังมองหาข้าอยู่หรือ’ จากด้านหลัง อามุนด์ที่เลื้อยรัดร่างวิญญาณของมันเหมือนกับงู อามุนด์ที่สวมเสื้อคลุมสีดำและหมวกปลายแหลม ทั้งหมดล้วนเป็นฝันร้ายที่เดอร์ริคยากจะลืมเลือน
ต้องไม่ลืมว่า ในฐานะชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ เดอร์ริค·เบเกอร์เคยเห็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวมานับไม่ถ้วน ดังนั้น ตัวตนที่สามารถทำให้เด็กหนุ่มกระวนกระวายเพียงแค่จินตนาการถึง โลกนี้มีจำนวนไม่มาก!
อามุนด์เดินทางไปยังเบ็คลันด์ที่มิสจัสติสและมิสเมจิกเชี่ยนอาศัยอยู่? มันมีเป้าหมายอะไร? แล้วพวกเราต้องรับมือยังไง? เดอะซันพลันเป็นกังวลเกี่ยวกับพวกพ้องร่วมชุมนุม
อามุนด์… ราชาเทวทูตโบราณรายนี้กลับมาปรากฏตัวบนโลกความจริงแล้ว… เป็นอย่างที่คิด การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น กระแสของเวลากำลังผันผวนอย่างหนักหน่วง… ดวงตาของ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์หดลีบลง นึกทบทวนคำที่ ‘พลเรือโทวายุ’ คีลิงเกอร์เคยพูดกับตน
แคทลียาก็กำลังคิดในเรื่องเดียวกัน หากราชาเทวทูตปรากฏตัวอีกครั้งบนทวีปเหนือ เธอได้ ‘กลิ่น’ ของความวุ่นวายโกลาหลครั้งใหญ่ ถ้อยคำหนึ่งผุดขึ้นในใจทันที:
การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย!
อามุนด์! ‘เทวทูตกาลเวลา’ อามุนด์… ราชาเทวทูตจากยุคสมัยบรรพกาล… ‘จัสติส’ ออเดรย์พลันตัวสั่นด้วยความกังวล รีบมองหน้า ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สและเดอะมูนที่กำลังเผยสีหน้ามึนงงเจือหวาดผวาไม่ต่างกัน หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะมองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวพร้อมกับตั้งคำถาม
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ดิฉันขอแจ้งข่าวนี้ให้ทางศาสนจักรทราบได้ไหม?”
ราชันเร้นลับ 890 : ไม่ต้องสนใจ
สำหรับคำถามของมิสจัสติส ไคลน์ครุ่นคิดมาสักพักแล้ว เพราะท้ายที่สุด การส่งปัญหาไปยังหน่วยงานทางการที่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือสิ่งที่ไคลน์พึงกระทำมาตลอด แต่ปฏิกิริยาของเลียวนาร์ดกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ทำให้มันสัมผัสถึงมุมมองใหม่
เลียวนาร์ดเป็นถึง ‘ถุงมือแดง’ หน่วยหัวกะทิแห่งเหยี่ยวราตรี เห็นได้ชัดว่าสามารถแอบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการมาถึงของอามุนด์ไปยังโบสถ์รัตติกาลได้ง่าย จากนั้นก็ปล่อยให้อาร์ชบิชอปและอาวุโสใหญ่ตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร ไม่จำเป็นต้องออกหน้าด้วยตัวเอง เป็นการขจัดภัยอันตรายซ่อนเร้นอย่างง่ายดาย แต่มันกลับเลือกใช้แผนออกไปทำภารกิจนอกเบ็คลันด์ เป็นตัวเลือกที่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ราวกับใช้ปลายเท้าตัดสินใจ
ไคลน์จึงเริ่มฉุกคิดว่า การแจ้งให้โบสถ์รัตติกาลทราบ อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม โดยเหนือสิ่งอื่นใด เทวทูตเส้นทางนักจารกรรมในตัวเลียวนาร์ดน่าจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ และชายคนดังกล่าวรู้จักพลังของอามุนด์ดีกว่าใครทั้งหมด
ในเมื่อยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร การตัดสินใจตามผู้มีประสบการณ์ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ… ถึงเราจะมีมิติเหนือสายหมอกคอยกีดขวางพลังบางส่วน แต่คนที่จะเดือดร้อนคือมิสจัสติส ชุมนุมทาโรต์มีสมาชิกไม่มากนัก เราต้องทะนุถนอมเป็นอย่างดี… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ จากนั้น มันกล่าวด้วยเสียงราบเรียบเจือรอยยิ้ม
“ไม่ต้องสนใจ”
ไม่ต้องสนใจ? มิสเตอร์ฟูลทำเหมือนกับอีกฝ่ายเป็นเพียงสุนัขจรจัด… ในสายตาของท่าน มีเพียงเทพแท้จริงลำดับ 0 เท่านั้นจึงจะควรค่าให้สนใจ? นั่นสินะ เมื่อคราวก่อนที่เดอะซันน้อยถูกร่างโคลนของอามุนด์สิงสู่ มิสเตอร์ฟูลทำการปัดเป่าทิ้งไปอย่างง่ายดาย ตราบใดที่ไม่ใช่อามุนด์ร่างหลัก สำหรับท่านก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่… อา มิสเตอร์ฟูลแจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนทราบในช่วงแรกก็เพื่อให้เราเพิ่มความระมัดระวัง… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ครุ่นคิดด้วยความกลัวเจือตะลึง
ออเดรย์เองก็แปลความนัยได้ว่า นี่เป็นแค่ ‘เรื่องเล็กๆ’ จากนั้นก็ปะติดปะต่อเรื่องราว
การที่มิสเตอร์เวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เตรียมออกจากเบ็คลันด์ช่วงเวลาหนึ่ง ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเทวทูตกาลเวลาตนนี้? สำหรับมิสเตอร์ฟูล แม้ว่าท่านจะยังฟื้นคืนพลังกลับมาไม่สมบูรณ์ แต่ลำพังร่างโคลนของอามุนด์นั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะขจัดทิ้ง เหตุการณ์กับเดอะซันน้อยถือเป็นเครื่องพิสูจน์… หมายความว่า การสั่งให้ข้ารับใช้หลีกเลี่ยงอามุนด์ ก็เพื่อไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของเทวทูตกาลเวลา เพราะนั่นจะทำลายแผนการฟื้นคืนพลังอย่างลับๆ?
เข้าใจแล้ว… สาเหตุที่มิสเตอร์ฟูลตักเตือนพวกเรา ก็เพราะกังวลว่าอาจมีใครเผชิญหน้ากับอามุนด์โดยบังเอิญและเผลอตอบสนองอย่างไม่เหมาะสม? มิสเตอร์ฟูลช่างเป็นห่วงเป็นใยทุกคน!
‘เดอะมูน’ เอ็มลินสรุปใจความได้ว่า ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ปรากฏตัวในเบ็คลันด์
แม้มันจะมีนิสัยหยิ่งผยอง แต่หลังจากเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์หลายครั้ง เอ็มลินพอจะทราบความหมายของราชาเทวทูต อีกฝ่ายคือตัวตนที่เป็นรองเพียงลิลิธ บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด เป็นรองเพียงเทพแท้จริงที่อยู่ลำดับแรกสุด และเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถเดินไปมาบนโลกแห่งความจริงได้อย่างอิสระ!
จะมีเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นในกรุงเบ็คลันด์อีกแล้ว? เมื่อถึงตอนนั้น คงมีผู้คนมากมายล้มตาย บาดเจ็บ และล้มป่วย เรากับหลวงพ่อก็จะต้องเหน็ดเหนื่อยกันอีกครั้ง… เอ็มลินหวนนึกถึงช่วงชีวิตสมัยโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน กังวลว่าเหตุการณ์เดิมจะเกิดซ้ำรอย
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเองก็ตระหนักว่าปัญหานี้ค่อนข้างใหญ่ เพราะถ้า ‘เทวทูตกาลเวลา’ อามุนด์อยากก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ กรุงเบ็คลันด์มีแนวโน้มที่จะได้รับความเสียหายใหญ่หลวง ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะเอาตัวรอดได้ด้วยการหลบอยู่แต่ในบ้าน
หญิงสาวถอนหายใจเงียบ มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่ง สอบถามอย่างเป็นกังวล
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ เหตุใดอามุนด์ถึงส่งร่างโคลนเข้ามาในกรุงเบ็คลันด์?”
ไคลน์เรียบเรียงคำพูด เผยรอยยิ้มพลางมองไปรอบๆ
“เพื่อตามหาพวกเจ้าทุกคน”
ตามหาพวกเราทุกคน? ประโยคดังกล่าวเป็นราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ใส่หัวของฟอร์สและคนที่เหลือ บางคนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ บางคนชาไปทั้งตัว
จากนั้น ‘จัสติส’ ออเดรย์เริ่มเชื่อมโยงคำตอบเมื่อครู่กับคำตอบ ‘ไม่ต้องไปสนใจ’ ในตอนแรก พบว่ามิสเตอร์ฟูลเป็นราวกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่และไร้ก้นบึ้ง ส่วนร่างโคลนของอามุนด์เป็นเพียงก้อนหินริมทาง การโยนหินลงไปในทะเลนั้นแทบไม่เกิดผลกระทบใด
แม้ร่างโคลนของอามุนด์จะมาที่เบ็คลันด์เพื่อตามหาสมาชิกของชุมนุมทาโรต์ แต่มิสเตอร์ฟูลก็ยังบอกว่าไม่ต้องไปใส่ใจ… มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ! หัวใจของออเดรย์เริ่มชุ่มชื้น กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง
เดอะมูน เมจิกเชี่ยน และเดอะซันเองก็ตีความในทำนองเดียวกัน ต่างคนต่างเอนหลัง บ้างถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ทุกคนกล่าวคำสรรเสริญมิสเตอร์ฟูลในใจ
‘เฮอร์มิท’ แคทลียามิได้อยู่ในตอนที่ร่างโคลนของอามุนด์สิง ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค จึงไม่ทราบรายละเอียดมากนัก อาจเคยได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกันในการชุมนุมสองสามหน แต่ก็ไม่รู้ลึกไปกว่านั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ราชาเทวทูตอามุนด์กำลังตามหาสมาชิกชุมนุมทาโรต์ มากพอจะทำให้เธอเกิดความกังวล
เหตุราชาเทวทูตอามุนด์ถึงเพ่งเล็งชุมนุมทาโรต์?
คงค้นพบองค์กรของเราจากเดอะซันน้อย…
เป้าหมายคืออะไร? และทำไมถึงได้มั่นใจนัก?
กำลังเพ่งเล็งไปที่มิสเตอร์ฟูล? เจ้านั่นสัมผัสถึงความผิดปรกติเกี่ยวกับสายหมอกสีเทา?
แต่มิสเตอร์ฟูลกำชับว่าไม่ต้องไปใส่ใจ… ความหมายก็คือ ภายในสถานการณ์ปรกติ อามุนด์มิอาจบอกได้ว่าใครคือสมาชิกของชุมนุมทาโรต์?
การที่ราชาเทวทูตค่อยๆ ปรากฏตัวเช่นนี้… ยุคสมัยที่ห้ากำลังจะจบลง?
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ที่เบาใจลงหลายส่วน เริ่มฉุกคิดถึงประเด็นอื่น
ในตอนแรกที่แจ้งโบสถ์วายุสลาตันเกี่ยวกับปัญหาของท่าเรือแบนชี ข้ออ้างที่มันใช้ก็คือ ‘ได้ยินคนในผับเล่ามา’ พร้อมกับอธิบายรูปลักษณ์ของบุคคลดังกล่าวให้ตรงตาม ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!
อา… แม้ทางศาสนจักรจะพบตัวอามุนด์ แต่พิจารณาจากวิธีการทำงาน พวกเขาไม่น่าจะเสียเวลาสอบปากคำหรือถามไถ่สุขภาพของอีกฝ่าย และไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยเช่นไร อามุนด์ก็เป็นวายร้ายเจ้าเล่ห์ในสายตาโบสถ์เสมอ… อัลเจอร์ไม่กังวลว่าตนจะถูกเปิดโปงด้วยเหตุผลเล็กน้อย เพียงตระหนักได้ว่า ในอนาคต หากต้องการ ‘โยนขี้’ ให้ใครสักคน อย่าได้แอบอ้างตัวตันลำดับสูงเด็ดขาด โดยเฉพาะเทวทูตขึ้นไป
ด้วยเหตุนี้ มันรีบตักเตือนตัวเอง:
จริงอยู่ ไม่ใช่ว่าตัวตนลำดับสูงทุกคนจะมีลักษณะพิเศษ ‘รับรู้ในยามที่ถูกเอ่ยถึง’ หรืออะไรทำนองนั้น แต่หากเอ่ยถึงอีกฝ่ายบ่อยครั้งเข้า ย่อมมีโอกาสที่จะถูก ‘พรหมลิขิต’ ชักนำให้ได้พบกัน เพราะยิ่งมีระดับตัวตนทางธรรมชาติสูงเท่าไร ก็ยิ่งเชื่อมโยงกับโชคชะตาอย่างแน่นแฟ้นเท่านั้น!
เมื่อเห็นสมาชิกของชุมนุมทาโรต์ โดยเฉพาะสามคนที่อยู่ในเบ็คลันด์ รับทราบเกี่ยวกับข่าวคราวของร่างโคลนอามุนด์ด้วยทัศนคติตื่นตัว ไม่มีใครบ้าบิ่นจนคิดตามล่าอีกฝ่าย หัวใจชายหนุ่มเริ่มสงบลง เอนหลังพิงพนักอย่างผ่อนคลาย เฝ้ามองทุกคนด้วยสายตาอ่อนโยน
แคทลียาสลัดความกังวลเกี่ยวกับทวีปเหนือใต้ หรือแม้กระทั่งห้าห้วงสมุทร มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ คราวนี้มีไดอารีใหม่จำนวนสามหน้า”
หญิงสาวยังจำได้แม่นยำ หลังจากชุมนุมทาโรต์เมื่อวันจันทร์ที่แล้วจบลง เธอเขียนจดหมายถึงราชินีเงื่อนงำและอธิบายความหมายของสองตัวอักษรของจักรพรรดิโรซายล์ทันที แต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ เลยนานเกือบสัปดาห์ จนกระทั่งไดอารีจำนวนสามหน้าถูกส่งมาถึงในวันอาทิตย์ พร้อมกับคำถามที่ไม่สั้นไม่ยาว
“บ้านเกิดทางดวงวิญญาณของเขาอยู่ที่ใด? บนเกาะแห่งนั้น หรือในห้วงลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว?”
เมื่อ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาอ่านทวนคำถาม คล้ายกับเธอสัมผัสถึงอารมณ์ที่แปรปรวนขณะเขียนจดหมายของราชินีเงื่อนงำ ผิดไปจากความสงบนิ่งและสุขุมในยามปรกติ
เมื่อรับรู้เช่นนี้ ผนวกกับอุปนิสัยส่วนตัวของแบร์นาแดตที่เธอรู้จัก แคทลียาทำเพียงถอนหายใจเงียบ
ในหัวใจขององค์ราชินี จักรพรรดิโรซายล์คือปมใหญ่ที่คลายไม่ออกเสียที? และเป็นสาเหตุที่ไม่กล้าเลื่อนเป็นลำดับ 2?
ไคลน์ไม่มีทางทราบว่า ‘เฮอร์มิท’ แคทลียากำลังคิดสิ่งใด เพียงพยักหน้าเล็กน้อย รอให้อีกฝ่ายส่งไดอารีชุดใหม่
เพียงไม่นาน แผ่นกระดาษสีน้ำตาลอมเหลืองปรากฏบนฝ่ามือชายหนุ่มสามแผ่น
“10 มีนาคม เป็นอีกครั้งที่เราเข้าร่วมองค์กรที่เก่าแก่และลึกลับที่สุด”
“หลังจากเฝ้าสังเกตุมาสักระยะ เรามีคำถามคาใจหนึ่งข้อ อะไรคือแนวโน้มของยุคสมัย? แล้วใครคือผู้กำหนดแนวโน้มของกระแสแห่งเวลา?”
“ถ้าเป็นไปถามที่พวกเขากล่าวอ้าง เมื่อโลกถึงคราวแตกดับ พระผู้สร้างต้นกำเนิดจะคืนชีพจากความตาย ตื่นจากการหลับใหล ทวงคืนทุกสิ่งกลับไปเป็นของพระองค์ สร้างโลกใหม่และประวัติศาสตร์ใหม่… แล้วทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากอย่างการคอยกำหนดกระแสเวลาให้ตรงตามแนวโน้ม? ก็แค่วางแผนยั่วยุให้เกิดสงครามโลกก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? สร้างสงครามเทวทูตหรือสงครามแห่งทวยเทพ เพียงเท่านี้โลกก็จะถึงจุดจบเร็วขึ้น”
“หรือว่า ‘เวลา’ เองก็เป็นส่วนหนึ่งของพระผู้สร้างต้นกำเนิด มีเพียงเส้นเรื่องที่ ‘เวลา’ ดำเนินไปตามความคาดหวังเท่านั้น พระองค์จึงจะดึงพลังจากมันและคืนชีพกลับมาได้? ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เลยสักนิด… อา ทุกสิ่งที่เราเห็นรอบตัวก็ไม่มีอะไรถูกหลักวิทยาศาสตร์แม้แต่อย่างเดียว”
“นอกจากนั้น ตามความคิดของเรา เหตุใดถึงต้องคืนชีพพระผู้สร้างที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง? ปล่อยให้ทุกคนทำตัวตามสบายและเพลิดเพลินไปกับชีวิตอย่างอิสระไม่ดีกว่าหรือ?”
“จากการสังเกตของเรา… หึหึ สมาชิกหลายคนที่นี่มีมุมมองคล้ายกับเรา แต่ก็มีบางคนที่ดื้อรั้นและเข้มงวด เอาแต่ทำตามคำสอนและปรัชญาของตัวเองอย่างเคร่งครัด ไม่แน่ใจว่าควรเรียกเจ้าพวกนั้นว่านักอุดมคติหรือพวกคลั่งลัทธิดี”
“สิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุดคือผู้นำลึกลับคนนั้น… มิสเตอร์เฮอร์มิสบอกกับเราว่า องค์กรนี้ถูกก่อตั้งโดยเขา ไม่สิต้องเรียกว่า ‘ท่าน’ ร่วมกับคนที่มีความเชื่อและเป้าหมายเดียวกัน แต่ท่านไม่ค่อยแสดงความเห็นสักเท่าไร แถมยังไม่ห้ามสมาชิกทำตามจุดประสงค์ส่วนตัวด้วย… ในบางครั้ง เราหลงลืมการมีอยู่ของท่าน คล้ายกับท่านชอบนั่งมองทุกคนคุยกันอย่างเงียบๆ”
“แต่เราเคยเห็นอำนาจของท่านด้วยตาตัวเอง… ครั้งหนึ่งเคยมีผู้วิเศษลำดับสูงคนหนึ่งละเมิดสิ่งที่เรียกว่าแนวโน้มของกระแสเวลา และด้วยอำนาจของท่าน ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสามสิบวินาที เหยื่อคนดังกล่าวก็กลายเป็นเป้าหมายของการถูก ‘ลบหาย’ โดยสมบูรณ์ เราเชื่อว่า ชายที่น่าสงสารคนนั้นคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงฤดูร้อน”
“ท่านเป็นใครกันแน่? เทพบรรพกาลจากยุคสมัยที่สอง??”
