Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 863-868

 ราชันเร้นลับ 863 : งานเลี้ยงการกุศล

“พ่อบ้านของคุณแอบศึกษามนต์ดำ”


“บุรุษรับใช้ของคุณแอบนับถือเทพมรณา”


“ใครบางคนในเพื่อนบ้านคุณมีพลังพิเศษ”


“ในละแวกที่คุณอาศัยอยู่ มีพลังลึกลับบางอย่างทำให้คนฝันแปลกๆ”


“คุณน่าจะเข้าใจความหมายที่พวกเราต้องการสื่อ จะไม่มีการอธิบายมากกว่านี้ ขอให้เทพธิดาอวยพรคุณ”


“…” ไคลน์ก้มมองจดหมายในมือ หัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก


ผ่านไปสองสามวินาที มันยิ้มจิกกัดตัวเอง


พิจารณาจากเนื้อหาของจดหมาย… เราคือคนที่น่าสงสารพิลึก…


สิ่งที่พวกเธอเล่า ไม่มีอะไรผิดปรกติไปจากที่เราทราบ…


หลังจากยิ้มและส่ายหน้า ไคลน์ใช้มือหนึ่งถือจดหมาย มองไปด้านข้าง


เปลวไฟสีแดงลุกท่วมกระดาษในมือทันที


อย่างไรก็ดี มิสซิลและมิสเมจิกเชี่ยนมีน้ำใจกว่าที่คิด ถึงสิ่งที่พวกเธอบอก จะเป็นข้อมูลที่เรารู้อยู่แล้วก็เถอะ… แถมยังรู้ลึกกว่าหลายเท่า… ไคลน์รำพันพลางหยิบเห็ดที่ซ่อนไว้ออกมา


เห็ดมีทั้งสิ้นสี่ชนิด ชนิดแรกมีสามดอก เป็นเห็ดอบแห้งของเก่าที่สามารถทำปฏิกิริยากับน้ำและปลา ชนิดที่สองมีหมวกสีทอง ส่งกลิ่นแป้งเจือจาง ชนิดที่สามมีพื้นหลังสีขาว มีจุดสีดำประปราย ลักษณะอ้วนฟู คล้ายกับมีของเหลวอยู่ด้านใน ส่งกลิ่นนมเจือจาง ชนิดที่สี่มีอวัยวะคล้ายเหงือกแนบลำตัวทั้งสองฝั่ง ผิวปกคลุมด้วยเกล็ดละเอียด แต่อ่อนนุ่ม


ไคลน์ชำเลืองมองเห็น หยิบเหรียญทองออกมาดีดขึ้นไปในอากาศ


เมื่อยืนยันผลลัพธ์ ชายหนุ่มถอดถุงมือออก ใช้มือเปล่าหยิบเห็ดสามชนิดใหม่ พยายามทดลองในสิ่งที่แฟรงค์มิได้กล่าวถึง


หลังจากลองสัมผัสและไม่พบความผิดปรกติหรือการเปลี่ยนแปลง ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายพื้นฐานในอนาคต


ชายหนุ่มกังวลว่า เห็ดเหล่านี้จะแผ่รากทันทีที่สัมผัสกับเลือดเนื้อ ขยายพันธุ์และแพร่สปอร์


บางที อาจเป็นเพราะโคมไฟผนังกำลังสว่างอยู่ ทำให้ที่นี่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมมืด หรือไม่ก็เป็นเพราะหลังจากเห็ดถูกเก็บเกี่ยว สัญญาณชีพส่วนใหญ่จะหายไป การจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ เช่นในท้องของสิ่งมีชีวิต… ไคลน์ต้องการพิสูจน์ให้ชัดเจน จึงปิดม่านทั้งหมดในห้องนอนใหญ่ ดับโคมไฟผนัง


จากนั้น ชายหนุ่มหยิบเห็ดชนิดใหม่ขึ้นมาถือด้วยมือเปล่า พบว่าพวกมันมิได้สูบเลือดเนื้อของตนเข้าไป ไม่แสดงอาการผิดปรกติ


จัดการเสร็จ ไคลน์จุดโคมไฟผนังอีกครั้ง ประกอบพิธีกรรมสังเวยเห็ดเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก


นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูล ไคลน์ไม่รีบร้อนเสกยุบพองหิวโหยจากกองขยะ อันดับแรก มันเสกขวดโลหะที่บรรจุเลือดของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะทองแดงยาว


ถัดมา ชายหนุ่มเทเลือดลงบนโต๊ะ นำเห็ดใหม่ทั้งสามชนิดมาวาง


ภายในหนึ่งวินาที ส่วนที่สัมผัสเลือดของเห็ดเริ่มนุ่มลง ยุบพองตัวเองเล็กน้อยก่อนจะมีบางสิ่งที่คล้ายเข็มงอกออกมา


“…” มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย ตามด้วยการเคลื่อนพลังของมิติหมอกเพื่อผนึกเห็ดให้แน่นิ่ง ก่อนจะเสกให้เลือดลอยกลับเข้าไปในขวดและปิดผาสนิท


เมื่อเข้าใจลักษณะพิเศษของเห็ด ชายหนุ่มไม่มัวเสียเวลา รีบเสกยุบพองหิวโหยออกจากกองขยะ


ไคลน์นำถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบางในมือวางลงบนเห็ดและคลายผนึก


จากนั้น ชายหนุ่มเห็นยุบพองหิวโหยค่อยๆ พยุงตัวยืนด้วยนิ้วทั้งห้าและวิ่งหนีเห็ด ดูคล้ายกับกำลังบรรเลงเปียโน


กลัวเป็นกับเขาด้วยหรือ? ไคลน์ยิ้มอย่างพึงพอใจ ถือถุงมือหนังมนุษย์ไว้ข้างหนึ่ง ตามด้วยการเคลื่อนพลังของมิติหมอกมาสยบถุงมือ


จากนั้น ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างหยิบเห็ดมาวางใกล้ๆ กับยุบพองหิวโหย


ถุงมือหนังมนุษย์พยายามดิ้นรนสุดชีวิต แต่ก็มิอาจหยุดพ้น จึงเริ่มออกอาการสั่นเทา


ไคลน์หยุดขยับมือข้างที่ถือเห็ด หัวเราะในลำคอ


“ยังจะเอาแต่สรรเสริญพระผู้สร้างแท้จริงอยู่อีกไหม?”


ยุบพองหิวโหยยังคงดิ้นรน ไม่มีการตอบสนอง


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ตัดสินใจประนีประนอม


“ข้าอนุญาตให้เจ้าสรรเสริญได้วันละหนึ่งครั้ง ช่วงเช้าตรู่หรือไม่ก็ช่วงเย็น”


การดิ้นรนของยุบพองหิวโหยลดลงเล็กน้อย แต่ยังไม่หยุดโดยสมบูรณ์


ชิ… ไคลน์ยังคงพยายามต่อรอง


“วันละสามครั้ง ช่วงมื้อเช้า กลางวัน และเย็น แต่เจ้าต้องเตือนล่วงหน้า”


ยุบพองหิวโหยดิ้นรนต่อไปอีกสองสามครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่บนโต๊ะ แน่นิ่งราวกับไร้วิญญาณ


หลังจากต่อรองอีกเล็กน้อย ไคลน์บรรลุการเจรจากับยุบพองหิวโหยในการประเด็นสรรเสริญพระผู้สร้างแท้จริง แต่การต้องกินมนุษย์ทุกวันนั้นเป็นสัญชาตญาณจากก้นบึ้ง ลำพังการต่อรองไม่ช่วยอะไร ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากรอวิธีผนึกของมิสเตอร์อะซิก หากต้องการใช้งานยุบพองหิวโหย ต้องหาอะไรให้มันกินภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง


น่ารำคาญฉิบ… โชคดีที่ยุบพองหิวโหยผสานเข้ากับมิสเตอร์ A และเห็ด สัญญาณชีพจึงแข็งแรงขึ้น ไม่อยากนั้นคงมิอาจเจรจาต่อรองกันได้… ไคลน์ถอนหายใจ ตามด้วยการทำนายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลัง พบว่าตนยังไม่เผชิญกับอันตราย และการฆ่าตัวตายของคารอนเกิดจากฝีมือพลังพิเศษ


หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์ออกจากมิติเหนือสายหมอก กลับมายังโลกความจริง รอคำตอบจากมิสเตอร์อะซิก



คืนวันเสาร์ ไคลน์ในชุดสูททางการ เดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลพร้อมกับบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน เข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลที่ทางโบสถ์รัตติกาลเป็นเจ้าภาพ


หลังจากผ่านทางเข้าวิหาร นักบวชเดินนำทางมายังห้องโถงด้านข้าง


ด้านในมีซุ้มขนาดใหญ่ประดับตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาล เหนือขึ้นไปมีโคมไฟระย้าขนาดเล็กเรียงราย ด้านหน้าซุ้มมีแทงเทียนไขเรียวยาว ตรงโคนมีถาดโค้งรองรับขี้ผึ้งละลาย


ในเวลานี้ เทียนไขทุกเล่มถูกจุด มอบความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ห้องโถง


ไคลน์มองเข้าไปและเห็นที่นั่งถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ เห็นแขกที่แต่งกายเรียบร้อยดูดี


ในหมู่แขก การแต่งกายของสตรีแบ่งออกได้เป็นสองประเภท แบบแรกคือกลุ่มที่แต่งกายด้วยเดรสสีสว่างหรือไม่ก็ฉูดฉาด ค่อนข้างเผยเนื้อหนังและเรือนร่าง บางรายสามารถมองเห็นเนินอกหรือหัวไหล่ชัดเจน แบบที่สองคือกลุ่มที่ค่อนข้างหัวเก่า แต่งกายด้วยสีสุภาพและมิดชิด แทบไม่เผยให้เห็นไหปลาร้า บางรายปิดทับไปเลย


เท่าที่ไคลน์ทราบ พิจารณาจากวัฒนธรรมของชาวโลเอ็น การแต่งกายสองประเภทนี้คือจุดแบ่งระหว่างสตรีที่สมรสแล้วกับสตรีที่ยังโสด ในกรณีของหญิงม่ายและหญิงที่หย่าร้าง พวกเธอสามารถเลือกใส่แบบไหนก็ได้ แต่หญิงม่ายมักแต่งกายด้วยสีโทนมืด


นอกจากนั้น ไคลน์ยังเห็นสร้อยคอแวววาว ต่างหูหรูหรา รวมถึงเครื่องประดับล้ำค่าอีกหลายชนิด เมื่อเทียบกับงานเต้นรำและงานเลี้ยงที่จัดโดยส.ส. มัคท์และตน แขกของที่นี่มีระดับสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด


หลังจากก้าวเข้าไปในห้อง ไคลน์ทักทายบิชอป ส.ส. มัคท์ และคนรู้จักตามมารยาท


ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังมาจากประตู แขกทุกคนที่หันไปมองต่างพากันเผยรอยยิ้ม


เมื่อไคลน์หันไปมอง ดวงตาของมันเบิกกว้างก่อนจะแข็งทื่อ


ณ ทางเข้าห้องโถง สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือหญิงสาวผมสีทองสว่าง นุ่มสลวยประป่า ดวงตาของเธอมีสีเขียวระยิบระยับราวกับอัญมณี กึ่งกลางดวงตาคล้ายกับวังวนวารีในทะเล ใครก็ตามที่ได้เห็นยากจะละสายตาไปไหน


สตรีคนดังกล่าวบรรยากาศรอบตัวสดใส ใบหน้างดงามจนแทบจะไร้ที่ติ คนรอบข้างทุกเพศทุกวัยล้วนถูกสะกดจนแทบจะไม่มีใครสนใจเครื่องประดับหรือเสื้อผ้า แต่ไคลน์ฝืนใจเบือนสายตาลงมายังบริเวณลำคอ มองเห็นสร้อยไข่มุกเลอค่าเม็ดกลมที่ ‘ฝัง’ อยู่ในจุดกึ่งกลางตรงที่กระดูกไหปลาร้าบรรจบ ช่วยให้เส้นใต้ลำคอกลมกลืนและนุ่มนวล มอบเสน่หาอันเหนือคำบรรยาย


ไคลน์เคยพบเธอมาก่อน เป็นคนรู้จัก!


ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘มิสจัสติส’ แห่งชุมนุมทาโรต์!


ย้อนกลับไปตอนที่อีกฝ่ายเคยใช้ ‘กระจกวิเศษทำนาย’ ไคลน์เคยเห็นใบหน้านี้มาแล้ว!


