Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 857-860
ราชันเร้นลับ 857 : สะเทือนอารมณ์
คารอนฆ่าตัวตาย? เขียนจดหมายลาตายระบุว่าเราบีบบังคับให้ขายหุ้น? ครอบครัวของเขายืนยันว่าจดหมายเป็นของจริง? หลังจากฟังคำของตำรวจ ไคลน์วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับพลางผุดคำถาม
เมื่อทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ความคิดแรกในหัวก็คือ
บารอนซินดราสเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!
หลังจากนายธนาคารใหญ่รายนี้เจรจากับเราไม่สำเร็จ มันไม่ลังเลเลยที่จะตั้งตัวเป็นศัตรู!
นอกจากนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ทราบว่าดอน·ดันเตสมีความสัมพันธ์กับโบสถ์รัตติกาล รวมถึงส.ส. มัคท์และกองทัพเบื้องหลัง หากเล่นงานโดยตรงอาจนำมาซึ่งปัญหา จึงเบนเป้าไปจัดการกับคารอนซึ่งเป็นคู่ค้าแทน วิธีนี้จะปลอดภัยกว่ามาก แต่ค่อนข้างป่าเถื่อนและโหดเหี้ยม…
ไม่ได้คำนึงถึงชีวิตคนบริสุทธิ์เลยสักนิด… ไคลน์พลันหวนนึกถึงเหยื่อในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน ความรู้สึกเดือดดาลมากมายปะทุขึ้นในใจ แต่สติยังคงสุขุมเยือกเย็น
ไคลน์อาศัยพลังตัวตลกในการควบคุมสีหน้า แสร้งทำเป็นตกตะลึงสุดขีด ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิด
“ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหมครับ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูคล้ายหัวหน้าผงกศีรษะเคร่งขรึม
“หากไม่มีเบาะแสมากเพียงพอ พวกเราคงไม่กล้ารบกวนสุภาพบุรุษอย่างคุณ… มิสเตอร์ดันเตส รบกวนติดตามเราไปยังสถานีตำรวจเพื่อทำการสืบสวนคดีด้วย”
ไคลน์ที่ค่อนข้างสงบและมิได้แสดงอาการฉุนเฉียว สมองกำลังประมวลผลด้วยความเร็วสูง ขณะเตรียมตอบสนองบางสิ่ง มันฉุกคิดถึงความไม่สมเหตุสมผล
สำหรับอาณาจักรโลเอ็นในปัจจุบัน การฆ่าคนถือเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรง ด้วยตัวตนและสถานะของบารอนซินดราส มีวิธีมากมายในการจะเขี่ยเศรษฐีหน้าใหม่ออกจากเบ็คลันด์ ไม่มีความจำเป็นต้องลงมือถึงขั้นนี้
ต้องไม่ลืมว่า บุคคลในแวดวงชนชั้นสูงอย่างมัน ต้องมีความเข้าใจโลกของผู้วิเศษได้ดีระดับหนึ่ง ย่อมทราบว่ามีผู้วิเศษมากมายที่สามารถตรวจสอบเบาะแสคดีฆาตกรรมได้ละเอียดชัดเจน หากไม่มั่นใจว่าแผนของตนสมบูรณ์แบบ คงไม่เลือกวิธีที่มีความเสี่ยงสูงอย่างการฆ่าคนเพื่อป้ายความผิด
ถึงบารอนซินดราสมีอำนาจในการควบคุมกรมตำรวจทั้งหมด มันเอาพลังแบบนั้นไปใช้กับวิธีอื่นไม่ดีกว่าหรือ?
แม้จะยังไม่รู้ว่าเราร่วมมือกับกองทัพ แต่ก็ต้องรู้ว่าเรามีความสัมพันธ์อันดีกับโบสถ์รัตติกาลและส.ส. มัคท์ บารอนซินดราสไม่น่าจะลงมืออย่างบุ่มบ่ามโดยไม่เตรียมตัวรับมือ… เหนือสิ่งอื่นใด ถ้ามันเป็นคนเลือดเย็นที่สามารถฆ่ามนุษย์ได้เพราะหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ แล้วทำไมถึงไม่จัดการกับคารอนตั้งแต่ก่อนที่เราจะซื้อหุ้น? แบบนั้นยังจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ… ไคลน์มองหน้าตำรวจฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีครุ่นคิด ยังไม่ตอบกลับไปในทันที
ภายในห้องที่ติดกับห้องรับแขก ซิลและฟอร์สกำลังพิงกำแพงพลางใช้ ‘ประตูบานเล็ก’ ที่ฝ่ายหลังเป็นคนเปิดเพื่อแอบฟังบทสนทนาทั้งหมด
“เราควรทำยังไง? ถ้าตำรวจจะจับเขา เราต้องปกป้องไหม?” ฟอร์สซึ่งไม่ชำนาญงานล่าเงินรางวัล กระซิบถามเพื่อนแผ่วเบา
ฟอร์สมิได้คาดคิดว่าความขัดแย้งทางธุรกิจจะพัฒนากลายเป็นคดีฆาตกรรมใส่ร้าย นอกจากนั้น ยังมีความเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจปลอมตัวมาในคราบตำรวจ ส่งผลให้หญิงสาวครุ่นคิดหาวิธีรับมืออยู่พักใหญ่
ซิลเองก็ยังไม่มั่นใจเช่นกัน
“ตามปรกติแล้ว บอดี้การ์ดจะปกป้องนายจ้างจากพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายเท่านั้น… แต่ว่า… นายจ้างรายนี้จ่ายหนัก”
ฟอร์สประหลาดใจปนขำขันกับคำตอบ
“ถ้าเขาถูกจับเข้าคุก เธอคิดจะช่วยเขาแหกคุก? ไม่ต้องพูดถึงอันตรายระหว่างทาง ต่อให้เธอทำสำเร็จและช่วยเขาออกมาได้ เธอเองก็จะถูกตั้งค่าหัว ไม่สามารถทำงานเดิมได้อีก ถึงตอนนั้น คิดจะหนีไปพร้อมกับสุภาพบุรุษคนนี้หรือ?”
ขณะพูดคุย ฟอร์สสังเกตเห็นว่าดอน·ดันเตสกำลังจะมอบคำตอบ
สุภาพบุรุษหล่อเหลาและสง่างามเจ้าของจอนสีขาว มองไปยังพ่อบ้านด้านข้างและกล่าวเสียงนุ่มนวล
“ฝากจัดการสองเรื่อง เรื่องแรก แวะไปที่บ้านของบารอนซินดราส แจ้งกับเขาว่ามีใครบางคนต้องการป้ายสีเขา”
พ่อบ้านวอลเตอร์เผยสีหน้าประหลาดใจที่หาได้ยาก มันยังไม่เข้าใจเหตุผลที่นายจ้างออกคำสั่งเช่นนี้
ตามความคิดของมัน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคดีนี้น่าจะเป็นตัวบารอนซินดราสเอง ไม่เพียงการแวะไปแจ้งข่าวจะไม่เกิดประโยชน์ แต่ยิ่งจะทำให้เกิดความอัปยศมากกว่าเดิม
ไคลน์ยิ้ม
“เขาเพิ่งมาเยือนผมในฐานะแขก แต่หลังจากพวกเราพูดคุยเกี่ยวกับหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ คารอนก็ฆ่าตัวตายอย่างผิดวิสัยทันที ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจะสงสัยในตัวเขา ผมคิดว่าจำเป็นต้องเตือนเขาไว้ นั่นคือสิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจผงะเล็กน้อย เริ่มพบว่าคดีนี้อาจซับซ้อนกว่าที่คิด แต่ทางด้านพ่อบ้านคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่ง
“ได้ครับนายท่าน ผมจะแวะไปที่บ้านของบารอนซินดราสเพื่อแจ้งเรื่องนี้ รวมถึงแจ้งให้เพื่อนของคุณและเพื่อนของเขาทั้งหมดทราบข่าว”
ด้วยวิธีนี้ ถ้าบารอนซินดราสไม่ใช่คนลงมือ มันจะรีบสะสางปัญญาที่ตามมาแทนดอน·ดันเตสทันที แต่ถ้ามันเป็นคนร้าย การตักเตือนอย่างห่วงใยพร้อมกับกระจายข่าวของดอน·ดันเตสจะสร้างแรงกดดันจากสาธารณชนได้มากพอ ช่วยให้ส.ส. มัคท์และฝ่ายอื่นๆ ยื่นมือเข้ามา ‘ช่วยเหลือ’ ดอน·ดันเตสได้ง่าย
ฉลาดมาก… มีพ่อบ้านดีมันดีแบบนี้นี่เอง… ไคลน์ชมเชยในใจพลางกล่าวต่อ
“ประการที่สอง เรียกทนายส่วนตัวของผมมาสะสางปัญหาจิปาถะ”
หลังจากออกคำสั่งพ่อบ้านและบุรุษรับใช้ ไคลน์มองหน้าตำรวจฝั่งตรงข้าม
“ตกลงครับ ผมจะตามพวกคุณกลับไปที่สถานีตำรวจ ทางนั้นจะได้ไม่ต้องลำบากใจ… แต่ผมจะไม่ตอบคำถามใดๆ จนกว่าทนายจะมาถึง”
ตำรวจที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ถอนหายใจผ่อนคลายพลางพยักหน้ารับ
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ มิสเตอร์ดันเตส”
ขณะเดียวกัน ภายในห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดกับห้องรับแขก ฟอร์สกระซิบกระซาบ
“พวกเราจะตามไปไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะซ่อนตัวอยู่ใต้รถม้าและตามพวกเขาไปยังสถานีตำรวจ เรายังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าตำรวจเหล่านี้เป็นตัวจริง!” ซิลตอบเสียงค่อย
เธอเว้นวรรค ตามด้วยถาม
“มีอะไรจะพูดอีกไหม?”
ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตอบพลางทำหน้าสะเทือนอารมณ์
“พวกขุนนางและเศรษฐีน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
ซิลผงะเล็กน้อย แต่ก็มิได้กล่าวคำใด เพียงเดินไปทางหน้าต่าง วางมือลงบนกรอบและกระโดดลงไปอย่างเงียบงัน
ไม่กี่นาทีถัดมา ไคลน์และเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายโดยสารไปกับรถม้าของดอน·ดันเตส
เมื่อนั่งลง ชายหนุ่มก้มมองพรมผืนหนาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
…
เมื่อถึงสถานีตำรวจ ไคลน์ถูกนำตัวมายังห้องสอบสวน แต่ไม่ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ถามสิ่งใด ชายหนุ่มก็ไม่ตอบสนอง
รอจนกระทั่งทนายส่วนตัวมาถึง ไคลน์เริ่มให้ปากคำ กล่าวว่าตนเคยพบกับคารอนเพียงหนเดียว และกระบวนการเจรจาซื้อหุ้นทั้งหมดถูกมอบหมายให้ทีมงานมืออาชีพจัดการ ตนมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเอาแต่พูดสิ่งเหล่านี้ซ้ำไปมา ส่วนที่เหลือล้วนตอบว่าไม่ทราบ เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนพบว่าไม่มีความคืบหน้า มันไม่มีทางเลือกนอกจากเชิญออก
ผ่านไปสักพัก เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการให้ปากคำเดินมาหาและกล่าว
“มิสเตอร์ดัน·ดันเตส ตอนนี้คุณกลับไปได้ สุภาพบุรุษคนดังได้เดินทางมาจ่ายเงินประกันตัวให้คุณเรียบร้อยแล้ว”
ไคลน์มิได้ลุกขึ้นทันที ซักถามขณะนั่งบนเก้าอี้
“ใครกัน?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจตอบอย่างสำรวม
“บารอนซินดราส”
ไคลน์เผยรอยยิ้มทันที ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องสอบสวน ได้พบกับพ่อบ้านและบุรุษรับใช้
เมื่อออกมาถึงทางเข้าสถานีตำรวจ มันเห็นบารอนซินดราสอีกครั้ง
ผมเผ้าของนายธนาคารใหญ่รายนี้ยังคงหวีเรียบ สีดำแซมขาว รอบตัวมีบุรุษรับใช้และบอดี้การ์ดหนวดเฟิ้ม
“ขอบคุณที่แจ้งข่าว ดันเตส มีเพียงไม่กี่คนที่ยังหลักแหลมและเยือกเย็นได้เหมือนคุณในยามเผชิญเหตุไม่คาดฝัน” ซินดราสยิ้มพลางก้าวมาข้างหน้าสองก้าว ยื่นมือออกมาขอจับ
ไคลน์ยิ้มตอบ
“ผมแค่มั่นใจว่าตัวเองมองคนไม่ผิด”
แน่นอน บารอนซินดราสยังไม่ปักใจเชื่อถ้อยคำป้อยอ จึงหาข้ออ้างขึ้นไปบนรถม้าของดอน·ดันเตสพร้อมบอดี้การ์ด
สำหรับบุรุษรับใช้ มันถูกสั่งให้ขึ้นรถม้าหรูหราและขับตามมา
เมื่อสองข้างทางด้านนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ล บารอนซินดราสเปิดปาก
“ดันเตส ทำไมคุณถึงได้ข้อสรุปแบบนี้?”
ไคลน์ชำเลืองพ่อบ้านและบุรุษรับใช้ด้านข้าง หัวเราะในลำคอและตอบ
“สองเหตุผล… ข้อแรก ผมเชื่อว่าคุณมีอีกหลายวิธีที่ดีกว่านี้ให้เลือกลงมือ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงทำเรื่องที่โหดร้าย”
บารอนซินดราสจิบไวน์ขาวภายในรถม้า หัวเราะและกล่าว
“นั่นก็จริง”
“…” มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย
“ผมเองก็อยากรู้ว่าคุณจะใช้วิธีไหน”
มันแค่ถามเป็นพิธี ไม่ได้คาดหวังคำตอบที่ชัดเจน ทว่า บารอนซินดราสยิ้มและเปิดปาก
“ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว การบอกคุณคงไม่ใช่เรื่องเสียหาย… วิธีของผมไม่ซับซ้อน ได้ยินมาว่าคุณต้องการเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูงใช่ไหม? ผมจะจ้างสตรีที่มีช่วงอายุต่างกันสักสองสามคนมาใส่ร้ายคุณ กล่าวหาว่าคุณเล่นสนุกกับร่างกายและจิตใจพวกหล่อนจนตั้งครรภ์ แต่ไม่ยอมรับเป็นพ่อ หรือถ้าจำเป็น ผมก็จะจ้างเด็กมากอดขาคุณและเรียกพ่อต่อหน้าคนอื่น… นอกจากนั้นก็ยังจะจ้างสามัญชนสักคนมาใส่ร้ายว่าคุณแย่งภรรยาของเขา ทำลายชีวิตสมรสของเขาจนพังพินาศ… ที่นี่คือโลเอ็น อาณาจักรของคนหัวเก่า ไม่มีใครอยากคบคนฉาวโฉ่แบบคุณเป็นเพื่อน เฉกเช่นโบสถ์รัตติกาลที่ให้ความสำคัญกับการแต่งงานและครอบครัว คุณจะถูกพวกเขาเหินห่าง… เรื่องแบบนี้ยากจะชี้แจงให้เด็ดขาด และคนใหญ่คนโตก็ไม่อยากเข้ามาเป็นกระบอกเสียงกับเรื่องแบบนี้ กว่าคุณจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ตัวเองได้ ภาพลักษณ์ก็พังพินาศไปไม่รู้ตั้งเท่าไร แล้วจะมีสักกี่คนที่เชื่อคำแก้ตัว? คุณเป็นแค่เศรษฐีใหม่ในเบ็คลันด์ มิได้น่าเชื่อถืออะไรขนาดนั้น… แน่นอน ถ้าคุณยินดีรับเงื่อนไขและขายหุ้นให้ผม ตัวผมจะออกหน้าแก้ข่าวและชักชวนเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูงให้เอง… นั่นคือสิ่งที่คิดไว้ในตอนแรก แต่มันคงไม่เกิดขึ้นแล้ว”
ไคลน์อึ้งกับคำอธิบายไปพักใหญ่ มันพบว่าตัวเองช่างไร้เดียงสาเมื่อเทียบกับนายธนาคารมากประสบการณ์
“ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังติดหนี้คุณ….” ชายหนุ่มตอบโดยไม่หุบยิ้ม “เหตุผลข้อที่สอง หากคุณต้องการหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวจริงๆ เมื่อเทียบกันในด้านความมั่งคั่ง ผมไม่มีทางสู้คุณได้อยู่แล้ว ถ้าคุณจะลงมือกระทำสิ่งใด ก็คงทำก่อนที่คารอนจะขาย ไม่ใช่รอให้เขาขายก่อนค่อยฆ่าทิ้ง”
บารอนซินดราสยกมือขวาขึ้น กดปลายนิ้วลงบนขอบหน้าผาก
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมต้องการหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวจริงๆ … เพียงแต่ว่า… นี่คือจุดที่คุณเดาถูก ผมเตรียมยื่นข้อเสนอที่คารอนมิอาจปฏิเสธ แต่กลับกลายเป็นว่า เขาด่วนตัดสินใจขายให้คุณจนผมไม่มีเวลาขยับตัว ทำเอาประหลาดใจพอสมควร”
