Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 843-846
ราชันเร้นลับ 843 : เห็ดวิเศษ
Ink Stone_Fantasy
“ลำดับ 0 : เดอะฟูล!”
หลังจากจำแนกข้อความบนไพ่ทาโรต์ ไคลน์รู้สึกราวกับได้ยินเสียงของซาราธอีกครั้ง
ในวินาทีนี้ ชายหนุ่มสัมผัสถึงการชักนำทางโชคชะตาอย่างรุนแรง คล้ายกับทุกสิ่งถูกจัดเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่ม เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากฝีมือ 0-08
ไคลน์เริ่มสงสัยในทฤษฎีเดิมของตัวเอง บางที คนฝึกสัตว์สาวในคณะละครสัตว์เมืองทิงเก็นที่อาสาดูดวงไพ่ทาโรต์ให้ฟรี อาจไม่ใช่คนธรรมดา
ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์เริ่มเปลี่ยนมุมมอง ความกังวลและหดหู่จึงเริ่มบรรเทา
ไม่สิ… อาจไม่มีใครชักใยเรื่องนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ…
สืบเนื่องจากพิธีกรรมเดินทางข้ามโลก เรามีโอกาสเข้ามาพัวพันกับมิติลึกลับเหนือมิติสายหมอก นั่นทำให้ชะตากรรมเกิดการเปลี่ยนแปลง… ระบุให้ชัดก็คือ ในฐานะคนแปลกหน้าจากโลกอื่น เราไม่มี ‘ชะตากรรม’ ที่นี่ตั้งแต่แรก ทุกสิ่งผสมผสานจากโชคชะตาของเจ้าของร่าง ผนวกกับอิทธิพลจากมิติเหนือสายหมอกและสภาพแวดล้อม…
มิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา… ค่อนข้างชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับเส้นทางนักทำนาย และเนื่องจากลำดับ 0 ของเส้นทางนี้มีชื่อว่า ‘เดอะฟูล’ การทำนายไพ่ทาโรต์บนโลกความจริงจึงได้รับอิทธิพลไปด้วย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หมอดูนิรนามจะหยิบไพ่เดอะฟูลออกมา!
และในทำนองเดียวกัน นั่นทำให้เราเลือกใช้ชื่อตัวเองว่า ‘เดอะฟูล’
ไคลน์สงบลงหลายระดับ เชื่อว่านี่คือเหตุผลที่ฟังขึ้น
หลังจากตัดความไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออก นี่คือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด และมีโอกาสเป็นความจริงมาก… ไคลน์บังคับตัวเองให้หยุดคิดในสิ่งที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ดึงสติกลับมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า
บัลลังก์ยักษ์… กลุ่มหนอนแมลงโปร่งแสง… เป็นภาพที่เราเคยเห็นขณะใช้พลังทำนายบนมิติเหนือสายหมอก…
พิจารณาจากฉากที่มอบความสยองขวัญและขนลุกแก่ผู้พบเห็น… น่าจะเป็นเทวทูตบนเส้นทางนักทำนาย… เทวทูตผู้คลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด!
ซาราธ…?
หรือจะเป็นผู้นำตระกูลอันทีโกนัสในยุคสมัยที่สี่?
ถ้าเป็นรายแรก… ทั้งอาโรเดสและวิล·อัสตินต่างยืนยันตรงกันว่า ซาราธกลายเป็นลำดับ 1 เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่อยู่ในร่างสัตว์ประหลาดเสียสติ สอดคล้องกับภาพที่เห็น… ทฤษฎีนี้ยังอธิบายได้ว่า เหตุใดซาราธถึงต้องการเพียงให้เรา ‘เปิดประตู’ เพราะเมื่อ ‘ประตูลับ’ เปิดออก ทั้งสองโลกจะเชื่อมต่อกัน ช่วยขจัดภาวะผิดปรกติในปัจจุบัน หรือไม่ก็ฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย… ค่อนข้างชัดเจนว่าโกศขี้เถ้าเป็นแค่ข้ออ้าง…
แต่ปัญหาคือ… สภาพแวดล้อมปัจจุบันของซาราธที่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสแสดงให้เห็น ไม่เหมือนกับพระราชวังบนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส ไม่อย่างนั้น เราต้องเอะใจทันทีที่เห็น…