ทันใดนั้น ชายหนุ่มรีบเบือนสายตาหนี ไม่กล้าจ้องอยู่นาน


นี่คือท่าทีตอบสนองโดยอัตโนมัติ เพราะไคลน์ตระหนักดีว่า อีกฝ่ายคือผู้วิเศษเส้นทางผู้ชม หากตนตกเป็นเป้าสนใจของมิสจัสติส เธอสามารถอ่านความคิดและเจตนาได้จากภาษากาย รวมไปถึงความลับที่ซ่อนอยู่


แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ตัดสินใจหันกลับไปมองหน้ามิสจัสติสอีกครั้ง


มันเชื่อว่า หากตนหลบหน้า นั่นจะเป็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า


สำหรับสุภาพบุรุษที่หลงใหลสตรีทุกวัย เป็นไปได้ด้วยหรือที่จะไม่จ้องหญิงงามเช่นนี้ตาค้าง?


ขณะเดียวกัน ออเดรย์สัมผัสถึงความผิดปรกติจากสุภาพบุรุษบางคนเป็นพิเศษ


ขมับมีขนสีขาวแซม หน้าตาและบุคลิกค่อนข้างดี บรรยากาศรอบตัวลุ่มลึก… คงเป็นชายผู้บริษัทเงินหลักหมื่นปอนด์เพื่อก่อตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อคนยากไร้ มิสเตอร์ดอน·ดันเตส…


ท่าทีตอบสนองแปลกมาก ราวกับกำลังเก็บซ่อนบางสิ่ง…


สำหรับออเดรย์ การเบือนสายตาหนีในตอนแรกของดอน·ดันเตสถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะเธอเคยพบท่าทีตอบสนองเช่นนี้บ่อยครั้ง – สุภาพบุรุษจำนวนไม่น้อย หลังจากเผลอจ้องเธอจะรีบเบือนหน้าหนีตามจิตใต้สำนึก กังวลว่าจะถูกเธอรู้ตัว กังวลว่าจะเผลอสบตากัน กังวลว่าจะเผลอเผยสีหน้าหลงใหล


ดังนั้น สิ่งที่ผิดปรกติไม่ใช่การเบือนหน้าหนีของดอน·ดันเตส แต่เป็นการหันกลับมามอง นอกจากนั้น สิ่งที่ออเดรย์พบว่าไม่ปรกติมากที่สุดคืออารมณ์ของอีกฝ่าย คล้ายกับทางนั้นกำลังตกตะลึงมากกว่าประทับใจ


เขาตกตะลึงในเรื่องใด? พยายามปกปิดสิ่งใด? ออเดรย์ผุดคำถามในใจพลางฉีกยิ้มทักทายผู้คนขณะเดินตามพ่อแม่และพี่ชาย


เมื่อเห็นว่ามิสจัสติสเลิกสนใจตน ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ครุ่นคิดเล็กน้อย


หลังจากนี้ต้องสวมบทบาทเป็นดอน·ดันเตสให้ดี เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น อย่าให้ ‘ผู้ชม’ จับสังเกตได้เด็ดขาด…


อา ไม่ว่ามิสจัสติสจะพบความผิดปรกติหรือไม่ แต่เราต้องคิดหาข้ออ้างรองรับพฤติกรรมตัวเองไว้ล่วงหน้า…


มิสจัสติสเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่จริงๆ ด้วย… นามสกุลอะไรกันนะ… ไว้ค่อยถามมัคท์หรืออีเล็คตร้าทีหลัง…


ท่ามกลางความคิดมากมายที่แล่นผ่าน ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมอง จึงรีบหันไปทางประตูตามสัมผัสวิญญาณ


ในเงามืดด้านนอกประตู สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่กำลังนั่งอย่างเงียบงัน


ราชันเร้นลับ 864 : นักแสดงและผู้ชม

เมื่อดวงตาไร้อารมณ์ของโกลเดนรีทรีเวอร์ทะลุผ่านม่านเงามืด ไคลน์อดเลิกคิ้วไม่ได้ ลืมเก็บซ่อนอาการตื่นตัว


จากนั้น ดวงตาชายหนุ่มเบือนกลับมามองมิสจัสติสและครอบครัว


น่ากลัวมาก… ทำไมสุนัขตัวนั้นถึงไปนั่งในเงามืดโดยไม่มีเหตุผล? เอาแต่มองทุกคนในห้องโถง… เดี๋ยวนะ มิสจัสติสเคยบอกว่าเธอเผลอเอาโอสถผู้ชมให้สัตว์เลี้ยงกิน ถึงขั้นขอคำแนะนำจากแฮงแมน… อย่าบอกนะว่าเป็นโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวนี้? หนึ่งผู้ชมคอยจับตามองจากเงามืด ส่วนอีกหนึ่งผู้ชมคอยเฝ้ามองจากที่แจ้ง… แบบนี้ ‘นักแสดง’ คนไหนจะไปรับมือไหว! อา ในสังคมชนชั้นสูง ผู้ชมคงไม่ได้มีแค่มิสจัสติสแน่ ถ้าจำไม่ผิด เธอถูกแนะนำให้เข้าสมาคมแปรจิตจากน้องสาวของดยุคนีแกน… ไคลน์วิเคราะห์พลางรำพัน ก่อนจะเดินไปหามัคท์และซักถามโดยไม่มองหน้า


“กลุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาดูเหมือนจะเป็นคนดัง?”


มัคท์ชำเลืองดอน·ดันเตส หัวเราะในลำคอ


“ตระกูลเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ตะวันออก คุณสามารถเรียกเขาว่าเอิร์ลฮอลล์ คงเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างใช่ไหม? ทางนั้นคือภรรยาของเขา คุณหญิงเคทลิน ส่วนนั่นคือบุตรชายคนโต ลอร์ดฮิบเบิร์ต คุณน่าจะเคยเจอเขาแล้ว…”


ฟังคำแนะนำของส.ส. มัคท์จบ ไคลน์เกิดความละอายใจทันที เนื่องจากตนเคยพบหน้าฮิบเบิร์ตฮอลล์มาแล้วในงานเลี้ยงเต้นรำ แต่กลับไม่ได้ใส่ใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องถามคนอื่นว่าพวกเขาคือขุนนางตระกูลใด


เราตกตะลึงเกินไปหลังจากได้เจอมิสจัสติสกะทันหัน… ไคลน์ยิ้มพลางฟังอีกฝ่ายอธิบาย


ส.ส. มัคท์เล่าต่อ


“นั่นคือบุตรสาวของเขา มิสออเดรย์·ฮอลล์ เพิ่งเข้าแวดวงทางสังคมเมื่อสองปีก่อน ถูกขนานนามให้เป็นอัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดในกรุงเบ็คลันด์… เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คุณคิดแบบนั้นไหม?”


โดยไม่รอให้ดอน·ดันเตสกล่าวสิ่งใด มันเสริม


“เธอถูกตามจีบโดยองค์ชาย ทายาทดยุค ขุนนาง และสุภาพบุรุษที่ยอดเยี่ยมอีกนับไม่ถ้วน”


ความนัยแฝงของมัคท์ไม่ซับซ้อน เป็นการปราบสุภาพบุรุษที่ชื่นชอบสตรีทุกวัยรายนี้ว่า อย่าได้คิดชายตามองเป็นอันขาด เธอคือเป้าหมายที่มิอาจเอื้อม


สำหรับไคลน์ มันกำลังคิดเรื่องอื่น


แท้จริงแล้ว มิสจัสติสเป็นลูกสาวของเอิร์ลฮอลล์ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงร่ำรวย ถึงไม่เคยต่อราคา…


เอิร์ลฮอลล์คือนายธนาคารใหญ่อันดับต้นๆ ของอาณาจักร หนึ่งในขุนนางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสภาพขุนนาง บรรดาศักดิ์ขุนนางเป็นแบบสืบทอด มีทรัพย์สินรวมมากกว่าบารอนซินดราสหลายเท่า…


แม้มิสจัสติสจะมิได้สืบทอดตำแหน่งขุนนาง แต่ลำพังมรดกทางด้านเงินสดและที่ดินก็ไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งแสนปอนด์…


เมื่อผนวกเข้ากับรูปลักษณ์ ชาติกำเนิด และอุปนิสัย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะกลายเป็นเป้าหมายการสมรสของราชวงศ์และขุนนางใหญ่ระดับอาณาจักร…


นอกจากนั้น การเที่ยวซื้อสมบัติวิเศษอย่างต่อเนื่องโดยเคยต่อราคา ทรัพย์สินรวมของเธอไม่น่าจะมีแค่สองสามแสนปอนด์… แถมยังเบิกเงินจากพ่อได้ด้วย? เราเองก็อยากมีพ่อแบบนี้บ้าง…


ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์หันไปยิ้มและตอบสนองต่อคำเตือนของส.ส. มัคท์


“ผมเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับมิสออเดรย์มากมาย จนกระทั่งวันนี้เพิ่งได้พบว่าไม่มีสิ่งใดเกินจริงไปเลย… น่าเสียดายที่ตัวผมไม่ใช่องค์ชายหรือทายาทดยุค มาร์ควิส เอิร์ล ไวเคาต์ ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นหนึ่งใน ‘ผู้มีสิทธิ์’ จะเป็นคู่ครองของเธอ”


ชายหนุ่มกำลังตอบอ้อมๆ ว่า ตนเข้าใจจุดยืนของตัวเองดี


ส.ส. มัคท์ไม่สานต่อบทสนทนาเดิม แต่นำแนะให้ดอน·ดันเตสรู้จักแขกบางคนที่ตนสนิท เป็นการพาเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูงโดยแท้จริง แน่นอนว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะโบสถ์รัตติกาลจัดงานเลี้ยงการกุศล เพราะหากไม่แล้ว ส.ส. มัคท์คงไม่มีโอกาสแนะนำดอน·ดันเตสให้แขกพิเศษเหล่านี้รู้จักโดยตรง


มาร์ควิสโลว์เซ่น เอิร์ลกรอส ไวเคาต์เลิฟแลนด์… เหล่าสาวกเคร่งศาสนาของเทพธิดาต่างทักทายดอน·ดันเตสด้วยท่าทีค่อนข้างเป็นมิตร


ก่อนที่มัคท์จะแนะนำตัวเสร็จ ชายสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาห้องโถง


สุภาพบุรุษคนดังกล่าวสวมชุดคลุมนักบวชสีดำแถบแดง กึ่งกลางหน้าอกมีตราศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดาห้าจุด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากหนวดเครา ดวงตาลุ่มลึกและสุขสงบ


ทุกคนรวมถึงเอิร์ลฮอลล์หันไปมองชายสูงวัยคนดังกล่าวพร้อมกับโค้งศีรษะ


“สายัณห์สวัสดิ์ ท่านเจ้าคุณแอนโทนี”


ไม่ใช่ใครนอกจากนักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน หนึ่งในสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งศาสนจักรรัตติกาล!


ผู้นำสูงสุดของมุขมณฑลเบ็คลันด์ เป็นบุคคลเบื้องบนของโบสถ์รัตติกาลตัวจริงเสียงจริง!


เมื่อได้เห็นอาร์ชบิชอป ร่างกายและจิตใจไคลน์เกิดความสั่นสะท้านอย่างมิอาจหักห้าม อย่างมิอาจเก็บซ่อน ประหนึ่งย้อนกลับไปสมัยเด็กที่เคยเดินเล่นในสุสานมืดๆ ของหมู่บ้านแถบชนบท


หลังจากมองไปรอบๆ หนึ่งครั้ง ไคลน์พบว่าแขกคนอื่นมิได้เกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นตน จึงเข้าใจทันทีว่า ‘ความกลัว’ เช่นนี้จะยิ่งส่งผลเมื่อเป้าหมายมีพลังวิญญาณสูง ยิ่งเข้มข้นยิ่งหวาดกลัว จึงรีบเข้าฌานเพื่อสงบจิตใจ


หลังจากควบคุมอาการสั่นเทาได้เบื้องต้น นักบุญแอนโทนีเผยรอยยิ้ม มองไปรอบตัวพร้อมกับทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก


“เทพธิดาจงเจริญ”


“เทพธิดาจงเจริญ” แขกที่เข้าร่วมงานประสานเสียงตอบกลับ


เนื่องจากอาร์ชบิชอปมาถึงแล้ว ส.ส. มัคท์จึงหยุดแนะนำแขกที่เหลือให้ไคลน์รู้จัก เพราะถือว่างานเลี้ยงการกุศลเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ


เฉกเช่นทุกครั้ง แขกทุกคนนั่งลงสวดวิงวอนถึงเทพธิดาด้วยความศรัทธานานสามนาที จากนั้น คณะนักร้องประสานเสียงของวิหารจะเดินไปที่หน้าซุ้ม ร้องเพลงสรรเสริญเทพธิดาด้วยท่วงทำนองล่องลอย พร้อมเพรียง และศักดิ์สิทธิ์


หลังจากจบพิธีกรรมทางศาสนา นักบุญแอนโทนีส่งไม้ต่อให้บิชอปอีเล็คตร้า ฝ่ายหลังเดินไปยังซุ้มที่นักร้องประสานเสียงเคยยืน พื้นบริเวณดังเป็นแผ่นไม้ยกสูง มีแท่นสำหรับวางหนังสือหลายเล่ม


“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ ทุกคนเปรียบดังดาวจรัสแสงท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดและเงียบสงบ” บิชอปอีเล็คตร้าเกริ่นตามมารยาท ตามด้วยกล่าว “ทางโบสถ์รัตติกาลก่อตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาของผู้ยากไร้ขึ้นตามเจตจำนงของมิสเตอร์ดอน·ดันเตส สุภาพบุรุษท่านนี้ทั้งใจกว้างและมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลเหมาะแก่การเอาเป็นเยี่ยงอย่าง… ถัดไปขอเรียนเชิญให้มิสเตอร์ดอน·ดันเตสขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์สั้นๆ ให้พวกเราฟัง”


แม้ไคลน์จะเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายก็อดใจเต้นไม่ได้


สถานการณ์ตรงหน้าไม่ปรกติเลยสักนิด มี ‘ผู้ชม’ อย่างน้อยสองคนคอยจ้องจับผิด ยากจะโอ้อวดได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะหากเผลอโกหกหรือกุเรื่องไม่สมจริง อีกฝ่ายจะจับสังเกตได้ทันที!


