Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 851-856

 ราชันเร้นลับ 851 : ธุรกิจใหม่ของดอน·ดันเตส

เลียวนาร์ดจ้องไปยังภาพเหมือนของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้บนโต๊ะ ในหัวเต็มไปด้วยภาพมุมต่างๆ หากชายคนนี้ปราศจากแว่นตาและหนวดเครา


แม้จะมีความแตกต่างไปจากของจริงเนื่องจากเป็นภาพในจินตนาการ แต่เลียวนาร์ดก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ช่างละม้ายคล้ายกับคนที่มันเคยรู้จัก


เป็นไม่ได้… เขาตายไปแล้ว! เราเป็นคนฝังกับมือ! เลียวนาร์ดส่ายหน้าพลางหัวเราะกับตัวเอง


ขณะครุ่นคิด สีหน้าของมันทวีความบิดเบี้ยว เพราะชายในความทรงจำมิใช่ผู้วิเศษธรรมดา แต่มาพร้อมกับความลับพิสดาร


ชายคนดังกล่าวสามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลของ 2-049 ได้โดยไม่ต้องให้ใครช่วย!


ชายคนนั้นอาศัยความพิเศษที่มีต่อ 2-049 สังหารผู้วิเศษลำดับ 7 โดยที่ตนเป็นแค่นักทำนายซึ่งไม่ถนัดการต่อสู้!


ชายคนนั้นเข้าใจเทคนิคสวมบทบาทอย่างรวดเร็ว สามารถพัฒนาไปเป็นลำดับ 8 ภายในเวลาแสนสั้น!


ชายคนนั้นมียันต์ระดับสูงในขอบเขตสุริยัน ร่วมมือกับหัวหน้าดันน์·สมิทผู้ยืมพลังจากเถ้ากระดูกศักดิ์สิทธิ์ สังหารเมกูสที่กำลังอุ้มท้องทายาทของเทพมารสักตน!


ตะกอนพลังลำดับ 8 ของชายคนนี้ถูกอินซ์·แซงวีลล์นำติดตัวไป แต่ตะกอนพลังลำดับ 7 ของหัวหน้าดันน์·สมิทกลับยังอยู่ที่ศพ!


บางที… อาจไม่ใช่เพราะอินซ์·แซงวีลล์นำตะกอนพลังไป แต่วัตถุดังกล่าวไม่เคยตกผลึกต่างหาก! เลียวนาร์ดคืนสติกลับมา รีบเพ่งมองภาพเหมือนของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้อีกครั้ง


สิบวินาทีถัดมา มันพ่นชื่อออกมาระหว่างซอกฟัน


“ไคลน์·โมเร็ตติ…”


ยิ่งมองก็ยิ่งพบว่า ยอดนักสืบนามเชอร์ล็อก·โมเรียตี้มีใบหน้าเหมือนกับอดีตเพื่อนร่วมงานของตน วีรบุรุษผู้เคยสละชีวิตเพื่อปกป้องเมืองทิงเก็น ไคลน์·โมเร็ตติ!


นี่คือใบหน้าที่จะปรากฏหากอีกฝ่ายสวมแว่นตาและเครา!


เลียวนาร์ดกำมือแน่นจนข้อต่อนิ้วกลายเป็นสีขาว ก่อนจะค่อยๆ คลายออกพร้อมกับลมหายใจกระเส่า ตามด้วยการหยิบเอกสารของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้มาตรวจสอบอีกครั้ง


ในคราวนี้ มันข้อหาข้อมูลโดยมีเป้าหมายชัดเจน นั่นคือช่วงเวลาที่อีกฝ่ายปรากฏตัวในเบ็คลันด์ครั้งแรก


ต้นเดือนกันยายน!


นั่นเกิดขึ้นหลังจากไคลน์·โมเร็ตติถูกฝังได้ไม่นาน!


ดวงตาสีเขียวมรกตของเลียวนาร์ดมืดลง รีบเปิดอ่านเอกสารตามสัญชาตญาณ


จากนั้น มันพบอีกหนึ่งชื่อ


ลาเนวุส!


ชายคนนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังแผนการทายาทเทพมารลงมาจุติในเมืองทิงเก็น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เหยี่ยวราตรีได้รับความเสียหายใหญ่หลวง มีสมาชิกสองนายเสียชีวิต ประกอบด้วยดันน์·สมิทและไคลน์·โมเร็ตติ


และรายงานชิ้นที่สองเกี่ยวกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ก็คือ ขณะสืบหาเบาะแสคดีฆาตกรต่อเนื่องแถวท่าเรือ ชายคนนั้นได้พบกับลาเนวุสที่ปลอมตัวเข้าโดยบังเอิญ!


ถัดมา ความพยายามในการลงมาจุติของพระผู้สร้างแท้จริงได้ถูกขัดขวาง ลาเนวุสเสียชีวิตในท่อระบายน้ำ ศพมีไพ่ทาโรต์ปกคลุมจนดูคล้ายกับเป็นฝีมือของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด


เขายังไม่ลืมไอ้นักต้มตุ๋นระยำนั่น… เลียวนาร์ดพึมพำเงียบ สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย


หลังจากอ่านเอกสารจบ มันนั่งแช่บนเก้าอี้เป็นเวลานานโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย ประหนึ่งกำลังหลับใหลท่ามกลางเงามืดที่เกิดจากแสงสว่าง


ผ่านไปนานหลายนาที เลียวนาร์ดเริ่มเปลี่ยนท่านั่งเป็นการเอนหลังพิงพนัก ซักถามเสียงต่ำ


“ตาแก่ คุณคิดว่านักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เหมือนกับอดีตเพื่อนร่วมงานของผมในทิงเก็น ไคลน์·โมเร็ตติ บ้างไหม?”


ภายในหัว เสียงที่ค่อนข้างชรากล่าวอย่างลังเล


“คนที่เข้าเหยี่ยวราตรีจากคดีสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส?”


“ใช่…” เลียวนาร์ดตอบเสียงหนักแน่น


ปรสิตในร่างกายกล่าวหลังจากผ่านไปสองสามวินาที


“มีความคล้ายกันอยู่”


เลียวนาร์ดที่ได้รับคำตอบ กลับไปเงียบงันอีกครั้ง หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน มันล้วงหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝา ยืนยันว่ายังเป็นช่วงเช้า


เลียวนาร์ดปิดฝานาฬิกาพร้อมกับลุกพรวด เกือบทำให้กองเอกสารบนโต๊ะกระจัดกระจาย


มันรีบเอื้อมมือคว้าเอกสารไว้และนำกลับมาวางบนโต๊ะ ตามด้วยทิ้งโน้ตไว้ว่า: พบเบาะแสบางอย่าง จะออกไปตรวจสอบ คงไม่กลับมาสักพัก


ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน… นายคือพระเอกของเมืองทิงเก็น หรือความจริงแล้วแอบสวมหน้ากากมาตลอด เบื้องหลังเป็นสมาชิกขององค์กรลับชั่วร้ายที่แทรกซึมเข้ามาในเหยี่ยวราตรี… ถ้าเป็นอย่างหลัง นายก็ไม่ได้ต่างอะไรกับอินซ์·แซงวีลล์ที่หวังขโมยของจากประตูยานิส… เลียวนาร์ดสลัดคราบนักกวีขี้เกียจเป็นปลิดทิ้ง หรี่ตาลงและรีบเดินออกจากวิหารนักบุญแซมมวล



เขตฮิลสตัน ด้านนอกอาคารที่เด่นสะดุดตา


ดอน·ดันเตสก้าวลงจากรถม้า สายตามองไปยังอาคารที่โดดเด่นสไตล์ช่วงปลายยุคสมัยที่สี่


อาคารหลังนี้สร้างจากหินแผ่นใหญ่เกือบทั้งหลัง สูงสี่ชั้น หน้าต่างใหญ่ราวกับประตู เข้ากับกันระเบียงเล็กๆ


เนื่องจากถูกกาลเวลากัดเซาะ สีของผนังด้านนอกจึงเป็นเหลืองทราย เสาหินและซุ้มประตูโค้งคอยค้ำจุนเฉลียงอันสง่างาม


ที่นี่คือสโมสรนายทหารผ่านศึกไบลัมตะวันออก


ไคลน์ยกไม้ค้ำ ชี้ไปยังอาหารตรงหน้า กล่าวพลางยิ้ม


“เก่าแก่ทีเดียว”


ส.ส. มัคท์พยักหน้าและตอบ


“ไม่เพียงจะเป็นอาคารโบราณ แต่ยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี”


กล่าวจบ มันเดินนำดอน·ดันเตสเข้าไปในสโมสร กล่าวกับสตรีที่แผนกต้อนรับ


“ดอน·ดันเตส สมาชิกทั่วไป ฉันเป็นคนแนะนำมา”


กล่าวจบ มันหันมาอธิบายกับเศรษฐีด้านข้าง


“ไม่เพียงคุณจะไม่เคยรบในสมรภูมิไบลัมตะวันออก แต่คุณยังไม่ได้เป็นทหาร จึงหมดสิทธิ์เป็นสมาชิกแบบทางการ… แต่ถึงอย่างนั้น การเป็นสมาชิกทั่วไปก็ทำให้คุณเข้าออกสโมสรได้อย่างอิสระ ใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกได้บางชิ้น ลิ้มรสอาหารแสนโอชะ และพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูงที่แตกต่าง”


“นั่นคือสิ่งที่ผมหวัง” ไคลน์ยิ้มและพยักหน้า


หลังจากสาวสวยผู้มีเชื้อสายทางใต้ลงทะเบียนเสร็จ มัคท์กล่าวเสริม


“ไม่มีค่าสมัคร ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่หกสิบปอนด์”


กล่าวจบ มันหัวเราะและพูดต่อ


“ไม่แพงเลยใช่ไหม โดยเฉพาะกับคุณ… หากเป็นที่นี่ คุณสามารถเข้าถึงอาวุธทุกชนิด มีสนามยิงปืนให้ฝึกซ้อม แถมยังมีโอกาสเรียนขี่ม้า”


สโมสรระดับนี้ ค่าธรรมเนียมหกสิบปอนด์ต่อปีนับว่าไม่แพง มีนายพลแวะเวียนเข้ามาบ่อยครั้ง รวมไปถึงพ่อครัวชื่อดัง… ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม เพียงควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาและนับธนบัตรหกสิบปอนด์ยื่นให้อีกฝ่าย รับเข็มกลัดที่มีสัญลักษณ์ป่า ทะเล และดาบมาถือ


“ที่นี่เต็มไปด้วยเกียรติยศและความน่าเกรงขาม ผมขอชื่นชมความเสียสละของคุณในไบลัมตะวันออก” ไคลน์สวมเข็มกลัดที่มีตัวเลขอยู่ด้านหลัง มองไปทางส.ส. มัคท์และกล่าว “ถ้าผมต้องการเขียนชื่นชมคนของที่นี่ ต้องติดต่อใคร?”


ส.ส. มัคท์ชี้ไปทางพนักงานต้อนรับและกล่าว


“แค่ไปหาเธอ… เธอจะจดบันทึกข้อความไว้และนำไปแปะบนกระดานประกาศตรงนั้น”


ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย


“ตกลง”


ชายหนุ่มหันหน้าไปทางด้านข้าง บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันล้วงหยิบเงินสดห้าร้อยปอนด์ที่เตรียมไว้ออกมา


บริจาคเสร็จ ไคลน์เดินตามส.ส. มัคท์ออกจากห้องโถงที่ตกแต่งอย่างหรูหราจนกระทั่งถึงห้องที่ดูเหมือนห้องรับแขก ส่วนริชาร์ดสันนั่งรออยู่ในห้องรับรองด้านนอกซึ่งมีของว่าง ชาดำ และกาแฟ


ภายในห้องเล็กๆ ด้วยคำแนะนำจากส.ส. มัคท์ ไคลน์มีโอกาสได้รู้จักกับนายทหารจำนวนห้าคนที่ทั้งเกษียณและยังทำงานอยู่ หากไม่นับส.ส. แห่งสภาสามัญ บุคคลที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดคือคาลวินเจ้าของอินทรธนูยศพันเอก ปัจจุบันทำงานอยู่ในกระทรวงกลาโหมของโลเอ็น ส่วนจะเป็นตำแหน่งใดนั้นยังไม่ทราบ


และจากเท่าที่ไคลน์ทราบ นายทหารยศค่อนข้างสูงกว่าพันเอก มีโอกาสมากที่จะเป็นผู้วิเศษลำดับกลาง!


