Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 869-874

 ราชันเร้นลับ 869 : รายงานให้ชายคนนั้น

ในเบ็คลันด์กำลังจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่? ผลสืบเนื่องมาจากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน? ขณะ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์และ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาคาดเดาพลางให้ความสนใจกับคดีการถูกใส่ร้ายของบารอนซินดราสและคดีลอบทำร้ายส.ส. มัคท์ พวกมันเตรียมใช้เครือข่ายข้อมูลส่วนตัวเพื่อสืบหาความจริงที่เกิดขึ้น


ทั้งสองคนไม่รีบร้อนถามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และแผนรับมือเป็นอย่างไร เพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่อธิบายอย่างละเอียด อย่างมากก็แค่แสดงความเห็นเล็กน้อย ดังนั้น แผนการเบื้องต้นของทั้งสองก็คือ รวบรวมข่าวกรองจากฝ่ายตัวเองให้ได้มากที่สุด ในตอนที่เกิดเหตุจะได้ทราบถึงผลกระทบที่จะตามมา และเรียบรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ขณะเดียวกัน พวกมันรู้สึกดีที่ตัวตนดอน·ดันเตสถูกเปิดเผยในชุมนุมทาโรต์ เพราะตนจะได้ติดตามข่าวสารได้ง่าย ขอเพียงให้ความสนใจกับชื่อของเศรษฐีรายนี้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ การร่วมมือทางอ้อมหรือทางตรงก็สามารถกระทำได้ง่าย แถมตัวตนดังกล่าวยังเป็นบุคคลปลอม จะสลัดทิ้งตอนไหนก็ไม่ใช่ปัญหา


ในทำนองเดียวกัน พวกเขายังสามารถ ‘เป็นพยาน’ อ้อมๆ ให้ดอน·ดันเตสได้ด้วย ช่วยให้เศรษฐีลึกลับรายนี้มีความสมจริงมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากอีกฝ่ายอ้างว่าเคยมีประสบการณ์ในทะเล ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาจะค่อยๆ ฝังข้อมูลเกี่ยวกับดอน·ดันเตสให้กับลูกเรือและพวกพ้องร่วมองค์กร ทำให้ทุกคนเชื่อว่าชายคนนี้มีตัวตนอยู่จริง และเมื่อหน่วยงานของทางการพยายามตรวจสอบ ก็จะพบว่าข้อมูลทั้งหมดถูกต้องและน่าเชื่อถือ!


หลังจากความเงียบงันปกคลุมสักพัก ขณะจัสติสเตรียมตอบสนอง เธอเห็นเดอะมูนเหยียดหลังตรง มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งพลางถามเสียงเรียบ


“ตัวตนนี้มีจุดประสงค์ใด? สองคดีที่มิสจัสติสพูดถึงมีเบื้องหลังเป็นยังไง? เกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่ใช่ไหม?”


ในฐานะชาวเบ็คลันด์ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของถิ่นอาศัย


ถามเก่ง… ทำไมไม่ลองตรวจสอบเองล่ะ? เราไม่อยากเข้าไปพัวพันกับวังวนพายุอีกแล้ว ถึงได้รีบสลัดให้หลุดออกจากสถานการณ์ดังกล่าว… ไคลน์จิกกัดเอ็มลิน·ไวท์เล็กน้อย ตามด้วยการบังคับให้เดอะเวิร์ลเผยรอยยิ้ม


“แน่นอน… เรื่องนี้กำลังรอการตรวจสอบเพิ่มเติม”


ความนัยที่แฝงมากับคำตอบนี้ก็คือ ทั้งสองคดีมีเบื้องหลังในเชิงลึกจริง แต่นั่นเป็นความลับ ฉันจะไม่บอกนาย เช่นเดียวกันกับจุดประสงค์ของดอน·ดันเตส อย่าถามให้เสียเวลา!


แม้ในบางครั้ง เอ็มลินจะเป็นพวกเข้าสังคมไม่เก่ง ก็ยังพอจะอ่านสีหน้าและความนัยแฝงจากประโยคเมื่อครู่ออก จึงเอนหลังพิงพนักพลางหัวเราะในลำคอ ทำทีว่าพึงพอใจกับคำตอบ


เมื่อออเดรย์เห็นภาพดังกล่าว เธอรีบหักห้ามมุมปากไม่ให้ยกขึ้น ก่อนจะหันไปพูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูล”


ในเวลานี้ ยิ่งครุ่นคิด ออเดรย์ก็ยิ่งพบว่าเป็นการดีที่เธอจะเข้าร่วมกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น เพราะถ้าในอนาคตต้องเผชิญกับความเสี่ยงหรือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถรับมือได้เอง เธอสามารถแจ้งมิสเตอร์เวิร์ลได้สะดวกขึ้น เพียงแค่เดินทางไปยังสำนักงานของกองทุน หมกตัวเองอยู่ในห้องที่ติดกับห้องของดอน·ดันเตส


ดีล่ะ หากสมาคมแปรจิตสงสัยเรา หรือต้องการทดสอบเรา ทางนี้ก็แค่นัดเจอกันที่สำนักงาน… ภาพลักษณ์ของดอน·ดันเตสแตกต่างจากมิสเตอร์เวิร์ลบนมิติหมอกโดยสิ้นเชิง… อา เกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นนักปลอมตัวมืออาชีพ ของแบบนี้คงสบายมาก… นอกจากนั้น ดอน·ดันเตสยังเป็นตัวตนที่ใช้ร่วมกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีข่าวลือว่าชื่นชอบสตรีหลากหลายวัย… นักฆ่าและนักผจญภัยเสียสติอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ คงมีรสนิยมเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์และไร้เดียงสา… ในฐานะผู้ชม ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะจินตนาการ


ในทางกลับกัน เมื่อได้ยินคำตอบจากอีกฝ่าย ไคลน์พลันเกิดความกระอักกระอ่วน


หมายความว่ายังไงที่บอกว่าขอบคุณ?


ไม่ใช่ว่าเธอต้องจ่ายค่าจ้างห้าร้อยปอนด์สำหรับภารกิจสอบสวนหรอกหรือ?


คิดว่านี่เป็นช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข่าวอิสระของชุมนุมทาโรต์รึไง!


แต่มันทำได้เพียงบังคับให้เดอะเวิร์ลผงกศีรษะ เลิกสานต่อบทสนทนาเกี่ยวกับดอน·ดันเตส หันไปมองหน้าเดอะซันและกล่าว


“แถวเมืองของคุณมีมารพิสดารอาศัยอยู่ไหม”


เดอะเวิร์ลเว้นวรรค ตามด้วยเสริม


“บางที พวกคุณอาจเรียกมันด้วยชื่ออื่น สรุปง่ายๆ ก็คือ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญการจำแลงกาย มีพลังพิสดาร แข็งแกร่งใกล้เคียงครึ่งเทพ ดวงตาโดดเด่นและเป็นจุดศูนย์รวมพลัง”


การจงใจเอ่ยว่ามีระดับใกล้เคียงครึ่งเทพ สิ่งนี้มิใช่คำโอ้อวด แต่เป็นการตักเตือนให้เดอะซันน้อยระวังตัว มารพิสดารคือสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งและอันตรายมาก


ขณะเดียวกัน ทั้งแคทลียาและอัลเจอร์มิได้ประหลาดใจกับคำพูดดังกล่าว เนื่องจากเดอะเวิร์ลคือตัวแทนของบรรดาข้ารับใช้มิสเตอร์ฟูล เป็นเรื่องปรกติที่จะซื้อวัตถุดิบระดับครึ่งเทพให้พวกพ้อง หรือแม้กระทั่งซื้อเตรียมไว้สำหรับตัวเอง เพราะปัจจุบัน ชายคนนี้อยู่ในลำดับ 5 การเตรียมวัตถุดิบล่วงหน้าคือพฤติกรรมปรกติ


ดูเหมือนสมาชิกทั้งหมดจะคิดตรงกันว่า มิสเตอร์เวิร์ลควรพัฒนาขึ้นไปจากลำดับ 5 ได้แล้ว


‘เดอะซัน’ เดอร์ริคไตร่ตรองสักพัก


“ในมีในรายการสัตว์ประหลาดทั่วไป แต่อาจเคยมีใครเคยเผชิญหน้า ผมจะลองสอบถามข้อมูลให้”


หุ่นเชิดเดอะเวิร์ลอืมในลำคอเล็กๆ ตามด้วยความเงียบ


จนกระทั่ง ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สล้มเหลวในการตามหาคำสาปและเศษเสี้ยวพลังวิญญาณของวิญญาณอาฆาตโบราณ ช่วงเวลาการซื้อขายก็ดำเนินมาถึงจุดจบ


ก่อนที่แฮงแมนจะหันไปถามเดอะซัน ฟอร์สจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์และชิงพูด


“ฉันเพิ่งฝันประหลาด เป็นฉากกรุสมบัติที่สมจริงมาก รวมไปถึง…”


เธออธิบายความฝันอย่างละเอียด ปิดท้ายด้วย


“ภาพดังกล่าวเกิดจากสัญลักษณ์ของ ‘โชคชะตา’ และ ‘การปกปิด’ ”


ขณะฟอร์สเตรียมหันไปทางเดอะฟูลเพื่อขออนุญาตวาดสัญลักษณ์ เดอะเวิร์ลเปล่งเสียง


“คุณหมายถึงสัญลักษณ์พวกนี้ใช่ไหม?”


เดอะเวิร์ลเป็นฝ่ายขออนุญาตและวาดสัญลักษณ์แทน


เป็นตราขนาดเท่าดวงตา บนพื้นผิวมีสัญลักษณ์ของโชคชะตาและการปกปิด


ชายหนุ่มได้ตรานี้มาจากศพลาเนวุส เป็นบัตรผ่านสำหรับเข้าร่วมชุมนุม ‘ผู้สันโดษแห่งชะตา’ แต่ไคลน์ยังไม่เคยลองเข้าร่วม


“หือ…?” หลังจากเพ่งมองสักพัก ฟอร์สรีบตอบ “ใช่… ไม่ผิดแน่ สัญลักษณ์นี้แหละ”


หลังจากตอบเสร็จ เธอเพิ่งตระหนักว่ามิสเตอร์เวิร์ลไม่ได้วาดสัญลักษณ์ แต่เป็นการแสดงภาพของวัตถุ!


ทันใดนั้น หญิงสาวพลันกระจ่าง


ดอน·ดันเตสเจาะจงอาศัยอยู่ในถนนเบิร์คลุนด้วยเหตุผลบางประการ!


ท่ามกลางความคิดดังกล่าว เธอได้ยินเสียงแหบพร่าของเดอะเวิร์ล


“สมบัตินั่นเป็นกับดัก”


เขารู้จักมัน… โชคดีที่เราเลือกปรึกษาผู้มีประสบการณ์… ฟอร์สถอนหายใจโล่งอก ยิ้มและตอบ


“ขอบคุณสำหรับคำเตือน”


ออเดรย์ซักถามด้วยความสงสัย


มิสเตอร์เวิร์ล สัญลักษณ์นี้หมายถึงสิ่งใด? ทำไมคุณถึงเรียกว่ากับดัก?


ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบง่ายๆ


“มันคือสัญลักษณ์แสดงถึงกลุ่มหัวขโมยที่เรียกตัวเองว่าผู้สันโดษแห่งชะตา”


ผู้สันโดษแห่งชะตา… หัวขโมย… แฮงแมนและเฮอร์มิททวนคำซ้ำ อาศัยประสบการณ์ส่วนตัวเพื่อคาดเดาความหมาย


รายแรกสงสัยว่าเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยกลุ่มของนักจารกรรม ส่วนรายหลังเชื่อว่าก่อตั้งโดยตระกูลเก่าแก่จากยุคสมัยที่สี่ ในทางกลับกัน หลังจาก ‘เดอะมูน’ เอ็มลินครุ่นคิดสักพัก มันพบว่าตนไม่เคยได้ยินสิ่งเหล่านี้เลย จึงตัดสินใจกลับไปปรึกษาผีดูดเลือดอาวุโส


สำหรับไคลน์ มันมีคำถามถัดไป


นักจารกรรมครึ่งเทพที่เคยถูกผนึกไว้ในส่วนลึกของท่อระบายน้ำยังไม่ได้ออกจากถนนเบิร์คลุน แต่ยังอาศัยใกล้ๆ กับเฮเซล แถมยังไม่ทำตัวสงบเสงี่ยม แต่กล้าสร้างอิทธิพลกับความฝันของมิสเมจิกเชี่ยน!


ท่าไม่ดีแล้ว เราไม่ควรปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจ…


ต้องขจัดภัยอันตรายซ่อนเร้นโดยเร็ว!


อา คงต้องติดต่อไปหานักกวีเพื่อนรัก แจ้งเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีทางที่คุณปู่ในตัวเขาจะไม่สนใจครึ่งเทพจากเส้นทางเดียวกัน แถมยังมีลำดับใกล้เคียงกัน…


ครุ่นคิดสักพัก เดอะฟูลที่เฝ้ามองสมาชิกด้วยท่าทีผ่อนคลายมาตลอด เริ่มยกมุมปากขึ้น


‘จัสติส’ ออเดรย์สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเดอะฟูลได้อย่างเลือนราง จึงพึมพำในใจ


กลุ่มหัวขโมยที่เรียกตัวเองว่าผู้สันโดษแห่งชะตา ที่จริงแล้วเป็นสหายเก่าของมิสเตอร์ฟูล?


จนกระทั่งหัวข้อความฝันเกี่ยวกับกรุสมบัติจบลง คล้ายกับแคทลียาฉุกคิดบางสิ่ง รีบหันไปพูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ดิฉันจะส่งรายงานข้อมูลที่คุณต้องการภายในสัปดาห์นี้”


ปัจจุบัน เธอเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายรวบรวมข้อมูลของไบลัมตะวันตกไปทำไม แต่เธอไม่ใช่เดอะมูนหรือเดอะซันที่คิดจะถามก็ถาม ต้องมีการตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเองเสียก่อน


“ตกลง” หุ่นเชิดเดอะเวิร์ลพยักหน้ารับ ส่วนไคลน์ร่างต้นแอบถอนหายใจพลางรำพันว่า การมีองค์กรลับเช่นนี้ช่างสะดวกสบาย


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล่าวสิ่งใด แฮงแมนเอียงคอพลางหันไปถามเดอะซัน


“มีความคืบหน้าของอนุสาวรีย์บรรจุศพอดีตเจ้าเมืองบ้างไหม?”


‘เดอะซัน’ เดอร์ริคตอบอย่างละอายใจ


“ผมเพิ่งมีเพื่อนเพิ่มแค่สองคน”


ในฐานะผู้วิเศษเส้นทางสุริยัน การดวลกับพวกพ้องอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม สิบครั้งแทบไม่ชนะเลยสักครั้ง อาศัยการถูกอัดประหนึ่งกระสอบทราบเพื่อผูกมิตรกับบรรดาสหายเก่า แต่ก็เรียกว่าเพื่อนได้เพียงสองคน


โดยไม่รอให้แฮงแมนตอบสนอง มันรีบเสริม


“แต่ผมได้ยินมาว่า หกสภาอาวุโสกำลังหาทางเปิดอนุสาวรีย์บรรจุศพออก เพราะไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาต้องการเก็บกู้ตะกอนพลังคืนมา”


สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่มีใครมองว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องเสียมารยาท การปล่อยทิ้งให้สูญเปล่าต่างหากที่ไม่ถูกต้อง!


อัลเจอร์พยักหน้ารับเล็กน้อย เรียบเรียงคำพูดที่เตรียมไว้


“ทำได้ดีแล้ว… คนเราจะช่วยเหลือกัน ไม่จำเป็นต้องสนิทถึงขั้นที่เรียกว่าเพื่อนได้เต็มปาก ขอเพียงรู้จักคนให้มาก ข้อมูลก็จะหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายเอง”


ราชันเร้นลับ 870 : คำถามแทงใจ

ได้ยินเช่นนั้น ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคอึ้งไปสองสามวินาที ความละอายใจเริ่มจางหาย กล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ


“ผมจะเร่งมือสืบสวนเรื่องนี้ในเชิงลึก”


ผมจะพยายามสืบจากเครือข่ายข้อมูลสองแหล่งนี้… ไม่สิ เพื่อน… ก่อนที่ชุมนุมทาโรต์ครั้งหน้าจะเริ่มขึ้น… เดอร์ริคตั้งเป้าหมายใหม่ในใจอย่างรวดเร็ว


ได้เห็นเช่นนั้น ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบเสียงแหบพร่า


“หากเกี่ยวข้องกับขอบเขตของเทพมรณา คุณสามารถปรึกษาผมได้โดยตรง”


เพราะฉันจะนำไปถามมิสเตอร์อะซิกต่อ… ชายหนุ่มพึมพำเงียบ


สำหรับเห็ดใหม่ของแฟรงค์·ลี ไคลน์ยังไม่มีความคิดที่จะส่งให้เดอะซันน้อยตอนนี้ เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์ ‘ผล’ ของพวกมันยังเต็มไปด้วยการปนเปื้อนและจิตคลุ้มคลั่ง


“ขอบคุณครับมิสเตอร์เวิร์ล” เดอร์ริคกล่าวขอบคุณจากก้นบึ้ง


หลังจากสนทนาอีกสักพัก ชุมนุมทาโรต์เข้าสู่ช่วงเวลา ‘คาบเรียน’ จนกระทั่งสิ้นสุดลง


กลับถึงโลกความจริง ไคลน์เตรียมสะสางปัญหาเกี่ยวกับครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมตนนั้น แต่เพียงไม่นานก็พบอุปสรรคตั้งแต่ขั้นตอนแรกของแผนการ


มันไม่รู้ว่าจะตามหาเลียวนาร์ด·มิเชลและคุณปู่ปรสิตได้ที่ไหน!


วิหารนักบุญแซมมวล? จริงอยู่ที่เลียวนาร์ดน่าจะอาศัยอยู่ชั้นใต้ดินของที่นั่นเป็นหลัก แต่เราเข้าไปไม่ได้… เลียวนาร์ดจะเข้าไปสวดมนต์ในวิหารสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง แถมเวลาก็ยังไม่ตายตัว หรือเราควรไปดักรอในโถงสวดมนต์วันละสามเวลาตลอดหนึ่งสัปดาห์? แผนอะไรล่ะนั่น? แถมยังอาจไม่สำเร็จด้วยซ้ำ เลียวนาร์ดเป็นถุงมือแดง จะออกไปทำคดีนอกเบ็คลันด์ตอนไหนก็ไม่มีทางเดาได้… ไคลน์รำพันด้วยความเศร้า นึกเสียดายที่ตนเอาแต่วางเชิงและใช้คารมคมคายกลั่นแกล้งเลียวนาร์ด จนลืมขอวิธีในการติดต่อ


เราควรพูดกับเลียวนาร์ดว่า ‘ผมจะบอกไคลน์·โมเร็ตติเรื่องที่ตัวตนของเขาถูกเปิดโปง ถ้าเขามีสิ่งใดจะพูดกับคุณ เขาจะฝากผมมาเป็นคนกลาง’ ด้วยวิธีนี้ เราก็จะขอช่องทางการติดต่อได้ไม่ยาก… ไคลน์ถอนหายใจ พบว่าตนเหลือเพียงทางเลือกเดียว


นั่นคือการถามกระจกวิเศษ!


หลังจากวาดสัญลักษณ์ ‘ส่องความลับ’ และ ‘การปกปิด’ บนกระดาษ ไคลน์หันไปมองกระจกเต็มบาน เฝ้ามองแสงสีขาวซีดที่ปรากฏขึ้นและรวมตัวกันเป็นข้อความภาษาโลเอ็น


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่และสูงส่ง อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ถ่อมตนและซื่อสัตย์ของท่าน มาตามการเรียกหาของท่านแล้ว… ก่อนจะตอบคำถาม ข้าอยากจะกล่าวว่า… ข้าผิดไปแล้ว! ผิดไปแล้วจริงๆ!”


ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย


“ทำไมจู่ๆ ถึงยอมรับผิด?”


บนกระจก ข้อความสีขาวภาษาโลเอ็นเรียงตัวเป็นคำใหม่


“สรุปโดยสั้น ข้าเป็นฝ่ายผิดเอง…”


หลังจากจุดไข่ปลา ข้อความเรียงเป็นคำใหม่อีกครั้ง


“ในพักหลัง มีหลายคนถามเกี่ยวกับตัวตนของนายท่าน… ส่งผลให้ข่าวลือล่าสุดของนายท่านแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง”


หมายความว่า ข่าวลือที่ดอน·ดันเตสชื่นชอบสตรีทุกวัยขอเพียงมีเสน่ห์ ได้กระจายไปยังทุกซอกมุมของเมืองแล้ว ถึงขนาดที่แม้แต่มิสจัสติสก็เคยได้ยิน? แบบนี้ก็ไม่เลว เราสามารถอธิบายได้ว่า เป็นเพราะดอน·ดันเตสคือ ‘ตัวตนร่วม’ ของเหล่าข้ารับใช้ จึงมีรสนิยมทางสตรีหลากหลาย… หึหึ ดูเจ้ากระจกนี่สิ กำลังหวาดกลัวไม่ใช่หรือไง? ไคลน์แอบขบขัน ก่อนจะกล่าวต่อ


“ถึงตาเจ้าถาม”


กระจกเต็มบานสร้างประโยคใหม่ด้วยตัวอักษรสีขาว


“นายท่านจะยกโทษให้ข้าหรือไม่? ไม่สิ ท่านจะให้โอกาสข้าได้แก้ตัวหรือไม่?”


ทัศนคติยอดเยี่ยม… ไคลน์ชื่นชมในใจ ภายนอกกล่าวเสียงเรียบ


“ทำงานให้หนักขึ้น”


“ขอรับนายท่าน!” บนผิวกระจก ข้อความสีขาวซีดพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินระยิบระยับ “นายท่านอัญเชิญข้า แปลว่ามีเรื่องอยากถามข้าใช่ไหม?”