ในประโยคสุดท้าย โรซายล์ใช้เครื่องหมายคำถามถึงสองตัวเพื่อแสดงความฉงน นี่เป็นสิ่งที่มันทำไม่บ่อย และไคลน์เชื่อว่าคงเป็นเกณฑ์ที่ทำให้ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตเลือกไดอารีหน้านี้
ราชันเร้นลับ 891 : วิหารประหลาด
ผู้นำลึกลับของสภานักสิทธิ์สนธยาชอบนั่งมอบเหล่าสมาชิกสนทนาอย่างเงียบงัน และเมื่อต้องการอะไร เรื่องนั้นก็จะบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็ว… สอดคล้องกับธรรมชาติของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ มาก… นั่นทำให้เรายิ่งมั่นใจว่า บุคคลดังกล่าวคือพี่ชายของอามุนด์ หนึ่งในทายาทของพระผู้สร้าง อาดัม… ในช่วงบั้นปลายชีวิตของจักรพรรดิ หลังจากได้ทราบข้อมูลจำนวนมากจากมิสเตอร์ประตู เขาคงวิเคราะห์ได้แบบเดียวกับเรา… เมื่อนำข้อมูลในไดอารีมาเทียบกับสิ่งที่ตนรู้ ไคลน์เริ่มมั่นใจว่าสมมติฐานของตนถูกต้อง ก่อนจะก้มหน้ามอง อ่านเนื้อหาที่หลงเหลืออยู่บนกระดาษ
“11 มีนาคม ยิ่งนึกถึงเมื่อวาน เราก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ ตัวตนอย่างครึ่งเทพกลับต้องถูกตัดสินชะตาชีวิตด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แถมยังไม่มีโอกาสได้คัดค้านหรือแก้ตัว นอกจากนั้น บรรดาสมาชิกเก่าแก่ขององค์กรยังบอกกับเราว่า หากไม่นับเทพจารีตทั้งเจ็ด ไม่มีสิ่งใดในโลกที่องค์กรนี้ทำไม่ได้ แม้กระทั่งการล้มล้างอาณาจักร”
“เราโชคดีมากที่ถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ไม่อย่างนั้น สักวันอาจถูกลอบสังหารอย่างแยบยลจนเราไม่ทันได้รู้สึกตัว ต้องตายไปทั้งที่ยังลืมตา!”
“องค์กรในเงามืดที่คอยจับตามองผู้คน คอยกำหนดชะตาชีวิตและความตายของผู้คน เรื่องแบบนี้ สำหรับคนทั่วไปคงยากจะทำใจยอมรับ แม้ว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา แต่ในใจก็อดสั่นกลัวไม่ได้”
“โลกนี้อันตรายกว่าโลกเก่ามาก บางที แค่การเกิดมามีพลังวิญญาณมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย บางที แค่การพลิกอ่านหนังสือโบราณสักเล่ม บางที แค่การเดินเรือทำธุรกิจตามปรกติ บางที แค่การตกหลุมรักหญิงงามสักคน บางที แค่รักการผจญภัยและเข้าไปสำรวจปราสาทบางแห่ง บางที แค่การถูกปลุกด้วยเสียงการต่อสู้ในตอนกลางดึก หรือบางที แค่การคิดค้นและสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจง เหตุการณ์เหล่านี้อาจนำพาไปสู่ความตายโดยไม่รู้ตัว เสียชีวิตอย่างน่าอนาถ!”
“และนั่นคือแรงผลักดันที่ทำให้เราต้องการพัฒนาฝีมือ ทำงานอย่างหนักเพื่อเลื่อนลำดับพลัง โชคชะตาของตัวเองจะได้อยู่ในมือตัวเอง! เราทำได้แน่ เพราะเราคือพระเอกของยุคสมัยนี้! ฮะฮะ!”
“12 มีนาคม เราคิดว่าต้องลองค้นหาและรวบรวมข้อมูลจากยุคสมัยที่สี่ สาม และสองอย่างจริงจังบ้างแล้ว ประสบการณ์ภายในองค์กรลับโบราณแห่งนั้นบอกกับเราว่า อาจมีความลับมากมายซ่อนอยู่ในยุคสมัยดังกล่าว ชนิดที่สามารถส่งผลต่อทิศทางของยุคสมัยปัจจุบัน”
“น่าเสียดาย ข้อมูลที่ว่ามานั้นหายากเกินไป หากไม่ถูกผูกขาดไว้โดยศาสนจักร ป่านนี้ก็คงถูกทำลายทิ้งอย่างราบคาบ การสืบสวนด้วยตัวเองคงยากที่จะพบเบาะแส วิธีดีที่ดีที่สุดยังคงเป็นการเพิ่มลำดับ ผลักดันตัวเองให้มีสถานะในโบสถ์สูงขึ้น”
ไดอารีหน้านี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จักรพรรดิติดต่อกับมิสเตอร์ประตูหลังจากเข้าร่วม ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ นานมาก บางทีอาจเป็นเหตุการณ์สมัยกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมิอาจทนต่อเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู… เมื่อเทียบกับจักรพรรดิ ในแง่การสำรวจประวัติศาสตร์ เราทำได้ง่ายกว่ามาก มีไดอารีของเขาเป็นตัวแทนยุคสมัยที่สี่ มีเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นตัวแทนของยุคสมัยที่สอง รวมถึงวิญญาณมารที่เกิดจากการรวมตัวของเศษเสี้ยวราชาเทวทูต… อา ในช่วงวัยกลางคน ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะลดทอนความหื่นกามลงมากทีเดียว… ไคลน์พลิกไปยังหน้าสองของไดอารีด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“18 พฤษภาคม ช่วงนี้เรามักฝันร้าย เป็นความฝันเกี่ยวกับตัวเองสวมชุดเกราะโบราณสีเงิน นั่งอยู่บนขอบหน้าผา ข้างหน้าเต็มไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงหมอกสีดำที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง เปี่ยมด้วยความเลวทรามและชั่วร้าย เพียงแค่ได้เห็นก็เกิดความรู้สึกยากจะพรรณนา ใบหน้าของเราค่อยๆ ทวีความหม่นหมองขณะเฝ้ามอง ผิวหนังมีลักษณะแข็ง รู้สึกคล้ายกับมีของเหลวเหนียวข้นปกคลุมบนพื้นผิวตลอดเวลา ดวงตาเหม่อลอยโดยสิ้นเชิง”
“เป็นภาพสะท้อนของนรก นั่นคือภาพจำลองของนรกที่เราพยายามเข้าไปเมื่อเดือนที่แล้ว!”
“ยิ่งได้เห็นฝันร้ายนี้บ่อยครั้ง ตัวเราก็ยิ่งมีอารมณ์สุดโต่งมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ความโกรธทั่วไป กลับทำให้นึกอยากฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นอกจากนั้น บนแผ่นหลังของเรายังมีตุ่มเนื้อสีแดงเข้มนูนยื่น อุณหภูมิร่างกายลดต่ำกว่าปรกติ”
“นี่คือการกัดกร่อนจากนรก?”
“ต้องรีบหาวิธียืนยันความจริงและแก้ไข!”
“แต่ตอนนี้ยังปรึกษากับศาสนจักรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องเปิดเผยเรื่องของเกาะโบราณและนรกนั่น”
“อา เราต้องมองหานักบวชจากโบสถ์สุริยันเจิดจรัส คนพวกนั้นถนัดการชำระล้าง!”
“19 พฤษภาคม อาศัยเส้นสายเล็กน้อย เราได้รับการรักษาอย่างลับๆ ร่างกายเบาหวิวขึ้นทันตาเห็น ความผิดปรกติที่เคยเกิดขึ้นบรรเทาลงอย่างมาก”
“ท่ามกลางความยินดี เราผุดคำถามใหม่ ตัวเราที่สำรวจแค่รอบนอกของนรก มิได้สัมผัสกับปีศาจลำดับสูงแต่อย่างใด แถมยังมีวัตถุบางชิ้นบน ‘บัลลังก์มืด’ ช่วยต้านทานการกัดกร่อน แต่กลับยังได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว แปดเปื้อนกลิ่นอายความชั่วร้ายและเลวทราม ถ้าเช่นนั้น ผู้วิเศษเส้นทาง ‘อาชญากร’ ที่ต้องคอยสังเวยให้ปีศาจระดับสูงตลอดเวลา การกัดกร่อนย่อมต้องรุนแรงกว่าหลายเท่า หลังจากสั่งสมอย่างต่อเนื่อง คงดำเนินไปถึงจุดที่ไม่สามารถรักษาให้หาย ทำได้แค่ขจัดการปนเปื้อนภายในออร่าและร่างกาย”
“คำถามที่เกิดขึ้นในหัวทันทีก็คือ แล้วเราจะได้รับผลกระทบจาก ‘เทพช่างฝีมือ’ บ้างไหม? ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกท่านว่า ‘เทพจักรกลไอน้ำ’ … หากเรื่องนี้เป็นความจริงก็นับว่าน่ากลัวมาก ดูเหมือนว่า คงมีแต่การกลายเป็นครึ่งเทพเท่านั้น จึงจะขจัดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ได้ทั้งหมด”
“แต่โชคยังดี นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้า เทพแท้จริงก็มิได้ออกจากดินแดนดาราอีกเลย ไม่มีตนใดเสด็จลงมาบนโลก ดังนั้น ถึงเส้นทางใดจะมีเทพแท้จริง แต่ผลข้างเคียงก็มิได้ร้ายแรง”
“20 พฤษภาคม ตัวเราที่หายหน้าหายตาไปนาน ได้เวลากลับไปเข้าสังคมชนชั้นสูงแล้ว!”
“ไอ้พวกนั้นแอบหัวเราะเยาะเราเพราะไม่เห็นเราออกไปไหนในช่วงที่ผ่านมา จึงพากันคาดเดาส่งเดชว่า เราเอาแต่ช่วยตัวเองอยู่ในห้องจนร่างกายอ่อนเพลีย! แต่ในความเป็นจริง เราฝันร้ายติดต่อกันหลายคืนต่างหาก ทำให้หลับไม่สนิทและมีรอยคล้ำใต้ตา!”
“หึหึ! เห็นทีคงต้องสั่งสอนให้พวกมันรู้จักพลังพิเศษสักหน่อยแล้ว!”
เราไม่รู้ว่าเทวทูตจะสร้างอิทธิพลต่อลำดับต่ำของเส้นทางเดียวกันได้มากน้อยแค่ไหน… ส่งเสียงเพรียกได้ไกลเป็นพิเศษ? สร้างแรงดึงดูดในเชิงโชคชะตา? สามารถตอบสนองพระนามเต็มอันสูงส่งได้โดยไม่มีระยะทางจำกัด? หรือเมื่อเผชิญหน้ากัน ตะกอนพลังของอีกฝ่ายจะถูกกัดกร่อนโดยตรง? หากทำได้ทุกข้อ เทวทูตนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับเทพ… อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เทวทูตในยุคสมัยที่สองมักถูกเรียกว่า ‘เทพรับใช้’ … ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ก่อนจะพลิกกระดาษในมือ ตั้งใจอ่านไดอารีหน้าสุดท้าย
“12 ตุลาคม เอ็มเวิร์ดมาบอกกับเราว่า อัศวินคนหนึ่งของเขาบังเอิญได้พบวิหารแปลกๆ อาจเกี่ยวข้องกับความเชื่อและความศรัทธาในยุคก่อนยุคสมัยที่สี่”
“เราสนใจเรื่องนี้มาก จึงรีบเดินทางไปยังเมืองเล็กๆ ที่ชื่อเปย์มานทันที”
“13 ตุลาคม เปย์มานเป็นเมืองเล็กๆ ที่สร้างขึ้นบนเนินเขา บ้านทุกหลังมีหลังคาโดมคล้ายกับหมวกฟาง นับว่ามีเอกลักษณ์โดดเด่นมาก”
“เดินไปตามถนนสักพัก ในที่สุดเราก็ได้พบวิหารเล็กๆ ประหลาดๆ หลังหนึ่ง มองจากด้านนอกจะดูเหมือนกับบ้านทั่วไป ไม่มีสิ่งใดพิเศษ จนกระทั่งเดินเข้าไป นั่นจึงเริ่มเห็นความแตกต่าง”
“ภายในนั้นมีนักบวชเพียงคนเดียว เป็นชายวัยกลางคนที่อ่อนโยนและเงียบขรึม สวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบง่าย เคราสีทองอ่อนปกปิดครึ่งล่างของใบหน้า ตาใสราวกับเด็กเล็ก”
“เขาระบุว่าที่นั่นเป็นวิหารของพระผู้สร้าง ซึ่งสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและผู้ศรัทธาในเทพทุกองค์ สามารถเข้าไปด้านใดได้โดยไม่มีข้อยกเว้น”
“ได้ยินถึงตรงนี้ เราพลันฉุกคิดถึงข้อสงสัยในอดีตทันที นอกเหนือจากเทพจารีตทั้งเจ็ด ศาสนาอื่นๆ ล้วนถูกจำแนกให้เป็นพวกนอกรีต เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างวิหารอย่างเปิดเผย อนุโลมเพียงวิหารและศาสนาของพระผู้สร้างต้นกำเนิด แต่ดูเหมือนว่า ศาสนาของพระผู้สร้างต้นกำเนิดจะไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไร แถมวิหารก็ยังหายได้ยากมาก!”
“ด้านหน้าวิหารเล็กๆ หลังนี้มีซุ้มแท่นบูชาขนาดย่อม ด้านในภาพมีคนแบกไม้กางเขน น่าจะเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของบุคคลที่ถูกเรียกว่าพระผู้สร้าง”
“เรานั่งลงแถวหน้า สนทนากับนักบวช อีกฝ่ายเหล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังมากมาย”
“เขาเล่าว่า ในยุคสมัยที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้น สัตว์ประหลาดกระหายเลือดมากมายกำลังปกครองผืนดิน ท้องฟ้า และมหาสมุทร พวกมันเหล่านี้คือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มากมายในช่วงหลัง เช่นมังกร คนยักษ์ และเอลฟ์”
“สัตว์ประหลาดเหล่านี้อาละวาดอย่างไร้ความเกรงใจ ยึดครองดินแดนไปมากมาย คล้ายกับสามารถทำลายโลกทั้งใบได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น แต่ระหว่างนั้น พระผู้สร้างก็ลืมตาตื่นขึ้น ริบพลังพิเศษที่เคยมอบให้พวกมันกลับคืน และนำมาแจกจ่ายให้แก่มวลมนุษย์”
“หลังจากนั้น พระองค์ก็หลับไปอีกครั้งพร้อมกับทิ้งคำทำนาย:”
“เมื่อความบ้าคลั่ง โหดร้าย ละโมบ อำมหิต และกระหายเลือดปกคลุมโลกใบนี้อีกครั้ง พระองค์จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างกลับมา”
“ระหว่างกำลังคุย นักบวชถือจี้ไม้กางเขนไว้กลางหน้าอก สวดวิงวอนอย่างเงียบงัน”
“ตำนานดังกล่าวแตกต่างจากพระคัมภีร์ของศาสนจักรโดยสิ้นเชิง มีหลายสิ่งที่ควรค่าแค่การพิจารณา เรียกได้ว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก”
“15 ตุลาคม เรากลับมายังกรุงทรีอาร์อีกครั้ง แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมถามชื่อนักบวชคนดังกล่าว!”
“ช่างมันเถอะ ในอนาคตยังมีโอกาส ประสาทสัมผัสที่หกในฐานะบุรุษบอกกับเราว่า เราน่าจะได้กลับไปที่วิหารเล็กๆ แห่งนั้นอีกครั้ง”
นี่มันตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ฉบับย่อส่วนไม่ใช่หรือ? อา คงเป็นช่วงท้ายของยุคสมัยที่สองและช่วงต้นยุคสมัยที่สาม… นักบวชคนนั้นมีข้อมูลมากทีเดียว น่าจะเป็นการส่งต่อความรู้มาจากองค์กรหรือตระกูลที่ถือครองข้อมูลไว้พอสมควร… ไคลน์ครุ่นคิดพลางสลายไดอารีสามหน้าในมือ
จากนั้น ชายหนุ่มเงยหน้า มองไปยังมาดามเฮอร์มิท
“ว่ามา”
‘เฮอร์มิท’ แคทลียารีบก้มหน้าลงและพูด
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ดิฉันอยากทราบว่า บ้านเกิดของดวงวิญญาณที่จักรพรรดิโรซายล์หมายถึงคือที่ไหน? อยู่ภายในเกาะแห่งนั้น หรืออยู่ในส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว?”
เกาะแห่งนั้น? หมายถึงเกาะโบราณที่ทำให้โรซายล์ตกตะลึงหลังจากเสียกริมม์? ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะให้ความสนใจกับเกาะแห่งนั้นมากเป็นพิเศษ ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงบั้นปลายชีวิต ราชินีเงื่อนงำถึงได้สังเกตเห็นความผิดปรกติ
ส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวหมายถึงสิ่งใด? ดินแดนดารา? หรือดาวเคราะห์ดวงอื่น? หรือจะเป็นเพราะจักรพรรดิชอบทำตัวผิดยุคสมัย ลูกสาวก็เลยสงสัยว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว?
อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่ก็มีเหตุผลรองรับพอสมควรทีเดียว หลังจากการค้นคว้าวิจัยมากมาย โลกแห่งนี้คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และพระอาทิตย์คือดาวที่ถูกรายล้อมด้วยจักรวาลอันไร้ขอบเขต เป็นระบบที่มีดวงดาวและดาวเคราะห์จำนวนมาก… แล้วเราควรตอบว่ายังไง? จะให้พูดเรื่องการเดินทางข้ามโลกก็คงไม่ดี แต่จะไม่ตอบเลยก็ไม่ได้… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ยิ้มและส่ายหน้า
“ไม่ใช่ทั้งสอง”
ราชันเร้นลับ 892 : การตีความของแต่ละคน
ไม่ทั้งสอง… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเคี้ยวคำตอบของมิสเตอร์ฟูล จากนั้นก็พบว่าตนไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง
เดิมที เธอคิดว่าบ้านเกิดของดวงวิญญาณของจักรพรรดิโรซายล์ต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัยในเชิงศาสตร์เร้นลับสักเรื่อง เช่น ‘เกาะแห่งนั้น’ หมายถึงอาณาจักรของเทพที่จักรพรรดิศรัทธา และ ‘ส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว’ เป็นคำนิยามทางอ้อมของ ‘ดินแดนดารา’ หมายถึงจักรพรรดิโรซายล์กำลังวางเป้าหมายของตนไปที่การเป็นเทพ ด้วยเหตุนี้ หลังจากเดอะฟูลกล่าวว่าไม่ใช่ทั้งสอง สมมติฐานเกือบทั้งหมดของเธอจึงถูกลบล้าง มิอาจคิดหาคำตอบอื่นมาชดเชย
บางที สิ่งที่ราชินีต้องการถามอาจไม่ใช่เรื่องที่เราเข้าใจ และคำตอบของมิสเตอร์ฟูลกำลังชี้ไปในกระเด็นดังกล่าว… เราเป็นแค่สื่อกลางในการสื่อสาร ไม่สำคัญว่าจะเข้าใจหรือไม่… แคทลียาถอนหายใจ กล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ”
สำหรับสมาชิกคนอื่นของชุมนุมทาโรต์ สมองของพวกมันกำลังว่างเปล่า แม้ทุกคนพอจะทราบความหมายของบ้านเกิดของดวงวิญญาณ แต่ย่อมไม่มีทางเชื่อมโยงเข้ากับ ‘เกาะแห่งนั้น’ หรือ ‘ส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว’ ดังนั้น แต่ละคนจึงมีการตีความเป็นของตัวเอง แต่เมื่อได้ยินว่า ‘ไม่ใช่ทั้งสอง’ ก็ยิ่งยากจะพบความเชื่องโยงมากกว่าเดิม
ในจิตใต้สำนึกของ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส ‘เกาะแห่งนั้น’ หมายถึงสถานที่ที่โรซายล์ฝังศพหญิงสาวที่ตนรักมากที่สุด และ ‘ส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว’ หมายถึงในช่วงบั้นปลายชีวิต จักรพรรดิเอาแต่จ้องมองท้องทะเลดวงดาว
‘จัสติส’ ออเดรย์คิดว่า ‘เกาะแห่งนั้น’ หมายถึงเกาะแห่งจิตใจของตัวจักรพรรดิเอง ท้องทะเลคือสติ และด้านล่างเกาะคือจิตใต้สำนึก ส่วนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวหมายถึงผืนนภาแห่งวิญญาณ หมายถึงดินแดนดารา ดังนั้น คำถามที่สอดคล้องกันก็คือ “จักรพรรดิโรซายล์เชื่อมั่นในตัวเอง เทพ หรือธรรมชาติ?”
