Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 885-888
ราชันเร้นลับ 885 : จดหมายสองฉบับ
ได้ยินคำพูดไคลน์ หนึ่งในสี่หัวของไรเน็ตต์ที่มีผมสีทองและดวงตาสีแดง อ้าปากตอบ
“ตกลง”
เธออ้าปากกว้าง ตามด้วยการดูดเหรียญทองเกือบทั้งหมดกลับเข้าไป ไม่มีใครทราบว่าถูกนำไปเก็บไว้ที่ไหน
ชำเลืองเหรียญทองที่ยังเหลืออีกหลายสิบ ไคลน์เอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายที่ค่อนข้างหนา กวาดสายตาอ่านและพบว่าเป็นรายละเอียดของหัวขโมยโลกวิญญาณอย่างที่คิด
รอจนกระทั่งผู้ส่งสารกลับสู่โลกวิญญาณ ชายหนุ่มเก็บเหรียญทอง ปิดผ้าม่าน นั่งลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ อาศัยแสงแดดยามเช้าเพื่ออ่านเนื้อหาที่ถูกเขียนไว้ด้วยลายมืออันงดงาม
“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความช่วยเหลือ”
“มัมมี่ตูตันส์ที่สองเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมเลื่อนลำดับของฉัน มันมีความหมายกับฉันมาก”
“หัวขโมยโลกวิญญาณจะอาศัยอยู่ในส่วนลึกของโลกวิญญาณ มีจำนวนน้อยมาก เฉลียวฉลาดและก้าวร้าว สามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตที่ถูกจับหรือถูกฆ่าให้เป็นอวตารวิญญาณของมัน สามารถใช้พลังแบบเดียวกับมัน แข็งแกร่งในระดับทัดเทียมกับมัน และยังสามารถแปลงโฉมเป็นสัตว์วิญญาณชนิดอื่น หากเผชิญหน้ากับหัวขโมยโลกวิญญาณโดยตรง ให้พึงระวังไว้ว่า สัตว์วิญญาณรอบข้างทั้งหมดอาจเป็นพวกมัน หรือไม่ก็อวตารวิญญาณของมัน ห้ามประมาทเด็ดขาด”
“สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีพลังในการรบกวนความคิดของเหยื่อ ทำให้ศัตรูตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอยไปชั่วขณะ… ร่างต้นของมันมีพลังวิญญาณเข้มข้นมาก ส่งผลให้ได้เปรียบในการต่อสู้”
“พวกมันถูกพบตัวได้ยากมาก ปัจจุบันมีเพียงสถานที่เดียวที่มีร่องรอยความเคลื่อนไหว เมืองกัลเดรอนแห่งโลกวิญญาณ”
“กัลเดรอนคือเมืองในตำนาน ยังไม่มีใครทราบต้นกำเนิดที่แน่ชัด มีการคาดเดากันไว้สามทฤษฎีหลักๆ ทฤษฎีแรก เมืองกัลเดรอนเคยเป็นอาณาจักรของเทพมรณาในอดีต เป็นทางเข้าของโลกแห่งความตาย ทฤษฎีที่สอง กัลเดรอนเป็นดินแดนของเทพบรรพกาลบางตนที่ร่วงหล่นในยุคสมัยที่สอง ในภายหลังถูกดูดกลืนเข้าสู่โลกวิญญาณและค่อยๆ จมลง กลายเป็นเมืองที่เชื่อมต่อกับความจริงและโลกมายา ทฤษฎีที่สาม กัลเดรอนเคยเป็นเมืองที่มีตัวตนจริงมาก่อน แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ เมืองกัลเดรอนได้ถูกโลกวิญญาณกลืนกิน”
“ไม่ว่าทฤษฎีไหนจะเป็นจริง ทั้งหมดล้วนระบุตรงกันว่า เมืองแห่งนี้อันตรายมาก เต็มไปด้วยความพิเศษและลึกลับ”
“ฉันไม่มีพิกัดของเมืองกัลเดรอนในโลกวิญญาณ แม้แต่สัตว์วิญญาณระดับสูงส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทราบ”
“ฉันสามารถแนะนำได้สองแนวทาง หนึ่งคือการใช้พิธีกรรมเฉพาะเพื่อสวดวิงวอนถึง ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรีย จากนั้นก็สอบถามหาพิกัดที่แน่ชัด ฉันจะไม่อธิบายว่าแสงแดงคือสิ่งใด หากคุณไม่เข้าใจให้เขียนจดหมายกลับมาถาม วิธีที่สอง ปรึกษาคนของตระกูลอับราฮัม พวกเขาครอบครองเส้นทางนักท่องเที่ยวและสามารถสำรวจโลกวิญญาณได้ลึกกว่าใคร”
แม้กระทั่งในยามเขียนจดหมาย ชารอนก็ยังพยายามระงับอารมณ์… นึกแล้วเชียว มัมมี่ฟาโรห์คือองค์ประกอบหลักของพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นหุ่นกระบอก… วิญญาณมารในซากอาคารใต้ดินเคยกล่าวว่า มันสามารถเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมให้เธอได้… หรือว่าเงื่อนไขก็คือ ต้องเป็นศพของผู้วิเศษลำดับสูงที่ยังมีพลังวิญญาณเข้มข้น หรือไม่ก็วิญญาณมารที่ก่อตัวจากความเคียดแค้นหลังความตาย?
หึหึ… ขอสวดวิงวอนถึง ‘แสงส้ม’ ได้ไหม? แล้วให้ท่านช่วยถามพิกัดจากแสงแดงแทน? อา สำหรับคนอื่น การค้นหาเมืองในตำนานอย่างกัลเดรอนคงเป็นเรื่องยาก แต่ใกล้ตัวเรามีมิสเมจิกเชี่ยน วีรสตรีที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลอับราฮัม
อยากให้ทฤษฎีแรกเกี่ยวกับเมืองกัลเดรอนเป็นความจริง… เพราะถ้าเป็นแบบนั้น หลังจากเราเขียนจดหมายติดต่อกับมิสเตอร์อะซิกและบอกให้เขาช่วยพาไป เกรงว่าชาวเมืองกัลเดรอนคงยืนได้ต่อแถวสองฝั่งคอยรับเสด็จ… ไคลน์ส่ายหน้า สลัดจินตนาการฟุ้งซ่าน
ชายหนุ่มอ่านทบทวนรายละเอียดของหัวขโมยโลกวิญญาณอีกครั้ง จากนั้นก็ยืนยันว่ามันมีลักษณ์คล้ายคลึงกับ ‘นักเชิดหุ่น’ และ ‘จอมเวทพิสดาร’ ในบางแง่มุม แถมยังเป็นสัตว์วิญญาณลำดับสูงที่อันตรายมาก
สามารถมอบพลังพิเศษของตัวเองให้ ‘อวตารวิญญาณ’ ใช้งานแทน? ฟังดูเหมือนกับ ‘จอมเวทพิสดาร’ ที่สามารถมอบพลังพิเศษให้กับหุ่นเชิด… หากเป็นระดับของซาราธ หรือลำดับ 3 อย่าง ‘ปราชญ์โบราณ’ เราเองก็สามารถมอบพลังพิเศษให้สิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่หุ่นเชิดใช้งานได้ด้วย? ไคลน์ครุ่นคิดพลางพับกระดาษจดหมาย สะบัดหนึ่งครั้ง เฝ้ามองกระดาษถูกเปลวไฟสีแดงเข้มลุกไหม้ เศษขี้เถ้าโปรยปรายลงในถังขยะ
ท่ามกลางความคิดมากมาย ชายหนุ่มเดินไปยังประตูห้องนอน เรียกให้บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันเข้ามาช่วยแต่งตัว
…
ชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล
เฉกเช่นทุกครั้ง เลียวนาร์ด·มิเชลนั่งในท่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปลายเท้าพาดลงบนโต๊ะ
ภายนอกอาจดูเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ภายในกำลังกังวลเกี่ยวกับอามุนด์
นับตั้งแต่ทราบว่าอามุนด์มาถึงเบ็คลันด์ พาลีส·โซโรอาสเตอร์ ปรสิตในร่างก็เงียบลงอย่างมาก ทำตัวแตกต่างไปจากทุกที พูดน้อยลงชัดเจน แทบไม่เป็นฝ่ายแสดงความเห็นก่อน
หากไม่ใช่เพราะยังคอยตอบคำถามในใจ เลียวนาร์ดคงเกิดความสงสัยว่า ชายชราคงแอบหนีไปสิงร่างอื่นแล้ว
ท่ามกลางกระแสความคิด หัวหน้าหน่วยถุงมือแดง อาวุโสใหญ่แห่งเหยี่ยวราตรี โซสต์เดินเข้ามาในห้อง
“ผลการสอบปากคำเป็นอย่างไรบ้างครับ? ได้ความคืบหน้าบ้างไหม?” ถุงมือแดงภายในห้องที่กำลังจัดการธุระส่วนตัว ต่างหันไปมองที่ประตูพลางตั้งคำถาม
เมื่อคืน พวกมันเพิ่งทำงานใหญ่เสร็จ เป็นการจับกุมสามสมาชิกนิกายวิญญาณที่ตามแกะรอยมาระยะหนึ่ง ปัจจุบันกำลังรอผลการสอบปากคำ
โซสต์มองไปรอบห้อง กล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง
“พวกเราสร้างผลงานชิ้นใหญ่ในคดีนี้ แต่ผลลัพธ์ไม่น่าประทับใจสักเท่าไร… จากคำสารภาพของสมาชิกนิกายวิญญาณทั้งสาม รวมถึงข้อมูลที่ทางโบสถ์เคยรวบรวมได้ในอดีต เราสามารถยืนยันได้เบื้องต้นว่า นิกายวิญญาณแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝั่งคือหนึ่งกลุ่มที่ต้องการคืนชีพให้เทพมรณา ส่วนอีกฝั่งคือกลุ่มที่ต้องการสร้างมรณาเทียม โดยฝ่ายหลังมีความคืบหน้าพอสมควร แถมยังได้รับประโยชน์ไม่น้อย… ในสายตาพวกมัน ทางเราและอาณาจักรโลเอ็นล้วนเป็นศัตรู ดังนั้น การทดลองมรณาเทียมชุดแรกจะถูกนำมาทดสอบกับกรุงเบ็คลันด์! ใช่แล้ว พวกมันกำลังคิดในสิ่งที่พวกคุณคิด แม้การทดลองจะล้มเหลว แต่ก็ยังมีโอกาสทำให้เมืองหลวงของโลเอ็นได้รับความเสียหายใหญ่หลวง!”