ในท่าจับเสื้อตัวนอกด้วยการกุมท้อง ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างสง่างาม เดินไปยังแท่นกล่าวสุนทรพจน์พลางติดกระดุมเสื้อนอก


เมื่อยืนหลังแท่นไม้สูง ชายหนุ่มเหยียดหลังตั้งตรง มองไปรอบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยสมาชิกสภา นักบวช ขุนนางใหญ่ และข้าราชการอาวุโส ตามด้วยยิ้มและเริ่มกล่าว


“ผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยืนท่ามกลางสายตาบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมากขนาดนี้…”


“ครั้งหนึ่งผมเคยอาศัยอยู่ในเขตที่มีคนยากไร้แออัด เคยอาศัยอยู่บนทวีปใต้ที่สับสนวุ่นวาย จึงได้เห็นความยากจนข้นแค้นนานับชนิด… เด็กสาวคนหนึ่งต้องช่วยแม่ทำกล่องไม้ขีดตั้งแต่หกขวบ เพราะถ้าไม่ทำ พวกเขาจะไม่มีอะไรกินหลังจากจ่ายค่าเช่าห้อง อาหารของพวกเขาคือขนมปังสีน้ำตาลแข็งกระด้าง ทำจากเปลือกข้าวสาลี บางครั้งก็ต้องกินกรวดและหิน… หินที่แข็งจนสามารถขว้างปาทำร้ายผู้อื่น…”


“เมื่อสาวน้อยคนนี้โตขึ้น ทั้งที่ต้องทำงานสายตัวแทบขาดในทุกวัน ทั้งที่บ้านของเธอไม่มีเงินเหลือสำหรับค่าเล่าเรียน แต่เธอก็ยังฝืนตัวเอง พยายามไปเรียนโรงเรียนกุศลวันอาทิตย์ที่ทางโบสถ์จัดขึ้น เพื่อให้ตัวเองอ่านออกเขียนได้ ให้ตัวเองมีความรู้ เพราะเธอทราบดี นี่เป็นวิธีเดียวที่จะหลุดพ้นวิถีชีวิตอันน่าอดสูในปัจจุบัน เป็นวิธีเดียวที่จะมีเงินเหลือสำหรับซื้ออาหารและเสื้อผ้าเพื่อฝ่าฟันความหนาว เป็นวิธีเดียวที่จะไม่ต้องกลายเป็นสาวโรงงานและทำงานหนักจนตายในวัยยี่สิบ…”


ไคลน์หยิบประสบการณ์จากเด็กยากจนที่ตนเคยรู้จัก นำมาประกอบเข้าด้วยกันพร้อมกับถ่ายทอดด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง


ชายหนุ่มพบว่ามีสตรีไม่น้อยเริ่มเผยสีหน้าสงสาร เห็นอกเห็นใจ เด็กสาวบางคนเริ่มน้ำตาคลอ หนึ่งในนั้นคือออเดรย์·ฮอลล์


เป็นเด็กที่อ่อนไหวชะมัด… นั่นสินะ เราเผยความรู้สึกจากก้นบึ้งจนแม้แต่ตัวเองก็ยังซาบซึ้ง อย่าว่าแต่ ‘ผู้ชม’ เลย… อย่างไรก็ตาม สุภาพบุรุษส่วนใหญ่ไม่ยินดียินร้าย บ้างทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว บ้างไม่แยแสบุคคลที่มีสถานะทางสังคมต่ำกว่า… ไคลน์มองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวต่อ


“อุตสาหกรรมของอาณาจักรเรากำลังพัฒนา ในอนาคตจำเป็นต้องใช้แรงงานที่อ่านออกเขียนได้… เงื่อนไขในการเลือกตั้งของอาณาจักรกำลังถูกผ่อนปรนลงมา เราจำเป็นต้องสร้างบุคลากรที่มีความรู้เพื่อเลือกคนที่ถูกต้องเข้ามาทำงาน… เพื่ออนาคตของเด็กๆ ในอาณาจักร เพื่อความเจริญก้าวหน้าของอาณาจักร ผมตัดสินใจบริจาคหุ้นของบริษัทโคอิมทั้งหมดในมือให้ตกเป็นของโบสถ์รัตติกาล ให้พวกเขาจัดตั้งกองทุนการศึกษาแก่ผู้ยากไร้ หลังจากเด็กๆ เหล่านี้เรียนจบโรงเรียนกุศลวันอาทิตย์หรือคาบเรียนไม่มีค่าใช้จ่ายในตอนกลางคืน พวกเขาจะได้เข้าศึกษาในสถาบันชั้นนำของภาครัฐ ได้รับความรู้ที่ถูกต้องมาพัฒนาบ้านเมืองและตัวเอง”


เอิร์ลฮอลล์เจ้าของหนวดงาม พยักหน้าและเริ่มปรบมือเป็นคนแรก


ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว ไคลน์กลับไปนั่งประจำตำแหน่งโดยมีบิชอปอีเล็คตร้าเดินมาที่แท่นแทน


“หุ้นที่มิสเตอร์ดอน·ดันเตสบริจาคมีมูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ เราจะใช้เงินจำนวนนี้สำหรับก่อตั้ง ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น’ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย หากใครเห็นด้วยกับเจตนารมณ์ของเขา เห็นด้วยกับการช่วยเหลือเด็กๆ ที่หิวกระหายความรู้ สามารถร่วมบริจาคเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนนี้ได้”


กล่าวจบ มันชี้ไปยังกล่องรับบริจาคด้านข้าง


ออเดรย์ถอนสายตากลับ กดหางตาให้ต่ำลงขณะหันไปพูดกับบิดา


“ท่านพ่อ หนูจะบริจาคหนึ่งพันปอนด์ พ่อจะบริจาคเท่าไร?”


ขณะพูด หญิงสาวรวบรวมข้อมูลที่สังเกตได้ในใจ


ดอน·ดันเตสน่าจะเคยใช้ชีวิตที่ยากจนมาก่อน อารมณ์ขณะกล่าวสุนทรพจน์ของเขาเป็นความจริงทั้งหมด… เด็กไร้โอกาสเหล่านั้นช่างน่าสงสาร…


เมื่อครู่ ในตอนที่บิชอปกล่าวถึงหุ้นมูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ มุมปากของดอน·ดันเตสกระตุกเล็กน้อย เราสามารถบอกได้ว่า เขาค่อนข้างเสียดายเงินจำนวนดังกล่าว ทว่า เจตนาในการบริจาคก็ไม่ใช่ของปลอมเช่นกัน… แสดงให้เห็นว่า สุภาพบุรุษที่หลงรักในเงินตรารายนี้ ความจริงแล้วก็ ‘หลงรัก’ คุณค่าของความดีไม่แพ้กัน…


แล้วทำไมเขาถึงแสดงสีหน้าตกตะลึงในตอนที่เห็นเรา?


เขาเคยเจอเราที่อื่น แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเรา? ไม่เห็นต้องเก็บซ่อนเอาไว้…


เขามองออกว่าสร้อยคอของเราคือสมบัติวิเศษ จึงเกิดความตกตะลึง จากนั้นก็พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ดังกล่าว?


ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าเขาเป็นผู้วิเศษ และไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับต่ำ…


ไม่เป็นไร ไว้ค่อยถามซูซี่ตอนกลับถึงบ้าน เธอซ่อนตัวอยู่ในความมืด อีกฝ่ายคงไม่ทันระวังแน่ ทางนั้นน่าจะมีข้อมูลมากกว่าเรา…


ท่ามกลางความคิดมากมาย ออเดรย์เห็นบิดาของเธอยิ้มพลางหยิบสมุดเช็คและปากกา


จำนวนเงินที่เขียนลงไปก็คือ


หนึ่งหมื่นปอนด์!


ราชันเร้นลับ 865 : ข้อเสนอของเอิร์ลฮอลล์

หนึ่งหมื่นปอนด์… ออเดรย์กะพริบตา เผยความประหลาดใจด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเพียงเล็กน้อย


โดยไม่รอให้ถามต่อ เอิร์ลฮอลล์ที่สังเกตเห็นความสงสัย หัวเราะในลำคอพลางอธิบาย


“สุภาพบุรุษคนนี้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทัศนคติบางส่วนของเขาได้กระตุ้นให้พ่อตาสว่าง จิตใจมิอาจยอมเพิกเฉยต่อความทุกข์ยาก มิอาจเพิกเฉยต่อปัญหา แม้จะรู้ดีว่าไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็ววัน”


ออเดรย์เข้าใจคำพูดบิดาอย่างคลุมเครือ ไม่ชัดเจนมากนัก เพียงพยักหน้าเล็กน้อย หยิบสมุดเช็คออกจากกระเป๋าถือที่เข้ากันกับเดรส เขียนตัวเลขลงไปหนึ่งพันปอนด์


ที่นี่คืองานเลี้ยงการกุศล แถมยังจัดขึ้นในโถงของวิหาร แน่นอนว่าจะไม่มีการเต้นรำหรือกิจกรรมสันทนาการ ไม่มีสาวใช้หรือบุรุษรับใช้คอยติดตาม มีเพียงการช่วยเหลือตัวเองและการบริจาคเงิน สุภาพสตรีจึงต้องนำกระเป๋าถือติดตัวมาด้วย


หลังจากแขกผู้มีเกียรติทยอยหย่อนเช็คลงในกล่องบริจาค แต่ละคนแยกย้ายไปยังโต๊ะยาวที่มีอาหารและเครื่องดื่มอย่างง่ายๆ จัดเตรียมไว้ จากนั้นก็เดินไปสนทนากับคนรู้จัก แทบไม่มีใครกลับไปนั่งที่เดิม


ฉากตรงหน้าใกล้เคียงกับงานเลี้ยงอาหารค่ำ


ไคลน์เดินตามบิชอปอีเล็คตร้ามาหานักบุญแอนโทนี ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับหนึ่งในเบื้องบนของโบสถ์รัตติกาล


นักบุญแอนโทนียิ้มตอบรับคำทักทายของดอน·ดันเตส จ้องหน้าและกล่าว


“ยอดเยี่ยมมาก ทางเราภูมิใจที่มีผู้ศรัทธาเช่นคุณ… เทพธิดาสอนพวกเราว่า ทัศนคติสำคัญกว่ายศถาบรรดาศักดิ์ ดังนั้น คุณคือสุภาพบุรุษที่มีเกียรติและน่ายกย่อง”


ด้วยความสัตย์จริง ขณะเผชิญหน้ากับนักบุญรายนี้ หัวใจไคลน์เต้นระรัวประหนึ่งกลองศึก เนื่องจากครึ่งเทพหรือผู้วิเศษที่เกี่ยวข้องกับขอบเขต ‘โชคชะตา’ มักมองเห็นหมอกสีเทาบนร่างกายตน จำพวกเส้นทางสัตว์ประหลาดและรัตติกาลที่ถือครองอำนาจ ‘ความอับโชค’ หากนักบุญแอนโทนีเป็นผู้ไร้หลับลำดับสูงจริง หรือครอบครองพลังในขอบเขต ‘ความอับโชค’ เกรงว่าอาจมองเห็นถึงปัญหาในตัวดอน·ดันเตส


ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่ไคลน์มาเดินทางมายังงานเลี้ยงการกุศล มันทำนายบนมิติหมอกและได้รับคำตอบว่าไม่มีอันตราย


