Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 879-884

 ราชันเร้นลับ 879 : สองเป้าหมาย

ฟังคำถามมาริคจบ ไคลน์หยิบกระดาษที่วาดสัญลักษณ์อัญเชิญอาโรเดส สะบัดมือพลางหุบยิ้ม กล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง


“เล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด ถึงขั้นตอนการทำมัมมี่ของอาณาจักรที่ราบสูงโบราณ”


ขณะกล่าว แผ่นกระดาษถูกเปลวไฟสีแดงเข้มลุกไหม้ กลายเป็นเศษขี้เถ้าเล็กๆ พร้อมกับร่วงกราวลงพื้น


มาริคมองไปทางชารอน ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ


“ขั้นแรก ทิ้งศพไว้สามถึงห้าวัน ใช้เทคนิคบางอย่างทำให้ตะกอนพลังควบแน่นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ผสานเข้ากับร่างกายของฟาโรห์จนเกิดเป็นสมบัติปิดผนึก… ขั้นที่สอง ประกอบพิธีกรรมชำระล้าง นำศพไปวางไว้บนแท่นบูชา สวดวิงวอนถึงเทพผู้ถูกล่าม ภาวนาให้พลังวิญญาณครึ่งหนึ่งของคนตายยังอยู่กับร่างกาย วิธีนี้จะไม่ทำให้บุตรแห่งเทพฟื้นคืนชีพ แต่จะช่วยให้พลังวิญญาณติดอยู่กับศพเป็นเวลานาน… ขั้นที่สาม อาศัยพลังพิเศษและวิธีการบางอย่าง นำสมอง อวัยวะภายใน และของเหลวในร่างกายออกจากศพ เหลือไว้เพียงหัวใจ… ขั้นที่สี่ บรรจุผงและยาวิเศษบางชนิดเข้าไปในศพ เปลี่ยนให้ศพอยู่ในสภาพปราศจากของเหลวโดยสมบูรณ์… ขั้นที่ห้า เติมผงและยาวิเศษเข้าไปเพิ่ม ตกแต่งศพให้พร้อมสำหรับพิธีกรรม จากนั้นก็พันด้วยผ้าลินิน บรรจุใส่โลง… ขั้นที่หก อวัยวะภายในที่ถูกนำออกมา จะถูกทำแบบเดียวกับขั้นตอนที่สี่เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในพิธีกรรม วางไว้ตามสี่มุมของโลงศพ… เช่นเดียวกันกับสมองและของเหลวในร่างกาย สมองจะถูกบดละเอียดและผสมกับสารละลาย จากนั้นก็ผสมเข้ากับของเหลว… ภายในโลงศพจะมีช่องว่างสำหรับถ่ายเทอากาศ ทำราวกับศพยังมีชีวิตอยู่… วิธีนี้จะช่วยดึงพลังพลังวิญญาณจากโลกวิญญาณและสภาพแวดล้อมเข้ามาในโลงศพ ช่วยให้มัมมี่ของฟาโรห์สามารถคงอยู่ได้นานหลายพันปี กลายเป็นวัตถุที่อัดแน่นด้วยพลังวิญญาณ สามารถนำมาใช้สร้างซอมบี้ที่ทรงพลัง”


ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้ผู้วิเศษใกล้เคียงแข็งแกร่งขึ้น… ชักอยากรู้แล้วว่า นักปรุงยาใช้เวทมนตร์ใดทำให้เศษดินเหล่านี้ยังมีพลังวิญญาณแฝงอยู่… อา ขั้นตอนการทำมัมมี่แตกต่างจากโลกเก่าโดยสิ้นเชิง มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์มากกว่า… ไคลน์ฟังอย่างตั้งใจ วิเคราะห์คร่าวๆ ว่าตนสามารถใช้มัมมี่มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนได้หรือไม่


อย่างไรก็ดี มัมมี่ตูตันส์ที่สองคือวัตถุดิบสำคัญสำหรับงานวิจัย หากเลือกได้คงไม่มีใครอยากทำลายทิ้ง… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก หันไปมองชารอนที่กลับไปนั่งเก้าอี้สูง ถามด้วยสีหน้าขึงขัง


“คุณกระโดดกระจกได้ไกลที่สุดแค่ไหน?”


ชารอนในท่านั่งหลังตรง ตอบกลับโดยไม่เสียเวลาคิด


“สามร้อยเมตร”


เหลือเฟือ… ไกลกว่ากระโจนไฟของเราเสียอีก… แต่นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะแก่นสำคัญของวิญญาณอาฆาตคือการไปไหนมาไหนอย่างไร้ร่องรอย ส่วนกระโจนไฟของนักมายากลเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการแสดงกล… อา ไม่เลว เราใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้… ไคลน์รำพันเงียบ


แม้ว่าตนจะเคยมีหุ่นเชิดวิญญาณอาฆาต แต่ก็ไม่ทราบขีดจำกัดสูงสุดของ ‘กระโดดกระจก’ เพราะก่อนที่จะถึงขีดจำกัด หุ่นเชิดจะหลุดออกจากระยะควบคุมของร่างต้น กลางเป็นเพียงศพที่ไม่เคลื่อนไหว ส่งผลให้พลัง ‘กระโดดกระจก’ ล้มเหลวกลางคัน


ไคลน์ถามอีกสองสามประโยค เริ่มวางแผนในใจตามข้อมูล จนกระทั่งได้ข้อสรุป จึงมองสลับไปมาระหว่างชารอนและมาริค ตามด้วยพูดเสียงขรึม


“พวกเรามีโอกาสขโมยมัมมี่ตูตันส์สำเร็จ แม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็ไม่มากนัก… แน่นอน นี่คือในกรณีที่พวกคุณฟังคำสั่งผม ให้ผมเป็นผู้นำในภารกิจเต็มตัว… เมื่อใดที่คุณสองคนคิดว่าคำสั่งไม่สมเหตุสมผล สามารถยกเลิกแผนการและถอนตัวกลับได้ทันที นั่นเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของพวกคุณ แต่ต้องไม่ลืมจ่ายค่าจ้างผม”


หากเป็นเมื่อก่อน มาริคคงตอบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด มันและชารอนต่างเป็นผู้วิเศษลำดับกลางที่มีประสบการณ์โชกโชน มีความแข็งแกร่งในระดับไม่ธรรมดา แล้วจะให้ฟังคำสั่งของผู้วิเศษหน้าใหม่ที่เคยจ้างพวกตนเป็นบอดี้การ์ดได้อย่างไร? แต่เมื่อพิจารณาจากการร่วมมือกันในคราวก่อน พิจารณาจากสติปัญญาและสมบัติวิเศษที่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ถือครอง มาริคเกิดความประทับใจพอสมควร มองอีกฝ่ายเท่าเทียมโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อข่าวคราวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แพร่สะพัดไปทั่วท้องทะเล มันประหลาดใจอย่างมาก เชื่อว่าอีกฝ่ายกลายเป็นหนึ่งในผู้วิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดใต้ครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว ในโลกของศาสตร์เร้นลับ ผู้วิเศษที่แข็งแกร่งกว่าย่อมมีอำนาจมากกว่า


และเมื่อมีอำนาจมากกว่า ผู้วิเศษคนอื่นต้องเชื่อฟัง!


นอกจากนั้น เขายังมี ‘เทเลพอร์ต’ … มาริคหวนนึกถึงวิธีที่เชอร์ล็อกปรากฏตัว ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายค่อนข้างมั่นใจในพลังของตัวเอง บางที ภารกิจนี้อาจมีโอกาสสำเร็จตามที่อีกฝ่ายพูด


มันหันหน้าไปมองชารอน


คนทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน


“ตกลง” ชารอนตอบโดยปราศจากความลังเลในดวงตาสีฟ้า


ไคลน์เผยรอยยิ้ม


“ส่วนต้องทำอย่างไรบ้างนั้น ไว้ผมจะอธิบายคุณเมื่อไปถึงสถานที่จริง”


นับตั้งแต่ตอนแรกที่ปรากฏตัว ไคลน์จงใจแสดงพลัง ‘ท่องเที่ยว’ และเผยวิธีติดต่อกับ ‘ตัวตนลึกลับ’ เพื่อสืบข้อมูล จุดประสงค์เพื่อทำให้ทั้งชารอนและมาริคไม่เคลือบแคลงในฝีมือของตน รวมถึงการยอมมอบอำนาจสั่งการอย่างเบ็ดเสร็จ


ในฐานะนักเชิดหุ่น แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีหุ่นเชิด แต่กฎเหล็กคือการคอยชักใยให้การแสดงดำเนินไปตามแผนของตน!


สำหรับไคลน์ เหตุผลที่รับทำภารกิจในคราวนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากช่วยชารอนและมาริค อีกส่วนหนึ่งเพราะต้องการใช้โอกาสอันหายากเพื่อ ‘ชักใย’ การแสดงด้วยมือตัวเอง ทำให้โอสถย่อยได้เร็วขึ้น!


กล่าวได้ว่า การปรากฏตัวของอามุนด์ในเบ็คลันด์ รวมถึงการต้องเผชิญหน้ากับ ‘ผู้ชม’ เมื่อไม่นานมานี้ ช่วยให้ไคลน์ที่ปราศจากหุ่นเชิดเข้าใจเกี่ยวกับกฎเหล็กของนักเชิดหุ่นที่ตัวเองสรุปไว้มากขึ้น และสามารถนำมาปรับใช้กับการ ‘ชักใยการแสดง’ เพื่อดำเนินแผนการให้ตรงตามจุดประสงค์ของตัวเองอย่างแยบยล


ความคิดในหัวไคลน์ก็คือ


ถึงจะไม่มีหุ่นเชิด แต่ตนยังสามารถออกแบบกระแสของเหตุการณ์ผ่านการสั่งงานพวกพ้อง ผ่านการใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม อาศัยทุกปัจจัยเอื้ออำนวยให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ สร้าง ‘ละครหุ่นเชิดในชีวิตจริง’ ที่ตนเป็นผู้กำกับ


นักเชิดหุ่นไม่จำเป็นต้อง ‘เชิด’ ผ่านด้ายวิญญาณเพียงอย่างเดียว!


และพฤติกรรมก่อนหน้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของละครหุ่นเชิด!


เฉกเช่นอามุนด์ ลำพังการปรากฏตัวของ ‘ท่าน’ ก็มากพอจะทำให้กรุงเบ็คลันด์เกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง สามารถทำให้เราและพาลีส·โซโรอาสเตอร์ต้องรอดู ‘ท่าน’ เหวี่ยงแท่งไม้วาทยกร… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ขณะเดียวกันก็ได้ยินคำตอบจากชารอนและมาริค


“ตกลง”



ท่าเรือพริสต์ในตอนค่ำ โคมไฟที่ทำจากโลหะสีดำหรูหรากำลังเปล่งแสง มอบความสว่างไสวแก่ถนนทุกสาย


ปัจจุบัน เรือส่วนใหญ่กำลังจอดสนิทอยู่ในท่า บรรยากาศจึงปกคลุมด้วยความเงียบ


ณ ชั้นบนสุดของโกดังสินค้า ในจุดที่มีลังไม้จำนวนมากรายล้อม ร่างของสามบุคคลโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่า หนึ่งคือเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ในชุดสุภาพและหมวกทรงสูง หนึ่งคือมาริคในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกั๊กสีดำ อีกหนึ่งคือชารอนในชุดเดรสหรูหราสีดำและหมวกอ่อนสีเดียวกัน


ด้วยพลังท่องเที่ยว พวกมันเดินทางจากกรุงเบ็คลันด์มาถึงท่าเรือพริสต์ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลในพริบตา และในอีกไม่ช้า เรือบรรทุกมัมมี่ตูตันส์ที่สองมีกำหนดจะแล่นเข้ามาเทียบท่าจอด


ไคลน์ใช้มือขวาจับขอบกล่อง กดปลายเท้าเหยียบลงบนลังไม้ ก่อนจะส่งแรงกระโดดขึ้นไปบนคานด้านบนโกดัง เดินตรงไปเรื่อยๆ ราวกับเป็นพื้นราบ เพียงไม่นานก็มาถึงผนังอีกฝั่ง


ที่นี่มีช่องระบายอากาศขนาดใหญ่


ชายหนุ่มหยิบกล้องส่องทางไกลที่ชารอนเตรียมไว้ให้ มองไปยังท่าเรือที่อีกฝ่ายเคยอธิบายคร่าวๆ


ยอดตึกรอบๆ ทั้งหมดถูกยึดครองโดยทหารสะพายกล่องไอน้ำพร้อมกับถือปืนไรเฟิลลำกล้องใหญ่ แต่ละคนเดินลาดตระเวนไปมา สายตาสอดส่องผู้บุกรุก เตรียมยิงใส่ใครก็ตามที่ริอ่านเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีการตักเตือนเพียงครั้งเดียว


นอกจากนั้น ยังมีสัตว์ประหลาดหุ่นยนต์ตัวใหญ่อีกจำนวนหนึ่งประจำการอยู่รอบๆ ท่าเรือ ทั้งหมดทำจากโลหะ สูงกว่าคนยักษ์ ด้านบนสุดติดปืนกลที่ระบายความร้อนด้วยน้ำและปล่องไฟแนวตั้ง ด้านล่างเป็นสีขาวนวล เผยให้เห็นหมุด นอต และเฟืองจำนวนมาก ลักษณะค่อนข้างหยาบ


ด้านหน้าหุ่นยนต์ยังมีปากกระบอกปืนลำกล้องใหญ่ ด้านล่างเป็นล้อโลหะสองแถว หุ้มด้วยสายพานยาง