เลียวนาร์ดสะดุ้งตื่นจากภวังค์ หันไปมองหน้าซินดี้ บ็อบ และคนที่เหลือ เห็นความตกตะลึงและเดือดดาลภายในดวงตาแต่ละคน
ทันใดนั้น โซสต์เคาะโต๊ะเพื่อหยุดการพูดคุยระหว่างสมาชิก
มันกระแอมในลำคอ
“งานของเราในตอนนี้ก็คือ อาศัยเบาะแสจากคำให้การ เดินทางไปยังทวีปใต้เพื่อค้นหาสมาชิกคนสำคัญของนิกายวิญญาณฝ่ายที่ต้องการสร้างมรณาเทียม ตรวจสอบว่าเบ็คลันด์ยังมีเสี้ยนหนามเหลืออีกเท่าไร จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนออกจนหมด… สำหรับงานนี้ ทางเราจะได้รับความช่วยเหลือจากมาดามดาลีย์ โดยศาสนจักรจะมอบโอสถให้เธอเป็นค่าตอบแทนล่วงหน้า ช่วยให้เธอกลายเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ ก่อนออกเดินทาง… นอกจากนั้น อาวุโสใหญ่ที่คอยดูแลพื้นที่เขตทวีปใต้ ‘ดวงตาแห่งเทพธิดา’ ท่านเจ้าคุณอิลิยาและเหยี่ยวราตรีท้องถิ่น จะช่วยอำนวยความสะดวกกับเราด้านสมบัติปิดผนึก รวมถึงการสืบสวนหาเบาะแสล่วงหน้า… สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ เตรียมตัวให้พร้อม เราจะออกเดินทางกันในคืนวันพรุ่งนี้”
“ครับ หัวหน้า!” บ็อบ ซินดี้ และคนที่เหลือต่างยืนขึ้นและขานรับ
เลียวนาร์ดเองก็ลุกขึ้นยืน แต่ไม่ได้กล่าวคำใด ความคิดในหัวมีเพียง:
เราสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อออกจากเบ็คลันด์ หลบหนีภัยอันตรายที่เกิดจากอามุนด์!
กลับถึงบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ มันปิดประตูและขึงผ้าม่าน จากนั้นก็พูดเสียงค่อย
“ตาแก่ ปัญหามีทางออกแล้ว… การออกไปทำภารกิจให้ถุงมือแดงตามปรกติ คงไม่ทำให้อามุนด์เอะใจหรอกใช่ไหม?”
ภายในใจ เสียงค่อนข้างชราตอบเชื่องช้า
“คงไม่”
หลังจากได้ยิน เลียวนาร์ดพบว่าน้ำเสียงของชายชราผ่อนคลายลงมาก จึงครุ่นคิดสักพักและกล่าวต่อ
“คุณคิดว่าผมควรเขียนจดหมายถึงไคลน์·โมเร็ตติไหม? บอกเขาว่าเราจะไม่อยู่เบ็คลันด์ไปอีกสักพัก เพราะอย่างไรก็ดี เขาคือคนที่เตือนเราเกี่ยวกับอามุนด์”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบเสียงเรียบ
“แล้วแต่เจ้าเลย”
เลียวนาร์ดถอนหายใจ ดึงกระดาษจดหมายออกมาพร้อมกับปากกาหมึกซึม
ครุ่นคิดสักพัก มันตวัดมือเขียน
“ผมมีภารกิจที่ต้องเดินทางออกจากเบ็คลันด์”
อ่านทวนข้อความสั้นๆ ซ้ำหนึ่งรอบ เลียวนาร์ดวางกระดาษลง นำปากกาทับกระดาษ
จากนั้น มันจัดเตรียมพิธีกรรมสำหรับอัญเชิญผู้ส่งสาร จุดเทียนไข ก้าวถอยหลัง เปล่งเสียงภาษาเฮอมิสโบราณด้วยความเคารพ
“ตัวข้า!”
“ขออัญเชิญด้วยนามของข้า!”
“ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า… สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง… ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว!”
ภายในห้อง เสียงลมกระโชกดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
เปลวไฟของเทียนไขขยายขนาดพร้อมกับสีที่ซีดจางลง จนกระทั่งมีใบหน้าสตรีผมทองดวงตาสีแดงโผล่ออกมา
เลียวนาร์ดเลิกคิ้วเล็กน้อย เตรียมกล่าวบางสิ่ง แต่ทันใดนั้นก็พบว่าสิ่งที่ตามออกมาไม่ใช่ลำคอ แต่เป็นมือที่กำลังจับเส้นผม
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ในชุดเดรสยาวสีดำซับซ้อนเดินออกจากเปลวไฟเทียนไข ศีรษะทั้งสี่ในมือหันไปมองเลียวนาร์ดอย่างพร้อมเพรียง ตามด้วยการเปล่งเสียงไล่เรียงทีละหัว
“เจ้า…” “ต้องการ…” “ส่ง…” “จดหมาย…?”