ถ้านั่นคือเทวทูตของตระกูลอันทีโกนัสที่มีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบัน… หลังจากซาราธครอบครองสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจากโรซายล์และเดินทางมายังยอดเขาโฮนาซิสเพื่อตามหาสมบัติ อันทีโกนัสทำให้ซาราธต้องทุกข์ทรมานด้วยการแบ่งจิตซาราธออกโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ส่งผลให้เสียสติขณะพยายามเลื่อนลำดับ… ‘อันทีโกนัส’ อาจเป็นลำดับ 1 ‘บริวารเร้นลับ’ ส่วนซาราธในตอนนั้นยังเป็นลำดับ 2 ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ …
พิจารณาจากประเด็นดังกล่าว ซาราธต้องการเปิดประตูเพื่อให้โลกภายในหมู่บ้านสายหมอกและโลกภายนอกเชื่อมต่อกัน ร่างแบ่งภาคของตัวเองจะได้กลับมารวมตัวอีกครั้ง…
แต่ไม่ว่าจะแบบไหน… กลุ่มก้อนหนอนแมลงโปร่งใสน่าจะเป็นลำดับ 1 ที่คลุ้มคลั่ง… เป็นเรื่องธรรมดาที่แม่มดสิ้นหวังจะสติแตกทันทีที่เห็นท่าน… ถึงในช่วงแรกจะดิ้นรนขัดขืนได้เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ต้องถูกแขวนเป็นหุ่นตากแห้ง… อา โชคดีที่ในตอนนั้นเรายังมีเบาะแสไม่มาก ภาพในการทำนายจึงไม่ชัดเจน… ไม่อยากนั้น หากได้เห็นร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์และเสียสติ เราคงคลุ้มคลั่งและกลายพันธุ์ทันที…
เดี๋ยวสิ… ไม่ว่าอันทีโกนัสจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่จะทรงพลังไปกว่าสุริยันเจิดจรัสกับพระผู้สร้างแท้จริงเลยหรือ? ไม่ใช่แน่นอน… ต่อให้ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายมีพลังของมิติหมอกเกื้อหนุน อย่างมากก็ได้แค่ทัดเทียมพวกท่านทั้งสอง… กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเราเตรียมตัวล่วงหน้าดีพอและสามารถทนไหว ก็จะมีโอกาสที่จะ ‘แอบส่อง’ สัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์เพื่อให้ได้รับความรู้ที่สอดคล้องกับเส้นทาง…
บางที เราอาจได้สูตรโอสถลำดับสูงหนึ่งถึงสองสูตร เหมือนกับตอนที่ได้รับสูตรโอสถ ‘ผู้เจิดจรัส’ มาจากการแอบส่องเทพสุริยันเจิดจรัส…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์อดนึกถึงภาพหนึ่งไม่ได้
‘เดอะฟูล’ แห่งมิติเหนือสายหมอก กำลังเหยียดแขนออกมาช่วงชิงบางสิ่งอีกครั้ง
ขณะไคลน์กำลังตื่นเต้น ใจหนึ่งก็ผิดหวัง เพราะด้วยระดับพลังและสมบัติวิเศษในปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปใกล้บัลลังก์ซึ่งเต็มไปด้วยหนอนแมลงโปร่งใสเพื่อหยิบไพ่ ‘เดอะฟูล’
เมื่อสิ่งที่ปรารถนาที่สุดกำลังวางอยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีปัญญาหยิบออกมา ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด
ฟู่ว… อย่างน้อยเราก็ได้สูตรโอสถจอมเวทพิสดารมาแล้ว… ในอนาคต ยังมีโอกาสมากมายให้ส่องความลับจากร่างสัตว์ในตำนาน… ปฏิบัติการคราวนี้ไม่สูญเสีย เงินทองและหุ่นเชิดที่ต้องเสียไปไม่เปล่าประโยชน์… อา ซาราธไม่น่าจะให้สูตรโอสถปลอมกับเรา ตัวตนระดับนั้นไม่มีความจำเป็นต้องโกหกผู้วิเศษลำดับ 5 ที่แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับออกมา… แถมซาราธยังน่าจะระแวงเรื่องที่เราอาจรู้สูตรโอสถอยู่ก่อนแล้ว แต่ถามไปเพื่อทดสอบความน่าเชื่อถือ… ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย เมื่อพบว่าไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นภายนอก จึงตัดสินใจเดินไปยังประตูวิหาร ชะโงกหน้าสำรวจภายใน
สำหรับชายหนุ่ม ข้อสงสัยทั้งหมดมิได้สลักสำคัญอีกต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดคือการหนีออกจากโลกปัจจุบัน หนีออกจากหมู่บ้านสายหมอกสุดพิสดารแห่งนี้!