ด้านในมีคนประจำการ แต่ไคลน์มองไม่เห็นหน้า ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นผู้วิเศษหรือไม่


ใกล้กับสัตว์ประหลาดเหล็ก เหนือขึ้นไปด้านบนท่าเรือ หอคอยโลหะสีดำสูงกว่าสิบเมตรตั้งเด่นตระหง่าน ด้านข้างหอคอยเป็นระบบรอกที่ซับซ้อนแต่ขาดความงามในเชิงศิลป์ ลวดสลิงและตะขอห้อยลงมาอย่างไม่เป็นระเบียบ


บนผิวน้ำคล้ายกับมีปฏิการทางทหารในระดับไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ระดับสูงอะไร… ไคลน์ถอนสายตากลับ โยนกล้องส่องทางไกลไปยังมาริคที่เดินเข้ามาใกล้ บอกให้อีกฝ่ายช่วยสังเกตการณ์


การจะเริ่มลงมือ ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า อย่าพยายามใช้พลังพิเศษในการสังเกตการณ์ ให้ใช้วิธีธรรมดาที่สุดเพื่อจับตามองสภาพแวดล้อม อีกฝ่ายจะได้ไม่ไหวตัว เพราะยังไม่มีสิ่งใดยืนยันว่า ท่าเรือแห่งนี้ไม่มีครึ่งเทพซ่อนตัวอยู่


นอกจากนั้น ไคลน์ยังปรับเปลี่ยนพลังที่บันทึกไว้ในยุบพองหิวโหย เลือกใช้ ‘เทวทูตกระดาษ’ แทน ‘พายุสายฟ้า’ เพื่อจับคู่กับ ‘ทอร์นาโด’


รอจนกระทั่งชารอนยืนยันสถานการณ์เสร็จ ไคลน์ที่รอตรงกรอบไม้ด้านข้างเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย


“จุดประสงค์ของพวกเราในวันนี้มีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือ หากสบโอกาสค่อยลองเสี่ยงโชค แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโอกาส เราจะทำเพียงเฝ้ามองจากวงนอกและหลบหนีก่อนเกิดเหตุร้ายแรง… มีคำถามไหม?”


“ไม่” ชารอนตอบเยือกเย็น ส่วนมาริคส่ายหน้าเชิงเห็นพ้อง


ไคลน์ผงกศีรษะ มองไปที่มาริคและพูด


“คุณนำกระจกมากี่บาน?”


“เก้า” มาริคแสดงในสิ่งที่เตรียมมา จากนั้นก็ชี้ที่ดวงตาตัวเองและพูด “นี่ก็นับ”


“ตกลง” ไคลน์ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “เดี๋ยวพอผมออกไป คุณวิ่งออกจากท่าเรือพริสต์ ทิ้งกระจกทีละบานตลอดทาง”


มาริคอ้าปากเล็กน้อย คล้ายกับอยากถามว่าทำไม แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจเจตนา จึงพยักหน้าหนักแน่น


“ตกลง… ผมจะทำตามนั้น”


ไคลน์ยิ้มพลางยื่นแขนออกไป หยุดค้างกลางอากาศ


“ยินดีที่ได้ร่วมมือ”


มาริคลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดมือขวาออกมาจับตอบ


จัดการเสร็จ ความตึงเครียดภายในใจพลันผ่อนคลายอย่างอธิบายไม่ได้


ไคลน์หันไปทางชารอน หยิบกล่องบุหรี่โลหะออกมา ยื่นให้อีกฝ่าย


“คุณถือไว้ หลังจากเห็นสัญญาณจากผม รีบบินไปที่ประภาคาร… จากนั้น นับหนึ่งถึงสามในใจ สลายกำแพงวิญญาณของกล่อง… ระหว่างดำเนินการ หรือแม้กระทั่งตอนที่สลายผนึกเสร็จแล้ว คุณห้ามหยุดบินเด็ดขาด และพยายามหักเหทิศทางอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม… รอจนกระทั่งเห็นดอกไม้ไฟที่ผมยิงขึ้นฟ้า ให้คุณรีบสร้างกำแพงวิญญาณเพื่อผนึกกล่องโลหะ จากนั้นก็หนีสุดชีวิตไปทางมาริคด้วยกระโดดกระจก ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองรอด… หลังจากสมทบกันเรียบร้อย พวกคุณหาทางหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอผม… ผมสามารถหนีด้วยเทเลพอร์ต”


หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดของแผนการคราวนี้คือนกหวีดทองแดงอะซิก!


จริงอยู่ การบุกเข้าไปขโมยมัมมี่ตูตันส์ที่สองอาจเป็นเรื่องยาก แต่เราสามารถล่อให้มันมาหาเองได้!


ราชันเร้นลับ 880 : ผู้เงียบขรึม

หลังจากได้ฟังแผนการของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ชารอนไม่กล่าวสิ่งใด เพียงพยักหน้าแผ่วเบาเชิงเห็นพ้อง


ไคลน์หยิบหน้ากากโลหะสีเทาออกมาสวม เผยให้เห็นเพียงดวงตาและรูจมูก


ในทำนองเดียวกัน ชารอนและมาริคทำการสวมหน้ากากที่คล้ายคลึงกัน


ทว่า แต่ละคนมีจุดประสงค์ในการปกปิดที่แตกต่างกัน วิญญาณอาฆาตและซอมบี้มีความจำเป็นต้องปิดบังใบหน้าตัวเอง เพื่อไม่ให้ถูกกองทัพโลเอ็นตามล่าในภายหลัง จนต้องหลบหนีออกจากกรุงเบ็คลันด์ที่ตั้งรกรากมานาน แต่ในกรณีของ ‘ผู้ไร้หน้า’ จริงอยู่ที่ไคลน์มีพลังแปลงโฉม ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากให้อึดอัด ไม่ต้องกังวลการสืบสวนจากกองทัพโลเอ็นและโรงเรียนกุหลาบ ทว่า การสวมหน้ากากถือเป็นการซ้อนแผนทับอีกชั้น ใครจะไปคาดคิดว่าชายสวมหน้ากาก แท้จริงแล้วคือผู้ไร้หน้า? นับเป็นการเบี่ยงเบนแนวทางการสืบสวนให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น


รอไปอีกสักพัก จนกระทั่งเสียงหวูดเรือดังแผ่วเบา เรือลำหนึ่งแล่นเข้ามาเทียบท่าในความมืด


ไคลน์เดินกลับไปที่ช่องระบายอากาศ ยกกล้องส่องทางไกล มองไปยังท่าเรือที่ถูกคุ้มกันแน่นหนา


เพียงไม่นานก็เห็นเรือลูกผสมระหว่างเรือใบและเครื่องยนต์ไอน้ำ ค่อยๆ จอดเทียบท่าจนนิ่งสนิท โดยในเวลาเดียวกัน ทหารสองหน่วยในชุดสีแดงกางเกงสีขาว ถือปืนไรเฟิล วิ่งไปตั้งแถวต้อนรับสองฝั่งอย่างกระฉับกระเฉง


ผ่านไปสักพัก บันไดแขวนถูกห้อยลง ผู้คนบนเรือเริ่มทยอยลงมาบนฝั่ง


ชุดแรกเป็นลูกเรือแบกลังไม้ ตามมาด้วยชายหนุ่มในเครื่องแบบพันตรี ในมือกำลังถือกล่องที่ทำจากผลึกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม รอบตัวมีลูกเรือหลายคนรายล้อม


ลูกเรือทุกคนกำลังถือตะเกียง พยายามสาดแสงไปยังทุกซอกมุมของกล่อง ช่วยให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ชัดเจน


ด้านในเป็นกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่ปราศจากคราบเลือดเนื้อ ส่องแสงประหลาดท่ามกลางแสงตะเกียง


ความเร็วในการเดินของคนกลุ่มนี้ค่อนข้างเชื่องช้า คล้ายกับให้ความสนใจองศาของตะเกียงเป็นพิเศษ ไม่ปล่อยให้มีจุดใดดำมืด


รอจนกระทั่งลงเรือเรียบร้อย กลุ่มดังกล่าวเดินไปตามถนน ตรงไปยังรางขนส่งสินค้าที่ใกล้ที่สุด จากนั้นก็เดินต่อไปทางหัวรถจักรไอน้ำที่จอดรอประหนึ่งงูยักษ์ โดยในเวลาเดียวกัน บุรุษสวมสุดสูทสุภาพสีดำได้เดินลงมาจากโกดังท้ายเรือ


บุรุษในชุดดำกำลังถือถังเหล็กใบใหญ่ เมื่อมองจากมุมบนจะเห็นว่าด้านในมีชั้นของก้อนน้ำแข็ง


ในชั่วพริบตาแรก ไคลน์เกือบคิดว่าท่ามกลางก้อนน้ำแข็งเหล่านี้มีขวดไวน์ถูกแช่อยู่ คล้ายกับสิ่งที่ชนชั้นสูงชอบทำกันในภัตตาคารหรูหรา ทว่า เพียงไม่นานชายหนุ่มก็มองเห็นสิ่งที่แทรกอยู่ระหว่างก้อนน้ำแข็ง


มือข้างหนึ่งที่เป็นทองคำล้วน!


แตกต่างจากกลุ่มใหญ่ บุรุษถือถังเหล็กเดินค่อนข้างเร็ว บนหน้าผากมีเหงื่อหยด จุดที่มือสัมผัสกับโลหะนั้นมีละอองน้ำเกาะ


คล้ายกับว่า ชายคนนั้นกำลังกังวลเรื่องที่น้ำแข็งจะละลายก่อนถึงจุดหมาย


ดูเหมือนว่าในคราวนี้ กองทัพจะปล้นสมบัติปิดผนึกจากที่ราบสูงดวงดาว หุบเขาเพิร์ธ และทุ่งกว้างฮาเก็นติได้มากทีเดียว… ไคลน์ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน รอคอยโลงศพบรรจุมัมมี่ตูตันส์ที่สองอย่างอดทน


ผ่านไปราวสิบนาที ไคลน์ ชารอน และมาริคได้ยินเสียงฝีเท้าอันหนักแน่นดังมาจากจุดห่างออกไป


เสียงฟังดูคล้ายกับคนยักษ์ที่เดินบนแผ่นไม้กระดานบางๆ ที่ด้านล่างไม่มีของ


ถัดมา ประตูด้านข้างของห้องโดยสารบนเรือถูกเปิดออก ‘อัศวิน’ ในสุดเกราะหนักสีดำจำนวนสี่คนค่อยๆ เดินแบกโลงศพสีทองออกมาอย่างใจเย็น เสียงเหยียบพื้นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นระยะ


ผิวโลงศพถูกวาดด้วยลวดลายจำพวกนกประหลาด งูขนนก และหน้ากาก แผ่กลิ่นอายลึกลับของอาณาจักรที่ราบสูงโบราณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งนี้คือ ‘เตียงนอน’ ของมัมมี่ตูตันส์ที่สอง!


เสียงโซ่หมุนและเสียงโลหะเสียดสีดังกังวานทั่วท่าเรือ หอคอยโลหะสีเข้มเริ่มหมุนตัวอย่างเชื่องช้า ห้อยลวดสลิงและขอเกี่ยวลงมาแขวนกับสี่มุมของโลงศพมัมมี่ตูตันส์ที่สอง


จากนั้น กลไกของระบบรอกที่ซับซ้อนเริ่มทำงาน โลงศพหนักถูกยกขึ้นและย้ายไปยังเกวียนปราศจากหลังคาซึ่งอยู่ด้านนอกท่าเทียบเรือ


เมื่อ ‘อัศวิน’ ทั้งสี่ในชุดเกราะสีดำเป็นอิสระจากน้ำหนักมหาศาล ทุกคนต่างทิ้งตัวนั่งลงบนดาดฟ้าเรือพร้อมกัน เผยอาการเหนื่อยหอบชัดเจน


ท่ามกลางเสียงหายใจหอบ อัศวินคนหนึ่งส่งเสียงคำรามต่ำ


ตามรอยแยกของชุดเกราะ เลือดสีแดงเข้มค่อยๆ ไหลซึมออกจากทุกส่วนของร่างกาย ตามมาด้วยแมลงตัวเล็กๆ ลักษณะคล้ายด้วงเปลือกแข็งสีดำ


ตุ้บ!


‘อัศวิน’ คนดังกล่าวหงายหลังล้ม หมวกเหล็กร่วงหล่น เผยให้เห็นใบหน้าเละเทะที่มีเบ้าตาว่างเปล่า แมลงเปลือกแข็งจำนวนมากกำลังชอนไชบนผิวหนัง


คำสาป… มัมมี่ตูตันส์เป็นวัตถุต้องสาป… แม้จะสวมเกราะที่เคลือบด้วยพร แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการถูกสาปได้สมบูรณ์… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ หันไปมองโลงศพสีทองที่ค่อยๆ ถูกหย่อนลงบนเกวียน


เกวียนด้านนอกท่าเทียบเรือจะไม่มีม้าคอยลากจูง มีเพียง ‘อัศวิน’ สี่คนที่สวมเกราะเฉกเช่นบนเรือ


เมื่อโลงศพถูกหย่อนลง พวกมันขยับเข้าไปใกล้ เตรียมลงมือลากเกวียน


ทันใดนั้นเอง ล้อที่ติดกับเกวียนพลันหมุนอย่างเป็นปริศนา แถมยังสามารถรักษาสมดุลไว้ได้ ส่งผลให้เกวียนเริ่มเคลื่อนที่ด้วยตัวเองและหักเลี้ยวไปด้านข้าง


ราวกับมันกำลังมีชีวิต!


หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง มีสมาธิกับเหตุการณ์ตรงหน้ามากขึ้น


แกร่ก! แกร่ก! แกร่ก! ล้อเกวียนหมุนด้วยความเร็วสูง กระแทกกับก้อนหินและท่อนไม้ตลอดเส้นทางที่ไม่ปรกติ เกวียนซึ่งไม่มีม้าลากจูงกำลังพาโลงศพสีทองไปยังพื้นที่ว่างของท่าเรือ


ฉากตรงหน้า เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับผีชอบบรรยายในทำนองนี้!


ณ จุดใกล้กับท่าเทียบเรือ สัตว์ประหลาดโลหะที่มีปล่องควันและลำกล้องปืนเริ่มหันไปทางเกวียน เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านใน


“ที่นี่ไม่อนุญาตให้มีการสิงสู่!”


จบประโยคดังกล่าว เกวียนที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองอย่างบ้าคลั่งพลันสูญเสียการควบคุมกะทันหัน หลังจากเกิดรอยล้อสองข้างลากเป็นทางยาว เกวียนที่บรรทุกโลงศพสีทองก็หยุดนิ่ง


ขณะเดียวกัน ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ สวมชุดคลุมสีขาวแถบทอง ผมสีเหลืองหยักศกเล็กน้อย เบ้าตาจมลึก ใบหน้าผอมซูบติดกระดูก


ชายวัยกลางคนรายนี้ดูคล้ายกับลูกครึ่งระหว่างชาวทวีปเหนือและใต้ ดวงตาสีน้ำตาลแฝงความชั่วร้ายและบ้าคลั่งเต็มเปี่ยม ริมฝีปากที่ค่อนข้างหนามีหมุดสีทองตอกยึด ผนึกปากไว้โดยสมบูรณ์ มอบความชั่วร้ายและน่าพรั่นพรึง


ไคลน์ที่เคยฟังคำอธิบายจากชารอนและมาริค ทราบได้ทันทีว่านี่คือสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบ หนึ่งในผู้นำกลุ่มต่อต้านแห่งที่ราบสูง มาฮามูซี หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘ผู้เงียบขรึม’


ในวินาทีที่มาฮามูซีปรากฏตัว มันหันไปมองสัตว์ประหลาดโลหะที่ ‘ประกาศกฎ’ ทันที ไม่แยแสเกวียนบรรทุกโลงศพสีทองของมัมมี่ตูตันส์ที่สองซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าเยื้องออกไปเล็กน้อย


ดูเหมือนว่า การลงมือในช่วงแรกจะทำไปเพื่อระบุตำแหน่งของครึ่งเทพในกองทัพโลเอ็น!


เพียงชั่วพริบตา มาฮามูซียกมือขวาขึ้น เลือนมายังมุมปาก


หมุดสีทองที่ตอกยึดริมฝีปากบนและล่างพลันพุ่งพรวด ช่วยให้ปากไม่ปิดสนิทอีกต่อไป


ทันใดนั้น มาฮามูซีอ้าปาก


ไคลน์ไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นแสงใดพุ่งผ่าน แต่เพียงไม่นานก็พบว่าสัตว์ประหลาดโลหะขนาดใหญ่เริ่มหลอมละลายและบิดเบี้ยว เพียงพริบตาก็กลายเป็นแกะตัวหนึ่ง


แกะขนยุ่งที่มีดวงตาหมองคล้ำ!


พุ่บ! เลือดพุ่งออกจากท้องแกะ ก้อนเนื้อแตกตัวพร้อมกับคายถุงมือสีขาวและหน้ากากสีทอง


แสงสว่างแหวกออกจากด้านในก้อนเนื้อ สลายความชั่วร้ายและโกลาหลจนหมดสิ้น ขณะเดียวกัน ก้อนเลือดเนื้อเริ่มก่อรูปร่างกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้ง


กลายเป็นชายผมสีดำ ดวงตาและหน้ากากสีทอง


ทันใดนั้น ‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซีตวัดมือขึ้น ปากกระบอกปืนทั้งหมดที่เล็งมาทางมันพลันถูกยกขึ้นฟ้า ยิงโดนเพียงความว่างเปล่า


จากนั้น มันหยิบตุ๊กตาที่ทำจากเศษผ้าออกมา


ตุ๊กตาคล้ายกับทำจากผ้าเก่า ตามลำตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด เบ้าตาเว้าเข้าไปกลายเป็นสองหลุม


ทันทีที่สัมผัสกับแสง ตุ๊กตาเริ่มคัดลอกใบหน้าของครึ่งเทพแห่งกองทัพโลเอ็น จากนั้นก็จ้องตาอีกฝ่าย!


ได้เห็นภาพดังกล่าว ครึ่งเทพแห่งกองทัพโลเอ็นสั่งให้แหวนในนิ้วมือขวาเปล่งแสงระยิบระยับคล้ายผลึกแก้ว ก่อนจะหายตัวไปอย่างไรร่องรอยและโผล่อีกครั้งด้านหลังมาฮามูซี


ทว่า การเปลี่ยนแปลงของตุ๊กตายังไม่จบลง


ขณะเดียวกัน ที่ด้านข้างโลงศพสีทองของมัมมี่ตูตันส์ที่สอง ห้วงมิติในจุดดังกล่าวเริ่มบิดเบี้ยวพร้อมกับเผยให้เห็น ‘ปาก’ โปร่งแสงยาวกว่าสิบเมตร


ปากปริศนาอ้ากว้าง ตามด้วยสูดลมหายใจเข้าจนเกิดเป็นสายลมกระโชก ทั้งโลงศพและเกวียนต่างถูกดูดเข้าไปพร้อมกัน


สิ่งนี้น่าจะเป็นสัตว์วิญญาณ!


มันกำลังจะกลืนโลงศพมัมมี่ตูตันส์ที่สองเข้าไป!


ทันใดนั้น กระสุนไรเฟิลและกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงขึ้นฟ้าในจังหวะเมื่อครู่ ต่างถูกแสงสว่างปกคลุมและหลั่งไหลไปรวมตัวกันด้วยอำนาจบางอย่าง ค่อยๆ ก่อตัวเป็นมหาสมุทรแสง มอบความเจิดจ้าให้กับทุกสรรพสิ่ง


ไคลน์แสบตารุนแรง และถึงแม้จะหลับตาลง ก็ยังยับยั้งอาการน้ำตาไหลไม่ได้


ผ่านไปสองวินาที ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าสัตว์วิญญาณรูปปากอันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์ โลงศพสีทองของตูตันส์ที่สองยังคงวางแน่นิ่งบนเกวียน ส่วนมาฮามูซีอาศัยผิวโลหะที่อยู่ห่างออกไป ใช้พลังกระโดดกระจกหนีไปยังอีกฝั่งของท่าเรือ โดยที่ตุ๊กตาเศษผ้าในมือเริ่มกลับคืนสู่สภาพปรกติ ส่วนบุรุษเจ้าของดวงตาและหน้ากากสีทองใช้พลังเทเลพอร์ตระยะสั้นๆ เพื่อไล่ตาม


และในจุดเดิมที่สองครึ่งเทพเคยเผชิญหน้า หญิงสาวในชุดราตรีสีดำคนหนึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่า บนใบหน้าสวมหน้ากากสีทอง เหนือศีรษะสวมมงกุฎที่ถักจากหนาม


เหนือมงกุฎหนามมีกระแสของแสงสว่างไหลเวียนคล้ายคลื่นทะเล แต่เป็นทะเลที่ค่อนข้างสงบ


ทันใดนั้น ไคลน์มองเห็นมือข้างหนึ่ง เป็นมือที่สวมถุงมือสีดำ


มือดำโผล่ขึ้นจากเงามืด เหยียดแขนไปทางโลงศพที่บรรจุมัมมี่ตูตันส์ที่สอง


โลงศพสีทองพลันอันตรธานหายไปจากเกวียน พร้อมกับโผล่ขึ้นในมือสีดำข้างดังกล่าว!


โรงเรียนกุหลาบมิได้ส่งครึ่งเทพมาเพียงหนึ่ง แต่เป็นสอง แถมยังมาพร้อมสมบัติปิดผนึกเส้นทางนักจารกรรม!


เห็นภาพตรงหน้า ไคลน์รีบหันข้างตะโกนคุยกับมาริค


“วิ่ง!”


มาริคที่รอรับคำสั่งอย่างมีสมาธิ เมื่อได้ยินเสียงตะโกน มันดีดตัวโดยไม่รีรอ พุ่งออกจากโกดังและท่าเรือด้วยความเร็วสูงสุด


ไคลน์หันกลับมาคุยกับชารอนอีกฝั่ง


“เริ่มได้!”


ชารอนเองก็ไม่ลังเล รีบถือกล่องบุหรี่โลหะบินไปทางประภาคาร และสำหรับวิญญาณอาฆาต กำแพงกับสิ่งกีดขวางระหว่างทางกลายเป็นสิ่งไม่มีตัวตน


อาจมีใครบางคนสังเกตเห็นพฤติกรรมของชารอนและมาริค แต่เนื่องจากทั้งคู่อยู่ห่างจากท่าเทียบเรือ ห่างจากสนามรบ จึงไม่มีใครมัวเสียเวลาสนใจ


ไคลน์เองก็รีบลงมือ ถอยหลังกลับพร้อมกับขยับฝ่ามือซ้ายทาบลงบนช่องระบายอากาศ เล็งเป้าให้ตรงกับโลงศพของคำของมัมมี่ตูตันส์ที่สอง


ราวหนึ่งวินาทีถัดมา หนังสือโปร่งใสผุดขึ้นจากความว่างเปล่าตรงหน้าชายหนุ่ม ตามด้วยเสียงสวดคาถาอันไพเราะกังวาน


“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”


หนังสือพลิกเปิดด้วยตัวเอง หยุดค้างไว้ที่แผ่นหนึ่ง


ทอร์นาโด!


นี่คือพลังพิเศษระดับครึ่งเทพที่มีขอบเขตการทำลายเป็นวงกว้าง!


ราชันเร้นลับ 881 : ละครเวที

ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบที่ซ่อนอยู่ในเงามืด สวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่มีผ้าคลุมหัว ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยหน้ากากสีทองลวดลายแดงสลับดำ มองไม่ออกว่าอ้วนหรือผอม แต่ไม่เตี้ยแน่นอน สูงอย่างน้อย 1.8 เมตร


หลังจากใช้สมบัติปิดผนึกเส้นทางนักจารกรรมขโมยโลงศพของตูตันส์ที่สองมาอยู่ตรงหน้า ร่างของมันพลันซีดจางและโปร่งใส ก่อนจะยืดออกคล้ายเชือกยาวนุ่มๆ


‘เชือก’ ที่โปร่งใสจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเส้นนี้ พันเข้ากับโลงศพสีทองอันหนักอึ้งอย่างรวดเร็ว เตรียมนำเข้าสู่โลกวิญญาณ


ทันใดนั้น สายลมกระโชกดังขึ้นข้างใบหูครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบ กรีดเฉือนกับห้วงมิติจนเกิดระเบิดสนั่นหวั่นไหว


บึ้ม!


โลงศพสีทองของมัมมี่ตูตันส์ที่สองลอยขึ้นไปในอากาศ ส่วนเชือกโปร่งใสที่สัมผัสกับแรงระเบิดเข้าอย่างจัง หดกลับคืนร่างมนุษย์อย่างรวดเร็ว


ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบรายนี้พุ่งขึ้นฟ้าในแนวเฉียงอย่างมิอาจควบคุม ก่อนจะแปลงร่างเป็นวิญญาณอาฆาต ไม่สิ วิญญาณมาร ปล่อยให้สายลมอันเกรี้ยวกราดที่ไล่ตามหลัง พัดผ่านร่างกายไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


ขณะมันกำลังสำรวจการไหลเวียนของกระแสอากาศโดยรอบ พายุทอร์นาโดบนพื้นเริ่มยกตัวสูง พัดพาก้อนหินและเศษกรวดบนพื้นดิน รวมถึงหลังคาอาคารใกล้เคียง ลอยขึ้นฟ้าอย่างโกลาหลในเวลาไล่เลี่ย แม้กระทั่งเกวียนที่เคยวิ่งด้วยตัวเองในตอนแรกก็ยังลอยไปบนฟ้าและแตกกระจัดกระจายท่ามกลางสายลมรุนแรง


อาจดูเหมือนโชคดี แต่ความจริงแล้วเป็นแผนที่พวกมันวางไว้ เงาดำในจุดที่ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบซ่อนอยู่ ไม่มีทหารของโลเอ็นประจำการแม้แต่คนเดียว แถมยังห่างไกลจากถนนสายหลัก


ในเวลาเดียวกัน หญิงสาวซึ่งสวมมงกุฎหนามและชุดราตรีสีดำ ถูกพายุทอร์นาโดขัดขวางจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก ร่างกายเสียหลักอย่างมิอาจควบคุม ยากจะเข้าไปใกล้โลงศพสีทองที่ถูกยกลอยขึ้นฟ้า ทำได้เพียงอาศัยการแรงปะทะเพื่อหมุนตัวเองไปด้านหลัง หันหน้าไปทางโกดังที่อยู่ด้านนอกท่าเรือ


ทันใดนั้น เธอมองย้อนกลับไปยังครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบที่ไม่ได้รับผลกระทบจากทอร์นาโด


“จองจำ!” หญิงสาวที่สวมหน้ากากสีทองเช่นกัน ยกมือซ้ายขึ้นและทำท่าคว้าอากาศ


ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบนั้นมีสัมผัสวิญญาณเฉียบแหลม สามารถรับรู้อันตรายได้จากโลกวิญญาณโดยตรง จึงชิงลงมือก่อนครึ่งก้าว ใช้กระโดดกระจกหนีไปยังเศษแก้วที่ห่างออกไปราวแปดสิบเมตร


ขณะนี้ คล้ายกับพายุทอร์นาโดสูญเสียเสถียรภาพ เริ่มสงบลงอย่างรวดเร็ว


ตึง! ตึง! ตึง! เศษสิ่งของที่เคยถูกยกลอย ทยอยร่วงหล่นกระแทกพื้นดิน หนึ่งในนั้นคือโลงศพมัมมี่ตูตันส์ที่สอง


โครม!


แรงกระแทกทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ เค้าโครงด้านนอกของโลงศพที่อยู่ในสภาพร่อแร่เพราะลมพายุ ถึงคราวถูกทำลายโดยสมบูรณ์


ฝาโลงศพลอยขึ้นฟ้า ทองคำและอัญมณีในโลกศพส่วนบนกระเด็นลอยไปทุกทิศทาง


ถัดมา โลงศพส่วนล่างกลิ้งไปมาสองสามตลบ กล่องทองคำและภาชนะหยกกลิ้งกระจัดกระจาย ด้านในเต็มไปด้วยอวัยวะภายในซึ่งอยู่ในสภาพเหี่ยวเฉา


ศพที่ถูกห่อด้วยผ้าลินินสีน้ำตาลอมเหลือง กลิ้งกระเด็นไปในทิศทางหนึ่ง ผิวผ้าชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม


ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากมัมมี่ที่สร้างจากศพของตูตันส์ที่สอง ลำตัวค่อนข้างบาง สวมหน้ากากทองคำแถบแดงสลับดำเหมือนกับครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบคนเมื่อครู่ บริเวณเบ้าตาฝังอัญมณีสีดำบริสุทธิ์สองเม็ด


ขณะที่มัมมี่โผล่ออกมา สภาพแวดล้อมโดยรอบเย็นเยียบกะทันหัน และในเวลาเดียวกัน หลังจากกลิ้งไปได้สักพัก โลงศพส่วนล่างหยุดนิ่งในสภาพคว่ำหน้า ของเหลวสีแดงเข้มไหลซึม ฉาบพื้นดินในจุดดังกล่าวจนชุ่มฉ่ำ


ได้เห็นฉากดังกล่าว ครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบที่มาพร้อมกับสมบัติปิดผนึกเส้นทางนักจารกรรมพลันเดือดดาลทันที แต่เพียงไม่นานก็ทำหน้าคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ สายตาเปลี่ยนไปเป็นความตื่นเต้น


มันเตรียมหายตัวจากเศษแก้ว ไปโผล่อีกครั้งในดวงตาอัญมณีสีดำบนหน้ากากของมัมมี่ตูตันส์ที่สอง หวังเข้าสิงร่างและพามัมมี่ตนดังกล่าวหนีเข้าโลกวิญญาณ!


ทว่า ท่ามกลาง ‘เนตรวิญญาณมาร’ ที่เปิดอยู่ มันพบว่ามัมมี่หันหน้าออกจากตำแหน่งเดิม


ขณะเดียวกัน มัมมี่ตูตันส์ที่สองซึ่งสวมมงกุฎสีทองเหนือศีรษะ กำลังหันหน้าที่มีดวงตาอัญมณีสีดำไปทางประภาคารแห่งเดียวของท่าเรือพริสต์


ฟาโรห์ซึ่งล่วงลับไปนานกว่าหลายร้อยปีรายนี้ ส่งเสียงคำรามต่ำที่ฟังดูไม่เหมือนมนุษย์ ขาผอมๆ ที่พันด้วยผ้าลินินสีน้ำตาลอมเหลืองเริ่มขยับก้าวเดิน จนกระทั่งกลายเป็นวิ่ง!


คล้ายกับมันกำลังวิ่งตามหาอิสรภาพ โดยที่ลืมไปว่า ตัวมันเป็นเพียงศพ ศพที่ควรจะนอนนิ่งๆ


สวบ! สวบ! สวบ! มัมมี่ตูตันส์ที่สองเร่งความเร็วสูงสุดทันทีที่เริ่มออกวิ่ง


ได้เห็นเช่นนั้น สตรีในชุดราตรีสีดำยกมือขวาขึ้น เล็งไปยังมัมมี่ซึ่งกำลังทำตัวผิดธรรมชาติ


“คนตายทุกคนจะต้องนอนหลับอย่างสงบ!” หญิงสาวพ่นถ้อยคำภาษาเฮอร์มิสโบราณ


ตึง!


มัมมี่ตูตันส์ที่สองย่ำเท้าลงบนพื้น กระโดดสุดแรงไปยังทิศทางหนึ่งจนกระทั่งหลุดพ้นจากขอบเขตของ ‘กฎ’ ฉิวเฉียด หลีกเลี่ยงการนอนหลับพักผ่อนอย่างสงบ


ในจุดห่างออกไป ชายผมดำดวงตาสีทองที่กำลังไล่ล่า ‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซี พลันหรี่ตาลง สั่งให้แหวนบนมือส่องแสงระยิบระยับคล้ายผลึกแก้วอีกครั้ง


ร่างของมันปรากฏตัวอีกครั้งด้านหน้ามัมมี่ พยายามขัดขวางมิให้คนตายวิ่งหนี


ทว่า มัมมี่ตูตันส์ที่สองหักเลี้ยวอีกครั้ง รีบวิ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง


มันยังเปลี่ยนทิศทางการวิ่งอีกหลายครั้ง คล้ายกับพยายามวิ่งไปให้ถึงประภาคารด้วยทิศทางไม่ต่อเนื่อง


ภายในใจ ‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซีกำลังปั่นป่วน รีบหายตัวและโผล่อีกครั้งบนเศษแก้วใกล้กับมัมมี่


โดยใช้เศษแก้วเป็นสะพานเชื่อม มันกระโดดอีกครั้งเข้าไปในดวงตาอัญมณีสีดำบนหน้ากากตูตันส์ที่สอง!


แม้ครึ่งเทพของกองทัพโลเอ็นจะตั้งกฎห้ามสิงสู่ ทว่า มัมมี่ฟาโรห์แห่งอาณาจักรที่ราบสูงมิได้เป็นเพียงวัตถุวิญญาณธรรมดา แต่อัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณมหาศาล!


เมื่อเห็นว่าพวกพ้องประสบความสำเร็จ ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบที่มาพร้อมสมบัติปิดผนึกเส้นทางนักจารกรรม เหยียดฝ่ามือซ้ายที่สวมถุงมือดำ เล็งไปยังสตรีสวมชุดราตรี กำหมัดแน่นพร้อมกับบิดเป็นครึ่งวงกลม


หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอยชั่วขณะ ก่อนจะพบว่าชุดราตรีของตนกำลังรัดแน่น โดยในขณะเดียวกัน ทหารโลเอ็นบนหลังคาโกดังที่อยู่ห่างออกไป พบว่าพวกตนมิอาจควบคุมปากกระบอกปืนได้ดังใจ ต่างพากันเล็งไปยังทิศทางหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงและเหนี่ยวไกทันที


ปัง! ปัง! ปัง!


แม้แต่สัตว์ประหลาดโลหะที่ควบคุมปืนใหญ่ก็ยังส่งกระสุนขนาดมหึมาไปทางหญิงสาว


ครึ่งเทพของกองทัพโลเอ็นมิได้พยายามช่วยเหลือพวกพ้อง แต่หันดวงตาสีทองไปยังมัมมี่ตูตันส์ที่สองซึ่งถูกมาฮามูซีสิงร่างจนหยุดเคลื่อนไหว ก่อนจะกำมือขวาแน่นพร้อมกับตวัดรุนแรง


“ประหาร!”


ความสุขกำลังปรากฏในดวงตา มันไม่สนว่ามัมมี่ตูตันส์จะตายอีกกี่ครั้ง แต่มาฮามูซีที่สิงอยู่ด้านในไม่สามารถทนรับสิ่งนี้ได้แน่!


พร้อมกันนั้น กระสุนไรเฟิลและกระสุนปืนใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้าหาหญิงสาวในชุดราตรี พลันเคลื่อนไหวช้าลงกะทันหัน คล้ายกับตกหลุมอากาศในบริเวณดังกล่าว เป็นการถูก ‘ผลัก’ ด้วยพลังในเชิง ‘กฎ’


เหนือศีรษะหญิงสาวในชุดราตรี มงกุฎหนามส่องสว่างอีกครั้ง ‘ทะเลแสง’ ที่รวบรวมไว้ถูกใช้งานจนเกือบหมดในคราวเดียว


เพียงพริบตา ครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบที่สวมเสื้อคลุมหัว พบว่าระยะทางระหว่างตนและหญิงสาวถูกลบออกไป กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันถูกดึงให้มาอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างฉับพลัน ขณะเดียวกันก็เห็นสตรีคนดังกล่าวกำลังยกหมัดขวา


แสงสว่างอันเจิดจ้ากำลังควบแน่นในกำปั้นขวาข้างดังกล่าว ก่อนจะก่อตัวกลายเป็นหอกเพลิงสีขาวลุกโชน โดยที่บริเวณคมหอกมีปีกสีขาวสองข้างสยายออก ประหนึ่งได้รับการอวยพรจากเทวทูต


ทันใดนั้น รูม่านตาของครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบพลันหดลีบ คล้ายกับกำลังได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งความตายค่อยๆ ย่างกรายเข้าใกล้ มันพยายามใช้ ‘กระโดดกระจก’ เพื่อสร้างระยะห่าง แต่กลับถูกปีกสีขาวสว่างผนึกเส้นทางโดยรอบ


เมื่อความกลัวแผ่ซ่านท่วมท้นจิตใจ มันเริ่มคุมสติไม่อยู่ ค่อยๆ หยุดระงับแก่นแท้ของพลังและตัวตน


เพียงพริบตา เสียงแผดร้องที่กังวานและเกรี้ยวกราดแผ่ออกไปทุกทิศ ดวงตาของหญิงสาวในชุดราตรีพลันเบิกโพลง


หอกสีขาวที่ลุกโชนในมือขวาพลันขาดเสถียรภาพ แตกกระจัดกระจายไปในอากาศ สลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย


และในจุดใกล้กับมัมมี่ตูตันส์ที่สอง ‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซีตัดสินใจเลิกสิงร่าง ปรากฏกายจากความว่างเปล่า ด้านข้างลำตัวมีตุ๊กตาที่ทำจากเศษผ้าตกอยู่


บนหน้าอกตุ๊กตามีรอยแตกที่เกือบทะลุไปถึงข้างหลัง


ทันใดนั้น ตุ๊กตาผ้าเก่าลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่ปราศจากดวงตาของมันค่อยๆ บิดเบี้ยวทีละนิดประหนึ่งมีชีวิต ตามด้วยแผดเสียงหวีดแหลมอันน่าสะพรึง ส่งผลให้ครึ่งเทพของกองทัพโลเอ็นที่มีดวงตาสีทอง คล้ายกับลำคอถูกบีบด้วยมือล่องหน ลำตัวลอยขึ้นไปในอากาศ ขาทั้งสองข้างพยายามดีดดิ้น


ต้องขอบคุณตุ๊กตาตัวนี้ มาฮามูซีจึงรอดพ้นจากการถูก ‘ประหาร’ และครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบอีกคนก็ยังรอดจากการถูกหอกไฟเสียบร่าง


ได้เห็นเช่นนั้น ครึ่งเทพรายหลังรีบกระโดดกระจกเพื่อเข้าใกล้มัมมี่ของตูตันส์ที่สองซึ่งยังคงมุ่งหน้าไปทางประภาคาร เตรียมฉวยโอกาสนี้ร่วมมือกับมาฮามูซี ปิดฉากภารกิจตรงหน้าให้เสร็จสิ้น


แต่ทันใดนั้น หญิงสาวในชุดราตรีทำการลบระยะทางระหว่างเธอและพวกมันทั้งสอง ปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือศีรษะมาฮามูซี มงกุฎหนามบนหัวพลันเปล่งแสงที่เจิดจ้าและบริสุทธิ์


เธอกดมือขวาลงและเปล่งเสียง


“ณ ที่นี่ ศาสตร์เร้นลับจะอ่อนแอลง โลกแห่งความจริงจะเข้มแข็งขึ้น!”


เมื่อสิ้นเสียง ตุ๊กตาเศษผ้าเก่าๆ ที่เปื้อนเลือดพลันหยุดการกระทำทันที ส่งผลให้เสียงร้องหวีดแหลมเลือนหาย ช่วยให้ครึ่งเทพของกองทัพโลเอ็นมีเวลาหายใจหายคออีกครั้ง เป็นอิสระจากฝ่ามือล่องหน


นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป พลังครึ่งเทพของพวกมันจะอ่อนแอลง และการโจมตีจากโลกความจริงจะเข้มแข็งยิ่งขึ้น


กล่าวอีกนัยหนึ่ง บรรดาทหารโลเอ็นที่อยู่ด้านบนโกดังสินค้า รวมถึงรถศึกพลังไอน้ำที่กำลังแล่นมาตามรางเหล็ก จะนำมาชัยชนะมาให้กับกองทัพโลเอ็น!


สำหรับกองทัพโลเอ็น กฎเช่นนี้ส่งผลดีกับพวกมันอย่างสุดขั้ว!