หากคิดในมุมนี้ คำตอบที่ได้รับจากมิสเตอร์ฟูลฟังดูค่อนข้างประหลาด คล้ายกับกำลังบอกว่า จักรพรรดิโรซายล์ไม่เชื่อในสิ่งใดเลย รวมถึงตัวเอง
ดูเหมือนว่าเราจะตีความผิด… แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มันฟังดูขัดแย้งในตัวเองเกินไป คำตอบของมิสเตอร์ฟูลน่าจะมีความนัยแฝงอย่างอื่นซ่อนอยู่มากกว่า… หรือว่าในช่วงบั้นปลายชีวิต จักรพรรดิโรซายล์เกิดปลงและเริ่มคิดถึงความหมายของธรรมชาติ จักรวาล โลกแห่งเทพ และมนุษย์? จนกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและไม่เชื่อในสิ่งใดเลย?
ความคิดของแฮงแมนคล้ายกับเฮอร์มิท ส่วน ‘เดอะมูน’ เอ็มลินครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะถอดใจเนื่องจากไม่มีข้อมูล ทางด้านเดอะซันมิได้สนใจจักรพรรดิโรซายล์ แต่ก็มิได้ทำลายความเงียบ ก้มหน้าไตร่ตรองในสิ่งที่ตัวเองเตรียมไว้สื่อสาร
ท้ายที่สุด เดอะฟูลที่ปกคลุมด้วยหมอกสีเทา หัวเราะในลำคอแผ่วเบา
“เชิญ”
“ต้องขอโทษด้วย แต่สมบัติวิเศษของคุณอาจต้องเลื่อนออกไปก่อน”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบสนอง มันรีบอธิบายเสริม
“ช่างฝีมือคนดังกล่าวป่วยเป็นโรคประหลาด แถมรอบๆ บ้านยังมีคนมาคอยสอดแนมบ่อยครั้ง ส่งผลให้ตารางงานถูกเลื่อนออกไป… ผมจะรีบเดินทางไปตรวจสอบด้วยตัวเอง ดูว่าจะแก้ไขปัญหาให้เขาได้ไหม หาวิธีทำให้เขาหายป่วยโดยเร็วและกลับมาสร้างสมบัติวิเศษของคุณภายในสองสัปดาห์”
มันกล่าวอย่างจริงใจ รวมถึงแสดงความขอโทษพร้อมกับอธิบายว่าตนมิได้ละเลย แต่สิ่งที่แฝงมาด้วยก็คือ อัลเจอร์พยายามโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้ช่างฝีมือคนดังกล่าว คล้ายกับกำลังบอกเดอะเวิร์ลว่า หากคุณไม่พอใจ ผมจะเดินทางไปสั่งสอนด้วยตัวเอง และถ้านั่นยังไม่เพียงพอ ผมสามารถมอบที่อยู่ให้คุณ ปล่อยให้คุณไปสั่งสอนด้วยตัวเอง
ช่างฝีมือคนนั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก… มิสเตอร์แฮงแมนให้ความสำคัญกับเขามาก… นั่นสินะ ช่างฝีมือที่ยอมรับงานจากผู้วิเศษนอกกฎหมาย ไม่สิ ต้องบอกว่า ช่างฝีมือที่ยอมรับงานจากลูกค้านิรนามนั้นมีน้อยมาก หากรักษาไว้ได้ก็ควรทำ… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบกลับเสียงแหบ
“ผมอนุญาตให้เลื่อนออกไปได้… แต่ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”
สิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมาอาจฟังดูธรรมดา แต่อัลเจอร์กลับเกิดความตึงเครียดเมื่อได้ยิน ราวกับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจาก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
“ขอบคุณที่เข้าใจ” มันกล่าวด้วยสีหน้าสุขุม
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาที่นั่งฟังสนทนาระหว่างคนทั้งสอง หันไปมองแฮงแมนพลางยกมุมปากเล็กน้อย ดันแว่นขึ้นและพูด
“ถ้าคุณแก้ไขไม่ได้ ดิฉันยินดีช่วย”
ตามความคิดของเธอ หากปัญหาไม่ร้ายแรงนัก เธอสามารถให้ความช่วยเหลือฟรี เพราะนั่นจะหมายความว่าหลังจากนี้ แคทลียาสามารถข้ามแฮงแมนและติดต่อกับช่างฝีมือได้โดยตรง
มีหรือที่ ‘แฮงแมน’ จะไม่เข้าใจเจตนาแท้จริงของนายพลโจรสลัด มันพบว่าพฤติกรรมในเชิงรุกในครั้งนี้ค่อนข้างอุกอาจ สร้างความกดดันให้ตนได้มากระดับหนึ่ง จึงหยุดคิดสักพักก่อนจะตอบอย่างใจเย็น
“ขอขอบคุณในความกรุณาล่วงหน้า ผมจะไปบอกกับเขาให้”
ในแง่หนึ่ง มันเปิดเผยว่าตนค่อนข้างสนิทกับช่างฝีมือคนดังกล่าว ขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ เพราะนั่นจะช่วยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ การเสียสละบางสิ่งจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
แคทลียาไม่สานต่อหัวข้อเดิม หันมามอง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และพูด
“คุณพึงพอใจกับข้อมูลของไบลัมตะวันตกไหม?”
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับไบลัมตะวันตกที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ต้องการ เธอรวบรวมและเรียบเรียงเสร็จตั้งแต่วันพฤหัสบดี จากนั้นก็ส่งให้อีกฝ่ายผ่านผู้ส่งสารประหลาด
เธอค่อนข้างยำเกรงและหวาดกลัวมิสเตอร์ฟูล หากมีวิธีการอื่นให้เลือก เธอก็ไม่อยากรบกวนท่าน
เสียเงินไปตั้งสามร้อยปอนด์ ถ้าข้อมูลบกพร่องหรือไม่ดีพอ เราคงส่งคืนทันทีไปแล้ว! ไคลน์พึมพำพลางบังคับให้เดอะเวิร์ลตอบด้วยการ ‘อืม’ ในลำคอ
จากนั้น สายตาของหุ่นเชิดหันไปทางเมจิกเชี่ยน
ฟอร์สพลันกระอักกระอ่วน เหมือนหนูที่กำลังถูกแมวจ้อง อดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนว่าตัวเองทำอะไรผิดมา
เป็นไปได้ไหมว่า ในตอนที่เราคุยกับซิล เขาจะได้ยินคำนินทาเกี่ยวกับดอน·ดันเตส? หรือเขาไม่พอใจที่เราไม่คืนเงิน? ฟอร์สยังคงนึกถึงภารกิจบอดี้การ์ดเมื่อหลายวันก่อน ตัดสินใจถามอย่างประหม่า
“มิสเตอร์เวิร์ล… ม…มีอะไรหรือ?”
‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์พยักหน้าและพูด
“มีงานให้ทำ… สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองกัลเดรอนในโลกวิญญาณจากตระกูลอับราฮัม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพิกัด”
เมืองกัลเดรอน… เหตุใดเดอะเวิร์ลถึงตามหาเมืองลึกลับแห่งนี้? คำสั่งของมิสเตอร์ฟูล? หรือนี่คือหนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญของแผนการฟื้นคืนพลัง? ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาพอจะมีข้อมูลของเมืองกัลเดรอนอยู่บ้าง จึงค่อนข้างประหลาดใจ
สมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์อย่างเมจิกเชี่ยน ย่อมไม่ทราบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังตามหาเมืองแบบไหน ทำได้เพียงปิดปากสนิท โดยจากบรรดาทั้งหมด ‘เดอะมูน’ เอ็มลินรู้สึกคล้ายกับเคยได้ยินมาก่อน แต่นึกถึงแหล่งที่มาไม่ออก
ผ่านไปสามถึงสี่วินาที ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สฝืนยิ้ม
“ไม่มีปัญหา ดิฉันจะช่วยถามให้”
“คิดราคาเท่าไร?” เกอร์มัน·สแปร์โรว์ถามเสียงเรียบ
หนึ่งพันปอนด์! ไม่สิห้าร้อยปอนด์… ไม่สิ ต้องหักจากค่าบอดี้การ์ด… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเค้นสมองคิด ก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไปว่า
“สามร้อยห้าสิบปอนด์”
ถูกมาก… หากไม่นับ ‘เจ็ดริ้วแสงแห่งโลกวิญญาณ’ คงมีเพียงตระกูลอับราฮัมเท่านั้นที่ทราบข้อมูลโดยละเอียดของเมืองกัลเดรอน… อา สำหรับมิสเมจิกเชี่ยน ภารกิจนี้คงเป็นแค่การถามอาจารย์ ไม่น่าแปลกใจที่ราคาค่อนข้างต่ำ… ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้น ก่อนจะพบเหตุผลรองรับ จึงบังคับให้เดอะเวิร์ลพยักหน้าแผ่วเบาและตอบ
“ตกลง”
‘จัสติส’ ออเดรย์ที่เฝ้ามองการค้าขายครั้งนี้ สังเกตเห็นประเด็นที่น่าสนใจ
ดูเหมือนว่ามิสเมจิกเชี่ยนจะหวาดกลัวมิสเตอร์เวิร์ลมาก จนถึงขั้นกลายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ
เธอเคยพบกับดอน·ดันเตสมาก่อน แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์… บังเอิญไปเห็นสิ่งที่น่ากลัวเข้า? ดีล่ะ เราจะนัดพบฟอร์ส ซิล และกายลินภายในสัปดาห์นี้ ดูว่าจะเค้นเบาะแสออกมาได้ไหม… ออเดรย์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นว่าเดอะเวิร์ลไม่พูดอะไรต่อ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินรีบหันไปมองหน้าเดอะซัน
“มีตะกอนพลังของลำดับ 5 แวมไพร์เทียมบ้างไหม?”
“ผมยังมีคะแนนผลงานไม่พอ” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคตอบอย่างไม่เขินอาย ตรงกันข้าม มันรู้สึกว่ามิสเตอร์มูนใจร้อนเกินไป วัตถุอย่างตะกอนพลังของลำดับ 5 มีหรือจะใช้คะแนนผลงานแลกมาได้ง่าย?
เอ็มลินถอนสายตากลับด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงหันไปมองมิสเมจิกเชี่ยน
“ข้าได้เบาะแสของวัตถุต้องสาปและเศษเสี้ยววิญญาณของวิญญาณโบราณมาแล้ว ตอนนี้กำลังรอรายละเอียดที่ชัดเจน… อาจไม่ใช่การส่งมอบวัตถุให้เจ้าโดยตรง แต่เป็นการบอกแหล่งค้นหาที่ใกล้กับเบ็คลันด์”
กล่าวจบ เอ็มลินไตร่ตรองสักพัก
“สามร้อยปอนด์”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราต้องล่าวิญญาณโบราณด้วยตัวเอง? จากข่าวลือต่างๆ มากมาย นี่คือสัตว์ประหลาดที่ทรงพลัง… หลังจากฟังคำของเดอะมูนจบ ท่าทีตอบสนองแรกของฟอร์สคือความลำบากใจ ท่าทีตอบสนองที่สองคือ หรือว่าตนควรฝากฝังงานนี้ให้มิสเตอร์เวิร์ลช่วยทำแทน? อีกฝ่ายต้องปิดภารกิจอย่างราบรื่นแน่!
แต่หลังจากไตร่ตรองว่า ค่าจ้างเดอะเวิร์ลอาจสูงเกินกว่ามูลค่าของวิญญาณอาฆาตโบราณ เธอคิดว่าควรลองทำด้วยตัวเองมากกว่า
คงต้องรอให้ซิลกลายเป็น ‘นักสอบสวน’ ก่อน จากนั้นค่อยร่วมมือกัน โอกาสสำเร็จจะมากขึ้น… นอกจากนั้นเรายังมี ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ภายในนั้นบรรจุพลังของครึ่งเทพจำพวก ‘ทอร์นาโด’ และ ‘อ้อมกอดเทวทูต’ รวมไปถึงพลังลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพอีกหลายชนิด เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นสมบัติปิดผนึก… อา เรายังบกพร่องในด้านประสบการณ์ต่อสู้จริง เพราะส่วนใหญ่เอาแต่วิ่งหนี นี่คือโอกาส… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สรีบตัดสินใจ หันไปกล่าวกับเดอะมูน
“ตกลง”
หลังจากผ่านการค้าขายอีกสองสามเรื่อง ช่วงเวลาค้าขายก็ถึงคราวสิ้นสุดลง ไคลน์บังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ชำเลืองไปทางแฮงแมนเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปรอบๆ
“การสืบสวนเบื้องต้นของผมเกี่ยวกับคดีฆ่าตัวตายของคารอน เริ่มผลิดอกออกผลแล้ว”
ราชันเร้นลับ 893 : พืชคล้ายเส้นผม
สำหรับคดีฆ่าตัวตายของคารอน บุคคลที่สนใจมากที่สุดย่อมต้องเป็น ‘จัสติส’ ออเดรย์ แต่เธอเองก็ทราบมาว่าฟอร์สอยากรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไม่ต่างกัน จึงยังไม่ได้ถามออกไป ทำเพียงนั่งรออย่างใจเย็น รอให้นักเขียนนิยายขายดีเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
ผ่านไปเพียงหนึ่งถึงสองวินาที ฟอร์สมองไปทางขอบโต๊ะด้านหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวหลังจากเรียบเรียงคำพูด
“สรุปแล้วเป็นฝีมือใคร?”
ไคลน์ที่เรียบเรียงคำพูดไว้นานแล้ว บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบโดยไม่ลังเล
“ผู้ชักใยเบื้องหลังน่าจะเป็นที่ปรึกษาของราชวงศ์ เฮอร์วิน·แรมบิส และน่าจะเป็นคณะกรรมการของสมาคมแปรจิตด้วย”
เมื่อได้ยินประโยคครึ่งแรก ‘จัสติส’ ออเดรย์นึกถึงใบหน้าของชายชราใจดีทันที สุภาพบุรุษคนดังกล่าวมาจากตระกูลชนชั้นสูง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพิร์ธ มีความรู้กว้างขวางและลึกซึ้ง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของราชวงศ์มานานกว่าสิบปี เป็นนักวิชาการที่ทุกฝ่ายต่างสรรเสริญว่าเป็นคนดีและสุภาพบุรุษ
ก่อนหน้านี้ ออเดรย์เคยนึกสงสัยว่า คดีฆ่าตัวตายของคารอนอาจถูกชักนำโดยราชวงศ์ แต่ไม่เคยคิดว่าผู้ลงมือจะเป็นเฮอร์วิน·แรมบิสที่อ่อนโยน ใจดี และมีอารมณ์ขัน!
รอจนกระทั่งเกอร์มัน·สแปร์โรว์พูดจบ หญิงสาวมิอาจเก็บซ่อนความประหลาดใจทางสีหน้า
เฮอร์วิน·แรมบิสเป็นผู้วิเศษ? แถมยังเป็นคณะกรรมการของสมาคมแปรจิต?
หมายความว่า เขาอาจเป็นครึ่งเทพ… เราเคยเห็นเขาหลายครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนของโลกเหนือธรรมชาติ นึกว่าเป็นแค่นักวิชาการใส่ซื่อและวิสัยทัศน์กว้างไกลมาตลอด
ถ้าการผลสืบสวนของมิสเตอร์เวิร์ลไม่ผิดพลาด เราคงจินตนาการไม่ออกว่า เฮอร์วิน·แรมบิสที่ชอบช่วยเหลือผู้คนรายนั้นจะพรากพ่อไปจากลูกๆ ได้อย่างไร้ความปรานี พรากสามีไปจากภรรยา พรากบุตรชายไปจากพ่อแม่… ทั้งที่เขามักจะทำตัวเป็นผู้มีการศึกษาอยู่เสมอ… เฮ่อ การเมืองน้ำเน่าสกปรกกว่าที่เราคิดไว้มาก แม้กระทั่งพวกราชวงศ์ก็ด้วย…
จะว่าไป เราก็ไม่เคยเห็นหน้าคณะกรรมการของสมาคมแปรจิตมาก่อน ไม่เคยเห็นบุคคลเบื้องบนขององค์กร… ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่เห็นจะแตกต่างจากลัทธิชั่วร้ายอย่างชุมนุมแสงเหนือหรือนิกายวิญญาณ… ชุมนุมทาโรต์ของเราดีที่สุดแล้ว มิสเตอร์ฟูลมักคอยยับยั้งและทำลายแผนการของเทพมารอยู่เสมอ…
ขณะความคิดของ ‘จัสติส’ ออเดรย์กำลังเดือดพล่าน ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ได้กลิ่นของดินปืนจากการเมืองภายในกรุงเบ็คลันด์ ขณะเดียวกันก็พบว่ามีหลายฝ่ายกำลังพัวพัน เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความลับ เต็มไปด้วยระเบิดที่รอวันปะทุ
ไม่ว่าจะชนชั้นสูง ราชวงศ์ โบสถ์วายุสลาตัน โบสถ์รัตติกาล โบสถ์จักรกลไอน้ำ เศรษฐีหน้าใหม่ สามัญชนบนขอบหน้าผา ชนชั้นรากหญ้าที่ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถ… การเปลี่ยนแปลงของกระแสเวลาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในอดีต เราไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพียงแค่เชื่อในคำพูดของคีลิงเกอร์และ ‘หลักฐาน’ ที่มันแสดง… ยุคที่เทพองค์เก่าเริ่มเลือนหาย ยุคที่เทพองค์ใหม่ถือกำเนิดกำลังจะมาถึง กระแสแห่งประวัติศาสตร์กำลังพลุ่งพล่านสุดขีด ไหลย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว… อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ คล้ายกับกำลังมองเห็นหอระฆังสูงสไตล์โกธิก รวมถึงเห็น ‘ระฆังประกาศิต’ แขวนอยู่ด้านบน
และรอบๆ สถานที่อันโด่งดังแห่งนี้ อากาศกำลังปั่นป่วน บรรยากาศมืดสลัว คล้ายกับมีพายุกำลังก่อตัวหลายลูก
ทันใดนั้น อัลเจอร์พลันฉุกคิดบางสิ่ง
ตัวตนที่กำลังจะถือกำเนิดอาจไม่ใช่เทพองค์ใหม่… แต่เป็นเทพโบราณที่มาจากยุคสมัยอันห่างไกล…
มันเหลือบไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบถอนสายตากลับ พยายามข่มจิตใจที่ยากจะสงบ
อัลเจอร์กำลังรู้สึกอย่างอธิบายไม่ถูกว่า ความทะเยอทะยานและเป้าหมายของตนในตอนแรกช่างเล็กน้อยและด้อยค่าสิ้นดี มันเคยต้องการแค่ได้เป็นอาร์ชบิชอปของโบสถ์วายุสลาตัน เป็นนักบุญซึ่งมีอำนาจสั่งการคับฟ้า กุมความลับไว้มากมาย
แต่ในเมื่อเทพองค์เก่ากำลังจะเลือนหาย เทพองค์ใหม่กำลังจะผงาดขึ้นแทน ในเมื่อมิสเตอร์ฟูลกำลังจะกลับมาทวงบัลลังก์ในดินแดนดาราคืน แล้วเหตุใดเราถึงจะตั้งเป้าที่จะเป็นเทวทูตไม่ได้?