ไคลน์หรี่ตาลงเล็กน้อยโดยไม่กล่าวคำใด
…
กลับถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบ็คลันด์ ซิลเดินสำรวจรอบบ้านก่อนจะกลับขึ้นไปยังชั้นสาม เห็นฟอร์ส ‘เปิดประตู’ เข้ามาอย่างง่ายดาย
“เป็นยังไงบ้าง? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?” ฟอร์สที่ทำได้เพียงตามอยู่ห่างๆ ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซิลส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่มี”
ก่อนจะทำหน้าสะเทือนอารมณ์ เธอแสดงอารมณ์ทันทีและพูดว่า:
“พวกขุนนางและเศรษฐีช่างน่ากลัว”
ราชันเร้นลับ 858 : ใจกว้าง
บนระเบียงเล็กของห้องนอนใหญ่ ไคลน์ในร่างดอน·ดันเตสยืนอยู่หลังราวบันได เฝ้ามองรถม้าหรูหราของบารอนซินดราสค่อยๆ แล่นจากไปอย่างเงียบงัน
บทสนทนาของอีกฝ่ายยังคงดังกังวานในใจ ไคลน์เชื่อว่าการเข้าซื้อหุ้นบริษัทโคอิมของตนถูกใครบางคนวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น
สำหรับบารอนซินดราส แม้บริษัทโคอิมจะมีอนาคตสดใสและยังพัฒนาไปได้อีกไกล แต่มูลค่าปัจจุบันก็ถูกตีกรอบไว้แค่เบ็คลันด์ จึงยังไม่ดึงดูดสายตาบรรดานายธนาคารใหญ่รายอื่นมากนัก ไม่ถึงกับต้องแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังเหมือนอย่างตน และอันที่จริง ถึงจะพลาดการครอบครองหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับบารอนซินดราสก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป อย่างมากก็แค่กำไรลดลงเล็กน้อย
สำหรับผู้ขายอย่างคารอน ภายใต้แรงกดดันมหาศาลจากภายนอก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะตัดสินใจขายหุ้นออกไป และเป็นเรื่องปรกติที่จะเกิดความลังเล ไม่อยากขายให้นักธุรกิจผู้เป็น ‘กระเป๋าสตางค์’ ของพรรคอนุรักษนิยม แต่ปัญหาคือ ในการซื้อขายที่ไม่สำคัญมากเช่นนี้ คารอนควรพิจารณาการขายให้กลุ่มทุนของนักการเมือง ไม่ใช่รีบขายให้นักธุรกิจอิสระแบบเราโดยไม่รอข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธของอีกฝ่าย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด สิทธิประโยชน์ที่จะตามมาภายหลังนั้นสูงกว่ามาก เว้นเสียแต่มันจะเกลียดชังพวกทุนนิยม หรือไม่ก็เกลียดชังพรรคอนุรักษนิยมเข้าไส้ แต่สถานภาพทางการเมืองในปัจจุบันโลเอ็น มิได้ร้ายแรงจนต้องเกิดความขัดแย้งระดับนี้
ดูเหมือนว่า มีใครบางคนสั่งให้บารอนซินดราสเข้าซื้อหุ้น… และคนคนเดียวกันก็ออกแบบกับดักขึ้นมา ใช้หุ้นสามเปอร์เซ็นต์ของคารอนเป็นเหยื่อล่อ ใช้เราเป็นกำบังในการดึงบารอนซินดราสเข้ามาในเกมโดยหวังผลประโยชน์บางอย่าง… ไคลน์มองไปยังโคมไฟถนนยามค่ำคืน ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน
จากการคาดเดาของชายหนุ่ม หากตนไม่ฉุกคิดขึ้นมาได้และส่งคนไปแจ้งบารอนซินดราส เรื่องราวถัดมาจะลงเอยด้วยการที่ตนถูกจับขังคุกจากหลักฐานและพยานแวดล้อมที่แน่นหนา และเมื่อทางโบสถ์หรือกองทัพเริ่มเข้ามาแทรกแซง หลักฐานทั้งหมดจะถูกบิดเบือนให้ชี้นำไปหาบารอนซินดราสแทน
ระหว่างนั้น ไม่ใช่เรื่องยากที่บารอนซินดราสจะเข้าใจผิด คิดว่าดอน·ดันเตสสมรู้ร่วมคิดกับคนที่ลอบวางกับดักตน มีโอกาสสูงที่จะตอบสนองด้วยท่าทีรุนแรงและเกรี้ยวกราด ตอกตะปูปิดฝาโลงใส่ดอน·ดันเตสให้ตายไปพร้อมกัน
ส่วนใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และจุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร ไคลน์ยังหาคำตอบไม่ได้ ทราบเพียงว่า มาดามแมรี่น่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอเองก็ถูกใช้ประโยชน์เนื่องจากไม่ต้องการสูญเสียอำนาจบริหารในบริษัทโคอิม หรือสรุปโดยสั้น เธอมีเหตุผลรองรับในการกระทำของตัวเองแน่นหนา ไม่เข้าข่ายผู้ต้องสงสัย
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม… พรรคหัวก้าวหน้า… พรรคอนุรักษนิยม… นายธนาคาร… ซื้อกิจการ… การใส่ร้าย… คำนามมากมายผุดขึ้นในใจไคลน์ทีละหนึ่ง ช่วยให้มันมองทะลุผ่านฉากหน้าอันแสนสงบสุขของกรุงเบ็คลันด์ จนกระทั่งเห็นกระแสน้ำวนอันเชี่ยวกรากแสนอันตรายที่อยู่ลึกลงไป
สิ่งเหล่านี้มีอยู่มานานแล้ว และมิได้สงบลงเพียงเพราะโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน บางส่วนอาจขยายตัวรุนแรงขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว
เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ผนวกกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอาณาจักร คำคำหนึ่งผุดหนึ่งในใจไคลน์
“ปฏิวัติ!”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มได้กลิ่นของพายุที่กำลังก่อตัว
ถ้าพิจารณาถึงคำทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ไม่มีทางเดาได้เลยว่าโลกนี้มีความบ้าคลั่งกำลังก่อตัวเป็นพายุในเงามืดมากน้อยเพียงใด… เป้าหมายในปัจจุบันของเราคือการสืบหาความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน แต่ถ้าต้องถูกดูดเข้าไปพัวพันในพายุแห่งความโกลาหล เกรงว่าจะได้รับอันตรายโดยไม่จำเป็น แถมยังอาจถึงขั้นทำให้ลำดับพลังถูกเปิดโปงจนไม่สามารถใช้ตัวตนดอน·ดันเตสได้อีก… ไคลน์ถอนสายตากลับ ตัดสินใจกระทำบางสิ่ง
นั่นคือการนำตัวเองออกจากพายุโดยเร็ว!