เป็นสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังมาก… นี่คือสิทธิประโยชน์ที่ไคลน์ได้รับหลังจากเข้าร่วมองค์กร? เลียวนาร์ดครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้าและตอบ
“ใช่”
ศีรษะทั้งสี่ในสองมือของไรเน็ตต์พูดอีกครั้ง
“เจ้า…” “ต้อง…” “จ่าย…” “หนึ่งเหรียญทอง…”
หนึ่งเหรียญทอง? ผู้ส่งสารจากโลกวิญญาณเก็บเงินด้วยหรือ? เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย ตอบสนองไม่ถูกสักพัก แต่สุดท้ายก็ล้วงเข้าไปในเสื้อและหยิบเหรียญทองออกมา
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ยกศีรษะที่มีดวงตาสีแดงและเส้นผมสีทองขึ้น ปากหนึ่งกัดกระดาษ ปากหนึ่งกัดเหรียญทอง
ถัดมา เธอก้าวเข้าไปในความว่างเปล่า หายตัวไปอย่างสมบูรณ์
รอจนกระทั่งเปลวไฟเทียนไขกลับเป็นปรกติ เลียวนาร์ดหัวเราะพลางพึมพำ
“เป็นผู้ส่งสารที่ประหลาดชะมัด…”
กล่าวจบ เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้นในใจ
“อย่าพยายามพูดจาแย่ๆ ลับหลังท่านจะดีกว่า…”
…ท่าน? ตาแก่เรียกผู้ส่งสารว่าท่าน? ผู้ส่งสารสามารถเป็น ‘ท่าน’ ได้ด้วยหรือ? ดวงตาเลียวนาร์ดเบิกกว้างกะทันหัน
พาลีสกระแอมในลำคอ
“อาการของท่านไม่ปรกติ… ไม่ต่างจากข้านัก… สรุปโดยสั้น องค์กรที่ศรัทธาเดอะฟูล แข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้พอสมควร… อา คราวหน้าที่ติดต่อกับไคลน์·โมเร็ตติ จงระวังตัวให้มากขึ้น”
กล่าวจบ ปรสิตปิดปากเงียบ ไม่กล่าวคำใดอีกเป็นเวลานาน
…
สรุปได้ว่า เลียวนาร์ดจะเดินทางออกจากเบ็คลันด์สักระยะเนื่องจากติดภารกิจ… นี่คือวิธีหลบหนีจากอามุนด์? เป็นแผนที่คุณปู่ปรสิตรายนั้นคิดขึ้น? อีกฝ่ายน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียว? ไคลน์ที่ได้รับจดหมาย พึมพำเงียบสองสามประโยค
ตัวมันเองก็เริ่มพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าจะใช้ข้ออ้างในการค้าอาวุธเถื่อนเพื่อออกจากเบ็คลันด์สักระยะ
ราชันเร้นลับ 886 : เตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ที่มีแผนมากมายในหัว พยายามจำแนกความคิดของตน จนกระทั่งกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน
พรึ่บ! ชายหนุ่มสะบัดกระดาษจนเกิดเปลวไฟลุกไหม้ เงยหน้ามองไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ฝั่งตรงข้าม เตรียมหยิบเหรียญทองโลเอ็นจากกระเป๋าเพื่อจ่ายค่าไปรษณีย์
ทว่า มิสผู้ส่งสารหายตัวไปแล้ว ไม่มีใครอยู่ฝั่งตรงข้ามไคลน์
ไม่คิดเงิน? ไคลน์ผงะเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว โดยสงสัยว่าไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่เคยชินกับการเก็บเงินจากผู้ส่งจดหมายที่ไม่ใช่ตน จะเป็นฝ่ายเรียกร้องค่าไปรษณีย์จากอีกฝั่งก่อน
บางที มิสผู้ส่งสารอาจจะไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงใช้ดวงตาทั้งแปดจ้องหน้าเลียวนาร์ดอย่างพร้อมเพรียง ส่งผลให้อีกฝ่ายลนลานและทำตัวไม่ถูก รีบสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญจนถูกมิสไรเน็ตต์หักคอ… ไคลน์พ่นลมออกจากซอกฟัน ใช้เหรียญทองที่เพิ่งหยิบออกมา ทำนายเบื้องต้นจนพบว่า เลียวนาร์ดยังมีชีวิตอยู่ดี
ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก เก็บเหรียญทองกลับ ตะโกนไปทางประตู
“ริชาร์ดสัน”
ประตูห้องเปิดออกเงียบงัน บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซักถามด้วยความนอบน้อม
“นายท่าน มีอะไรให้ผมรับใช้หรือ?”
“เรียกพ่อบ้านให้หน่อย” ไคลน์แอบถอนหายใจขณะสั่ง มันรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตคนรวยที่ต้องจัดการทุกสิ่งผ่านบุรุษรับใช้ ไม่เว้นแม้แต่ในยามอยู่บ้าน
อย่าเพิ่งเหนื่อย นี่คือการสวมบทบาทอย่างหนึ่ง… ชายหนุ่มรำพันกับตัวเอง
ไม่กี่นาทีถัดมา วอลเตอร์ที่สวมถุงมือสีขาว เดินขึ้นมายังชั้นสามและหยุดยืนต่อหน้าดอน·ดันเตสในท่าทิ้งมือแนบลำตัว เป็นภาษากายพื้นฐานของพ่อบ้านที่กำลังรอนายจ้างออกคำสั่ง
ไคลน์ที่เตรียมคำพูดไว้แล้ว กล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ไปที่บ้านของส.ส. มัคท์ บอกกับเขาว่าผมพร้อมจะจ่ายเงินก้อนแรกแล้ว… นอกจากนั้น เตรียมรถม้าให้ผม วันนี้มีแผนจะแวะไปยังกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาในช่วงเช้า จะกลับมาอีกทีช่วงเที่ยง… หากส.ส. มัคท์ไม่ว่างช่วงบ่าย ให้คุณเดินทางไปที่บ้านของศัลยแพทย์อลัน·คริสต์เพื่อแจ้งว่า ผมจะแวะเข้าไปหาในช่วงบ่าย”
ไคลน์ถอนเงินสดจำนวนหนึ่งหมื่นปอนด์ออกจากมิติเหนือสายหมอกมาแล้ว ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าเดินทางใบเล็ก รอเวลาที่เหมาะสมสำหรับบรรลุข้อตกลงในธุรกิจค้าอาวุธเถื่อน
และเพื่อเป็นการ ‘ตาก’ กลิ่นของออร่าสายหมอกบนธนบัตร ไคลน์ใช้พลัง ‘ท่องเที่ยว’ ส่งตัวเองไปยังทะเล ขณะเดียวกันก็เป็นการหาอาหารมาป้อนให้ยุบพองหิวโหย – ชายหนุ่มกังวลว่า หากอยู่ในเมืองเดียวกัน อามุนด์จะสัมผัสถึง ‘กลิ่น’ ออร่าของสายหมอกสีเทา จากนั้นก็จะตรงมาตามล่าสมบัติที่มันปรารถนา
“ครับ นายท่าน” พ่อบ้านวอลเตอร์พยายามข่มความสงสัยในเรื่องที่ นายจ้างของตนไปขึ้นเงินมาตอนไหน เพราะจากความทรงจำของมัน ดอน·ดันเตสแทบไม่ได้แวะไปยังธนาคารเลย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเสียเวลาเป็นกังวล เนื่องจากบรรดาเศรษฐีที่ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ โดยเฉพาะคนที่มาจากแคว้นเดซีย์และแคว้นเลียบทะเล มักเก็บเงินสดใส่กระเป๋าไว้เดินทางตลอดเวลา
…
บ้านเลขที่ 22 ถนนเฟลป์ สำนักงานใหญ่ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น’
ไคลน์เดินผ่านประตูหลักเข้าไปข้างใน เดินขึ้นชั้นสอง ตรงไปยังห้องรับรองคณะกรรมการ
ในฐานะกรรมการกิตติมศักดิ์ที่มีส่วนร่วมเฉพาะในกิจการบางอย่าง ชายหนุ่มไม่มีห้องทำงานส่วนตัว แต่สามารถใช้ห้องรับรองของแขกพิเศษ
มือขวากำหมัดและเลื่อนขึ้นมาจ่อปาก จงใจกระแอมแห้งสองครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับรองและนั่งบนโซฟา
ผ่านไปสักพัก มันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง กล่าวกับบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันด้านข้าง
“ผมจะไปเข้าห้องน้ำ”
ติดกระดุมเสื้อผ้าเสร็จ ขณะไคลน์ก้าวเท้าออกจากห้องรับรอง มันเหลือบเห็น ‘จัสติส’ ออเดรย์เดินออกจากห้องทำงานของเธอ
สตรีสูงศักดิ์รายนี้แต่งกายค่อนข้างเรียบง่าย พื้นหลังของชุดเป็นสีขาว มีลวดลายสีเขียวเข้มแซมบางจุด ปลายแขนเสื้อและคอเสื้อมีรอยจีบ กึ่งกลางหน้าอกเป็นลูกไม้ที่ถูกถักจนดูคล้ายโบดอกไม้
เธอมิได้สวมใส่เครื่องประดับ บริเวณเข็มขัดก็ยากจะดูออกว่าแพงหรือไม่ มีเพียงบริเวณแขนซ้ายที่ผิดปรกติ เมื่อแขนเสื้อถูกลมพัดจนแนบติดกับผิวหนัง ไคลน์สามารถมองเห็นรอยนูนเล็กๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับ มิสออเดรย์” ไคลน์เผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้พบกันโดยบังเอิญ
ออเดรย์มองไปยังดอน·ดันเตส หนุ่มใหญ่หน้าตาดีเจ้าของจอนสีขาว ขานรับด้วยรอยยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ดันเตส”
เธออยากจะตอบกลับไปว่า ‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ’ เป็นการหยอกล้อเพราะตั้งแต่พิธีเปิด ดอน·ดันเตสก็มิได้แวะเข้ามาที่สำนักงานอีกเลย แต่เมื่อพิจารณาว่าความสัมผัสของทั้งคู่มิได้สนิทสนมขนาดนั้น จึงตัดสินใจกลืนคำดังกล่าวลงคอ
ไคลน์ลูบหน้าผากไปตามไรผม ส่ายหน้าและยิ้ม
“ผมต้องขออภัยที่เพิ่งแวะเข้ามาในวันนี้… ช่วงนี้ผมยุ่งมาก และในอนาคตก็น่าจะยุ่งขึ้นไปอีก อาจต้องเดินทางไปยังทวีปใต้เพื่อจัดการกับบางสิ่ง”
เหตุผลที่ชายหนุ่มแวะเข้ามาในวันนี้ก็คือ ต้องการบอกให้มิสจัสติสทราบเกี่ยวกับแผนออกเดินทางไปยังทวีปใต้ของตน เป็นการแสดงความจริงใจต่ออีกฝ่าย หวังว่าสุภาพสตรีชนชั้นสูงรายนี้จะช่วยบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ – สำหรับไคลน์ มันหวังจากก้นบึ้งหัวใจว่า ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น’ จะสามารถช่วยคนยากไร้ได้มากขึ้น
“ไปทวีปใต้?” ออเดรย์เล็งเห็นถึงความจริงใจของดอน·ดันเตส พลางถามกลับอย่างมีชั้นเชิง
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“ทำธุรกิจน่ะครับ”
ทันใดนั้น ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวออเดรย์ก็คือ: คราวนี้จะมีผู้วิเศษลำดับ 5 คนไหนตายอีก?