แม้แต่เทพธิดายังไม่พูดอะไร… ถึงอาร์ชบิชอปจะค้นพบความผิดปรกติ แต่ก็คงแสร้งทำเป็นไม่เห็น… ไคลน์ตอบสนองด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ในระยะหลัง ผมมักมาที่วิหารเพื่อสวดมนต์และฟังเทศน์จากบิชอปอีเล็คตร้า สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผมเข้าถึงแก่นของคำสอน กระทั่งดวงวิญญาณก็ดูคล้ายจะบริสุทธิ์มากขึ้น ผมจึงอยากเผยแผ่คำสอนของเทพธิดา ส่งต่อความดีและความหวังให้ผู้อื่น”


นักบุญแอนโทนีพยักหน้าและกล่าว


“ต่อหน้าเทพธิดา สาวกทุกคนจะถูกจำแนกตามทัศนคติ ไม่สนใจว่าจะเป็นขุนนางหรือสามัญชน บุรุษหรือสตรี ทุกคนล้วนเท่าเทียม… ผมขอภาวนาให้ผู้ที่กำลังทุกข์ทรมานเป็นอิสระจากความกลัวโดยเร็ว ได้ใช้ชีวิตด้วยความเงียบสงบ… เทพธิดาจงเจริญ”


ไคลน์และบิชอปอีเล็คตร้าต่างแตะสี่จุดบนหน้าอกตามเข็มนาฬิกา


“เทพธิดาจงเจริญ”


เมื่อเห็นอาร์ชบิชอปนักบุญแอนโทนีหันไปหาสาวกคนอื่น ไคลน์เตรียมเดินไปที่โต๊ะยาวเพื่อรับแชมเปญหนึ่งแก้ว บรรเทาอาการกระหายน้ำ


ทันใดนั้น สุภาพบุรุษคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้


ผิวพรรณของสุภาพบุรุษรายนี้หย่อนคล้อยเล็กน้อย หน้าท้องบวมออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าในวัยหนุ่มมีใบหน้าหล่อเหลาขนาดไหน หรือแม้กระทั่งปัจจุบัน ดวงตาสีฟ้าที่เป็นมิตรและเคราสง่างามก็ยังช่วยทำให้ดูดี


ไคลน์เพิ่งได้ฟังคำแนะนำมาจากส.ส. มัคท์ จึงทราบว่าชายคนนี้คือเอิร์ล·ฮอลล์ สมาชิกสภาขุนนางและนายธนาคารใหญ่


แน่นอน สำหรับชายหนุ่ม สิ่งที่สำคัญที่สุดของขุนนางรายนี้คือ เขาเป็นบิดาของมิสจัสติส และออเดรย์เองก็กำลังยืนอยู่ด้านข้าง จ้องดอน·ดันเตสด้วยดวงตาสีเขียวสดใส คล้ายกับรอฟังบทสนทนาของสุภาพบุรุษ


นั่นทำให้ไคลน์เกิดความกระอักกระอ่วน


เราต้องวางมาดให้เหมาะสมกับบุคลิกของดอน·ดันเตส… ชาติกำเนิดธรรมดา แต่ใช้ความสามารถไต่เต้าจนกลายเป็นคนร่ำรวย พยายามผลักดันตัวเองให้เป็นชนชั้นสูงและขุนนาง เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพลระดับอาณาจักร ท่าทีที่ควรเกิดขึ้นคือความประหม่า… อา สำหรับบุรุษที่ชื่อชอบสาวงาม เมื่อได้เผชิญหน้ากับอัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดของเบ็คลันด์ซึ่งตนมิอาจเอื้อม สีหน้าควรตึงเครียดและเจ็บปวด แต่ยังคงเผยเสน่ห์ออกมาตามธรรมชาติ เนื่องจากประสบการณ์ได้หล่อหลอมให้มันคือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต… นั่นสินะ คนที่ประสบความสำเร็จท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย ต้องทระนงตนทุกลมหายใจ ภายนอกสงบนิ่งสุขุม สุภาพนอบน้อม แต่ไม่ถ่อมตัว… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ก่อนจะเผยรอยยิ้มพลางกล่าวกับเอิร์ลฮอลล์ที่เดินเข้ามาใกล้


“ท่านเอิร์ลที่เคารพ ผมบังเอิญเห็นตัวเลขบนเช็คของคุณ ขอชื่นชมในความกรุณาและใจกว้าง… สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดก็คือ คุณไม่เคยโอ้อวดกับใครว่าบริจาคไปเท่าไร”


เอิร์ลฮอลล์หัวเราะในลำคอ


“ไม่เลย ถ้าเทียบกับคุณ ผมเสียสละน้อยกว่ามาก”


ความนัยแฝงของประโยคก็คือ หนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์อาจหมายถึงทรัพย์สินหนึ่งในสิบหรือหนึ่งในห้าของดอน·ดันเตส แต่สำหรับตน หนึ่งหมื่นปอนด์อาจหมายถึงหนึ่งในพันหรือน้อยกว่านั้น ดอน·ดันเตสจึงเสียสละมากกว่า เป็นการให้ด้วยใจบริสุทธิ์ยิ่งกว่า


“ตามความเห็นของผม หากผู้ยากไร้สามารถนำเงินของกองทุนไปใช้ศึกษาหาความรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต จำนวนเงินบริจาคล้วนมีคุณค่าเท่าเทียม ไม่แบ่งแยกว่าใครเสียสละมากกว่า หากมองจากมุมนี้ หนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ก็มากกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์เพียงห้าพันปอนด์” ไคลน์ตอบอย่างจริงใจ ขณะเดียวกันก็ชำเลืองไปทางสตรีผมทองด้านข้างที่กำลังยืนฟัง


มันทราบดีว่า ‘ยิ่งกลบเกลื่อน’ สำหรับผู้ชมก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน


ออเดรย์เผยรอยยิ้มเจือจางขณะฟังบทสนทนาระหว่างบิดากับดอน·ดันเตส คล้ายกับไม่สังเกตเห็นการแอบมองของสุภาพบุรุษ สิ่งนี้ทำให้ไคลน์ผู้เป็นนักแสดงขาดความมั่นใจ


เอิร์ลฮอลล์หัวเราะ


“ต่างคนต่างมุมมอง แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีทั้งคู่ และอย่างน้อยพวกเราก็ชื่นชมกันและกัน… คุณทำให้ผมเชื่อว่า คุณเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและช่วงชีวิตยากจนข้นแค้นมาก่อน”


ไคลน์พยักหน้ารับ


“ผมไม่คิดปกปิดอดีตเหล่านั้น พวกมันคือสมบัติล้ำค่าของตัวผม”


“นั่นคือสิ่งที่ผมกับเพื่อนๆ ไม่มี” เอิร์ลฮอลล์ยิ้ม “ด้วยเหตุนี้ คุณจึงมีวิสัยทัศน์และสติปัญญาในแง่มุมที่น่าสนใจและพิเศษแตกต่างจากพวกเรา หวังว่าจะได้ทำงานร่วมกันในอนาคต”


“ผมเองก็หวังเช่นนั้น” ไคลน์ตอบสนองอย่างเหมาะสม เป็นความรู้สึกจากใจจริง


เอิร์ลฮอลล์ชี้ไปด้านข้าง


“เพื่อนบางคนกำลังรอให้ผมเข้าไปทัก… ขอให้กองทุนการกุศลที่คุณริเริ่มดำเนินไปอย่างราบรื่น ขอให้มีเงินทุนสมทบไม่ขาดสาย”


ไคลน์ไม่ลากบทสนทนาออกไป เพียงวาดพระจันทร์แดงกลางหน้าอก


“เทพธิดาจงเจริญ”


“เทพธิดาจงเจริญ” เอิร์ลฮอลล์และออเดรย์แตะหน้าอกตามเข็มนาฬิกาสี่จุดพร้อมกัน


เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินไปทางอื่น ไคลน์แอบถอนหายใจโล่งอก


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเกิดความตึงเครียดกะทันหัน รีบมองไปรอบๆ ห้องโถงโดยยังสงวนกิริยา จนกระทั่งพบเงาดำนอกประตู


ที่นั่นมีสุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ยังคงนั่งจ้องอย่างเงียบงัน



บนรถม้าระหว่างทางกลับไปยังเขตราชินี เอิร์ลฮอลล์ที่คล้ายกับกำลังหลับตา หันไปมองบุตรสาวและกล่าว


“ออเดรย์ ลูกเคยบอกใช่ไหมว่าอยากเข้าร่วมองค์กรการกุศลของศาสนจักร? อยากเข้าร่วมกองทุนการกุศลนี้ไหม?”


“หือ?” ออเดรย์สังเกตเห็นนานแล้วว่าบิดาของเธอมีความคิดเช่นนี้ตั้งแต่อยู่ในวิหาร จึงเผยอาการตกใจอย่างเหมาะสม


“แต่นี่เป็นแค่กองทุนเล็กๆ” พี่ชายของออเดรย์ ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์โต้แย้งแทนน้องสาว


เอิร์ลฮอลล์ยิ้มพลางส่ายหน้า


“พ่อถามบิชอปมาแล้ว ยอดบริจาคในคืนนี้สูงเกินกว่าหนึ่งแสนปอนด์… รู้ไหมว่าทำไมถึงมากขนาดนี้?”


ฮิบเบิร์ตฮอลล์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบ


“ติดสินบน?”


ขณะเดียวกัน ออเดรย์มอบคำตอบในมุมของเธอ


“ความรู้และการผ่อนปรนคุณสมบัติในการเลือกตั้ง?”


เอิร์ลฮอลล์พยักหน้าพลางถอนหายใจ


“ไม่มีสิ่งใดอยู่ค้ำฟ้าไปตลอดกาล แม้กระทั่งมนุษยชาติ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงขุนนาง”


จากนั้นก็มองออเดรย์ กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“พ่อไม่ได้บังคับ… พ่อสามารถหาคนอื่นมาเข้าร่วมกองทุนการศึกษานี้แทนได้ แค่อยากให้ลูกได้เปิดโลกมากขึ้น ประสบการณ์บางอย่างหาได้เฉพาะกับบางที่เท่านั้น… หึหึ แต่ถึงจะพลาดองค์กรนี้ ก็ยังมีองค์กรถัดไปให้เลือกทำงาน”


“ท่านพ่อ หนูจะเก็บเรื่องนี้ไปคิด” ออเดรย์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง


หลังจากฟังเรื่องราวของคนยากจนที่ดอน·ดันเตสเล่า หญิงสาวต้องการเข้าร่วมกับกองทุนนี้จากใจจริง รวมสมทบทุนบริจาค คอยประสานกับหน่วยงานราชการ คอยจัดกิจกรรมพิเศษ แต่ที่ยังลังเลว่าเธอพบว่าดอน·ดันเตสมีปัญหา


กลับถึงบ้าน ออเดรย์เรียกให้ซูซี่เข้ามาในห้องและปิดประตู


“เธอคิดยังไงกับมิสเตอร์ดอน·ดันเตสคนนั้น?” ออเดรย์ถามเข้าประเด็น


โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ที่หมอบอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำหน้านึกสักพักก่อนจะตอบ


“ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักเธอหรือบางสิ่งบนร่างกายเธอ นอกจากนั้น เขาเล่นละครเกือบตลอดเวลา ฉันสังเกตเห็นร่องรอยได้เป็นครั้งคราว… ค่อนข้างระมัดระวังตัว เป็นคนที่ประสาทสัมผัสเฉียบแหลมมาก”


“เรื่องนั้นฉันเองก็สังเกตเห็น เขาน่าจะเป็นผู้วิเศษ… แต่ถึงจะเล่นละครได้แนบเนียนก็ยังมีจุดให้จับผิด… อย่างไรก็ตาม การเล่นละครคือเรื่องปรกติขณะออกงานสังคม เมื่อคนเราเผชิญหน้ากับแวดวงที่แตกต่าง บางครั้งก็จำเป็นต้องสมบทบาทให้เหมาะสม” ออเดรย์พูดพลางคิด “เรื่องที่น่ากังวลก็คือ ทำไมเขาถึงต้องตกตะลึงขนาดนั้นตอนที่เห็นฉัน แม้กระทั่งเผยความหวาดกลัวเล็กๆ … นอกจากนั้น รอบตัวเขาเพิ่งเกิดคดีร้ายแรงสองครั้ง หนึ่งในนั้นคือคดีของบารอนซินดราส กล่าวกันว่ามีต้นเหตุมาจากพลังพิเศษและการชักนำทางจิตใจ”


ซูซี่อ้าปากกว้าง แต่นึกสิ่งที่จะพูดไม่ออก จึงทำเพียงส่งเสียง ‘โฮ่ง’