สำหรับความปลอดภัยส่วนตัวของบารอนซินดราส ไคลน์ไม่กังวลมากนัก เหตุผลข้อแรก อีกฝ่ายมีพรรคอนุรักษนิยมคอยหนุนหลัง มีอำนาจในมือขนาดย่อม หลังจากถูกเตือนภัยล่วงหน้า มีโอกาสสูงที่จะเอาตัวรอดได้สบาย และเหตุผลข้อที่สอง ไคลน์กับซินดราสยังไม่สนิทกันขนาดนั้น ลำพังการช่วยแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีก็นับว่าเป็นประโยชน์มากแล้ว
ในส่วนคดีฆ่าตัวตายของคารอน ชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์เข้าไปวุ่นวายกับการสอบสวน คงต้องเชื่อใจว่าเหยี่ยวราตรีมีความเชี่ยวชาญและฝีมือมากพอจะสืบสวนหาความจริงในทางลับ
เราจะออกจากตรงนี้ยังไง? ตราบใดที่ยังถือหุ้นสามเปอร์เซ็นต์อยู่ เราจะกลายเป็นศูนย์กลางเวทีอย่างเลี่ยงไม่ได้… บอกให้มาดามแมรี่รีบมาซื้อไป? คงยาก เธอไม่มีเงินสด… ขายให้บารอนซินดราสทันที? นั่นถือว่าผิดสัญญาที่ทำไว้… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์ค่อยๆ มองเห็นทางออก
กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์บิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะคลายออกในเวลาไม่นาน เนื่องจากสิ่งที่ชายหนุ่มคิดจะทำต่อไป คือความตั้งใจที่เคยมีมานานแล้วแต่ไม่สามารถกระทำได้ นอกจากนั้นยังจะช่วยให้เข้าสู่สังคมชนชั้นสูงได้ง่ายขึ้น
…
ภายในห้องติดกันซึ่งมีระเบียงใหญ่ ซิลและฟอร์สมองไปยังถนนและสวนภายในคฤหาสน์ สลับกับมองไปยังดวงจันทร์สีแดงบนท้องฟ้าที่เผยตัวเพียงครึ่งซีกท่ามกลางกลุ่มเมฆ ไม่มีใครกล่าวคำใดเป็นเวลานาน
จนกระทั่งแสงไฟในห้องดอน·ดันเตสดับลง ฟอร์สหันไปมองเพื่อนสนิท กล่าวอย่างตื่นเต้นเจือตัดพ้อ
“การเป็นเศรษฐีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย… ถ้าเธอเป็นเขา คงได้ล้มละลายภายในสามวันและถูกจับขังคุก”
ซิลชำเลืองเพื่อนสนิทพลางตอบโต้
“ฉันสามารถจ้างพ่อบ้านมือฉมัง นักกฎหมายที่เก่งกาจ และเลขานุการมากฝีมือคอยช่วยเหลือ”
ฟอร์สหยุดการหยอกเย้าเพื่อนสนิท มุมปากเผยรอยยิ้ม
“ถ้าเป็นฉัน… ฉันจะเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นเงินฝากธนาคารและพันธบัตรของอาณาจักร กินดอกเบี้ยสบายๆ ไปจนวันตาย”
ขณะกล่าว เธอเห็นซิลขมวดคิ้วพลางจ้องลงไปยังชั้นหนึ่งของบ้านกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟอร์สเริ่มเครียด
ซิลเพ่งมองสองสามวินาทีก่อนจะตอบ
“สัมผัสวิญญาณบอกกับฉันว่า แถวนั้นมีสิ่งของที่เกี่ยวกับมนต์ดำ”
ลักษณะเด่นที่สำคัญของ ‘เจ้าพนักงาน’ ก็คือ เมื่อเข้าใกล้มากพอ จะสามารถตรวจจับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความชั่วร้าย ความวุ่นวาย และความบ้าคลั่งที่ไม่ถูกผนึกหรือปกปิดไว้
“มนต์ดำ?” ในฐานะผู้วิเศษชำนาญการ ฟอร์สไม่ประหลาดใจกับคำนี้
หากตีความตามตำรา ทุกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเจ็ดเทพจารีตล้วนถือเป็นมนต์ดำ รวมถึงเวทมนตร์ในพิธีกรรมที่สวดวิงวอนถึงตัวตนลึกลับนิรนาม
แต่ในความหมายทั่วไป มนต์ดำหมายถึงคาถาพิสดารที่ใช้เลือดเนื้อ หรือเส้นผม หรือสิ่งของแปลกๆ ทุกชนิด หมายถึงพลังที่เกี่ยวข้องกับเทพมาร หมายถึงพลังพิเศษในบางเส้นทาง หมายถึงวัตถุวิญญาณที่เฉพาะเจาะจง หมายถึงสัญลักษณ์และอักขระเวทมนตร์ต้องห้าม
ซิลพยักหน้าหนักแน่น
“ถูกต้อง มันมาจากชั้นแรก เธออยู่ที่นี่ คอยปกป้องมิสเตอร์ดันเตส”
ฟอร์สเงียบงันสองสามวินาที ตามด้วยพยักหน้า
“ตกลง”
รอจนกระทั่งซิลออกจากห้องกึ่งเปิดโล่งลงไปทางระเบียงใหญ่ หญิงสาวล้วงหยิบ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ออกจากช่องกระเป๋าลับ เตรียมใช้งานทันทีที่พบความผิดปรกติ
ในตำแหน่งอื่นของบ้าน ซิลลงมาถึงชั้นล่างอย่างคล่องแคล่ว อาศัยสัมผัสวิญญาณนำทางมายังด้านนอกห้องหนึ่ง
หลังจากยืนยันว่าเป้าหมายอยู่ข้างใน ซิลผงะเล็กน้อย สีหน้าทวีความดำมืด
หากจำไม่ผิด ห้องนี้เป็นของพ่อบ้านวอลเตอร์ผู้ว่าจ้างเธอ!
ขณะเผชิญความสับสนงุนงง สิ่งของหรือแหล่งกำเนิดของมนต์ดำพลันอันตรธานหาย ภายในห้องกลับคืนสู่สภาพปรกติราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
ซิลนำหูแนบประตู หลังจากตั้งใจฟังสักพัก เธอได้ยินเสียงหายใจของมนุษย์
รอต่อไปอีกสักพัก เมื่อยืนยันว่าพ่อบ้านวอลเตอร์มิได้ทำอะไรต่อ ซิลปืนกลับไปยังชั้นสามด้วยสีหน้าฉงน เล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทฟัง
“พวกเราควรแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง หรือควรหาวิธีแจ้งให้มิสเตอร์ดันเตสทราบ?”
ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก
“บางที มิสเตอร์พ่อบ้านอาจไม่ได้มีเจตนาร้าย… รอดูไปก่อนดีกว่า”
หลังจากแสดงความเห็น ฟอร์สเสริม
“พูดได้เพียงว่า ดอน·ดันเตสช่างเป็นคนที่น่าสงสาร ไม่เพียงจะถูกใช้เป็นหมากเพื่อวางกับดักบารอนซินดราสจนเกือบถูกขังลืมและชื่อเสียงหดหาย แต่พ่อบ้านใกล้ตัวก็ยังแอบศึกษามนต์ดำโดยไม่ทราบจุดประสงค์แน่ชัด… เฮ่อ หวังว่าเขาจะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ไปได้… เป็นคนธรรมดาที่น่าสงสารมาก”
ซิลพยักหน้าเห็นด้วย
“รอสามวัน หากยังไม่สามารถยืนยันเจตนาของพ่อบ้านได้ เราจะทิ้งโน้ตแจ้งเตือนถึงเขา”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากกินอาหารเช้าและทักทายพ่อบ้านวอลเตอร์ตามปรกติ ไคลน์เดินทางออกจากบ้านไปพร้อมกับบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน จุดหมายคือวิหารนักบุญแซมมวล
หลังจากฟังเทศน์และสวดมนต์ ไคลน์ไม่เดินไปบริจาคเงิน แต่ตรงไปหาบิชอปอีเล็คตร้าทันที
“มีอะไรหรือ?” แม้บิชอปจะเผชิญสถานการณ์ยากลำบากหลังจากประตูยานิสถูกแทรกซึม แต่มันก็ยังต้อนรับผู้เชื่อกระเป๋าหนักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ไคลน์ยิ้มตอบและกล่าวต่อ
“หลังจากเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองชัดเจนขึ้น”
โดยไม่รอให้บิชอปอีเล็คตร้าถาม มันพูดต่อ
“ผมยากตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อคนยากไร้ สิ่งนี้ต้องการความช่วยเหลือจากศาสนจักร… ผมอยากทำหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ของบริษัทโคอิมเข้ามาผูกกับกองทัพ เมื่อครบสัญญาเปลี่ยนเป็นเงินสด นั่นคือเงินตั้งต้นของกองทุน”
บิชอปอีเล็คตร้าเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างชัดเจน เพราะนั่นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ
แม้จะไม่มีใครทราบว่าดอน·ดันเตสใช้เงินจำนวนเท่าไรในการซื้อหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ แต่จากข่าวลือ ทุกคนมั่นใจตรงกันว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์ หมายความว่ากองทุนนี้จะมีเงินตั้งต้นมหาศาล!
ย้อนกลับไปในอดีต มาดามแมรี่เคยถูก ‘เศรษฐี’ ที่มีทรัพย์สินเพียงหลักหมื่นปอนด์ตามจีบหลายต่อหลายคน
ดังนั้น การบริจาคเงินรวดเดียวหลักหมื่นปอนด์ของดอน·ดันเตสในคราวนี้นับว่าเป็นตัวเลขมหาศาล จากประวัติศาสตร์ของโบสถ์รัตติกาล หากไม่นับมรดกที่ผู้ตายยกให้โบสถ์ จำนวนครั้งที่มีการบริจาครวดเดียวเกินหนึ่งหมื่นปอนด์สามารถนับได้ด้วยฝ่ามือเดียว!