มาฮามูซีและครึ่งเทพอีกคนของโรงเรียนกุหลาบไม่รอช้า คนหนึ่งพยายามสิงร่างมัมมี่ ส่วนอีกคนหยิบตุ๊กตาผ้าเปื้อนเลือด หมายหลบหนีก่อนที่พลังของพวกตนจะถดถอย


แน่นอน หญิงสาวในชุดราตรีและครึ่งเทพตาสีทองไม่มีทางปล่อยให้ศัตรูทำตามอำเภอใจ เตรียมเข้าไปขัดขวางอย่างเต็มกำลัง แต่ทันใดนั้น กลุ่มก้อนแสงพลันพุ่งขึ้นท้องฟ้าในทิศทางหนึ่ง เกิดระเบิดกลายเป็นดอกไม้ไฟหลากสีสัน


ถัดมา สัมผัสวิญญาณของครึ่งเทพทั้งสองถูกกระตุ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างหันมายังฝั่งตรงข้ามโดยมิได้นัดหมาย


ถุงมือสีใสโผล่ออกจากความว่างเปล่าใกล้กับจุดที่โลงศพทองคำของมัมมี่ตูตันส์วางคว่ำอยู่ มือปริศนาข้างดังกล่าวคว้าโคลนจำนวนมากที่เปียกชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม


ของเหลวเหล่านี้เกิดจากการผสมระหว่างสมองบดและของเหลวในร่างกษัตริย์ตูตันส์ที่สอง เป็นวัตถุดิบสำหรับพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อสร้างมัมมี่ โดยที่อย่างหลังมีส่วนผสมของเลือดผู้ตาย!


มาฮามูซีและครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบที่ครอบครองสมบัติปิดผนึกเส้นทางนักจารกรรม ต่างก็หันไปมองทิศทางดังกล่าวในเวลาถัดมา พบชายคนหนึ่งในชุดสูทสุภาพ สวมหมวกทรงสูง


อีกฝ่ายกำลังโน้มตัวหยิบโคลนที่เปียกชุ่มของเหลวสีแดงเข้ม


ระหว่างนั้น มือขวาของชายหนุ่มกดลงบนหน้าอกซ้ายตลอดเวลา คล้ายกับกำลังแสดงความเคารพต่อครึ่งเทพทั้งสี่อย่างนอบน้อมปนยียวน จนกระทั่งชายคนดังกล่าวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นในท่าเดิม เผยให้เห็นหน้ากากสีเงิน จากนั้นก็หายตัวไปจากตำแหน่ง เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า


ราชันเร้นลับ 882 : แก่นของเล่ห์เหลี่ยม

มือข้างหนึ่งถือกล่องโลหะ หลังจากลอยทะลุกำแพงโกดัง ชารอนทำตามคำสั่งของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้อย่างเคร่งครัด อาศัยร่างวิญญาณอาฆาตบินไปทางประภาคาร – ตึกที่สูงที่สุดในท่าเรือพริสต์


ถัดมา หญิงสาวนับเลขในใจ


สามวินาที… สองวินาที… หนึ่งวินาที…


ขณะสมาธิกำลังจดจ่อ เสียงระเบิดกึกก้องดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทชารอน – ท่าเรือที่อยู่ห่างออกไป คล้ายกับมีพายุทอร์นาโดเกรี้ยวกราดก่อตัว


ด้วยมือซ้ายข้างที่ถือกล่องบุหรี่โลหะ เล็บของหญิงสาวงอกยาวและทิ่มเข้าไปในกำแพงวิญญาณ ม่านพลังที่มองไม่เห็นถูกทำลายโดยสมบูรณ์จากการโจมตีซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณของวิญญาณอาฆาต


ลมกระโชกพลันพัดกระจายไปรอบทิศ ชารอนสัมผัสได้ว่า ร่างวิญญาณของเธอคมชัดและมีพลังมากขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ แน่นอน สิ่งนี้เป็นผลมาจากวัตถุที่อยู่ภายในกล่องบุหรี่โลหะ


ความอยากรู้อยากเห็นมิได้ทำให้เธอเสียจังหวะ ดูเหมือนจะเคยชินกับการระงับอารมณ์ในทำนองนี้มานับไม่ถ้วน จึงทำเพียงพุ่งตัวไปทางประภาคารด้วยความเร็วสูง


ตลอดทาง เธอทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด มีการหักเหวิถีการบินอย่างต่อเนื่อง บ้างเบี่ยงตัวไปทางซ้าย บ้างเหาะขึ้นไปทางขวา นอกจากนั้นยังมีการใช้พลังกระโดดกระจกเพื่อเปลี่ยนทิศทางโดยสมบูรณ์ ขยับเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นทีละนิด


พฤติกรรมดังกล่าวทำให้เธอดูคล้ายกับกำลังหลบหนีจากศัตรูที่มองไม่เห็น แต่ชารอนทราบดี ไม่มีสิ่งใดตามเธอมา และไม่มีใครกำลังโจมตีมาจากระยะไกล


หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับเธอกำลังเล่นละครคนเดียวโดยไม่มีนักแสดงประกอบฉากคนอื่น


อย่างไรก็ตาม ชารอนไม่มัวตั้งคำถามหรือเสียเวลาสำรวจสภาพแวดล้อม ทำตัวราวกับว่ารอบๆ มี ‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซีและครึ่งเทพของกองทัพโลเอ็นซ่อนตัวอยู่ พยายามบินส่ายไปมาเพื่อหลบหลีกการโจมตี


บินไปได้สักพัก ดวงตาสีฟ้าของชารอนที่คอยสอดส่องเหตุการณ์รอบตัว เริ่มสะท้อนแสงสีแดง


แสงลึกลับลอยขึ้นสูง ก่อนจะระเบิดออกกลายเป็นพลุสีแดง ส้ม และเหลืองที่งดงาม


ชารอนถอนสายตากลับทันที พลางใช้เล็บยาวๆ ของวิญญาณอาฆาตสร้างกำแพงวิญญาณขึ้นมาห่อหุ้มกล่องบุหรี่โลหะอีกครั้ง จากนั้นก็รีบหนีไปยังทิศทางของมาริค


เศษกระจกถูกโปรยเป็นทางยาวเตรียมไว้ล่วงหน้า ร่างของชารอนที่สวมเดรสสีดำและหมวกอ่อนสีเดียวกัน กะพริบวิบวับตลอดทางจนกระทั่งปรากฏบนกระจกตาของมาริค


ในวินาทีที่หญิงสาวย่างกรายออกมา กล่องบุหรี่โลหะถูกผนึกกลับไปอย่างสมบูรณ์


มาริคและชารอนไม่มัวคุยกัน ไม่แม้แต่จะมองหน้า รีบเผ่นหนีด้วยความเร็วสูงสุดประหนึ่งกำลังถูกสัตว์ประหลาดดุร้ายไล่ตาม


ว่ากันตามตรง ทั้งสองเข้าใจแก่นแท้ของแผนการในคืนนี้เป็นอย่างดี เพราะนักสืบเชอร์ล็อกเคยแสดงให้เห็นแล้วว่า นกหวีดทองแดงสามารถทำให้ซอมบี้และภูตผีเกิดความปั่นป่วน เมื่อผนวกเข้ากับพลังกระโดดกระจกของชารอนที่ทั้งคู่ต่างคุ้นเคย ภาพของแผนการเบื้องต้นจึงอยู่ในขอบเขตที่จินตนาการได้ ทว่า สิ่งที่พวกมันไม่เข้าใจก็คือ นักสืบผู้เต็มไปด้วยความลับรายนี้จะขโมยมัมมี่ตูตันส์ที่สองต่อหน้าการเฝ้าระวังของครึ่งเทพได้อย่างไร? ใช่ว่าศัตรูจะยอมปล่อยให้มัมมี่วิ่งไปมาอย่างอิสระสักหน่อย


ทันใดนั้น พวกมันเห็นร่างหนึ่งค่อยๆ คมชัดขึ้นตรงหน้า


ชายคนนี้สวมชุดสูทสีดำสุภาพและหมวกทรงกึ่งสูง ใบหน้าถูกบดบังด้วยหน้ากากเงิน มือข้างหนึ่งกำลังถือดินสีแดงเข้มและหนังสือโบราณปกสีน้ำตาลแก่ ไม่ใช่ใครนอกจากนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้


มาริคลดความเร็วลง สายตาจ้องมองอีกฝ่ายละเลงดินลงบนปกหนังสือและเก็บกลับเข้าไปในเสื้อ ก่อนจะยื่นแขนออกมาจับไหล่มันและชารอน แต่เมื่อมาริคมองไปรอบๆ กลับไม่พบมัมมี่ตูตันส์ที่สอง


สุดท้ายก็ล้มเหลว? มันถอนหายใจอย่างรับสภาพ ยืนมองร่างกายของตน ชารอน และเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ค่อยๆ จางลง ก่อนจะเลือนหายไปในที่สุด



ณ จุดที่เหล่าครึ่งเทพกำลังตะลุมบอน เมื่อเห็นชายสวมหน้ากากสีเงินหายตัวไปพร้อมกับทำท่าโค้งคำนับ ครึ่งเทพของกองทัพโลเอ็นที่มีดวงตาสีทองพลันเกิดลางสังหรณ์ประหลาด สัมผัสได้ว่าเรื่องราวกำลังดำเนินไปในทิศทางที่เลวร้าย


ต้องหยุดให้ได้! ไม่ว่ายังไงก็ต้องหยุดชายคนนั้นให้ได้! เมื่อผุดความคิดดังกล่าว ครึ่งเทพเจ้าของดวงตาสีทองทำการกระตุ้นแหวนในมือทันที เตรียมใช้ ‘ท่องเที่ยว’ ไล่ล่า ‘ท่องเที่ยว’


แต่หลังจากผ่านไปสัก มันพบว่าตนไม่สามารถตรวจจับออร่าของชายลึกลับได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หากอีกฝ่ายไม่มีการแทรกแซงระดับครึ่งเทพคอยคุ้มครอง ก็คง ‘ท่องเที่ยว’ ออกไปในสถานที่ห่างไกลแล้ว หมดสิทธิ์ไล่ตามโดยสิ้นเชิง


และยิ่งไปกว่านั้น หากมันไปจากที่นี่ นั่นจะเท่ากับเป็นการปล่อยให้สตรีในชุดราตรีต้องเชิญหน้ากับ ‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซีและอีกหนึ่งครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบตามลำพัง ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะอำนาจของพลังพิเศษในพื้นที่ ยังไม่ลดทอนจนถึงจุดที่สามารถเอาชนะได้ด้วยกระสุนปืนเพียงอย่างเดียว


นอกจากนั้น ฝ่ายเรายังไม่ได้สูญเสียอะไร มัมมี่ยังอยู่ ชายคนนั้นเอาไปได้แค่ดินที่อัดแน่นพลังวิญญาณ… ครึ่งเทพดวงตาสีทองจ้องไปทางมัมมี่ตูตันส์ที่สองซึ่งกำลัง ‘เหม่อ’ จากนั้นก็หันกลับไปมองมาฮามูซี


แต่ทันใดนั้น มัมมี่ที่ถูกพันด้วยผ้าลินินสีน้ำตาลอมเหลืองและชุ่มด้วยของเหลวสีแดงเข้ม พลันอันตรธานหายไปจากสัมผัสวิญญาณของครึ่งเทพทุกคน!


มัมมี่หายไปอย่างเป็นปริศนาโดยไม่มีลางบอกเหตุ!


ชั่วพริบตาหนึ่ง ‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซีและครึ่งเทพที่เหลือต่างรู้สึกประหนึ่งพวกมันได้รับชมมายากลที่ยอดเยี่ยม แต่ช่างน่าเศร้า แม้ที่นี่จะมีครึ่งเทพอยู่ถึงสี่คน แต่กลับไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใด


หลังจากนั้น เมื่อตระหนักว่าพวกตนสูญเสียเป้าหมาย มาฮามูซีและครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบอีกคนไม่มัวรีรอ รีบเปลี่ยนร่างกายให้โปร่งใส พยายามหลบหนีเข้าสู่โลกวิญญาณ


ครึ่งเทพดวงตาสีทองและหญิงสาวในชุดราตรีต่างพยายามยับยั้งอย่างสุดความสามารถ



หลังจาก ‘ท่องเที่ยว’ สองครั้งติดต่อกัน ไคลน์พาชารอนและมาริคกลับไปยังห้องที่ทั้งสองเช่าไว้ในเขตตะวันออกของเบ็คลันด์


“ดิฉันจะจ่ายค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้” เมื่อเท้าสัมผัสพื้น ชารอนกล่าวพลางยื่นกล่องบุหรี่โลหะคืนให้เชอร์ล็อก


ตามข้อตกลงเดิม ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลว ชารอนจะต้องมอบข้อมูลเกี่ยวกับ ‘หัวขโมยโลกวิญญาณ’ ให้เชอร์ล็อก แต่ถ้าประสบความสำเร็จ เธอจะต้องจ่ายเพิ่มอีกสามพันห้าร้อยทองปอนด์โลเอ็น หรือไม่ก็ห้าพันเหรียญทอง


ไคลน์รับกล่องบุหรี่โลหะที่มีร่องรอยผุกร่อนเล็กน้อย เมื่อถูกวางลงบนฝ่ามือ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงนกหวีดทองแดงอะซิกด้านใน


ชายหนุ่มรีบเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ยิ้มให้ชารอนและมาริค


“พวกคุณทั้งสองช่วยออกไปรอข้างนอกสักห้านาทีได้ไหม?”