เมื่อเห็นว่ามิสจัสติสดูเหมือนจะจินตนาการในแง่ลบ ไคลน์เสริมอีกหนึ่งประโยค
“เป็นการร่วมมือกับกองทัพเพื่อค้าขายบางอย่าง”
หมายความว่ายังไง? ตัวตนดอน·ดันเตสมีไว้เพื่อสืบข่าวจากกองทัพ? ออเดรย์ผงะเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้นมาแตะสี่จุดตามเข็มนาฬิกา เผยรอยยิ้มและกล่าว
“ขอให้เทพธิดาอวยพรให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
หลังจากกล่าวคำพูดติดปาก หญิงสาวพลันตระหนักถึงความขัดแย้งในตัวเอง เนื่องจากเธอกำลังขอให้เทพธิดารัตติกาลอวยพรข้ารับใช้ของเดอะฟูล!
นี่เท่ากับเป็นการสาปแช่งรึเปล่า… มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะโกรธไหม? คงไม่หรอก เขาเป็นคนอ่อนโยนมาก แถมเรายังไม่มีเจตนาร้าย… อา หลังกลับจากทวีปใต้ มิสเตอร์ดอน·ดันเตสอาจถูกสวมบทบาทโดยคนอื่น… จะเป็นครึ่งเทพรึเปล่านะ? ออเดรย์ปล่อยความคิดล่องลอยโดยไม่รู้ตัว
ไคลน์ยิ้มแห้ง วาดพระจันทร์แดงบนหน้าอกอย่างชำนาญ
“ขอให้เทพธิดาคุ้มครองพวกเรา”
และขอให้พระองค์ไม่ ‘ลงทัณฑ์’ พวกเรา… ชายหนุ่มกล่าวในใจ
จากนั้น ชายหนุ่มถามอย่างผ่อนคลาย
“คุณได้ไปช่วยโปรโมตตามโรงเรียนมาหรือยัง?”
“ค่ะ!” เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ ใบหน้าออเดรย์คล้ายกำลังส่องประกาย เธอภูมิใจและมีความสุขมากที่ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่หลังจากผงกศีรษะอย่างกระฉับกระเฉง ความสงสารค่อยๆ เผยให้เห็นในดวงตาสีเขียว
“หลังจากตระเวนไปตามโรงเรียนของรัฐหลายแห่ง ดิฉันพบว่ามีเด็กหลายคนที่น่าสงสาร เพื่อที่จะอดออม พวกเขานำขนมปังสีน้ำตาลติดตัวมาเป็นมื้อกลางวัน กินคู่กับน้ำแค่หนึ่งแก้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ หญิงสาวเงยหน้ามองดอน·ดันเตส กล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ดิฉันทราบดี ในช่วงนี้ พวกเขาคงยังไม่พาไปยังโรงเรียนภาคค่ำและโรงเรียนวันอาทิตย์ ไม่ให้ดิฉันได้เห็นอะไรที่เลวร้ายกว่านี้หลายเท่า… แต่ดิฉันพอจะจินตนาการออก… เหมือนกับคนงานที่มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ปีหลังจากเริ่มทำงานในโรงงาน…”
นี่คือสิ่งที่ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยเล่าให้เธอฟัง เป็นสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นจริงภายในกรุงเบ็คลันด์ อย่างไรก็ตาม หญิงสาวไม่มีโอกาสได้เห็นด้วยตาตัวเอง จึงทำได้แค่นึกภาพตาม
ไคลน์ถอนหายใจ
“มันแย่กว่านั้นอีกนะ… ไม่ต้องห่วง ไว้คุณแสดงฝีมือจนได้รับความเชื่อใจ ทางทีมงานจะยอมรับให้คุณเป็นส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน”
“ค่ะ” ออเดรย์พยักหน้ารับ คล้ายกับกำลังหาทางแสดงฝีมือให้มากขึ้น
ไคลน์ไม่ได้สานต่อบทสนทนา เพราะท้ายที่สุด นี่เป็นเพียงการพบกันครั้งที่สาม หากคุยกันนานเกินไป เกรงว่าจะถูกสงสัยเข้า
ชายหนุ่มชี้ไปทางห้องน้ำ กล่าวขอตัวและเดินผ่านไป
ออเดรย์ยืนมองแผ่นหลังของดอน·ดันเตส เงียบไปสักพักก่อนจะพึมพำ
“ยังมีแย่กว่านั้นอีกหรือ…”
…
หลังจากส.ส. มัคท์นัดให้ไปเจอกันที่ ‘สมาคมนายทหารผ่านศึกไบลัมตะวันออก’ ในช่วงเย็น ไคลน์ทำตามแผนเดิมที่วางไว้ แวะเข้าไปหาศัลยแพทย์อลัน·คริสต์ในช่วงบ่ายสี่โมง
“มิสเตอร์ดันเตส พ่อบ้านของคุณยังไม่ได้แจ้งเหตุผลที่คุณแวะเข้ามา” เนื่องจากภรรยาใกล้คลอดในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า นายแพทย์อลันจึงทิ้งงานทั้งหมดและหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน
สำหรับดอน·ดันเตสที่ไม่ได้สนิทกันมากนัก การแวะมาเยี่ยมบ้านอย่างกะทันหันทำให้อลันประหลาดใจพอสมควร แถมยังเป็นคนที่เข้าสังคมไม่เก่ง คำทักทายจึงเป็นการถามเข้าประเด็น
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“เรื่องมีอยู่ว่า เร็วๆ นี้ผมต้องเดินทางไปยังทวีปใต้ และอย่างที่คุณทราบ อากาศที่นั่นร้อนชื้น เต็มไปด้วยแมลงและเชื้อโรค ผมอยากเตรียมยาล่วงหน้าเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีคำแนะนำบ้างไหม? ขอโทษที่ต้องรบกวน แต่คุณคือหมอฝีมือดีคนเดียวที่ผมรู้จัก”
นายแพทย์อลันเชื่อในคำอธิบาย เริ่มคิดอย่างจริงจังสักพักก่อนจะเขียนชื่อยาให้
เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์ที่รับกระดาษโน้ตซึ่งเต็มไปด้วยชื่อยา อ้างว่าตนปวดท้องและขอเข้าห้องน้ำชั้นล่าง
กระจกห้องน้ำมืดลงทันที คล้ายกับถูกปกคลุมด้วยเงาดำหนาทึบ โดยภายในเงาดังกล่าว รถเข็นเด็กสีดำค่อยๆ แล่นเข้ามาอย่างเชื่องช้า ด้านในมีเด็กถูกห่อด้วยรังไหมสีเงิน
“คราวนี้มีอะไรหรือ?” วิล·อัสตินถามเสียงสดใส
ไคลน์กระแอมแห้งสองหน พยายามยิ้มขณะพูด
“น่าจะได้ยินแล้วนี่ ผมจะกำลังจะเดินทางไปยังทวีปใต้… ผมไม่อยากพลาดช่วงเวลาที่คุณคลอด จึงอยากถามว่า คุณมีแผนจะให้ตัวเองเกิดวันที่เท่าไร”
วิล·อัสตินดูดนิ้วหัวแม่มือขณะตอบ
“ข้าไม่ทราบ”
“กระทั่งเทวทูตก็มิอาจควบคุมเวลาเกิดของตัวเอง?” ไคลน์ถามด้วยความประหลาดใจ
วิล·อัสตินตอบอย่างลังเล
“เจ้ายังไม่เข้าใจ… ข้ามีวันที่ในใจแล้วสามวัน แต่ละวันมีความหมายแตกต่างกันไปในเชิงโชคชะตา แต่ข้ายังไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องเลือกวันไหน ตอนนี้ยังมองเห็นเพียงความเลือนราง… เมื่อใกล้จะถึงเวลา ข้าคงรู้เองว่าต้องทำอย่างไร”
เป็นพวกหลายใจ? นอกจากนั้นยังฟังดูเหมือนพวกนักต้มตุ๋น… ไคลน์ประสานมือพลางถูกเข้าด้วยกัน
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะทราบเวลาที่แน่ชัดได้ยังไง? จะได้กลับมาบรรลุขั้นตอนสุดท้ายของธุรกิจพวกเราได้ทันเวลา… เอ่อ นกกระเรียนกระดาษตัวนั้นชำรุดจนไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว”
ราชันเร้นลับ 887 : ร่างที่คุ้นเคย
ได้ยินคำถามไคลน์ ทารกที่ห่อด้วยผ้าไหมสีเงินยกท่อนแขนอันอวบอ้วนขึ้น
“เรื่องนั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน ข้ายังอยู่ในท้องแม่! สำหรับนกกระเรียนกระดาษนั่น ถึงจะเขียนอะไรไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังช่วยให้ข้าระบุพิกัดของเข้าได้ และสามารถแจ้งข่าวให้ทราบได้ด้วย!”