“เป็นการตัดสินใจที่น่ายกย่องมาก…” บิชอปอีเล็คตร้ากล่าวจากก้นบึ้ง “แต่ผมขอเตือนคุณไว้หนึ่งเรื่อง อย่าทำอะไรเกินตัวเด็ดขาด”
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“สำหรับผม ถึงเงินก้อนนี้จะไม่ใช่ตัวเลขที่น้อย แต่ก็ไม่กระทบกับธุรกิจ ยังใช้ชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน”
รอยยิ้มของอีเล็คตร้าทวีความอ่อนโยน พยักหน้ารับและกล่าว
“เทพธิดาจะเฝ้ามองคุณแน่นอน”
ได้ยินคำอวยพรดังกล่าว มุมปากไคลน์กระตุกทันที
บิชอปอีเล็คตร้าเสริม
“ผมจะรายงานเรื่องนี้ให้ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอปทราบ รวมถึงการจัดงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสก่อตั้งกองทุนขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น ทางโบสถ์จะเชิญสาวกจากแวดวงต่างๆ มาเข้าร่วมงาน แน่นอนว่ามีขุนนางใหญ่และตระกูลชั้นนำของอาณาจักร ดูว่ามีใครสนใจจะสมทบทุนกับคุณบ้างไหม”
อีเล็คตร้าทราบดีว่าดอน·ดันเตสต้องการเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูง จึงจงใจเอ่ยถึงการเชื้อเชิญบรรดาขุนนางใหญ่
ราชันเร้นลับ 859 : เห็ดชนิดใหม่
ณ ส่วนล่างสุดของเขตห้องโดยสาร ‘อนาคตกาล’ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มืดมิด
แฟรงค์·ลีจุดเทียนไข มอบแสงสว่างแก่โต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยเนื้อ เห็ด ข้าวสาลี และปลา
มันผลักสิ่งของข้างต้นออกไปจนเหลือที่เพียงพอสำหรับวางกระดาษจดหมาย
ถัดมา มันคลี่กระดาษจดหมายและวางลง หยิบปากกาออกมาเขียนด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์เพื่อนรัก ฉันดีใจที่นายชอบเห็ดแห้ง บางทีมันอาจจะมีประโยชน์กว่าที่ฉันคิดไว้ หากมีเวลาและโอกาส ฉันจะสร้างมันขึ้นมาใหม่”
“เนื่องจากฉันทุ่มเทให้กับทฤษฎีใหม่ที่นายแนะนำ เห็ดแห้งของเก่าจึงหยุดผลิตโดยสมบูรณ์ เห็ดที่เหลือส่วนมากถูกนีน่านำไปเผาทำลาย ปัจจุบันจึงเหลือเพียงสามดอก หวังว่าจะยังมีประโยชน์กับนาย”
“นอกจากนั้น ฉันยังจะแนบผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดไปด้วย พวกมันคือเห็ดที่สามารถขยายพันธุ์ท่ามกลางสภาพแวดล้อมมืดสนิทโดยการกินเลือดเนื้อ แบ่งออกเป็นสามสายพันธุ์ ประกอบด้วย พันธุ์ข้าวสาลี สามารถบดเป็นผงและนำไปอบเป็นขนมปัง พันธุ์วัวนม สามารถรีดนมออกจากเห็น และสุดท้าย พันธุ์ปลา สามารถนำมาปรุงอาหารได้โดยตรง มีเนื้อหนาและแน่น”
“ข้อควรระวังก็คือ ห้ามกินดิบโดยเด็ดขาด ต้องต้มในน้ำร้อนอุณหภูมิไม่ต่ำกว่าเก้าสิบองศาเซลเซียสนานห้านาทีเพื่อขจัดสัญญาณชีพทั้งหมดออกไป ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าจะถูกปรุงเป็นอะไร มันจะดูดซับเลือดเนื้อโดยรอบอย่างไม่มีเงื่อนไข รวมถึงอวัยวะภายในของมนุษย์”
“อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องระวัง เห็ดเหล่านี้ไม่สามารถจำแนกระหว่างเลือดเนื้อปรกติและเลือดเนื้อสัตว์ประหลาด จึงมิอาจขจัดปัญญาที่จะตามมาหากกินเนื้อสัตว์ประหลาดเข้าไป เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการปนเปื้อนหรือความบ้าคลั่งหลงเหลือ”
“ฉันคิดว่าเห็ดจะเกิดกลายพันธุ์หากกินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาดที่แตกต่างกัน ก่อให้เกิดอันตรายที่แตกต่าง แต่เรื่องนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจน เนื่องจากตัวอย่างทดลองมีไม่มากพอ หากนายผจญภัยและได้รับซากศพสัตว์ประหลาด รบกวนส่งจดหมายมาให้ฉันทดสอบ ใช้แค่ปริมาณไม่มาก”
“ส่วนจะมีปัญหาอื่นซ่อนอยู่อีกหรือไม่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจ เพราะนี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่สมบูรณ์และเลิกผลิตไปแล้ว”
“ขอให้นายโชคดี มีความสุขกับการผจญภัย จากเพื่อนที่จริงใจที่สุดของนาย แฟรงค์·ลี”
หลังจากวางปากกาลง แฟรงค์อ่านทวนคำตอบของตัวเองอีกครั้งด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะหาเหรียญทองมาวางไว้บนกระดาษจดหมาย
ถัดมา มันรีบตั้งแท่นบูชาเพื่อประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร แต่ก็ต้องชะงักขณะเตรียมท่องคาถา
แฟรงค์มองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ ก่อนที่ดวงตาจะแข็งทื่อราวสองสามวินาที
จากนั้น มันรีบย้ายสิ่งสกปรกที่กองอยู่ใกล้ๆ ไปไว้หน้าประตู
…
เขตราชินี คฤหาสน์แสนหรูหราของเอิร์ลฮอลล์
ออเดรย์หมกตัวอยู่ในห้อง จ้องมองขวดแก้วในมือ
ขวดแก้วบรรจุของเหลวหนืดใส ไม่มีสี เมื่ออยู่ในภาวะสงบนิ่ง ผิวของเหลวจะทำตัวเหมือนกระจก สะท้อนทุกสิ่งในการมองเห็น แต่เมื่อแกว่งเล็กน้อย กระแสน้ำวนเล็กๆ จะหมุนอยู่ใต้ผิวของเหลวอย่างเงียบงัน
นี่คือโอสถ ‘นักสะกดจิต’ ที่เพิ่งถูกปรุงเสร็จ!
ออเดรย์ย่อยโอสถนักจิตบำบัดเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะติดต่อกลับไปหาสมาคมแปรจิต เธอวางแผนเลื่อนเป็นลำดับ 6 ให้เรียบร้อย
หลังจากใช้พลัง ‘ปลอนโยน’ เพื่อปรับสภาพจิตใจ หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ตามด้วยการกระดกโอสถและดื่มอึกอึก
หลังจากสงบจิตใจ จู่ๆ หญิงสาวพบว่าจิตของเธอระเบิดออก ร่างกายคล้ายกับถูกปนเปื้อน กลายเป็นเลือนรางและขาดความคมชัด
ทันใดนั้น คล้ายกับร่างวิญญาณ กายอากาศ และวิญญาณดาราของเธอได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิต ราวกับคนทั้งคนกลายเป็นกลุ่มก้อนความคิดที่บริสุทธิ์ มอบความรู้สึกล่องลอย สัมผัสได้ถึงทะเลจิตใต้สำนึกรวมที่เชื่อมต่อทุกชีวิตเข้าด้วยกัน สัมผัสถึงผืนนภาแห่งวิญญาณที่ตรงข้ามกับทะเล
เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ทำนองเดียวกันสมัยเลื่อนลำดับเป็นนักจิตบำบัด ออเดรย์ในปัจจุบันมิได้ตื่นตระหนัก สามารถครองสติมั่นคงตลอดเวลา ยับยั้งตัวเองมิให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ ‘ทะเล’ ดึงจิตให้หดกลับประหนึ่งยางรัดผม
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ จนกระทั่งหญิงสาวได้สติกลับมา พบว่าหลังมือของตนถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดแข็งสีทองคำ พบว่าเส้นผมตรงบ่าทั้งแข็งและมีน้ำหนักมากขึ้น ประหนึ่งถูกหล่อจากทองคำ
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวค่อยๆ กลับคืนสู่ภาวะปรกติ ทว่า เมื่อออเดรย์ส่องกระจก เธอพบว่าดวงตาสีเขียวมรกตของเธอ แม้จะยังกระจ่างใสเช่นเคย แต่กึ่งกลางกลับมีวังวนปริศนาไร้ก้นบึ้ง หากใครเผลอสบตาคงยากจะหันไปทางอื่น เกิดความลุ่มหลงได้ง่ายดาย
นี่คือภาวะพลังวิญญาณขาดเสถียรภาพ… ออเดรย์ค่อยๆ คลายคิ้วพร้อมกับเผยรอยยิ้ม
หญิงสาวมองตัวเองในกระจก ผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
“ออเดรย์ เธอกลายเป็นลำดับ 6 เรียบร้อยแล้ว!”