มัคท์ คาลวิน และคนอื่นๆ เริ่มสนทนากันอย่างออกรส ไคลน์ไม่ได้ร่วมวงโดยตรง ทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี คอยสอดแทรกหรือตอบสนองเป็นบางครั้งบางคราว


ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลาย คาลวินหันหน้ามามองดอน·ดันเตสและพูด


“ผมได้ยินว่าคุณเคยอยู่ที่ไบลัมตะวันตก?”


พันเอกรายนี้มีหน้ายาวเหมือนลา แต่กลับไม่ดูน่าขบขัน สายตาค่อนข้างลุ่มลึก


ไคลน์ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ใช่ครับ ที่นั่นวุ่นวายยิ่งกว่าไบลัมตะวันออก”


ได้ยินเช่นนั้น คาลวินหัวเราะ


“ถูกต้อง พวกอินทิสทำแต่เรื่องผิดพลาดที่นั่น”


มันเว้นวรรค ตามด้วยคำถาม


“คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับชาวอินทิสที่นั่น?”


ไคลน์ยังไม่ทราบเจตนาของอีกฝ่าย จึงสุ่มออกมาหนึ่งคำตอบ


“ก็ค่อนข้างดี… พวกเขาโลภทีเดียว”


อันที่จริง มันไม่รู้จักใครเคย แค่เคยได้ยินแอนเดอร์สันเอ่ยถึงสองสามชื่อและพฤติกรรมที่สอดคล้อง


คาลวินพยักหน้า เปลี่ยนคำถาม


“คุ้นเคยกับพวกชนพื้นเมืองไหม? ผมหมายถึงพวกกลุ่มต่อต้านที่นั่น”


“…แค่บางคน” ไคลน์ตอบคลุมเครือ


‘ผู้นำ’ กองทัพต่อต้านอินทิสเพียงคนเดียวที่มันรู้จักก็คือ อดีตองค์หญิงแห่งอินทิส ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต


คาลวินยิ้ม จิบไวน์แดง


ระหว่างนี้ ไม่มีใครกล่าวคำใด รวมถึงส.ส. มัคท์


วางแก้วไวน์ลง คาลวินมองดอน·ดันเตสอีกครั้งพลางกล่าว


“เรื่องมีอยู่ว่า… ทางเราต้องคอยกำจัดปืนและปืนใหญ่จำนวนมากที่ยึดมาได้ทุกปี ด้วยกระบวนการทำลายอาวุธที่มีประสิทธิภาพ แต่นั่นถือเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ไม่ใช่วิธีที่ฉลาดสักเท่าไร… ผมจึงอยากทราบว่า คุณสนใจจะซื้อต่ออาวุธเหล่านี้ไปขายทางไบลัมตะวันตกบ้างไหม? ขายให้ใครก็ได้ ไม่ว่าจะชาวอินทิสที่อาศัยอยู่ หรือกลุ่มต่อต้านและชนพื้นเมือง… เชื่อผมเถอะ นี่เป็นธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาล แต่ขณะเดียวกันก็อันตรายมาก หากถูกทางการอินทิสที่นั่นจับได้ ทางเราจะปฏิเสธว่าคุณทำงานให้เรา”


นี่มัน… จะให้เรารับหน้าที่พ่อค้าอาวุธเถื่อน? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นธุรกิจที่มาพร้อมกำไรมหาศาล… ถึงเราจะไม่คุ้นเคยกับชาวไบลัมตะวันตก ไม่มีเส้นทางที่นั่น แต่ก็สามารถขายให้กับราชินีเงื่อนงำ สามารถขายให้กับกลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์… หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง แสร้งเผยสีหน้าซับซ้อนและลังเล


“ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ก็น่าสนใจมาก”


คาลวินหัวเราะและพูด


“ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ ควรผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบเสียก่อน… ค่อยบอกคำตอบของคุณกับมัคท์ภายในสัปดาห์นี้”


ไคลน์แอบถอนหายใจโล่งอก ยิ้มและพยักหน้า


“ตกลง”



เมืองทิงเก็น สุสานราฟาเอล


แม้แสงแดดยามบ่ายของที่นี่จะร้อนแรง แต่บรรยากาศกลับยังเย็นเยือนและหม่นหมอง


เลียวนาร์ดยืนอยู่หน้าหลุมศพ จ้องมองป้ายแกะสลักอย่างเงียบงัน


ราชันเร้นลับ 852 : ตรงประเด็น

ท่ามกลางแสงอาทิตย์บนท้องฟ้า ณ มุมหนึ่งของสุสานที่เงียบสงบ เลียวนาร์ด·มิเชลยกพลั่วและสอดลงไปในดิน


ดินทั้งสองกองด้านหลังค่อยๆ สูงขึ้นทีละนิด ดินในหลุมศพลดลงจนกระทั่งเผยให้เห็นโลงบางส่วน มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน


ในที่สุด เลียวนาร์ดวางพลั่วในมือ โน้มตัวลงไปหาโลงศพและใช้สองมือจับขอบฝาโลง


มันออกแรงกระชาก ดึงฝาโลงศพไม้ที่มีน้ำหนักมากอย่างง่ายดาย เนื่องจากตะปูตัวยาวที่ตอกยึดไว้หลุดออกไปนานแล้ว ภายในโลงศพมีเพียงความมืดมิดอันว่างเปล่า


ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย!


เลียวนาร์ดยังคงอยู่ในท่าโค้งตัวครึ่งหนึ่ง ค้างไว้เช่นนั้นเป็นเวลานานราวกับรูปปั้นหิน



ท่ามกลางความฝันที่เต็มไปด้วยหมอก ไคลน์เห็นโลงศพหินที่มีป้ายสลักซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสุสานโลงศพหินซึ่งถูกฉาบด้วยแสงจันทร์สีแดงเข้ม


ฉากดังกล่าวแตกกระจัดกระจายพร้อมกับไคลน์ที่สะดุ้งตื่น ชายหนุ่มยืนยันว่าตนยังคงเป็นดอน·ดันเตส ยังคงอยู่ภายในบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน


ความฝันเมื่อครู่กำลังบอกใบ้เรา… ในฐานะนักทำนาย ไคลน์ให้ความสำคัญกับฝันทุกชนิด ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชายหนุ่มรีบสลัดความงัวเงียและเริ่มตีความ


น่าจะหมายถึงหลุมศพ…


ถอดความได้ว่า อาจเกี่ยวข้องกับคนตาย หรือไม่ก็คนที่คืนชีพ…


แสงจันทร์สีแดงคือสัญลักษณ์ของเทพธิดา… อาจหมายถึงโบสถ์รัตติกาลหรือเหยี่ยวราตรี… หากมองเห็นดวงจันทร์โดยตรง นั่นจะหมายถึงดวงจันทร์บรรพกาล หรือไม่ก็ต้นตระกูลแวมไพร์ ลิลิธ หรือไม่ก็มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…


หลุมฝังศพถูกฉาบด้วยแสงจันทร์จนดูเหมือนเลือด… แปลว่าไม่ใช่เรื่องดี…


ไคลน์ทบทวนเนื้อหาของความฝัน พยายามนำเบาะแสทั้งหมดมาปะติดปะต่อให้เกิดข้อสรุป


หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มพบว่าความฝันเมื่อครู่คือวิวรณ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวตนในอดีตและโบสถ์รัตติกาล


เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ไคลน์ค่อยๆ พบคำตอบที่น่าสนใจ


ดอน·ดันเตสแวะเวียนไปเยี่ยมวิหารนักบุญแซมมวลบ่อยครั้ง ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย… ถ้าเลียวนาร์ดยังไม่ออกจากกรุงเบ็คลันด์ เขาคงพุ่งความสนใจมาที่ตัวเราเป็นพิเศษ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ชายคนนั้นทราบอยู่แล้วว่าดอน·ดันเตสไม่ปรกติ…


ในฐานะเทวทูตของเส้นทางนักจารกรรม คุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดน่าจะสัมผัสได้ว่า สายหมอกรอบๆ ตัวเราเกี่ยวข้องกับเส้นทางนักทำนาย และลำดับ 0 ของเส้นทางมีชื่อว่าเดอะฟูล…


ด้วยเหตุนี้ พวกเราสามารถเชื่อมโยงเราเข้ากับศาสนาที่นับถือเดอะฟูลซึ่งมีข่าวลือแพร่กระจายมาสักพัก… คงคิดว่าเราคือหนึ่งในสมาชิกขององค์กรลับดังกล่าว และถ้าสืบสวนขยายผลจากมุมนี้ เขาก็จะพบความเกี่ยวข้องระหว่างคดีลาเนวุสและจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดซึ่งใช้ไพ่ทาโรต์ประกอบฉาก…


เมื่อผนวกกับเบาะแสของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่เราจงใจทิ้งไว้ เข้ากับเรื่องที่เลียวนาร์ดเคยสืบสวนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้มาก่อน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน…


และการปลอมตัวของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ในช่วงแรกก็มิได้ยอดเยี่ยมอะไร ขอเพียงเลียวนาร์ดเอะใจและฉุกคิด คงพบได้ไม่ยากว่ามีหน้าตาละม้ายคล้ายอดีตเพื่อนร่วมงาน และเป็นเหตุผลที่เขาเดินทางกลับไปยังทิงเก็นเพื่อขุดสุสาน?


ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์พยุงตัวนั่งพลางยกหมอนขึ้นมาพิงหลัง ภายในใจเชื่อว่าตนพบคำตอบของความฝันเมื่อครู่แล้ว


ชายหนุ่มวิเคราะห์อย่างรอบคอบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ และควรละทิ้งตัวตนดอน·ดันเตสหรือไม่


เลียวนาร์ดไม่สามารถเล่าข้อสันนิษฐานนี้ให้เพื่อนร่วมงานฟังได้ ติดตรงประเด็นที่ตนเคยพบว่าดอน·ดันเตสเป็นตัวปัญหา เพราะนั่นจะเท่ากับเป็นการเปิดเผยความลับของปรสิตในร่างตัวเอง…


จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เราเคยรู้จักกับเลียวนาร์ด เขาจะทำให้เพื่อนร่วมงานเชื่อทฤษฎีของตัวเองด้วยการรวบรวมหลักฐานอ้อมๆ จำนวนมากมายืนยัน นั่นคือความยุ่งยากและสิ้นเปลืองเวลา ก่อนที่เขาจะทำสำเร็จ เราต้องออกปากตักเตือนโดยตรง บอกให้ล้มเลิกความคิดดังกล่าวเสีย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด โบสถ์รัตติกาลไม่ได้เสียหายแม้แต่น้อยจากเหตุการณ์ล่าสุด ไม่มีใครตายไปแม้แต่คนเดียว…


อา… สำหรับดอน·ดันเตส ตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา เราอาศัยเวลาว่างคอยสร้างเบาะแสปลอมๆ ของเศรษฐีลึกลับรายนี้บนทวีปใต้ ช่วยตัวตนมีมิติและสมจริงมากขึ้น… ที่นั่นเป็นเขตปกครองของอินทิส ยากจะตรวจสอบยืนยันข้อมูล…


กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่างมากเลียวนาร์ดก็สรุปได้แค่ว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือคนเดียวกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ คือคนเดียวกับไคลน์·โมเร็ตติซึ่งเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดกับดอน·ดันเตส เป็นสมาชิกขององค์กรลับที่ศรัทธาเดอะฟูลเหมือนๆ กัน


หึหึ… ในสายตาของเขา ดอน·ดันเตสคือชายลึกลับและทรงพลังที่สามารถหยั่งถึงคุณปู่ปรสิตในตัวได้โดยตรง เป็นครึ่งเทพที่น่าหวั่นเกรง แตกต่างจากตัวตนอื่นๆ อย่างชัดเจน…


ไคลน์หาวิธีรับมือเลียวนาร์ดได้ไม่ยากเย็น จึงเปลี่ยนกลับมาไตร่ตรองข้อเสนอของพันเอกคาลวิน


ทำไมเขาถึงมั่นใจให้เราทำธุรกิจค้าอาวุธเถื่อน?


เราเพิ่งสนิทกับส.ส. มัคท์และยังไม่ถูกทดสอบ ยังไม่ใช่คนที่เชื่อใจได้ขนาดนั้น…


หรือนี่คือบททดสอบ?