มีเพียงตัวตนระดับนี้เท่านั้นจึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพของดวงวิญญาณและร่างกาย ได้รับชีวิตอันยืนยาว มีพลังวิญญาณมหาศาล กลายเป็นผู้นำองค์กรใหญ่และกุมพลังของโลกไว้ในมือ!
หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พลันเกิดอาการสั่นระริกเล็กๆ จนยากจะสังเกตเห็น ความตื่นเต้นกำลังเอ่อล้นภายในใจ
แคทลียากำลังนึกถึงร่องรอยของราชินีเงื่อนงำในช่วงสองสามเดือนหลัง พบว่าอีกฝ่ายใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเบ็คลันด์
จะมีบางสิ่งปะทุขึ้นในเบ็คลันด์? คงต้องลองเขียนจดหมายไปถาม ดูว่าพระองค์ท่านจะตอบอย่างไร… แคทลียาดันแว่นตาหนาๆ ที่ดั้งจมูกขึ้น มองไปทางมิสจัสติสและสมาชิกคนอื่นๆ ซึ่งอาศัยอยู่ในเบ็คลันด์
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สพอจะมีข้อมูลของคดีการฆ่าตัวตายของคารอน พอจะทราบว่าครอบครัวของเหยื่อถูกล้างสมองโดยสมบูรณ์ ทำให้ปักใจเชื่อว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของดอน·ดันเตส เมื่อลองจินตนาการว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเอง หญิงสาวพลันหวาดกลัวคณะกรรมการสมาคมแปรจิตรายนี้ขึ้นมาทันที ไม่อยากถูกล้างสมองในสักวัน ไม่อยากถูกถ่ายทอดความคิดที่ไม่ใช่ของตัวเองเข้ามา
แล้วจะแตกต่างอะไรกับหุ่นกระบอก? ลำดับสูงของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ช่างน่ากลัว… แต่เรื่องนี้ถือเป็นวัตถุดิบชั้นยอดสำหรับแต่งนิยาย… อา ในปัจจุบัน ศาสตร์การสะกดจิตค่อนข้างแพร่หลายแล้ว… เล่มต่อไป เราจะเขียนเกี่ยวกับนางเอกที่กำลังป่วย เกิดหลงรักสุภาพบุรุษรายหนึ่งและใช้การสะกดจิตเพื่อให้อีกฝ่ายตกหลุมรักตัวเอง แต่ในตอนสุดท้าย เนื้อเรื่องได้เฉลยว่า แท้จริงแล้วสุภาพบุรุษคนดังกล่าวคือนักสะกดจิตที่เก่งกาจ… ฟอร์สอ้าปากค้าง ก่อนจะหุบกลับ ไม่มีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเฮอร์วิน·แรมบิส เพราะเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่ปรึกษาราชวงศ์รายนี้เลย
การที่ไคลน์ยอมแบ่งปันข้อมูลของเฮอร์วิน·แรมบิส จุดประสงค์หลักคือการเตือนให้มิสจัสติสระวังสมาคมแปรจิต และเมื่อความต้องการบรรลุผล มันหันไปพูดกับทุกคน
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง ช่วยจับตามองโจนาส·โคลเกอร์ให้ผมด้วย ชายคนนี้คือรองผู้อำนวยการของ MI9 ภายนอกระบุว่าอยู่ลำดับ 5 แต่ความจริงแล้วเป็นครึ่งเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืด มีสัมผัสวิญญาณเฉียบแหลม สามารถตระหนักถึงการจ้องมองได้ดี”
โจนาส·โคลเกอร์… ออเดรย์ย้ำชื่อในใจ พบว่าเธอไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยสักนิด
หากไม่ใช่เพราะแวดวงของเราและเขาไม่ซ้อนทับกันจนแทบไม่รู้จัก อย่างมากก็พยักหน้าให้กันโดยไม่ถามชื่อ ก็ต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายจงใจทำตัวไม่โดดเด่น ไม่ยอมเข้าร่วมงานเลี้ยงที่สำคัญเลยสักครั้ง… เราสามารถถามได้จากคานซ์ที่เป็นคนของ MI9 เขาต้องรู้จักผู้บังคับบัญชาของตัวเองแน่… ออเดรย์ไม่แปลกใจเรื่องที่ภายนอกโจนาสเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับ 5 แต่แท้จริงแล้วเป็นครึ่งเทพ เพราะในฐานะเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง เรื่องแบบนี้ถือเป็นสถานการณ์ปรกติ
อัลเจอร์และแคทลียาต่างเคยได้ยินชื่อของโจนาส·โคลเกอร์อยู่บ้าง แต่ไม่มีข้อมูลในเชิงลึก ทำได้เพียงบันทึกข้อมูลใหม่เข้าไปพร้อมกับเตือนใจตัวเองว่า เมื่อพบบางสิ่งที่เกี่ยวข้องในอนาคต ต้องคอยระวังตัวให้ดี
เมื่อเห็นว่ามิสเตอร์เวิร์ลไม่แบ่งปันสิ่งใดต่อ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคเป็นฝ่ายเปิดปากเล่า
“ผมได้เพื่อนใหม่แล้ว”
มันเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะเข้าประเด็นหลัก
“หนึ่งในขอบเขตการลาดตระเวนที่เขารับผิดชอบคืออนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมือง เขาบอกกับผมว่า หกสภาอาวุโสยังมิได้เปิดประตูลงไปยังใต้ดิน… แต่ที่น่าแปลกก็คือ ตามรอยแยกของหินชั้นนอกของอนุสาวรีย์บรรจุศพ มีต้นไม้ประหลาดๆ สีเขียวงอกขึ้น ลักษณะคล้ายกับเส้นผมของมนุษย์”
จากบรรดาหกสภาอาวุโส สามคนในนั้นเป็นครึ่งเทพ และแม้ว่าทั้งสามจะออกไปสำรวจข้างนอกจนไม่ได้อยู่ใกล้กับเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่อีกสามคนที่เหลือก็ยังมีสมบัติปิดผนึกทรงพลัง หรือไม่ก็ ‘ต้อนแกะ’ วิญญาณมารไว้ในตัว มีฝีมือใกล้เคียงครึ่งเทพมาก แต่ทั้งที่ผนึกกำลังกันมานานหลายวัน กลับยังเปิดอนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมืองไม่ได้… ปัญหานี้ชักไม่ธรรมดาแล้ว… นอกจากนั้น ทำไมถึงมีพืชที่คล้ายเส้นผมมนุษย์งอกออกมา? ไคลน์ผุดข้อสงสัยมากมาย แต่ก็ตัดสินใจรอให้แฮงแมนเป็นฝ่ายถามเดอะซันน้อย
มันเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องถามแน่
อัลเจอร์ขมวดคิ้วเล็กๆ หลังจากนั่งฟังอย่างเงียบงัน ก่อนจะคลายคิ้วออก นึกทบทวนสักพักและกล่าว
“ยังมีอะไรผิดปรกตินอกเหนือจากนี้อีกไหม? อย่างเช่น ผู้อาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ รับผิดชอบหน้าที่เปิดอนุสาวรีย์บรรจุศพคนเดียว?”
“ไม่ใช่แค่เธอ แต่ท่านเจ้าเมืองก็อยู่ด้วย ท่านอาวุโสอีกสองคนก็อยู่” เดอร์ริคตอบด้วยสีหน้าขึงขัง “ยังไม่มีอะไรผิดปรกติ”
อัลเจอร์พยักหน้ารับ
“ดีแล้ว ทำต่อไป พยายามผูกมิตรให้มากขึ้น ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของอนุสาวรีย์บรรจุศพ”
เดอร์ริคที่ถูกชมเชยรีบพยักหน้า
หลังจากเสร็จสิ้นช่วงเวลาแลกเปลี่ยนอิสระ ชุมนุมทาโรต์เข้าสู่ช่วงเวลาคาบเรียน ซึ่งใจจริงฟอร์สอยากถามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่า คุณเอามัมมี่ไปทำอะไรหรือ? แต่หลังจากหันไปมองหน้าอีกฝ่าย เธอตัดสินใจปิดปากเงียบ
หลังจากการชุมนุมจบลง ไคลน์ที่กลับสู่โลกความจริง เปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำ ล้างหน้าและฝ่ามือ รอคอยให้ตอนกลางคืนมาถึงอย่างใจเย็น
เพราะนั่นคือเวลาขึ้นเรือเหาะของกองทัพไปยังอ่าวเดซีย์
…
ทวีปใต้ ท่าเรือเบห์เรนส์
เนื่องจากฝันทองคำกำลังแล่นไปทางทิศใต้ของทะเลหมอก เดนิสจึงมาถึงท่าเรือที่อยู่เหนือสุดของไบลัมตะวันตกได้ภายในไม่กี่วัน
มันสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ถือกระเป๋าเดินทาง ติด ‘เข็มกลัดสุริยัน’ ไว้ด้านในเสื้อ พกถุงมือเหล็กสีดำติดตัว กำลังเดินเหงื่อโชกไปตามถนนด้านนอกท่าเรือ พลางปลอบใจตัวเองว่า ตนที่กำลังพกพาอาวุธครบมือ แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก
พ้นเขตท่าเรือ เดนิสมองไปรอบๆ ก่อนจะเหยียดแขนโบกรถม้า
คนขับรถม้าจ้องหน้าและพ่นคำ:
“%#@&&* (() () …”
ไอ้หมอนี่พูดอะไร? เดนิสมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสมองขาวโพลน แข็งทื่อไปหลายวินาทีก่อนจะเอะใจฉุกคิดบางสิ่ง
มันไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่น – ภาษาตูทานแม้แต่นิดเดียว!
และในคราวก่อนที่มาเยือนไบลัมตะวันตก เป็นเพราะมีกัปตันที่เชี่ยวชาญหลายภาษาคอยนำทาง ทุกคนจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับกำแพงภาษาที่แตกต่าง!
ราชันเร้นลับ 894 : พบกันอีกครั้ง
เดนิสเปิดปากพ่นคำอินทิสออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ที่พัก”
คล้ายกับอากาศรอบๆ พลันแข็งตัว เดนิสมองไปที่ผิวสีน้ำตาลเข้มของคนขับรถม้าผมสีดำยุ่งเหยิงยุ่งเหยิง หน้าค่อนข้างกลม สีหน้างุนงงสุดขีด โจรสลัดคนดังหายใจออกอย่างเงียบงัน แบกกระเป๋าด้วยตัวเองเดินไปอีกฝั่งของถนนพลางโทษโชคชะตา
“แม่เย็*! เจอคนขับรถม้าไม่เข้าใจอินทิส! คอยรับส่งผู้โดยสารใกล้กับท่าเรือ แต่ไม่รู้คำศัพท์จากทวีปเหนือเลยหรือ? มีคนอินทิส โลเอ็นและฟุซัคมากมายมาที่นี่!” เดนิสรำพัน สายตามองไปข้างหน้าพยายามตามหาผู้คนที่มีลักษณะเหมือนกับตน คนที่มาจากทวีปเหนือหรือมีบรรพบุรุษในทำนองเดียวกัน จะได้ย้ายเข้าโรงแรมและเติมเต็มกระเพาะเสียที
เท่าที่มันทราบ มีผู้อพยพชาวอินทิสในท่าเรือเบห์เรนส์ค่อนข้างมาก นอกจากนั้นก็ยังมีโลเอ็น ฟุซัค และเฟเนพ็อต ของเพียงได้พบสักหนึ่งหรือสองคน การสื่อสารก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่นั่นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า มันต้องไม่เป็นลมแดดตายไปเสียก่อน!
“อากาศแม่เย็*!” มันแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้า เมฆสีขาว รวมถึงดวงอาทิตย์ที่ไม่สว่างจ้าเกินไป ยกมือขึ้นปาดเหงื่อจากหน้าผาก สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยพลางสบถสาปแช่ง
ถึงแม้จะสาปแช่ง แต่เดนิสก็ทราบว่าอุณหภูมิในทวีปใต้จะอยู่ในระดับปานกลางไปถึงค่อนข้างเย็น สาเหตุที่มันร้อนแบบนี้มาจากการติด ‘เข็มกลัดสุริยัน’ ไว้กับตัว อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ทราบสถานะของตัวเอง ไม่กล้าถอดเข็มกลัดเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง – หากเผลอทำสมบัติวิเศษชิ้นหายโดยไม่ได้ตั้งใจ เดนิสไม่อยากจินตนาการถึงสายตาที่เย็นชาและบ้าคลั่งของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
คนจากแผ่นดินใหญ่ทางตอนเหนือ จะเป็นอาณาจักรไหนก็ได้ เพราะเราคือโจรสลัดคนดังที่เชี่ยวชาญหลายภาษา… ปากของเดนิสยังคงพึมพำ สิ่งที่อยู่ในใจมีเพียงเบียร์เย็นจัดและ ‘ธารน้ำแข็ง’ ที่กำลังลอยท่ามกลางมหาสมุทร
หลังจากพึมพำ จู่ๆ มันก็ยกมือขยี้ตา
ในที่สุดมันก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนทวีปเหนือ!
นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าอาจเป็นคนรู้จักด้วย!
ด้านหน้าในแนวเฉียงของเดนิส ณ มุมถนนที่ส่องแสงแดดอุ่นส่องเข้าไปถึง ชายผมสั้นสีทองหวีสามส่วนยืนกำลังพิงกำแพง เล่นหีบเพลงปากสีขาวเงิน
อีกฝ่ายมีดวงตาสีเขียว สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุมสองเม็ด สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำสนิท ท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวสีเข้ม สวมถุงมือสีดำข้างเดียว ไม่ใช่ใครนอกจากนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหมอก แอนเดอร์สัน·ฮูด!
บังเอิญอะไรขนาดนี้? หมอนี่มาที่ไบลัมตะวันตกทำไม…เดนิสเผยสีหน้าเปี่ยมสุข รู้สึกว่าในที่สุดก็ได้พบท่อนไม้ที่ลอยอยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่เสียที ภายในใจให้อภัยพฤติกรรมของแอนเดอร์สันบน ‘ฝันทองคำ’ รีบขยับเข้าไปใกล้ ทักทายด้วยน้ำเสียงมาตรฐานของนักล่า
“เกิดอะไรขึ้น? เป็นนักล่าไม่ประสบความสำเร็จ ก็เลยมาเป็นนักแสดงบนถนน?”
มันสังเกตเห็น ด้านหน้าแอนเดอร์สันมีหมวกหงายวางอยู่ ภายในมีเหรียญทองเหลืองราวยี่สิบถึงสามสิบเหรียญ มีจำนวนเล็กน้อยที่เป็นเหรียญ ‘ค็อปเพ็ต’ ของอินทิส ส่วนใหญ่เป็นเหรียญ ‘เดลิกซี่’ ของท้องถิ่น
‘เดลิกซี่’ แปลว่าแผ่นทองแดงในภาษาอินทิส
แอนเดอร์สันหยุดเล่น มองหน้าเดนิส
“นี่ไม่ใช่หมวกของฉัน… ฉันแค่ผ่านทางมา เมื่อเห็นหมวกดังกล่าวตกอยู่บนพื้น ไม่มีใครสังเกตเห็น ประกอบกับอารมณ์สุนทรีย์เล็กน้อย จึงหยิบฮาร์โมนิก้าออกมาเป่า ใครจะไปคิดว่ามีคนฟังเยอะมากจนโยนเงินมาให้ไม่น้อย… โจรสลัดหยาบคายอย่างนายคงไม่สามารถเข้าใจเสน่ห์ของดนตรี สิ่งนี้ไม่มีพรมแดน ขอบอกไว้ก่อนนะ กัปตันของนายชอบเรื่องพวกนี้มาก”
“หยุด!” หน้าผากของเดนิสเริ่มกระตุก รีบห้ามคำพูดของแอนเดอร์สันซึ่งไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตรงไหน รีบโพล่งถาม “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
แอนเดอร์สันในท่าถือหีบเพลงปาก ครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“เป็นคำถามที่ดี… ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่ไบลัมตะวันตกได้ เกิดอะไรขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ฉันจำไม่ได้เลย”
เดนิสอยากจะบอกว่าหยุดล้อเล่น แต่การแสดงออกที่จริงจังของแอนเดอร์สันทำให้มันคล้อยตาม
“จำอะไรไม่ได้เลย?”
แอนเดอร์สันทิ้งหีบเพลงปากสีเงิน ก้มลงหยิบหมวกหงายพร้อมเหรียญจำนวนมาก ปัดฝุ่นออก
“ความทรงจำสุดท้ายของฉันคงอยู่ที่บายัม หลังจากแยกทางกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดูเหมือนว่าจะไปพบใครบางคนในสถานที่ที่กำหนดไว้ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาทันที ฉันก็อยู่ในไบลัมตะวันตกแล้ว… ฮะฮะ! อย่าไปสนใจเลย แค่ยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว หืม… เกือบเที่ยวแล้วสินะ ไปหาอะไรกินกัน ฉันได้ยินว่าขาหมูของเบห์เรนส์โด่งดังเป็นพิเศษ”
กล่าวจบ แอนเดอร์สันวางหมวกทรงสูงและเหรียญวางไว้ข้างๆ คนไร้บ้านที่นอนอยู่ด้านข้าง
เดนิสทั้งร้อน หิว และเหนื่อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงตื่นเต้น
“นายรู้ภาษาตูทาน?”
แอนเดอร์สันโพล่งทันที
“นายไม่เคยได้ยินวีรกรรมการผจญภัยมากมายของฉันในไบลัมตะวันตกเลยหรือ?”