ไคลน์ผงกศีรษะ


“ถูกต้อง… เลียวนาร์ด·มิเชลจะอยู่ที่ไหนในช่วงสองสามวันถัดไป”


ตัวอักษรสีเงินสว่างบิดเบี้ยวก่อนจะจัดเรียงเป็นคำใหม่


“บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์”


ใต้ข้อความ ผิวกระจกกระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำ ก่อตัวเป็นรูปภาพหนึ่ง


เป็นบ้านแถวติดถนน ชายหนุ่มผมดำตาเขียวเตรียมจะหยิบกุญแจไขประตู


ยังอยู่ที่เดิมสินะ… ถ้าเราไปเยี่ยมโดยตรง คงสูญเสียภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของดอน·ดันเตส นั่นไม่ใช่เรื่องดี… ให้เอ็มลินแวะไปเยี่ยมแทน? แบบนั้นเพื่อนรักนักกวีอาจสืบทราบว่า แวมไพร์ตนนี้ใกล้ชิดกับนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้… ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เรายังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานภาพของคุณปู่ปรสิต การให้ ‘ของขวัญ’ เขาอาจทำให้สถานการณ์ฝั่งเราแย่ลง อาจทำให้เลียวนาร์ดเดือดร้อน… เนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้องกับอันตรายของตัวเราโดยตรง การทำนายบนมิติหมอกคงไม่ได้ผลลัพธ์… หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนแผน


แทนที่จะบอกให้ปู่ปรสิตในตัวเลียวนาร์ดทราบเกี่ยวกับครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม สู้ใช้ชื่อของพาลีส·โซโรอาสเตอร์หรืออามุนด์เพื่อข่มขู่ให้อีกฝ่ายออกจากบล็อกถนนไม่ดีกว่าหรือ? วิธีนี้นับว่าประนีประนอมและสร้างความวุ่นวายน้อยกว่า!


แน่นอน นั่นอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า เราต้องไม่เปิดเผยตัวเอง… ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถามต่อ


“ครึ่งเทพที่อยู่กับเฮเซล ตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”


บนผิวกระจกเกิดคลื่นน้ำกระเพื่อม เผยให้เห็นฉากเคลื่อนไหว


บนพรมหนานุ่มที่ปักลวดลายงดงาม ท่ามกลางชุดโซฟาบุหนัง บนโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่งที่ปกคลุมด้วยขนสัตว์สีขาว หนูสีเทากำลังนอนนิ่งอย่างสบายใจ เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน ดวงตาของมันมีสีแดงเข้มผิดปรกติ


หนู… ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมกลายเป็นปรสิตในร่างหนู? ตอนนี้กำลังนอนกลางวันอย่างสบายใจบนโซฟาหรูหราในห้องส่วนตัวของเฮเซล? เพราะเราเข้าไปขัดขวาง อีกฝ่ายจึงต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้? ไคลน์ผงะในตอนแรก ก่อนจะหัวเราะในลำคอ


เมื่อฉากแปรเปลี่ยน ข้อความบนกระจกเรียงกันเป็นประโยคใหม่


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ต้องการให้ข้าลงมือหรือไม่?”


กระตือรือร้นมาก… ไคลน์อืมในลำคอ


“ใช้กระจกภายในห้องดังกล่าว ตักเตือนครึ่งเทพรายนั้น… บอกกับอีกฝ่ายว่า ในละแวกนี้ยังมีเทวทูตบนเส้นทางนักจารกรรมที่ไม่เป็นมิตรอาศัยอยู่หนึ่งตน นอกจากนั้น อามุนด์ยังสามารถปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ”


“ขอรับนายท่าน! ข้าจะลงมือทันที!” ตัวอักษรบนกระจกส่องแสงสีเงินระยิบระยับ



ในห้องนอนเฮเซล สัมผัสวิญญาณของหนูสีเทาถูกกระตุ้นกะทันหัน จึงรีบยืนขึ้นและหันไปมองกระจกเงาเต็มบานในห้อง


บนผิวกระจก ถ้อยคำที่ราวกับเขียนจากเลือดสดซึ่งยังไม่แห้ง ค่อยๆ เรียงกันทีละตัว


“ออกไปจากบล็อกถนนนี้!”


ดวงตาของหนูสีเทาชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากถาม


“ทำไม?”


ตัวอักษรที่ดูคล้ายเลือดสดค่อยๆ เรียงตัวเป็นคำใหม่


“ในละแวกใกล้เคียงมีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมที่กำลังกระหายพลัง ผู้วิเศษลำดับสูงบนเส้นทางเดียวกันย่อมถูกมองเป็นศัตรู ไม่เพียงเท่านั้น ผู้เย้ยเทพอามุนด์กำลังตรงมาที่นี่… ข้าเตือนเจ้าเพราะไม่อยากให้พวกมันได้ประโยชน์”


หนูส่งเสียงเล็กๆ พร้อมกับถามลุ่มลึก


“แล้วเจ้าเป็นใคร?”


มันกำลังหงุดหงิด หงุดหงิดเรื่องที่พลังซึ่งอุตส่าห์สั่งสมมาอย่างยากลำบาก กลับถูกใช้ไปอย่างสูญเปล่าจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ส่งผลให้ไม่สามารถทำนายยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันด้วยโหราศาสตร์


กระจกเงามืดลงตอนไหนไม่มีใครทราบ ถ้อยคำเปื้อนเลือดเลือนหายไปก่อนจะแทนที่ด้วยประโยคใหม่


“ข้าตอบคำถามของเจ้าแล้ว ตามหลักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เจ้าต้องตอบคำถาม”


ถัดมา ข้อความเลือดบรรทัดใหม่ถูกเขียนเพิ่มเติมด้านล่าง


“หลังจากรีบร้อนสิงร่างหนูในฐานะปรสิต เจ้าคงได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนและโครงสร้างทางชีวภาพ คำถามของข้าก็คือ เจ้าอยากจะผสมพันธุ์กับใครในตัวเลือกเหล่านี้: มนุษย์เพศหญิง มนุษย์เพศชาย หนูตัวเมีย หนูตัวผู้ หรืออะไรก็ได้? จงตอบ”


ในเวลาเดียวกัน เฮเซลเปิดประตูห้องเข้ามา แต่คล้ายกับหนูสีเทาไม่ได้เอะใจหรือสังเกตเห็น


เมื่อประตูเปิดแง้ม เฮเซลเห็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าครึ่งเทพซึ่งมีอยู่แค่ในตำนาน กำลังจ้องไปยังกระจกเงาด้วยสายตาเหม่อลอย ประหนึ่งหลงใหลในรูปลักษณ์ปัจจุบันเสียเต็มประดา รูปลักษณ์ที่ว่าคือหนูสีเทาดวงตาสีแดง


หือ… เฮเซลขมวดคิ้ว ชะงักมือที่กำลังผลักประตูโดยไม่รู้ตัว


จากนั้น เธอเห็นหนูสีเทากำลังตัวสั่น ดวงตาสีแดงปรากฏความเกรี้ยวกราดชัดเจน


“อย่ามาล้อเล่นกับข้า!” หนูสีเทาคำรามต่ำ


ขณะเตรียมวิ่งออกจากห้อง ร่างกายของมันพลันถูกพันธนาการด้วยบ่วงล่องหน!


หากเป็นสถานการณ์ปรกติ มันคงไม่ต้องกังวลกับอิทธิพลเล็กน้อยแค่นี้ แต่ปัจจุบัน พลังที่มันสั่งสมมาถูกใช้ไปจนเกือบหมดกับการสร้างความฝันให้กับผู้วิเศษที่ดอน·ดันเตสจ้างมาเป็นบอดี้การ์ด


เปรี้ยง!


สายฟ้าสีเงินเส้นใหญ่ผุดขึ้นจากความว่างเปล่า ผ่าลงมายังกลางกระหม่อมของหนูสีเทา


การมองเห็นของเฮเซลสว่างวาบไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนมาทีละนิด จนกระทั่งเธอพบว่าหนูสีเทากำลังนอนหงายอยู่บนพื้นในสภาพไหม้เกรียม เท้าทั้งสี่ชักกระตุกแผ่วเบา


ราชันเร้นลับ 871 : คณะกรรมการ

เกิดอะไรขึ้น? เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนเฮเซลที่อ่อนต่อโลกทำตัวไม่ถูก ยืนอึ้งไปสักพักก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไป


เมื่อเดินมาใกล้หนูสีดำไหม้เกรียม สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าครึ่งเทพพลิกตัวลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างใจเย็น


“เจ้าลืมปิดประตู”


“อะ…” เฮเซลชะงักเล็กน้อย เพิ่งตระหนักว่าเธอรีบร้อนเข้ามาดูอาการจนลืมปิดประตูตามความเคยชิน นั่นก็เพื่อไม่ให้สาวใช้แอบมองเข้ามา


เมื่อเห็นอาการของหนูสีเทาไม่น่าเป็นห่วง เธอเม้มปากเล็กน้อย หันหลังกลับและเดินไปปิดประตู


ระหว่างทาง เธอไม่ลืมที่จะมองเข้าไปในกระจกเงา พบว่ากระจกบานนี้ยังคงสะท้อนทุกสิ่งในห้องตามปรกติ ไม่มีสิ่งใดแปลกไป


เมื่อประตูปิดสนิท เฮเซลส่งเสียงถาม


“อาจารย์ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”


หนูสีเทาที่ไหม้เกรียมหันศีรษะไปด้านข้าง มองออกไปนอกหน้าต่าง


“ในโลกแห่งศาสตร์เร้นลับ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติล้วนแล้วแต่อันตราย ห้ามประมาทเด็ดขาด… ข้าแค่ลองทำนายด้วยกระจกวิเศษ แต่กลับลงเอยด้วยการติดต่อกับตัวตนลึกลับภายนอก ส่งผลให้พวกเราปะทะกันสักพัก สุดท้ายข้าสามารถช่วยให้ถนนบล็อกนี้ปลอดภัย”


หนูสีเทาเล่าอย่างคล่องแคล่ว ปราศจากอาการติดขัดหรือไม่ต่อเนื่อง คล้ายกับสายฟ้าเมื่อครู่เป็นเรื่องเล็ก


แบบนี้นี่เอง… แล้วทำไมคุณถึงไม่เคยเตือนมาก่อน… เฮเซลขมวดคิ้ว จมูกเริ่มได้กลิ่นไม้ที่ผสมผสานระหว่างเส้นขนและไขมัน


โดยไม่รอให้หญิงสาวตอบกลับ หนูสีเทาหันหน้าไปทางระเบียง กล่าวโดยไม่มอง


“ด้วยเหตุนี้ ร่างกายข้าจึงเสื่อมถอยลงหลายระดับ ไม่เหมาะแก่การอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นอาจถูกคนของโบสถ์รัตติกาลพบตัว… อา เจ้าช่วยหาโอกาสส่งข้าไปยังคฤหาสน์ที่ชานเมืองหน่อยสิ”


มองไปยังหนูขนสีดำที่กำลังส่งกลิ่นคล้ายบาร์บีคิว เฮเซลเงียบงันสักพักก่อนจะขจัดความสงสัยและพยักหน้า


“ตกลง”



บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน


ไคลน์ที่กำลังนอนบนเก้าอี้เอนหลัง มองเห็นคลื่นน้ำกระเพื่อมบนผิวกระจกเงาเต็มบ้าน ตามด้วยส่องแสงสีเงินสว่าง


ตัวอักษรเรียงกันเป็นประโยคทีละคำ


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ถ่อมตนของท่านปฏิบัติตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมรายนั้นถูกตักเตือนเบื้องต้น และข้าได้ลงโทษหล่อนไปเล็กน้อย”


หล่อน? ขณะไคลน์พึมพำสรรพนามที่อาโรเดสใช้เรียกอีกฝ่าย กระจกเงาส่องแสงพร้อมกับเปลี่ยนฉาก


สายฟ้าสีเงินปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ผ่าใส่หนูสีเทาจนร่างกายชักกระตุกและล้มลง


นี่มัน… ไม่อ่อนแอไปหน่อยหรือ? ไคลน์เริ่มตระหนักว่าสถานการณ์ของครึ่งเทพรายนี้อาจเลวร้ายกว่าที่ตนคิด


“นายท่านพอใจกับผลลัพธ์ไหม?” เส้นสีเงินสว่างแปรเปลี่ยนเป็นคำถามอย่างรวดเร็ว


“ไม่เลว” ไคลน์พยักหน้า


พิจารณาสภาพของครึ่งเทพสักพัก ชายหนุ่มเว้นวรรคก่อนจะถามด้วยความลังเล


“ทำไมเจ้าไม่ฆ่าหล่อนเสีย?”