อาวุธชุดแรกเป็นแค่ปืนไรเฟิลและปืนใหญ่ อาจมีปริมาณไม่มาก หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธระดับสูง เหนือสิ่งอื่นใด ฝ่ายที่ต้องออกเงินก่อนคือเรา ถ้าเราทำตัวมีปัญหา พวกมันก็แทบไม่สูญเสีย… ปัญหาเดียวก็คือ อาวุธปริมาณเล็กๆ จะย้อนกลับมาเล่นงานในสนามรบที่พวกมันดูแล…


อา… ในสายตาพวกมัน ตัวเราที่มีประสบการณ์ทวีปใต้โชกโชน เหมาะอย่างมากกับหน้าที่นี้… ประการแรก เราร่ำรวยและสามารถจ่ายก่อนได้ ประการที่สอง เรากล้าเสี่ยงอันตราย ประการที่สาม เรามีเส้นสายและรู้จักคนท้องถิ่น สามารถปล่อยสินค้าได้ง่าย ประการที่สี่ เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลใหญ่ของอาณาจักร สามารถใช้เป็นแพะรับบาปได้ทันทีในกรณีที่มีปัญหา…


พวกมันคงส่งคนมาคอยจับตามองเรา… หากธุรกิจนี้ราบรื่น เราจะกลายเป็นหุ้นส่วนกับกองทัพทันที… ช่วยให้สืบสวนหาความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันได้ง่าย…


ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้านและชนพื้นเมืองของไบลัมตะวันตกเลย… แถมยังไม่รู้ว่าตอนนี้แอนเดอร์สันอยู่ที่ไหน และไม่มีช่องทางติดต่อ…


จริงสิ เดนิสคงมีข้อมูลของไบลัมตะวันตก… มาดามเฮอร์มิทก็ด้วย รวมถึงราชินีเงื่อนงำที่อยู่เบื้องหลังเธอ… ดีล่ะ คงต้องรวบรวมข่าวสารจากทางนี้ก่อน…


เมื่อวางแผนเสร็จ สติไคลน์ค่อยๆ เลือนราง อาการง่วงนอนครอบงำร่างกายอีกครั้ง ชายหนุ่มปล่อยตัวปล่อยใจให้หลับใหลภายใต้ผ้าห่มผืนหนา



ภายในชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล เลียวนาร์ดที่เดินทางกลับจากทิงเก็น มาทันการประชุมของหน่วย


ก่อนอื่น โซสต์แจ้งข้อสรุปของอาร์ชบิชอปและผลการสืบสวนของเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นในพื้นที่อื่น


“ด้วยความช่วยเหลือของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านเจ้าคุณแอนโทนีสามารถยืนยันได้ว่า ผู้บุกรุกคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ และข้อสรุปในปัจจุบันก็คือ คนร้ายเสียสติรายนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้… ผลลัพธ์ดังกล่าวฟังดูขัดแย้งในตัวเองมาก ผมเองก็ยังไม่เข้าใจความหมายสักเท่าไร และท่านเจ้าคุณก็มิได้อธิบาย… สรุปโดยสั้น แนวทางการสืบสวนของพวกเราหลังจากนี้จะมุ่งหน้าไปที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยสมบูรณ์… และจากข้อมูลของ MI9 ตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นชื่อปลอมที่มีต้นกำเนิดจากเบ็คลันด์”


หลังจากโซสต์สรุป มันถามอย่างไม่เจาะจง


“มีใครอยากเสริมอะไรไหม?”


เลียวนาร์ดอ้าปากเตรียมพูด แต่ดวงตาของมันกะพริบสองครั้งถี่ๆ ก่อนจะปิดปากเงียบ


โซสต์หันมามองพร้อมกับเรียกชื่อ


“เลียวนาร์ด คุณพบเบาะแสอะไรบ้างไหม?”


เลียวนาร์ดเงียบงันสักพัก ยักไหล่ตอบ


“เบาะแสที่ผมเจอถูกกาทิ้งไปแล้ว”


โซสต์ไม่ถามต่อ เพียงหันไปมองสมาชิกคนอื่น


หลังจากได้รับข้อมูลและระดมสมองวิเคราะห์ มันเริ่มมอบหมายงานให้ถุงมือแดงแต่ละคน


รอจนกระทั่งแบ่งงานเสร็จ เลียวนาร์ด·มิเชลเดินออกจากห้องพลางถือรายชื่อของบุคคลที่ตนต้องเข้าฝัน ตรงกลับไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบน นั่งลงบนขอบเตียง


หลังจากนั่งนิ่งเป็นเวลานาน เลียวนาร์ดใช้มือจัดแต่งทรงผม เตรียมเริ่มปฏิบัติการ


ทว่า เป้าหมายแรกที่มันจะเข้าฝันมิได้อยู่ในรายชื่อตามเอกสาร


หากแต่เป็นดอน·ดันเตส!


หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันตัดสินใจไปคุยกับสัตว์ประหลาดจากยุคสมัยที่สี่ซึ่งสังกัดองค์กรลับรายนี้ตัวต่อตัว ดูว่าตนจะได้ข้อมูลที่สำคัญอะไรบ้าง


การกระทำเช่นนี้อาจฟังดูบ้าบิ่น แต่เมื่อคำนึงว่าต่างฝ่ายต่างซ่อนความลับของกันและกัน วิธีนี้ก็ถือว่าไม่เลว



บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน สติไคลน์ซึ่งกำลังล่องลอยพลันคมชัด ช่วยให้มันทราบทันทีว่ามีคนบุกรุกความฝัน


ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้เอนหลังด้วยสีหน้าครุ่นคิด มองตรงไปทางระเบียบใหญ่ จนกระทั่งเห็นชายเจ้าของดวงตาสีเขียว ผมสีดำ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำกระโดดขึ้นมา ไม่ใช่ใครนอกจากเลียวนาร์ด·มิเชล


เรายังไม่ทันจะไปหา เขาก็มาหาด้วยตัวเอง… เหยี่ยวราตรีคนอื่นมักเคาะประตูห้องอย่างสุภาพ แต่หมอนี่กระโดดขึ้นมาทางระเบียง… ไคลน์นั่งมองนักกวีอดีตเพื่อนร่วมงานค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้


ขณะเดียวกัน ในการมองเห็นของเลียวนาร์ด ดอน·ดันเตสยังคงสวมชุดออกงานสุภาพเรียบร้อย จอนสีขาวแซม โครงหน้าทำมุมเข้ารูป มีเสน่ห์เหนือคำบรรยาย


ทันใดนั้น มุมปากของเศรษฐีลึกลับยกโค้งขึ้น ไม่ปิดบังเรื่องที่ตนมีสติคมชัดในความฝัน เรื่องที่ตนไม่ได้รับอิทธิพลจากพลังของฝันร้ายแห่งเส้นทางรัตติกาล


“พาลีส·โซโรอาสเตอร์มิได้สอนมารยาทคุณเลยหรือ” ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าให้ตรงตามสิ่งที่เลียวนาร์ดจินตนาการเกี่ยวกับตน


พาลีส·โซโรอาสเตอร์… เขาตักเตือนแกมขู่เราอีกแล้ว… เลียวนาร์ดผงะพร้อมกับจำชื่อ


มันรีบปรับเปลี่ยนท่าทางพลางโค้งศีรษะ ท่าทีเป็นไปอย่างแข็งกระด้าง


“ขออภัยที่ต้องเข้ามาขัดจังหวะ แต่คุณอยู่ในรายชื่อสอบปากคำของเรา… การลอบแทรกซึมที่เกิดขึ้น คือเหตุผลหลักที่พวกคุณย้ายเข้ามาอาศัยในกรุงเบ็คลันด์?”


“ผิดแล้ว” ไคลน์ในร่างดอน·ดันเตสหยิบไวน์แดงด้านข้างขึ้นมาจิบ “ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นเขาคนเดียว”


มันแสร้งทำเป็นไม่กลัวว่าเลียวนาร์ดจะทราบข้อมูล


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?” เลียวนาร์ดถามเสียงต่ำ


ไคลน์จ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่ราวกับผ่านโลกมานาน


“ยังต้องสงสัยอีกหรือ?”


“จุดประสงค์คืออะไรกันแน่? เขาไม่ได้ขโมยอะไรไปเลย…” เลียวนาร์ดถือโอกาสถาม


ไคลน์ยกมือขึ้นมาลูบจอนสีขาว หัวเราะในลำคอ


“คิดว่ายังไงล่ะ?”


ราชันเร้นลับ 853 : ความแตกต่างของชั้นเชิงวาทศิลป์

คิดว่ายังไง? ถ้าฉันรู้คำตอบคงไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่ คงหาโอกาสรายงานเบื้องบนอย่างอ้อมๆ ไปแล้ว! เลียวนาร์ดพึมพำเงียบพลางพิจารณาคำตอบ


ระหว่างนี้ มันพบว่าแม้ตนจะกำลังยืนก้มมองดอน·ดันเตสบนเก้าอี้เอนหลัง แต่อีกฝ่ายกลับแผ่ออร่าของผู้ที่เหนือกว่าออกมาอย่างชัดเจน ราวกับหัวหน้านั่งฟังรายงานจากลูกน้อง


สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เลียวนาร์ดเกิดความกระอักกระอ่วน เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อเลื่อนเก้าอี้มานั่งเอนหลัง กึ่งสร้างความผ่อนคลายกึ่งจงใจรักษามาด


“ผมคิดว่าเขา… หรือพวกคุณ… กำลังมองหาบางสิ่ง… ย้อนกลับไปสมัยยังอยู่ทิงเก็น เขาเคยแทรกซึมเข้ามาในหน่วยเหยี่ยวราตรีเพื่อค้นหาบางสิ่ง และที่นี่ กรุงเบ็คลันด์ เขาได้แทรกซึมเข้าไปประตูยานิสเพื่อตามหาสิ่งนั้น! ในครั้งแรก เขาไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงอาศัยการบุกจู่โจมของอินซ์·แซงวีลล์เพื่อทำเป็นแกล้งตายและหลบหนีออกมา… ครั้งที่สอง เขาก็ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงออกจากประตูยานิสมาโดยมิได้แตะต้องสิ่งใด!”


ประโยคของเลียวนาร์ดอัดแน่นไปด้วยน้ำเสียงคุกคาม จงใจสื่อให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตนค้นพบความจริงเบื้องหลังเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ และไคลน์·โมเร็ตติ หวังสร้างบรรยากาศกดขี่มิให้ดอน·ดันเตสทำตัวตามสบายและเล่นลิ้น


อย่างที่คิด เขากลับไปขุดหลุมศพเรา… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบสบายๆ


“หลังจากล้มเหลวในครั้งแรก คุณคิดว่าพวกเราจะไม่สืบข้อมูลจนมั่นใจก่อนลงมือหรือ? ก็อย่างที่ทราบ ภารกิจแบบนี้มีโอกาสทำเพียงครั้งเดียว หากล้มเหลวก็หมดสิทธิ์แก้ตัว… ดังนั้น ในสถานการณ์ที่เป้าหมายไม่ชัดเจน ใครจะโง่พอที่จะลงมือ?”


เขาไม่ปฏิเสธคำพูดเรา ยอมรับโดยนัยว่าไคลน์·โมเร็ตติคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ คือจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดผู้สังกัดองค์กรลับที่ศรัทธาในเดอะฟูล… เลียวนาร์ดพยายามไม่ขมวดคิ้ว เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างขวาทับซ้าย


“หมายความว่า ไม่ใช่หาสิ่งที่ต้องการไม่พบ แต่เกิดความล้มเหลวเนื่องจากปัจจัยภายนอก? ในสองปฏิบัติการที่ผ่านมา มีวัตถุเพียงสองชิ้นที่เหมือนกันระหว่างวิหารพระแม่เซเลน่าและวิหารนักบุญแซมมวล: สมบัติปิดผนึก 2-049 และสมุดบันทึกของตระกูลอันทีโกนัส… สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส… ต้องใช่แน่… ไคลน์·โมเร็ตติเข้าร่วมเหยี่ยวราตรีเพราะสิ่งนี้!”


แม้กระบวนการอนุมานจะผิดไปไกล แต่คำตอบกลับออกมาถูก… ไคลน์หัวเราะในลำคอพร้อมกับตอบ


“สมองมีไว้แค่คั่นหูเท่านั้นหรือ… หากจุดประสงค์ของเขาคือสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจริง มีโอกาสมากมายที่เขาจะชิงไปก่อนที่เหยี่ยวราตรีจะได้ครอบครองมัน… และถึงแม้จะอยู่ในมือพวกคุณ เขาก็ยังมีโอกาสมากมายให้ช่วงชิงกลับมาครอง สำหรับรายละเอียดเชิงลึก คุณน่าจะรู้ดีกว่าผมกระมัง… และถ้าในเมื่อเป้าหมายคือสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจริง ทำไมเขาถึงไม่ช่วงชิงออกมาทั้งๆ ที่มันถูกเก็บอยู่ข้างใน?”