ออเดรย์ครุ่นคิดต่อไปอย่างไม่แยแส


อา เราคงต้องหาคนมาตรวจสอบดอน·ดันเตสให้แน่ใจ เมื่อยืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่ตัวปัญหา ค่อยตอบตกลงเข้าร่วมกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา… จริงสิ ใกล้จะวันจันทร์แล้ว เราสามารถฝากฝังให้ฟอร์สและมิสเตอร์มูนรับทำงานนี้ พวกเขาต่างอยู่ในเบ็คลันด์



บ่ายสามโมงตรงวันจันทร์


เสาลำแสงสีแดงเข้มส่องสว่างบนเก้าอี้แต่ละตัวรอบโต๊ะทองแดงยาว เปลี่ยนให้ร่างที่พร่ามัวเริ่มคมชัด


‘จัสติส’ ออเดรย์มองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ตามด้วยการมองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวฝั่งหนึ่ง กล่าวอย่างยิ้มแย้ม


“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”


ราชันเร้นลับ 866 : บ้านเกิด

หลังจากได้ยินคำทักทายจากมิสจัสติส ‘เดอะฟูล’ ไคลน์พลันเกิดความรู้สึกประหลาด


เมื่อได้รู้จักตัวตน สถานะ และรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย ไคลน์เข้าใจทันทีว่าความสดใสร่างเริงของอีกฝ่ายมีต้นกำเนิดจากแหล่งใด แต่มิได้เกิดความอิจฉาริษยา มิได้คิดว่าอีกฝ่ายต้องลิ้มรสความทุกข์เสียบ้าง กลับกัน ท่ามกลางโลกอันแสนวุ่นวายและบ้าคลั่งใบนี้ การมีสตรีประเภทนี้อยู่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย


ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขณะตอบรับคำทักทายของจัสติส


รอจนกระทั่งสมาชิกชุมนุมทาโรต์ทักทายเสร็จ แคทลียาดันกรอบแว่น หันศีรษะไปด้านข้างพร้อมกับโค้งศีรษะคำนับตัวตนบนเก้าอี้สุดขอบโต๊ะทองแดงยาว


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ คราวนี้มีไดอารีสามหน้า”


ราชินีเงื่อนงำกลับมาออนไลน์แล้ว… ไคลน์จิกกัดในใจ ยิ้มและกล่าว


“ดี”


ไม่กี่วินาทีถัดมา แคทลียาที่ได้รับอนุญาต เขียนไดอารีสามหน้าเสร็จและมองพวกมัน ‘กระโดด’ ไปอยู่บนฝ่ามือมิสเตอร์ฟูล


ไคลน์ชำเลืองด้วยสายตาผ่อนคลาย ภายในใจเริ่มขมวดคิ้ว


ชายหนุ่มพบว่าไดอารีที่ราชินีเงื่อนงำส่งมาในคราวนี้ เป็นการเขียนในช่วงแรกๆ ของโรซายล์ ไม่มีข้อมูลสลักสำคัญ


ตามปรกติแล้ว ถ้ามิอาจจำแนกความสำคัญของไดอารี ก็ควรเลือกจากช่วงท้ายๆ มาก่อนไม่ใช่หรือ? เพราะนั่นอาจมีเบาะแสของการ ‘ลอบสังหาร’ จักรพรรดิโรซายล์ถูกบันทึกไว้… นึกว่าราชินีเงื่อนงำจะฉลาดกว่านี้เสียอีก… ไคลน์เกิดความเคลือบแคลงเล็กๆ ก้มหน้าอ่านไดอารีแผ่นแรกอย่างระมัดระวัง


“21 กันยายน เดินทางมาถึงเซนต์มิลลอม เริ่มการเยือนอาณาจักรข้างเคียงอย่างเป็นทางการในฐานะประมุข”


“อากาศที่ฟุซัคหนาวสมคำร่ำลือ ทั้งที่ยังไม่ถึงเดือนตุลาคม แต่กลับดูเหมือนจะมีหิมะตก ไม่แปลกใจว่าทำไมสินค้าขึ้นชื่อถึงเป็นเสื้อผ้าและเหล้า!”


“บ้าจริง คนที่นี่สูงชะมัด สมแล้วที่เป็นลูกหลานคนยักษ์ แต่ต้องยอมรับตามตรงว่า เราไม่ชอบความรู้สึกของการถูกก้มมองลงมาเลยสักนิด!”


“สำหรับค่ำคืนนี้ เราจะแวะไปผับ มองหาสาวงามชาวฟุซัคและชวนกันเมาหัวราน้ำ!”


อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์เกิดเริ่มสงสัยว่า ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตอาจจะแนบคำถามมาด้วยว่า เธอมีพี่น้องเป็นลูกครึ่งเชื้อสายฟุซัคอยู่หรือไม่?


ข่มใจไม่ให้ส่ายศีรษะ ไคลน์ก้มหน้าอ่านย่อหน้าที่สอง


“22 กันยายน ดูเหมือนว่าเราจะภาพตัด”


“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สาวงามชาวฟุซัคไปไหน? นี่เราพ่ายแพ้เธอในการดื่ม?”


“คนของสถานทูตบอกกับเราว่า สตรีที่นี่มักดื่มเก่งกว่าบุรุษ”


“ในอนาคตคงต้องเลือกผับให้ดี เราไม่อยากถูกคุณป้าอ้วนๆ ทำมิดีมิร้ายตอนภาพตัด”


“เหล้าที่นี่แรงมาก ทำเอาปวดหัวทั้งวัน แต่โชคดีที่ไม่ปวดก้น ดีล่ะ ต้องรีบนอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้มีนัดหมายไปเยี่ยมชมบรมมหาราชวังสนธยา”


“23 กันยายน บรมมหาราชวังสนธยาทั้งงดงามและยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ ราวกับตำนานกลายเป็นความจริง ทุกส่วนของอาคารราวกับถูกสร้างมาเพื่อคนยักษ์”


“ในฐานะคนนอก เราทำได้แค่เดินวนสำรวจด้านนอก พบว่าบริเวณเชิงเขาของบรมมหาราชวังเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าโชยหึ่ง!”


“ที่นั่นมีผู้คนมากมาย บางคุกเข่า บ้างนั่ง บ้างเล่นฟลุตกระดูก มอบความรู้สึกผ่อนคลายและไพเราะ”


“เราเข้าไปทำความรู้จักกับคนเป่าฟรุตกระดูกคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมชาติ ชายนี้ตัวใหญ่กว่าปรกติมาก เป็นเจ้าของส่วนสูงถึงเกือบสามเมตรจากการกะเกณฑ์ด้วยสายตา”


“เขาชื่อโอเนจ เป็นคนของตระกูลหนึ่งในฟุซัคที่อ้างตัวว่าสืบเชื้อสายมาจากคนยักษ์บริสุทธิ์ เล่นฟลุตกระดูกได้เศร้ามาก เดิมทีไม่ใช่คนที่นี่ แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน… เมื่อเทียบกับชายชาวอินทิสที่วันๆ เอาแต่วนรอบกระโปรงสาวๆ ชายคนนี้ดูเป็นนักกวีที่น่ายกย่อง พูดถึงเจ้าพวกนั้นแล้วหัวเสีย ทำไมถึงได้ภาคภูมิใจกับโรคทางเพศสัมพันธ์ที่ตนเป็นกันนัก? นั่นทำให้เราต้องระวังตัวมากขึ้นหลายเท่า! จะทำอะไรก็ไม่สะดวก!”


“เราคุยกับโอเนจสักพัก ได้ความว่าเขาคิดถึงบ้านเกิดมาก”


“แต่ปัญหาคือ เขาเป็นคนของเซนต์มิลลอมโดยกำเนิด ไม่เคยออกไปไหน”


“โอเนจมิได้ตอบเราทันที แต่เริ่มด้วยการเป่าฟลุตกระดูกสองสามนาที จนกระทั่งเล่าว่าเขาคิดถึงสายเลือดคนยักษ์บริสุทธิ์ คิดถึงวังราชาคนยักษ์ในตำนาน”


“เขาเล่าว่า ตนและตระกูลของตนมักฝันถึงภูเขาลูกใหญ่ ฝันถึงกำแพงยักษ์ ฝันถึงวังขนาดมหึมาและอาคารข้างเคียงที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแสงสนธยาตลอดเวลา ที่นั่นคล้ายคลึงกับบรมมหาราชวังสนธยามาก แต่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า ใกล้เคียงตำนานยิ่งกว่า”


“ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ โอเนจและคนในตระกูลล้วนคิดตรงกันว่า สถานที่ดังกล่าวคือวังราชาคนยักษ์”


“เมื่อกล่าวจบ โอเนจค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวขอบคุณที่เราอยู่เป็นเพื่อนคุย เขากำลังจะเดินทางออกจากฟุซัคเพื่อตามหาวังราชาคนยักษ์ ตามหาบ้านเกิดของดวงวิญญาณ”


“เขาเชื่อว่า บนน่านน้ำสุดขอบตะวันออกของทะเลโซเนีย ที่นั่นอาจจะมีเส้นทางเข้าไปยังวังราชาคนยักษ์”


“เขายังเล่าอีกว่า แม้จะผ่านมาแล้วหลายพันปี แต่คนยักษ์ไม่เคยลืมบ้านเกิด ตอนนี้ถึงเวลาต้องเดินตามรอยบรรพบุรุษแล้ว หากไม่เจอจุดสิ้นสุดก็จะไม่มีวันหยุดเดินทาง”


“เขาเล่นฟลุตกระดูกอีกครั้งด้วยท่วงทำนองที่ทวีความเศร้าแต่ไพเราะ ก่อนจะลับสายตาไป”


“บ้านเกิด…”


บ้านเกิด… อ่านถึงตรงนี้ เป็นครั้งแรกที่ไคลน์เชื่อว่า ตนกับจักรพรรดิมีความคิดตรงกันทุกประการ


แม้โรซายล์จะเขียนคำเดิมซ้ำๆ สองสามหนในตอนท้าย มิได้ลงลึกรายละเอียด แต่ไคลน์สามารถคาดเดาอารมณ์ในวินาทีที่โรซายล์บันทึกข้อความเหล่านี้ เพราะตนกับโรซายล์นั้นไม่ต่างจากโอเนจ ยังมีบ้านเกิดทางจิตวิญญาณให้กลับไป


ถอนหายใจเงียบ ไคลน์พลิกไปยังหน้าที่สอง


“10 มกราคม เดินทางมาถึงเกาะโซเนีย”


“ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเกาะเอลฟ์โบราณ เต็มไปด้วยซากมรดกและวัฒนธรรมของเอลฟ์”


“ในวันแรกที่มาเยือน เราตกใจมากเมื่อพบว่าเอลฟ์สามารถทำ ‘ต้มเลือด’ ได้ด้วย แถมยังกินเครื่องในสัตว์และชำนาญการปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ”


“พวกเขาประดิษฐ์แม้กระทั่งตะเกียบ?”


“เมื่อลองนึกทบทวนให้ดี ภาพของเอลฟ์บนจิตรกรรมฝาผนังที่เราเคยเห็น หากไม่นับเอลฟ์บางตนที่มีผมสีฟ้า โครงหน้า ความสูง สีผม และดวงตาคล้ายคลึงกับชาวเอเชียบนโลกเก่า… อย่าบอกนะว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติของเรา?”


ตอนนั้นเราก็เคยมีความคิดแบบเดียวกัน แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ไม่มีทางที่มนุษย์จะเดินทางข้ามโลกได้มากขนาดนั้นในคราวเดียว เรียกได้ว่าแทบจะทั้งเผ่าพันธุ์ เราน่าจะคิดมากไปเอง… และพฤติกรรมกับวัฒนธรรมของโลกเก่า ก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ได้เช่นกัน เพราะหลายสิ่งหลายอย่างก็เป็นเช่นนั้น… ไคลน์รีบอ่านด้วยความสนใจ ต้องการทราบว่าโรซายล์ค้นพบเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่


“13 มกราคม พักนี้เรายุ่งอยู่กับการเก็บรวบรวมโบราณวัตถุ หนังสือเก่าแก่ และนิทานพื้นบ้านของท้องถิ่น ส่งผลให้ลืมเขียนไดอารีมาสองสามวัน”


“แม้หลายสิ่งจะถูกบรรดาโบสถ์หลักนำออกไปแล้ว แต่เราก็ยังค้นพบของมีค่า”


“หลายๆ ตำนานระบุตรงกันว่า ‘ราชาเอลฟ์’ ซอนญาธริมเป็นผู้คิดค้นตะเกียบ เป็นผู้คิดค้นการกินเครื่องในและเลือดสัตว์ มีการบันทึกไว้ว่าเทพบรรพกาลตนนี้เชี่ยวชาญการจำแนกเครื่องเทศ หลายตำนานลงความเห็นตรงกันว่า ท่านคือบรรพบุรุษของเอลฟ์ เป็นเอลฟ์ตนแรกของโลก ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านนำเผ่าพันธุ์ของตนอพยพออกจากทวีปตะวันตกที่มีอยู่แต่ในเทพนิยาย มาอาศัยบนทวีปเหนือ”


“หรือว่าชายคนนั้นจะเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมชาติของเรา? เป็นนักเดินทางข้ามโลกคนแรก?”


