Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 875-878
ราชันเร้นลับ 875 : มัมมี่
บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ เลียวนาร์ด·มิเชลเดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ กางกระดาษจดหมาย
จากนั้นก็หยิบปากกาหมึกซึม กดข้อมือเตรียมเขียน
ทว่า หลังจากกดจุดสีน้ำเงินเข้มลงบนกระดาษ ปากกาหมึกซึมก็นิ่งสนิท แม้จะพยายามขยับข้อมืออีกหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเนื่องจากความลังเล
เลียวนาร์ดยกข้อมือขึ้น กดปากกาลง สลับเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมือลอยค้างกลางอากาศ
แกร่ก! เลียวนาร์ดทิ้งปากกาลง ขยำกระดาษเป็นลูกบอล โยนลงถังขยะที่ปลายโต๊ะอย่างแม่นยำ
…
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบ็คลันด์ ไคลน์หยิบจดหมายจากหนึ่งในสี่ปากของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์
ชายหนุ่มชั่งใจสักพัก จนกระทั่งพบว่าสัมผัสวิญญาณมิได้แจ้งเตือนอันตราย จึงแกะซองและนำจดหมายด้านในออก
กระดาษมีเพียงหนึ่งแผ่น เนื้อหามีเพียงหนึ่งหน้า และประโยคมีเพียงสองบรรทัด
“ดิฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณ อยากคุยรายละเอียดต่อหน้า”
“ชารอน”
ที่แท้ก็จากชารอน… ไคลน์คลายข้อสงสัย หยิบเหรียญทองออกมาทำนายง่ายๆ ต่อหน้าไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ จากนั้นก็หยิบกระดาษอีกแผ่นออกมาเขียนข้อความ
“คืนนี้”
หลังจากพับกระดาษ ชายหนุ่มกล่าวขณะยื่นให้มิสผู้ส่งสาร
“กลับไปหาเธอถูกไหม?”
ถ้าไม่ ตนจะได้แนบที่อยู่ทางไปรษณีย์ของชารอน
บ้านเลขที่ 126 ถนนการ์ด เขตฮิลสตัน มาดามมาเรีย
“ถูก…” หนึ่งในศีรษะผมทองดวงตาสีแดงของไรเน็ตต์ตอบ
จากนั้นก็อ้าปากและงับจดหมายที่ถูกพับ
รอจนกระทั่งผู้ส่งสารหายไป ไคลน์ประกอบพิธีกรรมนำยุบพองหิวโหยกลับมายังโลกความจริง จากนั้นก็ ‘ท่องเที่ยว’ ไปยังเกาะใหญ่ๆ เพื่อมองหาโจรสลัดผู้โชคดี
ยุบพองหิวโหยยังไม่ถูกผนึก จำเป็นต้องกินมนุษย์หนึ่งคนทุกวัน ไคลน์จึงแทบไม่มีโอกาสได้ใช้งาน ทุกครั้งที่นำออกมาต้องป้อนอาหารให้เรียบร้อย เมื่อใกล้ครบกำหนดก็จะโยนกลับเข้าไปในมิติหมอก แม้ในแต่ละครั้งจะเรียงลำดับก่อนหลังไม่เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างมากนัก
ถ้ายุบพองหิวโหยกล้าสร้างปัญหา… เราจะจับป้อนด้วยเห็ด! หลังจากประกอบพิธีกรรมเสร็จ ไคลน์เก็บกวาดและสวมถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบาง ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มเลือนรางและหายไปโดยสมบูรณ์
…
หลังจากจบอาหารเย็นและรอให้ยุบพองหิวโหย ‘แหกปาก’ บนมิติเหนือสายหมอกเสร็จ ไคลน์เข้าห้องน้ำโดยอ้างว่าปวดท้อง จากนั้นก็นำถุงมือหนังมนุษย์ลงมาและ ‘ท่องเที่ยว’ ไปยังด้านนอกผับวีรบุรุษย่านสะพานเบ็คลันด์
ระหว่างนี้ รูปลักษณ์ชายหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างเป็นธรรมชาติ กลายเป็นยอดนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้เจ้าของผมสีดำ เคราดก และสวมแว่นตา
หลังจากก้มตัวม้วนขากางเกง ไคลน์หัวเราะกับตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเดินกดหมวกและผลักประตูไม้เข้าไปในผับ
สอบถามบาร์เทนเดอร์พร้อมกับสั่งเบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว ไคลน์เดินมายังห้องบิลเลียดหมายเลขสาม เคาะประตูด้วยนิ้ว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ท่ามกลางเสียงเคาะเป็นจังหวะ ประตูเปิดแง้มพร้อมกับเสียงไม้เสียดสี
เอียนตาสีแดงมองสำรวจออกมาข้างนอก ก่อนจะเผยรอยยิ้ม
“เชิญเข้ามาได้เลย”
เนื่องจากอากาศเริ่มร้อน เด็กหนุ่มมิได้ใส่โค้ทเก่าตัวเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตผ้าลินิน
ไคลน์ยิ้มและพยักหน้า อาศัยแสงไฟในห้องบิลเลียดช่วยให้มองเห็นทุกสิ่ง
มาริคผู้มีผมเผ้าค่อนข้างยุ่งเหยิง สวมเชิ้ตสีขาวและกั๊กสีดำ กำลังโน้มตัวจับไม้คิวในท่าแทงบิลเลียด
บางที อาจเป็นเพราะความอลหม่านที่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้เคยสร้าง มาริคไม่ได้เสกซอมบี้ขึ้นมาเล่นไพ่กับตัวเอง
“ไม่ได้พบกันนาน” ไคลน์เป็นฝ่ายเริ่มทักทาย
ในเวลาเดียวกัน ชารอนเจ้าของหมวกอ่อนใบเล็ก สวมเดรสสีดำหรูหราซับซ้อน ปรากฏกายในท่านั่งบนเก้าอี้สูงปราศจากพนักพิง
“สายัณห์สวัสดิ์ มาดาม” ไคลน์หันไปมอง ยิ้มและทักทาย
ชารอนยืนขึ้นในลักษณะที่คล้ายกับลอยตัว จับชายกระโปรงยกขึ้น โค้งคำนับเล็กน้อยแต่สุภาพ ส่วนมาริควางไม้คิวลงพร้อมกับกล่าวเสียงทุ้มแหบ
“ยังอยู่ในเบ็คลันด์สินะ”
ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงซีดเซียว แต่จิตสังหารในดวงตาสีน้ำตาลจางหายลงมาก คล้ายกับ ‘การระงับแรงปรารถนา’ ส่งผลในเชิงบวกต่อร่างกาย
แค่มองผิวเผินก็ทราบได้ทันทีว่า การครอบครอง ‘มงกุฎจันทร์ชาด’ ช่วยให้มันไม่ต้องจิตใจแตกสลายทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวง ส่งผลให้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนยาระงับประสาทบ่อยๆ
สำหรับคำถามของมาริค ไคลน์ยังไม่ตอบในทันที แต่เดินไปที่โต๊ะบิลเลียด วางเบียร์ลง ยิ้มและกล่าว
“ผมเสียใจ… ทั้งที่สัญญาว่าจะขายตะกอนพลังวิญญาณอาฆาตให้คุณ… แต่สุดท้ายกลับต้องเสียมันไป”
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของชารอนยังคงไม่สั่นไหว ไม่ซักไซ้ถึงสาเหตุ เพียงถามกลับอย่างห่วงใย
“แล้วคุณเป็นอะไรไหม?”
เธอทราบว่าตะกอนพลัง ‘วิญญาณอาฆาต’ ที่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้เอ่ยถึงนั้นเป็นของ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล และเซนอลคือหุ่นเชิดของยอดนักสืบรายนี้ การเสียตะกอนพลังย่อมหมายถึงการสูญเสียหุ่นเชิด และสำหรับผู้วิเศษ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก
“ผมสบายดี อย่างน้อยตัวเองก็ยังปลอดภัย” ไคลน์ถอนหายใจพลางยิ้ม
“ถึงว่าคราวนี้ไม่เห็นเซนอล…” มาริคพึมพำ
ดูเหมือนว่า ทั้งมาริคและชารอนจะไม่เสียดายตะกอนพลังวิญญาณอาฆาตมากนัก… พวกเขามีช่องทางหรือวิธีอื่นในการครอบครองอยู่แล้ว? ไคลน์วิเคราะห์สถานการณ์ ก่อนจะถามต่อ
“คราวนี้มีอะไร?”