เลียวนาร์ด·มิเชลที่ถูกเย้ยหยัน พลันตระหนักว่าทฤษฎีที่ตนคิดขึ้นมาได้กะทันหันเต็มไปด้วยช่องโหว่และความขัดแย้ง ภายในใจจึงเกิดความละอายผสมโกรธ


มันสูดลมหายใจเข้าออก


“แล้วทำไมถึงพยายามแทรกซึมประตูยานิสสองครั้งสองครา แถมคราวนี้ไม่เพียงจะไม่ได้อะไรกลับไป ไม่ทิ้งอะไรไว้ แต่ยังเข้าสู่สภาวะแปลกประหลาด”


เลียวนาร์ดกล่าวจบ มันเห็นดอน·ดันเตสเจ้าของจอนสีขาวเผยรอยยิ้มลุ่มลึก


“สำหรับอย่างหลัง ผมเองก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน บางทีคุณควรลองถามเทพธิดารัตติกาลดูนะ”


เทพธิดา… เขากำลังพูดเรื่องอะไร? เลียวนาร์ดผุดความประหลาดใจทันที มิอาจจินตนาการได้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นในประตูยานิส


ถัดมา มันได้ยินดอน·ดันเตสหัวเราะและพูด


“สำหรับคำถามแรก ผมว่าคุณกำลังเข้าใจบางสิ่งผิดไปถนัด… สมาชิกขององค์กรเรามาจากร้อยพ่อพันแม่ เข้าร่วมองค์กรด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่าง ก่อนหน้านั้นใครจะมีความเชื่ออย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร นั่นไม่เกี่ยวกับพวกเรา… เฉกเช่นผมที่มีทั้งอดีตและปัจจุบัน จุดประสงค์ที่ผมเดินทางมายังเบ็คลันด์ ก็เหมือนกับนามสกุลที่มอบให้ตัวเอง”


ดันเตส…นิยาย ‘การกลับมาของเอิร์ล’ … เขาเข้าร่วมองค์กรลับที่ศรัทธาเดอะฟูลเพื่อกลับมายังเบ็คลันด์และแก้แค้น? เลียวนาร์ดพยักหน้าพลางครุ่นคิด


ไคลน์เว้นวรรคสองสามวินาที จิบไวน์แดง ก่อนจะยิ้มและเล่าต่อ


“เขาก็เช่นกัน… ชายผู้คืนชีพจากคำสาปของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส… เขาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราเพื่อแก้แค้น”


ไคลน์จงใจเอ่ยถึงนามสกุลดันเตส เอ่ยถึงการแก้แค้น เพื่อแยกดอน·ดันเตสออกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์และไคลน์·โมเร็ตติ ด้วยกังวลว่าเลียวนาร์ดอาจค้นพบความผิดปรกติในอนาคต และจับทั้งสามคนเชื่อมโยงเป็นคนเดียว


มันชักนำบทสนทนาให้ผู้ฟังถูกโน้มน้าวโดยไม่รู้ตัว หลงเชื่อว่าดอน·ดันเตสไม่เกี่ยวข้องกับไคลน์·โมเร็ตติ สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือการแก้แค้น เพราะโลกนี้มิได้มีผู้เคียดแค้นเพียงสองคน


เลียวนาร์ดวางขาที่ไขว้หางลงโดยไม่รู้ตัว โน้มร่างกายท่อนบนมาด้านหน้าเล็กน้อย


“แก้แค้น? เขาต้องการแก้แค้นใคร?”


เมื่อถามจบ สุภาพบุรุษวัยกลางคนมาดสง่างามและภูมิฐานตรงหน้า เผยรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างมีเลศนัย


“ลาเนวุส แล้วก็… อินซ์·แซงวีลล์”


“อินซ์·แซงวีลล์…” เลียวนาร์ดโพล่งขึ้นและพึมพำคำเดิมสักพัก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว ไม่กล่าวคำใดออกมาเป็นเวลานาน


ดวงตาของมันมองตรงแต่ไม่จดจ่อ ไม่มีใครทราบว่ากำลังคิดสิ่งใด


ฟู่ว… หลังจากเงียบงันสักพัก เลียวนาร์ดคลายกำปั้นพลางถอนหายใจ


มันถามด้วยเสียงแหบพร่า


“ลาเนวุสถูกเขาฆ่าใช่ไหม”


“ถูกต้อง” ไคลน์แอบถอนหายใจ ตอบเยือกเย็น


เลียวนาร์ดอ้าปาก คล้ายกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากแน่น


เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายบรรลุจุดประสงค์ในการมาที่นี่ ไคลน์หัวเราะในลำคอพลางเปลี่ยนบทสนทนา


“หากคุณมีจุดประสงค์ที่คล้ายคลึงกัน หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้ทุกเมื่อ บางทีท่านอาจยอมตอบสนอง”


ท่าน… ตัวตนลึกลับในเงามืดนามว่าเดอะฟูล? เลียวนาร์ดเชื่อว่าดอน·ดันเตสเป็นพวกชอบเผยแผ่ศาสนา พยายามชักชวนคนส่งเดชเป็นนิสัย จึงไม่ได้เก็บเอาไปใส่ใจ เพียงตอบสนองด้วยความเงียบ


ไคลน์หันไปยิ้มและพูด


“แล้วก็ ฝากคำพูดไปถึงพาลีส·โซโรอาสเตอร์ด้วยว่า สมาชิกองค์กรคนหนึ่งของเรา เผชิญหน้ากับผู้เย้ยเทพอามุนด์ในดินแดนเทพทอดทิ้ง”


ประโยคเมื่อครู่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลจนเลียวนาร์ดทำตัวไม่ถูกไปสักพัก เสียงของชายวัยกลางคนดังกังวานในหัว


ดินแดนเทพทอดทิ้ง? ดินแดนที่ถูกเทพทอดทิ้งซึ่งแม้แต่เจ็ดเทพจารีตก็ยังหาไม่พบ แต่หนึ่งในสมาชิกขององค์กรพวกเขากลับผ่านเข้าออกดินแดนเทพทอดทิ้งได้!


ผู้เย้ยเทพอามุนด์… ตาแก่เคยเล่าว่า เขากำลังหลบหนีจากคนที่มีนามสกุลว่าอามุนด์… ถูกอีกฝ่ายโจมตีจนบาดเจ็บหนักและทำได้เพียงฝังตัวเป็นปรสิตในร่างมนุษย์…


น้ำเสียงและท่าทางของดอน·ดันเตสบ่งบอกว่าชายคนนี้คือสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตรอดมาจากยุคสมัยที่สี่ แถมยังมีฝีมือทัดเทียมระดับเดียวกับตาแก่… ต่อหน้าเขา เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ำต้อย ไม่หลงเหลือความมั่นใจในตัวเอง…


ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน เลียวนาร์ดพยักหน้า


“ผมจะไปบอกเขาให้”


อา ดูเหมือนว่าในตอนที่เลียวนาร์ดเข้าฝันคนอื่น ชายชราในตัวจะไม่ได้ยินหรือเห็นในสิ่งเดียวกัน ไม่อย่างนั้น หลังจากได้ยินชื่อ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ก็ควรแสดงปฏิกิริยาที่ผิดปรกติออกมา… สอดคล้องกับคำพูดของ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินที่เคยกล่าวไว้ว่า: เว้นเสียแต่นักกวีอดีตเพื่อนร่วมงานของเราจะตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง คุณปู่ในตัวจึงจะแสดงอาการผิดปรกติและลงมือกระทำบางสิ่ง… เยี่ยม หมายความว่าเขาไม่ใช่ ‘ปรสิตแบบสมบูรณ์’ … ไคลน์ตีความข้อมูลจากเบาะแสที่พบ ก่อนจะเผยรอยยิ้ม


“เชิญกลับไปได้ และไม่ต้องกังวล เป้าหมายของผมไม่ใช่โบสถ์รัตติกาล”


ตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่… ไคลน์เสริมเงียบ


เลียวนาร์ดที่ได้รับข้อมูลเพียงพอ ตัดสินใจไม่แช่อยู่นาน ลุกขึ้นจากเก้าอี้และโค้งศีรษะทักทาย


จากนั้นก็ออกจากความฝันของดอน·ดันเตส



ภายในห้องริมถนนด้านหลังวิหารนักบุญแซมมวล เลียวนาร์ดตื่นขึ้นพร้อมกับได้ยินเสียงค่อนข้างชราของปรสิตในร่างกาย


“เขาพูดว่าอะไรบ้าง?”


เลียวนาร์ดเรียบเรียงคำพูด


“เขายอมรับตรงๆ ว่าเป็นสมาชิกขององค์กรลับที่ศรัทธาเดอะฟูล ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าไคลน์·โมเร็ตติคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์… เป้าหมายของพวกเขาคือการแก้แค้น… เป็นแค้นของแต่ละคน”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบงันสักพัก


“เขาได้พูดไหมว่าทำไมไคลน์·โมเร็ตติถึงคืนชีพได้? หรือใช้วิธีใดในการแกล้งตายอย่างสมจริงจนน่าเหลือเชื่อ”


เลียวนาร์ดนึกทบทวนสักพัก


“เขาอธิบายว่าเป็นคำสาปจากสมุดบันทึกของตระกูลอันทีโกนัส”


คำสาป… ทันใดนั้น เลียวนาร์ดเพิ่งฉุกคิดได้ว่า ดอน·ดันเตสเลือกใช้คำค่อนข้างแปลก


เหตุใดพลังที่ช่วยให้คืนชีพอีกครั้ง ถึงถูกเรียกว่าเป็นคำสาป!


พาลีส·โซโรอาสเตอร์มิได้สงสัยในประเด็นดังกล่าว เพียงถามหลังจากเว้นวรรคครู่หนึ่ง


“เขาพูดอะไรอีก?”


เลียวนาร์ดไม่ปิดบัง เล่าตรงไปตรงมา


“เขาเอ่ยถึงผู้เย้ยเทพอามุนด์ ระบุว่าสมาชิกคนหนึ่งขององค์กรได้เผชิญหน้ากับอามุนด์ในดินแดนเทพทอดทิ้ง… ตาแก่ นี่ใช่อามุนด์เดียวกับที่คุณเคยพูดถึงไหม?”


เสียงในใจเงียบงันเป็นเวลานานก่อนจะตอบ


“คงใช่”


มันเว้นวรรคเล็กน้อย


“ข้าเชื่อว่าดอน·ดันเตส… ไม่สิ เดอะฟูลผู้อยู่เบื้องหลังเขา อาจเป็นหนึ่งในสหายเก่าแก่ของข้า”


ตาแก่คิดว่าตนอยู่ระดับเหนือกว่าดอน·ดันเตสหนึ่งขั้น หรืออาจจะมากกว่านั้น… เขาเป็นเทวทูตเดินดิน? เลียวนาร์ดครุ่นคิด


“เพื่อนเก่าคนไหน?”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์ไม่ตอบ แต่ย้อนถาม


“เจ้ามีความคิดจะเปิดโปงเรื่องของดอน·ดันเตสกับไคลน์·โมเร็ตติไหม?”