“ตัวเขาตามลำพังสามารถสร้างเผ่าพันธุ์ได้มากมายขนาดนี้เชียว? หรือว่าเทพบรรพกาลมีอำนาจเช่นนั้น?”


“แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีภรรยาเป็นเอลฟ์… อา คงต้องไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบ”


“16 มกราคม หลังจากการสืบสวนเพิ่มเติม เอลฟ์อาจไม่เกี่ยวข้องกับผู้เดินทางข้ามโลก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้ทิ้งเบาะแสหรือสัญลักษณ์ใดที่เกี่ยวกับภาษาจีนหรืออังกฤษ”


“พวกเขาใช้ภาษาเอลฟ์มาตั้งแต่เริ่มแรก และไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคยเลยสักนิด”


“นอกจากนั้น ก่อนที่เราจะมาที่นี่ แทบไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดที่เป็นเทคโนโลยีของโลกเก่า เช่นเดียวกันกับวลีดัง อาจมีสุภาษิตหรือนิทานสอนใจที่คล้ายคลึงกันในบางเรื่อง แต่ยกตัวอย่างและใช้คำแตกต่างกันชัดเจน”


“เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบเข้าด้วยกัน ไม่มีสิ่งใดสนับสนุนข้อสันนิษฐานของเรา เรื่องนี้ค่อนข้างน่าผิดหวังทีเดียว แต่อีกใจหนึ่งก็โล่งอก เพราะถ้ามีผู้เดินทางข้ามโลกมาก่อนจริง เราคงทำตัวไม่ถูก”


“17 มกราคม เราฝันถึงบ้านเกิดที่กำลังจะเลือนหายไปจากความทรงจำ”


อย่างที่คิด จักรพรรดิเองก็ทิ้งสมมติฐานดังกล่าวเหมือนกับเรา… ไคลน์พลิกไปอ่านไดอารีหน้าสุดท้าย


“2 เมษายน ลูกสาวของเราฉลาดมาก พูดได้ตั้งแต่ยังไม่ครบหนึ่งขวบ! แม้จะยังจดจำคำศัพท์ได้ไม่มาก แต่พัฒนาการทางสมองจะต้องก้าวกระโดดแน่นอน!”


“เลือดของพ่อมันเข้มข้น!”


“ไม่ว่าจะมองมุมใด หน้าตาของเธอก็เหมือนกับเราสมัยเด็กที่โลกเก่ามาก… อย่าบอกนะว่าดวงวิญญาณสามารถสืบทอดทางกรรมพันธุ์ได้บางส่วน? ฮะฮะ! คิดแบบนั้นไปก่อนก็แล้วกัน”


“แบร์นาแดตเป็นชื่อที่ดี ฟังดูน่ารักน่าชัง แต่ในใจลึกๆ ของเราอยากตั้งชื่อเล่นเป็นภาษาจีนให้เธอ”


“เฮ่อ… เธอคงไม่ได้เห็นหน้าปู่และย่าที่แท้จริง”


“3 เมษายน อารมณ์อันพลุ่งพล่านที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้เรานอนไม่หลับ แต่โชคดีที่เราเข้าฌานเป็น”


“แต่นั่นทำให้เราเกิดความลังเลว่าควรแอบสอนภาษาจีนกลางให้แบร์นาแดตดีไหม”


“ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจะให้เธออ่านไดอารีที่เราเคยเขียนไปทั้งหมด แบบนั้นขอฆ่าตัวตายดีกว่า! ภาพลักษณ์ความเป็นพ่อในใจลูกสาวคงพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี!”


“แต่ว่า การเขียนไดอารีเป็นภาษาจีนกลางคือความเชื่อมโยงสุดท้ายระหว่างเราและโลกเก่า… ในฐานะลูกสาว เธอควรสืบทอดความเชื่อมโยงนี้ไว้บ้าง”


“6 เมษายน หลังจากครุ่นคิดมาตลอดหลายวัน เราตัดสินใจจะสอนภาษาจีนสองตัวให้แบร์นาแดตจดจำในฐานะสัญลักษณ์พิเศษ ระบุว่าสิ่งนี้คือคาถาที่พ่อทิ้งไว้ ขอให้จดจำไปจนวันตาย”


“เธอไม่จำเป็นต้องเข้าใจความหมาย ขอแค่จดจำให้ได้ก็พอ”


“อักษรจีนสองตัวที่ว่าก็คือ”


“บ้านเกิด” (故乡)


บ้านเกิด… ไคลน์ทวนคำด้วยดวงตาอุ่นๆ


ชายหนุ่มเข้าใจทันทีว่าทำไมราชินีเงื่อนงำถึงเลือกไดอารีสามหน้านี้ เพราะแต่ละหน้ามี ‘คาถา’ ที่บิดาเคยสอนถูกเขียนอยู่


“บ้านเกิด”


ในเวลานี้ ห้วงอารมณ์ไคลน์เป็นราวกับสายน้ำ บนพื้นผิวอาจดูสงบ แต่ลึกลงไปมีกระแสน้ำวนเชี่ยวกรากซ่อนอยู่มากมายและไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง


ไคลน์ถอนสายตากลับ เสกให้ไดอารีหายไป จ้องหน้าแคทลียาและถาม


“คำถามของเจ้าคือ?”


ราชันเร้นลับ 867 : ภารกิจสืบสวน

เมื่อมองหน้า ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา ไคลน์คาดเดาสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้ทันที จึงถอนหายใจเงียบ


มิสเตอร์ฟูลทราบได้อย่างไรว่าเราจะถาม ไม่ใช่การร้องขอในสิ่งอื่น? สมแล้วที่เป็นท่าน… ครุ่นคิดสักพัก แคทลียากล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความเคารพ


“เรียนมิสเตอร์ฟูล ดิฉันต้องการทราบความหมายของสัญลักษณ์สองภาพนี้”


หลังจากได้รับอนุญาต หญิงสาววาดภาพอักษรจีน ‘故’ และ ‘乡’


นั่นปะไร… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ


“เมื่อนำมารวมถึงกันจะมีความหมายว่าบ้านเกิด… บ้านเกิดของดวงวิญญาณ”


เมื่อรวมเข้าด้วยกัน… บ้านเกิดของดวงวิญญาณ… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาให้ความสนใจกับประโยคหลังมากกว่า เพราะเธอทราบดีว่าบ้านเกิดของราชินีเงื่อนงำอยู่ที่ไหน ตรงจุดนั้นน่าจะไม่ใช่สาระสำคัญ


สมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างจัสติสและแฮงแมนถือโอกาสเรียนรู้ตัวอักษรของโรซายล์ พยายามจำจดรูปลักษณ์และความหมาย มีเพียงคนเดียวที่ไม่สนใจ – เดอะซัน เดอร์ริค


‘เดอะฟูล’ ไคลน์มิได้เล่าเสริม เพียงเอนหลังและเปล่งเสียง


“เชิญ”


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์หันหน้าไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่สุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งทันที


“สมบัติวิเศษของคุณใกล้เสร็จแล้ว ส่งมอบได้ภายในสัปดาห์นี้”


มันกำลังหมายถึงสมบัติวิเศษที่สร้างจากตะกอนพลังผู้ขับขานสมุทร


‘ช่างฝีมือ’ คนดังกล่าวเร่งมือผลิตถุงมือของจัสติสให้เสร็จก่อน งานของเดอะเวิร์ลจึงเลื่อนมาเป็นสัปดาห์นี้


ในช่วงที่มิสเตอร์อะซิกยังไม่ตอบจดหมายกลับ ในช่วงที่เรายังไม่มีวิธีผนึกยุบพองหิวโหย สมบัติวิเศษมาได้ถูกเวลามาก… ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าว


“ไม่ช้าจนเกินไป”


ไม่ช้าจนเกินไป… ถ้างานนี้เสร็จช้าลงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือน เขาจะเทเลพอร์ตมาเยี่ยมเรา? ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก


เนื่องจากแผนขั้นถัดไปของแฮงแมนคือการขอโอสถ ‘ผู้สังเวยภัยพิบัติ’ จากโบสถ์วายุสลาตัน แถมโอสถผู้ขับขานสมุทรก็เพิ่งเริ่มย่อยได้ไม่นาน มันจึงไม่สนใจจะซื้อวัตถุดิบหลักใดๆ เพียงทำตัวเงียบและเฝ้ามองสมาชิกคนอื่นค้าขาย


สำหรับอัลเจอร์ เป้าหมายในตอนนี้ของมันคือการมองหาสมบัติวิเศษมาใช้คู่กับ ‘แส้จิต’ จริงอยู่ที่สมบัติวิเศษนั้นควรพกพาในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงเชิงลบที่ซ้อนทับ แต่สำหรับผู้วิเศษลำดับ 5 การมีสมบัติวิเศษเพียงชิ้นเดียวถือเป็นเรื่องค่อนข้างน่าอับอาย


ในสถานการณ์ปรกติ ผู้วิเศษลำดับ 5 ควรพกพาสมบัติวิเศษสองสามชนิดที่ผลข้างเคียงไม่ส่งเสริมกันและกัน นั่นจะเป็นการดีที่สุด


แน่นอน อัลเจอร์สั่งจองไปแล้วหนึ่งชิ้น หลังจากช่างฝีมือผลิตสมบัติวิเศษของเดอะเวิร์ลเสร็จเมื่อไร ถัดไปเป็นคิวของสมบัติวิเศษจากแก่นผลึกของการ์กอยล์หกปีก


สำหรับสิ่งนี้ มันต้องเสียค่าแรงเป็นจำนวนหนึ่งพันปอนด์ เมื่อผนวกกับค่าแรงในการผลิตสมบัติวิเศษของเดอะเวิร์ล เงินสดอันน้อยนิดในมือมันจะลดลงไปอีกเกือบสองพันปอนด์ เหลือติดตัวเพียงหนึ่งพันแปดร้อยปอนด์ โดยห้าร้อยปอนด์เป็นเงินค่านายหน้าที่ได้จากมิสจัสติส


หลังจากเห็นว่าไม่มีใครพูด ‘เดอะมูน’ เอ็มลินหันไปถาม ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค


“ข้าต้องการตะกอนพลังแวมไพร์เทียมลำดับ 5 เจ้าต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน?”


ในช่วงที่ผ่านมา มันได้พูดคุยกับผีดูดเลือดคนอื่นๆ และพบว่า เบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือดสามารถขจัดมลพิษทางจิตที่ปนเปื้อนมากับตะกอนพลังได้ แต่ต้องมีคะแนนผลงานเพียงพอสำหรับแลกเปลี่ยน


ดังนั้น เอ็มลินจึงหวังครอบครองวัตถุดิบหลักให้ได้เสียก่อน จึงค่อยดำเนินการเรื่องอื่นๆ


เท่าที่มันสังเกต ตะกอนพลังของแวมไพร์เทียมลำดับ 5 จะมีราคาอยู่ที่ประมาณแปดพันปอนด์ อ้างอิงจากราคาของมิสเตอร์เวิร์ล แต่ปัจจุบันมันมีเงินสดเพียงห้าพันสี่ร้อยปอนด์ จึงยังเหลือช่องว่างพอสมควร


จากอุปนิสัยส่วนตัวของเอ็มลิน มันต้องเก็บเงินให้ได้แปดพันปอนด์ก่อนจะติดต่อขอซื้อตะกอนพลังจากเดอะซัน เพราะเอ็มลินเป็นผีดูดเลือดที่ทระนงตน ไม่ชอบการใช้เงินจากอนาคต และไม่หน้าหนาพอจะขอยืมจากคนอื่น ไม่สนว่าจะเป็นตุ๊กตาที่อยากได้มากแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ต้องทำมีเพียงทำงานให้หนักขึ้น ประหยัดอดออม จากนั้นค่อยกำเงินสดไปซื้อ อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือเดอะซันไม่รับเงินสด เพราะสำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ ทองปอนด์หรือธนบัตรของโลเอ็นมีค่าไม่ต่างจากเศษกระดาษ


ดังนั้น เอ็มลินเชื่อว่าเดอะซันจะแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของ และนั่นต้องใช้เวลาเตรียมการ