สำหรับคำตอบของวิล·อัสติน ไคลน์พอจะเดาออกแต่แรกแล้ว จึงยิ้มอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า
“นกกระเรียนกระดาษตัวนั้นเสียหายเล็กน้อย เกรงว่าอาจส่งผลต่อการระบุตำแหน่ง”
จากนั้น ชายหนุ่มเสนอแนะ
“ยังมีอีกหนึ่งวิธี หลังจากที่คุณเกิด ให้ทำการอัญเชิญผู้ส่งสารของผมและส่งจดหมาย”
ไคลน์กังวลว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันหลังจากวิล·อัสตินลืมตาดูโลก ส่งผลให้อสรพิษแห่งชะตาต้องระหกระเหินไปที่อื่นจนตามหาตัวได้ลำบาก
ภายในรถเข็นเด็กสีดำ วิล·อัสตินอ้าปากเล็กน้อย ก่อนจะปิดปากอีกครั้ง ไม่มีเสียงใดถูกเปล่งออกมา
หลายวินาทีผ่านไป ทารกกล่าวพลางยกมุมปาก
“เจ้าคิดว่านั่นเป็นไปได้หรือ? ไม่เพียงจะให้ทารกจับปากกาเขียนจดหมาย แต่ถึงขั้นประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร?”
ไคลน์ยิ้มแห้ง
“แต่คุณเป็นถึงอสรพิษแห่งชะตา”
“แต่ข้าก็ต้องเคารพกฎของธรรมชาติด้วย!” วิล·อัสตินทุบแขนลงบนที่วางแขนด้านข้าง
ทารกครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว
“เอาแบบนี้เป็นไง ให้ใครสักคนเฝ้าบ้านหลังนี้ไว้ และแจ้งข่าวถึงเจ้าทันทีที่ทารกคลอด”
ไคลน์กลอกตาเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“แบบนั้นก็ได้”
สำหรับวิธีนี้ ชายหนุ่มมี ‘กำลังคน’ มากมายให้พึ่งพา ไม่ว่าจะเป็นแก๊งอันธพาลของชารอน ให้เธอเขียนจดหมายและส่งผ่านผู้ส่งสารหลังจากวิล·อัสตินเกิด หรือไม่ก็เอ็มลิน·ไวท์ที่ทำตัวว่างตลอดเวลา หรือไม่ก็มิสซิลนักล่าเงินรางวัล หรือไม่ก็มิสเมจิกเชี่ยน ให้เธอแจ้งข่าวมายัง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ผ่านเดอะฟูล รวมถึง ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสที่สามารถตรวจสอบละแวกใกล้เคียงและแจ้งข่าวแบบทางเดียว
แต่เอ็มลินจมูกดีเกินไป หมอนั่นอาจได้กลิ่นแปลกๆ จากสายสะดือและค้นพบต้นตอที่แท้จริง… ถ้าเป็นแบบนั้น ผลลัพธ์อาจเหมือนกับการได้เห็นร่างสมบูรณ์ของสัตว์ในตำนานโดยตรง จิตใจแตกสลายและเกิดการกลายพันธุ์… เมื่อเห็นรถเข็นเด็กของวิล·อัสตินเริ่มกลับเข้าไปในเงามืด ไคลน์รีบเอ่ยปากถาม
“ยังมีอีกเรื่อง… เอ่อ ผมมีอาจารย์อยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้ติดต่อกันนาน คุณช่วยตรวจสอบชะตากรรมปัจจุบันได้ไหม? ชื่อของเขาคืออะซิก·อายเกส”
เนื่องจากมิสเตอร์อะซิกยังไม่ตอบกลับ ไคลน์จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล หลังจากลองใช้นกหวีดทองแดงทำนายบนมิติเหนือสายหมอก สิ่งมีพบมีเพียงความมืดมิดอันเงียบสงบและลุ่มลึก รวมถึงเสียงหายใจลากยาวจากจุดห่างไกล มิอาจตีความจากสิ่งเหล่านี้
วิล·อัสตินกล่าวพลางดูดหัวแม่มือ
“อาจารย์ของเจ้าอยู่ในสถานะกำลังเปลี่ยนแปลง อาจเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ดี ข้ามองเห็นเพียงเท่านี้เนื่องจากในตัวเขามีบางสิ่งที่พิเศษกีดขวางอยู่”
บางสิ่งที่พิเศษ? หรือจะเป็นความพิเศษที่สืบทอดมาจากเทพมรณาโดยตรง? สถานะของเขากำลังเปลี่ยนแปลง? หมายความว่า มิสเตอร์อะซิกฟื้นฟูความทรงจำกลับมาได้บางส่วน จึงต้องฟื้นคืนพลังผ่านการนอนหลับสนิทเป็นเวลานาน? ไคลน์โค้งศีรษะขอบคุณพลางครุ่นคิด
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ”
วิล·อัสตินหันหน้าไปมองทางอื่น
ไคลน์ตัดสินใจกล่าวเตือน
“เท่าที่ผมทราบ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์มาถึงเบ็คลันด์แล้ว แน่นอน อาจเป็นเพียงร่างโคลนของมัน”
วิล·อัสตินผงะเล็กน้อย หัวเราะในลำคอและพูด
“สำหรับเจ้า เรื่องนี้อาจไม่ดี แต่สำหรับข้า เรื่องนี้มีผลในเชิงบวก อามุนด์และเจ้างูโง่โอโรเลอุสเป็นอริต่อกัน ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ อามุนด์เกลียดพระผู้สร้างแท้จริงมาก จ้องกระชากอีกฝ่ายลงจากบัลลังก์เทพให้ได้ ส่วนโอโรเลอุสก็ภักดีต่อเทพมารตนนั้นมาก”
กล่าวจบ รถเข็นเด็กสีดำเลื่อนกลับเข้าไปในเงามืดของกระจก ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติอีกครั้ง
อามุนด์เกลียดชังพระผู้สร้างแท้จริง? เราเริ่มเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ คือหนึ่งในบุคคลที่ร่วมวงการ ‘กิน’ เทพสุริยันบรรพกาล… ท่านคือทารกสีดำที่อยู่ท่ามกลางเทวทูตแห่งพายุ เทวทูตสีขาว และเทวทูตปัญญา? ไคลน์ถอนหายใจออก ขยับไปข้างหน้าสองก้าว เปิดก๊อกน้ำและล้างมือ
…
ในช่วงค่ำ ณ สโมสรนายทหารผ่านศึกไบลัมตะวันออก
ไคลน์มิได้รีบร้อนไปพบนายพันคาลวินที่มีหน้าเหมือนลาทันที แต่วางกระเป๋าเดินทางซึ่งบรรจุธนบัตรรวมหนึ่งหมื่นปอนด์ไว้ในตู้นิรภัยของสโมสร เดินตามส.ส. มัคท์เข้าไปเพลิดเพลินกับบุฟเฟ่ต์ที่จัดเตรียมโดยสโมสรชั้นนำ
อาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเมนูของทวีปใต้ ประกอบด้วยขนมปังชีสทำจากแป้งมัน ไอศกรีมราดราสเบอร์รี่สีม่วง ซุปอาหารทะเลใส่กะทิ เครื่องในวัวตุ๋นกับพริกไทย มะเขือเทศ และหอมใหญ่ บาร์บีคิวฮาเก็นติเสียบเหล็กย่าง ซุปรวมของหุบเขาเพิร์ธ และสเต๊กกับหมึกย่าง
เมื่อเทียบกับที่อื่น วัตถุดิบและเครื่องเทศของสโมสรแห่งนี้มีคุณภาพสูงมาก แถมรสชาติก็ยังใกล้เคียงกับต้นตำรับ ไคลน์ค่อนข้างประทับใจในมื้ออาหาร หากไม่ห่วงเรื่องภาพลักษณ์ มันคงเขมือบบาร์บีคิวฮาเก็นติและไอศกรีมราดซอสราสเบอร์รี่สีม่วงจนพุงกาง