ด้านนอกวิหาร ไคลน์ในสภาพสวมหมวกสามมุมและแจ็คเก็ตสีแดงเข้ม เดินมาหยุดหน้าประตูวิหารด้วยความระมัดระวัง ย่างกรายผ่านประตูที่เปิดแง้ม
ศพจำนวนมากที่แต่งกายหลากหลาย ยังอยู่ในสภาพเดิมทุกประการ ถูกแขวนไว้กลางอากาศ โยกเอนไปตามสายลม ปากขยับส่งเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’
ไคลน์เดินผ่านด้านล่างกลุ่มศพ เมื่อสายตาเริ่มปรับสภาพ ฉากต่างๆ ก็ปรากฏในการมองเห็น
รูปปั้นครึ่งคนครึ่งหมาป่าอสูรยังคงเด่นตระหง่าน ปราศจากความเสียหาย ด้านหลังมีแผ่นหินออบซิเดียนและโกศดีบุกสีขาวในสภาพสมบูรณ์
ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก สำรวจบริเวณรอบๆ อย่างใจเย็น จนกระทั่งดวงตาแข็งทื่อ
ในมุมมืดแห่งหนึ่ง ดอกเห็ดขนาดมหึมาสูงกว่ามนุษย์กำลังตั้งเด่นสง่า
ด้านบนของเห็ดมีสีแดงราวกับเลือดสด ผสมผสานลายจุดสีขาว ส่วนโคนประกอบด้วยเห็ดแบบเดียวกันแต่ขนาดเล็กกว่าจำนวนมากเรียงชิดกัน ลวดลายคล้ายใบหน้าที่งดงามของมิสเตอร์ A
ทว่า บริเวณ ‘ดวงตา’ ของมิสเตอร์ A นั้นว่างเปล่า ปราศจากชีวิตชีวาของมนุษย์ สองฝั่งซ้ายขวามีเห็ดที่เรียงตัวกันเป็นแขน โดยแขนซ้ายกำลังสวมถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบาง คล้ายกับหลอมรวมเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์
นี่มันสัตว์ประหลาดประเภทไหนกัน… ไคลน์ผงะถอยหลังอย่างมิอาจควบคุม พบว่าความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับของตนยังบกพร่องอยู่มาก
โดยไม่ได้ปิดเนตรด้ายวิญญาณ ขณะชายหนุ่มพยายามป้องกันตัวเอง มันพบว่าเห็ดประหลาดดอกนี้ปราศจากด้านวิญญาณ คล้ายกับเสียชีวิตไปนานแล้ว ที่ยังขยับตัวได้เพราะเส้นประสาทชักกระตุก
ทันใดนั้น ไคลน์ผุดข้อสันนิษฐาน
มิสเตอร์ A ที่กินเห็ดเข้าไป ดันเหลือบไปเห็นกลุ่มหนอนแมลงโปร่งใสก่อนจะหนีออกมา ถือเป็นการจ้องมองร่างสัตว์ในตำนานโดยตรง จิตใจจึงแตกสลายในพริบตา ร่างกายทำงานล้มเหลว ส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ที่เลวร้าย แถมยังผสานเข้ากับ ‘เนื้อปลา’ ในศพ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลที่ถูกเผาอยู่ใกล้ๆ จนเกิดการกลายพันธุ์ทับซ้อน แปรสภาพเป็นสัตว์ประหลาดเห็ดพิสดาร!
อา… น่าจะผสานเข้ากับยุบพองหิวโหยด้วยเช่นกัน… ‘เห็ด’ ดอกนี้น่าขยะแขยงชะมัด… ในอนาคต ถ้าแฟรงค์เกริ่นเรื่องการเพาะเห็ดขึ้นมา เราจะจับเขาโยนลงทะเลทันที… ไคลน์ขยับสายตา มองไปทางแผ่นหินออบซิเดียน เตรียมหนีออกไปโดยไม่สนใจ ‘เห็ด’ ประหลาด
ทันใดนั้น ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์กะทันหัน สติเริ่มเลือนราง
เพียงพริบตา ไคลน์พบว่าตนถูกกระชากเข้าไปในดินแดนความฝัน!
หลังจากปลุกตัวเองให้ตื่น ไคลน์เห็น ‘เห็ด’ สูงสองเมตรค่อยๆ ‘เลื่อน’ เข้ามาใกล้ตน ในมืออีกฝ่ายกำลังถือดาบยักษ์ที่ทำจากหินลาวาสีแดงสว่าง ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีฟ้าอ่อน
ใช้ดาบแมกมาได้ด้วย… โดยไม่ลังเล ไคลน์อ้าปากส่งเสียง
“ปัง!”