อาโรเดสร่างข้อความสีเงินทีละตัว


“หากไม่มั่นใจว่าจะปลิดชีพครึ่งเทพได้ในคราวเดียว ก็ไม่ควรบีบให้จนตรอกเกินไปนัก… หากพวกเขาเหล่านี้หยุดยับยั้งชั่งใจ ปลดปล่อยจิตใจตัวเองโดยสมบูรณ์ ร่างกายจะแปรเปลี่ยนสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์และขาดสติ… โดยส่วนมาก ครึ่งเทพที่ดูเหมือนจะอ่อนแอผิดปรกติ ความจริงเป็นเพราะกำลังข่มจิตใจมิให้คลุ้มคลั่ง… ข… ข้าไม่ได้ไปที่นั่นด้วยร่างจริง จึงทำได้เพียงมอบบทลงโทษเล็กๆ น้อยๆ”


ขณะที่บรรทัดสุดท้ายถูกเขียน ผิวกระจกมีการกระเพื่อมสองครั้ง ไคลน์สัมผัสได้ว่า สิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังมองตนด้วยความเสียใจและสำนึกผิด


ชายหนุ่มไม่ตอบสนอง เพียงพยักหน้าและกล่าว


“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ถ้าติดขัดตรงไหน ข้าจะอัญเชิญเจ้ามาอีกครั้ง”


“ขอรับนายท่าน~” ผิวกระจกถูกวาดด้วยสัญลักษณ์โบกไม้โบกมือ


หลังจากเก็บกวาดเสร็จ ไคลน์งีบช่วงบ่าย ก่อนจะเปิดประตูและเดินออกจากห้องนอนใหญ่


ถัดมาไม่นาน พ่อบ้านวอลเตอร์ที่สวมถุงมือสีขาว เดินเข้ามาในห้องกึ่งเปิดโล่งและกล่าวกับนายจ้าง


“นายท่าน มีจดหมายจากทางศาสนจักรถูกส่งมาถึง เชิญชวนให้นายท่านรับตำแหน่งคณะกรรมการ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น’ นายท่านสามารถเลือกทำงานเต็มเวลา ได้รับเงินเดินที่สมน้ำสมเนื้อ หรือจะดำรงตำแหน่งในฐานะคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ ไม่ได้รับเงินเดือน แต่สามารถเข้าร่วมอภิปรายหรือลงมติในประเด็นสำคัญ”


ศาสนจักรทำงานเร็วมาก… วางผังองค์กรถึงขั้นนี้แล้ว… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก พบว่าตนที่บริจาคเงินไปมากกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์ ไม่ควรรับเงินเดือนหรือสิ่งตอบแทนใดๆ จากกองทุนนี้ จึงครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ


“เป็นคณะกรรมการกิตติมศักดิ์… แต่ผมหวังว่าจะมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายบางเรื่องของกองทุน เพื่อให้การช่วยเหลือส่วนรวมมีประสิทธิภาพและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น”


“ผมจะนำไปถ่ายทอดให้ศาสนจักรทราบ” วอลเตอร์ตอบขึงขัง “หากนายท่านไม่มีคำถามอื่นและไม่ติดขัดตรงไหน เช้าวันพุธจะมีการก่อตั้งกองทุนอย่างเป็นทางการ ผมขอแนะนำให้นายท่านเข้าร่วม”


ไคลน์หยิบถ้วยกระเบื้องเคลือบ จิบชาดำหนึ่งคำ


“ตกลง”



บนฝันทองคำ เดนิสยืนอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือ มองไปยังท้องทะเลสีครามด้วยสีหน้าหม่นหมอง


หลังจากถูกเกอร์มัน·สแปร์โรว์กระตุ้นเป็นหนที่สอง มันพบว่าตนไม่ควรประวิงเวลาอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นเงินค่าหัวโดยไม่รู้ตัว


เราไม่อยากกลายเป็นกองธนบัตรตอนนอน… ถึงถูกจะสงสัยก็ต้องยอม! เดนิสยิ้มขื่นขมกับตัวเอง รวบรวมความกล้าหาญเดินไปยังห้องกัปตัน


เนื่องจากไม่มีเบาะแสของแอนเดอร์สัน·ฮู้ดในเร็ววัน มันไม่มีทางเลือกนอกจากเผชิญหน้ากับพลเรือโทธารน้ำแข็งโดยตรง


เมื่อเดินมาถึงจุดหมาย เดนิสสูดลมหายใจเข้าลึกสามครั้ง เตรียมใช้นิ้วเคาะประตู


ทันใดนั้น เสียงของพลเรือโทธารน้ำแข็งดังมาจากด้านใน


“เข้ามาได้”


“…” มือขวาเดนิสชะงักกลางอากาศ ฝืนยิ้มแห้ง เปิดประตูและเดินเข้าไป


มันเห็นกัปตันกำลังนั่งหลังโต๊ะอ่านหนังสือ ถือปากกาหมึกซึมสีแดงเข้ม ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายกำลังเขียนสิ่งใด


“กัปตัน ผมมีบางสิ่งอยากปรึกษา” เดนิสขยับเข้าไปใกล้ โน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม


เอ็ดวิน่าวางปากกาลง จับชายเสื้อลายลูกไม้ มองหน้าเดนิสและถาม


“คุณอยากทราบเกี่ยวกับไบลัมตะวันตกใช่ไหม?”


“เอ๋…?” เดนิสเผยสีหน้าตกตะลึง


กัปตันรู้อยู่แล้ว?


ต้องเป็นไอ้พวกแม่เย็*อย่าง ‘ถังไม้’ กับ ‘กายาเหล็ก’ แน่! พวกมันเอาไปบอกกัปตัน!


เข้าใจแล้ว… บนเรือลำนี้ไม่มีความลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกัปตัน!


หลังจากสบถในใจ เดนิสเผยรอยยิ้ม


“ใช่ ก็อยากที่คุณทราบ ผมสนใจประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์มาก…”


ดวงตาที่ใสราวกับน้ำพุของเอ็ดวิน่าขยับเล็กน้อย มองออกไปนอกหน้าต่าง


“สำหรับการเมืองภายในของที่นั่น…”


ไม่รอให้เดนิสหาข้ออ้างเพิ่มเติม เธอพึมพำโดยไม่มองหน้า


“ในไบลัมตะวันตกมีทั้งเมืองที่บริหารโดยชาวโลเอ็น หุบเขาที่ปกครองโดยอินทิส มีนายพลของชนพื้นเมืองที่ได้รับการหนุนหลังโดยโลเอ็น มีบางชนเผ่ารับคำสั่งจากกองทัพอินทิส นอกจากนั้นยังมีบางแคว้นที่รักษาสมดุลระหว่างสองขั้วอำนาจ รวมถึงแคว้นอิสระที่แอบติดต่อกับนิกายวิญญาณ กลุ่มนี้จะเป็นศัตรูโดยตรงกับกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นทายาทมรณา นอกจากนั้น โรงเรียนกุหลาบและจักรวรรดิฟุซัคยังมีอิทธิพลในไบลัมตะวันตกอย่างลับๆ ฉากหน้าอาจไม่ได้สนับสนุนฝ่ายใดจริงจัง แต่มีนายพลและผู้นำหลายคนยอมจำนวนต่อพวกมัน… จากบรรดาทั้งหมด…”


เดนิสถึงกับผงะ ก่อนจะยิ้มและรีบยกมือ


“กัปตัน ผ…ผมต้องการจด”


ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางจำได้หมด!


เอ็ดวิน่าที่ถูกขัดจังหวะมิได้เผยความโกรธ เพียงชี้ไปยังปากกาหมึกซึมบนโต๊ะ


“นี่เป็นนิสัยที่ดี… และฉันคิดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คงไม่อยากได้ข้อมูลผิดๆ กลับไป”


อะ…? เป็นอีกครั้งที่เดนิสเผยสีหน้าตกตะลึง



ไบลัมตะวันตกช่างวุ่นวาย… กระทั่งผู้นำกลุ่มเล็กๆ ก็ยากจะคาดเดาว่าทำงานให้ใคร มีใครคอยหนุนหลัง… โรงเรียนกุหลาบมีอิทธิพลอย่างมากที่นั่น? หมายความว่าภารกิจของเราจะยิ่งยากขึ้นไปอีก… หลังจากอ่านจดหมายที่มิสผู้ส่งสารมาส่ง ไคลน์จับประเด็นสำคัญและวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว


นั่นทำให้มันรู้สึกว่า ตนไม่ควรไปเยือนไบลัมตะวันตกตามลำพัง เว้นเสียแต่มิสเตอร์อะซิกจะพาไป


ราชันเร้นลับ 872 : ผลการสื่อวิญญาณ

หลังเฝ้ามองผู้ส่งสารจากไป ไคลน์ก้มมองจดหมายในคือ ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาของไบลัมตะวันตกอีกครั้ง


ชายหนุ่มเชื่อว่า ตนต้องเตรียมใจว่ามิสเตอร์อะซิกจะไม่ติดต่อกลับตลอดหนึ่งเดือนถัดไป กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อย่างเข้าต้นเดือนกรกฎาคม มันอาจต้องเดินทางไปยังไบลัมตะวันตกกับคนของกองทัพสองสามนาย ปราศจากความคุ้มครองจาก ‘กงสุลมรณะ’ ส่งผลให้ง่ายต่อการถูกโรงเรียนกุหลาบไล่ล่า


อนาคตของเรามีสองแบบ ถ้าทำนายยืนยันแล้วว่าอันตรายมาก เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากสละตัวตนดอน·ดันเตส แต่ถ้ายังอยู่ในขอบเขตที่พอรับได้ เราก็ต้องคำนึงถึงรายชื่อ ‘ลูกค้า’ อย่างจริงจัง ไม่เอาตัวเข้าไปพัวพันกับฝ่ายใดที่อาจเกี่ยวข้องกับโรงเรียนกุหลาบ… อา ควรมีเป้าหมายในใจไว้ก่อน จะได้กำหนดแนวทางรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้ถูก… ข้อมูลของเดนิสน่าจะมาจากพลเรือโทธารน้ำแข็ง… มีนายพลของชนพื้นเมืองที่น่าสนใจอยู่สองคน… เพราะกองกำลังฝ่ายอื่นๆ ถ้าไม่ใกล้ชิดกับโลเอ็น อินทิส ฟุซัค และเฟเนพ็อต ก็จะดำรงอยู่โดยการคานอำนาจจากภายนอกให้สมดุล แต่เฉพาะนายพลสองคนนี้เท่านั้นที่ไม่ถูกระบุว่าเจรจากับอาณาจักรใดเป็นพิเศษ มีเพียงการติดต่อกับนิกายวิญญาณ… ไคลน์ที่อ่านเนื้อหาจบ วิเคราะห์และวางแผนอย่างคลุมเครือ