มาริคชำเลืองไปทางเอียน เด็กชายที่ดูโตกว่าปรกติไม่ถามมากความ เดินออกจากห้องบิลเลียดทันทีพร้อมกับปิดประตู
ชารอนที่ยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์ราวกับตุ๊กตา ปล่อยให้มาริคเป็นฝ่ายพูด
“พรุ่งนี้จะมีเรือจากทวีปใต้แล่นมาจอดในท่าเรือพริสต์ คาดว่าน่าจะเป็นของกองทัพโลเอ็น… เรือลำดังกล่าวเต็มไปด้วยสมบัติและวัตถุโบราณที่ปล้นมาจากที่ราบสูงดวงดาว หุบเขาเพิร์ธ และทุ่งกว้างฮาเก็นติ… จากบรรดาสมบัติทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือมัมมี่ เป็นมัมมี่ของกษัตริย์องค์ที่สิบเก้าแห่งอาณาจักรที่ราบสูงฮาเก็นติโบราณ กษัตริย์ตูตันส์ที่สอง… ภาษาโบราณของทวีปใต้มิได้มีรากฐานมาจากภาษาฟุซัคโบราณ แต่เป็นภาษาที่ราบสูงซึ่งมีโครงสร้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กษัตริย์จะถูกเรียกว่า ‘คาร์ดิฟ’ แต่จักรพรรดิโรซายล์กลับเรียกว่า ‘ฟาโรห์’ ไม่มีใครรู้ว่าเขาถอดรหัสอย่างไรถึงได้คำนี้ออกมา นอกจากนั้น ชื่อ ‘มัมมี่’ ก็ยังมาจากเขา… สรุปโดยสั้น ฟาโรห์หมายถึงบุตรแห่งเทพ หมายถึงกษัตริย์แห่งมวลมนุษย์… ตูตันส์ที่สองเคยเป็นผู้วิเศษลำดับสูง หลังจากที่เขาเสียชีวิต ตะกอนพลังได้ถูกนำกลับไปใช้งานใหม่ เหลือไว้เพียงร่างกายที่ถูกแปรสภาพเป็นมัมมี่… สำหรับผู้วิเศษคนอื่น มัมมี่ตูตันส์เป็นเพียงวัตถุวิญญาณที่เหมาะสำหรับนำไปใช้สร้างซอมบี้… แต่สำหรับพวกเรา มัมมี่ตัวนี้มีความหมายพิเศษ เป็นของสำคัญมาก เป้าหมายของพวกเราคือมัมมี่ตูตันส์ที่สองตัวนี้”
มีความหมายพิเศษ? ศพของผู้วิเศษลำดับสูงที่ไม่เหลือตะกอนพลัง นอกจากทำเป็นวัตถุวิญญาณ ยังจะนำไปใช้อะไรได้อีก? สมองไคลน์เริ่มประมวลผล จนกระทั่งฉุกคิดได้ว่า มาดามเฮอร์มิทแห่งชุมนุมทาโรต์เคยขอซื้อเลือดของสัตว์ในตำนานหนึ่งหยด
พิธีกรรมสำหรับเลื่อนจากลำดับ 5 วิญญาณอาฆาตไปเป็นลำดับ 4 หุ่นกระบอก? ชารอนมีสูตรโอสถอยู่แล้ว และย่อยโอสถวิญญาณอาฆาตเรียบร้อยแล้วเช่นกัน? อา เธอมักสวมบทบาทเป็นวิญญาณอาฆาตเสมอ โอสถอาจถูกย่อยสมบูรณ์นานแล้ว… แต่จากคำพูดของวิญญาณมารในซากอาคาร ชารอนยังไม่มีสูตรโอสถหุ่นกระบอก… ทุกคนมีช่องทางของตัวเอง ตอนนั้นไม่มี แต่ใช่ว่าปัจจุบันจะไม่มีสักหน่อย… ไคลน์ชำเลืองหางตาไปทางชารอน แต่ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าอีกฝ่าย เธอยังทำตัวเหมือนตุ๊กตามากกว่ามนุษย์ แต่มิได้แผ่บรรยากาศสยองขวัญ
ชารอนนั่งฟังเงียบงัน ทำเพียงเฝ้ามองบทสนทนาระหว่างมาริคและเชอร์ล็อก·โมเรียตี้
“ถ้าเป้าหมายเป็นเพียงมัมมี่ลำดับสูงที่ปราศจากตะกอนพลัง ระดับการเฝ้าระวังก็ไม่น่าจะสูงนัก ลำพังพวกคุณสองคนน่าจะขโมยได้ไม่ยากไม่ใช่หรือ” ไคลน์ตั้งคำถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ตามความคิดของมัน ผู้วิเศษลำดับ 5 นั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง เว้นเสียแต่เรือจะถูกคุ้มครองโดยครึ่งเทพ ลำพังผู้วิเศษในระดับเดียวกันไม่น่าจะหยุดยั้งสำเร็จหากเป้าหมายของชารอนมีแค่มัมมี่ตัวเดียว และเหนือสิ่งอื่นใด ภายในเรือยังเต็มไปด้วยสินค้า คนคุ้มกันต้องกระจายตัวไปตามห้องเก็บของต่างๆ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน
ถึงคราวชารอนออกโรงอธิบาย และแน่นอน เธอยังคงตอบห้วนๆ อย่างเป็นเอกลักษณ์
“พวกเรากังวลว่านั่นอาจเป็นกับดักของโรงเรียนกุหลาบ… หากไม่มีอันตราย ทางเราจะจ่ายค่าจ้างหนึ่งพันปอนด์ แต่ถ้ามี พวกเราจะคอยดึงความสนใจให้ ส่วนคุณขโมยมัมมี่ให้สำเร็จ ค่าจ้างขึ้นอยู่กับความยากง่าย เริ่มตั้งแต่ห้าพันไปจนถึงหนึ่งหมื่นปอนด์”
เข้าใจแล้ว… ไคลน์ไม่ตอบทันที ไตร่ตรองสักพักก่อนจะหันไปถาม
“คุณรู้จักหัวขโมยโลกวิญญาณไหม?”
วิญญาณอาฆาตถือเป็นผู้วิเศษที่สามารถผ่านเข้าออกโลกวิญญาณได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ
ชารอนพยักหน้าพร้อมคำตอบ
“ดิฉันสามารถจ่ายค่าจ้างเป็นเงินสดผสมกับข้อมูลของหัวขโมยโลกวิญญาณ”
ไคลน์อืมในลำคอและกล่าว
“ขอกลับไปคิดดูก่อน จะเขียนคำตอบให้ก่อนเที่ยงคืน”
ในฐานะนักทำนายมากประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจแบบใด ไคลน์ก็ต้องทำนายยืนยันอันตรายบนมิติเหนือสายหมอกเสียก่อน แต่หนึ่งสิ่งที่มั่นใจได้ก็คือ นี่ไม่ใช่กับดักสำหรับเล่นงานตนแน่นอน เพราะมันไม่เคยมีมัมมี่เป็นเป้าหมาย
“ตกลง” ชารอนตอบหน้านิ่ง
ไคลน์ยังไม่กลับทันที แต่เดินไปที่ประตูและเรียกให้เอียนเข้ามา
“พักหลังมีข่าวใหม่ๆ ที่น่าสนใจบ้างไหม”
เอียนไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะเล่าข่าวใหญ่ทีละข่าว
“…มีคนมาที่นี่และถามเกี่ยวกับองค์กรที่ศรัทธาเดอะฟูล”
ไคลน์ยิ้มมุมปากพลางถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ชายผมดำผู้มีดวงตาสีเขียว?”
มันสงสัยว่าจะเป็นเลียวนาร์ด
เอียนส่ายหน้า
“เปล่า… ผมสีดำ ดวงตาสีเข้ม”
ใครสักคนจากชุมนุมแสงเหนือ? ไคลน์ใคร่ครวญสักพักก่อนจะถาม
“วาดภาพชายคนนั้นได้ไหม?”
“…” เอียนผงะเล็กน้อย กล่าวเสียงขื่นขม “ถ้าเป็นแบบนั้น… คุณคงจำไม่ได้ว่าเขาคือใคร?”
ทันใดนั้น ชารอนกล่าว
“ฉันช่วยได้”
“ตกลง” เอียนถอนหายใจโล่งอก ลงมือประกอบพิธีกรรมตามคำแนะนำ
ถัดมา ร่างของเด็กหนุ่มกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะวาดภาพด้วยท่าทางที่คล้ายกับถูกสิงร่าง
จนกระทั่งออกมาเป็นภาพของชายผมดำหยักศกเล็กน้อย หน้าผากกว้าง แก้มตอบ ดวงตาสีเข้ม สวมแว่นขาเดียว
อามุนด์!
‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!