เลียวนาร์ดเงียบงันราวสิบวินาที ตามด้วยตอบเสียงแผ่ว


“ตอนนี้ยัง… บางที ผมกับเขาอาจได้ร่วมมือกัน… และทางศาสนจักรก็มิได้เกิดความสูญเสียใดจากเหตุการณ์ครั้งนี้”


ปรสิตในร่างกายมิได้กล่าวสิ่งใดต่อ คล้ายกับหลับไปแล้ว


เลียวนาร์ดเงยศีรษะขึ้นอย่างไม่รีบร้อน นั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับคดีที่เกี่ยวข้องสักพักจึงพึมพำกับตัวเอง


“เขาทิ้งเราไม่เห็นฝุ่น…”


ราชันเร้นลับ 854 : คำสารภาพ

เช้าตรู่ ณ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน


หลังจากลุกขึ้นและล้างหน้าล้างตา ไคลน์ไม่รีบร้อนเปิดประตูห้องออกไป แต่เลือกจะถอยหลังสี่ก้าวเพื่อส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทา


จากนั้นก็เสกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ขึ้นมาสวดวิงวอนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“มิสเตอร์ฟูลผู้หญิงใหญ่ กรุณาส่งข้อความไปถึงเดนิส… ผมต้องการให้เขาบอกข้อมูลเกี่ยวกับไบลัมตะวันตก ถ้ามีเครือข่ายหรือเส้นสายให้ติดต่อด้วยจะดีมาก… นอกจากนั้น บอกให้เขาระวังคนของโบสถ์รัตติกาลให้ดี”



บนฝันทองคำ เดนิสที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ก่อนเบ็คลันด์ กำลังนั่งในมุมมืด หลีกเลี่ยงการถูกแผดเผาโดยความร้อน


อีกสิบห้านาทีจะถึงคาบเรียน… กัปตันบอกว่านักล่าสมบัติที่ดีควรต้องเก่งคณิตศาสตร์… เฮ่อ ฟังดูน่าปวดหัวชะมัด แต่ขณะเดียวกันก็น่าสนใจ… แม่เย็*! เดนิสใช้มือข้างหนึ่งวางบนเข่า อีกข้างกระดกเบียร์


ทันใดนั้น สายหมอกสีเทาสุดลูกหูลูกตาพลันปกคลุมทัศนียภาพ เดนิสมองเห็นร่างของบุคคลที่กำลังมองทุกสิ่งลงมาจากด้านบนอย่างองอาจ ตามด้วยเสียงสวดวิงวอนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ข้อมูลของไบลัมตะวันตก? แม้เราจะเคยแวะไปตามหาสมบัติโบราณและมีโอกาสได้รู้จักชนพื้นเมืองสองสามเผ่า แต่ก็ไม่มากไปน้อยไปกว่านั้น…. เฮ่อ ต้องเสียเวลาไปสำรวจให้อีกแล้ว? ทำไมถึงชอบเข้าไปพัวพันกับเรื่องยากๆ นัก! เดนิสบนในใจพลางเหลียวซ้ายแลขวา กังวลว่านักผจญภัยเสียสติจะโผล่ออกมาจากความมืด


หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกเชื่องช้า มันพบว่าตนต้องทำงานหนักเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น จะได้ไม่เป็นภาระในยามที่กัปตันเผชิญหน้ากับอันตราย เดนิสตบหน้าตัวเองหลายฉาดด้วยมือข้างที่ว่างอยู่ ก่อนจะพยุงตัวลุกยืน


มันเดินออกจากมุมมืดและมองหา ‘กายาเหล็ก’ กับ ‘ถังไม้’ เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับไบลัมตะวันตก รวมถึงถามว่าใครพอจะมีเส้นสายที่สามารถติดต่อได้ที่นั่น เดนิสได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันจากทั้งสองคน


“กัปตันเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด หรือไม่ก็แอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่เคยมาร่วมงานเลี้ยงกองไฟ”


ถ้าถามกัปตันตรงๆ เธอต้องสงสัยแน่ว่าเราแอบทำงานให้องค์กรลับอื่น… แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าแอนเดอร์สันอยู่ที่ไหน… แม่เย็*! เดนิสตัดสินใจไม่ถูก ทำได้เพียงย้อนกลับมาครุ่นคิดเกี่ยวกับคำเตือนจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ระวังคนจากโบสถ์รัตติกาลให้ดี!”


เดนิสไม่ได้โง่ มันทราบว่าควรใส่ใจคำเตือนของนักผจญภัยเสียสติให้มาก ดังนั้นจึงหมายความว่า ตอนนี้ตนน่าจะตกเป็นเป้าการถูกไล่ล่าจากโบสถ์รัตติกาลเต็มตัว ถูกหมายหัวจากถุงมือแดง!


นอกจากโบสถ์รัตติกาล โบสถ์วายุสลาตันและกองทัพเองก็กำลังส่งคนมาตามล่าเรา… เดนิสครุ่นคิดด้วยหัวใจสั่นคลอน


มันเผยสีหน้าขื่นขมพลางกระซิบกระซาบกับตัวเอง


“แต่เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ…”



หลังจากถ่ายทอดคำพูดเกี่ยวกับไบลัมตะวันตกให้ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา ไคลน์ออกจากมิติเหนือสายหมอก กลับมายังโลกความจริงและทำตามกิจวัตรประจำวัน ลงไปกินอาหารเช้าและเข้าเรียนคาบสอนพิเศษ


หลังตื่นจากงีบในช่วงบ่าย ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดสุภาพโดยมีบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันคอยช่วยเหลือ เดินลงไปขึ้นรถม้าที่จอดรอหน้าประตู


“ไปวิหารนักบุญแซมมวล” ไคลน์เอนหลังพิงผนังพลางออกคำสั่ง


ชายหนุ่มคิดว่าตนควรรักษาเอกลักษณ์ของดอน·ดันเตสไว้ จึงเป็นการดีกว่าหากกิจวัตรของเศรษฐีลึกลับยังคงเดิม ความถี่ในการแวะไปเยี่ยมวิหารและการบริจาคต้องไม่ลดลง


นอกจากนั้น การทำเช่นนี้ยังช่วยขจัดความสงสัยที่ทุกคนมีต่อดอน·ดันเตส เพราะท้ายที่สุดแล้ว คงไม่มีใครคิดว่า ‘คนร้าย’ ที่ลักลอบเข้าไปในประตูยานิส นอกจากจะไม่หลบหนี แต่ยังย้อนกลับสวดมนต์ที่วิหารอีกครั้งอย่างสบายใจ… ต้องขอบคุณจักรพรรดิโรซายล์ที่มิได้คัดลอกนิยายสืบสวนสอบสวนชื่อดังบางเรื่อง ขอบคุณที่ไม่เขียนให้คนร้ายมีไอคิวสูงและชอบกลับมายังจุดเกิดเหตุเพื่อชื่นชมผลงานตัวเองพลางเฝ้ามองสีหน้าแสนสิ้นหวังของผู้คน… ไคลน์รำพันเงียบ รับชาดำที่ริชาร์ดสันส่งให้ขึ้นมาจิบ


หลังจากทำให้ลำคอชุ่มฉ่ำ ชายหนุ่มชำเลืองไปทางบุรุษรับใช้ ซักถามโดยไม่มองหน้า


“ความประทับใจที่มีต่อไบลัมตะวันตกคืออะไร”


ริชาร์ดสันด้านข้างมิได้ถามถึงเหตุผล เพียงครุ่นคิดและมอบคำตอบ


“ไบลัมตะวันออกปลอดภัยกว่า… ตะวันตกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย”


ตอบเสร็จ ริชาร์ดสันหันไปมองนายจ้างและพบว่า เศรษฐีรายนี้กำลังเอนหลังพิงพนักพลางหลับตาลงครึ่งหนึ่ง นัยว่าให้ตนเล่าต่อ


ริชาร์ดสันเกาหูพลางเรียบเรียงคำพูด


“นอกจากนั้น ความยากจน ความหิว และการทุบตีสามารถพบเห็นได้ทั่วไป… ต้องไม่ลืมว่า ชาวไบลัมดั้งเดิมเคยนับถือเทพมรณา จนกระทั่งในภายหลังมีการเผยแผ่ศาสนาจากสุริยันเจิดจรัส วายุสลาตัน และเทพธิดารัตติกาล ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด บางคนได้รับการคุ้มครองจากศาสนจักร บางคนมีสถานะทางสังคมสูงขึ้น ส่งผลให้หลายต่อหลายคนตัดสินใจเปลี่ยนศาสนา… ทว่า เมื่อจำนวนของผู้เปลี่ยนศาสนาเพิ่มขึ้น สถานะทางสังคมที่เคยพิเศษก็ไม่พิเศษอีกต่อไป หลายคนจึงแอบกลับไปนับถือเทพมรณาตามเดิม… สถานการณ์แบบนี้เข้าทางกลุ่มต่อต้านในไบลัมตะวันตก เพราะยิ่งความวุ่นวายเพิ่มมากเท่าใด ลูกหลานของเทพมรณาก็ยิ่งได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า… นี่คือสิ่งที่พ่อของผมมักเล่าให้ฟังตอนเมา”


ไคลน์ฟังอย่างเงียบงัน ไม่มีการพูดแทรก ไม่มีการถามซักไซ้


เพียงไม่นาน รถม้าเล่นมาถึงด้านนอกวิหารนักบุญแซมมวล ไคลน์ยืนชื่นชมนกพิราบสีขาวบนจัตุรัสสักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปในโถงสวดมนต์ใหญ่ ถอดหมวกและไม้ค้ำส่งให้ริชาร์ดสันด้านข้าง


ชายหนุ่มสุ่มเลือกที่นั่ง มองไปยังแท่นบูชาซึ่งอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมมืดสลัว มองไปยัง ‘แสงดาว’ และตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด ทันใดนั้น ภายในใจเกิดความกังวล ลำบากใจ และขาดความมั่นใจที่ยากอธิบาย


ถ้ามันเดาไม่ผิด นับตั้งแต่สัมผัสกับดาบศักดิ์สิทธิ์และลั่นวาจาสาบาน ตนก็ถูกเทพธิดาจับตามองมาตลอด เช่นนั้นแล้ว การแสร้งสวดวิงวอนทุกครั้งที่เข้ามาในวิหารจึงทำให้มันเกิดความกระอักกระอ่วน แต่ก็ต้องตีหน้าซื่อต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก


เราไม่มีทางเดาได้ว่าเทพธิดามีท่าทีเช่นไรกับเรื่องนี้… รวมถึงจุดยืนของทางโบสถ์… ดีล่ะ คงต้องลองทดสอบดู… ไคลน์นำมือขึ้นมาประสานใต้ริมฝีปาก ดูคล้ายกำลังสวดวิงวอนอย่างเคร่งครัด


ผ่านไปเจ็ดแปดนาที ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่กล่องบริจาค หยิบธนบัตรห้าสิบปอนด์ออกมาหย่อนอย่างสำรวม


จัดการเสร็จ ไคลน์หันหน้าและเดินไปยังห้องสารภาพบาปด้านข้าง ผลักประตูเปิดและเข้าไปนั่ง


แตกต่างจากตู้สารภาพบาปแบบเก่าที่มักเป็นตู้ไม้ขนาดใหญ่ซึ่งมีประตูสองบาน ห้องสารภาพบาปสมัยใหม่จะถูกแบ่งเป็นสัดส่วนกว้างขวางมากขึ้น ผู้สารภาพและบิชอปยังคงคั่นด้วยแผ่นไม้กระดาน แต่ที่นั่งของแต่ละฝั่งจะสะดวกสบายมากกว่าเมื่อก่อน


ไคลน์อาศัยแสงสลัวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอันนุ่มนวลของบิชอปดังผ่านแผ่นไม้กระดาน


“คุณต้องการกล่าวสิ่งใดหรือ? เทพธิดาทรงห่วงใยผู้เชื่อทุกคนอย่างเท่าเทียมเสมอ”


ไคลน์ยกมือขวาพลางทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอกในทิศตามเข็มนาฬิกา


“เทพธิดาจงเจริญ… ผมมีเรื่องอยากสารภาพ เมื่อราวสองสามวันก่อน มีคนจากกองทัพเสนอให้ผมนำปืนและปืนใหญ่จำนวนหนึ่งเข้าไปขายในไบลัมตะวันตก เติมเชื้อไฟแห่งความวุ่นวายให้ที่นั่น”


กล่าวจบ บิชอปฝั่งตรงข้ามไม่ตอบสนองไปชั่วขณะ ราวกับกำลังตะลึงในความพยายามลักลอบค้าอาวุธเถื่อน ใบ้กินไปพักใหญ่


ภายในห้องสารภาพบาป ความเงียบงันที่น่าอึดอัดเข้าครอบงำ


แค่นี้ก็กลัวแล้ว? ไม่เคยเจอคนที่สารภาพอย่างซื่อตรงแบบเรามาก่อน? ถ้าเราบอกว่าปัจจุบันกำลังวางแผนฆ่าครึ่งเทพตนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ต้องคอยหลบหนีจากสายตาของมารดาพฤกษาแรงกระหายและพระผู้สร้างแท้จริง นั่นไม่ทำให้ฉี่ราดเลยหรือ? ไคลน์จิกกัดในใจสองสามคำก่อนจะเล่าต่อ


“ตอนที่ยังหนุ่ม ผมสนุกสนานไปกับชีวิตโลดโผน ชื่นชอบความมั่งคั่งที่ได้รับจากเหล็ก เลือด และไฟ แต่ปัจจุบันเริ่มอิ่มตัวแล้ว ผมปรารถนาชีวิตที่สงบสุขมากกว่า… อันที่จริง ผมควรปฏิเสธข้อเสนอนี้ แต่ความโลภในใจนั้นเอาชนะได้ไม่ง่าย ธุรกิจค้าอาวุธเถื่อนมักทำกำไรมหาศาลเสมอ แถมผมยังจะได้เส้นสายทางสังคมที่มั่นคงในเบ็คลันด์… ผมขอสารภาพ ในท้ายที่สุด ผมตัดสินใจเลือกเส้นทางที่โกลาหลและวุ่นวาย”