กระสุนอัดอากาศที่มีพลังทะลุทะลวงสูงพุ่งเข้าหา ‘เห็ด’ ซึ่งเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าเนื่องจากพยายามควบคุมความฝัน คมกระสุนตัดผ่านหมวกเห็ด เกิดการฉีกขาดเป็นแผลใหญ่
บาดแผลดังกล่าวเต็มไปด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์และเส้นใย พวกมันยุบพองตัวสักพัก จนกระทั่งบาดแผลถูกสมานอย่างรวดเร็ว
แบบนี้ก็ได้หรือ… ทันใดนั้น ลางสังหรณ์ไคลน์แจ้งเตือนอันตราย จึงรีบกลิ้งตัวไปด้านข้างหลายตลบ
‘เห็ด’ ปรี่เข้าหาด้วยความเร็วสูงพร้อมกับฟาด ‘ดาบแมกมา’ ในมือใส่จุดที่ไคลน์เคยยืน ส่งผลให้พื้นกระเบื้องแหลกละเอียด สะเก็ดไฟสาดกระเซ็น
ทันใดนั้น ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดไฟเผาเห็ดเล็กๆ ตามลำตัวสัตว์ประหลาดเห็ด
ถัดมา ชายหนุ่มรีบวิ่งอ้อมไปด้านหลังรูปปั้น พยายามเข้าใกล้แผ่นดินออบซิเดียน
ทว่า หัวสมองไคลน์ขาวโพลนกะทันหัน จากนั้นก็พบว่าตัวเองเดินมาผิดทิศ
มันกำลังเร่งฝีเท้าออกไปทางประตูวิหาร
เจ้านั่นบิดเบือนเจตนาเรา? หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง มองเห็นจากมุมสายตาว่าร่างกาย ‘เห็ดยักษ์’ ถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง เป็นการใช้พลังเพื่อดับไฟ
ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์วิ่งต่อไปทางประตูพร้อมกับดีดนิ้วจุดไฟเผาใบไม้ด้านนอกวิหาร
ในสถานการณ์ที่ยังไม่เข้าใจศัตรูดีพอ แถมยังไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก ชายหนุ่มเชื่อว่า ‘นักมายากล’ ที่ดีควรถอยกลับไปตั้งหลัก
และเหนือสิ่งอื่นใด พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของนักเชิดหุ่นอย่าง ‘ควบคุมด้ายวิญญาณ’ กลับไร้ประโยชน์ในสถานการณ์ตรงหน้า เพราะเห็ดยักษ์ไม่มีด้ายวิญญาณให้ควบคุม!
ผ่านไปสักพัก เปลวไฟสีแดงเข้มอาบท่วมร่างไคลน์ประหนึ่งสายน้ำ ก่อนจะอันตรธานหายไปโผล่ด้านนอกและร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล
ขณะเตรียมรักษาระยะห่าง ชายหนุ่มได้ยินเสียงสายลมโหยหวน
‘เห็ดยักษ์’ หมวกแดงจุดขาว อาศัยสายลมกระโชก ช่วยพัดพาออกจากวิหารด้วยความเร็วสูง!
มันบินได้! ไคลน์รีบดีดนิ้ว อาศัยการกระโจนไฟเพื่อรักษาระยะห่าง
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มพบว่าจมูกเริ่มคัน อยากจามออกมาเสียงดังๆ
แถมยังป่วย… แล้วต้องสู้ยังไง? เราไม่มีสมบัติวิเศษ ไม่สามารถใช้พลังนักเชิดหุ่น… นี่มันเห็ดวิเศษรึไง! ไคลน์ที่ซ่อนตัวในบ้าน หัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก
ทันใดนั้น ร่างกายไคลน์หนาวสั่นกะทันหัน จึงรีบสำรวจร่างกายตัวเองตามความเคยชิน
หมวกสามมุมใบเก่า แจ็คเก็ตสีแดงเข้ม กางเกงขายาวสีขาว รองเท้าบูตหนังสีดำ ทุกสิ่งล้วนอันตรธานหาย เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวที่คอยเป็นปราการด่านสุดท้าย
หรือว่า… ครบครึ่งชั่วโมงแล้ว เซนอลที่ถูกอัญเชิญจากประวัติศาสตร์จึงหายไป… ไคลน์เข้าใจเหตุผลได้ไม่ยาก
ถ้าอย่างนั้น… บางส่วนของพลเรือเอกโลหิตที่ผสานเข้ากับ ‘เห็ด’ ก็น่าจะหายไปด้วย…
และอีกสิบห้านาทีข้างหน้า ‘เนื้อปลา’ ที่เป็นบ่อเกิดความวุ่นวายทั้งหมดก็จะหายตามไป… ขาดแกนหลักของการกลายพันธุ์…