ชายหนุ่มสันนิษฐานว่า นายพลพื้นเมืองสองคนนี้น่าจะทำงานให้กับโบสถ์ปัญญาความรู้ เนื่องจาก ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าไม่ลงลึกรายละเอียดของพวกเขา เป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความพิเศษ บอกใบ้อ้อมๆ ว่าสามารถร่วมมือกับพวกเขาได้


ด้วยเหตุนี้ เธอไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลของทั้งสองนายพลจะรั่วไหลผ่านเดนิส เพราะไม่มีการส่งต่อข้อมูล มีเพียงการขาดหายไปของข้อมูลที่เป็นจุดบอกใบ้และเบาะแส


เมซันเญส… คาทามี่… รายแรกได้รับการสนับสนุนจากเบื้องบนของนิกายวิญญาณ ส่วนรายหลังอ้างตัวว่าเป็นลูกหลานของเทพมรณา… หึหึ ต่อให้เป็นความจริง แต่ก็ผ่านมาแล้วกี่รุ่น? นอกจากนั้น ถ้าเจอมิสเตอร์อะซิก ชายคนนั้นจะเรียกกงสุลมรณะว่าอะไร? ไคลน์หัวเราะในลำคอ เผากระดาษจดหมายทิ้ง


ถัดมา ชายหนุ่มเพลิดเพลินไปกับชายามบ่ายในห้องกึ่งเปิดโล่งที่มีระเบียงใหญ่ ก่อนที่พ่อบ้านวอลเตอร์จะเดินเข้ามากระซิบ


“นายท่าน ตำรวจแวะมาหาอีกแล้วครับ เกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของคารอน”


หลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าคนร้ายคือดอน·ดันเตส ถึงบารอนซินดราสจะช่วยดำเนินการอย่างแข็งขัน แต่ถ้าตำรวจไม่แวะมาที่บ้านดอน·ดันเตสเลย เกรงว่าจะถูกบรรดานักข่าวตำหนิว่าบกพร่องในหน้าที่


ส่วนคดีลอบทำร้ายส.ส. มัคท์ ดอน·ดันเตสเป็นเพียงผู้ร่วมเหตุการณ์วงนอก ทางตำรวจจึงต้องการเพียงคำให้การและเลิกยุ่งวุ่นวาย


“เชิญพวกเขาไปที่ห้องติดสวนบนชั้นสอง” ไคลน์วางเค้กฟองน้ำสีอ่อนที่กัดไปเพียงครึ่งเดียวกลับลงบนถาด จิบชาหนึ่งอึก


ในฐานะเจ้าบ้าน มันไม่ต้องกังวลว่าอาหารในถาดชายามบ่ายจะเสียของ เพราะส่วนที่เหลือจะตกเป็นของบรรดาคนรับใช้ หากตนกินอย่างเกลี้ยงเกลาทุกรอบ หรือบอกให้พ่อครัวเตรียมมาพอดี ชื่อเสียงในด้านความตระหนี่จะแพร่กระจายออกไปในหมู่คนรับใช้ละแวกใกล้เคียง จนกระทั่งเข้าหูของสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี


วอลเตอร์ตอบหน้านิ่ง


“พวกเขาต้องการเชิญนายท่านไปยังสถานีตำรวจ เนื่องจากวันนี้ทางครอบครัวคารอนจะทำการชี้ตัวผู้ต้องสงสัย… ทางตำรวจยังกล่าวด้วยว่า พวกเขาเสียใจ แต่นี่เป็นขั้นตอนสำคัญ ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้”


ไคลน์ยืนขึ้นอย่างไม่รีบร้อน


“ฉันเข้าใจ ริชาร์ดสัน เตรียมเสื้อคลุม หมวก และไม้ค้ำ”


เนื่องจากตนรอดพ้นจากคดีนี้แล้ว ชายหนุ่มอยากเห็นว่าครอบครัวของคารอนถูกอิทธิพลแบบใดเล่นงาน และคดีจะนำพาความเดือดร้อนไปหาบารอนซินดราสอย่างไร



ณ สถานีตำรวจเขตเหนือ ภายในห้องกว้างขวาง


ไคลน์ที่ยืนอยู่ด้านหลังผนังกระจก มองเห็นครอบครัวของคารอนซึ่งประกอบด้วย สุภาพบุรุษสูงวัย หญิงชรา สตรีวัยใกล้สี่สิบ เด็กชายอายุสิบห้าสิบหก และเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบขวบ


สายตาของทุกคนกวาดไปมารอบๆ กลุ่มผู้ต้องสงสัยหลังกำแพงกระจก ก่อนจะหยุดที่ดอน·ดันเตสอย่างพร้อมเพรียง


“เป็นเขา!” เด็กชายตะโกน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หมัดกำแน่น ทำท่าทางประหนึ่งจะปรี่เข้าหากำแพงกระจก


“เป็นเขาค่ะ ไม่ผิดแน่คุณตำรวจ” หญิงสาววัยเกือบสี่สิบหลั่งน้ำตาทันที จ้องหน้าดอน·ดันเตสด้วยความอาฆาต


เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่สตรีอุ้มอยู่แหกปากร้องไห้ทันที


“คืนพ่อหนูมานะ!”


คู่สามีภรรยาที่แก่เฒ่าต่างเช็ดน้ำตา คนหนึ่งพยายามเยือกเย็น ส่วนอีกคนแทบเป็นลมในทันที บรรยากาศแห่งความโศกเศร้าเข้าครอบงำสถานีตำรวจ


แต่ในความเป็นจริง ไคลน์ไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อนจนกระทั่งวันนี้


ถูกฝังความทรงจำเทียม? ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของคารอน


ขณะเดียวกัน ภายในห้องเก็บศพใต้ดินของสถานีตำรวจแห่งเดิม


ดาลีย์·ซิโมเน่หยิบดินสอขึ้นมาร่างภาพ ลำตัวขยับไปมาเล็กน้อย


เนื่องจากวันนี้เธอมาที่สถานีตำรวจเพื่อช่วยงาน มีโอกาสพบปะนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ทั้งทางเข้าและทางออก ดาลีย์จึงมิได้สวมเสื้อคลุมผู้สื่อวิญญาณเหมือนทุกครั้ง แต่แต่งกายด้วยชุดตำรวจหญิงสีดำสลับขาว ครึ่งท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ต ครึ่งท่อนล่างเป็นกระโปรง รองเท้าบูตหนังยาวถึงเข่า


ในเวลาเดียวกัน หญิงสาวขยับมือไปมาอย่างมิอาจควบคุม ภาพของโต๊ะ มุขหน้าต่าง ขวดหมึก ปืนพก และวัตถุอื่นๆ เริ่มปรากฏบนผิวกระดาษ


บนมุขหน้าต่างมีเงาสะท้อนของบุคคลผู้หนึ่ง


เพศชาย ผมหวีเรียบ สีดำแซมขาว หน้าผากกว้าง โหนกแก้วสูง มีริ้วรอยพอประมาณ ไม่ใช่ใครนอกจากบารอนซินดราส!


แกร่ก! ดินสอในมือดาลีย์ตกลงบนแผ่นกระดาษ


เธอเงยหน้าขึ้น หันมาจ้องเลียวนาร์ดที่เสนอตัวมาช่วย รวมถึงตำรวจสองคนที่คอยทำหน้าที่ประสานงาน


“ในวินาทีที่คารอนฆ่าตัวตาย จิตใต้สำนึกแสดงอาการขัดขืนรุนแรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การฆ่าตัวตายของเขาเกิดจากการชี้นำทางใจบางอย่าง และนี่ไม่ใช่อาการทางจิต แต่เกี่ยวข้องกับพลังพิเศษในระดับสูง… และความขัดแย้งที่รุนแรงดังกล่าวได้ทำให้จิตใจของเขาแตกสลาย ดวงวิญญาณระเบิดตัวเอง อย่างไรก็ตาม นั่นทำให้จิตใจของเขากลับเป็นปรกติในวินาทีก่อนจะเสียชีวิต และนี่คือภาพตกค้างสุดท้ายใน ‘ดวงตา’ ของเขา”


สารวัตรอาวุโสด้านข้างขมวดคิ้ว


“มาดามซิโมเน่ คุณกำลังจะบอกว่า ภาพสุดท้ายที่คารอนเห็นคือฆาตกรตัวจริง? บารอนซินดราสคือผู้ลงมือ?”


เลียวนาร์ด·มิเชลพ่นลมหายใจเย้ยหยัน


“สิ่งที่ดวงตาเห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง… จะเรียกว่าภาพลวงตาก็ไม่ผิด คุณอาจฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ถ้าผมเป็นคนร้ายตัวจริง จะจ้างใครสักคนที่ดูเหมือนบารอนซินดราสมายืนในห้องตอนที่คารอนฆ่าตัวตาย”


สารวัตรทั้งสองคนค่อนข้างพึงพอใจกับคำอธิบาย พากันถอนหายใจโล่งอก


“พวกเรานัดครอบครัวคารอนมาที่นี่แล้ว คงต้องรบกวนให้พวกคุณสืบหาเบาะแสเพิ่มเติมโดยไม่ทำร้ายจิตใจพวกเขา”


“ตกลง” ดาลีย์ลูบหางตา “ฉันขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน”


วันนี้เธอมิได้ทาขอบตาและแก้มด้วยสีประหลาด หากไม่นับเรื่องผิวที่ค่อนข้างซีด เธอจะดูเหมือนหญิงสาวทั่วไปทุกประการ อ่อนเยาว์ลงกว่าในยามปรกติพอสมควร กลายเป็นสตรีในวัยยี่สิบกว่าแทนที่จะสามสิบ ใบหน้าสดใสร่าเริงและงดงาม


เมื่อตระหนักว่าพวกตนยังมีงานให้ทำ เลียวนาร์ด·มิเชลเดินออกจากห้องเก็บศพด้วยกัน ตรงไปยังห้องน้ำชั้นบน


หลังจากเดินขึ้นบันไดและหักเลี้ยว ทั้งสองเห็นสุภาพบุรุษจอนสีขาว ณ อีกฝั่งของทางเดิน กำลังตรงออกจากสถานีตำรวจพร้อมกับบุรุษรับใช้


สุภาพบุรุษรายนี้หล่อเหลาในแบบฉบับหนุ่มใหญ่ พิถีพิถัน ดวงตาลุ่มลึกราวกับทะเลสาบใต้คืนจันทร์ ไม่ใช่ใครนอกจากดอน·ดันเตส


ดาลีย์·ซิโมเน่ผงะเล็กน้อย เอียงศีรษะและหันไปทางเลียวนาร์ด·มิเชล พบว่านักกวีผมดำตาเขียวรายนี้กำลังมองไปยังดอน·ดันเตสอย่างไม่กะพริบตา


“ทำไมถึงอาสามาช่วยฉันวันนี้? สมาชิกของนิกายวิญญาณใกล้จะถูกจับตัวในไม่ช้า คุณน่าจะกำลังว่าง” ดาลีย์ไม่เปิดโอกาสให้เลียวนาร์ดหาข้ออ้าง เสริมต่อทันที “คุณคิดว่าสุภาพบุรุษรายนั้นไม่ธรรมดา?”