บิชอปหลังไม้แผ่นกระดานเริ่มมอบคำตอบด้วยเสียงแผ่ว


“อย่าได้กังวล อย่าได้สั่นคลอน มนุษย์ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับความโลภเล็กๆ ที่ก่อตัวภายในใจ ขอเพียงไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ ขอเพียงไม่ทำในสิ่งที่ขัดต่อพระคัมภีร์… จงทำตามหัวใจตัวเอง จงเลือกสิ่งที่หัวใจเรียกร้องมากที่สุด มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น มนุษย์จึงจะได้ซึมซับคำสอนและความหมายอย่างแท้จริงที่ซ่อนอยู่… อย่าได้ละอายใจ จงจำไว้ว่า ทุกการสารภาพอย่างซื่อตรงและจริงใจคือสิ่งที่น่ายกย่องเสมอ ควรค่าแก่การได้รับการอภัย… ขอให้พระองค์อวยพร”


“เทพธิดาจงเจริญ!” ไคลน์วาดดวงจันทร์สีแดงบนหน้าอกอีกครั้ง


อีกหนึ่งจุดประสงค์ที่เดินทางมายังวิหารนักบุญแซมมวลในวันนี้ ชายหนุ่มคิดจะใช้การสารภาพบาปเพื่อบอกกับทางโบสถ์ว่าตนเตรียมเข้าไปพัวพันกับธุรกิจค้าอาวุธเถื่อน เพื่อดูว่าทางโบสถ์มีท่าทีเช่นไร และนั่นจะสะท้อนทัศนคติที่เทพธิดารัตติกาลมีต่อตน


โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม ไคลน์บรรจงลุกขึ้น เดินออกจากห้องสารภาพบาป ตรงมาถึงทางเดินที่มีริชาร์ดสันรออยู่


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังนั่งตรงมุมห้องโถง อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมยาวสีดำแบบมีผ้าคลุมหัว รอบดวงตาและโหนกแก้มถูกทาด้วยสีฟ้า มอบความงดงามอย่างแปลกประหลาด ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ ดาลีย์·ซิโมเน่


ดาลีย์เงยหน้าขึ้นและเห็นดอน·ดันเตสเช่นกัน แววตาของเธอชะงักเล็กน้อยราวกับเหม่อลอยกะทันหันขณะสวดมนต์


ไคลน์พยักหน้ารับเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนจะรับหมวกจากบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันและเดินออกจากโถงสวดมนต์ด้วยย่างก้าวปรกติ


ดาลีย์ถอนสายตากลับ มองไปยังพนักเก้าอี้ด้านหน้าก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง


หลังเดินออกจากวิหาร ไคลน์ชะงักสองสามวินาทีขณะกำลังก้าวลงขั้นบันได


ณ จัตุรัสตรงหน้า นกพิราบขาวทั้งหมดบินขึ้นพร้อมกับ บดบังทัศนียภาพส่วนใหญ่ทันที



ไม่ถึงสามสิบนาทีถัดมา เลียวนาร์ดที่อยู่ในชั้นใต้ดิน ได้ยินว่าดอน·ดันเตสซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย มีแผนจะร่วมมือกับนายทหารบางคนเพื่อทำธุรกิจค้าอาวุธเถื่อนในไบลัมตะวันตก


เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? เลียวนาร์ดขมวดคิ้ว ยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งพบว่าตนไม่เข้าใจสัตว์ประหลาดอายุยืนตนนี้เลย


ราชันเร้นลับ 855 : ผู้มาเยือนรายใหม่

เมื่อกลับจากวิหารนักบุญแซมมวลถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ไคลน์เห็นพ่อบ้านสวมถุงมือสีขาวเดินเข้ามาทักทาย


“นายท่าน เมื่อครู่มีคนมาส่งนามบัตร เขากล่าวว่านายจ้างของตนจะแวะเข้ามาเยี่ยมในช่วงสี่ถึงห้าโมงเย็น” วอลเตอร์ตอบสุขุม


ไคลน์พยายามวิเคราะห์ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร แต่ก็ไม่พบเบาะแส จึงทำได้เพียงพยักหน้า


“นายจ้างของเขาเป็นใคร?”


วอลเตอร์ชำเลืองไปรอบๆ เมื่อพบว่ากลุ่มคนรับใช้อยู่ค่อนข้างห่างออกไปจึงลดเสียงลง


“บารอนซินดราส”


บารอนซินดราส… มหาเศรษฐีที่ได้รับบรรดาศักดิ์จากความช่วยเหลือของพรรคอนุรักษนิยมและดยุคนีแกน นายธนาคารและเจ้าของธุรกิจคนดังของอาณาจักรโลเอ็น? เราเคยช่วยมาดามแมรี่ซื้อหุ้นของบริษัทโคอิม และดูเหมือนว่าคู่แข่งจะเป็นเขา… ถึงกับมาเยี่ยมเราด้วยเรื่องแค่นี้? กับแค่เงินหนึ่งหมื่นสามพันปอนด์เนี่ยนะ? ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด… ไคลน์ผุดคำถามมากมายขณะเดินขึ้นไปยังชั้นสอง


วอลเตอร์ที่เดินตามมาครึ่งก้าว กล่าวเสริม


“นายท่าน หากคุณไม่ต้องการพบบารอนซินดราส ผมสามารถแจ้งกับเขาได้ว่า คุณกำลังฟังเทศน์จากบิชอปของวิหารนักบุญแซมมวล อาจใช้เวลานานมากกว่าจะกลับ”


ความนัยแฝงก็คือ บารอนซินดราสเป็นสาวกโบสถ์วายุสลาตัน คงไม่แวะเข้าไปตามหาคนในวิหารนักบุญแซมมวล


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก เผยรอยยิ้มมุมปากพลางกล่าว


“เขาคือขุนนางที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการธนาคาร ในอนาคตอาจต้องทำธุรกิจร่วมกัน ผมยินดีพบเขาอยู่แล้ว… เอาเป็น… ไว้เขามาถึง พาขึ้นไปยังห้องรับแขกเล็กๆ บนทั้งสองที่มองเห็นแสงอาทิตย์ตกดิน”


เท่าที่ไคลน์ทราบ บารอนซินดราสคือผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสามของธนาคารเบ็คลันด์ และเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดของธนาคารนันวีลล์ สำหรับวงการธนาคารในอาณาจักรโลเอ็น ชายคนนี้มีอิทธิพลกว้างขวางมาก


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ไม่ซักไซ้


สี่โมงสิบนาที ไคลน์ได้พบกับแขกที่มักปรากฏตัวบนหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง ภายในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า


สิ่งเดียวที่แตกต่างจากความคาดหวังก็คือ หลังบ่ายสามโมงเย็น เมฆบนท้องฟ้ากรุงเบ็คลันด์เริ่มจับตัวหนาพร้อมกับโปรยปรายสายฝนลงมา ปราศจากแสงแดดยามเย็นแสนอบอุ่น


บารอนซินดราสมีรูปลักษณ์ตรงตามที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกประการ ผมสีดำแซมขาวถูกหวีเรียบไปด้านหลัง เผยให้เห็นหน้าผากกว้างและไรผมเล็กๆ


โครงหน้ากลมแต่ขาดมวลเนื้อ โหนกแก้มค่อนข้างสูง มีริ้วรอยประปรายหลายจุด


แตกต่างจากชาวโลเอ็นในวัยเดียวกัน บารอนซินดราสไม่ไว้หนวดเครา โกนจนเกลี้ยงเกลา ดวงตาสีฟ้าซีดจนแทบไม่เห็นสี


รอบตัวมีบุรุษรับใช้และบอดี้การ์ดที่หน้าตาธรรมดาจำนวนหนึ่ง คนที่โดดเด่นที่สุดมีผมค่อนข้างบาง รองลงมาเป็นคนที่โกนหัวแต่ไว้เคราดกตั้งแต่ใบหูจนถึงคาง


“ทิวาสวัสดิ์ บารอนซินดราส เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คนอย่างคุณมาเป็นแขกของบ้านหลังนี้” ไคลน์นำมือทาบอกและโค้งทักทาย


ตามปรกติ เจ้าของบ้านต้องโน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับเหยียดแขนออกไปขอจับมือทักทาย แต่กับสถานการณ์ปัจจุบัน อีกฝ่ายเป็นขุนนาง จำเป็นต้องสุภาพกว่าปรกติ


บารอนซินดราสพยักหน้ารับ ยิ้มพลางทักทาย


“ไม่จำเป็นต้องสุภาพ ผมควรแวะมาหาคุณนานแล้ว ดอน·ดันเตส สุภาพบุรุษมากประสบการณ์และเชี่ยวชาญทวีปใต้”


หลังจากทักทายตามมารยาทจบ คนทั้งสองแยกกันนั่งโดยมีบุรุษรับใช้และบอดี้การ์ดยืนคุมเชิงด้านหลัง


ขณะไคลน์เตรียมกล่าว บารอนซินดราสเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง


“ดันเตส ผมชื่นชมคนอย่างคุณมาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะไขว่คว้าความมั่งคั่งจากทวีปใต้อันแสนวุ่นวายได้สำเร็จ จำเป็นต้องมีความกล้าที่มากเพียงพอ ความกล้าที่จะเผชิญกับความยากลำบาก รวมถึงต้องมีการตัดสินใจที่น่าทึ่ง… ในตอนที่ผมเผชิญหน้ากับสถานะบุคคลล้มละลาย ผมอยากจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่บนทวีปใต้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีความกล้าหาญมากพอ”


แม้บารอนซินดราสจะเพิ่งได้รับบรรดาศักดิ์ขุนนาง แต่ต้นกำเนิดของมันก็มิได้เป็นสามัญชนยากไร้อะไรนัก ปู่ทวดและปู่ของมันอาศัยความเจริญของอาณานิคม ทำกำไรมหาศาลจากการค้าทางทะเล กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงบิดาของมันที่ลงทุนกับอุตสาหกรรมจนมีชื่อเสียงและโรงงานมากมาย


จนกระทั่งถึงรุ่นของมัน ซินดราสอาศัยมรดกจำนวนมหาศาลของครอบครัว บุกตลาดธนาคารที่กำลังเฟื่องฟูสุดขีด ผันตัวกลายเป็นมหาเศรษฐีรุ่นแรกๆ ของอาณาจักรโลเอ็น


ระหว่างนี้ บารอนซินดราสเผชิญความล้มเหลวสามครั้งใหญ่ๆ แต่ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ทั้งหมด จากบรรดาวิกฤติทั้งสาม เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดคือภาวะธนาคารนันวีลล์ขาดความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรง ส่งผลให้ธุรกิจเกือบล้มละลาย


เอาแต่พูดเรื่องประสบการณ์ในทวีปใต้ของเรา… หรือนี่จะเป็นการบอกใบ้ว่า เขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราและพยายามขู่? แต่คงคิดไม่ถึงว่านั่นเองก็เป็นประวัติปลอมเหมือนกัน เรื่องราวที่กุขึ้นบนทวีปใต้ล้วนเป็นความเท็จทั้งหมด… ไคลน์จิกกัดในใจ แต่ภายนอกยังคงหน้านิ่ง


“นั่นไม่ใช่ความกล้า แต่เรียกว่าบ้าบิ่น… ผู้คนจำนวนมากเดินทางไปยังทวีปใต้ด้วยจิตวิญญาณของนักผจญภัย แต่นั่นยังไม่พอ”


โดยไม่รอให้บารอนซินดราสพูด ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวต่อ


“ผมเคยเกือบจ้างมิสเตอร์รีบัคเป็นพ่อบ้าน เขาเล่าว่าคุณเป็นนายจ้างที่ดีมาก”


บารอนซินดราสนั่งฟังอย่างเงียบงันสักพัก ตามด้วยถอนหายใจและกล่าว


“นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเสียใจ… ผมอยากจ้างรีบัค แต่เขามิอาจขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับตำแหน่งของตัวเอง”


กล่าวจบ บารอนซินดราสจ้องหน้าดอน·ดันเตส สุภาพบุรุษวัยกลางคนผู้หล่อเหลาและสง่างาม ก่อนจะรับชาดำจากสาวใช้มาจิบ


“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะเป็นมิตรไมตรีต่อกันได้… หวังว่าคุณจะยอมขายหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ของบริษัทโคอิมให้ผม… ทางนี้ยินดียื่นข้อเสนอที่คุณมิอาจปฏิเสธ”


นั่นปะไร… แต่เรากับมาดามแมรี่ทำสัญญากันแล้ว… ไคลน์เงียบงันสักพัก ถอนหายใจพลางยิ้มขื่นขม


“ผมให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตัวเอง”


ได้ยินคำตอบ บารอนซินดราสมิได้เผยความขุ่นเคือง เพียงแสดงความประหลาดใจปนอยากรู้อยากเห็น


“จะไม่ฟังข้อเสนอก่อนหรือ?”