รอจนกระทั่งทุกสิ่งสงบลง หญิงสาวสำรวจตัวเองอย่างจริงจังเพื่อยืนยันพลังพิเศษใหม่ รวมถึงของเก่าที่เปลี่ยนแปลง
หลังจากใช้เวลาสักพัก ออเดรย์ค้นพบสถานการณ์ปัจจุบัน
ประการแรก สมรรถภาพร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากพลังกำลังและความว่องไวที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก เธอยังสามารถเสกเกล็ดขึ้นมาปกคลุมผิวหนัง ช่วยลดทอนความเสียหายได้หลายส่วน ประการที่สอง มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของพลัง ‘การชี้นำทางจิต’ สิ่งนี้พัฒนาไปเป็นพลังใหม่ที่ชื่อว่า ‘สะกดจิตนอกศึก’ ขอเพียงเป้าหมายกำลังจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง เธอสามารถฝังการชี้นำทางใจลงไปอย่างแนบเนียน ปรับเปลี่ยนจิตใต้สำนึกโดยตรง
ด้วยวิธีนี้ เป้าหมายจะทำในสิ่งที่เธอชี้นำโดยไม่รู้ตัว เชื่อว่านั่นเกิดจากความปรารถนาที่แท้จริง
แน่นอน หากการ ‘ชี้นำ’ ของออเดรย์ทำให้ชีวิตของผู้ถูกสะกดจิตและสิ่งสำคัญจากจิตใต้สำนึกของมันตกอยู่ในอันตราย ดวงวิญญาณผู้ถูกสะกดจิตจะเกิดการต่อต้านรุนแรง ส่งผลให้การชี้นำล้มเหลว นอกจากนั้น หากเป้าหมายมีดวงวิญญาณและจิตที่มั่นคงแข็งแรง มีโอกาสที่จะต้านทานการชี้นำได้บางส่วน
พลังที่สาม ‘สะกดจิตระหว่างศึก’ ออเดรย์สามารถบังคับสะกดจิตศัตรูได้ทันที สั่งให้ทำในเรื่องผิดปรกติ เช่นโจมตีพวกเดียวกัน หรือแสร้งทำเป็นไม่เห็นเธอซึ่งเป็นผู้สะกดจิต แต่การสะกดจิตด้วยวิธีนี้จะคงอยู่ได้ไม่นาน และเมื่อเป้าหมายคืนสติ จะค้นพบความผิดปรกติได้ทันที นอกจากนั้นยังไม่สามารถสั่งให้เป้าหมายฆ่าตัวตายหรือจบชีวิตตัวเองทางอ้อม
พลังที่สี่ ‘ล่องหนทางจิตใจ’ เข้าควบคุมจิตใจเป้าหมายและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น ‘จุดอับ’ ของจิตใจอีกฝ่าย ส่งผลให้แม้จะยืนอยู่ตรงหน้า แต่อีกฝ่ายก็จะมองไม่เห็นประหนึ่งล่องหน
สุดยอด… เรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือ เรายังไม่มีพลังพิเศษที่ใช้โจมตีได้หนักหน่วง… ออเดรย์ทำแก้มป่องเล็กๆ พลางข่มจิตใจเพื่อรักษาเสถียรภาพของพลังวิญญาณ เปลี่ยนให้ดวงตาลดความเย้ายวนและน่าหลงใหล
เมื่อขจัดความผิดปรกติเบื้องต้นออกเกือบหมด หญิงสาวเปิดประตูให้ซูซี่เข้ามาในห้อง อาศัยความช่วยเหลือจากโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ ช่วยให้คุ้นเคยกับพลังใหม่ได้เร็วขึ้น
ถัดมาไม่นาน สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ เดินเข้ามาพร้อมกับจดหมายเชิญ
“คุณหนู ทางศาสนจักรจะจัดงานเลี้ยงบำเพ็ญกุศลขึ้นในคืนวันเสาร์ เนื่องในโอกาสก่อตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อคนยากไร้ พวกเขามีความประสงค์จะให้คุณหนูเข้าร่วมงาน”
ออเดรย์มิได้ตอบกลับทันที เลือกจะตั้งคำถาม
“พวกเขาเชิญท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยไหม?”
“เชิญค่ะ นอกจากคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงแล้ว พวกเขายังเชิญลอร์ดฮิบเบิร์ตด้วย” แอนนี่เล่าตามจริง
ออเดรย์พยักหน้าพลางยิ้ม
“บอกกับทางโบสถ์ว่าดิฉันจะเข้าร่วม… นอกจากนั้น ช่วยรวบรวมข้อมูลของกองทุนให้ด้วย ดิฉันจะได้พิจารณาว่าควรบริจาคสมทบทุนมากน้อยเพียงใด”
…
ตกดึก ณ ภัตตาคารอินทิสเซอเรนโซ่
“ที่นี่งดงามมาก… งดงามยิ่งกว่าห้องนั่งเล่นของขุนนางใหญ่หลายคน” ฟอร์สมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าคล้ายกำลังเก็บรวบรวมวัตถุดิบสำหรับเขียนงาน
แม้เธอจะเคยเข้าร่วมซาลอนวรรณกรรมของขุนนางหลายครั้ง แต่ทั้งหมดล้วนถูกเชิญไปจัดในบ้าน ไม่ใช่ภัตตาคารหรูกลางใจกลางเมืองหลวงเช่นนี้
ซิลสางเส้นผมสีทองกระด้างของตน
“นี่คือการตกแต่งสไตล์อินทิส อาจดูหรูหรา แต่ขาดความวิจิตรและคุณค่าทางศิลปะ”
“จะขาดคุณค่าทางศิลปะได้ยังไง? ที่นี่เต็มไปด้วยภาพวาดสีน้ำมันที่โด่งดัง รวมถึงประติมากรรมเลื่องชื่อ…” ฟอร์สโต้แย้ง
ระหว่างนี้ เธอลดเสียงลงพลางหยุดอยู่หน้าทางเข้าหลัก
เมื่อกล่าวจบ พวกเธอพบห้องส่วนตัวที่พ่อบ้านวอลเตอร์เคยเอ่ยถึง ฟอร์สจึงใช้พลัง ‘เปิดประตู’ พร้อมกับดึงซิลผ่านเข้าไปหลบในตู้ภายในห้อง รอให้นายจ้างของพวกตน ดอน·ดันเตสและแขกมาถึง
“เธอคิดว่าหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ของบริษัทโคอิมมีมูลค่าเท่าไร?” ฟอร์สที่เบื่อหน่ายเพราะไม่มีอะไรทำเริ่มชวนคุย
ในตอนเช้า เธอเข้าไปในวิหารนักบุญแซมมวลพร้อมกับซิล แสร้งทำเป็นสวดวิงวอน แต่ความจริงแล้วคอยให้ความคุ้มครอง
ซิลลังเลสักพัก
“อย่างน้อยก็หลายพันปอนด์แน่… บิชอปดูจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”
“รวยชะมัด… บริจาคเงินหลายพันปอนด์อย่างง่ายดาย… ทำไมถึงไม่ช่วยคนจนๆ แบบเราบ้าง?” ฟอร์สรำพันติดตลก
ขณะเดียวกัน ประตูห้องส่วนตัวถูกเปิดออก ดอน·ดันเตสและครอบครัวส.ส. มัคท์เดินเข้ามาและแยกกันนั่งตามเก้าอี้ ทางด้านบริกรที่รับผิดชอบเองก็เริ่มลงมืออย่างขยันขันแข็ง
ซิลและฟอร์สหยุดคุยทันที สมาธิเพ่งไปยังบทสนทนาด้านนอกรวมถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม จมูกฟุดฟิดเป็นครั้งคราวเนื่องจากกลิ่นอาหาร