เลียวนาร์ดถอนสายตากลับ เงียบงันสองสามวินาทีก่อนจะตอบ


“ดอน·ดันเตสได้พบกับท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอปแล้ว”


มันมิได้ยอมรับหรือปฏิเสธ คล้ายกับหากสงสัยสิ่งใดก็ไปถามนักบุญแอนโทนีเอาเอง


และความนัยแฝงก็คือ เจ้าคุณท่านอาร์ชบิชอปมิได้เปิดเผยว่าดอน·ดันเตสมีปัญหา ส่วนท่านจะค้นพบอะไรไหม ยังไม่มีใครทราบ


ดาลีย์พยักหน้าเล็กน้อย หันหน้าไปมองทางห้องน้ำแทน



เช้าวันพุธ ออเดรย์·ฮอลล์ถือบัตรเชิญเดินขึ้นรถม้า โดยสารมาจนถึงวิหารนักบุญแซมมวลบนถนนเฟลป์


กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็นที่กำลังจะถือกำเนิด สำนักงานตั้งอยู่ในอาคารหมายเลข 22 ของถนนสายนี้ ตัวตึกเป็นของโบสถ์รัตติกาล จึงไม่ต้องเสียค่าเช่า


ก่อนจะลงจากรถม้า ออเดรย์ในท่าถือบัตรเชิญ สำรวจวิวทิวทัศน์รอบๆ หน้าต่างอย่างสบายใจ คาดหวังเกี่ยวกับอนาคตของตน


เธอกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ หน้าที่หลักคือการระดมทุนและประสานงานภายนอก


ราชันเร้นลับ 873 : การสื่อสารที่แนบเนียน

หลังจากเดินผ่านประตูอาคารบ้านเลขที่ 22 ถนนเฟลป์ ออเดรย์เห็นดอน·ดันเตสเดินออกมาจากทางเดินด้านข้าง


สุภาพบุรุษหนุ่มใหญ่มาดสง่างามรายนี้สวมสูทดำทางการ ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง กำลังสนทนาอยู่กับเจ้าหน้าที่กองทุนด้านข้าง


คล้ายกับสัมผัสถึงสายตาของออเดรย์ ดอน·ดันเตสหันศีรษะมาทางประตูหน้าตามธรรมชาติ ดวงตาสว่างวาบเล็กน้อยประหนึ่งได้พบขุมทรัพย์ ตามด้วยการยิ้มให้และพยักหน้าทักทาย


ออเดรย์ยิ้มและทักทายกลับตามมารยาท ก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่กองทุนคนที่รออำนวยความสะดวก ขึ้นไปยังชั้นสอง


ระหว่างนี้ แม้เธอจะไม่ได้หันไปมอง แต่ด้วยเพราะสัญชาตญาณของสตรี หรือไม่ก็เพราะสัญชาตญาณของ ‘ผู้ชม’ ออเดรย์ตระหนักว่าสายตาของดอน·ดันเตสยังคงแอบเหล่เธออย่างลับๆ จนกระทั่งถูกผนังของบันไดบดบัง


แสดงได้เยี่ยมมาก! เขาเผยอากัปกิริยาของสุภาพบุรุษซึ่งยากหักห้ามใจตัวเองต่อหน้าสาวงาม แต่เนื่องจากเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งที่สอง จึงต้องสงวนท่าทีไว้หลายส่วน… สวมบทบาทของคนที่เพิ่งเคยพบกันแค่ครั้งเดียวได้สมจริงจนน่าทึ่ง… เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติในอุดมคติ ถึงขั้นทำให้ดวงตาส่องประกายเล็กๆ …


นี่เป็นความสามารถจากพลังพิเศษ หรือพรสวรรค์ติดตัวแต่กำเนิดของเขา? เกอร์มัน·สแปร์โรว์… ไม่สิ ต้องเรียกว่ามิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ แสดงได้เก่งกาจราวกับมืออาชีพ… ไม่สิ เหนือยิ่งกว่านั้นไปอีก เพราะเขาไม่ได้เล่นใหญ่เหมือนพวกนักแสดงละครเวที… ออเดรย์ชื่นชมจากก้นบึ้ง ก่อนจะได้พบกับนักข่าวจำนวนหนึ่งที่มารอทำข่าวการจัดตั้งกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น


เธอมิใช่สตรีที่ชื่นชอบการถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ หลังจากบอกให้บุรุษรับใช้ชายแจ้งกับทางนักข่าวว่า เอิร์ลฮอลล์ไม่อนุญาตให้ใครถ่ายภาพ ออเดรย์เดินเข้าไปในห้องรับรองพร้อมกับสาวใช้ส่วนตัว แอนนี่


เอิร์ลฮอลล์สนิทกับเจ้าของสำนักพิมพ์ชื่อดังหลายแห่ง นอกจากนั้นยังหุ้นหนังสือพิมพ์เป็นจำนวนมาก หากออเดรย์ต้องการ เธอสามารถเจียดเงินมรดกหรือที่ดินบางส่วนมาก่อตั้งบริษัทหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ได้สบาย


ภายในห้องรับรองแขกพิเศษ ออเดรย์ที่ตระหนักว่าไม่เหมาะจะพาสุนัขเข้ามาด้วย กล่าวคำทักทายกับเหล่าลูกหลานขุนนางและเศรษฐีภายในห้อง รวมถึงนักบวชของศาสนจักร อาศัยความเคยชินเลือกที่นั่งซึ่งสามารถมองเห็นทุกคนได้ชัดเจน นั่งรอจนกว่าพิธีเปิดอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้น นั่นจะเป็นช่วงเวลาประชุมคณะกรรมการนัดแรก


หญิงสาวมองไปรอบๆ และกล่าวกับเจ้าหน้าที่สตรีที่คอยอำนวยความสะดวก


“โลวีซา… ฉันเพิ่งเคยเข้าร่วมงานขององค์กรการกุศล อยากทราบว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง”


โลวีซาคือหญิงสาวอายุไม่ถึงสามสิบ ผมสีทอง ผิวหยาบกร้าน มีกระสีดำหลายจุดบนใบหน้า แต่รอยยิ้มสดใสร่าเริงมาก จึงเข้ากับคนรอบข้างได้ง่าย


ได้ยินคำถามของออเดรย์ โลวีซาเล่าทุกสิ่งโดยไม่ปิดบัง


“ยุทธศาสตร์เบื้องต้นก็คือ อย่าเพิ่งขยายขอบเขตทำการมากนัก เน้นหนักเฉพาะกรุงเบ็คลันด์ไปก่อน พุ่งเป้าไปยังโรงเรียนรัฐ โรงเรียนวันอาทิตย์ และโรงเรียนภาคค่ำ ประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนทราบเกี่ยวกับการมีอยู่ของกองทุน โน้มน้าวให้พวกเขาสมัครเข้าร่วมกับเรา… หลังจากสมัคร ทางเราจะส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่การตรวจสอบเอกสารกับทางรัฐบาล แต่ยังต้องตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของผู้สมัครด้วย… เมื่อได้รับการอนุมัติ เราจะแจกเงินทุนสำหรับการศึกษา ให้ผู้ยากไร้ที่กระหายความรู้ ลงมือเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง…”


ขณะโลวีซากำลังพูด เสียงทุ้มลึกของบุรุษดังแทรกเข้ามา


“ผมมีคำแนะนำสองเรื่อง… ประการแรก ส่งคนไปตามโรงเรียนวันอาทิตย์ โรงเรียนภาคค่ำ และโรงเรียนรัฐเพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนทุกคนตระหนักถึงการมีอยู่ของกองทุน เนื่องจากเดือนมิถุนายนเป็นฤดูกาลแห่งการสอบ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนระดับสูง หากเราทำงานล่าช้า จะมีนักเรียนที่เรียนดีจากหลายครอบครัวต้องขาดโอกาสเนื่องจากมีทุนทรัพย์ไม่เพียงพอจะสมัครสอบ แม้ในภายหลังจะได้ทราบถึงการมีอยู่ของกองทุนเรา แต่เด็กๆ เหล่านั้นคงมิอาจทำใจยอมรับช่วงเวลาที่หายไปหนึ่งปีเต็ม ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการพลิกชะตาชีวิตของตัวเอง… สิ่งที่พวกเราทำอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความจริงแล้วสามารถพลิกผันชะตาชีวิตของเด็กที่มีพรสวรรค์ได้หลายคน ดังนั้น ทางเราต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด จะมัวเสียเวลาไม่ได้เด็ดขาด”


ไม่ใช่ใครนอกจากดอน·ดันเตสที่เพิ่งเข้ามาในห้องรับรองแขกพิเศษ มันแสดงความเห็นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สีหน้าขึงขัง


จริงด้วย… เดือนมิถุนายนเป็นฤดูแห่งการสอบ ไม่ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอบเข้าโรงเรียนสามัญ สอบเข้าโรงเรียนเทคนิคเพื่อสั่งสมความชำนาญ เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับนักเรียนทุกคน… หากพวกเขาถอดใจยอมแพ้การสอบในเดือนหน้า ก็ต้องรอถึงมิถุนายนปีหน้ากว่าจะได้สอบใหม่… เราลืมเรื่องนี้เสียสนิท มิสโลวีซาและทีมงานต่างก็ลืมเสียสนิท… มิสเตอร์ดอน·ดันเตสสังเกตเห็นรายละเอียดเหล่านี้ได้ยังไง? เขาเป็นห่วงเด็กๆ ที่กำลังจะสูญเสียความฝันจากก้นบึ้ง… หรือความจริงแล้วเขาจะเป็นคนจิตใจดี? ออเดรย์เริ่มมองดอน·ดันเตส – เกอร์มัน·สแปร์โรว์ในมุมใหม่


นั่นคือข้อมูลที่เธอได้รับจากพลังของผู้ชม


นักฆ่าและนักผจญภัยที่เลือดเย็นคนนั้น แท้จริงแล้วมีจิตใจอ่อนโยน? น่าเสียดาย ข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่เราเคยได้ยินมาล้วนไม่มีหลักฐานยืนยัน… ออเดรย์กะพริบตาสองสามครั้ง ฟังคำอธิบายของดอน·ดันเตสอย่างตั้งใจ


“คำแนะนำที่สอง เงินทุนของนักเรียนจะถูกเก็บไว้ในบัญชีธนาคาร เมื่อครบกำหนดจ่ายค่าเทอม ให้นักเรียนนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมาทำเรื่องถอนออกไป ในส่วนของค่าอาหารและที่พัก เอกสารจะลดลงจากค่าเทอม มีความซับซ้อนในการถอนน้อยกว่า เพราะพวกเขาต้องทำเป็นประจำรายสัปดาห์หรือรายเดือน… ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันมิให้พ่อแม่หรือญาติของนักเรียนนำเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย สำหรับครอบครัวที่ยากจน การถือเงินจำนวนมากในคราวเดียวเป็นเรื่องยากที่จะอดใจไหว… เราจะเปิดหนึ่งบัญชีธนาคารต่อนักเรียนหนึ่งคน หากใครต้องการถอนเงิน ก็ต้องเดินทางมาที่ธนาคารพร้อมกับเอกสารและตัวนักเรียนเสมอ นี่คือวิธีการเบื้องต้นสำหรับรับมือกับความโลภในใจมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”


กล่าวไคลน์ ไคลน์นำมือทาบอก กล่าวกับออเดรย์และโลวีซา


“ได้โปรดยกโทษที่ผมเสียมารยาท พูดแทรกระหว่างบทสนทนาของพวกคุณ”


ออเดรย์ยิ้มและตอบ


“มิสเตอร์ดันเตส ข้อเสนอของคุณยอดเยี่ยมมาก ทำให้ดิฉันตระหนักว่าตัวเองยังตกหล่นในจุดใด… แต่ปัญหาก็คือ คุณพูดกับพวกเราไปก็ไม่เกิดประโยชน์… ใช่ไหมคะ มิสโลวีซา?”