ไคลน์ในร่างดอน·ดันเตสยังคงยิ้มเจื่อนๆ


“ผมกลัวว่าตัวเองจะปฏิเสธไม่ลง”


“ฮะฮะ!” บารอนซินดราสหัวเราะพร้อมกับยืนขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “คุณเป็นคนขบขันอย่างที่เขาเล่าลือกัน ขณะเดียวกันก็เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยวที่ยังไม่มีใครพูดถึง”


มันหันไปมองบอดี้การ์ดและบุรุษรับใช้ ก่อนจะยิ้มและพูดกับดอน·ดันเตส


“การเป็นมิตรกับคุณน่าสนใจกว่าการเป็นศัตรู… เอาล่ะ ผมคงต้องขอตัวก่อน ยังมีอีกหลายสิ่งต้องไปสะสาง”


นั่นเป็นคำชมจากก้นบึ้ง หรือมีเจตนาร้ายแอบแฝง? ไคลน์ที่ไม่ใช้ ‘ผู้ชม’ ย่อมมีอาจตีความภาษากาย ทำได้เพียงตอบกลับอย่างไร้ยางอาย


“ผมเองก็มีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน… หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานอื่นร่วมกับคุณในอนาคต”


บารอนซินดราสในชุดสูททางการและโบหูกระต่ายยิ้มพร้อมกับผงกศีรษะเล็กน้อย ไม่กล่าวคำใดเพิ่มเติม เพียงเดินทางดอน·ดันเตสและพ่อบ้านออกจากประตูหน้า


หลังจากเห็นรถม้าหรูหราแล่นจากไป พ่อบ้านวอลเตอร์กล่าว


“นายท่านอยากจ้างบอดี้การ์ดสักสองสามคนเป็นการชั่วคราวไหม?”


หือ? ไคลน์ตามความคิดพ่อบ้านไม่ทัน


เมื่อเห็นสีหน้าของนายจ้างยังไม่แปรเปลี่ยน วอลเตอร์เสริม


“ในบางครั้ง การแข่งขันทางธุรกิจก็นำมาซึ่งอันตรายถึงตัว”


มิสเตอร์พ่อบ้านเองก็ตระหนักถึงการข่มขู่จากบารอนซินดราสได้เช่นกัน? ไคลน์เม้มปากเล็กน้อยก่อนจะตอบ


“ผมไม่กังวลมากนัก เพราะที่นี่คือเบ็คลันด์”


นอกจากนั้น เรายังกลายเป็นบุคคลสำคัญในสายตาโบสถ์รัตติกาล และในอนาคตมีแผนจะร่วมงานกับกองทัพ… ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกตอบโต้ด้วยพลังพิเศษ ไม่ต้องกังวลว่าเรื่องราวจะพัฒนาไปในทิศทางเดียวกับคดีราชทูตอินทิส เหนือสิ่งอื่นใด บารอนซินดราสเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่มีทางหุนหันพลันแล่น… ไคลน์ไตร่ตรองในใจเงียบงัน


ขณะวอลเตอร์เตรียมพูดต่อ ไคลน์หัวเราะและพูดตัดหน้า


“อย่างไรก็ดี ความไม่ประมาทคือสิ่งที่ช่วยให้อายุยืน… ตกลง คุณสามารถจ้างบอดี้การ์ดได้สองคน คอยคุ้มครองผมอย่างลับๆ โดยที่ไม่ให้คนใช้ในบ้านรู้ตัว”


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ขานรับ


ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูดต่อ


“คุณไปที่บ้านของส.ส. มัคท์ เชิญเขาพร้อมกับภรรยาและลูกสาวไปรับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารอินทิสเซอเรนโซ่ในวันพรุ่งนี้ หากไม่สะดวกให้เลื่อนเวลาออกไป”


ชายหนุ่มกำลังจะแจ้งให้ส.ส. มัคท์ทราบว่า ตนยินดีรับการทดสอบจากกองทัพ ลงมือค้าขายอาวุธเถื่อนขนาดย่อม


อันที่จริง วิธีที่สะดวกที่สุดคือการแวะไปที่บ้านส.ส. มัคท์และมอบคำตอบโดยตรง แต่เมื่อพิจารณาว่าภายในบ้านหลังดังกล่าวมีผู้วิเศษระดับครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมซ่อนตัวอยู่ใกล้เฮเซล ไคลน์กังวลว่าอีกฝ่ายอาจมองเห็นออร่าสายหมอก จึงตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่แจ้งข่าวเป็นข้างนอกแทน


ด้วยวิธีนี้ หากเป็นไปถามที่ไคลน์คาดเดา ผู้วิเศษที่ไม่มีพลังมากพอจะสิงร่างเฮเซลในฐานะปรสิต ย่อมไม่มีทางออกมาด้วยกัน



ซิลกำลังซ่อนตัวในเงามืด เฝ้ามองรถม้าแล่นผ่านไปอย่างไม่เร่งรีบ หักเลี้ยวเข้าไปในบล็อกถนนย่านราชินี


บนรถม้ามีตราประจำตระกูลเด่นชัด ภาพหลักคือดอกไม้ รายล้อมด้วยแหวนสองวง ไม่ใช่ตระกูลใดนอกจากราชองครักษ์แห่งอาณาจักรโลเอ็น ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด


เมื่อไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม หญิงสาวออกจากจุดซ่อนตัวด้วยความผิดหวัง ขึ้นรถม้าสาธารณะจากสถานีใกล้เคียง ย้อนกลับไปยังย่านสะพานเบ็คลันด์ จากนั้นก็เดินเท้าเข้าไปในเขตตะวันออก


เมื่อเข้ามาในผับบนถนนดาราวี ซิลเดินผ่านกลุ่มขี้เมาที่หลีกทางให้ ซักถามบาร์เทนเดอร์ที่กำลังเช็ดแก้ว


“มีงานใหม่บ้างไหม?”


บาร์เทนเดอร์ฉีกยิ้มทันที


“มี… พ่อบ้านวอลเตอร์ที่เคยจ่ายเงินสองร้อยปอนด์เพื่อจับกุมนักต้มตุ๋นกลุ่มหนึ่ง คราวมีเสนองานใหม่ที่ไม่ซับซ้อน แค่คอยปกป้องนายจ้างของเขาอย่างลับๆ สองถึงสามวัน ค่าจ้างคุยกันนอกรอบ แต่รับประกันว่าจ่ายหนักแน่นอน… เขาพึงพอใจในประสิทธิภาพการทำงานของเธอคราวก่อนมาก จึงระบุว่าให้ถามเธอก่อนเคยเสนอกับคนอื่น… เป็นยังไง สนใจไหม?”


ซิลค่อนข้างประทับใจพ่อบ้านวอลเตอร์และนายจ้าง เพราะเงินสองร้อยปอนด์ถูกจ่ายในทันทีหลังจากเธอจับกุมตัวแก๊งต้มตุ๋นที่โกงค่าผ้าไปเพียงหนึ่งพันปอนด์


ใจกว้าง จ่ายหนัก จ่ายไว… ครุ่นคิดสักพัก ซิลพยักหน้า


“ตกลง”


ราชันเร้นลับ 856 : บอดี้การ์ดมาถึง

เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านหลังหนึ่ง


หลังจากเปิดประตูเข้ามา ซิลทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นของทอดหอมกรุ่น ตามด้วยการมองเข้าไปในครัว


“ฟอร์ส?”


“ยังมีคนอื่นอีกหรือ?” ฟอร์สชะโงกหน้าออกจากครัว ถามกลับด้วยรอยยิ้ม


ซิลวางหนังสือพิมพ์ในมือ กึ่งตอบกึ่งบ่น


“เธอห่างหายจากการเข้าครัวไปนานแค่ไหนแล้ว? ไม่นับการใช้เครื่องปิ้งขนมปัง”


ฟอร์สกลับเข้าไปในครัว ส่งเสียงดังกลับมา


“ฉันชอบกินอาหารข้างนอกเพราะมันอร่อยกว่า แต่สำหรับตอนนี้ ในละแวกใกล้เคียงไม่มีไก่ทอดเจ้าไหนอร่อย… ฉันอยากจะกินมันให้ได้ จากบรรดาอาหารอินทิสทั้งหมด ฉันชอบเจ้านี่มากที่สุด!”


ซิลเดินตรงไปทางครัว หยุดยืนที่กรอบประตู ชะโงกหน้าดูฟอร์สกำลังเตรียมมื้อเย็น


“ฉันเพิ่งรับงานหนึ่งมา ค่าจ้างหนึ่งร้อยปอนด์ต่อวัน อาจต้องทำนานสามถึงห้าวัน และฉันต้องมีคนช่วย… เธอกำลังเดือดร้อนเรื่องเงินไม่ใช่หรือ มาช่วยกันไหม?”


การเงินของเราดีขึ้นมากแล้วก็จริง แต่งานที่จ่ายหนักถึงห้าสิบปอนด์ต่อวันก็นับว่าไม่เลว… ถ้ามีโอกาสเก็บเงินก็ควรคว้าเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตต้องใช้เงินทำอะไรบ้าง… ฟอร์สจ้องกระทะที่เต็มไปด้วยน้ำมัน ถามโดยไม่มองหน้า


“เป็นงานแบบไหน?”


เธอเริ่มคำนวณรายได้ในใจแล้ว


ซิลสางผมทองที่ค่อนข้างกระด้างพลางตอบ


“คอยคุ้มครองเศรษฐีที่ชื่อดอน·ดันเตสอย่างลับๆ”


“เขากำลังเผชิญกับอะไร? อันตรายไหม?” ฟอร์สถามด้วยความกังวล


ซิลครุ่นคิดเล็กน้อย


“ดูเหมือนว่าจะทะเลาะกันเรื่องธุรกิจ ฝ่ายตรงข้ามมีการข่มขู่เล็กน้อย… งานนี้ไม่ยากมาก ก็อย่างที่เธอทราบ ผู้วิเศษนอกกฎหมายในกรุงเบ็คลันด์ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นเป้าของเหยี่ยวราตรีและทูตพิพากษา”


“อีกฝ่ายอาจมีพวกเสียสติอยู่ก็ได้ อย่าเพิ่งวางใจ” ฟอร์สโต้แย้งพลางนึกถึงวีรกรรมสุดโฉดของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้ชอบสร้างความโกลาหลในกรุงเบ็คลันด์!


หญิงสาวเว้นวรรค ตักไก่ทอดขึ้นจากกระทะและพูดต่อ


“แต่ในเมื่อเธอรับงานมาแล้ว และฉันกำลังว่าง… ตกลง เราจะทำงานนี้กัน… อีกอย่าง นี่เป็นงานลับ จะไม่มีใครรู้ว่าฉันแอบมาทำตัวเป็นบอดี้การ์ด ไม่อย่างนั้นคงเข้าสังคมวรรณกรรมลำบากแย่… หึหึ ไม่สิ ฉันอาจอ้างได้ว่า ที่รับทำงานบอดี้การ์ดก็เพราะต้องการลิ้มรสชาติของชีวิตและหาประสบการณ์ หรือไม่ก็หาวัตถุดิบสำหรับนิยายเรื่องถัดไป… น่าสนใจเหมือนกันนี่ เรื่องราวความรักระหว่างบอดี้การ์ดหญิงกับนายจ้างชาย!”