ราชันเร้นลับ 876 : วิธีดึงดูดความสนใจ
อามุนด์!
ดวงตาไคลน์หดลีบกะทันหัน ภายนอกอาจยังสวมสีหน้าเยือกเย็น แต่ภายในใจกำลังตึงเครียดสุดขีด
แม้ชายหนุ่มจะใช้ชื่ออามุนด์เพื่อขู่คุณปู่ปรสิตในร่างเลียวนาร์ดให้กลัว รวมถึงครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมที่อยู่ใกล้กับเฮเซล แต่นั่นเป็นแค่การแอบอ้างชื่อ ไคลน์ไม่คิดว่า ‘ผู้เย้ยเทพ’ และราชาเทวทูตร้ายนี้จะเดินทางมาที่เบ็คลันด์จริงๆ แถมยังตามหาองค์กรที่ศรัทธาในเดอะฟูล!
อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายจนเกินไป เพราะถ้าเบ็คลันด์มีครึ่งเทพและเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมซ่อนตัวอยู่ ในไม่ช้าก็เร็ว อามุนด์ก็ต้องถูกลากเข้ามาด้วยกฎแรงดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียง… แต่ปัญหาคือ ‘ท่าน’ ที่ค้นหาบางสิ่งในดินแดนเทพทอดทิ้งมานาน ไม่น่าจะละทิ้งกลางคันและกลับมาเบ็คลันด์กะทันหัน นอกจากนั้น สุสานของท่านที่ชานเมืองก็ถูกจิตแห่งจักรกลทำลายจนราบคาบไปแล้ว มิอาจเดินทางไปมาอย่างอิสระได้เหมือนสมัยอดีต… หมายความว่านี่คือร่างโคลน? เป็นร่างโคลนที่แฝงตัวอยู่บนทวีปเหนือนานแล้ว? อา เส้นทางนักจารกรรมสามารถสร้างร่างโคลนได้ด้วยหนอนกาลเวลา และร่างโคลนของอามุนด์น่าจะเหนือกว่าคนอื่นพอสมควร… สมองไคลน์ค่อยๆ ประมวลผลจนเริ่มมองเห็นคำตอบ
และบางที ไคลน์สงสัยว่าร่างสัตว์ในตำนานของเส้นทางนักจารกรรม อาจเป็นหนอนกาลเวลาที่รวมตัวกันเป็นรูปลักษณ์หนึ่ง
ในฐานะเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมที่ดำรงชีวิตมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ อามุนด์ย่อมทราบว่าชื่อ ‘เดอะฟูล’ หมายถึงสิ่งใด แถมท่านยังสามารถตรวจจับออร่าที่เกี่ยวข้องได้อย่างแม่นยำ… ถึงขั้นเคยพยายามช่วงชิงมิติสายหมอกมาแล้ว… ความพยายามในการค้นหาเดอะฟูลคราวนี้คงสร้างความปวดหัวให้เราไม่น้อย… หลังจากผงะในตอนต้น ไคลน์เริ่มรวบรวมความเยือกเย็น
สิ่งที่ชายหนุ่มกลัวที่สุดก็คือ เนื่องด้วยกฎแรงดึงดูดของพลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียง การเดินเล่นบนถนนก็อาจทำให้ตนบังเอิญสวนกับอามุนด์ โดยที่อีกฝ่ายสามารถมองเห็นความพิเศษในตัว ถ้าถึงตอนนั้น ยังไม่ทันจะมีความโกลาหลเกิดขึ้น บุคคลที่เรียกว่าเดอะฟูลคงต้องพิจารณาว่าตนจะตายแบบคืนชีพได้หรือไม่ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงราชาเทวทูต ศักดิ์เป็นรองเพียงเทพแท้จริงเท่านั้น ต้องไม่ลืมว่า เส้นทางนักจารกรรมขึ้นชื่อในด้านการหลอกลวงและปกปิด สามารถลงมือในเบ็คลันด์ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมาย และการขโมยชะตากรรมของใครบางคน อาจเป็นงานถนัดของมันอยู่แล้ว
ดูเหมือนว่า การออกจากเบ็คลันด์ชั่วคราวเพื่อไปทำธุรกิจในไบลัมตะวันตกสักพัก ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้ายอะไร… เพราะปัญญาส่วนใหญ่อยู่ที่ตัวเรา หากเราเลื่อนเป็น ‘จอมเวทพิสดาร’ ได้เมื่อไร ก็จะมีพลังในการลบออร่าของหมอกสีเทา เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เดินสวนกับอามุนด์ อีกฝ่ายก็คงไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติ… ไคลน์สูดลมหายใจเข้าออก เป็นอีกครั้งที่มันตระหนักว่าตนต้องเร่งมือ
ต้องรีบเปิดประตูของลำดับ 4 โดยเร็ว รีบยกระดับตัวตนและกลายเป็นครึ่งเทพ!
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตามหาหุ่นเชิด การสวมบทบาทให้เข้มข้นเพื่อเร่งความเร็วย่อยโอสถ รวมถึงการรวบรวมวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถ มันต้องทำงานให้หนักขึ้นทุกด้าน!
ฟู่ว… เบ็คลันด์เป็นเมืองแบบไหนกัน… หากโอโรเลอุสยังไม่ออกไป หรือถ้าย้อนกลับมาแล้ว เท่าที่เราทราบก็จะมีอย่างน้อยสี่… ไม่สิ เทวทูตมากถึงห้าตน โดยสองในห้าเป็นถึงราชาเทวทูต! นี่ยังไม่นับคนของราชวงศ์และกองทัพที่ใช้เบ็คลันด์เป็นฐานบัญชาการ… ยังไม่นับวิญญาณมารใต้ดินซึ่งตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน – วิญญาณมารที่เกิดจากการรวมกันของอดีตราชาเทวทูตและเทวทูตอีกสองตน… และถ้า ‘เทพหายนะ’ เซียอา ตามล่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาถึงเบ็คลันด์ เมืองหลวงแห่งนี้จะคึกคักขึ้นทันตาเห็น เมื่อเทียบกันแล้ว สงครามระหว่างเทวทูตด้านนอกเมืองบายัมจะเป็นแค่เด็กหัดเดิน… ไคลน์จ้องภาพที่เอียนวาด ส่ายหน้าแผ่วเบา
“ขอบคุณ… ช่วยได้มากทีเดียว”
สำหรับเอียนและมาริค การส่ายหน้าของอีกฝ่ายหมายความว่า นักสืบเชอร์ล็อกไม่รู้จักคนในภาพ เพียงแต่ไม่อยากให้เสียน้ำใจ
“ขอตัวก่อน… ผมจะให้คำตอบก่อนเที่ยงคืน” ไคลน์ถอดหมวกและโค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องบิลเลียด ใช้พลัง ‘ท่องเที่ยว’ ส่งตัวเองกลับถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนจากด้านนอกผับวีรบุรุษ
ภายในห้องนอนใหญ่ สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดไม่ใช่คำขอร้องของมาริคและชารอน แต่เป็นวิธีหลีกเลี่ยงภัยอันตรายที่อามุนด์จะนำติดตัวมา
ตัวมันที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ในด้านนี้ เพียงไม่นานก็ผุดแนวคิดใหม่
นั่นคือการหาอะไรมาดึงดูดความสนใจของอามุนด์ออกไป!
ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ต้องเป็นสิ่งที่อามุนด์มิอาจต้านทาน เป็นสิ่งที่อามุนด์ไม่มีทางเพิกเฉย ยกตัวอย่างเช่น เทวทูตของเส้นทางนักจารกรรม พาลีส·โซโรอาสเตอร์!