โลวีซายิ้ม


“ใช่ค่ะ คุณควรนำเรื่องนี้ไปพูดในที่ประชุมคณะกรรมการนัดแรกมากกว่า”


ดูไม่ออกหรือว่าคำพูดเมื่อครู่เป็นการโน้มน้าวมิสออเดรย์ล่วงหน้า? หากซื้อใจมิสจัสติสได้ คณะกรรมการส่วนใหญ่คงไม่มีใครกล้าคัดค้าน ไม่อย่างนั้นข้อเสนอของเราอาจถูกปัดตกด้วยเหตุผลด้านขาดแคลนบุคลากร… ไคลน์แสร้งทำหน้าเศร้า ลูบฝ่ามือแผ่วเบา


“นั่นสินะครับ ผมคงหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไปจนลืมจุดยืนของตัวเอง… ผมแค่อยากทำให้มันกลายเป็นจริงหากตัวเองมีโอกาสและอำนาจในมือ”


ท่าทีของมิสเตอร์ดอน·ดันเตสแปลกไป… ค่อนข้างเล่นใหญ่… เขาน่าจะรู้ว่าตัวเราที่เป็นผู้ชมย่อมมองออก… หรือว่าเขาจงใจมาหาเรา เพื่อแอบบอกใบ้ให้เราช่วยสนับสนุนข้อเสนอทั้งสองในที่ประชุม? เมื่อออเดรย์อ่านความคิดอีกฝ่ายออก รอยยิ้มมุมปากยกขึ้นอย่างสดใส


แม้เดอะเวิร์ลจะไม่เคยบอกให้ช่วย แต่เธอก็คิดจะสนับสนุนพวกพ้องชุมนุมทาโรต์อยู่แล้ว ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายแอบส่งข้อความอย่างลับๆ ในแบบฉบับมืออาชีพ นั่นยิ่งทำให้ออเดรย์มีความสุข เพราะหมายความว่าเดอะเวิร์ลมองเธอเท่าเทียมกับตัวเอง


หลังจาก ‘อภัย’ ให้กับท่าทีโผงผางของดอน·ดันเตส หลังจากนั่งมองแผ่นหลังของสุภาพบุรุษหนุ่มใหญ่เดินไปทางโต๊ะยาวที่มีเครื่องดื่มและของว่าง ออเดรย์หันกลับมองหน้าโลวีซา


“หน้าที่ของดิฉันคือการระดมเงินบริจาคตามโอกาสต่างๆ รวมถึงประสานงานกับรัฐบาลและรัฐสภา?”


“ไม่มีใครทำได้ดีกว่าคุณอีกแล้ว” โลวีซาตอบสุขุม


นั่นคือเหตุผลหลักที่ฝ่ายการกุศลของโบสถ์รัตติกาลไม่คัดค้านการเข้าร่วมของออเดรย์·ฮอลล์


ออเดรย์พยักหน้าครุ่นคิด


“หากมีเวลาว่าง ดิฉันสามารถติดตามคุณไปร่วมประชาสัมพันธ์ตามโรงเรียนด้วยได้ไหม? รวมถึงการตรวจสอบผู้สมัคร”


ใจจริง โลวีซาไม่อยากยอมรับข้อเสนอ ด้วยกังวลว่าสภาพแวดล้อมจะไม่เหมาะสมกับบุคคลอย่างมิสออเดรย์ แต่เมื่อได้เห็นดวงตาสีเขียวสดใสของอีกฝ่าย ภายในใจโลวีซายากจะคัดค้านคำขอ คำตอบที่เคยคิดจะยืนกรานเริ่มผ่อนคลายลง เธอมองว่าจิตใจที่งดงามเช่นนี้ไม่ควรถูกปิดกั้น ไม่ควรถูกแยกออกจากโลกความจริง


หากมิสออเดรย์ได้เห็นความทุกข์ยากและความน่าสังเวชของสังคมผู้ยากไร้ แล้วยังเต็มใจจะช่วยเหนือ นั่นจะเป็นผลดีอย่างมากต่อสังคม บรรดาขุนนางจะได้เลิกสร้างมโนภาพที่บิดเบี้ยวเสียที… โลวีซาหาเหตุผลให้ตัวเองได้ทันที จึงถอนหายใจและยิ้ม


“ได้สิคะ… แต่ว่า คุณไม่สามารถสวมชุดหรือเครื่องประดับหรูหราไปทำกิจกรรมได้”


ทำยังไงกับ ‘คำลวง’ ดี? แปลงเป็นกำไลข้อมือและซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ? ออเดรย์ยิ้มตอบ


“ตกลงค่ะ”



ด้วยการสนับสนุนจากมิสออเดรย์·ฮอลล์ การประชุมคณะกรรมการนัดแรกหลังจากพิธีเปิด จบลงไปอย่างราบรื่น ไคลน์เดินทางกลับบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนอย่างอารมณ์ดี


เฉกเช่นทุกครั้ง ชายหนุ่มเข้าไปในห้องนอนใหญ่ตอนบ่ายสองเพื่องีบหลับ


ท่ามกลางความฝันที่เต็มไปด้วยหมอก ไคลน์สะดุ้งตื่นอย่างมีสติ


มีคนบุกรุกความฝันอีกแล้ว!


คราวนี้เป็นใครอีก? คิดจะขัดจังหวะกระทั่งการงีบยามบ่ายเลยหรือ? ไคลน์บ่นพลางเปลี่ยนความฝันของตนให้เป็นห้องกึ่งเปิดโล่งที่มีระเบียงใหญ่


จากนั้น มันเห็นเลียวนาร์ดเจ้าของผมสีดำไม่หวี ดวงตาสีเขียว กระโดดเข้ามาจากหน้าต่าง


หมอนี้เข้าทางประตูไม่เป็นรึไง? แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเข้ามาปุบปับนัก? อา คราวนี้ต้องไม่ลืมขอช่องทางติดต่อ… ไคลน์นั่งบนเก้าอี้เอนหลังด้วยสีหน้ามีชั้นเชิง ชำเลืองหางตาไปยังนักกวีอดีตเพื่อนร่วมงานพลางกล่าวด้วยเสียงผ่อนคลาย


“นี่ไม่ใช่การเยี่ยมเยียนที่สุภาพ”


ได้ยินเช่นนั้น เลียวนาร์ดโค้งศีรษะลวกๆ


“มิสเตอร์ดันเตส ผมมีบางสิ่งอยากปรึกษา”


ปรึกษา? ท่าทีค่อนข้างเป็นมิตร และดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่… ไคลน์ส่ายหน้าในลำคอ


“ว่ามา”


เลียวนาร์ดเลื่อนเก้าอี้นั่ง ถามเข้าประเด็น


“ในฐานะผู้เกี่ยวข้องกับคดีการฆ่าตัวตายของคารอน คุณคิดว่าใครคือคนร้ายตัวจริง”


เราเองก็อยากรู้เหมือนกัน… แต่ถ้าตอบไม่รู้ ภาพลักษณ์ของดอน·ดันเตสคงเสื่อมเสีย… ไคลน์คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างดี จึงหัวเราะในลำคออย่างชำนาญ ถามกลับอย่างมีชั้นเชิง


“ทางนั้นพบอะไรจากผลการสืบสวน?”


ราชันเร้นลับ 874 : ผมไม่ได้พูดอะไรเลย

เลียวนาร์ด·มิเชลประสานมือและโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย


“พวกเราสามารถฟื้นฟูฉากสุดท้ายที่คารอนเห็นก่อนเสียชีวิต… อาจไม่เห็นภาพของคนร้ายโดยตรง แต่ภาพสะท้อนบนมุขหน้าต่างคือร่างของบารอนซินดราส”


เว้นวรรคสักพัก เลียวนาร์ดเสริม


“มันราบรื่นเกินไปจนยากจะเชื่อลง… ขุนนางและนายธนาคารระดับบารอนซินดราส หากต้องการฆ่าใครสักคน ไม่มีทางลงมือทำด้วยตัวเองหรือเสียเวลาไปยืนมองในจุดเกิดเหตุ เว้นเสียแต่เขาจะมีรสนิยมพิเศษ… และอยากที่คุณทราบ มีหลายวิธีในการสร้างฉากแบบนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะภาพลวงตาหรือการแปลงโฉม”


กล่าวถึงการแปลงโฉม เลียวนาร์ดเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องหน้าดอน·ดันเตสราวกับจะพูดว่า รูปลักษณ์ปัจจุบันของคุณไม่น่าจะใช่ของจริง เช่นเดียวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์และเชอร์ล็อก·โมเรียตี้


เป็นการใส่ร้ายที่มักง่ายเกินไปจนอดสงสัยไม่ได้ว่า คนร้ายตัวจริงต้องการโยนความผิดให้บารอนซินดราสแน่หรือ? อา… คงต้องวิเคราะห์คดีตั้งแต่จุดเริ่มต้น สมมติว่าตัวเรา ดอน·ดันเตส เป็นแค่คนธรรมดา… นอกจากนั้น ห้ามด่วนสรุปเด็ดขาด อย่างมากก็แสดงความเห็นกว้างๆ หรือไม่ก็ย้อนถามกลับ… หากผลลัพธ์ออกมาตรงกันข้าม นั่นก็เป็นเพราะนักกวีรายนี้ตีความคำใบ้ผิดไปเอง ไม่เกี่ยวกับเราแม้แต่น้อย… ไคลน์ยิ้มพลางหยิบถ้วยกระเบื้องเคลือบ จิบหนึ่งคำ


“ลองคิดตามผม… ถ้าคนที่ถูกลากเข้าไปพัวพันไม่ใช่ผม แต่เป็นคนธรรมดา เรื่องราวจะพัฒนาไปในทิศทางใด?”


เลียวนาร์ดยกมือที่ประสานกันขึ้น ใช้นิ้วชี้เคาะกันเองเบาๆ


“ในฐานะผู้ต้องสงสัย ดอน·ดันเตสจะถูกคุมขังในสถานีตำรวจ แต่พ่อบ้าน บุรุษรับใช้ และคนที่คฤหาสน์ล้วนเป็นพยานได้ว่าเขาไม่เคยติดต่อกับครอบครัวคารอน คำให้การของทั้งสองฝ่ายจึงขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เมื่อตำรวจจนปัญญาก็ต้องขอความช่วยเหลือจากเหยี่ยวราตรี… หลังจากสื่อวิญญาณ เราจะได้เห็นภาพสุดท้ายในดวงตาคารอน… ภาพของบารอนซินดราส”


กล่าวจบ เลียวนาร์ดเงียบงันหลายวินาที ก่อนจะพูดต่อท่ามกลางการจ้องมองของดอน·ดันเตส


“ไม่สำคัญว่าเบาะแสที่ได้รับจะตื้นเขินเกินไป หรือดูไม่น่าเชื่อถือเกินไป แต่พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสืบสวนบารอนซินดราสไปตามกระบวนการ… และนั่นจะทำให้ความผิดปรกติของเขาถูกขุดคุ้ย? บารอนซินดราสมีความเชื่อมโยงกับพลังพิเศษและศาสตร์เร้นลับ จึงอ่อนไหวต่อการถูกเหยี่ยวราตรีสืบสวน?”