น้ำเสียงมั่นใจมาก ราวกับทำภารกิจสำเร็จ… แค่ห้านาทีจะทำอะไรได้? เขาไม่คงไม่เทเลพอร์ตกลับไปยังท่าเรือและนำมัมมี่ตูตันส์ที่สองมาที่นี่ใช่ไหม? นั่นจะยิ่งอันตรายกว่าเดิม… ในหัวมาริคเต็มไปด้วยคำถาม ส่วนชารอนทำเพียงลอยทะลุผนังออกไปเงียบๆ


ท้ายที่สุด มาริคสลัดความฟุ้งซ่านและเดินออกไป ปิดประตูห้องตามหลัง


ไคลน์มองแผ่นหลังคนทั้งสองด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ใช้พลัง ‘ท่องเที่ยว’ ไปยังโรงเรียนราคาถูกอีกแห่งหนึ่งในเขตตะวันออก – มันเช่าที่นี่เตรียมไว้ในช่วงบ่ายด้วยรูปลักษณ์และตัวตนปลอม


ถัดมา ชายหนุ่มหยิบหนังสือปกน้ำตาลเข้มที่เปื้อนคราบโคลนสีแดงออกจากเสื้อ


การเดินทางของกรอซาย


ตราบใดที่เลือดแฝงพลังวิญญาณยังไม่เหือดแห้ง หากนำเลือดดังกล่าวมาป้ายลงบนปก เจ้าของเลือดจะถูกดึงเข้าสู่โลกของหนังสือ!


และของเหลวในโลงศพมัมมี่ตูตันส์ที่สองก็มีเลือดแบบนั้นอยู่!


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ณ เวลานี้ มัมมี่อยู่ในมือของไคลน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถูกเก็บอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ !


หลังจากฟังคำอธิบายของมาริคเกี่ยวกับวิธีสร้างมัมมี่ ไคลน์ผุดแผนการในหัวทันที นั่นคือการใช้นกหวีดทองแดงอะซิกสร้างแรงดึงดูดต่อคนตายประหนึ่ง ‘ด้ายวิญญาณ’ ชักนำให้ ‘หุ่นเชิด’ ตูตันส์ที่สองตรงไปทางประภาคาร หลอกล่อให้บรรดาครึ่งเทพออกห่างจากโลงศพ ตนจะได้ฉวยโอกาสใช้พลัง ‘ท่องเที่ยว’ เข้าไปหยิบของเหลวติดมือกลับมาสร้างเงื่อนไข


ไคลน์ไม่เคยคิดจะขโมยมัมมี่ตรงๆ หรือหลอกล่อให้มัมมี่หนีออกจากท่าเรืออย่างราบรื่น แผนการในทำนองนั้นยากจะประสบความสำเร็จในเชิงปฏิบัติ เพราะศัตรูเป็นถึงผู้วิเศษระดับครึ่งเทพ ต่อให้ตน ชารอน และมาริคร่วมมือกัน โอกาสสำเร็จก็ยังริบหรี่มาก หรือต่อให้เสียเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจ้างมิสผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ โอกาสสำเร็จก็ยังไม่มากอยู่ดี


ดังนั้น ถึงการล่อลวงจากนกหวีดทองแดงอะซิกและมัมมี่จะดูเหมือนกับเป็นแผนหลัก แต่ในความเป็นจริง การกระทำดังกล่าวมีจุดประสงค์เพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของ ‘นักแสดง’ คนอื่นๆ ในฉาก ทำให้พวกมันมองข้ามประเด็นสำคัญและออกห่างจากโลงศพทองคำ


นี่คือแผนการที่ครึ่งเทพของกองทัพโลเอ็นยากจะรับมือ เพราะสิ่งที่พวกมันต้องปกป้องคือมัมมี่ มิใช่โลงศพสีทอง และสมาธิต้องจดจ่ออยู่กับครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบ มิใช่สามบุคคลปริศนาด้านนอกซึ่งยังไม่ทราบเจตนาแน่ชัด


แผนการของไคลน์มิได้เข้มงวดหรือซับซ้อน เรียกได้ว่าเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพสูง ต่อให้เผชิญเหตุไม่คาดฝันเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ ขอเพียงพายุทอร์นาโดทำให้โลงศพยุ่งเหยิง ขอเพียงชารอนทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด รักษาวิถีการบินที่ไม่สม่ำเสมอ ขอเพียงครึ่งเทพของกองทัพไม่เอาชนะครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบได้เร็วเกินไปนัก หากบรรลุเงื่อนไขเหล่านี้ สิ่งที่ต้องทำมีเพียงรอคอยโอกาสอย่างใจเย็น รอให้ครึ่งเทพของกองทัพโลเอ็นออกห่างจากโลงศพ รอให้วิญญาณมารที่เคยสิงมัมมี่ออกห่างจากโลงศพ นั่นคือช่วงเวลาที่จะฉวยโอกาสเทเลพอร์ตเข้าไปขโมยของเหลวและรีบหนี


มันไม่สนใจผลการต่อสู้ระหว่างครึ่งเทพ ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบมิใช่สาระสำคัญ ไม่สนใจว่ามัมมี่ตูตันส์ที่สองจะต้องวิ่งไปไกลกี่เมตรจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ ตราบเท่าที่มัมมี่สามารถวิ่งได้และวิ่งไม่เป็นเส้นตรง เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


และในตอนสุดท้าย การโค้งศีรษะ ‘ปิดม่านการแสดง’ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการ หนึ่งก็เพื่อให้ตนหยิบดินบนพื้นได้ง่ายขึ้น อีกหนึ่งก็เพื่อให้มืออีกข้างอยู่ใกล้กับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้หยิบออกมาป้องกันตัวได้ทัน


หลังจากนั้น ขอเพียงไคลน์ ‘ท่องเที่ยว’ หลบหนีออกมาสำเร็จและป้ายดินลงบนปก แผนการก็จะลุล่วงโดยสมบูรณ์


แผนการดำเนินตรงตามที่เราคาดหวัง และการ ‘กำกับ’ ละครหุ่นเชิดก็ประสบความสำเร็จด้วยดี… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ พบว่าโอสถของตนมีพัฒนาการอย่างมาก


ชายหนุ่มไม่มัวรีรอ รีบประกอบพิธีกรรมสังเวย ‘การเดินทางของกรอซาย’ เข้าไปในมิติหมอก จากนั้น ด้วยร่างวิญญาณ ไคลน์เข้าไปในหนังสือพร้อมกับยุบพองหิวโหย นกหวีดทองแดงอะซิก ตะกอนพลัง ‘นักปลอบวิญญาณ’ และมุกสีทองสำหรับป้องกันคำสาปที่ชารอนมอบให้


ราชันเร้นลับ 883 : การประเมินของครึ่งเทพ

ภายในโลกหนังสือ ไคลน์ที่ปรากฏตัวในจุดห่างไกลกับเมือง นำดินสีแดงเข้มที่เหลือออกมาถือ หยิบกิ่งไม้แห้งที่ตายแล้ว นำมาใช้แทนแท่งวิญญาณสำหรับทำนายหามัมมี่ตูตันส์ที่สอง


ชายหนุ่มกังวลว่ามัมมี่ต้องสาปจะสร้างอันตรายต่อผู้คนในโลกหนังสือ – แม้หนังสือเล่มนี้จะเต็มไปด้วยผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง และมัมมี่ตูตันส์ที่สองก็มิได้ถูกกระตุ้นให้กระฉับกระเฉงด้วยนกหวีด แต่อย่างน้อย มันเคยเป็นถึงครึ่งเทพในตอนที่ยังมีชีวิต คำสาปที่เกิดขึ้นหลังความตายย่อมไม่ธรรมดา หากไม่ใช่เพราะชารอนมอบมุกสีทองที่ช่วยป้องกันคำสาป ถึงจะเป็นไคลน์ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ส่งเดช


แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์ก็ยังกล้าใช้ ‘การเดินทางของกรอซาย’ เพื่อขโมยมัมมี่ เพราะประสบการณ์ส่วนตัวและประสบการณ์ของคนรอบข้างต่างยืนยันตรงกันว่า บุคคลที่ถูกส่งเข้ามาในโลกหนังสือ จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าชาวเมืองโดยตรงทันที ต้องใช้เวลาสำรวจสักพักก่อน โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก!


ดังนั้น ไคลน์เชื่อว่ามัมมี่ตูตันส์ที่สองน่าจะถูกนำมาปล่อยในสถานที่ปลอดคน และด้วยสภาพปัจจุบันของ ‘ซอมบี้’ ตัวนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำเพียงเดินเร่ร่อนไปมาอย่างไร้จุดหมาย มิได้ออกสำรวจหาเมืองเหมือนกับมนุษย์ เอลฟ์ และคนยักษ์


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบเท่าที่ไม่ปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป ก็ไม่น่าจะมีความสูญเสียเกิดขึ้นกับชาวเมือง และนับจากตอนที่ไคลน์ป้ายดินลงบนปกหนังสือ ปัจจุบันเพิ่งผ่านมาเพียงสองถึงสามนาที


หลังจากมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แท่งวิญญาณบอก ไคลน์มาถึงภูเขาใกล้เคียงและมองเห็นหุบเขา


จากนั้นก็มองเห็นมัมมี่ที่พันด้วยผ้าลินินสีน้ำตาลอมเหลือง ร่างกายชุ่มของเหลวสีแดงเข้ม บนใบหน้ายังคงสวมหน้ากากสีทอง


มันส่งเสียงคำรามต่ำที่ฟังดูไม่เหมือนมนุษย์ สองเท้าย่ำเข้าหาไคลน์ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัว


ในขณะเดียวกัน ซากสัตว์สภาพขาดวิ่งบนพื้นดิน เริ่มตะเกียกตะกายวิ่งมาทางไคลน์อย่างยากลำบาก


ไคลน์ที่ร่างวิญญาณถูกเสริมพลังด้วยนกหวีดทองแดงอะซิก หัวเราะหึหึในลำคอ


“มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีเลยนะ…”


ชายหนุ่มโยนกิ่งไม้แห้งทิ้งไป หยิบวัตถุสีดำเข้มขึ้นมาแทน


นี่คือตะกอนพลังของ ‘นักปลอบวิญญาณ’ ที่ถูกปลดปล่อยออกจากยุบพองหิวโหยรุ่นกลายพันธุ์ กึ่งกลางตะกอนมีจุดแสงบริสุทธิ์ ดูคล้ายกับค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว


คลื่นล่องหนแผ่ออกจากวัตถุสีดำอย่างแผ่วเบา ส่งผลให้บรรยากาศรอบๆ มืดลงเล็กน้อย ดูคล้ายกับช่วงเวลาค่ำคืน


บรรยากาศสุขสงบและร่มเย็นมาพร้อมกับแสงดาวสีจางๆ ส่งผลให้ซากสัตว์ขาดวิ่นที่พยายามลุกขึ้น ล้มลงกลับไปนอนพักผ่อนอย่างเป็นนิรันดร์


มัมมี่ตูตันส์ที่สองเองก็ลดความเร็วลง ย่างก้าวเชื่องช้าลงทีละนิด แต่ยังไม่ถึงกับเสียหลักล้ม


อย่างที่คิด การใช้งานตะกอนพลังตรงๆ จะทำให้ประสิทธิภาพของพลังต่ำลง แถมยังมีผลข้างเคียงรุนแรง… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะยกมือซ้ายขึ้น ปิดปากหาว


หาวเสร็จ ชายหนุ่มกระตุ้นให้ยุบพองหิวโหยเปลี่ยนเป็นสีเขียว ใช้พลังของ ‘ซอมบี้’ เพื่อควบคุมซอมบี้ตรงหน้าโดยตรง


การซ้อนทับกันของพลังสองชนิดช่วยให้มัมมี่ตูตันส์ที่สองสงบลงในที่สุด


ในสภาพสวมหน้ากากที่ช่องดวงตาทำจากอัญมณีสีดำ มัมมี่ค่อยๆ เดินมาหยุดยืนหน้าไคลน์ ประหนึ่งคนรับใช้มืออาชีพ


น่าเสียดาย เจ้านี่เป็นมัมมี่ต้องสาป… ไคลน์หยิบไข่มุกสีทองที่มีกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของอาณาจักรที่ราบสูงโบราณออกจากร่างวิญญาณ บนผิวไข่มุกสลักลวดลายสีเขียวอมฟ้า


ไข่มุกเม็ดนี้เป็นของชารอน ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับมัมมี่ตูตันส์ที่สองโดยเฉพาะ สามารถระงับคำสาปได้ชะงักงัน ไม่อย่างนั้น ลำพังวิญญาณอาฆาตจะกล้าหมายตามัมมี่ของฟาโรห์เชียวหรือ?