นั่นสินะ… เราเคยนึกอยากจะขอข้อมูลเกี่ยวกับไบลัมตะวันตกจากหมอนี่มาก่อน… ท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวายและอันตราย ถ้ามีแอนเดอร์สันคอยช่วยจะปลอดภัยกว่ามาก แถมยังมีล่ามคอยแปล! และนี่ไม่ใช่การว่าจ้าง เราไม่ต้องจ่ายเงิน… เดนิสยิ้มเล็กน้อย
“ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจ ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
ในท่าแบกสัมภาระ เดนิสเดินไปพร้อมแอนเดอร์สัน อ้อมไปยังถนนด้านข้างจนกระทั่งพบร้านอาหาร จึงเดินเข้าไปทันที
เมื่อได้ยินภาษาของพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อได้เห็นเมนูที่เต็มไปด้วยข้อความที่อ่านไม่ออก เดนิสพลันเกิดอาการวิงเวียน รีบหันไปพูดกับแอนเดอร์สัน
“นายจัดการเลย”
ในขณะกล่าว มันส่งเมนูให้กับนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหมอกที่นั่งฝั่งตรงข้าม
แอนเดอร์สันไม่ได้ยื่นมือออกมารับ เพียงตอบด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย
“ฉันก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน”
“…ไหนบอกว่าพูดตูทานได้?” เดนิสโพล่งด้วยความตกใจ
แอนเดอร์สันผายมือและพูด
“ฉันไม่เคยพูดแบบนั้น… การตามล่าสมบัติตลอดหลายปี เกี่ยวอะไรกับการพูดตูทานได้?”
“ถ้านายอ่านภาษาตูทานโบราณไม่ออก แล้วจะอ่านข้อความบนผนังเพื่อล่าสมบัติได้ยังได้?” สีหน้าของเดนิสบิดเบี้ยวอีกครั้ง พูดเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แอนเดอร์สันหยิบถ้วยที่บริกรนำมาวาง ดื่มน้ำอึกอึกอึก
“ปัญหาที่แก้ได้ด้วยพจนานุกรมย่อมไม่ใช่ปัญหา… นอกจากนั้น แค่พูดตูทานไม่ได้ จะสื่อสารกับชาวทวีปใต้ไม่ได้เชียวหรือ?”
กล่าวจบ มันมองไปยังบริกรข้างๆ และพูดเป็นภาษาอินทิส
“ขาหมูพิเศษสองจาน”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บริกรคนดังกล่าวทำหน้ามึนงงสุดขีด พลางชี้นิ้วไปทางเมนูอาหาร
แอนเดอร์สันไม่ฉุนเฉียว เพียงบีบจมูกด้วยมือขวาอย่างใจเย็น จำลองเสียงร้องของหมู
บริกรถึงกับผงะในตอนแรก เผยสีหน้างุนงงทันที ก่อนที่แอนเดอร์สันจะชี้ไปที่ข้อศอกตัวเอง จากนั้นก็ชี้ไปยังสัญลักษณ์เบห์เรนส์บนเมนูอาหาร ตามด้วยการทำนิ้วเป็นตัวเลข ‘สอง’
“*%¥#” บริกรตอบกลับด้วยสำเนียงตูทาน พยักหน้ารับหลายครั้งเป็นนัยว่าเข้าใจ เดนิสพลันตะลึงทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า
เพียงแอนเดอร์สันทำท่าทางและผสมกับคำง่ายๆ ไม่กี่คำ ในที่สุดมันก็สั่งอาหารเสร็จ จึงหันหน้ามายิ้มให้เดนิส
“เข้าใจไหม… บนโลกใบนี้ ภาษาสากลที่แท้จริงคือภาษากาย!”
เดนิสมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าว่างเปล่า กระตุกมุมปากแผ่วเบา
…
รถม้าแล่นออกจากเขตตะวันตก มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ตรงทางแยกของถนน เพียงไม่นานก็มาถึงฐานทัพแห่งหนึ่ง
ไคลน์ซึ่งมีจดหมายแนะนำที่เขียนด้วยลายมือของผู้พันคาลวิน แถมยังมีนายทหารหนุ่มร่วมทางมาด้วย เดินผ่านจุดตรวจเข้าไปอย่างราบรื่น มาถึงสี่เหลี่ยมที่ปูด้วยดินอัด สลักลวดลายสัตว์ประหลาดตัวใหญ่สีน้ำเงินเข้มสลับกับสีขาว
เรือเหาะลำนี้มีความยาวหลายสิบเมตร มีโครงอัลลอยที่แข็งและเบายื่นออกมาจากตัวถัง กระจัดกระจายออกไปเป็นแผง คอยรองรับผ้าใบกันน้ำและถุงลม ด้านล่างมีปากกระบอกปืนกล ช่องกระสุน และปากกระบอกปืนใหญ่
ณ ปัจจุบัน เสียงหวูดของเครื่องยนต์ไอน้ำยังไม่ดัง ใบพัดที่คอยขับเคลื่อนยังไม่หมุน บรรยากาศเงียบงันอย่างน่าประหลาด
ไคลน์ส่งเอกสารและบัตรประจำตัวให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยยืนตรวจอยู่ข้างทางเดิน หลังจากได้รับอนุญาต ชายหนุ่มแบกกระเป๋าเดินทางและค่อยๆ ก้าวขึ้นเรือเหาะ
ด้านในมีลักษณะเหมือนกับห้องโดยสาร แบ่งเป็นสามชั้น มีเครื่องจักรที่ซับซ้อนและโกดังเก็บสินค้าด้านบน ตรงกลางเป็นห้องโถงที่สามารถจัดงานเลี้ยงบุฟเฟ่ต์และงานเลี้ยงเต้นรำ รอบห้องโถงและทั้งสองฝั่งของทางเดิน มีบันไดนำพาไปสู่ชั้นบนและชั้นล่าง ภายในห้องโถงยังมีโซนห้องพัก ส่วนชั้นล่างสุดประกอบด้วยห้องปืนกล ห้องกระสุน ห้องปืนใหญ่ และห้องพักของทหาร
หลังจากเดินผ่านยามที่ถือปืนไรเฟิล ไคลน์ทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ มองหาห้องพักที่เกี่ยวข้องและเปิดเข้าไป วางกระเป๋าเดินทางลงข้างที่นั่งคล้ายโซฟา
ถัดมา มันหยิบแก้วน้ำวางบนโต๊ะ เดินไปทางหน้าต่าง มองออกไปชมวิวทิวทัศน์ด้านนอก
ว่ากันตามตรง แม้ว่าชายหนุ่มจะรู้ทุกเรื่องอย่างละนิด แต่ก็รู้เพียงหางอึ่งเท่านั้น จึงไม่ค่อยเข้าใจหลักการออกแบบของเรือเหาะรุ่นล่าสุดลำนี้สักเท่าไร ยังไม่ชัดเจนว่ายานพาหนะชนิดนี้บินได้สูงแค่ไหน หรือมีเสถียรภาพมากเพียงใดบนอากาศ
เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มกังวลเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางจึงตัดสินใจทำนายหาอันตรายบนมิติเหนือสายหมอก ได้ผลลัพธ์ว่าตนสามารถไปถึงที่หมายได้อย่างราบรื่น
ดูเหมือนว่าจะมีเข็มขัดนิรภัยด้วย อุตสาหกรรมเรือเหาะของโลกนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สั่งสมประสบการณ์มากพอในทุกๆ แง่มุม… ขณะไคลน์เตรียมถอนสายตากลับเพื่อชื่นชมการจัดวางห้องและแสงเทียนด้านหลังฝากระจกแข็ง ทันใดนั้น มันเห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาใกล้เรือเหาะหมายเลข ‘1345’
คนกลุ่มนี้มีทั้งชายและหญิง เกือบทั้งหมดแต่งกายด้วยเสื้อกันลมสีดำบางๆ สวมถุงมือสีแดง แบกกระเป๋าเดินทางที่มีขนาดแตกต่างกัน มีเพียงหนึ่งคนที่สวมเสื้อคลุมลึกลับของผู้สื่อวิญญาณ ทาขอบตาและแก้มด้วยสีฟ้า ไม่ใช่ใครนอกจากดาลีย์·ซิโมเน่
ด้านข้างเยื้องไปทางหลังของหญิงสาว เลียวนาร์ด·มิเชลเจ้าของเส้นผมสีดำและดวงตาสีฟ้ากำลังเดินตามมา
โดยไม่มีใครสังเกตเห็น ฝีเท้าของเลียวนาร์ดชะลอลงกะทันหัน ก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้น มองมายังชั้นสองของเรือเหาะ
กระจกตาของมันสะท้อนภาพของจอนสีขาวและดวงตาสีน้ำเงินที่ลุ่มลึกของดอน·ดันเตสในชุดสูททางการและโบหูกระต่าย
สุภาพบุรุษรายนี้กำลังยืนอยู่หลังหน้าต่าง ทำท่าทางทักทายพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้น
ราชันเร้นลับ 895 : โล่งใจในที่สุด
สีหน้าของเลียวนาร์ดชะงักเล็กน้อย แต่ไม่นานมันก็กลับเป็นปกติ
มันจำได้ว่าดอน·ดันเตสกำลังทำงานร่วมกับทหาร เตรียมขายปืนไรเฟิล เครื่องกระสุน และกระสุนปืนใหญ่ให้กับไบลัมตะวันตก
ดังนั้น แม้ว่าการปรากฏตัวของสุภาพบุรุษรายนี้บนเรือเหาะทหารจะน่าประหลาดใจ แต่ก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ผิดแผกพิสดาร
ปัญหาก็คือ เขารีบเดินทางไปที่ไบลัมตะวันตกเร็วขนาดนี้เชียว? การมาถึงของอามุนด์สร้างแรงกดดันมหาศาล? ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองเลียวนาร์ด มันถอยสายตากลับ เดินพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมไปตามทางเดิน ขึ้นมาถึงชั้นสอง เข้าไปในห้องรับรองขนาดใหญ่ที่ถูกกันไว้ให้หน่วยถุงมือแดง
หลังจาก ‘ถุงมือแดง’ จับจองที่นั่งได้ไม่นาน เสียงคำรามอันกึกก้อง เสียงหมุนของใบพัด และเสียงเสียดสีต่างๆ ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจนทำให้พื้นและผนังสั่นคลอนเล็กๆ
อาการสั่นรุนแรงขึ้นจนเริ่มโคลงเคลง เรือเหาะโยกเอนไปมาขณะพยายามลอยตัวขึ้น แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
ไคลน์นั่งลง คาดเข็มขัดนิรภัย มองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากความรู้สึกขณะโดยสารเครื่องบินจากโลกเก่า
การนำเครื่องขึ้นยังไม่นุ่มนวล ระดับความสูงก็ยังค่อนข้างต่ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ตกหลุมอากาศ ใช้เทคโนโลยีอะไรกันนะ… ไคลน์เพียงมองไปที่หน้าต่างด้านหน้า ไม่ยอมปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อเดินออกไปไหนมาไหน
นี่ไม่ใช่โรคกลัวความสูง เพราะมันกำลังสวม ‘ยุบพองหิวโหย’ เป็นกรณีพิเศษ จึงมีพลังในการ ‘บินระยะสั้น’ และ ‘เทเลพอร์ต’ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการตกจากที่สูง แต่เป็นเพราะไคลน์ต้องการสวมบทบาทเป็นเศรษฐีที่เพิ่งเคยนั่งเรือเหาะเป็นครั้งแรก
ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณไคลน์พลันถูกกระตุ้น จึงรีบกระทบฟันกรามเพื่อเปิด ‘เนตรวิญญาณ’ อย่างรวดเร็ว
เมื่อเริ่มเห็นแสงรอบตัวกลายเป็นสีสันฉูดฉาดซ้อนทับหลายชั้น กระดูกสีขาวทยอยพุ่งออกมาจากพื้นดินประหนึ่งน้ำพุ ก่อตัวเป็นโครงกระดูกขนาดใหญ่สูงเกือบสี่เมตร
เบ้าตาของกะโหลกมีเปลวไฟสีดำลุกไหม้ ในมือถือกระดาษจดหมายที่ถูกพับไว้
ผู้ส่งสารของมิสเตอร์อะซิก… หมายความว่าเขาพ้นจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงแล้ว? ไคลน์พลันประหลาดใจ รีบลุกขึ้นรับจดหมาย
แต่เมื่ออุปสรรคบริเวณหน้าท้องและเอวเริ่มทำงาน มันเพิ่งตระหนักว่าตนกำลังคาดเข็มขัด
เมื่อมันเหยียดแขนออกไปเพื่อพยายามปลดอุปกรณ์ ผู้ส่งสารโครงกระดูกก้มตัวลง ยัดกระดาษลงบนฝ่ามือชายหนุ่ม
ไคลน์ตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบเงยหน้ามองเข้าไปในเบ้าตาของอีกฝ่ายซึ่งลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีดำสนิท พยักหน้ารับเล็กน้อยแทบคำขอบคุณ
มันเข้าใจได้ว่า เหตุใดผู้ส่งสารถึงไม่ปรากฏตัวที่ชั้นล่างและปล่อยให้ร่างกายครึ่งบนทะลุพื้นขึ้นมา เพราะที่นี่คือเรือเหาะของกองทัพ หากไม่นับ ‘ถุงมือแดง’ ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีผู้วิเศษคนอื่นๆ โดยสารมาด้วย แต่ละคนย่อมมีสัมผัสวิญญาณและเนตรวิญญาณในระดับแตกต่างกันออกไป บางคนอาจมองเห็นผู้ส่งสาร
แต่เราไม่คิดว่ามันจะสุภาพถึงขั้นที่ยอมย่อตัวลงเพื่อส่งจดหมาย… เราเคยชินกับแบบเก่ามากกว่า… ไคลน์พึมพำสองสามคำ เฝ้ามองผู้ส่งสารสลายตัวเป็นกระดูกมายา ตกลงไปในพื้นเหมือนน้ำตก
ภายในห้องพักรับรองขนาดใหญ่ ดาลีย์·ซิโมเน่ที่ยังคงเรียกตัวเองว่า ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ พลันหันศีรษะไปมองยังทิศทางหนึ่ง
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
ดาลีย์ถอนสายตากลับ กล่าวกับนายทหารระดับล่างที่นั่งตรงมุมห้องพักรับรอง
“ชงค็อกเทลให้หน่อย แรนดี้ดำและแชมเปญอย่างละครึ่ง”
“สูตรค่อนข้างแปลกนะครับมาดาม” เจ้าหน้าที่ปลดเข็มขัดนิรภัย เดินไปทางตู้เก็บแอลกอฮอล์พลางเสนอความคิดเห็นของตัวเอง
ดาลีย์ที่ทาขอบตาและแก้มเป็นสีฟ้า ยิ้มและกล่าว
“ดิฉันชอบรสชาติที่ไม่เหมือนใคร”
กล่าวจบ เธอเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่ลังเลที่จะถาม
“บนเรือเหาะลำนี้ ยกเว้นพวกคุณและเรา ดูเหมือนว่าจะมีคนอื่นโดยสารมาด้วย?”
เจ้าหน้าที่ตอบขณะเปิดตู้เก็บแอลกอฮอล์ ·
“ใช่ครับ… นักธุรกิจที่ดูเหมือนจะชื่อดอน·ดันเตส เขามีสายสัมพันธ์กับกระทรวงกลาโหมในระดับหนึ่ง”
ดอน·ดันเตส… ดาลีย์ถึงกับผงะ ดวงตาสั่นระริกเล็กน้อย
“สายสัมพันธ์?”