เหนือสิ่งอื่นใด เดอะซันไม่เชี่ยวชาญตลาดของโลกภายนอก บางทีเขาอาจต้องการวัตถุที่มีมูลค่าเพียงห้าพันปอนด์… เอ็มลินรอฟังคำตอบอย่างมีความหวัง เชิดคางเล็กน้อยขณะจ้องหน้าเดอะซันด้านข้าง


เดอร์ริคไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบ


“เอ่อ… สูตรโอสถลำดับ 5 ของเส้นทางสุริยัน”


ใจจริง เด็กหนุ่มอยากตอบว่า ‘ช่วยใช้หนี้มิสเตอร์เวิร์ลให้หน่อย’ แต่เนื่องจากเดอะเวิร์ลยังไม่เรียกร้องสิ่งใดเป็นพิเศษ เดอร์ริคจึงมองว่าไม่เหมาะสมที่จะโยนหนี้ให้คนอื่น


นอกจากนั้น เดอะซันเคยผ่านชุมนุมทาโรต์มาแล้วหลายหน ไม่ใช่ไก่อ่อนในตลาด เมื่อผนวกเข้ากับมาตรฐานการแลกเปลี่ยนในเมืองเงินพิสุทธิ์ เด็กหนุ่มทราบว่าช่องว่างของสูตรโอสถลำดับ 6 ‘ผู้รับรอง’ กับตะกอนพลังลำดับ 5 นั้นมากเพียงใด หากแลกเปลี่ยนตรงๆ มีแต่จะเสียเปรียบ ส่งผลให้ยื่นข้อเสนอเป็นสูตรโอสถลำดับ 5 แทน


สูตรโอสถลำดับ 5… ของหายาก… ราคาแกว่งมาก มีตั้งแต่สี่พันห้าร้อยปอนด์ไปจนถึงเจ็ดพันปอนด์ ขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนของผู้ซื้อขาย นอกจากนั้นยังมีค่าธรรมเนียมสำหรับพิสูจน์ความถูกต้อง… ขณะเอ็มลินเตรียมตอบตกลง มันได้ยินเสียงแหบพร่าของเดอะเวิร์ล


“ผมมี”


ทันใดนั้น พระราชวังที่ดูคล้ายถิ่นพำนักคนยักษ์พลันเงียบสงัด สมาชิกชุมนุมทาโรต์ต่างพากันมึนงง


สิ่งของเกี่ยวกับลำดับ 5 มันหาง่ายขนาดนั้นเลย? เอ็มลินรู้สึกต่ำต้อยอย่างอธิบายไม่ถูกในเรื่องที่ตนยังไม่ได้เป็นลำดับ 5 เสียที หลังจากพยายามข่มใจให้สงบสักพัก มันหันไปถาม


“เท่าไร?”


พิจารณาจากสถานภาพการเงินของเอ็มลิน·ไวท์ ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลหัวเราะในลำคอ


“ห้าพันปอนด์… สูตรโอสถนักบวชแสง”


ห้าพันปอนด์? เอ็มลินผงะเล็กน้อย ตอบโดยไม่ลังเล


“ตกลง!”


มันทำท่าทางราวกับได้เห็นตุ๊กตาตัวโปรดปักป้ายลดราคา


“ตกลง” เดอะเวิร์ลพยักหน้าแผ่วเบา ราวกับไม่ใช่การค้าขายใหญ่โตอะไร


จากนั้น มันเห็นมิสจัสติสมองไปรอบๆ ในทิศทางครึ่งวงกลม ตามด้วยกล่าว


“ดิฉันอยากว่าจ้างงานสืบสวน”


งานสืบสวน… หัวใจไคลน์เต้นแรงทันที ส่งผลให้ปฏิกิริยาตอบสนองของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เฉื่อยชาลงเล็กน้อย


“สืบสวนอะไร?” ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สถามด้วยความกระตือรือร้น


จากประสบการณ์ส่วนตัว งานของมิสจัสติสค่อนข้างง่ายและได้ค่าตอบแทนสูง หากพอจะทำได้ก็ควรรีบคว้าไว้!


‘จัสติส’ ออเดรย์เรียบเรียงคำพูดก่อนจะตอบ


“มีสองเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นภายในเบ็คลันด์ หนึ่งคือคดีที่ต้องสงสัยว่าบารอนซินดราสจะถูกใส่ร้าย และอีกหนึ่งคือคดีพยายามลอบสังหารส.ส. มัคท์โดยมีแรงจูงใจมาจากการผลักดันปัญหามลพิษทางอาการ”


ยิ่งได้ฟังคำอธิบายจากจัสติส ฟอร์สก็ยิ่งคุ้นเคย เพราะทั้งสองคดี เธอได้เห็นมากับตาตัวเอง เรียกได้ว่ามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ!


หญิงสาวเหยียดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ปล่อยให้มิสจัสติสเล่าต่อไป


“และจากทั้งสองคดี มีนักธุรกิจคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เขาชื่อว่าดอน·ดันเตส เพิ่งย้ายมาอาศัยในกรุงเบ็คลันด์ได้ประมาณสองเดือน เพิ่งบริจาคหุ้นมูลค่าหนึ่งหมื่นกว่าปอนด์ให้โบสถ์รัตติกาลเพื่อจัดตั้งกองทุนการศึกษาสำหรับผู้ยากไร้” ออเดรย์เล่าด้วยโทนเสียงราวกับเธอไม่เคยพบเจออีกฝ่าย แต่ได้ยินผ่านข่าวลือและเรื่องเล่า “ดิฉันต้องการให้ใครสักคนตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของสุภาพบุรุษรายนี้”


ฉันรู้! รู้จักดีมากด้วย! เขาค่อนข้างร่ำรวย หล่อเหลา สามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ ตามแบบฉบับผู้มีประสบการณ์ และน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สอยากยกมือตอบ


ถ้ามิสจัสติสยังไม่พึงพอใจ เธอยังมีข้อมูลเพิ่มเติมให้ ยกตัวอย่างเช่น ดอน·ดันเตสกำลังตกอยู่ในสถานการณ์น่าสังเวช พ่อบ้านแอบศึกษามนต์ดำ บุรุษรับใช้แอบนับถือเทพมรณา มีเพื่อนบ้านเป็นผู้วิเศษ ในบล็อกถนนมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ และเพื่อให้พ้นจากเรื่องยุ่งยาก เขาตัดสินใจบริจาคหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าสูงกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์!


สรุปโดยสั้น เขาเป็นเหมือนกับคนต่างถิ่นที่ถูกสังคมรุมกลั่นแกล้ง เราเคยความคิดที่จะขายยารักษากระเพาะปัสสาวะให้เขา เพราะต้องไม่ลืมว่า มิสเตอร์มูนเก่งกาจด้านการปรุงยา เราสามารถทำตัวเป็นคนกลางและกินค่าธรรมเนียม… อา ใจเย็นไว้ อย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดเผยตัว รอให้มิสจัสติสเล่าข้อเสนอให้จบ… ฟอร์สพยายามระงับความตื่นเต้น นั่งมองสตรีด้านข้างอย่างอดทน


แต่แรงกระเพื่อมทางอารมณ์อันเอ่อล้นย่อมมิอาจเล็ดลอดสายตา ‘ผู้ชม’ ภาษากายของฟอร์สทรยศต่อเจตจำนงตัวเองโดยสิ้นเชิง ออเดรย์ทั้งประหลาดใจและสับสน คาดไม่ถึงว่าฟอร์สจะรู้จักกับดอน·ดันเตสมาก่อน แถมดูเหมือนจะรู้สึกเสียด้วย


เรื่องนี้ทำให้เธอเริ่มเข้าใจเหตุผลที่ดอน·ดันเตสตกตะลึงในตอนได้เห็นตน เมื่อลองวิเคราะห์จากข้อมูลล่าสุด ออเดรย์สงสัยว่าฟอร์สอาจเคยแสดงบางสิ่งเกี่ยวกับเธอให้สุภาพบุรุษรายนี้เห็นมาก่อน


ขณะเดียวกัน ‘เดอะมูน’ เอ็มลินกำลังสมองขาวโพลน มันไม่เคยได้ยินเรื่องที่มิสจัสติสเล่ามาก่อน เพิ่งทราบว่าเคยมีคดีเหล่านี้เกิดขึ้นในเบ็คลันด์ ในทางกลับกัน ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ที่กำลังนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เกือบหลุดกระตุกมุมปาก


มันไม่คาดคิดว่ามิสจัสติสจะลงทุนจ้างคนมาตรวจสอบข้อมูล เพราะทั้งสองฝ่ายบังเอิญเจอกันในงานเลี้ยงการกุศล และในอนาคตไม่น่าจะได้พบกันอีก ไม่มีความจำเป็นต้องสืบหาข้อมูลเชิงลึก!


หรือว่าบางพฤติกรรมของเราเป็นปัญหาจนไปกระตุ้นความสนใจจากมิสจัสติส? หรือว่าการทุ่มบริจาครวดเดียวหนึ่งหมื่นปอนด์ แสดงให้เห็นว่าเอิร์ลฮอลล์เพ่งเล็งเรา มิสจัสติสผู้ห่วยใยบิดาจึงแอบสืบสวนอย่างลับๆ? สมองไคลน์ว้าวุ่นเล็กน้อย ก่อนจะมองเห็นช่องว่างและวิธีรับมือ


ขณะเดียวกัน ออเดรย์ที่ตัดสินใจได้ หันไปมองทาง ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สด้านข้างและกล่าว


“ค่าจ้างในการสืบสวนเบื้องต้นคือห้าร้อยปอนด์ แต่ถ้าถูกลากเข้าไปพัวพันกับอันตราย ฉันจะจ่ายเพิ่มอย่างเหมาะสม”


ไม่มีปัญหา! ฟอร์สรีบขานรับในใจ


ขณะหญิงสาวเตรียมตอบตกลง เธอเหลือบเห็น ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยกมือขึ้น


ใช่แล้ว เขายกมือขึ้น


ราชันเร้นลับ 868 : ตัวตนร่วม

เอ่อ… ฟอร์สชะงักไปหลายนาที สับสนว่าตนอาจมองเห็นผิด


ถัดมา เธอเริ่มคิดหาเหตุผลมารองรับ


มิสเตอร์เวิร์ลอยากรับงานนี้? นั่นสินะ เขาเองก็อยู่ในเบ็คลันด์


แต่นี่เป็นภารกิจสอบสวน ไม่ใช่ฆาตกรรม ดอน·ดันเตสน่าสังเวชมากพอแล้ว ปล่อยเขาไป!


หรือว่าการจำกัดเป้าหมายก็เป็นแนวทางการสืบสวนประเภทหนึ่ง? เพราะถ้าไม่มีเป้าหมาย ก็ไม่ต้องสืบสวน…


เราจะทำยังไงดี? ควรเสนอตัวทำภารกิจนี้ดีไหม? ค่าจ้างห้าร้อยปอนด์ ลำพังข้อมูลที่เราเกริ่นไปข้างต้นก็น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองร้อยปอนด์แล้ว แต่คู่แข่งคือมิสเตอร์เวิร์ล… บางที เราสามารถร่วมมือกัน ไม่จำเป็นต้องแข่งขันเสมอไป…


ว่าแต่ ทำไมมิสเตอร์เวิร์ลถึงสนใจงานนี้? จุดประสงค์ของเขาคือคดีของบารอนซินดราสหรือส.ส. มัคท์กันแน่?


ขณะฟอร์สกำลังขบคิดถึงแก่นของปัญหา แฮงแมนและเฮอร์มิทหันมาจ้อง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่อาสารับทำงานนี้ พวกมันมิได้สนใจคดีบารอนซินดราส คดีส.ส. มัคท์ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่เศรษฐีดอน·ดันเตสบริจาคเงินหลายหมื่นปอนด์ แต่หากเป็นภารกิจที่ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลให้ความสนใจด้วยตัวเอง เกรงว่าเบื้องหลังอาจไม่ธรรมดา


‘เดอะมูน’ เอ็มลินมิได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แค่เริ่มตระหนักว่าภารกิจสืบสวนของจัสติสอาจมีลับลมคมใน ตัวมันซึ่งเคยคิดจะนำเงินห้าร้อยปอนด์มาเติมเต็มกระเป๋าสตางค์ที่กำลังจะบางลง ตัดสินใจปิดปากเงียบกะทันหัน


ดอน·ดันเตสไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นตัวปัญหาใหญ่ มิสเตอร์เวิร์ลจึงต้องการสืบสวน? หรือว่าทั้งสองคดีมีความสำคัญมากกว่าที่เราเข้าใจในตอนแรก? หัวใจออเดรย์เริ่มเต้นแรง ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย อาศัยตำแหน่งเก้าอี้ที่ได้เปรียบ สำรวจความเป็นไปของสมาชิกชุมนุมทุกคน


จากบรรดาทั้งหมด มีเพียง ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคเท่านั้นที่คิดไม่เหมือนใคร


สำหรับเด็กหนุ่ม เป็นเรื่องปรกติที่สมาชิกชุมนุมทาโรต์จะช่วยเหลือกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อมีคนเสนองาน คนที่พร้อมทำแข็งแกร่งพอจะทำได้ ก็ควรเสนอตัวช่วยเหลืออยู่แล้วไม่ใช่หรือ?