อีกฝ่ายอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้อามุนด์กลายเป็นลำดับ 0 เทพแท้จริง สรุปโดยสั้น พาลีสย่อมต้องสำคัญกว่าการตามหาองค์กรลับที่ศรัทธาในเดอะฟูลแน่นอน
แน่นอน ไคลน์ไม่คิดจะ ‘ขาย’ คุณปู่ปรสิตในตัวเลียวนาร์ด เพราะจวบจนปัจจุบัน อีกฝ่ายยังไม่เคยแสดงเจตนาร้ายเลยสักครั้ง
ความคิดไคลน์ไม่ซับซ้อน อันดับแรกคือการแจ้งให้พาลีส·โซโรอาสเตอร์ทราบว่า อามุนด์อยู่ในเบ็คลันด์แล้ว จากนั้นก็รอดูท่าทีตอบสนองของเทวทูตที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สี่ แผนการถัดไปจะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์แรก
ถ้าคุณปู่จนปัญญาจะรับมือกับอามุนด์ที่เป็นเพียงร่างโคลน เราคงต้องบอกให้เลียวนาร์ดหาข้ออ้างออกไปทำภารกิจนอกกรุงเบ็คลันด์สักพัก ส่วนเราก็เดินทางไปยังทวีปใต้เพื่อประกอบธุรกิจ แต่ต้องไม่ลืมแวะกลับมาในวันที่อสรพิษปรอทลืมตาดูโลก นำเลือดจากสายสะดือไปส่งให้มาดามเฮอร์มิท… เมื่อตัดสินใจได้ ไคลน์หยิบเครื่องเขียนขึ้นมาและตวัดปากกาเป็นข้อความ
“อามุนด์มาถึงแล้ว”
พับกระดาษและเก็บปากกาเสร็จ ไคลน์นำฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาเป่า
เมื่อไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ปรากฏตัว ชายหนุ่มนำเหรียญทองออกจากกระเป๋าและวางลงบนซองจดหมาย
นี่คือหนึ่งในเหรียญทองที่ไคลน์สั่งให้ริชาร์ดสันไปแลกมาเมื่อช่วยบ่าย เพื่อจะรักษาภาพลักษณ์ความเท่าเทียมระหว่างดอน·ดันเตสและพาลีส·โซโรอาสเตอร์ ในตอนที่บอกเลียวนาร์ดเกี่ยวกับพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร ชายหนุ่มมิได้ระบุว่าต้องใช้เหรียญทอง
นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่า ภาพลักษณ์สามารถซื้อได้ด้วยเงิน… ไคลน์ถอนหายใจยาว ตามด้วยการหันไปพูดกับผู้ส่งสารที่สวมเดรสสีดำหรูหราและซับซ้อน
“นำไปส่งที่บ้านเลขที่ 7ถนนพินสเตอร์… เอ่อ แค่วางไว้ในกล่องจดหมายก็พอ ไม่ต้องให้ถึงมือผู้รับ”
เนื่องจากยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แน่ชัดของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ ไคลน์ตัดสินใจเก็บซ่อนไพ่ตายให้มากที่สุด ดังนั้น ก่อนที่เลียวนาร์ดจะเป็นฝ่ายเขียนจดหมายมาหา มันจะไม่ยอมให้นักกวีอดีตเพื่อนร่วมงานได้เห็นมิสผู้ส่งสารเด็ดขาด
ศีรษะผมทองตาแดงในมือซ้ายของไรเน็ตต์ถูกยกขึ้นเล็กน้อย ปากหนึ่งดูดเหรียญทอง อีกปากหนึ่งงับซองจดหมาย ทว่า เธอมิได้หายตัวไปเหมือนทุกที เอาแต่ลอยค้างกลางอากาศพลางใช้ดวงตาทั้งแปดจ้องหน้าชายหนุ่ม
“มีอะไรหรือ?” ไคลน์ผงะเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเดาได้ จึงซักถามด้วยสีหน้าแปลกๆ
“คุณไม่รู้ว่าบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์อยู่ที่ไหน?”
ชายหนุ่มเพิ่งฉุกคิดได้ว่า ผู้ส่งสารจะอาศัยการระบุพิกัดในเชิงศาสตร์เร้นลับ เป็นการกำหนดตำแหน่งระหว่างผู้ทำพันธสัญญากับเป้าหมายที่เคยไปส่งจดหมาย และถ้าฝ่ายหลังอยู่นอกเหนือขอบเขต ผู้ส่งสารก็มิอาจระบุพิกัดการส่ง
ได้ยินคำถามไคลน์ สี่หัวจากสองมือของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พยักหน้าพร้อมกัน บ่งบอกว่าไม่มีข้อมูล
ไคลน์ไอแห้งเล็กน้อย ก่อนจะดึงลิ้นชักและหยิบแผนที่ตัวเต็มของเมืองเบ็คลันด์ออกมากาง อันดับแรกเป็นการทำเครื่องหมายลงบนเขตเหนือ ตามด้วยการวงกลมรอบถนนพินสเตอร์
“เมื่อไปถึงถนน คุณจะเห็นเลขที่บ้าน” ไคลน์ผับแผ่นที่และยื่นให้อีกฝ่าย
ศีรษะในมือขวาของไรเน็ตต์อ้าปากงับแผนที่ ก่อนจะหายตัวไปในโลกวิญญาณ
เห็นเช่นนั้น ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย กลับตัวเดินออกจากห้องนอนใหญ่ อ้อมไปยังห้องกึ่งเปิดโล่งเพื่ออ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสาร
รอจนกระทั่งตกดึก ก่อนที่จะแช่ร่างกายลงในอ่าน ชายหนุ่มถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก
“การช่วยชารอนและมาริคขโมยมัมมี่ตูตันส์ที่สองถือเป็นเรื่องอันตราย” ไคลน์ถอนจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้าย เริ่มทำนาย
จากนั้น ลูกตุ้มวิญญาณหมุนตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วค่อนข้างช้า องศาการแกว่งไม่กว้าง
แปลว่ามีอันตรายไม่มาก… ถึงจะเป็นกับดักที่วางไว้ล่อมาริคและชารอน แต่นั่นไม่ส่งผลกับเรา… ไคลน์ขยับมือเพื่อเสกให้ ‘แผ่นผลึกสีดำโปร่งแสง’ ขนาดเล็กลอยมาหา
นี่คือยันต์โจรปล้นดวง
ยันต์ระดับครึ่งเทพที่ไคลน์สร้างขึ้นด้วยหนอนกาลเวลา!
ถัดมา ชายหนุ่มเสกยุบพองหิวโหยให้ลอยเข้าหาและทำการสวมใส่ จากนั้นก็เสกคทาเทพสมุทรและสร้าง ‘พายุสายฟ้า’ กับ ‘ทอร์นาโด’ เพื่อทำการบันทึก
ปัจจุบัน ยุบพองหิวโหยถูกยกระดับโดยการกลายพันธุ์ ส่งผลให้สามารถบันทึกพลังพิเศษที่ไม่เกินลำดับ 3 เข้าไปได้สองครั้งผ่านดวงวิญญาณและตะกอนพลังของมิสเตอร์ X ช่วยให้ไคลน์ไม่ต้องพึ่งพาบันทึกการเดินทางของเลมาโน่อีกต่อไป ต่อสู้จึงคล่องตัวมากขึ้นเนื่องจากสองมือต้องถือแค่เพียง ‘ลางมรณะ’ และ ‘ยันต์โจรปล้นดวง’ เว้นเสียแต่จะมีมืองอกออกมาอีกสองข้าง
เตรียมตัวเสร็จ ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง หยิบปากกาและกระดาษออกมาเขียนคำลงไป
“เวลา สถานที่ และแผน”
…
ตีหนึ่งตรง เลียวนาร์ดที่หลับไปสองชั่วโมงเต็ม ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า เตรียมออกจากบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ไปยังชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล
เพียงก้าวขาออกจากบ้าน สัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้นทันที จึงต้องหันศีรษะไปมองทางด้านข้าง
ดวงตาเผยความสงสัย สองขาก้าวเดินเข้าใกล้กล่องจดหมายและเปิดออก
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ เลียวนาร์ดเก็บหนังสือพิมพ์ ใบเรียกเก็บเงิน และจดหมายทั้งหมดกลับเข้าไปในบ้าน ในกล่องจดหมายจึงไม่ควรมีอะไรอยู่เลยจนกระทั่งเช้าวันถัดไป เพราะบุรุษไปรษณีย์เลิกงานนานแล้ว ทว่า ภายในกล่องจดหมายตอนตีหนึ่งกลับมีจดหมายแผ่นบางๆ วางอยู่อย่างเงียบงัน
“ตาแก่ ไม่เห็นเตือนเลยว่ามีจดหมายใหม่” เลียวนาร์ดพึมพำขณะหยิบจดหมายออกมา
เสียงค่อนข้างชราภายในใจตอบ
“ไม่มีใครเข้ามาในบ้าน”
เลียวนาร์ดทราบเป็นอย่างดี ประสาทสัมผัสของชายชราจะมีขอบเขตไม่เกินเจ้าของร่าง จึงไม่ได้กล่าวตำหนิมากมาย เพียงแกะซองจดหมายและสะบัดคลี่อ่าน
กระดาษจดหมายเกือบจะว่างเปล่า มีเพียงหนึ่งบรรดาถูกเขียนไว้
“อามุนด์มาถึงแล้ว”
อามุนด์มาถึงแล้ว… รูม่านตาเลียวนาร์ดขยายตัวทันที
พร้อมกันนั้น มันได้ยินเสียง ‘หายใจ’ ของปรสิตเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่จำความได้
ราชันเร้นลับ 877 : กับดักของใคร
หากพูดถึงอามุนด์ เลียวนาร์ดไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยโดยตรง ทราบเพียงว่า เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของปรสิตในร่าง โดยท่านผู้นั้นสามารถทำให้ชายชราลึกลับต้องบาดเจ็บสาหัส ส่งผลให้อารมณ์ของเลียวนาร์ดมิได้พลุ่งพล่าน เพียงลดเสียงลงและถาม
“พวกเราควรทำยังไง?”