ทันใดนั้น ซิลขมวดคิ้วเนื่องจากพบความผิดปรกติ แต่เพียงไม่นานก็คล้ายออก ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไร?” ฟอร์สโน้มตัวมาทางเพื่อนสนิทพลางกระซิบ
ซิลส่ายหน้า
“ไม่มีอะไร ฉันคงเครียด สัมผัสวิญญาณก็เลยอ่อนไหวเกินไป”
ขณะเดียวกัน ไคลน์วางมีดส้อมลง สายตาชำเลืองไปทางด้านข้าง
ในการมองเห็นของมันที่กำลังเปิดเนตรวิญญาณ ศีรษะที่เจ้าของผมสีทองสว่างและดวงตาสีแดงโผล่ออกจากความว่างเปล่า ในปากคาบจดหมายหนึ่งฉบับ
ฟุดฟิด! คล้ายกับไคลน์ได้กลิ่นนม ข้าวสาลี และปลาทะเล
มุมปากชายหนุ่มกระตุกแผ่วเบาขณะเหยียดแขนออกไปรับจดหมาย โดยที่ครอบครัวมัคท์สามคนฝั่งตรงข้ามไม่มีใครค้นพบความผิดปรกติ
หลังจากไคลน์ยัดจดหมายใส่กระเป๋าเสื้ออย่างแนบเนียน บริกรเดินออกไปนอกห้องและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสิร์ฟอาหารสำหรับสี่ที่ จากบรรดาทุกจาน มีสองจานเป็นเห็ดผัดเนย
ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์รู้สึกคลื่นไส้กะทันหัน สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย เช่นเดียวกับมือซ้ายที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อซึ่งกำลังสั่นระริกแผ่วเบา
ราชันเร้นลับ 860 : ม้าตื่น
ฟู่ว โชคดีที่เราไม่ได้สั่งเห็ด ไม่อย่างนั้นคงเสียของเปล่า… ถึงเราจะเลิกกลัวเห็ดแล้ว แต่กลิ่นเห็ดจากซองจดหมายก็ช่วย ‘กระตุ้น’ ให้ความทรงจำเก่าๆ กลับมา… สีหน้าไคลน์กลับปรกติอย่างรวดเร็ว ซักมือซ้ายออกมาแก้วดื่มน้ำเย็น
“ขออีกแก้ว” ชายหนุ่มเอียงคอราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ออกคำสั่งกับบริกรที่ยืนอยู่หน้าประตู
ขณะเดียวกัน มันใช้มือกุมท้อง ลุกขึ้นเชื่องช้าพลางกล่าวขอตัว เดินออกมายังห้องน้ำประจำห้องส่วนตัว
ห้องน้ำอยู่ฝั่งตรงกันข้ามประตูหน้า
ฟอร์สที่ซ่อนตัวอยู่ในตู้ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เสียงเปิดปิดประตูห้องน้ำ หญิงสาวหรี่เสียงลงและกระซิบกับเพื่อนสนิทด้านข้าง
“ครั้งที่สองแล้ว! พวกเขาเพิ่งเข้ามาได้ประมาณสามสิบนาที แต่ดอน·ดันเตสเข้าห้องน้ำไปแล้วสองครั้ง! ครั้งแรกเป็นการปัสสาวะ ถ้าครั้งนี้ยังเหมือนเดิม หมายความว่ากระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมากของสุภาพบุรุษรายนี้มีปัญหา! ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว เขาแค่ปัสสาวะจริงๆ! ทุกครั้งก่อนเข้าห้องน้ำ เขาจะดื่มน้ำเข้าไปมากและขอตัวออกมา… เฮ่อ การเป็นคนรวยไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเป็นคนรวยที่หน้าตาดีนั้นยากยิ่งกว่า!”
ซิลชำเลืองมองเพื่อน
“แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับเธอ? มีสมาธิหน่อย! จริงจังหน่อย! พวกเรากำลังทำภารกิจ! นอกจากนั้น คนคุ้มกันของส.ส. มัคท์ยังค่อนข้างแข็งแกร่ง น่าจะเป็นผู้วิเศษ พวกเราต้องคอยระวังตัว”
ฟอร์สไม่มีทางเลือกนอกจากระงับจินตนาการแสนบรรเจิด
“พวกเขาเอาแต่เฝ้าทางเข้าออกโดยไม่ได้คำนึงว่าจะมีใครผ่านทางกำแพง… ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลยสักนิด… ตกลง ไว้กลับไปแล้วค่อยคุยกัน”
เป็นเวลาเดียวกับที่ไคลน์เดินกลับจากห้องน้ำมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
มันจิบน้ำเย็น จิบไวน์ขาว กล่าวกับส.ส. มัคท์ด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วที่ผมย้ายมาอยู่ในเบ็คลันด์ ทุกวันหมดไปกับการทำความคุ้นเคยวิถีชีวิตจนไม่มีเวลาเริ่มต้นธุรกิจใหม่สักที ต้องตื่นเช้ามาพร้อมกับเห็นเงินทองไหลออกโดยไม่มีเข้ามาเพิ่ม… ฮะฮะ! คงถึงเวลาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
มันกล่าวติดตลกผสมผสานกับความตั้งใจที่จะร่วมมือค้าอาวุธเถื่อน
ส.ส. มัคท์ลูบแก้ว ยิ้มและกล่าว
“ผมเข้าใจได้ ตัวเองเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน… ตอนนี้คุณมีเงินสดในมือเท่าไร? ผมยินดีแนะนำเพื่อนฝูงให้ได้”
ไคลน์ตอบสุขุม
“ผมพร้อมลงทุนในราคาไม่เกินสองหมื่นปอนด์”
“คุณรวยกว่าที่ผมคิดไว้มาก” ส.ส. มัคท์ถอนหายใจด้วยอารมณ์เต็มเปี่ยม
ในสถานการณ์ปรกติ เศรษฐีที่มีเงินเย็นพร้อมทำธุรกิจมากถึงสองหมื่นปอนด์ ทรัพย์สินรวมจะต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนปอนด์
ไม่รอให้ดอน·ดันเตสถ่อมตน มันกล่าวโดยไม่มองหน้า
“ถ้าจำไม่ผิด คุณกำลังถือหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ของบริษัทโคอิมอยู่ใช่ไหม? สามารถใช้มันค้ำประกันได้อย่างน้อยหนึ่งหมื่นปอนด์ นั่นจะช่วยลดต้นทุนได้มาก”
ไคลน์ยิ้มพลางถอนหายใจ
“ผมบริจาคหุ้นส่วนนี้ให้ศาสนจักรไปแล้ว เตรียมจัดตั้งกองทุนแก่ผู้ยากไร้”
“บริจาคให้ศาสนจักร?” วันนี้มัคท์ยังไม่ได้พบกับบิชอปประจำวิหารนักบุญแซมมวล และเนื่องจากออกไปธุระข้างนอก จึงยังไม่ได้รับบัตรเชิญ
มาดามลีอานน่าและเฮเซลที่กำลังดื่มด่ำไปกับอาหาร ต่างเงยหน้าขึ้นมองดอน·ดันเตสโดยไม่รู้ตัว
ในแวดวงของพวกมัน มีเพื่อนฝูงเพียงไม่กี่คนที่สามารถบริจาคเงินระดับหนึ่งหมื่นปอนด์ไหว และไม่ใช่ในคราวเดียว โดยจากบรรดาทั้งหมด มีไม่กี่คนที่กว้างพอจะบริจาค หรืออาจไม่มีเลยก็ได้!
ไม่สิ ตอนนี้มีแล้ว ดอน·ดันเตส!