ด้านขวามือของเธอ เลียวนาร์ด·มิเชลปรับท่านั่งโดยไม่รู้ตัว เปลี่ยนจากไขว่ห้างขวาทับซ้าย กลายเป็นซ้ายทับขวา
“ผมเองก็ไม่ทราบ” เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าพลางมอบคำตอบ “เท่าที่ฟังมา ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการพึ่งพาประสบการณ์ในทวีปใต้ของสุภาพบุรุษคนดังกล่าว”
“ทวีปใต้…” ดาลีย์เคี้ยวคำสองสามหน แต่ไม่ได้ถามต่อ
…
ในภายในห้องพักเล็กๆ ฝั่งตรงข้าม ไคลน์คลี่จดหมายอ่านอย่างจริงจัง
เป็นจดหมายจากอะซิก·อายเกส เกริ่นว่าประสบการณ์ที่พบเจอช่วยทำให้ความทรงจำเก่าๆ ย้อนกลับมามากขึ้น จำเป็นต้องนอนหลับเพื่อย่อยและฟื้นตัว จึงไม่สามารถตอบกลับได้ในทันที
ไคลน์ผ่อนคลายความกดดัน เลื่อนสายตาลงไปยังเนื้อหาด้านล่างอย่างอารมณ์ดี
สำหรับหัวขโมยโลกวิญญาณ คำอธิบายของอะซิกก็คือ:
“มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดแกมโกง มีจำนวนไม่มากและแปลงโฉมเก่งกาจ พบได้ไม่ง่ายนัก… จุดที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็คือ มันจะก้าวร้าวมาก แต่ก็ยังอันตรายและแข็งแกร่งมากด้วย พลังใกล้เคียงกับลำดับ 4ต้องใช้ระมัดระวังสูงมาก มิฉะนั้นอาจกลายเป็นอวตารวิญญาณของมัน”
“ทั้งหมดที่กล่าวมาคือลักษณะเด่นของมัน… ผมไม่มีข้อมูลของตำแหน่งหรือพิกัดที่พวกมักเคลื่อนไหว ผมขอแนะนำให้คุณอธิษฐานถึง ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรีย เขาใจดีกับมนุษย์มาก ยินดีที่จะตอบคำถามในขอบเขตอำนาจของตัวเอง… กุญแจสำคัญของพิธีกรรมคือพระนามเต็มและสัญลักษณ์ที่ถูกต้อง”
“หากคุณมีเบาะแสของหัวขโมยโลกวิญญาณเมื่อไร ช่วยรอสักครู่ ผมอาจช่วยเหลือคุณได้”
ผมไม่อยากรบกวนคุณ… ไคลน์ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับบีบมุมปากทั้งสองข้าง
จากนั้น ชายหนุ่มก็พลิกกระดาษอ่านหน้าสุดท้าย
“และเช่นเคย… ผมจะปิดผนึกถุงมือให้คุณใหม่… ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากสอนวิธีผนึก แต่คุณยังทำไม่ได้ด้วยพลังของตัวเอง เพราะวิธีดังกล่าวต้องอาศัยพลังของโลกแห่งความตาย และต้องอยู่ในลำดับ ‘อมรณา’ เป็นอย่างน้อย”
“แล้วก็… ผมจะรีบหาเวลาว่างให้ ผมจำได้ว่าคุณเคยพูดถึงแหวนที่เกี่ยวกับมรณา…”
มิสเตอร์อะซิกดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก อย่างน้อยก็ไม่พบเบาะแสจากจดหมาย… ไคลน์หายใจออกเชื่องช้า สะบัดกระดาษในมือพร้อมกับเผาให้เป็นขี้เถ้า ลอยตกลงไปในถังขยะที่บนพื้น
แม้ว่ามิสเตอร์อะซิกจะไม่ช่วยระบุตำแหน่งที่ชัดเจนของหัวขโมยโลกวิญญาณ แต่นั่นก็ทำให้ทราบว่า กระทั่งลูกหลานของมรณาก็ไม่รู้จักเมืองกัลเดรอน และยังหมายถึง เมืองดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับโลกแห่งความหาย ไม่อย่างนั้น มิสเตอร์อะซิกที่ติดต่อกับโลกแห่งความตายมานาน ย่อมต้องจดจำบางสิ่งที่เกี่ยวข้องได้ แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์ก็มีแผนจะเขียนจดหมายกลับไปถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองกัลเดรอน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามละทิ้งความหวังเด็ดขาด… นอกจากนั้น เราต้องแจ้งมิสเตอร์อะซิกว่า ปัจจุบันเรากำลังอยู่ที่ทวีปใต้… ไคลน์ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าควรเขียนตอบกลับอย่างไร
แต่มันยังมิได้ลงมือทันที ด้วยกังวลว่าผู้ส่งสารจะทำให้ผู้วิเศษคนอื่นบนเรือเหาะพบความผิดปรกติ
เมื่อถอนสายตากลับ ไคลน์มองไปที่หน้าต่างอีกครั้งและพบบรรยากาศอันมืดมิดและเงียบสงัด
…
หลังจากแหงนมองท้องฟ้ามืดที่มีดวงจันทร์สีแดงถูกเมฆบดบัง ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาถอนสายตากลับ ยกปากกาขึ้น
“คำตอบของคำถามก็คือ… ไม่ใช่ทั้งสอง”
ในตอนต้น หญิงสาวรู้สึกสับสนเล็กน้อย เหตุใดราชินีถึงไม่ถามออกไปตรงๆ ว่า ‘บ้านเกิด’ หมายถึงที่ใด แต่กลับให้เลือกคำตอบจากสองข้อสันนิษฐาน เป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับคำตอบไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ดี หลังจากครุ่นคิดสักพัก เธอพบว่าราชินีรอบคอบกว่าที่ตนคิด
เนื่องจากอีกฝ่ายคือตัวตนลึกลับที่ดูเหมือนจะเป็นเทพโบราณ การแลกเปลี่ยนต้องเท่าเทียม ราชินีเงื่อนงำครอบครองไดอารีเพียงประมาณยี่สิบหน้าเท่านั้น แถมทุกครั้งก็ยังถามคำถามเป็นการแลกเปลี่ยน มูลค่าของคำถามจึงต้องไม่สูงไปกว่าไดอารีสามหน้า การถามตรงๆ ว่าบ้านเกิดของดวงวิญญาณของจักรพรรดิโรซายล์อยู่ที่ไหนจึงนับว่าไม่เท่าเทียม บางที ความลับที่ซ่อนอยู่นี้อาจสำคัญยิ่งกว่า ‘ไพ่เย้ยเทพ’ เสียอีก
และดูเหมือนว่า ราชินีจะยังไม่ยอมแพ้กับคำถามนี้ การเพิ่มตัวเลือกจึงถือเป็นการลดทอนมูลค่าของคำถามลง ให้สอดคล้องกับกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เพราะไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นหนึ่งในสองตัวเลือก หรือไม่ใช่ทั้งสอง เธอก็จะได้รับเบาะแสบางอย่างกลับไป… ขณะแคทลียากำลังปล่อยให้ความคิดล่องลอย เธอหวนนึกถึงบางสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เธอยังอายุน้อย กำลังถูกสั่งสอนให้แสวงหาความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ราชินีมักถามคำถามเพื่อทดสอบเธอเป็นครั้งคราวพร้อมกับแนะนำว่า หากเกิดข้อสงสัยในเรื่องใด มีสามวิธีในการลดความยากของคำถามลง ประการแรก ค่อยๆ ตัดข้อที่เป็นไปไม่ได้ออกไป ประการที่สอง ถามใครสักคนบนเรือ และประการที่สาม สวดวิงวอนถึงหนึ่งในเจ็ดริ้วแสงแห่งโลกวิญญาณเพื่อรับคำตอบ แต่ก่อนจะทำแบบนั้นได้ ต้องหัดประกอบพิธีกรรมด้วยตัวเอง
เห็นได้ชัดว่า ‘ราชินีเงื่อนงำ’ เลือกวิธีแรกในการไขปริศนาคราวนี้
ราชินีเคยมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันเมื่อครั้งยังเด็ก? แต่หลังจากตัดสองตัวเลือกที่ไม่ถูกต้องออกไป เราไม่รู้ว่าท่านอยู่ห่างจากคำตอบที่ถูกต้องมากน้อยแค่ไหน… สีหน้าแคทลียาผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัวขณะขยับมือเขียนต่อ
“ตามข้อมูลที่ดิฉันได้รับ พายุกำลังก่อตัวในเบ็คลันด์ ขอให้พระองค์ระวังตัว”
เธอไม่ได้เล่าเกี่ยวกับรองผู้อำนวยการ MI9 และไม่ได้เล่าเรื่องของที่ปรึกษาของราชวงศ์ ท้ายที่สุด นี่คือข้อมูลที่แบ่งปันเฉพาะภายในชุมนุมทาโรต์ แตกต่างจากคำถามที่ผ่านการยอมรับจากมิสเตอร์ฟูล เธอสามารถนำไปบอกราชินีได้โดยตรง
พับจดหมายเสร็จ แคทลียาทำการอัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต
…
ท่าเรือเบห์เรนส์ ใกล้หัวค่ำ
เดนิสและแอนเดอร์สันพบโรงแรมที่มีชาวอินทิสเป็นเจ้าของ ในที่สุดก็เป็นอิสระจากกำแพงภาษา
หลังจากวางสัมภาระเรียบร้อย เดนิสสวมเสื้อคลุมและถุงมือ เตรียมออกจากห้องและตรงไปที่บันได
แอนเดอร์สันที่ยืนพิงประตูห้องฝั่งตรงข้าม ถามติดตลก
“จะออกไปไหน?”
ทันใดนั้นเดนิส ‘หึหึ’ ในลำคอ
“ไปซื้อพจนานุกรม! อย่างน้อยก็น่าเชื่อถือและพึ่งพาได้มากกว่าภาษากายของนาย! ในอีกไม่กี่วัน บางที ฉันอาจเชี่ยวชาญคำศัพท์ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน!”
แอนเดอร์สันคลำคางด้วยมือซ้ายที่สวมถุงมือสีดำ
“ถุงมือของนายทำมาจากตะกอนพลังของคนยักษ์สินะ? แล้วผลข้างเคียงคืออะไรล่ะ?”
เดนิสโพล่ง
“ทุกการกระทำจะเกิดขึ้นอย่างบ้าบิ่น มักจะทำก่อนแล้วค่อยคิดถึงปัญหาภายหลัง”
กล่าวจบ มันเงียบลงทันที
ราชันเร้นลับ 896 : การหยั่งเชิงของดาลีย์
ออกไปซื้อพจนานุกรมตอนกลางคืน ท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย แถมยังมีรูปลักษณ์ของชาวอินทิส นี่มันอันตรายสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือ… ไม่มีทาง ไม่สามารถสวมถุงมือนี้ได้ตลอดเวลา… เดนิสตกตะลึงไปสองสามวินาที รีบยกมือขึ้น พยายามปลดถุงมือออก
ขณะกำลังถอด มันชะงักความเคลื่อนไหวกะทันหัน แหงนหน้ามองแอนเดอร์สันฝั่งตรงข้าม สำรวจถุงมือสีดำบนมือซ้ายของอีกฝ่าย ก่อนจะสวมถุงมือตัวเองกลับเข้าไปและยิ้มแห้ง
“ฉันคิดว่า… ในสถานที่อันตรายอย่างทวีปใต้ ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถึงจะต้องแลกมากับผลเสียสักเรื่องสองเรื่อง” เดนิสยิ้มจางๆ จนแทบมองไม่เห็น
แอนเดอร์สันไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังคงถูคางของมันและกล่าว
“แล้วนายคิดจะทำอะไรต่อ?”
เดนิสชี้ไปทางบันได
“ไปหาเจ้าของโรงแรมและยืมพจนานุกรมของมัน ฉันคิดว่ามันคงสอนให้ลูกๆ พูดตูทานเป็น”
“เป็นไอเดียที่ดี แต่ถึงแม้จะมีพจนานุกรม นายก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาอันสั้น แค่การเรียนศัพท์พื้นฐานยังค่อนข้างยาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว ระบบภาษาของที่นี่แตกต่างจากภาษาทวีปเหนือ” แอนเดอร์สันเล่าต่อ “ฉันขอเสนออีกหนึ่งวิธี… กัปตันของนายน่าจะสอนพิธีกรรมในขอบเขตของ ‘เทพปัญญาความรู้’ มาแล้วใช่ไหม?”
“ใช่” เดนิสพยักหน้าโดยไม่คิดเยอะ
แอนเดอร์สันปรบมือเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะพิธีกรรมใหม่ให้นาย… หากสวดวิงวอนต่อ ‘เทพปัญญาความรู้’ นายจะฟังและเขียนภาษาตูทานได้ภายในหนึ่งสัปดาห์”
เดนิสส่ายหน้าโดยไม่ลังเล
“ฉันเชื่อใน ‘เทพวายุสลาตัน’ ไม่ใช่ ‘เทพปัญญาความรู้’ การที่พิธีกรรมก่อนๆ ได้รับการตอบสนอง ทั้งหมดเป็นเพราะกัปตัน”
กล่าวจบ มันมองหน้าแอนเดอร์สัน
“แล้วนายล่ะ? ไม่ใช่ว่าเกิดในเซกัล เติบโตในลุนเบิร์ก และเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับกัปตันหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรเป็นสาวกของ ‘เทพปัญญาความรู้’ และสามารถประกอบพิธีกรรมดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ… ไม่ใช่รึไง?”
แอนเดอร์สันส่ายหน้าพลางยิ้ม
“สาวกทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่จะได้รับการตอบสนอง”
มันครุ่นคิดสักพัก
“วิธีที่ดีที่สุดคือการขอความช่วยเหลือจากนักบวชและบิชอปของศาสนจักรปัญญาความรู้ ให้พวกเขาช่วยสร้างคาถาที่เกี่ยวข้อง… อา ฉันจำได้แล้ว มีผู้เผยแผ่ศาสนาบางคนจากลุนเบิร์กอาศัยอยู่ที่ท่าเรือเบห์เรนส์ พรุ่งนี้ลองไปเยี่ยมดูไหม?”
ขณะเดนิสเตรียมตอบว่า ‘ใช่’ แต่ทันใดนั้นพลันแสดงสีหน้าคลางแคลง
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า… นายกำลังบางแผนอะไรอยู่?”
สีหน้าแอนเดอร์สันพลันแข็งทื่อ
…
บนเรือเหาะ ไคลน์คาดเข็มขัดนิรภัย ซุกตัวใต้ผ้าห่ม เอนหลังพิงพนักเก้าอี้และนอนหลับ
ณ ปัจจุบัน กลางคืนด้านนอกหน้าต่างค่อนข้างมืด มีแสงสว่างประปรายไม่กี่จุดจากพื้นดิน ทิวทัศน์ดูเหมือนจะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ทั้งที่เรือเหาะแล่นด้วยความเร็วสูง มอบความรู้สึกสงบสุข
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน
เป็นเพราะพก ‘ลางมรณะ’ ติดตัว มันจึงดื่มน้ำบ่อยมาก ถูกปลุกด้วยปัญหาด้านกระเพาะปัสสาวะหลายหน
ยกผ้าห่มขึ้น ปลดเข็มขัดนิรภัย ไคลน์นำมือปิดปากและหาว เดินออกไปนอกห้องพัก ตรงไปทางห้องน้ำมุมห้องโถง
จัดการปัญหาส่วนตัวเสร็จ ชายหนุ่มล้างมือ หมุนตัวและเดินออกจากห้องน้ำ เตรียมกลับไปที่ห้องพัก ระหว่างทางมองเห็นคนคนหนึ่ง
บุคคลดังกล่าวยืนอยู่ในจุดที่มีแสงสลัว สวมเสื้อคลุมสีดำ ทาขอบตาและแก้มด้วยสีฟ้าอ่อน มองเผินๆ จะเหมือนกับผีที่ลอยออกจากห้องเก็บศพ
มาดามดาลีย์… ไคลน์รู้จักอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย เผยสีหน้าตกใจทันที
ดาลีย์ขยับสองสามก้าว เงยหน้ามองดอน·ดันเตส ประสานสายตาสักพักก่อนยิ้มและพูด
“สายตาและบุคลิกของคุณเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของฉัน โดยเฉพาะดวงตา”
ไคลน์แสร้งทำเป็นโล่งใจ ตอบด้วยรอยยิ้ม
“มาดาม ถ้าเราสลับเพศกัน นี่คือเบสิกการจีบสาว”
ดาลีย์ยังไม่ถอนสายตากลับ เพียง ‘หึหึ’ ในลำคอและกล่าว
“ไม่เห็นต้องสลับเพศ… พฤติกรรมนี้เป็นของทุกคน ไม่จำกัดเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง… ถ้าเป็นโอกาสอื่น การที่ฉันเข้ามาพูดกับคุณแบบนี้คงมีเจตนาเพื่อล่อลวงคุณไปทำบางสิ่งจริงๆ … แต่ปัจจุบัน ฉันยังไม่มีอารมณ์นั้น ที่เข้ามาคุยก็เพราะดวงตาของคุณทำให้ฉันนึกถึงเขาจริงๆ”
มาดามดาลีย์เป็นคนที่คุยด้วยยากชะมัด… จะปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายชักนำบทสนทนาไม่ได้ ไม่อย่างนั้น มาดามดาลีย์อาจคิดว่าดอน·ดันเตสไม่ใช่เศรษฐีเจ้าเสน่ห์ แต่เป็นไก่อ่อนไร้ประสบการณ์ที่ทำตัวกระอักกระอ่วนต่อหน้าสาวงาม… ต้องเป็นฝ่ายชักนำหัวข้อสนทนาให้ได้… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ก่อนจะถามตรงๆ ด้วยท่าทางติดตลก
“มาดาม คุณชอบเพื่อนคนนั้นใช่ไหม?”
ดาลีย์ผงะหลายวินาที ก่อนจะเลิกคิ้ว ก้มศีรษะลงและยิ้ม
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง… คงดีกว่านี้ถ้าเขาเป็นเหมือนคุณ เป็นคนที่เปิดใจคุยกับผู้หญิงอย่างกล้าหาญ รู้จักสร้างบรรยากาศด้วยบทสนทนาที่โรแมนติก… ถ้าเป็นแบบนั้น เราคงมีลูกด้วยกันแล้ว… แต่น่าเสียดาย เขาเป็นคนหัวโบราณ บทสนทนาระหว่างเราจึงมีเพียงหัวข้อเกี่ยวกับงาน… หากพยายามชักนำบางสิ่งหรือพูดจาติดตลกเกินขอบเขต เขาจะแสดงความอึดอัดออกมาและหาข้ออ้างไปทำอย่างอื่น… เป็นคนหน้าแก่ แถมยังไม่ดูแลเส้นผมของตัวเอง ความจำก็ไม่ดี ลืมแม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง… ยิ่งคิดถึงเขาฉันก็ยิ่งโมโห อยากจะผลักลงบนเตียงและมัดมือไว้หัวเตียง…”
ไคลน์จ้องหน้าดาลีย์ด้วยสายตาบึ้งตึง ถอนหายใจและพูดขัดอีกฝ่าย
“มาดาม คุณเล่ามากไปแล้ว”
ดาลีย์เงยหน้า รอยยิ้มยังไม่จางหาย
“ฉันคิดว่าคุณจะชอบเรื่องแบบนี้เสียอีก”
ไคลน์ยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น เรามาเปลี่ยนคำพูดเป็นการปฏิบัติจริงดูไหม? ผมสามารถบอกได้ว่า คุณไม่ใช่ผู้หญิงที่เก่งแต่พูด”
ดาลีย์ ‘หึหึ’ และกล่าว
“ลองเดาดูสิ”
จากนั้น เธอพยักหน้า
“ขอบคุณที่ไม่พูดว่าฉันกำลังคุกคามทางเพศ”
กล่าวจบ เธอถอนสายตากลับ เดินกลับไปที่ห้องพักรับรองขนาดใหญ่ซึ่งมี ‘ถุงมือแดง’ รวมตัว ได้เห็นภาพดังกล่าว มุมปากของไคลน์กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าและเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง
เมื่อถึงทางเข้าห้องพักรับรองขนาดใหญ่ ดาลีย์ซึ่งกำลังก้มมองพื้นห้องตรงหน้า พลันพบกับรองเท้าหนังที่ไม่มีสายคู่หนึ่ง
เมื่อเลื่อนสายตาขึ้น ภาพของเลียวนาร์ด·มิเชลเจ้าของเส้นผมสีดำและดวงตาสีเขียว สะท้อนอยู่บนกระจกตาของเธอ
เลียวนาร์ดเหลือบมองไปทางห้องพักที่ดอน·ดันเตสเดินเข้าไป ลดเสียงลงและพูด
“เขาเต็มไปด้วยความลับ… ไม่ใช่คนธรรมดาแน่”
ดาลีย์หัวเราะแผ่วเบาพร้อมกับพยักหน้า
“ฉันรู้”
กล่าวจบ เธอเดินผ่านเลียวนาร์ด·มิเชลเข้าไปในห้องพักรับรองขนาดใหญ่
ผ่านไปไม่กี่ก้าว เธอลดความเร็ว ก้มศีรษะมองพื้นอีกครั้ง
เลียวนาร์ดยังคงยืนอยู่ที่ประตู เฝ้ามองเงามืดที่เกิดจากแสงสว่างด้านนอก ถอนหายใจเชื่องช้าและเงียบงัน
ภายในห้องพักขนาดเล็ก ไคลน์ที่กำลังยืนพิงประตู ยกมือขวาขึ้นลูบขมับทั้งสองข้าง แน่นิ่งราวกับรูปปั้นเป็นเวลานาน
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
เดอร์ริคนั่งบนเก้าอี้พลางกัดขนมปังที่อบด้วยผงหญ้าผิวดำ ภายในใจนึกทบทวนสิ่งที่ตนต้องทำแต่ยังไม่ได้ทำ
เราไม่ได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ ‘มารพิสดาร’ ที่มิสเตอร์เวิร์ลต้องการ… รวมถึงยังไม่มีคะแนนผลงานไปแลกตะกอนพลังลำดับ 5 ของแวมไพร์เทียม… เพื่อนยังมีแค่สามคน… ยังไม่พอ… เบาะแสของอนุสาวรีย์บรรจุศพอดีตเจ้าเมืองก็ยังมีไม่มาก
ความคิดแล่นผ่านไปทีละหนึ่ง หลังจากเติมเต็มความหิว เดอร์ริคถอดเสื้อผ้าท่อนบน เปิดฝาภาชนะที่ทำจากหินขัด นำของเหลวหนืดๆ สีดำด้านในออกมาทารอยฟกช้ำทั้งหมดที่มองเห็นด้วยตาเปล่า
แม้ว่าจะพืชที่กินได้รอบๆ เมืองเงินพิสุทธิ์จะมีเพียงหญ้าผิวดำ แต่พืชชนิดอื่นก็ยังมีอีกมาก เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด พืชเหล่านี้สามารถเพาะปลูกให้เติบโตในสภาพแวดล้อมปราศจากแสงแดด มีเพียงสายฟ้าและความมืด เป็นหนึ่งในธรรมเนียมของเมืองเงินพิสุทธิ์ที่จะจับคู่พืชกับอวัยวะของสัตว์ประหลาด นำมาผสมกันทำเป็นยาทาสรรพคุณต่างๆ สามารถรักษาอาการบาดเจ็บและโรคภัยได้ดี ช่วยให้ชาวเมืองไม่ตายไปด้วยปัญหาเล็กๆ น้อยๆ
ทั้งหมดคือสูตรยาที่ลดความซับซ้อนลงจากกรรมวิธีการสร้างขี้ผึ้ง น้ำมันสกัด และยาวิเศษ ซึ่งเป็นความรู้ที่ ‘นักล่าปีศาจ’ ได้รับหลังจากดื่มโอสถเข้าไป ในภายหลัง ตัวยาง่ายๆ เหล่านี้ได้กลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเมืองไปโดยปริยาย กลายเป็นสินค้าระดับล่างที่มีประโยชน์
หลังจากทายา กลิ่นคาวเริ่มคละคลุ้งเล็กน้อย ขณะเดอร์ริคเตรียมใส่เสื้อ ทันใดนั้นมันก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
ความตึงเครียดเข้าครอบงำในทันที เด็กหนุ่มเดินไปหยิบ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ – ค้อนยักษ์สีน้ำเงินที่มีประกายไฟรายล้อม จากนั้นก็เดินไปทางประตูด้วยความระมัดระวัง เตรียมฆ่าสัตว์ประหลาดที่อาจโผล่ออกจากความมืด
“ใคร?” เดอร์ริคถามเสียงเข้ม
เสียงหยาบกระด้างดังมาจากข้างนอก
“วาเลีย”
พร้อมกันนั้น แสงสว่างเริ่มส่องผ่านรอยแยกตรงประตูและหน้าต่างเข้ามาข้างใน นี่คือพลังของ ‘อัศวินรุ่งอรุณ’
เดอร์ริคผ่อนคลายลงทันที จากนั้นก็เปิดประตู
“วาเลีย ไม่ใช่ว่าคุณต้องไปเป็นผู้นำหน่วยลาดตระเวนหรือ?”