ภายในใจ เสียงชรามอบคำตอบหลังจากเงียบไปสามวินาที
“ที่มาถึงไม่น่าจะใช่ร่างจริงของอามุนด์ อาจเป็นเพียงร่างโคลนของท่าน”
ท่าน… เป็นอย่างที่คิด ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์น่าจะเป็นเทวทูต อาจเป็นถึงเทวทูตลำดับ 1… เพราะตาแก่เองก็น่าจะเป็นเทวทูตถึงเดินดิน… เลียวนาร์ดพยายามวิเคราะห์ข้อมูล พลางฟังพาลีส·โซโรอาสเตอร์เล่าต่อ
“หากร่างจริงของอามุนด์กล้าปรากฏตัวในเบ็คลันด์ นั่นอาจกระตุ้นให้เทพแท้จริงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์”
เสด็จลงมายังโลกมนุษย์? เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นมากี่ปีแล้ว? นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้า เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงตำนานที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ ไม่เคยมีใครเห็นกับตามาก่อน! กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้แต่ในหมู่ลำดับ 1 ด้วยกัน อามุนด์เองก็เป็นตัวตนระดับแถวหน้า? นี่คงเป็นที่มาของสมญานามผู้เย้ยเทพ… ภายในสองสามประโยค เลียวนาร์ดได้ตระหนักว่าเทวทูตที่ชื่ออามุนด์นั้นน่ากลัวเพียงใด
ขณะยืนอยู่หน้าตู้จดหมาย ความคิดของมันผันผวนเล็กน้อย ก่อนจะผุดไอเดียบางอย่าง จึงกระซิบแผ่วเบา
“หากอามุนด์มีค่าในสายตาเทพแท้จริงมากขนาดนั้น พวกเราหาทางแจ้งให้ศาสนจักรทราบเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านปรากฏตัวในเบ็คลันด์ดีไหม?”
ในมุมมองของเลียวนาร์ด โบสถ์รัตติกาลและวายุสลาตันที่ดำรงตนมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยที่สี่อันเต็มไปด้วยปริศนา คงมีวิธีการมากมายในการรับมือกับเทวทูต เป็น ‘ตัวเต็ง’ ที่น่าจะต่อกรกับอามุนด์ได้ดีที่สุด
ภายในใจชายหนุ่ม พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะแผ่วเบา
“เปล่าประโยชน์… นั่นอาจเป็นสิ่งที่อามุนด์ต้องการด้วยซ้ำ… สำหรับอามุนด์ การสูญเสียร่างโคลนอย่างมากก็เท่ากับสูญเสียกำลังรบไปบางส่วน แต่ร่างต้นนั้นไม่ได้รับอันตรายใดเลย และท่านสามารถอาศัยการตายของร่างโคลนเพื่อ ‘ดู’ การเปลี่ยนแปลงเชิงโชคชะตาของผู้เกี่ยวข้อง จุดประสงค์คือการตามหาต้นตอของความวุ่นวาย…. แม้จะมิอาจล็อกเป้าเจ้ากับข้าได้โดยตรง แต่ก็คงตีกรอบแคบลงจากเดิมมาก ช่วยให้พิจารณาตำแหน่งในการบุกจู่โจมได้ง่าย… และเหนือสิ่งอื่นใด เจ้าคิดว่าในกรุงเบ็คลันด์จะมีร่างโคลนของอามุนด์เพียงหนึ่งเดียว? ตามอุปนิสัยส่วนตัวของอามุนด์ อาจมีร่างโคลนเพียงหนึ่งที่ปรากฏสู่สาธารณะ แต่รอบๆ ยังมีร่างโคลนอีกหลายสิบหรือหลายร้อยรายล้อม… และเมื่อใดที่เราพยายามกำจัดร่างโคลนที่เปิดเผยตัว ร่างโคลนอีกหลายสิบหลายร้อยจะคอยเฝ้ามองจากองศาที่แตกต่าง สามารถเป็นได้ทั้งคนเดินถนน นกบนหลังคา มดบนพื้นดิน รวมถึงแมลงในท่อนไม้และละอองสิ่งมีชีวิตในอากาศ ซึ่งถ้าไม่ใช่ครึ่งเทพก็ไม่มีทางรู้ตัวว่าถูกแทรกซึมร่างกาย”
ฟังคำอธิบายจบ แผ่นหลังเลียวนาร์ดพลันเย็นเยียบ รู้สึกราวกับภายในอากาศรอบๆ ตัวเป็นไปด้วยอามุนด์ขนาดเท่าละออง
“แค่นี้ก็กลัวแล้วหรือ?” พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะในลำคอ “หากเจ้ารู้ว่าอามุนด์สามารถขโมยโชคชะตาของคนอื่นได้โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว เจ้าจะยิ่งกลัวมากกว่าเดิม”
“ขโมยโชคชะตาหมายถึงอะไร?” เลียวนาร์ดถามด้วยความสงสัย
เสียงค่อนข้างชราของพาลีสตอบ
“อามุนด์จะตามเจ้ากลับบ้าน จากนั้น เจ้าจะพบว่า พ่อและแม่ปฏิบัติต่ออามุนด์ประหนึ่งลูกชาย ภรรยาของเจ้าจะมองอามุนด์เป็นสามี ลูกของเจ้าจะมองอามุนด์เป็นพ่อ เพื่อนของเจ้า ทุกคนที่เจ้ารู้จักจะคิดว่าอามุนด์คือเจ้า… เจ้าจะกลายเป็น ‘หมาหัวเน่า’ ที่ค่อยๆ ถูกตัดขาดจากทุกสิ่งบนโลกแห่งความจริง ค่อยๆ ตายไปทีละนิด”
“การขโมยระดับนี้… ผลลัพธ์คงอยู่ถาวร?” เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะหายใจเสียงดัง
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบ
“ก่อนที่โจรจะถูกจับ… เคยมีโจรคนไหนคืนของที่ขโมยไปบ้าง? เว้นเสียแต่… อามุนด์จะเบื่อและพอกับสิ่งนั้น”
เลียวนาร์ดเงียบงันสักพัก พบว่าศัตรูระดับอามุนด์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ตนสามารถต่อกร ราวกับอยู่คนละโลกโดยสิ้นเชิง
ผ่านไปไม่กี่วินาที มันถามเสียงต่ำ
“แล้วพวกเราควรทำยังไง?”