ไคลน์ยกมุมปากเล็กน้อยด้วยสีหน้ายินดี ตามด้วยการจุดไฟเพื่อส่งตัวเองออกนอกบ้าน และไม่ผิดจากที่คาด ตามลำตัวของเห็ดยักษ์เต็มไปด้วยโพรงน้อยใหญ่ บาดแผลในจุดดังกล่าวมิอาจซ่อมแซม ส่งผลให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง
ได้เลย… มาเล่นซ่อนหากันสักยก… ไคลน์รำพันเงียบ เริ่มหนีไปรอบๆ ถนนในหมู่บ้าน อาศัยพลังกระโจนไฟเพื่อสร้างระยะห่างกับเห็ดยักษ์
ระหว่างนี้ ปรากฏการณ์จันทร์แดงกระจ่างไม่เกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว
ผ่านไปนานกว่าสิบนาที เห็ดที่น่ารังเกียจและหวาดกลัวเริ่มสิ้นฤทธิ์ ซวนเซก่อนจะล้มลงบนถนน
ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง เฝ้ามองเลือดเนื้อของ ‘เห็ด’ เกิดการหดตัว จนกระทั่งเหลือเพียงถุงมือหนังมนุษย์บางๆ ข้างเดียว
อย่านอกนะว่า… เนื่องจากเป็นการกลายพันธุ์โดยเทวทูตลำดับ 1 ยุบพองหิวโหยจึงผสานกับมิสเตอร์ A อย่างสมบูรณ์? เป็นยุบพองหิวโหยรุ่นพัฒนา? ไคลน์บรรจงโน้มตัวลงไปหยิบถุงมือหนังมนุษย์ด้วยความไม่ประมาท
ราชันเร้นลับ 844 : สัญลักษณ์ไหน
Ink Stone_Fantasy
ถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบางมีลักษณะไม่ต่างจากเมื่อก่อน แต่ไคลน์ไม่กล้าประมาท ยอมเสียเวลาทำนายเพื่อตรวจสอบเบื้องต้น
นอกจากนิ้วทั้งห้า ฝ่ามือและหลังมือยังกักเก็บดวงวิญญาณเพิ่มได้อย่างละหนึ่ง…
ปัจจุบัน ทั้งเจ็ดตำแหน่งถูกจับจองเต็มแล้ว… พลังบางชนิดมีสัญญาณของการหลอมรวมเข้าด้วยกัน…
ที่เพิ่มเข้ามาคือเวทมนตร์เลือดเนื้อ…
ความเร็วในการสลับใช้ดวงวิญญาณเพิ่มขึ้นมาก…
จำเป็นต้องกินคนทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะกินเจ้าของ… หึหึ ยุบพองหิวโหยเอ๋ย… เจ้ากลับไปโอหังอีกแล้วหรือ? คงต้องจับไปสั่งสอนบนมิติหมอกกันอีกครั้ง…
ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลมากกว่านี้ ไว้ออกจากหมู่บ้านสายหมอกเมื่อไร ค่อยทำนายอย่างละเอียดบนมิติลึกลับ…
อา… ถึงจะยังไม่รู้เกี่ยวกับผลข้างเคียงอื่น แต่เท่าที่ทราบในปัจจุบัน มันจะยังไม่ทำอันตรายกับเรา…
นอกจากนั้น มิสเตอร์ X ที่ถูกต้องเข้าไปก็มิได้ก่อความวุ่นวาย พลัง ‘เปิดประตู’ และ ‘ท่องเที่ยว’ ยังคงใช้งานได้ตามปรกติ…
ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก สวมยุบพองหิวโหยไว้ที่มือซ้าย จากนั้นก็เดินเข้าไปในวิหาร หาทางออกจากที่นี่โดยเร็ว
และในขณะที่กำลังเล่นซ่อนแอบอยู่กับ ‘เห็ดยักษ์’ ชายหนุ่มไม่ลืมใช้ ‘กลลวงตา’ เพื่อสร้างเสื้อกันลมและหมวกทรงสูง
ในส่วนของตะกอนพลัง ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล ไคลน์เชื่อว่าคงอยู่ในมือ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทีย และครึ่งเทพรายนี้กำลังถูกแขวนอยู่ในวังโบราณด้านหลังประตู ท่ามกลางสายตาจดจ้องของกลุ่มหนอนแมลงสีใส
เฮ่อ… ถึงเนื้อของเซนอลจะยังไม่ถูกพานาเทียกินจนหมด และน่าจะเก็บไว้ในฐานะอาหารสำรอง แต่ตะกอนพลังต้องควบแน่นกลายเป็นก้อนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง… ตอนนี้ผ่านมานานมาก ตะกอนพลังเซนอลน่าจะตกผลึกเสร็จแล้ว ถึงแม่มดสิ้นหวังจะไม่แยแสและโยนทิ้งไว้ที่ใดสักแห่งในหมู่บ้านสายหมอก แต่ที่นี่เชื่อมต่อกับโลกวิญญาณไม่ได้ ยากจะใช้พลังทำนายค้นหา… การเดินหาไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์พิสดารแบบไหนอีก แผ่นหินออบซิเดียนอาจระเหยหายไปเองก็ได้… เราต้องแข่งกับเวลา รีบหนีออกไปโดยเร็ว… ไคลน์เดินผ่านประตูที่เปิดแง้ม กลับเข้าไปในวิหารด้วยแผนการชัดเจน