ตรวจสอบไข่มุกสีทองสักพัก ไคลน์บังคับให้มัมมี่ตูตันส์ที่สองอ้าปาก จากนั้นก็ยัดไข่มุกเข้าไปในช่องว่างบริเวณปากของหน้ากาก


เพียงสองถึงสามวินาที บรรยากาศสลัวโดยรอบสลายไปทันที


จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อสิงร่างมัมมี่ จากนั้นก็ตัดการเชื่อมต่อทันที ส่งตัวเองกลับสู่มิติหมอกเทา


มัมมี่ตัวนี้กลายเป็น ‘ซอมบี้’ ส่วนตัวของไคลน์จากพลังถุงมือ ลักษณะคล้ายกับ ‘หุ่นเชิด’ เซนอล จึงสามารถนำออกจากหนังสือได้ทันทีโดยไม่ต้องยัดใส่ร่างกาย


หลังจากเสร็จสิ้นพิธีรับมอบ มัมมี่ตูตันส์ที่สองซึ่งอัดแน่นด้วยพลังวิญญาณ ถูกส่งกลับสู่โลกความจริง ปรากฏตัวภายในห้องพักราคาถูกของเขตตะวันออก


เก็บกวาดเสร็จ ไคลน์เตรียมยื่นมือขวาออกไปจับไหล่มัมมี่เพื่อใช้พลัง ‘ท่องเที่ยว’ พาไปยังห้องพักที่ชารอนและมาริคเช่าไว้


แต่หลังจากเห็นผ้าลินินสีน้ำตาลอมเหลืองที่มันเยิ้ม เห็นหัวไหล่มัมมี่ที่ชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม ไคลน์ชักมือขวากลับและเปลี่ยนไปจับด้วยมือซ้ายที่สวมถุงมือแทน


หลังจากจับไหล่มัมมี่ด้วยมือซ้าย บริเวณดังกล่าวพลันโปร่งใส ก่อนจะกระจายออกไปทั่วทั้งร่าง


เพียงพริบตา ไคลน์กลับมาถึงห้องนอนก่อนหน้าพร้อมกับมัมมี่


ชายหนุ่มไม่รีบร้อนเปิดประตูเพื่อนำเสนอผลงานให้ชารอนและมาริคเชยชม แต่หยิบนาฬิกาพกสีทองออกมากดปุ่มเปิด


ยังเหลืออีกสามสิบหกวินาที ก่อนจะครบห้านาที… ไคลน์สั่งให้มัมมี่ตูตันส์ที่สองลากเก้าอี้มาวางให้ จากนั้นก็นั่งลง


ผ่านไปสักพัก ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเคาะประตู


“เข้ามา” ไคลน์ตอบด้วยรอยยิ้ม จัดระเบียบร่างกายมัมมี่ให้อยู่ในท่าทักทาย


เมื่อประตูไม้เปิดออกดังแอ๊ด กระจกตาชารอนและมาริคพลันสะท้อนภาพหน้ากากลึกลับสีทอง ร่างพันผ้าสีน้ำตาลอ่อน


ด้วยอัญมณีสีดำหม่นบริเวณดวงตา มัมมี่ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนบนพื้น


“…” ในพริบตาดังกล่าว ชารอนและมาริคหมดคำพูดเป็นเวลานาน


หลังจากยืนยันว่านกหวีดทองแดงอะซิกถูกผนึกด้วยกำแพงวิญญาณและไม่สร้างอิทธิพลใด ไคลน์ปลดปล่อยการควบคุมมัมมี่ให้เป็นอิสระ ชี้นิ้วไปทางมัมมี่ที่นอนบนพื้นและกล่าว


“ที่เหลือจัดการกันเอง”


ในที่สุด ละครที่เรากำกับก็ดำเนินมาถึงบทสรุปอย่างราบรื่น… ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน สัมผัสได้ว่าโอสถนักเชิดหุ่นถูกย่อยด้วยความเร็วที่ก้าวกระโดด


สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเชื่อว่า ไม่ต้องรอถึงสิ้นปี อาจสามเดือน หรือเพียงแค่สองเดือน ตนก็จะย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์และเตรียมพร้อมสำหรับการเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพ


นอกจากนั้น ผลของการย่อยข้างต้นยังช่วยให้จำนวนหุ่นเชิดที่สามารถครอบครองเพิ่มเป็นสองตัว ระยะทางในการควบคุมไกลถึงสองร้อยเมตร และเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีระดับพลังวิญญาณใกล้เคียงกัน การควบคุมด้ายวิญญาณขั้นต้นจะใช้เวลาเพียงสิบวินาที และการควบคุมให้กลายเป็นหุ่นเชิด จะใช้เวลาเพียงสองนาทีครึ่ง ระยะการบุกรุกด้วยด้ายวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็นสิบเมตร


“คุณทำสำเร็จ… จริงๆ” มาริคจ้องไปยังมัมมี่ตูตันส์ที่สอง ปากขยับพึมพำอย่างมิอาจควบคุม


มันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าภารกิจนี้จะจบลงที่ความสำเร็จ!


ต่อหน้าครึ่งเทพสี่ตนและสมบัติปิดผนึกสองชิ้น เชอร์ล็อก·โมเรียตี้สามารถขโมยมัมมี่ที่ทุกคนต่างแย่งชิงออกมาได้!


นอกจากนั้น จนถึงเมื่อครู่ สุภาพบุรุษรายนี้ยังมือเปล่าอยู่เลย!


หรือว่ามัมมี่จะนำพาตัวเองมาส่งถึงมือเขา?


ชารอนเจ้าของดวงตาสีฟ้า แววตาลุ่มลึกและสงบนิ่ง กำลังสนใจเพียง ‘เป้าหมาย’ ของภารกิจนี้


เมื่อยืนยันว่าเป็นมัมมี่ของฟาโรห์ตูตันส์ที่สอง สายตาของเธอหันไปทางเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ที่กำลังนั่งไขว่ห้าง


ริมฝีปากหญิงสาวอ้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปิด และอ้าใหม่


“ขอบคุณมาก… ดิฉันจะส่งค่าจ้างตามหลังทางไปรษณีย์”


“ขอให้… เอ่อ… ทุกสิ่งที่พวกคุณต้องการ ผ่านไปอย่างราบรื่น” ไคลน์ตอบจากก้นบึ้ง


จากนั้น ชายหนุ่มรำพันเงียบ


หากชารอนสามารถเลื่อนเป็นลำดับ 4 สำเร็จ นั่นหมายความว่าเราจะมีผู้ช่วยระดับครึ่งเทพเพิ่มอีกหนึ่งคน! จักรวรรดิแห่งอาหารมีสำนวนที่กล่าวไว้ว่า: อยู่บ้านให้พึ่งพาพ่อแม่ ออกจากบ้านให้พึ่งพาเพื่อนฝูง! และแน่นอน ยิ่งมีเพื่อนระดับครึ่งเทพมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น! ชุมนุมทาโรต์เองก็มีไว้เพื่อเพิ่มจำนวนพวกพ้องและลดจำนวนศัตรู… แต่ดูเหมือนว่าศัตรูจะมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ …


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ตักเตือนพวกเขาอีกครั้ง


“ระวังการถูกตามล่า”


ข้าวของเครื่องใช้ของมัมมี่ตูตันส์ที่สองตกอยู่ในมือกองทัพโลเอ็นไม่น้อย การระบุตำแหน่งด้วยพลังพิเศษไม่ใช่เรื่องยาก และเทวทูตกระดาษของไคลน์ที่มีอำนาจในการแทรกแซง ก็มิอาจคงอยู่ได้ตลอดไป


แน่นอน ชายหนุ่มเชื่อว่าชารอนและมาริคคงมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดแผนขโมยมัมมี่ตูตันส์ที่สอง และในทำนองเดียวกัน อีกฝ่ายก็คงมีวิธีจัดการกับร่องรอยของหน้ากากสีเงินและพลุดอกไม้ไฟ


แต่ถ้าเป็นเดนิสคงจะพูดว่า… ฉันคิดไม่ถึงมาก่อน… ไคลน์นำไปเปรียบกับนักล่าไม่เอาถ่านบางคน


ชารอนพยักหน้ารับ เป็นนัยว่ารับทราบและจะให้ความสำคัญ จากนั้นก็เปลี่ยนมัมมี่ตูตันส์ที่ทองให้กลายเป็นซอมบี้ของเธอ ส่งมันเข้าไปเก็บในโลกวิญญาณ


“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” มาริคถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน กล่าวขอบคุณเชอร์ล็อก·โมเรียตี้จากก้นบึ้ง


จากนั้น มาริคเดินออกจากห้อง แปลงโฉมและปะปนเข้าไปกับฝูงชนในเขตตะวันออก


ระหว่างนี้ ไคลน์ในชุดสูทสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง นั่งนิ่งบนเก้าอี้ เฝ้ามองคนทั้งสองจากไปอย่างเงียบๆ


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ร่างของมันเลือนหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า



ภายในห้องใกล้กับท่าเรือพริสต์


ครึ่งเทพดวงตาสีทองของกองทัพโลเอ็น ผลักประตูเข้ามาและกล่าวกับพวกพ้อง – หญิงสาวในชุดราตรีสีดำ


“ไม่พบอะไรเลย”


“นั่นเป็นเรื่องปรกติ เพราะถ้าเขาไม่มั่นใจ คงไม่กล้าลงมือขโมยมัมมี่ตูตันส์ที่สอง…” หญิงสาวในชุดราตรีสีดำกล่าว “แต่ทางเราสามารถสืบสวนขยายผลได้จากหน้ากากสีเงิน ดอกไม้ไฟ เสื้อผ้าของพวกเขา หรือท่วงท่าการโค้งคำนับนั่น น่าจะพอมีบางสิ่งที่สามารถเชื่องโยงกันได้”


เธอมั่นใจว่ากลุ่มที่ขโมยมัมมี่ไม่เกี่ยวข้องกับครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบ เพราะถ้าเป็นแผนของพวกมันตั้งแต่แรกจริง ก็ไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องเอาตัวเข้ามาเสี่ยงอันตรายจนเกือบหลบหนีล้มเหลว


ชายเจ้าของดวงตาสีทองหน้าพยักเล็กน้อย


“ผมมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น่าเสียดายที่เราไม่ได้ร่วมมือกับทางโบสถ์ กำลังคนจึงค่อนข้างขาดแคลน”


มันเว้นวรรค ก่อนจะถาม


“คุณคิดออกหรือยังว่าชายคนนั้นใช้วิธีอะไร?”


หญิงสาวในชุดราตรีสีดำหยิบมงกุฎหนามขึ้น ใช้หนามแหลมแทงเข้าไปในลำคอตัวเอง จากนั้นก็ส่ายหน้าขณะเลือดไหลซึม


“บางที ดินที่เปื้อนของเหลวของมัมมี่ตูตันส์ที่สอง อาจเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมบางอย่าง… เขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาก เชี่ยวชาญในการตบตาผู้คน!”


ราชันเร้นลับ 884 : การเผชิญหน้าที่มิอาจเลี่ยง

ครึ่งเทพดวงตาสีทองของกองทัพโลเอ็นพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย


“นั่นสินะ มีส่วนเหมือนกับสไตล์ของใครบางคนในหน่วยข่าวกรองอินทิส… แต่น่าแปลก มัมมี่ตูตันส์ที่สองหายไปหลังจากชายคนนั้นหยิบโคลนไปแค่ไม่กี่วินาที เร็วเกินไปสำหรับการประกอบพิธีกรรม”


สตรีในชุดราตรีก้มมองมงกุฎหนามที่คอ ตอบอย่างเชื่องช้า


“บางที เขาหรือพวกเขา อาจประกอบพิธีกรรมเตรียมรอไว้แล้ว เพียงเทเลพอร์ตกลับไปและโยนโคลนใส่แท่นบูชา ขั้นตอนทั้งหมดก็เป็นอันเสร็จสิ้น… แน่นอน ไม่จำเป็นต้องประกอบพิธีกรรมเสมอไป ยังสามารถเป็นสมบัติวิเศษที่บรรลุผลลัพธ์ได้ด้วยการสัมผัสกับเลือดของเป้าหมาย… สำหรับเรื่องนี้ ความเป็นไปได้มีมากจนยากจะคาดเดา”


แม้พลังและผลข้างเคียงของสมบัติปิดผนึกส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับยี่สิบสองเส้นทางผู้วิเศษ ช่วยให้นักวิจัยสามารถคาดเดาธรรมชาติของสมบัติปิดผนึกชิ้นนั้นๆ ได้เบื้องต้น ทว่า เฉกเช่นมนุษย์ที่มีบุคลิกแตกต่างกัน สมบัติปิดผนึกก็เช่นกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและวัตถุที่ผสมผสาน รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างออร่าของครึ่งเทพ หรือคำสาปจากเจ้าของเดิม ส่งผลให้สมบัติปิดผนึกแต่ละชนิดมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป หากไม่ได้ทดสอบอย่างจริงจังมาก่อน ยากจะมีใครค้นพบรายละเอียดล่วงหน้า


ครึ่งเทพเจ้าของดวงตาสีทองดึงเก้าอี้ออกมาวาง นั่งลงและพูด


“รายละเอียดในส่วนนี้ยากจะตรวจสอบ พวกเราจึงยังไม่ควรเปลืองสมองคิด… แต่ว่า คุณกำลังสืบสวนไปผิดทาง… ยังจำพายุทอร์นาโดนั่นได้ไหม? มันพัดโลงศพของตูตันส์ที่สองขึ้นฟ้าจนมัมมี่ วัตถุดิบพิธีกรรม และของเหลวภายในโลงทองคำกระจัดกระจาย แถมยังเป็นต้นเหตุให้มัมมี่หลุดออกมา… สรุปโดยสั้น พายุลูกนั้นคือการปูทางสำหรับแผนการขั้นถัดไป จึงเป็นที่แน่ชัดว่าพายุลูกดังกล่าวคือฝีมือของชายคนนั้น หรือไม่ก็ผู้ช่วย”


ความขุ่นมัวในดวงตาหญิงสาวจางลงเล็กน้อย เธอค่อยๆ ถอดมงกุฎหนามพลางกล่าว


“คุณกำลังจะบอกว่า ในเมื่อโบสถ์วายุสลาตันผูกขาดสูตรโอสถลำดับสูง รวมถึงตะกอนพลังส่วนใหญ่ของเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ เอาไว้อย่างเข้มงวด สมบัติวิเศษหรือผู้วิเศษที่สามารถสร้างพายุระดับนั้นได้ย่อมมีจำนวนไม่มาก ให้พวกเราเริ่มสืบจากตรงนี้?”