มันมิได้เสนอแนวคิดของตน เพราะนั่นคงไม่มีวันสำเร็จในทางทฤษฎี
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบงันสักพัก ก่อนจะกล่าว
“ดูไปก่อน”
…
ภายในผับวีรบุรุษ
ตามที่ตกลงกัน มาริครออยู่ในห้องบิลเลียดหมายเลขสาม
เมื่อเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ตกลงแล้วที่จะช่วย การพูดคุยรายละเอียดซึ่งๆ หน้าคือสิ่งจำเป็น
ไม่ใช่สิ่งที่จะสนทนากันผ่านตัวอักษรบนกระดาษจดหมาย
จิบเบียร์อึกอึกอึก มาริคยกมือขวาขึ้นมาสางผม แม้บนใบหน้าขาวซีดของมันจะยังคงปราศจากเลือดฝาด แต่ความบ้าคลั่งในดวงตาบรรเทาลงจากเดิมมาก
ทันใดนั้น หัวใจของมันพลันเต้นระรัว จึงรีบเงยหน้าและมองไปทางด้านข้าง พบร่างของบุรุษสวมหมวกทรงสูงและเสื้อผ้าสุภาพค่อยๆ เผยเค้าโครงคมชัดขึ้นจากความว่างเปล่า ไม่ใช่ใครนอกจากเชอร์ล็อก·โมเรียตี้
ท่องเที่ยว? หัวใจมาริคเริ่มเต้นแรง รูม่านตาหดลีบ สัญชาตญาณกำลังร้องเตือน
ไม่ใช่เพราะมันไม่เชื่อใจเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ แต่นี่เป็นอากัปกิริยาขณะเผชิญหน้าสิ่งมีชีวิตที่มีลำดับสูงกว่าในห่วงโซ่อาหาร
ขณะเดียวกัน จากมุมสายตาของมาริค มันเห็นชารอนที่เหมือนตุ๊กตาปรากฏตัวบนเก้าอี้สูง
ไคลน์กดหมวก โค้งศีรษะให้คนทั้งสอง ตามด้วยยิ้ม
“สิ่งที่ผมสนใจมากที่สุดก็คือ ตอนนี้พวกคุณมีข้อมูลมากแค่ไหน? ยิ่งมีข้อมูลมาก โอกาสประสบความสำเร็จก็มาก ความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันก็จะน้อยลง… ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คุณสามารถยืนยันได้ไหมว่ามัมมี่ตูตันส์ที่สองไม่มีความผิดปรกติ? สามารถยืนยันได้ไหมว่าถูกเก็บอยู่ในโลงศพใด? หากทำได้ ผมสามารถเทเลพอร์ตไปยังจุดดังกล่าวก่อนที่คนคุ้มกันจะไหวตัว ทำการขโมยและกลับมาด้วยพลังเทเลพอร์ตอีกครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ”
ขณะมาริคทำหน้านึก เสียงเรียบๆ ของชารอนดังขึ้น
“ระบุได้ว่าเป็นโลงศพใด แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าไม่มีความผิดปรกติ”
ไคลน์พยักหน้า ดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
“แล้วยังรู้อะไรอีกไหม”
ดวงตาสีฟ้าของชารอนขยับเล็กน้อย
“นี่อาจเป็นกับดักของโรงเรียนกุหลาบ หรือไม่ก็กับดักของกองทัพโลเอ็น”
ในตอนแรก เธอไม่ได้เล่าอย่างหลังให้ฟัง… นั่นสินะ จนกว่าจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายยอมร่วมมือ เป็นเราก็คงไม่เปิดเผยข้อมูลมากนัก… ไคลน์ถามเกี่ยวกับประเด็นล่าสุดอย่างรอบคอบ
“กับดักของโรงเรียนกุหลาบ?”
คราวนี้เป็นมาริคที่ตอบ เป็นการอธิบายลงลึกรายละเอียด
“ในอาณาจักรที่ราบสูงโบราณ การทำมัมมี่ถือเป็นธรรมเนียมของชนชั้นสูง เป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ และมัมมี่ของฟาโรห์คือสิ่งที่ห้ามถูกลบหลู่เป็นอันขาด… ในสมัยนั้น ช่วงก่อนที่กองทัพพันธมิตรโลเอ็น อินทิส และเฟเนพ็อตจะเข้ายึดอาณาจักรสำเร็จ ลูกหลานของฟาโรห์ตัดสินใจย้ายมัมมี่ที่สำคัญที่สุดจำนวนหนึ่งไปยังจุดปลอดภัย หนึ่งในนั้นคือศพของฟาโรห์โบราณ… เมื่อไม่นานมานี้ ฐานลับของกลุ่มกบฏ ที่ราบสูงถูกบุกรุก กองทัพโลเอ็นพบมัมมี่ตูตันส์ที่สองในชั้นล่างสุด จึงทำการลำเลียงกลับมายังเบ็คลันด์ เตรียมส่งให้สถาบันการทหารสักแห่งวิจัย… สำหรับลูกหลานฟาโรห์ พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง พวกเขามีแรงจูงใจมากพอที่จะขโมยมัมมี่ตูตันส์ที่สอง และจากบรรดาลูกหลานฟาโรห์กลุ่มดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือมาฮามูซี เป็นทั้งผู้นำกลุ่มต่อต้านและสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบ… เป็นลูกศิษย์ของ ‘เทพหายนะ’ เซียอา”
ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง มัมมี่ของตูตันส์ที่สองอาจเป็นเหยื่อที่กองทัพโลเอ็นใช้ล่อมาฮามูซีออกมา โดยยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คือ โรงเรียนกุหลาบยอมสละมัมมี่ของฟาโรห์เพื่อกำจัดพวกคุณ”
มันอยากจะบอกว่า ลำดับ 6 กับลำดับ 5 อย่างพวกคุณไม่น่าจะสำคัญขนาดให้โรงเรียนกุหลาบต้องเล่นใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากการที่อีกฝ่ายคือนิกาย ‘ปลดปล่อยแรงปรารถนา’ ของโรงเรียนกุหลาบ ปราศจากความยับยั้งชั่งใจในการแก้แค้น และมิอาจใช้สามัญสำนึกของคนปรกติเพื่อตัดสิน
นอกจากนั้น การที่ชารอนและมาริคสามารถหลบหนีจากโซ่ตรวนของโรงเรียนกุหลาบ หลบหนีจากเงื้อมมือมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายได้สำเร็จ ลำพังความโชคดีคงไม่เพียงพอ น่าจะมีใครบางคนแอบสนับสนุนอย่างลับๆ … ถ้ามีคนแบบนั้นอยู่จริง ป่านนี้คงกำลังตกเป็นเป้าการตามล่าของโรงเรียนกุหลาบอยู่… ไคลน์วิเคราะห์ตามความเคยชิน แต่มิได้กล่าวออกไป
“ถูกต้อง” มาริคลูบหน้าผากพลางตอบ ดูเหมือนว่าการถ่ายทอดคำพูดจำนวนมากจะทำให้พลังวิญญาณของมันผันผวน
ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด
“ถ้าเป็นแบบแรก เกรงว่าสถานการณ์อาจยุ่งยากกว่าที่ผมคิดไว้… เพื่อจะจัดการกับครึ่งเทพและผู้สมรู้ร่วมคิด กองทัพโลเอ็นต้องเตรียมผู้วิเศษอย่างน้อยสองคนในระดับเดียวกับมาฮามูซีสำหรับซุ่มโจมตี นอกจากนั้นยังต้องมีมาตรฐานป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เช่นการเบิกใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 0… สรุปโดยสั้น เมื่อสถานที่ลงมืออยู่ห่างจากเบ็คลันด์เช่นนี้ ถ้าไม่ร่วมมือกันระหว่างหน่วยพิเศษของทั้งสามโบสถ์ เกรงว่าการวางกับดักคงไม่ง่ายนัก”
ชารอนขยับคางเล็กน้อย นัยว่าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้
ไคลน์มิได้เน้นย้ำถึงความยากของภารกิจ เพียงหันไปกล่าว
“ดังนั้น เราต้องมีข้อมูลที่แม่นยำและละเอียดกว่านี้ การเตรียมตัวจะได้รัดกุมและรอบคอบ ไม่อย่างนั้นคงยากจะทำภารกิจให้สำเร็จอย่างราบรื่น”
โดยไม่รอให้ชารอนกับมาริคพูด ชายหนุ่มเสริม
“ผมรู้จักกระจกวิเศษที่สามารถใช้ทำนายได้อย่างมีประสิทธิภาพ… ‘ท่าน’ ยึดถือหลักการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ตราบใดที่พวกคุณไม่กังวลว่าจะถูกเปิดเผยกิจกรรมส่วนตัวหรือเรื่องที่น่าอับอาย เราสามารถซักถามได้มากมายจาก ‘ท่าน’ … อยากลองไหม? ผมสามารถอัญเชิญมาได้”
ตามหลักพื้นฐานของศาสตร์เร้นลับ ผู้อัญเชิญ ‘สิ่งมีชีวิตลึกลับ’ มักมีความเสี่ยงสูงที่สุด
“ขอถามเผื่อเอาไว้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมไม่ยอมตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว?” มาริคหรี่ตาถาม
ไคลน์ตอบไปตามจริง
“คุณจะถูกฟ้าผ่า นั่นอาจมาพร้อมอาการบาดเจ็บรุนแรง”
ฟ้าผ่า… เดิมที มาริคค่อนข้างมั่นใจในความถึกทนของซอมบี้ บทลงโทษเล็กๆ น้อยๆ ไม่น่าจะทำให้มันเจ็บปวด คาดไม่ถึงว่าการลงโทษจะเป็นฟ้าผ่าที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้ง่ายดาย
มันลังเลสักพักพลางชำเลืองไปทางชารอน หลังจากเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ายืนยัน มาริคถอนหายใจ
“ตกลง”
ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงหยิบปากกาและกระดาษออกจากกระเป๋าเสื้อ ตามด้วยออกคำสั่ง
“เตรียมกระจกเงา”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด กระจกสำหรับแต่งหน้าขนาดเท่าฝ่ามือใหญ่ๆ ปรากฏขึ้นบนโต๊ะบิลเลียด
กระจกแต่งหน้าสไตล์ชาววัง… ไคลน์ชำเลืองเล็กน้อย ก่อนจะวาดสัญลักษณ์ของการ ‘ส่องความลับ’ และ ‘ความลับ’ ลงบนกระดาษ
ราชันเร้นลับ 878 : คำถามของอาโรเดส
วินาทีที่ไคลน์ตวัดเส้นสุดท้าย ไฟในห้องบิลเลียดหมายเลขสามพลันสลัว
บนผิวกระจกแต่งหน้าบานเล็ก คลื่นกระเพื่อมแผ่ออกมาเป็นวงกลม มอบความรู้สึกลุ่มลึกและเยือกเย็น
ถัดมา ถ้อยคำสีเลือดปรากฏขึ้นหนึ่งคำ
“ถามคำถามของเจ้า”
ฉากตรงหน้าอัดแน่นด้วยความน่าสะพรึง แม้อีกฝ่ายจะเป็นวิญญาณอาฆาตกับซอมบี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะผงะ ไม่กล้ากล่าวคำใดออกมาสักพัก
มีเพียงไคลน์ที่ยังสวมรอยยิ้ม ราวกับคุ้นชินภาพเช่นนี้เป็นอย่างดี
ชายหนุ่มได้กำชับ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสล่วงหน้าไว้แล้วว่า อย่าถามในสิ่งที่ยากเกินไป เป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป และอย่าทำตัวเหมือนคนรับใช้ ถ้าคำถามของชารอนกับมาริคไม่ช่วยให้ภารกิจง่ายขึ้น ไคลน์คิดจะแอบไปถามเองในภายหลัง เพราะไม่อยากให้ชารอนกับมาริคทราบว่า ตนมี ‘ตัวช่วย’ ที่สะดวกสบายในมือ
หลังจากความเงียบงันครอบงำสองสามวินาที มาริคก้าวเข้ามาใกล้และเปิดปาก
ทันใดนั้น สุ้มเสียงที่นุ่มนวลแต่ไร้อารมณ์ของชารอนดังขึ้น
“ฉันถามเอง”
โดยไม่รอให้มาริคตอบ เธอยืนขึ้นในลักษณะล่องลอย มองไปทางกระจกแต่งหน้าและพูด
“มัมมี่ตูตันส์ที่สองเป็นกับดักที่กองทัพโลเอ็นใช้ล่อลวงโรงเรียนกุหลาบ… ถูกต้องไหม?”