แม้จะเคยสัญญากับชารอนว่า ตนจะขายตะกอนพลัง ‘วิญญาณอาฆาต’ ของเซนอลให้มาริค แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันถูกปนเปื้อนไปมากแล้ว ยากจะนำมาปรุงเป็นโอสถ นอกจากนั้น ความปลอดภัยของตัวไคลน์เองก็สำคัญกว่า
อันที่จริง ปัญหานี้ยังมีทางออก แค่เราล่า ‘วิญญาณอาฆาต’ อีกสักคนก็สิ้นเรื่อง หรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือจากวิล·อัสตินให้ทำลายตะกอนพลังในมือมาริค จากนั้นก็รอให้มันกลับมารวมตัวในสภาพบริสุทธิ์… แต่คงต้องรอให้ทารกในครรภ์คลอดออกมาก่อน… ไคลน์พึมพำเงียบ เดินลอดใต้ฝ่าเท้าของศพที่ถูกแขวนกลางอากาศ ตรงมายังด้านข้างรูปปั้นหิน
ระหว่างทาง ชายหนุ่มพบกล่องบุหรี่เหล็กที่ใช้สำหรับเก็บหุ่นเชิด สภาพยังค่อนข้างสมบูรณ์ บ่งบอกว่ามิได้ถูก ‘เห็ด’ กลืนเข้าไป และนกหวีดทองแดงอะซิกกับเหรียญทองโลเอ็นด้านในก็ไม่เสียหาย
ขณะเก็บสิ่งของเหล่านี้กลับ ไคลน์ควบคุมด้ายวิญญาณของตนมิให้ลอยขึ้นไปหา ‘แม่เหล็ก’ บนยอดวิหาร พลางเดินไปก้มเก็บหินออบซิเดียนขึ้นมาจากพื้น
หลังจากยืนยันว่าวัตถุแสนสำคัญชิ้นนี้มิได้ชำรุด ไคลน์เบาใจลงหลายส่วน ตรวจสอบโกศดีบุกสีขาวของซาราธอย่างใจเย็น
เมื่อเปิดฝาและมองเข้าไป รูม่านตาไคลน์หดลีบกะทันหัน
ขี้เถ้าด้านในหายไป!
ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย!
ซาราธบรรลุเป้าหมาย? ไม่สิ ต้องบอกว่า เป็นอย่างที่คิด… ไคลน์โยนโกศดีบุกสีขาวทิ้ง เหยียดตัวยืนตรง นำแผ่นหินออบซิเดียนไปสอดไว้ในช่องว่างบนกำแพงด้านหลัง
กำแพงส่องแสงอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีโปร่งใส ช่วยให้มองเห็นทางเดินโบราณที่ปูด้วยอิฐ กำแพงที่มีรูโหว่ และเมฆที่ลอยอยู่ด้านนอก
เมื่อจินตนาการถึงหนอนแมลงโปร่งใสอันน่าสะพรึง ไคลน์ไม่รีบร้อนวาดสัญลักษณ์ของตระกูลอันทีโกนัส เพียงยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้วอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มจุดไฟบนต้นไม้ด้านนอกวิหาร เตรียมทางหนีในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ไคลน์ลงมือวาดดวงตาแนวตั้งซึ่งประกอบด้วยสัญลักษณ์ลึกลับมากมาย เมื่อเทียบกับคราวก่อน ภาพของจันทร์เสี้ยวและเส้นประถูกสลับตำแหน่งกัน
เมื่อตวัดเส้นสุดท้ายจบ แสงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องสว่างขึ้น ค่อยๆ ไหลไปตามเส้นสัญลักษณ์อันซับซ้อน จนกระทั่งบรรจบกันและระเบิดความเจิดจ้าออกมา
ทันใดนั้น วิหารทั้งหลังเริ่มขาดความคมชัด กลายเป็นภาพมายาอันพร่ามัวพร้อมกับสั่นสะเทือนตัวเอง
ไคลน์สัมผัสความคุ้นเคยได้จากบานประตูตรงหน้า ด้านหลังประตูมายาเป็นพระราชวังโบราณที่ตนเคยเห็น กลางอากาศมีศพมากมายถูกแขวนเรียงราย หนึ่งในนั้นคือ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทีย กำลังโยกเอนแผ่วเบาตามสายลม
หนวดรยางค์โปร่งใสที่ผิวเต็มไปด้วยลวดลายพิสดารและลึกลับ กำลังจับตัวเป็นกลุ่มก้อน พยายามพังประตูมายาตรงหน้า แต่ก็มิอาจเปิดออก อย่างไรก็ตาม เศษเสี้ยวพลังบางส่วนเล็ดลอดออกมาและพยายาม ‘ยึดครอง’ ด้ายวิญญาณของไคลน์!