อย่างที่คิด เราชอบอาหารรสจัดมากกว่า… แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดสำหรับคืนนี้คือไวน์ก่อนอาหารแก้วหนึ่ง… ถ้าส.ส. มัคท์ไม่อธิบาย เราคงคิดว่าเป็นแค่น้ำผลไม้เบาๆ … มะนาวฝานสองชิ้นแช่ในของเหลวสีทองซีด ใส่น้ำแข็งลงไปสองสามก้อน รสชาติหวานอมเปรี้ยว ปราศจากแอลกอฮอล์ ชุ่มฉ่ำไปด้วยความเย็นและสดชื่น พรากความร้อนออกจากร่างกายได้ในพริบตา… ไคลน์วางผ้าปูโต๊ะลงบนจาน ภายในใจนึกทบทวนอาหารมื้อที่ผ่านมา
ทันใดนั้น ส.ส. มัคท์ที่กลับมาจากห้องน้ำ ยิ้มพลางโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูดอน·ดันเตส
“ห้องเดียวกับคราวก่อน”
“ตกลง” ไคลน์ขอตัวลุกขึ้น ก่อนอื่นก็เดินไปที่ห้องนิรภัย เบิกกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่บรรจุธนบัตรหนึ่งหมื่นปอนด์ออกมา จากนั้นก็ตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่เคยพบกับพันเอกคาลวินมาแล้วสองครั้ง
คาลวิน บุรุษผู้มีใบหน้ายาวเหมือนลา จ้องไปยังกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ดอน·ดันเตสถือพร้อมกับลุกขึ้นยิ้ม
“คุณช่างเป็นสุภาพบุรุษที่ใช้การกระทำนำคำพูด… ผมชื่นชอบคนที่มีทัศนคติแบบนี้มาก”
กล่าวจบ มันเหยียดแขนขวาออกมา ขอจับมือกับดอน·ดันเตส
จับมือกันเสร็จ ไคลน์ยื่นกระเป๋าเดินทางให้อีกฝ่าย ยิ้มอย่างสุภาพ
“ในฐานะนักธุรกิจ หากคุณเห็นลู่ทางในการสร้างรายได้อยู่ตรงหน้า แต่ยังไม่ยอมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและฉับไว นั่นแสดงว่าคุณยังไม่เหมาะกับอาชีพนี้”
คาลวินนั่งลงอีกครั้ง ต่อหน้าดอน·ดันเตสและส.ส. มัคท์ มันเปิดกระเป๋าเดินทางใบเล็ก นับธนบัตรที่ถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบด้านในคร่าวๆ
เพียงไม่นานก็เสร็จสิ้นการตรวจสอบเบื้องต้น จึงปิดกล่องและเงยหน้า จ้องดอน·ดันเตสที่นั่งเฉียงออกไป
“คุณมีแผนการในหัวหรือยัง?”
ไคลน์จงใจสวมสีหน้าครุ่นคิดและเรียบเรียงคำพูด เงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบ
“ผมจะรีบเดินทางลงไปยังทวีปใต้ทันที เป้าหมายคือไบลัมตะวันตก”
เมื่อเห็นทั้งคาลวินและมัคท์เผยสีหน้าประหลาดใจ มันเสริม
“บางเรื่องไม่เหมาะจะทำในตอนที่ขนอาวุธ และเพื่อให้การค้าขายเป็นไปอย่างราบรื่น ผลจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้า… หึหึ ผมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะเป็นถึงธุรกิจที่มีมูลค่าหลักหมื่นปอนด์… แผนมีอยู่ว่า ผมจะเดินทางไปยังไบลัมตะวันตกล่วงหน้าเพื่อติดต่อกับลูกค้าและเคลียร์อุปสรรคระหว่างเส้นทางขนส่ง เมื่อถึงกำหนดเวลานัดหมาย ผมจะติดต่อคุณทางโทรเลข จากนั้นก็ไปรับสินค้าที่ชายแดนไบลัมตะวันออก”
คาลวินครุ่นคิดสักพัก
“หลังจากวันที่ 20 มิถุนายน คุณสามารถส่งโทรเลขมาถึงผม จากนั้นผมจะตอบรายละเอียดกลับไป… หลังจากได้รับโทรเลข ผมจะทำการแจ้งให้เจ้าหน้าที่เริ่มลงมือทันที ประสานงานมอบรหัสผ่านและลายเซ็นให้กับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อเปิดคลังสินค้า… แล้วก็… คุณอยากให้มีคนคอยคุ้มกันในช่วงแรกไหม? จะเริ่มออกเดินทางเมื่อไร?”
เราแค่อยากรีบไปที่ไบลัมตะวันตกและซ่อนตัวเงียบๆ ให้พ้นจากสายตาของโรงเรียนกุหลาบ ส่วนงานสืบข่าวจะเป็นของเดนิส… จะออกเดินทางเมื่อไร? ใจจริงอยากไปวันนี้เลย และถึงที่หมายวันนี้เลย แต่นั่นอาจทำให้ถูกสงสัย… ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“ไม่ช่วงแรกยังไม่จำเป็นต้องคุ้มครอง เพราะในบางพื้นที่ของทวีปใต้ เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมักเป็นสาเหตุหลักของความขัดแย้ง… ไม่ต้องกังวล ผมมีเพื่อนในไบลัมตะวันตกพอสมควร ขอเพียงมิได้พกพาสิ่งของมีค่าติดตัว ก็สามารถรับรองความปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง… ส่วนคำถามที่ว่าจะออกเดินทางเมื่อไร คำตอบของผมก็คือ ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี”
พันเอกคาลวินครุ่นคิดอยู่เกือบหนึ่งนาที ก่อนจะพยักหน้าและตอบ
“พรุ่งนี้หลังอาหารเย็น ผมจะส่งคนไปรับคุณ ทางกองทัพมีเรือเหาะสำหรับขนส่งเสบียงและกำลังพลไปยังอ่าวเดซีย์ โดยจากที่นั่น คุณสามารถนั่งเรือไปยังทวีปได้ด้วยเส้นทางที่สั้นที่สุด หากทุกสิ่งราบรื่น เพียงสองถึงสามวันก็ถึงจุดหมาย แต่ถ้ามีพายุขีดขวางเส้นทางจนต้องอ้อมไกล อย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์”
“ขอบคุณครับ” ไคลน์ลุกขึ้นยืนและโค้งศีรษะจากอย่างจริงใจ
สำหรับชายหนุ่ม การออกจากเบ็คลันด์ไปพร้อมกองทัพคือตัวเลือกที่ปลอดภัยและจะไม่มีใครสงสัย
หลังจากสนทนาเกี่ยวกับรายละเอียดปลีกย่อยอีกเล็กน้อย ไคลน์ลุกขึ้นยืนและกล่าวคำอำลา เดินกลับไปยังห้องโถงพร้อมกับส.ส. มัคท์ เตรียมเดินทางกลับ
ภายในห้องโถง ใกล้กับโต๊ะบุฟเฟ่ต์ สุภาพบุรุษกว่าสิบคนในเครื่องแบบทหารหรือชุดลำลอง กำลังยืนรวมตัวในท่าถือแก้วไวน์ สนทนาเกี่ยวกับข่าวลือล่าสุดอย่างออกรส
เมื่อไคลน์ชำเลืองไปมอง มันพบว่าในกลุ่มดังกล่าวมีคนที่ตนคุ้นเคย
ชายคนดังกล่าวสูงกว่า 1.85 เมตร แต่ไม่ถึง 1.9 เมตร แขนยาวกว่าปรกติเล็กน้อย ขาโก่งเล็กน้อย ไหล่กว้างกว่าปรกติเล็กน้อย ส่งผลให้สูทสีดำค่อนข้างคับ
นี่มัน… หัวใจไคลน์พลันเต้นแรงหลังจากค้นพบต้นตอความคุ้นเคย
นี่คือครึ่งเทพที่อยู่กับ ‘กัปตันคลั่ง’ คอร์เนอร์·วิกเตอร์ในคืนนั้น!
ครึ่งเทพที่ต้องสงสัยว่าจะรับใช้ขั้วอำนาจหนึ่งในราชวงศ์ ครึ่งเทพผู้มีเอี่ยวกับการค้ามนุษย์!
แม้ผู้วิเศษลำดับสูงรายนี้จะสวมเสื้อคลุมหัวสีดำปกปิดหน้าตา แถมยังมีพลังในการแทรกแซงผลทำนาย แต่ไคลน์ก็สามารถจดจำเค้าโครงร่างกายได้แม่นยำ
นี่คือความชำนาญของผู้ไร้หน้า!