ข้อความเลือดเดิมบนกระจกเริ่มละลายและไหลลง ก่อนจะขยับตัวเรียงกันเป็นคำใหม่
“ถูกต้อง”
นึกแล้วเชียว เป็นกับดักที่กองทัพโลเอ็นเตรียมไว้ใช้ล่อลวงโรงเรียนกุหลาบ… ถ้าอย่างนั้นก็ตัดประเด็นที่โรงเรียนกุหลาบวางกับดักหลอกล่อชารอนและมาริคไปได้เลย… ท้ายที่สุดแล้ว เพียงเพื่อจะจัดการกับผู้วิเศษลำดับ 5 และ 6 ถึงโรงเรียนกุหลาบจะเปี่ยมด้วยความกระหายมากแค่ไหน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้… เว้นเสียแต่ พวกมันต้องการจัดการกองทัพโลเอ็นไปพร้อมกัน แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง โรงเรียนกุหลาบก็ควรเลือกลงมือบนทวีปใต้หรือไม่ก็ทะเล ไม่ใช่ใกล้กลับเบ็คลันด์ที่เป็นราวกับฐานทัพใหญ่ของศัตรู… ท่ามกลางความคิดที่แล่นผ่าน ไคลน์มองเห็นข้อความเลือดประโยคใหม่
“ตามหลักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ถึงคราวข้าเป็นฝ่ายถาม… หากเจ้าตอบผิดหรือโกหก เจ้าจะถูกลงโทษ”
นับว่ายังเชื่อฟังกันอยู่ ไม่ทำตัวเหมือนคนรับใช้ต่อหน้าคนพวกนี้… ไคลน์มองไปที่โต๊ะบิลเลียด พยักหน้าเล็กน้อย
ทันใดนั้น ประโยคก่อนหน้าค่อยๆ เลือนหาย คำใหม่ปรากฏขึ้นแทน
“เจ้า…”
คำสีเลือดดังกล่าวค้างอยู่บนผิวกระจกสามวินาที ก่อนจะมีคำใหม่เขียนต่อท้าย
“…จงเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเทพผู้ถูกล่ามและมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย”
ด้วยเหตุผลบางประการ ไคลน์พบว่าสีเลือดของประโยคท่อนหลังซีดจางลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็รู้สึกยินดีกับคำถาม เพราะเป็นสิ่งที่ตนอยากรู้เช่นกัน
ชารอนที่สวมหมวกอ่อนสีดำ มองเข้าไปในกระจกแต่งหน้า กล่าวเสียงเรียบและหน้านิ่ง
“ในช่วงจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่ห้า หลังจากการร่วงหล่นของเทพมรณา ตระกูลอายเกสค่อยๆ สูญเสียการปกครองในแถบที่ราบสูงดวงดาวและหุบเขาเพิร์ธ ส่งผลให้พลเมืองของสถานที่เหล่านั้นก่อตั้งองค์กรลับขึ้นมาเอง นั่นคือโรงเรียนกุหลาบ… ในช่วงเริ่มต้นยังไม่มีมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย มีเพียงเทพผู้ถูกล่าม… โรงเรียนกุหลาบนิกาย ‘ระงับแรงปรารถนา’ เริ่มก่อตั้งระบบพิธีกรรมทางศาสนาและวางกฎระเบียบ สมาชิกหลักต้องดำรงชีวิตเยี่ยงนักบวช ต้องระงับแรงปรารถนา เพื่อให้ได้รับความแข็งแกร่งเป็นผลตอบแทน… จนกระทั่งวันหนึ่ง เริ่มมีวิวรณ์จากเทพเอ่ยถึงการ ‘ปลดปล่อยแรงปรารถนา’ ส่งผลให้สมาชิกหลายคนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด ประเพณีบูชายัญเลือดที่เก่าแก่ถูกรื้อฟื้น และหลังจากนั้น ผู้นำระดับสูงบางคนของโรงเรียนเริ่มระบุว่า เทพผู้ถูกร่างเป็นเพียงร่างอวตารของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย”
ดูเหมือนว่าเทพผู้ถูกล่ามจะค่อยๆ ถูกกัดกร่อนทีละนิด หรือไม่ถูกมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายสวมรอยไปแล้ว… หากเทพผู้ถูกล่ามคือลำดับ 0 จริง แปลว่ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายนั้นน่าสะพรึงกลัวทีเดียว ไม่แปลกใจว่าทำไมเหล่าทวยเทพลำดับ 0 ถึงต่างพากันตั้งตัวเป็นศัตรู… แต่ในความเป็นจริง เทพผู้ถูกล่ามอาจไม่ใช่ลำดับ 0 ก็ได้ อาจเป็นแค่ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง หรือไม่ก็เป็นราชาเทวทูตที่ครอบครองตะกอนพลังลำดับ 1 สองก้อน… หรืออาจจะอ่อนแอกว่านั้น ตอนนี้เรายังมีข้อมูลไม่มากพอที่จะสรุป… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดเกี่ยวกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย
ทันใดนั้น ชารอนเปลี่ยนคำถาม
“มัมมี่ตูตันส์ที่สองมีความผิดปรกติอย่างไร?”
บนผิวกระจกแต่งหน้า ถ้อยคำสีแดงเลือดเริ่มแปรเปลี่ยน เรียงตัวเป็นประโยคที่สมบูรณ์
“เป็นคำสาป… รูปแบบหนึ่งของคำสาป… มีโอกาสกลายเป็นซอมบี้ด้วยตัวเอง”
มัมมี่ต้องสาป? สมกับเป็นที่ศพของผู้วิเศษลำดับสูง… แล้วต้องแก้ไขยังไง? ไคลน์หันไปมองชารอนและมาริค พบว่าสีหน้าของทั้งคู่ยังคงเยือกเย็น ไม่เผยความประหลาดใจ คล้ายกับรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว และมีวิธีแก้คำสาปมัมมี่
ถึงชารอนจะชอบทำหน้านิ่งตลอดเวลา แต่อากัปกิริยาของมาริคสามารถตีความได้เช่นนั้น
หลังจาก ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสมอบคำตอบ ด้วยหลักการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ถึงเวลาที่มันต้องถาม
“เจ้า…”
“…มุ่งมั่นอย่างมากที่จะเลื่อนลำดับให้ได้ ทำไปเพื่อสิ่งใด?”