วาเลีย เจ้าของความสูงสองเมตรกว่า คือเพื่อนใหม่ของเดอร์ริค ขณะเดียวกันยังเป็นเพื่อนที่เดอร์ริคประทับใจมากที่สุด เพราะไม่เพียงจะมีความแข็งแกร่งท่วมท้น แต่ยังคอยดูแลเพื่อนร่วมทีมเป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ทีมของวาเลียเพิ่งลาดตระเวนในเขตอนุสาวรีย์บรรจุศพอดีตเจ้าเมือง
วาเลียมีผมสีน้ำตาลคล้ายเดอร์ริค มีเคราดกหนา กิจกรรมที่ชอบทำคือการต่อสู้ หลังจากได้ยินคำถาม มันตอบด้วยรอยยิ้ม
“หกสภาอาวุโสเพิ่งสั่งให้ทีมของผมไม่ต้องลาดตระเวนในเขตที่ตั้งอนุสาวรีย์บรรจุศพจองอดีตเจ้าเมือง และเขตดังกล่าวก็เป็นจุดลาดตระเวนสุดท้ายของหน่วย… ไปกันเถอะ ไปที่ลานฝึก ออกกำลังกาย!”
หกสภาอาวุโสจงใจบอกให้ทีมลาดตระเวนไม่ต้องสำรวจพื้นที่? พวกเขามีแผนจะเปิดประตูเข้าไปวันนี้? จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ… หวังว่าจะไม่ใช่แผนของอาวุโสโลเฟียร์… เดอร์ริคเผยสีหน้าประหลาดใจหลังจากเชื่อมต่อข้อมูล แต่ไม่รู้ว่าตนควรทำสิ่งใด
ขณะมันลังเลที่จะใส่เสื้อผ้าและออกไปข้างนอกเพื่อ ‘ออกกำลังกาย’ กับวาเลีย เงาดำค่อยๆ ยืดขึ้นจากความมืดบนถนน อ้าปากและกล่าวกับเด็กหนุ่ม
“เดอร์ริค·เบเกอร์ ท่านเจ้าเมืองเรียกคุณไปพบที่หอคอย”
ราชันเร้นลับ 897 : คำใบ้ของเจ้าเมือง
ด้านบนสุดของหอคอยทรงกลม ภายในห้องหัวหน้าอาวุโสแห่ง ‘หกสภาอาวุโส’
โคลิน·อีเลียด ชายเจ้าของส่วนสูงตามมาตรฐานของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ ผมสีเทาค่อนข้างยุ่งเหยิงและไม่เอาใจใส่ แก้มมีริ้วรอยร่องลึก แต่ปราศจากริ้วรอยในจุดอื่น บนใบหน้ายังคงมีแผลเป็นเก่าที่บิดเบี้ยวและจมลึกหลงเหลืออยู่
มันสวมเสื้อเชิ้ตลินิน เสื้อคลุมสีน้ำตาล มีเข็มขัดที่มีเต็มไปด้วยช่องกระเป๋ารอบเอว ดวงตาสีฟ้าอ่อนเผยความลุ่มลึกและอัดแน่นไปด้วยประสบการณ์ชีวิต
รอจนกระทั่งเดอร์ริคทำความเคารพเสร็จ ‘นักล่าปีศาจ’ พยักหน้าแผ่วเบา ชี้ไปที่วัตถุบนโต๊ะข้างหน้าและกล่าว
“ยังจำพวกมันได้ไหม”
เดอร์ริคชำเลืองมอง ดวงตาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง สิ่งที่มันกำลังสนใจก็คือ หนอนแมลงสองตัวที่มีขนาดเท่านิ้วของเด็ก
หนอนกาลเวลา!
หนอนกาลเวลาโปร่งใสที่มีวงแหวนอยู่ด้านบน!
หนอนกาลเวลาเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากร่างโคลนของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!
“จำได้ครับ” เดอร์ริคเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบด้วยสัญชาตญาณ “ของเหลือจากอามุนด์”
โคลิน·อีเลียดพยักหน้าเล็กน้อย
“หนึ่งในนั้น… คุณไอมันออกมา”
โดยไม่รอให้เดอร์ริคพูด มันกล่าวด้วยความใจเย็น
“คุณเคยบอกว่า เมื่อถูกครอบงำโดยอามุนด์ ช่วงเวลาส่วนใหญ่จะอยู่ในภาวะสับสนคล้ายความฝัน ตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น”
เผชิญหน้ากับสายตาของเจ้าเมือง เดอร์ริคพยักหน้ารับหลายหน เป็นนัยว่ายืนยันคำให้การของตัวเอง
โคลิน·อีเลียดมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอาคารที่อยู่ไม่ไกล
“ผมยังไม่ได้บอกสินะว่าช่วงนั้นคุณทำอะไรลงไปบ้าง… คุณประกอบพิธีกรรมสองครั้ง ครั้งแรกเป็นพันธสัญญาลับ ส่วนอีกครั้งหนึ่งคล้ายกับพิธีกรรมสังเวย แถมได้รับการตอบสนองบางอย่าง… คุณยังมีความทรงจำในตอนนั้นหลงเหลือบ้างไหม?”
อย่างที่คิด ในตอนที่เราขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลเพื่อชำระล้างร่างโคลนของอามุนด์ด้วยพิธีกรรมพันธสัญญาลับ ทางหอคอยส่งคนมาจับตามอง… เดอร์ริคไม่แปลกใจกับคำพูดของเจ้าเมือง สิ่งนี้อยู่ภายใต้การคาดคะเนของแฮงแมน เหล่าอาวุโสของเมืองเงินพิสุทธิ์ล้วนมีประสบการณ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิกเฉยต่อความไม่ปรกติ ดึงมีการเดาว่า หลังจากพาตัวเองออกจากคุกใต้ดิน ทางหอคอยจะส่งคนมาจับตามองอย่างต่อเนื่อง และเรื่องดังกล่าวก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วหลังจากมีเงาดำโผล่ออกมาขัดจังหวะระหว่างพิธีกรรมสังเวย
“ผมจำไม่ค่อยได้” เดอร์ริคทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้า
โคลินที่มองด้วยหางตา ถอนสายตากลับ ถอนหายใจแผ่ว
“ลองนึกให้ออก… หนอนแมลงสองตัวที่อามุนด์ทิ้งไว้ถือเป็นวัตถุที่มีค่ามาก ผมมองหาวิธีใช้งานมันมาตลอด หากเราสามารถเปลี่ยนมันเป็นไพ่ตายที่ใช้การได้อย่างลับๆ มันจะกลายเป็นไพ่ตายในยามวิกฤติ… ในสองพิธีกรรมที่คุณประกอบขึ้น อาจมีสัญลักษณ์ อักขระเวทมนตร์โบราณ หรือปัจจัยในเชิงศาสตร์เร้นลับที่สามารถอ้างถึงได้… ลองนึกให้ถี่ถ้วน”
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เดอร์ริคคงเข้าใจความหมายเพียงผิวเผินของเจ้าเมือง แต่ในปัจจุบัน เด็กหนุ่มสามารถ ‘แปล’ คำที่เกี่ยวข้องให้กลายเป็นประโยคที่ซ่อนอยู่ จึงยังไม่ตอบสนองในทันที
“ผมรู้ว่าคุณยังมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับอามุนด์… อนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมืองจะเปิดออกเร็วๆ นี้ ผมต้องเตรียมความพร้อมเล็กน้อยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ป้องกันไม่ให้โลเฟียร์หรือใครทำร้ายนักรบที่กล้าหาญของเมืองเงินพิสุทธิ์ ผมอยากให้คุณลองพยายามติดต่อ ดูว่าจะมีการตอบสนองบ้างไหม หรือไม่ก็บอกรายละเอียดของพิธีกรรมให้ผม”
มิสเตอร์แฮงแมนพูดถูก ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้น ยิ่งต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมากมาย และถ้ายิ่งเชี่ยวชาญในการสนทนาแบบอ้อมค้อมมากเท่าไร คู่สนทนาก็ยิ่งได้รับความกดดันน้อยลง มีโอกาสให้ความร่วมมือมากขึ้น… เดอร์ริคพบว่าศาสตร์ในการโน้มน้าวคือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ
จุดประสงค์ของเจ้าเมืองก็คือการ ‘คานอำนาจ’ กับอาวุโสโลเฟียร์และ ‘พระผู้สร้างเสื่อมทราม’ ซึ่งเป็นตัวแทนของอีกฝ่าย โคลินรู้สึกว่าตนต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้วิธีใช้งาน ‘หนอนกาลเวลา’ จึงตัดสินใจลองเสี่ยงสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ดูว่าอีกฝ่ายพอจะมอบความช่วยเหลือได้ไหม
“ผมจะพยายามนึกให้ออก… ต้องการห้องที่เงียบสงบ” เดอร์ริคพูดพลางเว้นวรรค พยายามตอบอย่างรอบคอบ
คล้ายกับโคลิน·อีเลียดเตรียมพร้อมไว้แล้ว มันชี้ไปที่ทางเดิน
“ฝั่งตรงข้ามมีหลายห้อง เลือกห้องที่ประตูเปิดอยู่ได้เลย”
“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคคำนับและปลีกตัวออกมา สุ่มเลือกห้องว่าง ลงกลอนประตูไม้อย่างมิดชิด นั่งลงในมุมมืด ดวงตาส่องแสงสลัวพลางสวดวิงวอนด้วยเสียงต่ำ
…
อ่าวเดซีย์ ท่าเรืออิสเคอร์เซ่น
ไคลน์แบกสัมภาระลงจากเรือเหาะ ตรงไปตามทางเดิน เตรียมขึ้นรถของกองทัพเข้าไปในเมือง
สำหรับ ‘ถุงมือแดง’ อย่างดาลีย์·ซิโมเน่และเลียวนาร์ด·มิเชล พวกมันคือกลุ่มแรกที่ลงจากเรือเหาะ ไคลน์ได้รับการจัดคิวให้อยู่ในลำดับท้ายสุด จึงไม่ได้พบกัน
หลังจากเข้าไปในเมืองและหาโรงแรมเข้าพัก ขณะชายหนุ่มเตรียมล้มตัวลงนอนเพื่อขจัดอาการอ่อนเพลียที่เมื่อคืนนอนไม่หลับด้วยหลายปัจจัย ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงสวดวิงวอนมายาดังซ้อนทับในหัว
ฟังดูเหมือนเดอะซันน้อย… ไคลน์ปิดปากและหาว เดินเข้าห้องน้ำที่คับแคบ ถอยหลังสี่ก้าวอย่างยากลำบาก ส่งตัวเองเข้าสู่หมอกสีเทา
ไม่ผิดจากที่คาด ดาวแดงสัญลักษณ์แทนตัว ‘เดอะซัน’ กำลังกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง
หลังจากแผ่พลังวิญญาณออกไปสัมผัส ไคลน์ได้ยินอย่างรวดเร็วว่า ‘เดอะซัน’ กำลังสวดวิงวอนในเรื่องใด
เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์กำลังถามเดอะซันน้อย ไม่สิ ถามถึงคนที่มันคิดว่าเป็นอามุนด์ เกี่ยวกับวิธีใช้งานยันต์หนอนกาลเวลา… อา เราเองก็เคยประสบปัญหาเดียวกันมาก่อน และพบวิธีแก้ไขนานแล้ว… แต่การใช้หนอนกาลเวลาเพื่อสร้างยันต์โจรปล้นดวง ต้องมีการสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล แบบนี้จะเท่ากับเป็นการเปิดเผยว่า ตัวตนที่คอยหนุนหลังเดอะซันไม่ใช่อามุนด์ แต่เป็นอีกหนึ่งตัวตนลึกลับ… นิ้วชี้ขวาไคลน์เคาะลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีร่องรอยโบราณ พิจารณาอย่างจริงจังว่าควรตอบสนองอย่างไร
ไม่ถึงหนึ่งนาที มันพบว่าความกังวลในเรื่องนี้ไม่มีความหมาย
ก่อนอื่น หากไม่นับผู้อาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์ซึ่งอาจได้รับวิวรณ์จาก ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ไม่มีใครในเมืองเงินพิสุทธิ์ที่เข้าใจสถานการณ์ของอามุนด์อย่างเฉพาะเจาะจง มีเพียงการคาดเดาว่ามันอาจเป็น ‘เทวทูตกาลเวลา’ จากบรรดาราชาเทวทูตทั้งแปดที่รายล้อมพระผู้สร้าง ดังนั้น แม้อีกฝ่ายจะรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘เดอะฟูล’ พวกมันก็คงคิดว่านี่คือร่างหลักของอามุนด์ หรือเทพที่อามุนด์รับใช้อยู่
ประการที่สอง พระนามเต็มอันยิ่งใหญ่ของ ‘เดอะฟูล’ ไม่ได้เป็นความลับต่อ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ‘ผู้ดูหมิ่น’ อามุนด์และ ‘คนเลี้ยงแกะ’ อาวุโสโลเฟียร์แล้ว ถึงคนในเมืองเงินพิสุทธิ์จะรู้เรื่องนี้มากขึ้นก็มิได้สลักสำคัญ
ประการที่สาม เจ้าเมืองโคลิน·อีเลียดเป็นแค่ ‘นักล่าปีศาจ’ ต่อให้รู้ถึงพระนามเต็มอันสูงส่งของ ‘เดอะฟูล’ ต่อให้มีสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะแม้แต่ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์และ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ก็ยังไม่ได้มาเคาะประตูบ้านเรากลางดึก
สิ่งที่ได้รู้ในวันนี้ก็คือ ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโส รู้มานานแล้วว่าเดอะซันน้อยมีบางอย่างผิดปรกติ แต่เก็บงำเป็นความลับไว้ตลอด
ท่ามกลางความคิดไคลน์ มันรู้สึกว่าตัวเองต้องกล้า บางที นี่อาจเป็นโอกาสอันดีในการสร้าง ‘ลูกข่าย’ ไม่สิ สร้างสาวกจากภายในเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่ให้เดอะซันน้อยต้องอยู่ตามลำพัง
นอกจากนั้น ตัวเราในปัจจุบันพัฒนาขึ้นจากตอนที่เคยเผชิญหน้าอามุนด์มาก สั่งสมความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับเพิ่มจากเดิมหลายสิ่ง ได้ครอบครอง ‘คทาเทพสมุทร’ สามารถใช้พลังของมิติลึกลับเหนือหมอกสีเทาได้มากขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นขณะเผชิญหน้ากับลำดับ 4 ระหว่างพิธีธรรม… ตราบใดที่เราไม่ลากอีกฝ่ายขึ้นมาบนหมอกสีเทา… ไคลน์ตัดสินใจฉับไว เสกขั้นตอนการสร้างยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ ให้กลายเป็นละอองแสง จากนั้นก็บรรจุลงไปในดวงดาวสีแดงเข้มที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘เดอะซัน’
…
ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้นในห้องเจ้าเมือง ณ ชั้นบนสุดของหอคอยทรงกลม
และไม่นานก่อนที่เสียงจะดังขึ้น โคลิน·อีเลียดรู้อยู่แล้วว่าเดอร์ริค·เบเกอร์เปิดประตูห้องฝั่งตรงข้ามและกำลังเดินมา
“เข้ามาได้” มันกล่าวพลางหันไปมองที่ประตูทางเข้า
เดอร์ริคผลักเข้ามา กล่าวคำทักทาย
“ท่านเจ้าเมือง ผมจดจำรายละเอียดบางสิ่งได้อย่างคลุมเครือ”
โคลิน·อีเลียดพยักหน้าเงียบขรึม
“เกี่ยวกับอะไร?”
“การใช้แร่เงินและปรอทเป็นวัสดุ…” เดอร์ริคบรรยายช่วงแรกของพิธีกรรมอย่างกระชับ เว้นวรรคเล็กน้อย “ในตอนนั้น ดูเหมือนผมจะเอ่ยพระนามเต็มว่า… เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
ดวงตาของโคลินหรี่ลงเล็กน้อย พูดขัดจังหวะทันที
“สัญลักษณ์ของพระองค์คือภาพที่เหลืออยู่บนเทียนไข?”
“ใช่ครับ” เดอร์ริคตอบเยือกเย็น “วรรคที่สองคือ ผู้ปกครองลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา”
ทันใดนั้น โคลินขัดจังหวะอีกครั้ง
“วัตถุดิบมีแค่นี้หรือ?”