ซิลชินชากับนิสัยช่างจินตนาการของฟอร์ส หลังจากฟังจบ เธอหายใจเข้าออกมาและกล่าว


“กินมื้อเย็นเสร็จ พวกเราจะไปกันเลย”



บ้านเลขที่ 160 ถนนเบ็คลันด์ หลังจากตั้งแท่นบูชาประกอบพิธีกรรม ไคลน์ส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอก


ชายหนุ่มคิดจะจัดการงานจิปาถะให้เสร็จก่อนที่บอดี้การ์ดของวอลเตอร์จะมาถึง เพราะนั่นจะทำให้ไม่สะดวกไปอีกหลายวัน


จากบรรดางานจิปาถะทั้งหมด เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการยืนยันสภาพปัจจุบันของยุบพองหิวโหย


เมื่อได้นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูล ไคลน์เสกให้ถุงมือหนังมนุษย์ลอยออกจากกองขยะ


หลังจากทำนายยืนยันด้วยหลายวิธี ไคลน์พบว่าครั้งนี้ยุบพองหิวโหยค่อนข้างหัวแข็ง ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลข้างเคียงด้านลบ


“เป็นเพราะผสานเข้ากับมิสเตอร์ A ที่ถูกกัดกร่อน มันจึงไม่ยอมแพ้การสรรเสริญพระผู้สร้างแท้จริง?” ไคลน์ยกมุมปากยิ้ม ขบคิดอย่างจริงจังว่าต้องแก้ปัญหาอย่างไร


เปลี่ยนวิธีข่มขู่? ไม่สิ เรียกว่าข่มขู่คงไม่ถูกนัก พวกเราต้องทำงานร่วมกันอีกนาน เรียกว่าพูดคุยอย่างเป็นมิตรคงเหมาะกว่า… ไคลน์ใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีลวดลายเก่าแก่ พึมพำกับตัวเองแผ่วเบา


คงต้องเขียนจดหมายถึงมิสเตอร์อะซิก แจ้งกับเขาว่าผนึกของยุบพองหิวโหยคลายตัวออกแล้ว…


พกเห็ดติดตัวตลอดเวลา? คงไม่ดีแน่ แม้จะทำให้มันหยุดสรรเสริญพระผู้สร้างแท้จริง แต่ก็จะทำให้ใช้งานไม่ได้เช่นกัน… อา สงสัยคงต้องปรึกษากับแฟรงค์·ลี ให้เขาช่วยส่งเห็ดกลายพันธุ์ประเภทอื่นมาทดสอบหาความแตกต่าง…


เมื่อกำหนดเป้าหมายได้ ไคลน์โยนนกหวีดทองแดงของอะซิกและฮาร์โมนิก้านักผจญภัยเข้าไปใน ‘ประตูแห่งการสังเวยและรับมอบ’ ก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง เก็บสิ่งของเข้ากระเป๋าพร้อมกับทำลายร่องรอยพิธีกรรม


หลังออกจากห้องน้ำ ไคลน์เดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ นำกระดาษจดหมายและปากกาหมึกซึมออกมาวาง ตั้งใจเขียนเนื้อหาลงไป


“ถึงมิสเตอร์อะซิก… ผมไม่ได้เขียนจดหมายถึงคุณนานมาก ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณสบายดีไหม…”


“เนื่องด้วยสาเหตุบางประการ ผนึกที่คุณใช้กับยุบพองหิวโหยถูกคลายออกแล้ว… ช่วยสอนวิธีผนึกได้ไหม? ผมอยากผนึกมัน…”


“คุณเคยได้ยินชื่อของหัวขโมยโลกวิญญาณบ้างไหม? มันอยู่ระดับใดและอาศัยอยู่ที่ไหน? มีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร?”


“ผมอาจได้ไปทวีปใต้ในเร็ววัน หากมีข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเทพมรณา ผมจะเขียนจดหมายถึงคุณทันที”


หลังจากวางปากกาลงและอ่านทวนสองครั้ง ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงขึ้นมาจ่อริมฝีปากเป่า


กระดูกพุ่งขึ้นจากพื้นอย่างเงียบงันคล้ายน้ำพุ ก่อนจะเรียงตัวเป็นโครงกระดูกขนาดใหญ่สูงเกือบสี่เมตร


โครงกระดูกก้มมองหน้าดอน·ดันเตสสักพัก ก่อนจะโน้มตัวลงพร้อมกับเหยียดแขนขวา กางฝ่ามือออก


ผู้ส่งสารกระดูกเริ่มสุภาพมากขึ้นเรื่อยๆ … ไคลน์พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ยื่นจดหมายที่เพิ่งเขียนเสร็จให้


ผู้ส่งสารโครงกระดูกไม่แช่อยู่นาน รีบสลายตัวคล้ายกับน้ำตก หายไปจากการมองเห็น


ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ชักสายตากลับและตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับใหม่ถึงแฟรงค์


“…เห็ดอบแห้งที่นายส่งมาครั้งก่อนนับว่าไม่เลว ยังมีเหลืออีกไหม?”


“แนวคิดที่ฉันเคยเสนอไปเป็นยังไงบ้าง? ได้ลองนำมาปรับใช้หรือยัง? ถ้ามีปัญหาติดขัดตรงไหน นายสามารถเขียนมาปรึกษาได้ทุกเมื่อ”


หลังจากวางเครื่องเขียนลง ไคลน์หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยขึ้นมาเป่า


ทันทีที่เป่าจบ ชายหนุ่มเห็นผู้ส่งสารไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ปรากฏกายด้านข้าง เธอยังคงมาในสภาพไร้เศียร มือสองข้างถือสี่ศีรษะเจ้าของเส้นผมสีทอง ใบหน้างดงาม และดวงตาสีแดง


“คุณระบุตำแหน่งของแฟรงค์·ลีได้ไหม?” ไคลน์ถามด้วยสีหน้าค่อนข้างมั่นใจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้ส่งสารของตนไม่ใช่สัตว์วิญญาณทั่วไป แต่เป็นถึงสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพ


ในสถานการณ์ปรกติ ผู้ส่งสารจะระบุตำแหน่งได้เพียงผู้ทำพันธสัญญาและผู้ประกอบพิธีกรรมเรียกเท่านั้น โดยถ้าเป็นอย่างหลัง หากขยับตำแหน่งไปไกลเกินกว่าจุดเดิม ผู้ส่งสารจะหาไม่พบ


ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์หันไปทางไคลน์พร้อมกัน


“เจ้า…” “หมายถึง…” “ชายผู้…” “คิดจะปลูก…” “ทุกสิ่ง…” “ลงดิน…” “คนนั้น…?”


“…” แฟรงค์ทำอะไรลงไป? ทำไมมิสผู้ส่งสารถึงจดจำได้แม่นยำ? จริงสิ… ในคราวที่แล้ว ตอนที่เราตอบจดหมายกลับ มิสผู้ส่งสารกล่าวว่า… ขอให้แฟรงค์ยังมีชีวิตอยู่… ไคลน์ครุ่นคิดเคร่งขรึม


“ใช่”


ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน


“ค้นหา…” “ได้…” “ข้า…” “หมายหัว…” “เจ้านั่น…” “ไว้แล้ว…”


หา? ไคลน์อ้าปากค้างครึ่งหนึ่ง เกือบลืมจุดประสงค์ของตัวเอง


แฟรงค์ผู้น่าสงสาร… ไม่สิ แฟรงค์คงแข็งแกร่งจนเตะตามิสผู้ส่งสารเข้า… ขอให้เทพธิดาอวยพร… ไคลน์หายใจเข้าออก ยื่นจดหมายถึงมือไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์


“รบกวนส่งให้แฟรงค์ด้วย… เขาจะเป็นคนจ่ายเหรียญทอง”


หนึ่งในศีรษะของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์อ้าปากงับกระดาษ ก่อนหายเข้าไปในโลกวิญญาณจนมิอาจสัมผัสถึง


จัดการทุกอย่างเสร็จ ไคลน์พกนกหวีดทองแดงและฮาร์โมนิก้าติดตัว เดินลงไปยังชั้นสองเพื่อกินอาหารเย็น


กินไปได้ครึ่งหนึ่ง พ่อบ้านวอลเตอร์เดินเข้ามาจากด้านนอก เหยียดแขนป้องหูนายจ้างและกระซิบ


“บอดี้การ์ดมาถึงแล้ว เป็นมิสซิลที่เคยทำงานให้เราและเพื่อนของเธอ ผมได้มอบหมายให้พวกเธอคอยคุ้มครองคุณอย่างลับๆ”


มิสซิลและเพื่อนของเธอ… อย่าบอกนะว่ามิสเมจิกเชี่ยน? ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ ทำได้เพียงพยักหน้ารับแผ่วเบา


สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มมิได้กระตุ้นเตือนว่ามีคนบุกรุกบ้าน อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องปรกติสำหรับช่วงที่คนในบ้านยังไม่หลับ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนกลางคืนที่ไม่มีใครเดินผ่านไปมา ความผิดปรกติแม้เพียงเล็กน้อยจะยิ่งเด่นชัด ดังนั้น หากไคลน์มิได้ทิ้งพลังวิญญาณตรวจตราไว้ในจุดใดจุดหนึ่งเป็นพิเศษ หรือหากเป้าหมายมิได้คิดร้ายอย่างแรงกล้า ก็คงเป็นการยากที่จะตรวจจับผู้บุกรุกในช่วงเวลาอาหารเย็น



ในห้องนอนห้องหนึ่งบนชั้นสาม ซิลและฟอร์สกำลังยืนข้างหน้าต่างกระจกใส มองลงไปยังสวนด้านล่าง


“นี่คือบ้านในฝันของฉัน ถ้ามีเงินพอเมื่อไร จะซื้อไว้สักหลังในแถบชนบทที่มีวิวทิวทัศน์งดงาม… ไม่สิ อยู่ในเบ็คลันด์คงดีกว่า อาหารของที่นี่ถูกปากฉันมาก” ฟอร์สกล่าวจากก้นบึ้ง


พูดจบ หญิงสาวถอนหายใจ


น่าเสียดาย เป็นเพราะเรามีคำสาปพระจันทร์เต็มดวงติดตัว จึงต้องเร่งพัฒนาความแข็งแกร่งเป็นอันดับแรก ไม่อย่างนั้นคงเลือกเก็บบ้านของอาจารย์ไว้แทนที่จะขายแลกเงินสด…


ซิลมองไปด้านนอกตามสายตาเพื่อนสนิท กระซิบกระซาบ


“ฉันเคยอาศัยในบ้านแบบนี้เมื่อตอนยังเด็ก…”


ฟอร์สชำเลืองซิล แต่เนื่องจากไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


“เราจะคุ้มครองเขายังไง?”


ซิลถอนสายตากลับ


“ตอนที่มิสเตอร์ดอน·ดันเตสอยู่บ้านแต่ไม่มีแขก พวกเราจะซ่อนตัวในห้อง คอยระแวดระวังความผิดปรกติ ป้องกันมิให้ใครบุกรุกเข้ามา… เมื่อมีแขกมาเยี่ยม เราจะซ่อนตัวอยู่ในห้องใกล้เคียง คอยสังเกตการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ เตรียม ‘เปิดประตู’ เข้าไปช่วยในยามคับขัน… ถ้ามิสเตอร์ดอน·ดันเตสออกไปข้างนอก พ่อบ้านจะบอกเราล่วงหน้า ฉันจะซ่อนตัวในรถม้าเพื่อคอยปกป้อง ส่วนเธอนั่งรถม้าอีกคันตามไป”


“ซิล เธอกลายเป็นมืออาชีพเต็มตัวแล้ว!” ฟอร์สยกย่องจากก้นบึ้ง ตามด้วยหัวเราะในลำคอ “ฉันเพิ่งได้เห็นภาพเหมือนของมิสเตอร์ดอน·ดันเตส ถ้าเธอไม่ได้บอกว่าศัตรูเกิดจากธุรกิจ ฉันคงคิดว่าเป็นปัญหาด้านความรัก…”


ยังไม่ทันสิ้นเสียงฟอร์ส ทั้งสองมองเห็นรถม้าแล่นมาจอดนอกประตูคฤหาสน์ เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบลายตารางหมากรุกสีขาวสลับดำเดินลงมาทีละคน


เกิดอะไรขึ้น? ฟอร์สมองหน้าเพื่อนสนิท พบว่าอีกฝ่ายเองก็ฉงนไม่ต่างกัน



ในห้องรับแขกของชั้นสอง ไคลน์ได้พบเจ้าหน้าที่ตำรวจสี่นาย


“มิสเตอร์ดอน·ดันเตส คุณรู้จักมิสเตอร์คารอนไหม?”


คารอน? ไคลน์นึกทบทวนเล็กน้อย จนกระทั่งพบว่าเป็นชื่อของสุภาพบุรุษคนที่ขายหุ้นของบริษัทโคอิมให้ตน


“รู้จักครับ เกิดอะไรขึ้นกับเขา?” ไคลน์ถามเยือกเย็น


เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเหมือนหัวหน้าตอบอย่างสุภาพ


“เขาฆ่าตัวตาย… นอกจากนั้น เขายังทิ้งจดหมายลาตายใจความว่า ถูกคุณบังคับให้ขายหุ้น ทรมานด้วยวิธีต่างๆ จนจิตใจแตกสลายและหดหู่… และครอบครัวของเขาได้ยืนว่าจดหมายลาตายฉบับนี้เป็นของจริง”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)