ในคราวนี้ ถึงจะตัวอักษรจะยังเป็นสีเลือด แต่ก็มิได้เข้มข้นเหมือนในช่วงแรก ตัวหนังสือซีดจางลงจากเดิมมาก
หมายความว่า อาโรเดสกำลังเกิดความขัดแย้งในตัวเอง? กำลังดิ้นรนและต่อสู้กับสัญชาตญาณจากก้นบึ้ง? ในแง่หนึ่ง เจ้านั่นอยากถามคำถามยากๆ หรือไม่ก็คำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันจดจำคำสั่งของเราและพยายามหักห้ามใจ? ไคลน์หัวเราะพลางครุ่นคิด
ชารอนที่สวมกระโปรงยาวซับซ้อนและหรูหรา ยืนเงียบงันอยู่สักพัก ก่อนจะเปิดปากพูด
“ในตอนแรก ฉันแค่ไม่อยากถูกรังแก… แต่ปัจจุบัน ฉันต้องการพลังเพื่อปกป้องตัวเองและคนรอบข้างไปพร้อมกับการแก้แค้น ไปพร้อมกับการเผยแผ่แนวคิด ‘ระงับแรงปรารถนา’ … หากทุกคนสามารถควบคุมแรงกระหายของตัวเอง โลกนี้ก็จะไม่มีสงคราม ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่มีใครต้องทุกข์ทรมาน”
ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเท่าที่จำความได้ ชารอนเป็นคนไม่พูดมากขนาดนี้
นั่นไม่ได้แปลว่าคำตอบในใจเธอจะสั้นและห้วนทุกครั้ง แต่คล้ายกับชารอนพยายามข่มใจไม่ให้อธิบายยืดยาวและเปล่าประโยชน์ เฉกเช่นการตอบคำถามแรก เธอเล่าเพียงประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือยและนอกประเด็น แต่กับคำตอบเมื่อครู่ เธออธิบายเสริมจากคำตอบหลักที่สามารถตอบได้สั้นๆ
นี่คือสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ในใจเธอมานานแล้ว และไม่มีโอกาสได้แสดงออก? ไคลน์พลันจินตนาการถึงทวีปใต้อันแสนวุ่นวาย
ชนพื้นเมืองที่นั่นต้องถูกกดขี่ ชนชั้นรากหญ้าต้องเสียชีวิตด้วยภาวะอดอยากไปมากมาย เป็นทวีปที่เต็มไปด้วยสงครามนองเลือด
ถ้าเราเกิดบนทวีปใต้และเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงปัจจุบัน ก็คงเป็นอีกหนึ่งคนที่ปรารถนาให้โลกนี้สงบสุข… จะว่าไป รูปลักษณ์ภายนอกของชารอนและมาริคไม่เหมือนชาวทวีปใต้สักเท่าไร… อา เราเคยได้ยินว่าชนชั้นสูงของอาณาจักรที่ราบสูงโบราณและอาณาจักรเพิร์ธเป็นชาวทวีปเหนือ พวกเธอก็คงเป็นหนึ่งในนั้น… ก่อนที่เทพมรณาจะร่วงหล่น ทวีปเหนือและใต้สามารถไปมาหาสู่กันอย่างสะดวก… นอกจากนั้น แม้ชารอนจะพูดถึงการแก้แค้น แต่เป็นก็ประโยคที่ฟังดูไม่หนักแน่นสักเท่าไร เธอถอดใจไปแล้ว หรือไม่ได้ต้องการแก้แค้นมากขนาดนั้น? ไคลน์พ่นลมหายใจเงียบ ค่อยๆ ฟังชารอนเล่นเกมถามตอบกับกระจกไปทีละเรื่อง
หลังจากทราบสถานการณ์เกี่ยวกับมัมมี่ตูตันส์ ชารอนถามอีกครั้ง
“นอกจากมาฮามูซี ผู้วิเศษลำดับสูงที่จะปรากฏตัวในกับดักคราวนี้มีใครบ้าง?”
ผิวกระจกแต่งหน้าผุดคลื่นน้ำกระเพื่อม ตามด้วยการเปล่งแสงสว่างจ้าปกคลุมทุกสิ่ง แต่ไม่มีภาพใดออกมา
หากพิจารณาจากความสามารถของอาโรเดส ผลลัพธ์เช่นนี้น่าจะเกิดจากการกีดขวางของสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 หรือไม่ก็เทวทูต… ไคลน์ถอนสายตากลับ หันไปยิ้มให้ชารอนและมาริค
“ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่ผมคิด… กองทัพโลเอ็นมีมาตรฐานป้องกันรัดกุมมาก”
ชารอนพยักหน้าเล็กน้อย มองไปที่กระจกแต่งหน้า รอให้อีกฝ่ายเริ่มตั้งคำถาม
ตัวอักษรสีแดงพลันแปรเปลี่ยนเป็นคำใหม่ทันที ไม่ได้เว้นวรรครอจังหวะเหมือนครั้งก่อนๆ
“เจ้าคิดอย่างไรกับอาจารย์ของตัวเอง?”
อาจารย์? ชารอนมีอาจารย์ด้วย? นั่นสินะ ในเมื่ออยู่ฝ่าย ‘ระงับแรงปรารถนา’ การจะเอาตัวรอดท่ามกลางนิกายฝั่งตรงข้ามไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องมีคนคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำ… นี่คือสาเหตุที่เธอและมาริคหลบหนีออกจากโรงเรียนกุหลาบสำเร็จ? ไคลน์รอฟังคำตอบจากอีกฝ่ายด้วยใจจดจ่อ
ชารอนเม้มปากตอบ
“ฉันเคารพรักท่านมาก”
‘ท่าน’ …? ไคลน์ผงะเล็กน้อย แต่ภายนอกยังเผยรอยยิ้ม
จากบรรดาองค์กรลับทั้งหมดที่ไม่ใช่เจ็ดโบสถ์หลัก เทวทูตเดินดินนั้นมีจำนวนเพียงหยิบมือ บางองค์กรมีไม่เกินสอง ชายหนุ่มเคยคิดว่าอาจารย์ของชารอนอย่างมากก็คงอยู่ในลำดับ 4 หรือ 3 มีฝีมือมากไปกว่า ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมน ใครจะรู้ ชารอนกลับเรียกอีกฝ่ายด้วยคำว่า ‘ท่าน’ สำหรับภาษาโลเอ็น ฟุซัคโบราณ หรือแม้กระทั่งภาษาคนยักษ์และเอลฟ์ คำว่า ‘ท่าน’ จะถูกใช้งานในเฉพาะกรณีพิเศษ จะไม่นำไปปะปนกับคำว่า เขา เธอ หรือมัน!
หลังจากผงะเล็กน้อย ไคลน์ตั้งสติและถอนหายใจรำพัน: พิจารณาจากข้อมูลปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงที่อาจารย์ของชารอนจะไม่ได้หลบหนีมาด้วยกัน บางที การที่ชารอนและมาริคหลบหนีสำเร็จ อาจหมายถึงการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของหัวหน้านิกาย ‘ระงับแรงปรารถนา’ แห่งโรงเรียนกุหลาบ… และในเมื่ออีกฝ่ายคือมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย ตอนนี้อาจารย์ของชารอนคงถูกกัดกัดกร่อน หรือไม่ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นสมบัติปิดผนึก อย่างใดอย่างหนึ่ง…
ผิวกระจกแต่งหน้ากลายเป็นสีทึบ ตัวหนังสือสีแดงสดเลือนหายไป
ผ่านไปสักพัก ข้อความใหม่แสดงขึ้น
“เชิญถาม”
“ฉันหมดคำถามแล้ว ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ” ชารอนยกชายกระโปรงทั้งสองข้างพร้อมกับโค้งศีรษะ
สิ้นเสียงหญิงสาว กระจกแต่งหน้ากลับเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว แสงสลัวภายในห้องบิลเลียดกลับมาสว่างอีกครั้ง
ชารอนมองหน้าไคลน์ กล่าวเสียงราบเรียบ
“พวกเราควรล้มเลิกแผนการ”
เห็นได้ชัดว่า เธอเองก็ตระหนักถึงสาเหตุที่คำถามสุดท้ายไม่มีผลลัพธ์ออกมา
ไคลน์ส่ายหน้า ยิ้มเล็กน้อย
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ให้ผมถามคุณอีกสักสองสามข้อ พวกเราอาจยังมีโอกาสลงมือโดยไม่ต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยง”
อย่างน้อย ผลการทำนายบนมิติหมอกก็ระบุว่าภารกิจนี้มีโอกาสสำเร็จ! ไคลน์รำพันเงียบภายในใจ
“คำถาม?” มาริคขมวดคิ้วฉงน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น