“ใช่ครับ” ไคลน์พยักหน้าราบเรียบ “หากปราศจากพรจากเทพธิดา ผมคงจบชีวิตลงในทวีปใต้อันแสนวุ่นวาย และในตอนที่ยังเด็ก ถ้าผมมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ชีวิตคงจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีกว่านี้ ผมอยากมอบโอกาสให้พวกเขา อยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาพวกเขาในทางที่ดีขึ้น”
“นิสัยใจคอของคุณน่าประทับใจพอๆ กับความใจกว้าง” มาดามลีอานน่าวางมีดส้อมลงพลางกล่าวชมเชย ส่วนเฮเซลพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับมองด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากขึ้น
เมื่อเห็นพ่อและแม่กำลังคุยในหัวข้อการกุศล หญิงสาวขอตัวไปเข้าห้องน้ำ มือขวากดท้องไว้เล็กน้อย
หลังจากเดินมาถึงประตูห้อง ขณะเตรียมหันไปทางขวา สีหน้าเฮเซลชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันมาทางตู้ทางซ้ายมือ
หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย เผยสีหน้างุนงง ก่อนจะถอนสายตากลับและเดินไปเปิดประตูห้องน้ำฝั่งตรงตาม
จนกระทั่งทำธุระเสร็จและล้างมือให้สะอาด คล้ายกับเฮเซลหลงลืมความผิดปรกติที่เกิดขึ้น เพียงจับสร้อยคอและเดินกลับไปที่โต๊ะอาหาร
เมื่อจัดการจานของหวานเสร็จ มื้ออาหารก็จบลงโดยสมบูรณ์ คนทั้งสี่เดินกลับออกมาหน้าห้องส่วนตัวที่มีบอดี้การ์ดสองคนยืนรออยู่ เตรียมพร้อมเดินทางกลับบ้าน
ทันใดนั้น เฮเซลชะงักฝีเท้าและพูดขึ้น
“เหมือนว่าหนูจะทำตุ้มหูหลุดข้างใน ช่วยรอสักครู่”
โดยไม่รอให้มาดามลีอานน่าสั่งให้สาวใช้ช่วยตามหา เฮเซลเดินดุ่มย้อนกลับไปและหักเลี้ยวตรงหัวมุม กลับเข้าไปในห้องเมื่อครู่
เฮเซลในท่าใช้มือซ้ายจับหู เดินตรงดิ่งไปยังตู้หน้าประตู ตามด้วยการวางมืออีกข้างทาบลงไป
ใจจริง เธออยากเปิดประตูด้วยความเร็วสูงเพื่อลงมือทีเผลอ แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียด หญิงสาวตัดสินใจจับสร้อยคออย่างระมัดระวัง ฉากหลบไปด้านข้างเล็กน้อย เตรียมรับมือกับการโจมตีที่ไม่คาดฝันจากด้านใน
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮเซลถือโอกาสที่บริกรกำลังยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดโต๊ะ กระชากประตูตู้เปิดออก
ทว่า นอกจากช้อนส้อมและผ้าปูโต๊ะ ข้างในไม่มีอะไรอยู่อีกเลย
เฮเซลเผยสีหน้างุนงงสุดขีด ประหนึ่งไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
“ทั้งที่เรามั่นใจมากว่าข้างในมีของมีค่าซ่อนอยู่…” หญิงสาวกระซิบกับตัวเอง รีบปิดประตูตู้ก่อนที่สาวใช้จะตามมาทัน เดินออกจากห้องส่วนตัวราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
…
ด้านนอกภัตตาคารอินทิสเซอเรนโซ่ ฟอร์สและซิลต่างมองย้อนกลับไปในร้านพร้อมกัน
“ผู้หญิงคนนั้นสังเกตเห็นพวกเรา?” ฟอร์สกระซิบกระซาบแผ่วเบา
ถ้าไม่มีพลัง ‘เปิดประตู’ ของเธอช่วยให้ออกจากอีกฝั่งของตู้ได้ทันเวลา ป่านนี้คงถูกพบตัวและจำใจต้องยอมรับว่า พวกเธอคอยปกป้องดอน·ดันเตสอย่างลับๆ
ซิลเองก็ประหลาดใจไม่น้อย
“ในตอนที่หล่อนเข้าห้องน้ำ ฉันจำได้ว่าพวกเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย…”
“บางที เธออาจจะเป็นผู้วิเศษ และนั่นเป็นสัมผัสวิญญาณบางชนิด” ฟอร์สคาดเดาคลุมเครือ “มิสเตอร์ดอน·ดันเตสช่างน่าสงสาร ฝั่งหนึ่งก็ต้องเผชิญหน้ากับเกมการเมืองของขุนนางและเศรษฐี ภายในบ้านตัวเองก็มีพ่อบ้านที่แอบศึกษามนต์ดำ แล้วยังต้องเจอเพื่อนบ้านเป็นผู้วิเศษอีก… ว่าแต่เด็กคนนั้นชื่ออะไรนะ?”
“เฮเซล” กล่าวจบ ซิลเตรียมมองหารถม้าของดอน·ดันเตสเพื่อเข้าไปซ่อนข้างใต้ ทันใดนั้นก็ต้องชะงักสายตา “ฟอร์ส ดูนั่นสิ คนนั้นทำตัวแปลกๆ ว่าไหม?”
ฟอร์สมองตามสายตาเพื่อนสนิทไปยังฝั่งตรงข้าม เห็นชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำกำลังเดินไปเดินไปด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“แปลกยังไง?” ฟอร์สที่ไม่มีเวลาสำรวจอย่างละเอียด ซักถามเข้าประเด็น
ซิลตอบเรียบง่าย
“เขาแต่งตัวคล้ายกับสุภาพบุรุษมาดภูมิฐาน แต่รองเท้ากลับสกปรกมาก ราวกับไม่ถูกขัดมานาน เธอก็รู้ว่าเบ็คลันด์มีฝุ่นเยอะแค่ไหน… นอกจากนั้น เขายังล้วงมือเข้าไปในตำแหน่งใต้รักแร้บ่อยครั้ง กล้าพนันได้เลยว่าเขาพกปืนมาด้วย… แถมสีหน้าท่าทางก็ยังบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ปรกติ… อา พวกเขากำลังจะออกมาแล้ว ฉันจะไปซ่อนใต้รถม้า ส่วนเธอคอยจับตามองชายคนนั้นไว้ อย่าปล่อยให้มิสเตอร์ดอน·ดันเตสตกอยู่ในอันตราย”
“ตกลง” ถึงฟอร์สจะรู้สึกรำคาญ แต่ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น เธอตัดสินใจถอยหลังเข้าไปหลบในกำบัง คอยเฝ้าระวังทางเข้าภัตตาคารอินทิสเซอเรนโซ่อย่างไม่คลาดสายตา
ยี่สิบถึงสามสิบวินาทีถัดมา ดอน·ดันเตสและครอบครัวมัคท์เดินออกจากภัตตาคาร กล่าวคำอำลาและแยกย้ายไปยังรถม้าของแต่ละครอบครัว
ทันใดนั้น รถม้าสองล้อคันหนึ่งพุ่งมาจากอีกฝั่งของถนนด้วยความเร็วสูง ประหนึ่งพร้อมเสียหลักล้มได้ทุกเมื่อ
ม้าตัวที่กำลังลากห้องโดยสารมีดวงตาคลุ้มคลั่ง คล้ายกับแตกตื่นสุดขีด วิ่งตรงมายังทางเข้าภัตตาคารอินทิสเซอเรนโซ่ด้วยท่าทีตื่นตระหนก
บอดี้การ์ดของคนของส.ส. มัคท์เริ่มเคลื่อนไหว คนหนึ่งตรงไปทางม้าเพื่อหาวิธีสยบ อีกคนหนึ่งคอยปกป้องครอบครัวมัคท์
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนที่เคยเดินป้วนเปี้ยนจนถึงเมื่อครู่ อ้อมมาด้านหลังส.ส. มัคท์พร้อมกับยกปืนเล็งศีรษะด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวสุดขีด
มือขวาไคลน์ยกขึ้นเล็กน้อยจนยากจะสังเกตเห็น ก่อนจะหดกลับประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ชายหนุ่มกระโดดหลบม้าตื่นที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างชำนาญ ขณะเดียวกัน ฟอร์สที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่ง กำมือแน่นพร้อมกับกระชากอากาศ
คนร้ายเกิดขาเปลี้ยกะทันหัน คล้ายกับสะดุดบางสิ่งล้มลงไปเอง พลาดโอกาสในการลั่นไก
ด้วยความเร่งรีบ มันใช้มือดันพื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว หมายกราดยิงโดยไม่มัวเล็งเป้า
ทว่า หลังจากกระตุกนิ้วกลับ มันไม่ได้รับความรู้สึกที่ควรจะมี
ปืนพกของมันหล่นไปอยู่ตรงเท้าเฮเซลตอนไหนก็มิอาจทราบได้!
แทบจะในเวลาเดียวกัน ม้าที่คลุ้มคลั่งถูกบอดี้การ์ดคนแรกสยบจนแน่นิ่ง
“ทำไมถึงปองร้ายผม?” ส.ส. มัคท์ระงับความสั่นคลอนในใจ เดินดุ่มเข้าไปถามอีกฝ่ายด้วยเสียงทุ้ม
ชายวัยกลางคนระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกับตะโกนด้วยใบหน้าเสียสติ
“เป็นเพราะแก! ทั้งหมดมันเป็นเพราะพวกแก! เอาแต่พล่ามเรื่องมลพิษทางอากาศ เอาแต่สนับสนุนให้ใช้แอนทราไซต์! โรงงานของฉันต้องล้มละลาย ลูกต้องป่วยตาย ภรรยาต้องตรอมใจตาย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น