ยิ่งเล่าออกมา เลียวนาร์ดก็ยิ่งมั่นใจ คล้ายกับอ่านความคิดของคนร้ายตัวจริงออก


ไม่ว่าจะมัน หรือพวกมัน แต่คนร้ายตัวจริงก็มิได้แยแสความน่าเชื่อถือของหลักฐาน ขอเพียงเหยี่ยวราตรีส่งคนไปสืบสวนบารอนซินดราส นั่นถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ เพราะอีกฝ่ายทราบว่าบารอนซินดราสเก็บซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ไว้!


ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่เราคิด คนร้ายตัวจริงพยายาม ‘แจ้งความนิรนาม’ แต่ด้วยวิธีที่แยบยลกว่า เป็นการวางกับดักที่หลอกล่อให้เหยี่ยวราตรีต้องตรวจสอบบารอนซินดราสอย่างไม่มีทางเลือก โดยที่ตัวเองไม่ได้ต้องเผยตัว… แน่นอน เราไม่ได้ยืนยันว่าสมมติฐานนี้ถูกต้อง ถ้าผลลัพธ์ออกมาผิด นั่นก็ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย… ไคลน์ยกเท้าขวาทับซ้ายในท่าไขว่ห้าง ยิ้มและกล่าว


“แต่เนื่องจากบารอนซินดราสไหวตัวได้เร็ว สืบสวนตอนนี้ก็คงไม่พบอะไรแล้ว”


เลียวนาร์ดพยักหน้าเชื่องช้า กล่าวเชิงสรุปให้ตัวเองฟัง


“อดีตของบารอนรายนี้ค่อนข้างเป็นตำนาน เกือบจะล้มละลายหลายครั้ง แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง แถมยังอยู่บนจุดสูงสุดยิ่งกว่าคราวก่อน… หมายความว่า จากเหตุการณ์ข้างต้น มีครั้งหนึ่งที่เขาสิ้นหวังจนต้องขายวิญญาณให้เทพมารหรือตัวตนลึกลับอื่น?”


ทฤษฎีของนายไม่สุดโต่งไปหน่อยหรือ? ไคลน์ไม่ยืนยันว่าข้อสันนิษฐานของเลียวนาร์ดถูกหรือผิด เพียงย้อนถาม


“ในทางกลับกัน คุณคิดยังไงกับคนร้ายตัวจริงที่ทำให้คารอนฆ่าตัวตาย?”


เลียวนาร์ดละทิ้งการวิเคราะห์ของตัวเองชั่วคราว หันมาไตร่ตรองเกี่ยวกับ ‘ทิศทางของคดีในกรณีปรกติ’


“ชุดกับดักตื้นเขินเกินไป การชี้นำทางใจรวมถึงการฝังความทรงจำเกิดขึ้นอย่างไม่แนบเนียนและมิดชิด ถูกตรวจพบได้ง่าย ดังนั้นไม่น่าจะเป็นฝีมือของผู้วิเศษลำดับกลางหรือสูงในเส้นทางผู้ชม แต่เป็นผู้วิเศษเส้นทางอื่นที่พึ่งพาสมบัติวิเศษ…”


ยังไม่ทันกล่าวจบ เลียวนาร์ดเงียบไปอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนี้กำลังคิดสิ่งใด


ไคลน์ยังคงยิ้มแย้มพลางจ้องหน้าอีกฝ่าย คล้ายกับทุกสิ่งอยู่ในความควบคุม ไม่ได้กล่าวคำใดเพื่อช่วยเลียวนาร์ดสรุปผล คำตอบเกิดจากการวิเคราะห์ของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว


สอดคล้องกับคำพูดของตาแก่… คดีนี้อาจเป็นฝีมือของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ระดับกลางถึงสูง เพราะช่องโหว่ที่อีกฝ่ายจงใจเผย เกิดจากการคำนึงถึงพฤติกรรมและท่าทีตอบสนองของทุกคนอย่างรอบคอบ… คนร้ายเชี่ยวชาญจิตใจมนุษย์มาก สิ่งเดียวที่ผิดแผนคือประสบการณ์และสติปัญญาของดอน·ดันเตส… หลังจากเริ่มมองเห็นเค้าลางของคดี เลียวนาร์ดยืนขึ้นพร้อมกับกระแอม


“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”


ไคลน์หัวเราะในลำคอ


“ผมไม่ได้พูดอะไรเลย”


โดยไม่รอเลียวนาร์ดตอบสนอง ชายหนุ่มเสริม


“อดีตเพื่อนร่วมงานของคุณ ขอให้ผมถามคุณว่า หากเขาพบเบาะแสของอินซ์·แซงวีลล์ จะติดต่อคุณได้ทางไหนบ้าง?”


เลียวนาร์ดที่กำลังจะยืนขึ้นและโบกมือลา กลับลงมานั่งอีกครั้ง แน่นิ่งราวสิบวินาทีก่อนจะตอบ


“ส่งจดหมายไปยังบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์”


หมายความว่านายจะไม่ออกจากเบ็คลันด์ไปอีกสักพัก? หรือว่าถึงจะออกไปข้างนอก ก็ยังมีวิธีตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ หรือไม่ก็มีวิธีอ่านจดหมายจากระยะไกล? น่าจะเป็นแบบหลัง เทวทูตประจำเส้นทางนักจารกรรมเต็มไปด้วยความลึกลับและพิสดาร คงมีพลังสักอย่างสองอย่างคอยอำนวยความสะดวกให้เลียวนาร์ด… ถามรายละเอียดไม่ได้ แบบนั้นจะเป็นการลดทอนคุณค่าของดอน·ดันเตส… ไคลน์ยิ้มหน้านิ่ง


“ผมจะบอกเขาให้”


เลียวนาร์ดยังไม่กลับทันที อ้าปากขึ้นเล็กน้อย ปิดกลับไปใหม่ ก่อนจะอ้าปากอีกครั้ง


“แล้วถ้าผมต้องการติดต่อเขา… ทำได้ด้วยวิธีใด?”


ถามเสร็จ ดวงตาสีเขียวของมันอัดแน่นด้วยความลุ่มลึกและยับยั้ง


ไคลน์เตรียมคำตอบไว้แล้ว ยิ้มและกล่าว


“ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า… สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง… ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว… สำหรับขั้นตอนของพิธีกรรม หากไม่มั่นใจให้ถามพาลีส”


เลียวนาร์ดทราบดีว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ คือไคลน์·โมเร็ตติ จึงพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับลุกขึ้น


“ขอบคุณสำหรับข้อมูล ขออภัยที่บุกรุกเข้ามาโดยเสียมารยาท”


กล่าวจบ มันเดินไปทางประตู เปิดออก ตัดขาดจากความฝัน


สหาย คิดจะกลับก็กลับเลยรึไง… ตัวนายที่เป็นฝันร้าย หรือ ‘อดีต’ ฝันร้าย มั่นใจใจความจำของตัวเองมากไปไหม? อย่างน้อยก็ควรจดบันทึก ไม่ใช่ทำเหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญแบบนี้! หลังจากแผ่นหลังของเลียวนาร์ดหายไป ไคลน์จิกกัดสองสามประโยค


ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เสร็จสิ้นการงีบยามบ่าย เตรียมสะสางเกี่ยวกับไบลัมตะวันตก



บนฝันทองคำ เดนิสที่เสร็จสิ้นภารกิจของตน กำลังดื่มเบียร์สีซีดกับน้ำแข็งเนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัด


หากไม่ใช่เพราะน้ำแข็งเกิดจากพลังพิเศษของคนบนเรือ ทำให้มีจำนวนไม่มาก เดนิสคงดื่มรวดเดียวหมดถัง


“ชีวิตมันต้องแบบนี้!” เดนิสรำพันพลางกระดกของเหลวในแก้วจนหมด


ทันใดนั้น หมอกสีเทาปกคลุมการมองเห็นโดยสมบูรณ์ เสียงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังกังวาน


“ช่วยแจ้งให้เดนิสทราบว่า เขาต้องรีบเดินทางไปยังไบลัมตะวันตกทันที ตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของดินแดนในการปกครองของเมซันเญสและคาทามี่ ให้ความสำคัญกับเบาะแสของโรงเรียนกุหลาบมากเป็นพิเศษ”


ด…เดินทางไปยังไบลัมตะวันตก? เดนิสในท่าถือแก้วเบียร์ ทวนคำสั่งเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซ้ำไปมา


มันเคยเข้าไปตามหาสมบัติพร้อมกับลูกเรือของฝันทองคำ นอกจากนั้นยังได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมจาก ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า จึงทราบดีว่าไบลัมตะวันตกวุ่นวายมากเพียงใด


และคราวนี้… เราต้องไปคนเดียว! เดนิสขบกรามแน่น พบว่าอนาคตของตนช่างมืดมน


มันกำลังจินตนาการถึงป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตน่าขนลุก ชนพื้นเมืองที่ศรัทธาเทพมรณาและเรื่องลี้ลับพิสดาร ถนนที่เต็มไปด้วยโจรป่าและกลุ่มต่อต้าน หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยวิญญาณอาฆาตและภูตผี เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงปืนและการต่อสู้ของผู้วิเศษ


ไม่ได้… เราต้องปฏิเสธเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ไม่สิ อย่างน้อยก็ให้เขาส่งคนมาช่วย! หืม… เดี๋ยวก่อน… แม้แต่คนธรรมดายังอาศัยอยู่ในไบลัมตะวันตกได้ แถมบางคนร่ำรวยจนกลายเป็นเศรษฐี มีคฤหาสน์หลังใหญ่… ที่นั่นอาจไม่ได้น่ากลัว เราแค่คิดไปเอง… นอกจากนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ได้สั่งให้เราติดต่อใคร ที่ต้องทำมีแค่การสืบข่าว… เดนิสเริ่มเผยรอยยิ้ม รีบตอบกลับผ่านเดอะฟูลว่า ตนจะทำตามคำสั่งของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทันที


หลังจากนั้น อาศัยขั้นตอนที่นักผจญภัยเสียสติกำชับให้ทำ เดนิสประกอบพิธีกรรม ‘รับมอบ’ ขึ้นในห้องตัวเอง


เมื่อพิธีกรรมจบลง มันเห็นประตูมายาเปิดออก เข็มกลัดสีทองเข้มรูปทรงนกสุริยันลอยออกมาและตกลงบนแท่นบูชา


เข็มกลัดสุริยัน!


บนทวีปใต้ ดินแดนที่เคยถูกปกครองโดยเทพมรณา พลังในขอบเขตสุริยันถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง!


ถึงกับมอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้เรา… ได้ทำงานกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ไม่เลวนัก… เดี๋ยวก่อน… เขาได้บอกไหมว่ายกให้หรือให้ยืม? ในวินาทีที่หยิบเข็มกลัด เดนิสพบว่าอุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้นกะทันหัน



หลังจากมอบหมายงานให้เดนิส ขณะเตรียมเปิดประตูออกไปสั่งให้ริชาร์ดสันเตรียมน้ำเย็นหนึ่งแก้ว สัมผัสวิญญาณของไคลน์ถูกกระตุ้นกะทันหัน


เพียงพริบตาหลังจากเปิดเนตรวิญญาณ ชายหนุ่มเห็นผู้ส่งสารของตน ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เดินออกจากความว่างเปล่า จากบรรดาสี่เศียรผมสีทองตาสีแดงที่ถูกหิ้วในมือ ปากหนึ่งกำลังคาบจดหมายแผ่นบาง


จากใคร? เลียวนาร์ด? ไคลน์ยื่นมือขวาออกไปรับด้วยสีหน้าฉงน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)