ครึ่งเทพดวงตาสีทองพยักหน้าเล็กๆ


“และผมยังจำได้ว่า เมื่อไม่นานมานี้ในเขตตะวันออก มิสเตอร์ X แห่งชุมนุมแสงเหนือถูกสังหารในชุมนุมลับที่มันจัดขึ้นเอง โดยช่วงเวลาดังกล่าวก็มีพายุสายฟ้าและพายุทอร์นาโดโผล่ขึ้นในจุดเกิดเหตุ… เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของโบสถ์วายุสลาตันอย่างมาก พวกเขาพยายามตามหาเบาะแสอย่างเอาเป็นเอาตาย… ในเมื่อพายุทอร์นาโดเกิดขึ้นสองครั้งติดๆ กันในจุดที่ไม่ห่างกันมาก แถมยังไม่ใช่ฝีมือของทางการ หมายความว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทั้งสองเหตุการณ์น่าจะเกี่ยวข้องกัน และกลุ่มที่ลงมือสังหารมิสเตอร์ X กับกลุ่มที่ขโมยมัมมี่ก็น่ามาจากองค์กรเดียวกัน… ดังนั้น พวกเราต้องร่วมมือกับโบสถ์วายุสลาตันเพื่อสืบคดีนี้”


สุภาพสตรีในชุดราตรีวางมงกุฎหนามลง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด


“เป็นแนวทางการสืบสวนที่ดี… นอกจากนั้น เรายังสามารถวิเคราะห์ได้จากแรงจูงใจและเป้าหมายของคนร้าย หากอีกฝ่ายหวังใช้มัมมี่ไปทำเป็นซอมบี้ทั่วไป คงไม่กล้าเสี่ยงขโมยท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้ ฉันจึงสงสัยว่า ทางนั้นคงมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงในการขโมยมัมมี่ตูตันส์ที่สอง”


“หรือจะเป็นกุญแจสำคัญในพิธีกรรม?” ชายดวงตาสีทองตอบคลุมเครือ “ในจุดเกิดเหตุ ผู้ที่ถือวัตถุสำหรับหลอกล่อมัมมี่น่าจะเป็นวิญญาณอาฆาต หรือไม่ก็เป็นพลังจากสมบัติวิเศษในเส้นทางดังกล่าว… เมื่อนำมาพิจารณากับแรงจูงใจ ผมมีข้อสันนิษฐาน”


หญิงสาวในชุดราตรีโพล่งขึ้นทันที


“สมาชิกนิกาย ‘ระงับแรงปรารถนา’ ที่หลบหนีออกจากโรงเรียนกุหลาบ?”


“ถูกต้อง” ชายดวงตาสีทองพยักหน้ารับ “แม้การสร้างมัมมี่จะได้รับอิทธิพลจากการบูชาเทพมรณาและดวงอาทิตย์ แต่หลังจากโรงเรียนกุหลาบกุมอำนาจใหญ่ในเขตที่ราบสูง หุบเขา และบริเวณใกล้เคียง พวกมันกลับมิได้ล้มเลิกประเพณีดังกล่าว หมายความว่ามัมมี่ยังมีประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น อาจเป็นกุญแจสำหรับเลื่อนลำดับในบางเส้นทาง”


กล่าวถึงตรงนี้ มันหัวเราะเชิงตำหนิตัวเอง


“แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้… เพื่อการโอ้อวดฝีมือ… กลุ่มคนร้ายอาจไม่ได้ต้องการมัมมี่มากนัก แต่เพราะสบโอกาสเข้าพอดี ประจวบกับบางเงื่อนไขลงล็อก จึงทำการขโมยอย่างอุกอาจและเอิกเกริก… สำหรับบางลำดับในบางเส้นทาง สิ่งนี้คือกุญแจสำคัญในการย่อยโอสถ”


ในฐานะครึ่งเทพ มันย่อมผ่านโลกมามาก และทราบถึงความเป็นไปได้ต่างๆ มากมาย


หญิงสาวในชุดราตรีไตร่ตรองสักพัก


“ฉันมองว่า จุดประสงค์ของคนร้ายอาจไม่ได้มีเพียงข้อเดียว แต่เป็นส่วนผสมของหลายปัจจัย… เราจะใช้สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการสืบสวน”



กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด ใกล้กับแม่น้ำทัสซอค


‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซีนั่งอยู่ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ถูกคลุมด้วยผ้าปู สายตาจ้องไปยังหมุดสีทองที่วางไว้ ก่อนจะเปิดปากพูด


“ซัตทเวน เจ้าคิดว่าใครขโมยมัมมี่คาร์ดิฟไป?”


ด้านหลังไม่ไกล บนเก้าอี้เปียโน ร่างหนึ่งเริ่มก่อตัว


บุคคลดังกล่าวสวมชุดคลุมสีดำคล้ายนักบวช มือซ้ายสวมถุงมือสีดำ ใบหน้าเรียว ผิวสีน้ำตาล ดวงตาจมลึกเหมือนซากศพ รากของเคราะเป็นสีดำ แต่ส่วนปลายเป็นสีขาว เคราหร็อมแหร็มกระจายจากรอบปากจนถึงหู ไม่เกาะกลุ่มเป็นพุ่ม แถมยังค่อนข้างสั้น


ดวงตาของซัตทเวนมีสีน้ำตาลอ่อนใกล้เคียงกับผิว บรรยากาศรอบตัวอาจดูคล้ายนักบวช แต่เยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัวมากกว่า ประหนึ่งพร้อมอาละวาดได้ทุกเมื่อแม้ มันครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด


“บุคคลที่ปรารถนามัมมี่คาร์ดิฟ แถมยังกล้าเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับครึ่งเทพ ทั่วโลกสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว และจากบรรดาทั้งหมด คนที่อยู่ในเบ็คลันด์มีเพียงชารอน… เธอน่าจะได้รับความช่วยเหลือจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ ไม่อย่างนั้นคงยากจะประสบความสำเร็จ”


มาฮามูซีเอื้อมไปหยิบหมุดที่เต็มไปด้วยลวดลาย กล่าวหลังจากเงียบงันสองสามวินาที


“แล้วคนที่ใช้พลังท่องเที่ยวเป็นใคร? ดูไม่เหมือนเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ผู้ช่วยคนอื่นของชารอน?”


“อาจจะ” ซัตทเวนไอแห้งสองครั้ง กล่าวด้วยใบหน้าซีดเซียว “ข้าคิดว่าพวกเราควรหาวิธีสวดวิงวอนถึงพระมารดา สิ่งนี้อาจช่วยให้ได้รับวิวรณ์บางอย่าง”


มาฮามูซีพยักหน้าเล็กน้อย นำหมุดสีทองเจาะผ่านริมฝีปากบนและล่าง


ซัตทเวนเห็นดังนั้นจึงปิดปากตัวเอง ค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินลงไปยังชั้นล่างอย่างยากลำบาก เตรียมออกจากที่นี่และกลับไปยังแหล่งกบดาน


ลงมาถึงชั้นหนึ่ง มันได้พบกับบรรยากาศสลัวๆ ซึ่งมีแสงเทียนคอยมอบความสว่าง กลิ่นอาหารลอยมาจากทุกทิศ อากาศถ่ายเทได้ค่อนข้างดี – อาคารรอบข้างทั้งหมดเป็นบ้านแถว ชั้นหนึ่งของที่นี่เป็นร้านอาหารที่หันหน้าเข้าหาถนน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง จุดรวมตัวของสมาชิกโรงเรียนกุหลาบตั้งอยู่ที่ร้านซึ่งขายอาหารของทวีปใต้


เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหนักในการต่อสู้ก่อนหน้า ซัตทเวนจึงไม่อยากอยู่ในร่างวิญญาณมารนานนัก เพราะสำหรับมัน ร่างกายจะรับภาระหนักเกินไป ส่งผลให้ต้องเดินไปทีละก้าวด้วยชุดคลุมนักบวชสีดำ


ทันใดนั้น ลูกค้าคนหนึ่งหยุดยืนหน้าประตูร้าน


ลูกค้ารายนี้สวมสูทสีดำ กางเกงสีดำ และรองเท้าสีดำ มีดวงตาสีดำ ใบหน้าผอมเพรียว


หน้าผากค่อนข้างกว้าง สวมแว่นตาขาเดียวและหมวกทรงสูง กวาดสายตาสุ่มๆ ไปรอบห้องจนกระทั่งหยุดที่ซัตทเวน


หลังจากมองไปยังถุงมือสีดำในมือซ้ายของซัตทเวน มุมปากลูกค้ารายนี้ยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและส่ายหน้าอย่างผิดหวัง


ถัดมา ลูกค้าเดินเข้าไปในร้าน ย่างกรายผ่านซัตทเวนที่กำลังจ้องอย่างไม่เป็นมิตร


ซัตทเวนเลิกสนใจ เดินออกไปยังถนนนอกร้าน


ท่ามกลางโคมไฟแก๊สที่คอยมอบแสงสว่าง สายลมเห็นพัดผ่านครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบจนร่างกายสั่นสะท้าน


ซัตทเวนตระหนักว่านี่คืออาการสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว มันรีบก้มมองมือซ้ายและพบว่า ถุงมือสีดำของตนได้หายไป!


หายไปอย่างไร้ร่องรอย!


ทั้งที่เป็นครึ่งเทพ แต่ซัตทเวนกลับไม่ทราบว่าสมบัติปิดผนึกที่ตนสวมอยู่หายไปตอนไหน!


มันรีบหันกลับเข้าไปในร้านอาหาร ภาพของชายคนเมื่อครู่ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ


เพียงไม่นาน มันตรวจจับออร่าของเป้าหมายและพบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในร้าน แถมยังขอเมนูจากพนักงานอย่างสบายใจ


เดิมที ซัตทเวนต้องการใช้พลังกระโดดกระจกเพื่อเข้าไปสิงร่างโดยตรง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ฝ่ามือของมันเกิดสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม สัมผัสได้ว่ามีศัตรูที่แข็งแกร่งมากกำลังซ่อนตัวอยู่!


เมื่อความคิดดังกล่าวแล่นไปทั่วสมอง ซัตทเวนขยับขาเดินตรงไปตามถนนโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น



เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านหลังหนึ่ง


ขณะฟอร์สกำลังอ่าน ‘งามอย่างกุลสตรี’ ฉบับล่าสุด เธอได้ยินเสียงบิดกุญแจและเปิดประตู


“ทำไมวันนี้ถึงกลับดึกนัก?” หญิงสาวเงยหน้ามองซิลที่ประตู


ซิลลูบผมสีทองสั้นพลางตอบ


“ในตอนที่เดินทางกลับบ้าน ฉันเห็นสัญลักษณ์นัดหมายของ MI9… เป็นการนัดประชุมแบบเร่งด่วน”


“คราวนี้มีอะไรอีก?” ฟอร์สวางนิตยสารในมือลงด้วยความสนใจ


“ความคืบหน้าของคดีฆาตกรรมมิสเตอร์ X” ซิลก้มลงใส่รองเท้าแตะ กล่าวโดยไม่มองหน้า


สีหน้าของฟอร์สชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกลอกตาถาม


“มีเบาะแสเพิ่มเติม?”


“น่าจะยังเรียกว่าเบาะแสไม่ได้… ยังจำได้ไหม? ในตอนนั้นมีพายุทอร์นาโดระดับครึ่งเทพโผล่ขึ้นในจุดเกิดเหตุ ไม่ใช่เรื่องปรกติที่คนนอกโบสถ์วายุสลาตันจะใช้พลังแบบนี้… และเมื่อคืนที่ผ่านมา พายุทอร์นาโดคล้ายเดิมแต่ขนาดเล็กลง โผล่ขึ้นในเขตท่าเทียบเรือของท่าเรือพริสต์ มัมมี่ฟาโรห์ถูกขโมยไปท่ามกลางความวุ่นวาย” ซิลอธิบายอย่างกระชับ “MI9 สงสัยว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน จึงขอให้ฉันพยายามรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น”


ในบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ของเรายังมี ‘พายุทอร์นาโด’ ถูกบันทึกไว้อยู่… มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์? เขาขโมยมัมมี่ฟาโรห์ไปเพื่ออะไร? ฟอร์สยิ้มแห้ง


“อาจเป็นฝีมือของโบสถ์วายุสลาตันก็ได้นี่?”


ซิลกลอกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อมองหาของกิน



เช้าตรู่ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบ็คลันด์


หลังจากไคลน์ล้างหน้าเสร็จและเตรียมเปิดประตูให้ริชาร์ดสันเข้ามา สัมผัสวิญญาณของมันพลันถูกกระตุ้น จากนั้นก็เห็นร่างไร้ศีรษะของมิสผู้ส่งสารโผล่ออกจากความว่างเปล่า หัวทั้งสี่ถูกมือสองข้างหิ้วไว้


หนึ่งในศีรษะกำลังคาบซองจดหมายที่ค่อนข้างหนา ก่อนจะอ้าปากและคายเหรียญทองกองใหญ่


ได้จ่ายหนี้สักที… ไคลน์หันไปมองศีรษะของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่ไม่ได้เชื่อมกับลำคอด้วยความโล่งใจ


“ผมยังติดหนี้คุณอีก 3,413 เหรียญทอง… ถึงเวลาชำระส่วนสุดท้ายแล้ว”


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มผมว่ากองเหรียญทองเหล่านี้ช่างดูคุ้นตา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะสำหรับไคลน์ เหรียญทองทั้งหมดดูคุ้นตาเสมอ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)