‘จัสติส’ ออเดรย์หันสายตาไปยังอีกฝั่งของสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว ถามโดยนัย


“มิสเตอร์เวิร์ล คุณจะรับทำงานนี้หรือ?”


หลังจากกลับถึงเบ็คลันด์และรวบรวมข่าวทางทะเลในพักหลัง เธอยืนยันว่ามิสเตอร์เวิร์ลคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเสียสติผู้โด่งดัง เป็นสุภาพบุรุษแสนอันตรายที่ก่อเรื่องน่าชื่นชมไว้มากมาย และนั่นทำให้ความกระหายอยากผจญภัยทางทะเลของเธอลดลงไปมาก


ไคลน์เตรียมคำตอบไว้นานแล้ว ทันทีที่จัสติสถาม ชายหนุ่มลดมือลงพลางตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ


“ดอน·ดันเตสเป็นเพียงตัวตนหนึ่ง”


หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ไคลน์ตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลบางเรื่อง นั่นคือดอน·ดันเตสเป็นหนึ่งในตัวตนร่วมของบรรดาข้ารับใช้!


ชายหนุ่มเชื่อว่า หากเลือกจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ ในอนาคตมีโอกาสจะถูกเปิดโปงได้ง่าย เพราะดอน·ดันเตสมีความประสงค์จะเข้าร่วมแวดวงชนชั้นสูงของเบ็คลันด์ ขณะเดียวกันก็เพื่อสืบหาความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน ดังนั้น มีโอกาสที่ต้องหยิบยืมความช่วยเหลือจากมิสจัสติส ระหว่างนั้น ด้วยความสามารถของ ‘ผู้ชม’ เธออาจค้นพบความลับที่เดอะเวิร์ลพยายามปกปิด อาจค้นพบในสิ่งที่เดอะฟูลไม่เคยเอ่ยถึง


ผลลัพธ์เช่นนี้จะไม่ดีต่อเดอะฟูล มิสจัสติสจะเสื่อมศรัทธาต่อองค์กรและผู้นำ อาจถึงขั้นเคลือบแคลงในตัวเดอะฟูล


จริงอยู่ การที่สมาชิกสองคนไม่รู้จักกัน ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของกันและกัน แต่สามารถร่วมมือกันทำภารกิจจนลุล่วงและสมบูรณ์แบบ คือเหตุการณ์ในอุดมคติของชุมนุมทาโรต์ แต่ในโลกแห่งความจริง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อีกฝ่ายเป็นผู้วิเศษลำดับกลางของเส้นทางผู้ชม แทบไม่มีโอกาสที่จะตบตาได้แนบเนียนไปตลอดรอดฝั่ง!


ดังนั้น การสารภาพตามตรงจะมอบผลลัพธ์ที่ดีกว่าการโกหก


ส่วนเหตุผลที่ไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าดอน·ดันเตสคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพราะไคลน์ไม่อยากให้ชุมนุมทาโรต์มองว่า ทำไมถึงเป็นหมอนี่อีกแล้ว? มิสเตอร์ฟูลไม่มีข้ารับใช้คนอื่นเลยหรือ?


ดอน·ดันเตสเป็นเพียงตัวตนหนึ่ง? ‘จัสติส’ ออเดรย์ตีความนัยแฝงที่ซ่อนอยู่ระหว่างคำ คาดเดาในใจคลุมเครือ


จากนั้น หญิงสาวได้ยิน ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบกระชับ


“เป็นหนึ่งในตัวตนที่ผมและพวกพ้องใช้ร่วมกัน… ในบางครั้งผมก็แปลงโฉมเป็นเขา”


กล่าวจบ มันหันไปมองเมจิกเชี่ยนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


ตัวตนร่วม… แปลงโฉมเป็นเขาในบางครั้ง… ดอน·ดันเตสผู้น่าสังเวชคนนั้นคือ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์? นักธุรกิจที่ร่ำรวยผู้มีปัญหาเกี่ยวกับไตหรือไม่ก็กระเพาะปัสสาวะ แท้จริงแล้วเป็นคนของชุมนุมทาโรต์? ประหนึ่งถูกฟ้าผ่า ฟอร์สนั่งตัวแข็งทื่อ


สมองขาวโพลนในทันที ในใจเกิดความหวาดกลัวเล็กๆ อย่างอธิบายไม่ได้ เริ่มรู้สึกว่าคำพูดส่งเดชของซิลฟังขึ้น


ถ้าพ่อบ้าน บุรุษรับใช้ และเพื่อนบ้านล้วนเต็มไปด้วยปัญหา ย่อมมีโอกาสสูงที่ตัวเขาเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน!


ไม่สิ… เขาไม่ได้บังเอิญย้ายเข้ามาอาศัยในบล็อกถนนที่เต็มไปด้วยความลับ ไม่ได้บังเอิญจ้างพ่อบ้านและบุรุษรับใช้ที่ทำตัวผิดปรกติ แต่ทั้งหมดคือสิ่งที่เขา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ เจาะจงเลือกด้วยตัวเอง! คนที่น่าสังเวชไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นเพื่อนบ้าน พ่อบ้าน และบุรุษรับใช้รอบๆ ตัวเขา! เราผิดไปแล้ว ไม่ควรบอกให้ซิลขอให้เทพธิดาอวยพรดอน·ดันเตส นั่นจะเป็นเหมือนคำสาปมากกว่า… ร่างกายฟอร์สสั่นระริกอย่างไร้เหตุผล คิดในใจว่าตนโชคดีมากที่ไม่ได้เขียนเกี่ยวกับปัญหาด้านไตหรือกระเพาะปัสสาวะลงไปในจดหมาย


ไม่อย่างนั้น เธอเชื่อว่าตนคงมิอาจได้เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์อีก หรือไม่ก็โผล่มาที่นี่อีกครั้งในฐานะตะกอนพลังซึ่งเป็นสินค้าพร้อมขายของมิสเตอร์เวิร์ล!


ตามปรกติแล้ว มิสเตอร์เวิร์ลไม่ควรรู้ว่าเราคือเมจิกเชี่ยน แต่วันนั้นเราพกสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ติดตัวไปด้วย… เขาเคยใช้บันทึกการเดินทางเล่มดังกล่าว แถมในนั้นยังมีพลังของครึ่งเทพถูกบันทึกไว้! เขาต้องสังเกตเห็นแน่ ต้องจดจำรูปลักษณ์เรา ประเมินมูลค่าของตัวเรา… ในใจฟอร์สถูกความกลัวที่เป็นราวกับทะเลคลั่งถาโถม สีหน้าเผยความขื่นขมชัดเจน


ทันใดนั้น เธอสังเกตเห็นสายตาเย็นชาของเดอะเวิร์ลมองตรงมาทางตน ความรู้สึกผิดและสำนึกเสียใจพลันเอ่อล้น


โชคดีที่เรายังไม่ได้เอ่ยข้อมูลของดอน·ดันเตสออกไปต่อหน้ามิสจัสติส… หลังจากความตื่นกลัวของฟอร์สค่อยๆ บรรเทาลง ภายในใจผุดคำถามอื่นแทน


ในภารกิจบอดี้การ์ดเมื่อไม่กี่วันก่อน เราเป็นฝ่ายปกป้องดอน·ดันเตส หรือเขาคอยปกป้องเรากันแน่? แล้วควรคืนเงินให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไหม?


นี่มัน… ในทางครั้ง ดอน·ดันเตสคือมิสเตอร์เวิร์ลที่แปลงโฉม… ออเดรย์ผงะเล็กน้อยในต้น หลังจากนั้นก็พบว่าคำถามภายในใจได้รับการไขกระจ่างจนหมด


ฟอร์สรู้จักดอน·ดันเตสมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเขาคือมิสเตอร์เวิร์ล ท่าทีตกตะลึงเมื่อครู่คือเครื่องพิสูจน์


ดอน·ดันเตสตกตะลึงมากตอนที่เห็นเราครั้งแรก เพราะเขาจดจำได้ว่าสร้อยคอคือสมบัติวิเศษที่ชื่อ ‘คำลวง’ แม้รูปลักษณ์ปัจจุบันจะเปลี่ยนไปจากตอนแรก แต่ก็เป็นตะกอนพลังที่เราซื้อต่อจากเขา อาจมีการเชื่อมโยงกันอย่างเจือจาง เพราะต้องไม่ลืมว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีพลังในการแปลงโฉมและเปลี่ยนหน้า!


แม้ว่าเราจะเคยถามมิสเตอร์แฮงแมนเกี่ยวกับเรื่องที่สัตว์เลี้ยงเผลอกินโอสถ แต่ในระยะหลัง เราซื้อวัตถุดิบสำหรับโอสถสองชุดมาตลอด มิสเตอร์เวิร์ลน่าจะเดาได้ว่ารอบๆ ตัวเรายังมีผู้ชมอยู่อีกหนึ่ง เขาจึงสงสัยและเริ่มระแวงซูซี่ที่ซ่อนตัวในเงามืดและมองสำรวจไปรอบๆ ห้องโถง… คนอื่นอาจไม่สนใจสัตว์ แต่กับมิสเตอร์เวิร์ลที่มากด้วยประสบการณ์ ต้องเคยเผชิญหน้าสัตว์วิเศษมาบ้าง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะคอยระแวงซูซี่


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดอน·ดันเตส ไม่สิ มิสเตอร์เวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ทราบทันทีว่าเราคือจัสติส แต่เลือกจะปิดปากเงียบโดยไม่เข้ามาทักทาย… อา ตัวเลือกของเขาสมเหตุสมผล เพราะในสถานการณ์ดังกล่าว เว้นเสียแต่ละพูดออกมาตรงๆ คงไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้เราเดาได้ว่าเขาเป็นใคร และภายในวิหารนักบุญแซมมวล การเอ่ยชื่อชุมนุมทาโรต์ออกมา นับเป็นพฤติกรรมที่บ้าบิ่นเกินไป!


หลังจากประหลาดใจและตกตะลึงเล็กน้อย ออเดรย์เริ่มสงบสติอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงความตื่นเต้นแผ่วเบา


หากไม่นับ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สที่เธอเป็นคนแนะนำเข้ามาเอง นี่คือครั้งแรกที่ออเดรย์ได้พบกับสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนอื่นบนโลกความจริง!


ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์! มิสเตอร์เวิร์ล… รวมถึงข้ารับใช้คนอื่นๆ ของมิสเตอร์ฟูล… ทำไมถึงต้องสร้างตัวตนดอน·ดันเตส พวกเขามีจุดประสงค์อะไร?


คดีการถูกใส่ร้ายของบารอนซินดราส คดีการถูกลอบโจมตีของส.ส. มัคท์ การบริจาคเงินเพื่อก่อตั้งกองทุนการศึกษาของพวกเขา เรื่องราวเริ่มซับซ้อนและยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิดไว้มาก… ทำไมเราถึงรู้สึกว่าชนชั้นสูงของอาณาจักรกำลังสั่นคลอน? เป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่อครั้งองค์ชายเอ็ดซัคเสียชีวิตท่ามกลางโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน แต่ครั้งนี้เข้มข้นกว่ามาก…


ตอนนี้เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของดอน·ดันเตสแล้ว หมายความว่ามีโอกาสคอยสนับสนุนและให้ความร่วมมือเขา… สิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อครอบครัวเรา และถ้าเป็นไปได้ เราจะทำให้ผู้บริสุทธิ์เดือดร้อนน้อยที่สุด… ‘จัสติส’ ออเดรย์ตัดสินใจหนักแน่น เธอจะรับข้อเสนอของบิดา เข้าร่วมทำงานกับกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น จากนั้นก็พึมพำในใจ


กองทุนการกุศลที่เดอะเวิร์ลแห่งชุมนุมทาโรต์ก่อตั้ง การมีจัสติสเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งก็สมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่หรือ?


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์และ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาไม่ประหลาดใจมากนักกับเรื่องที่ดอน·ดันเตสคือเดอะเวิร์ล รวมถึงข้ารับใช้อีกหลายๆ คนของเดอะฟูล ในเวลานี้ ความคิดของพวกมันมีเพียงเรื่องเดียวก็คือ


ในกรุงเบ็คลันด์กำลังจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)