ราชันเร้นลับ 888 : การชำเลืองอันน่าตกตะลึง
เป็นเวลาครู่หนึ่งที่สายตาไคลน์ซึ่งควรมองอย่างผ่อนคลาย หยุดชะงักที่บุคคลดังกล่าว
ชายหนุ่มทราบทันทีว่าพฤติกรรมของตนไม่ปรกติ และครึ่งเทพฝั่งตรงข้ามก็น่าจะจับสังเกตได้
กล้ามเนื้อแผ่นหลังแข็งเกร็งทันที สมองรีบประมวลผลอย่างรวดเร็วจนเกิดประกายไฟ
ไคลน์มิได้เบี่ยงสายตาออก แต่ยังคงจ้องไปยังครึ่งเทพที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้วิเศษเส้นทางจักรพรรดิมืดคนเดิม จากนั้นก็หันไปกล่าวกับส.ส. มัคท์
“ที่นี่ไม่ได้มีแค่อดีตนายทหารสินะครับ”
คำพูดดังกล่าวคล้ายกับถูกกลั่นกรองหลังจากเพ่งมองอย่างละเอียด แต่ในเชิงความสำคัญของบทสนทนา มันไม่ได้มีค่าอะไร
ส.ส. มัคท์หัวเราะในลำคอ
“หากสโมสรดำเนินงานไปจนถึงขีดจำกัดของมัน สักวันมันจะพัฒนาตัวเอง”
คำตอบของมัคท์ฟังดูเหมือนไม่มีความหมาย แต่ถ้าลองคิดตามอย่างละเอียด คล้ายกับคำตอบมีความนัยแฝงบางอย่าง หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ขณะเดียวกัน สุภาพบุรุษเจ้าของไหล่กว้างและแขนยาวเล็กน้อย เริ่มหันศีรษะมามองยังบุคคลทั้งสอง พบเศรษฐีที่เพิ่งบริจาคเงินหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์กำลังจ้องตนอย่างสงสัย พลางกระซิบคุยบางสิ่งกับส.ส. มัคท์
สิ่งนี้ทำให้มันพบว่าการเจาะจงหยุดมองอย่างผิดปรกติของอีกฝ่ายเมื่อครู่ เริ่มสมเหตุสมผลขึ้นมา
จากนั้น มันถอนสายตากลับมาพูดคุยในหัวข้อที่ยังไม่จบ
ขณะเดียวกัน ไคลน์พบว่าเสื้อของตนเริ่มเปียกเหงื่อเย็นๆ แข้งขาอ่อนระทวยเล็กน้อย
แม้ไคลน์จะเคยเผชิญหน้ากับครึ่งเทพมาแล้วหลายครั้ง แถมยังเคยดวลกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ทว่า การต้องเผชิญหน้ากับครึ่งเทพที่ถูกจัดว่าเป็นศัตรูในสถานที่แคบๆ เช่นนี้ตามลำพัง ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกโดยแท้จริง และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่เพียงตนจะไม่มีหุ่นเชิด แต่สมบัติวิเศษที่พกติดตัวยังมีเพียงแค่ลูกโม่ลางมรณะ นกหวีดทองแดงอะซิก และฮาร์โมนิก้านักผจญภัย
คทาเทพสมุทรไม่สามารถพกติดตัวได้ด้วยเงื่อนไขหลายประการ ไม่อย่างนั้นจะเกิดความสูญเสียใหญ่หลวงต่อคนรอบข้าง และในกรณีของ ‘การเดินทางของกรอซาย’ หากพกติดตัวไว้นานเกินไป เกรงว่าจะถูกหนังสือดูดเข้าไป ต้องเสียเวลาหลบหนีออกมา สำหรับยุบพองหิวโหย มันยังถูกผนึกไม่สมบูรณ์ ทุกวันต้องป้อนมนุษย์เป็นอาหาร ไม่สะดวกแก่การพกพา ส่วนยันต์โจรปล้นดวง ไคลน์กังวลว่าสิ่งนี้จะดึงดูดความสนใจจากอามุนด์ เว้นเสียแต่จะนำออกมาแล้วใช้งานทันที ชายหนุ่มไม่กล้าพกติดตัวไปไหนมาไหน
หากถูกครึ่งเทพที่น่าจะอยู่บนเส้นทางจักรพรรดิมืดพบความผิดปรกติเข้า วิธีเอาตัวรอดเดียวที่ไคลน์นึกออกก็คือ:
เป่าฮาร์โมนิก้านักผจญภัยเพื่ออัญเชิญมิสผู้ส่งสาร ขอร้องให้เธอพาหนีไปจากกรุงเบ็คลันด์!
ชายหนุ่มไม่คิดจะให้ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ต่อสู้กับครึ่งเทพไปพลางหาโอกาสยิงมรณะ เพราะต้องไม่มีลืมว่า กรุงเบ็คลันด์เป็นราวกับเมืองหลวงของหน่วยพิเศษ ด้วยรูปลักษณ์ที่เด่นสะดุดตาของมิสผู้ส่งสาร ไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะถูกหมายหัวว่าเป็นอาชญากร และเมื่อไคลน์เข้าไปพัวพัน ชะตากรรมเดียวคือการถูกล้อมด้วยครึ่งเทพและสมบัติปิดผนึกจำนวนมาก
เสียวสันหลังชะมัด… ไคลน์ถอนสายตากลับอย่างเป็นธรรมชาติ อาศัยพลังตัวตลกเพื่อควบคุมการเดินให้เป็นปรกติ
มันมิได้ถามส.ส. มัคท์ว่าคนกลุ่มดังกล่าวเป็นใครบ้าง ทำทีเป็นไม่แยแส และการหยุดมองเมื่อครู่เป็นแค่ความบังเอิญ
อย่างไรก็ตาม การที่อีกฝ่ายมองกลับมา ช่วยให้ไคลน์มองเห็นรูปลักษณ์อย่างชัดเจน
คิ้วดำดกหนาเป็นระเบียบ ผมสั้นสีดำแข็งเป็นตอ ดั้งจมูกโด่ง ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม หนวดเคราดกหนารอบปาก โครงหน้าชัดลึก ใบหน้าเรียวยาว บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบ
มอบความรู้สึกแข็งกร้าวและดุดันแก่ผู้พบเห็น อายุราวสามสิบสี่สิบ ยากจะระบุแน่ชัด
หากพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอก ไคลน์คิดอีกฝ่ายเหมือนกับผู้วิเศษเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ มากกว่าจักรพรรดิมืดเสียอีก
แน่นอน หากจะถามว่าเหมือนกับเส้นทางใดมากที่สุด ไคลน์คงตอบว่าเส้นทาง ‘นักรบ’ แต่อีกฝ่ายมีส่วนสูงน้อยเกินไป
หลังจากได้เห็นใบหน้าชัดเจนแบบนี้ ไคลน์ไม่ต้องกังวลเรื่องการสืบข้อมูลอีกต่อไป มันสามารถถามได้โดยตรงจากกระจกวิเศษอาโรเดส หรือต่อให้ยังระแวงกระจกบานดังกล่าว ไคลน์ก็ยังมีทางเลือกเป็นมิสซิลและชารอน ให้พวกเธอช่วยสืบหาปูมหลังของครึ่งเทพรายนี้
ชายหนุ่มเชื่อว่า ต่อให้ครึ่งเทพเส้นทางจักรพรรดิมืดคนดังกล่าวซ่อนตัวได้ดีเพียงใด แต่สถานะทางสังคมก็ไม่มีทางต่ำ ดังนั้น การสืบหาข้อมูลย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ไคลน์เดินออกจากสโมสรนายทหารผ่านศึกไบลัมตะวันออกอย่างไม่ยากเย็น
เมื่อขึ้นรถม้าและเอนหลังพิงเบาะ ชายหนุ่มหลับตาลง ปิดปากเงียบเป็นเวลานาน ภายในใจโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
ในที่สุด เบาะแสของโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันที่เคยขาดหายไปได้กลับมาเชื่อมต่ออีกครั้ง…
ชายหนุ่มมิได้ลืมตาขึ้นมาเป็นเวลานาน รวมถึงไม่กล่าวคำใด ประหนึ่งว่ากำลังนึกทบทวนรายละเอียดของธุรกิจเมื่อครู่ แต่ในความเป็นจริง มันกำลังสงบสติอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ระหว่างนี้ ไคลน์พบว่าริชาร์ดสันพยายามจะพูดบางสิ่งสองสามหน แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ คล้ายกับกำลังกระอักกระอ่วน
ในท้ายที่สุด มันมิได้พูดอะไรออกมา เพียงก้มหน้าก้มตาชงชาดำมาร์ควิส
เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไคลน์ไม่พร้อมจะรับฟังเรื่องราวของอีกฝ่าย จึงทำเป็นมองไม่เห็น
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและเสียงล้อรถม้าหมุน พวกมันเดินทางกลับถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสาม ขณะไคลน์เตรียมเข้าไปแช่ในอ่างน้ำที่สาวใช้เตรียมไว้ให้ ริชาร์ดสันที่กำลังถือหมวกและไม้ค้ำ เดินมาข้างหน้าสองก้าวและกล่าวอย่างนอบน้อม
“นายท่าน คุณกำลังจะไปทวีปใต้ในเร็วๆ นี้ใช่ไหม?”