“ใช่ครับ” เดอร์ริคพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นว่า คล้ายกับเจ้าเมืองจงใจขัดจังหวะไม่ให้ตนเอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูล
นั่นสินะ ภาษากลางของเราคือภาษาคนยักษ์ สามารถกระตุ้นพลังจากธรรมชาติ… หากท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์โดยตรง ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบลึกลับที่ยากจะคาดเดา… เรามักเอ่ยชื่อของมิสเตอร์ฟูลเป็นประจำเพราะทราบว่านั่นปลอดภัย แต่ท่านเจ้าเมืองไม่รู้เรื่องนี้… เดอร์ริคพูดต่อทันที
“วรรคที่สาม ราชันเหลืองดำผู้ถือครองพลังโชคลาภ”
โคลินฟังอย่างเงียบงัน พยักหน้าเล็กน้อย
“ดีมาก… แม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าสิ่งที่คุณเล่ามีประโยชน์หรือไม่ แต่นี่ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ ผมจะเพิ่มคะแนนผลงานให้คุณ… เชิญกลับไปก่อน หรือไม่ก็ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด”
“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคก้มหน้าด้วยความโล่งใจ ก่อนจะรีบออกจากห้องทำงานด้านบนสุดของหอคอยทรงกลม
หลังจากโคลิน·อีเลียดเฝ้ามองเด็กหนุ่มจากไป มันเดินกลับไปที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานและนั่งลง จ้องหนอนแมลงโปร่งแสงทั้งสองตัว
ข้างหนอนแมลงมีสมุดหลายเล่มกระจัดกระจาย ภายในนั้นมีการบันทึกสัญลักษณ์อันประกอบด้วย ‘เนตรไร้รูม่านตา’ ครึ่งหนึ่งและ ‘เส้นบิดเป็นเกลียว’ ครึ่งหนึ่ง
สายตาของโคลินไม่ขยับเป็นเวลานาน คล้ายกับกลายเป็นรูปปั้นหินโดยสมบูรณ์
ผ่านไปสักพัก มันยืนขึ้นเชื่องช้า นำเทียนไขออกมาสามเล่ม
ราชันเร้นลับ 898 : ตอบสนอง
หลังจากวางเทียนไข โคลิน·อีเลียดหยิบแท่งเงินบริสุทธิ์ หยิบมีดที่อยู่ด้านข้างและกรีดดัง ปึด! เกิดเป็นภาชนะสำหรับยันต์ขนาดเท่าฝ่ามือ
ถัดมา มันทำตามคำอธิบายของเดอร์ริค·เบเกอร์ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของแผ่นเงินมีการวาดสัญลักษณ์ลึกลับที่ของ ‘เดอะฟูล’
ตลอดกระบวนการ โคลินลงมืออย่างรวดเร็ว หากมีคนที่ไม่รู้จักมาเห็นเข้า คงมองตามการเคลื่อนไหวไม่ทัน และท้ายที่สุด ผลลัพธ์ออกมาอย่างไม่มีข้อบกพร่อง คล้ายกับงานศิลป์ที่ถูกแกะสลักอย่างเชื่องช้ามาตลอดหลายวัน
ถัดมา โคลิน·อีเลียดหยิบขวดปรอทอีกขวด ใช้พลังวิญญาณที่ทรงพลังนำทางของเหลวภายในให้ไหลเข้าสู่แผ่นยันต์ เติมเต็มอักขระทุกบรรทัด ควบคุมไม่ให้ปรอทไหลออก ไม่ตกลงไปด้านล่างด้วยผลจากแรงโน้มร่วง
ทำซ้ำอีกครั้งจนกระทั่งเสร็จยันต์แผ่นที่สอง โคลิน·อีเลียดนำพวกมันมาวางไว้ด้านหน้าเทียนไข ใกล้กับหนอนกาลเวลาสีใสสองตัว
เมื่อเทียบกับตอนที่โคลินยืนนิ่งด้วยมาดสุขุม โคลินในปัจจุบันดูเยือกเย็นมากกว่าแต่ก่อน ปราศจากความลังเลโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับตอนที่กำลังเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดดุร้ายในความมืด
เมื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีกรรมเสร็จ มันถอยหลังไปสองก้าว ถอดดาบยาวที่แขวนบนผนัง จากนั้นก็นำมาสอดเข้าไปในช่องว่างระหว่างกระเบื้องกับขอบประตู
โคลินหลับตาและพึมพำ แสงบริสุทธิ์เริ่มแผ่ออกมาจากความว่างเปล่าโดยรอบ ครอบคลุมดาบยาวทั้งสองเล่มด้วยความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม
เมื่อแสงมารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นกระแสน้ำ ไหลไปตามช่องว่างระหว่างกระเบื้องกับผนังห้อง เกิดเป็น ‘กรง’ ที่ตัดขาดภายในและภายนอกออกจากกัน
ใจจริง ในฐานะ ‘นักล่าปีศาจ’ อาวุโสโคลิน·อีเลียดไม่อยากป้องกันตัวมากเกินไประหว่างประกอบพิธีกรรม เพราะนั่นอาจทำให้เป้าหมายที่สวดวิงวอนถึงเกิดความระคายเคือง นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในแง่ลบที่อาจก่อให้เกิดอันตราย แต่ท้ายที่สุด มันก็เลี่ยงการสร้างแนวป้องกันไม่ได้ แน่นอน นี่มิใช่การทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นหลักประกันให้กับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทุกคน ถึงแม้พิธีกรรมจะล้มเหลว ถึงแม้ ‘เดอะฟูล’ จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มุ่งร้ายและอันตราย ถึงแม้โคลินจะต้องตายหน้าแท่นบูชา แต่เมืองเงินพิสุทธิ์ทั้งหมดจะต้องไม่ได้รับความเสียหายใหญ่หลวง
สำหรับความสามารถในการป้องกันของ ‘กรง’ โคลินผู้เป็นเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ค่อนข้างมั่นใจ เพราะนี่เป็นพลังที่เกิดจากสมบัติปิดผนึกระดับเทพโดยตรง – มงกุฎที่ราชาคนยักษ์เคยสวม
หลักฐานแห่งความรุ่งโรจน์!
สิ่งนี้คือสาเหตุที่ทำให้เมืองเงินพิสุทธิ์สามารถเอาตัวรอดมาได้นานท่ามกลางยุคสมัยที่มืดมิดและเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด!
จัดการทั้งหมดเสร็จ โคลิน·อีเลียดใช้โต๊ะทำงานแทนแท่นบูชา แผ่พลังวิญญาณเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ศักดิ์สิทธิ์และสะอาดซึ่งไม่มีใครสามารถรบกวน ตามด้วยการจุดเทียนไขทั้งสามเล่ม
ภาพของแสงอันเจือจางที่โยกคลอนแผ่วเบากำลังสะท้อนบนกระจกตาโคลิน มันก้มศีรษะลง โรยผงพืชพรรณลงบนเปลวไฟเทียนไขที่เดอร์ริค·เบเกอร์กล่าวถึง รวมถึงการนำหนังและขนของสัตว์ประหลาดใส่ลงในหม้อต้มและจุดไฟ เพื่อให้เป้าหมายของการสวดวิงวอนโปรดปราน
พิธีกรรมในทำนองนี้ สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์แล้วไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมีการบวงสรวงต่อพระผู้สร้างอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีหลายครั้งที่ชาวเมืองหรือทีมสำรวจถูกล่อลวงให้ประกอบพิธีกรรมถึงตัวตนลึกลับและนิรนาม
ในกรณีหลัง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่มีสติ แต่ก็มีกลุ่มคนส่วนน้อยที่ตั้งใจประกอบพิธีกรรมถึงตัวตนลึกลับเอง ในแง่หนึ่งอาจเป็นเพราะความสิ้นหวังที่มีต่อพระผู้สร้างซึ่งไม่เคยตอบสนองสิ่งใดเลยนานกว่าพันปี จึงหวังจะได้รับความช่วยเหลือจากตัวตนอื่น ขณะเดียวกัน ‘หกสภาอาวุโส’ ของเมืองเงินพิสุทธิ์เมื่อหลายรุ่นก่อนได้เห็นพ้องต้องกันว่า พระผู้สร้างคงทอดทิ้งดินแดนแห่งนี้และไม่หวนกลับมาอีกแล้ว จึงลองมองหาตัวตนใหม่ๆ เพื่อให้เมืองเงินพิสุทธิ์ก้าวต่อไป แต่น่าเสียดายที่ความพยายามเหล่านั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ผลลัพธ์มีเพียงความเงียบสงบหรือไม่ก็ความตาย
เพราะเหตุนี้ พวกมันจึงเลิกเอาชีวิตไปเสี่ยง ไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากมากเพียงใด ไม่ว่าจะค้นพบที่ถูก ‘เทพมาร’ ทำลายไปมากมายแค่ไหน แต่หน่วยสำรวจของเมืองพิสุทธิ์ก็ไม่เคยลดละความพยายามที่จะพาทุกคนออกจากคำสาป
สำหรับโคลิน·อีเลียด การค้นพบ ‘แจ็ค’ จากภายนอกนำมาซึ่งความประหลาดใจและความหวังที่เกินกว่าจะพรรณนา รวมถึงการค้นพบที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านยามบ่าย แผนการของ ‘เหล่าราชา’ และคำพยากรณ์ของนักบวช สิ่งเหล่านี้ทำให้โคลินเกิดความตื่นตัวและเปลี่ยนความคิดเดิมๆ เลิกคาดหวังว่าพระผู้สร้างจะหวนกลับมา
ด้วยการผนึกกำลังกันของสองปัจจัย รวมถึงความผิดปกติของโลเฟียร์และเดอร์ริค รวมถึงคำทำนายของวันสิ้นโลก โคลิน·อีเลียดผู้เป็นเจ้าเมืองและหัวหน้าใหญ่ของ ‘หกสภาอาวุโส’ ผู้เป็น ‘นักล่าปีศาจ’ ที่แข็งแกร่งและมากประสบการณ์ มันตัดสินใจยอมเสี่ยงเต้นรำบนคมมีด ยอมเสี่ยงติดต่อกับตัวตนลึกลับที่ซ่อนอยู่
หลังจากหายใจออกอย่างเงียบงันและเชื่องช้า โคลินเดินถอยหลัง เปล่งเสียงด้วยท่วงทำนองขึ้นลงเป็นจังหวะ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา… ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ… ข้าขอภาวนาถึงท่าน ข้าวิงวอนขอพลังลึกลับ วิงวอนขอความโชคดี วิงวอนขอให้วัตถุบนแท่นบูชากลายเป็นแผ่นยันต์…”
เมื่อเสียงขึ้นๆ ลงๆ เป็นจังหวะของโคลินก็แผ่วลง แท่นบูชาตรงหน้าพลันมืดสลัวด้วยบรรยากาศลุ่มลึก คล้ายกับมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ยากจะอธิบายกำลังซึมผ่านแสงเทียนไขที่อยู่ตรงกลาง
ทันใดนั้น เปลวไฟเทียนไขพลันลุกโชนและขยายขนาด แต่กระนั้นก็มิได้ทำให้สภาพแวดล้อมสว่าง กลับกัน ทุกสิ่งรอบตัวกลับยิ่งทวีความเป็นภาพมายา เผยให้เห็นเงารางๆ ของบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา บ้างเบาบาง บ้างหนาแน่น
เหนือสุดด้านบนโลกมายาและเงาลางจำนวนนับไม่ถ้วนมีเจ็ดริ้วแสงสีสันแตกต่างกันออกไป คล้ายกับอัดแน่นด้วยองค์ความรู้มหาศาลไร้ก้นบึ้ง
และเหนือแสงอันบริสุทธิ์ทั้งเจ็ดคือทะเลหมอกสีเทากว้างไกลไร้ขอบเขต ด้านในมีพระราชวังโบราณที่กำลังจ้องมองทุกสิ่งจากมุมสูง
‘นักล่าปีศาจ’ โคลินพลันลืมเรื่องอื่นไปชั่วขณะ ทำเพียงจ้องมองภาพฉายบนแท่นบูชาอย่างตั้งใจ คล้ายสิ่งกับที่เคยมีอยู่แค่ในหนังสือและตำราโบราณ กำลังหลุดออกจากเส้นกั้นแบ่งระหว่างโลกมายาและความจริง ปรากฏกายขึ้นตรงหน้ามัน
หากมันเข้าใจไม่ผิด นี่คือภาพฉายของโลกวิญญาณ
ก่อนที่จะเกิดมหาภัยพิบัติ ก่อนที่พระผู้สร้างจะละทิ้งแผ่นดิน มนุษย์สามารถเดินทางเข้าออกโลกวิญญาณได้อย่างอิสระ!
แต่ตอนนี้ โลกวิญญาณคือสิ่งที่มีเฉพาะในตำราเรียนและคัมภีร์เก่าแก่ของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่เคยมีใครสัมผัสถึงโลกวิญญาณได้!
ทันใดนั้น เสียงเสียดสี ‘เอี๊ยดอ๊าด’ เริ่มดังขึ้น พระราชวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทาในโลกวิญญาณที่คอยเฝ้ามองทุกสิ่งจากมุมสูง กำลังเปิดประตูออกมาต้อนรับ!
ถัดมา โคลินเห็นยันต์หน้าแสงเทียนที่ยังไม่เสร็จ เริ่มเปล่งประกายด้วยแสงสีเงิน แต่ละเส้นอักขระค่อยๆ ‘สว่างขึ้น’ ทีละเส้น จากนั้นก็เปล่งแสงพร่างพราวอย่างท่วมท้น โอบกอดแผ่นเงินแท้และหนอนกาลสีใสเวลาเข้าด้วยกัน
โลกสลัวๆ รอบแท่นบูชาพลันบิดเบี้ยวทันที
แต่เพียงไม่นาน ทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยันต์ประหลาดอีกสองแผ่นที่ทำจากผลึกสีดำถูกวางบนแท่นบูชา ฉากตรงหน้าดูคล้ายกับดวงตาของใครบางคนที่มีตัวตนอยู่จริง กำลังเฝ้ามองโลกนี้อย่างเงียบงัน
‘นักล่าปีศาจ’ โคลินผงะเล็กน้อย รีบปิดตาสนิท ก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวเสียงเรียบ
“ขอบคุณสำหรับของขวัญจากท่าน… ขอให้ท่านจงเจริญ”
มันไม่มัวรีรอ รีบสิ้นสุดพิธีกรรมทันที ผนึกภายในห้องถูกคลาย
จัดการทั้งหมดเสร็จ ผู้นำแห่ง ‘หกสภาอาวุโส’ ของเมืองเงินพิสุทธิ์เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบเครื่องรางสองแผ่นที่ทำจากหนอนกาลเวลาซึ่งร่างโคลนของอามุนด์ทิ้งไว้
จนกระทั่งปัจจุบัน ภาพที่มันเห็นเมื่อครู่ยังคงถูกสลักอยู่ในใจ
ตามความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับของโคลิน เหนือสุดของของโลกวิญญาณน่าจะเป็นเจ็ดริ้วแสงที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือโบราณบางเล่ม แสงทั้งเจ็ดถูกยกย่องให้มีระดับใกล้เคียงเทพ แต่ไม่มีหนังสือเล่มใดเลยที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เหนือแสงทั้งเจ็ด ไม่ว่าจะหมอกสีเทาหรือพระราชวังโบราณ และใครคือเจ้าของดินแดนดังกล่าว?
และในระหว่างพิธี โคลิน·อีเลียดพบว่า ‘เดอะฟูล’ ที่มันสวดวิงวอนถึงด้วยความเคารพ คือตัวตนที่ทั้งลึกลับและสูงสง่า แตกต่างจากสัตว์ร้ายบางตนที่ชอบแสดงอำนาจตลอดเวลา อดไม่ได้ที่จะแสดงพลังและความน่าเกรงขาม
บุคลิกและบารมีที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็น ในบันทึกของเมืองเงินพิสุทธิ์มีคำอธิบายที่คล้ายคลึงกันอยู่ เป็นคำบรรยายที่เกี่ยวกับพระผู้สร้าง!
หลังจากก้มมองแผ่นยันต์ในมือพลางตรวจสอบสภาพปัจจุบันของตัวเองสักพัก ‘นักล่าปีศาจ’ ผมสีเทา โคลิน รีบหลับตาลง เพราะภายในใจกำลังผุดภาพของบุคคลมากมาย
มีทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย น้องสาว ลูกชายคนโต ลูกชายคนเล็ก ลูกสาวและหลานชายคนโตที่เคยถูกโคลินจบชีวิตด้วยมือตัวเอง
เจ้าเมืองชรารายนี้เงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะถอนหายใจเสียงต่ำ
“2,583 แล้วสินะ…”
ผ่านมานานกว่า 2,583 ปี ในที่สุดเมืองเงินพิสุทธิ์ก็ได้รับการตอบสนองตามปรกติ
…
ภายในห้องสมุดของยอดหอคอยแหลม
เดอร์ริคอยู่ในโซนหนังสือตำนานโบราณที่มันชอบอ่าน จนกระทั่งพบกับบันทึกเล่มหนึ่งที่ไม่เคยอ่านมาก่อน
ปกของสมุดทำจากหนังสัตว์ประหลาดบางชนิด มองเห็นลวดลายได้ชัดเจน ด้านในเป็นกระดาษเก่าสีเหลือง บันทึกประสบการณ์ของผู้เขียนเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่แตกต่างออกไป
สัตว์ประหลาดเหล่านี้ส่วนใหญ่พบได้ในตำราของเมืองเงินพิสุทธิ์ แม้จะมีลักษณะตรงตามหนังสือเรียนทุกประการ แต่การบรรยายฉากต่อสู้และประสบการณ์ในบันทึก ทำให้เดอร์ริคเกิดความสนใจอย่างมาก นั่งอ่านอย่างจริงจังเป็นเวลานาน
ฉึบ! ทันใดนั้น เด็กหนุ่มสังเกตเห็นสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า ‘ตัวจำแลงกาย’
สัตว์ประหลาดตัวนี้มีปัญญาไม่มากพอที่จะสื่อสาร แต่เก่งเรื่องการวางกับดักเพื่อจัดการเป้าหมาย และสามารถแปลงโฉมเป็นคนอื่น รวมถึงการใช้วิธีที่น่าทึ่งมากมายเพื่อหลอกล่อเหยื่อ
ผู้เขียนบันทึกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมันไว้ว่า ทั้งพิสดารและอันตราย
สิ่งนี้คล้ายกับการคาดเดาของมิสเตอร์เวิร์ลเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะของมารพิสดาร… อาจเป็นไปได้ว่า ‘ตัวจำแลงกาย’ คือมารพิสดาร? เดอร์ริคดีใจอย่างบอกไม่ถูก รีบอ่านเนื้อหาที่เหลืออย่างรวดเร็ว พบว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้อาศัยอยู่ในซากอาณาจักรที่ห่างออกไปทางเหนือ และเนื่องจากสัตว์ประหลาดในความมืดบริเวณดังกล่าวทั้งแข็งแกร่งและน่ากลัว แม้แต่ ‘หกสภาอาวุโส’ ก็ไม่สามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น หลังจากความพยายามสองครั้งแรก เมืองเงินพิสุทธิ์ตัดสินใจระงับการสำรวจในพื้นที่ดังกล่าวชั่วคราว และมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุผลข้างต้น ตำราเรียนของเมืองเงินพิสุทธิ์จึงยังไม่มีคำอธิบายของสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวเขียนลงไป
หลังจากอ่านบันทึกจบ เดอร์ริคพลิกสมุดไปที่หน้าสุดท้ายตามสัญชาตญาณ มันอยากทราบว่าใครกันที่เคยสัมผัสประสบการณ์การสำรวจที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้
หลังจากเปิดมาถึง เด็กหนุ่มรีบมองหาชื่อ
โคลิน·อีเลียด
…
อ่าวเดซีย์ ท่าเรืออิสเคอร์เซ่น
ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง ลูบหน้าผาก เดินตรงไปที่เตียงนอนและทิ้งตัวลง
เพื่อจะทำให้เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์เกิดความประทับใจใน ‘เดอะฟูล’ มากกว่าเดิม เกิดความไว้วางใจมากกว่าเดิม ในตอนที่ตอบสนองต่อพิธีกรรม ชายหนุ่มเพิ่มเทคนิคพิเศษมากมายเข้าไป เช่นการบังคับให้แสดงภาพของ ‘ตัวตนลึกลับ’ บนท้องฟ้าเหนือหมอกสีเทา ซึ่งสิ่งนี้จะปรากฏเฉพาะใน ‘พิธีกรรมพันธสัญญาลับ’ และ ‘พิธีกรรมสังเวยและรับมอบ’ เท่านั้น การกระทำดังกล่าวสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมาก ไคลน์จึงเหนือจนแทบอยากตาย
ไว้ค่อยตื่นมาหาอาหารให้ ‘ยุบพองหิวโหย’ ตอนนี้ปล่อยให้มันพักผ่อนบนมิติหมอกสีเทาไปก่อน… ไคลน์ครุ่นคิดในสภาพงัวเงีย เพียงไม่นานก็หลับสนิท ยาวตั้งแต่เช้าไปถึงบ่าย จนกระทั่งตื่นขึ้นตามธรรมชาติเนื่องจากท้องร้องโครมคราม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น