“ใช่” ไคลน์ตอบตามตรง ระหว่างที่ดอน·ดันเตสจะลงไปทำธุรกิจในทวีปใต้ ชายหนุ่มเตรียมเงินสดห้าร้อยปอนด์ให้แม่บ้านทาเนญ่าเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำวันของคฤหาสน์ไว้แล้ว
ขณะเดียวกัน มันเริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสำคัญของการเลือกพ่อบ้านและบุรุษรับใช้ในชนชั้นสูง
เจ้านายไม่สามารถปิดบังหลายสิ่งจากคนรับใช้ได้ ดังนั้น หากมีความขัดแย้งในเชิงศาสนาหรือการเมือง ให้รีบเปลี่ยนตัวพ่อบ้านหรือบุรุษรับใช้โดยเร็ว
ริชาร์ดสันลังเลสักพักก่อนจะพูด
“นายท่าน ผมเกิดในทวีปใต้ มีความเชี่ยวชาญภาษาตูทานและคุ้นเคยกับประเพณีของชนพื้นเมืองเป็นอย่างดี ต้องเป็นประโยชน์กับคุณได้แน่”
ตูทานเป็นภาษาถิ่นของจักรวรรดิไบลัมโบราณ แม้กระทั่งปัจจุบัน ชาวไบลัมตะวันออกและตกต่างยังคงพูดภาษานี้กันอย่างแพร่หลาย มีเพียงชนชั้นสูงและกลางบางกลุ่มเท่านั้นที่รู้ภาษาต่างชาติอย่างฟุซัคโบราณ โลเอ็น และอินทิส
ไคลน์รู้สึกดีมากกับเรื่องที่ครั้งหนึ่ง จักรวรรดิไบลัมโบราณเคยถูกรวมเป็นปึกแผ่นด้วยฝีมือของเทพแท้จริง ดังนั้น แม้ว่าแต่ละแคว้นจะมีสำเนียงต่างกัน แต่ก็ยังคงมีแก่นเป็นภาษาตูทานเหมือนเดิม หลักการเขียนคล้ายคลึงกันมาก และนั่นช่วยลดเวลากับความวุ่นวายลงได้หลายเท่า
หากว่าเราต้องเผชิญกับกำแพงภาษาหลายสิบชนิด นั่นคงปวดหัวน่าดู… แต่ตูทานกับฟุซัคก็ยังมีระบบภาษาที่แตกต่างกัน เรายังพลิกแพลงอย่างหลังได้ไม่ชำนาญ จำเป็นต้องพึ่งพาล่ามอยู่… อา ดูเหมือนว่าแอนเดอร์สันจะเชี่ยวชาญภาษาตูทานพอสมควร เราไม่เคยได้ยินว่าหมอนั่นเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสารในไบลัมตะวันตก… ฟังคำขอร้องของริชาร์ดสันจบ ไคลน์พลันเข้าใจความกระอักกระอ่วนของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้
ในฐานะบุรุษรับใช้ มันตระหนักว่าตนต้องติดตามนายจ้างไปทุกที่ เพราะนี่ไม่ใช่งานของพ่อบ้าน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง บุรุษรับใช้เทียบได้กับเลขาในชีวิตประจำวัน และในบางกรณีก็ต้องเป็นเลขาเชิงธุรกิจ
เห็นได้ชัดว่า ริชาร์ดสันชื่นชอบชีวิตในเบ็คลันด์มาก และไม่ต้องการกลับไปยังทวีปใต้ ไม่ต้องการเห็นฉากหรือทิวทัศน์ที่ทำให้นึกถึงอดีตอีกครั้ง ดังนั้น ขณะอยู่บนรถม้า มันลังเลว่าจะอธิบายความชำนาญของตัวเองให้เจ้านายฟังดีไหม เพราะหากเป็นไปได้ ริชาร์ดสันก็อยากให้ดอน·ดันเตสมองหาผู้ร่วมเดินทางคนอื่นมากกว่า
ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“ผมสามารถบอกได้ว่า คุณไม่ชอบทวีปใต้เอามากๆ แล้วทำไมถึงต้องเสนอตัว?”
ริชาร์ดสันค่อยๆ ก้มศีรษะลงจนกระทั่งก้มมองนิ้วเท้า
“นายท่านมอบโอกาสให้ผมได้พัฒนาตัวเอง… ผ…ผมคิดว่าตัวเองควรช่วยเหลือเป็นการตอบแทน”
เป็นการตอบแทนบุญคุณอย่างซื่อตรง… หากไม่พูดออกมา ก็คงไม่มีใครรู้ว่านายชำนาญภาษาตูทาน เพราะจากประวัติ นายเป็นแค่ทาสที่เติบโตในคฤหาสน์ของชาวอาณานิคมไบลัมตะวันออก… ไคลน์จ้องหน้าริชาร์ดสันสองสามวินาที รำพันในใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่คิดจะใช้บุรุษรับใช้ของตนตามไปยังทวีปใต้อยู่แล้ว ประการแรก นั่นจะทำให้ทำงานไม่สะดวก และประการที่สอง หากริชาร์ดสันถูกพบตัวโดยสมาคมฟื้นฟูชาติซึ่งเป็นคนของนิกายวิญญาณ นั่นอาจส่งผลกระทบต่อช่วงชีวิตที่เหลือของอีกฝ่าย
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“ผมมีเพื่อนมากมายที่นั่น แถมยังรู้ภาษาตูทานและขนบธรรมเนียมของชนพื้นเมือง… อา… สำหรับคุณ ผมมีงานที่สำคัญกว่านั้นให้ทำ… เรื่องแรก ช่วยผมส่งของขวัญให้ถึงมือเพื่อนฝูงตามตารางเวลาที่กำหนด ผมจะเขียนรายชื่อให้ก่อนออกเดินทาง… เรื่องที่สอง อ่านหนังสือพิมพ์ให้มาก จดบันทึกข่าวเกี่ยวกับการลงทุน รวมถึงการลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเอง จากนั้นก็เขียนรายงานส่ง ผมจะให้มาดามทาเนญ่าคอยกันเงินไว้ก้อนหนึ่งสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ”
ริชาร์ดสันตะลึงเล็กน้อยในตอนต้น ก่อนจะรีบตอบสนองด้วยท่าทีตื่นเต้นแกมดีใจ
“ครับ นายท่าน! ผมจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด!”
เมื่อตระหนักว่า อีกฝ่ายมองตนเป็นคนสำคัญ ดวงตาริชาร์ดสันพลันพร่ามัวอย่างมิอาจหักห้าม
นับตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน นี่เป็นครั้งแรกที่มันมองเห็นอนาคตตัวเอง เป็นครั้งแรกที่ถูกใครสักคนให้ความสำคัญ
หลังจากส่งริชาร์ดสันกลับ ไคลน์อาบน้ำอย่างสบายใจเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด จากนั้นก็สวมชุดนอนและเดินกลับเข้าไปในห้อง นำปากกาและกระดาษมาวาง วาดสัญลักษณ์ซับซ้อนซึ่งผสมผสานระหว่าง ‘การส่องความลับ’ และ ‘ความลับ’
บนผิวกระจกเต็มบาน คลื่นกระเพื่อมแผ่ออกไปในลักษณะวงกลม แสงสีเงินเริ่มเรียงตัวเป็นข้อความภาษาโลเอ็น
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน มาหาท่านตามคำเรียกร้องแล้ว! …นายท่านจะออกจากเบ็คลันด์อีกแล้วหรือ?”
ไคลน์พยักหน้าและกล่าว
“ใช่”
โดยไม่รอให้อาโรเดสอนุญาตให้ถาม ชายหนุ่มกล่าวเข้าประเด็นทันที
“บนทวีปใต้ ข้ายังติดต่อกับเจ้าได้ไหม?”
“แน่นอนขอรับ! ตราบใดที่นายท่านนำเครื่องรับโทรเลขไร้สายนั่นออกมา” บนผิวกระจก อักษรแสงสีเงินเรียงตัวเป็นคำใหม่อย่างรวดเร็ว “แต่นายท่านไม่ควรนำมันออกมาบนโลกความจริงนานเกินไป หรือใช้งานถี่เกินไป เนื่องจากบนทวีปใต้เต็มไปด้วยข้ารับใช้ของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย มีโอกาสถูกสัมผัสถึงได้ง่าย”
ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยน
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายบ้าง?”
‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสเงียบงันเป็นเวลานาน ก่อนที่แสงสีเงินบนผิวกระจกจะขยับจนกลายเป็นประโยคสมบูรณ์
“ข้ามิกล้าเอ่ยถึง… มิกล้าแสดงภาพ…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น