ขณะเพ่งสมาธิควบคุมด้ายวิญญาณ ไคลน์ดีดนิ้วโดยไม่ลังเล หายตัวไปโผล่ท่ามกลางเปลวไฟบนต้นไม้ด้านนอกวิหาร
ถัดมา ชายหนุ่มยังคงดีดนิ้วอย่างต่อเนื่อง หนีไปยังจุดที่ไกลที่สุดของหมู่บ้านสายหมอก
หลังจากสถานะ ‘มายา’ ของวิหารกลับเป็นปรกติ ไคลน์หยุดพฤติกรรมพลางขมวดคิ้ว
ยังคงนำไปสู่พระราชวังที่มีเทวทูตคลุ้มคลั่ง…
สัญลักษณ์จากบันทึกตระกูลอันทีโกนัสก็ไม่ต่างจากซาราธ พวกมันเป็นกับดัก!
ดูเหมือนสัญลักษณ์นี้จะทำได้เพียงกระตุ้นให้ ‘ประตู’ ปรากฏตัว แต่ไม่สามารถเปิดได้ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่รอด…
เป็นสัญลักษณ์สำหรับทางเข้า? ส่วนของซาราธสำหรับใช้หลบหนี?
เราควรทำยังไง… ต้องหนีออกไปด้วยวิธีไหน?
ตามความเคยชิน ไคลน์มองไปรอบๆ หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสายหมอก ข่มสติให้เยือกเย็น ครุ่นคิดหาทางออก
มีโอกาสที่ประตูบานดังกล่าวจะไม่ใช่ทางออกเดียว… แต่ก็เป็นไปได้น้อยมาก… เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนมากมายถูกนำตัวเข้ามายังหมู่บ้านสายหมอก หากด้านนอกวิหารมีทางออกจริง ต้องมีใครสักคนหาพบนานแล้ว…
ลองสัญลักษณ์อื่น?
แล้วต้องเปลี่ยนเป็นอะไร…
ไคลน์ดำดิ่งลงในห้วงความคิด วิเคราะห์หาความเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ในความทรงจำ เผื่อจะพบสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ
สถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ประเทศรัตติกาล’ เกี่ยวข้องกับตระกูลอันทีโกนัส และไม่ว่าสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งบนบัลลังก์ยักษ์ในวังจะเป็นใคร แต่ก็ต้องเป็นเทวทูตจากเส้นทางนักทำนายแน่นอน…
ซาราธที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เป็นเทวทูตของเส้นทางนักทำนาย… สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสที่เคยมอบสัญลักษณ์ให้เราก็มีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางนี้…
เป็นไปได้ไหมว่า… สัญลักษณ์สำหรับเปิดประตูที่ถูกต้อง จะเกี่ยวข้องกับเส้นทางนักทำนาย?
ลำดับ 0 ของเส้นทางนักทำนาย มีโอกาสมากที่จะชื่อ ‘เดอะฟูล’ … เรื่องนี้เราค่อนข้างมั่นใจ ไม่อย่างนั้น เจ้าของไพ่เย้ยเทพคนเก่าคงไม่ถูกล่อลวงมายังเทือกเขาโฮนาซิสและถูกจับแขวน…
เดอะฟูล… เดอะฟูล…
เมื่อนึกถึงคำว่าเดอะฟูล ไคลน์พลันนึกถึงตัวเอง นึกถึงสัญลักษณ์ลึกลับบนหลังเก้าอี้พนักสูง – เก้าอี้ประจำตำแหน่งเดอะฟูลแห่งมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา!
ลองดูสักตั้งดีไหม… ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ตัดสินใจลองเสี่ยง เพราะไม่มีทางเลือกอื่นอยู่แล้ว
ชายหนุ่มเดินกลับไปยังวิหารที่มียอดแหลม เดินลอดใต้ขาศพที่ถูกแขวนกลางอากาศ ตรงไปยังผนังด้านหลังรูปปั้น มองเห็นหินแผ่นหินออบซิเดียนที่ตกลงมาจากช่องว่าง
หลังจากสอดหินเข้าไป ประตูกลายเป็นสีโปร่งใสอย่างรวดเร็ว ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดไฟต้นไม้ด้านนอกต้นใหม่ สูดลมหายใจยาวก่อนจะวาดสัญลักษณ์ ‘เดอะฟูล’ ซึ่งประกอบด้วย ‘เนตรไร้รูม่านตา’ และ ‘เส้นเกลียว’
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มตวัดเส้นสุดท้ายพร้อมกับความประหม่า
แต่คราวนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับบานประตูโปร่งใส
ไม่สำเร็จ… สีหน้าไคลน์เผยความขื่นขม เริ่มคิดจริงจังว่าตนอาจถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดกาล ต้องคอยห้ำหั่นกับผู้วิเศษที่จะเข้ามาเพิ่มในอนาคต กินมนุษย์ด้วยกันเองหรือไม่ก็อดตาย
ชายหนุ่มส่ายหน้าแผ่วเบา ปลงกับชะตากรรมพลางจัดระเบียบความคิด ตัดสินใจมองหาเบาะแสใหม่
สถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ประเทศรัตติกาล’ เกี่ยวข้องกับตระกูลอันทีโกนัส และทั้งสองถูกทำลายโดยโบสถ์รัตติกาล…
เทวทูต ‘นักลบ’ ที่ส่งเราเข้ามาน่าจะเป็น ‘มารดาแห่งผืนนภา’ ซึ่งอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินหลังประตูยานิสของโบสถ์รัตติกาล…
สาเหตุที่ทำให้คน ‘ไม่หลับ’ ในตอนกลางคืน หายตัวไปท่ามกลางซากสมรภูมิแห่งเทพ กล่าวกันว่าเกิดจากออร่าที่ยังตกค้างของเทพธิดารัตติกาล…
ถ้ามองจากมุมนี้ หมู่บ้านสายหมอกเกี่ยวพันโดยตรงกับ ‘อำนาจ’ ของรัตติกาล… ไม่สิ อำนาจของท่าน… หมายความว่าที่นี่เกี่ยวข้องกับพระองค์โดยตรง?
ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์รู้สึกผิดเล็กน้อย เนื่องจากตอนแรกมัวหมกมุ่นอยู่กับการวิเคราะห์ จึงเผลอเรียกเทพธิดารัตติกาลด้วยความเสียมารยาทโดยไม่รู้ตัว
และนั่นช่วยให้ชายหนุ่มมองในมุมใหม่
เราควรลองวาดสัญลักษณ์จากตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด? หรือไม่ก็สัญลักษณ์ตัวแทนเทพธิดาในเชิงศาสตร์เร้นลับ?
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ไคลน์ถอนหายใจเล็กน้อยพลางยกมือขวา วาดเส้นขีดที่เรียบง่ายซึ่งหมายถึงตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด
เพียงพริบตา ฉากด้านหลังประตูโปร่งใสเริ่มกระเพื่อมเหมือนผิวน้ำ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
แม้จะยังเห็นพระราชวังโบราณ ทางเดินหินเก่าแก่ และกำแพงมีรูโหว่ แต่คราวนี้ ฉากดังกล่าวอยู่ห่างออกไปไกลมาก มองเห็นได้เพียงเลือนรางเท่านั้น!
ด้านหลังประตูเป็นผาหินที่มองไม่เห็นก้น มีก้อนหินขรุขระเล็กใหญ่ มีเมฆลอยกลางอากาศ มีดวงดาวและดวงจันทร์สีแดงที่มิได้ถูกแสงอาทิตย์กลบ คล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขา!
สำเร็จ… ไคลน์จ้องมองฉากหลังกำแพงใสด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะเหยียดฝ่ามือออกไปผลักเปิด
สายลมเอื่อยด้านนอกพัดผ่านเข้ามาพร้อมกับเสียงลมหวีด
ขณะเตรียมก้าวออกไป ไคลน์ชะงักและครุ่นคิดอีกครั้ง
ถัดมา ชายหนุ่มโยนเหรียญทองเพื่อทำนายผล ได้รับคำตอบว่าด้านนอกไม่มีอันตราย
มันรีบวาดสัญลักษณ์ ‘พระจันทร์สีแดง’ กลางหน้าอกทันที สวมบทบาทเป็นสาวกเคร่งศาสนา!
จัดการเสร็จ ไคลน์ก้าวเท้าขวาออกไปก่อน เดินผ่านประตูมายาด้วยท่าทีประหม่าเล็กๆ
ทัศนวิสัยของชายหนุ่มดำมืดกะทันหัน มองเห็นเพียงค่ำคืนที่ไร้ขอบเขตและดวงดาวพร่างพราย แต่หลังจากผ่านไปสักพัก ไคลน์ได้รับการมองเห็นกลับมาและพบว่าตนกำลังยืนอยู่บนยอดเขา รอบตัวมีหิมะที่ไม่ละลาย มีก้อนหินขรุขระน้อยใหญ่ มีแสงแดดยามเช้า แต่นอกจากนี้ก็ไม่พบอะไรอีก
ออกมาได้แล้ว… เราปลอดภัยแล้ว? ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาสำรวจรอบตัว รีบเปลี่ยนให้ยุบพองหิวโหยในมือซ้ายโปร่งใสพร้อมกับกระตุ้นพลัง ‘ท่องเที่ยว’
หากกระตุ้นพลังสำเร็จ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่าตนออกจากหมู่บ้านสายหมอกมาแล้ว และกำลังอยู่บนโลกความจริง จากนั้นก็จะรีบใช้พลังท่องเที่ยวหนีไปยังตำแหน่งปลอดภัย แต่ถ้ากระตุ้นพลังไม่สำเร็จ ไคลน์คิดจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างละเอียด เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีที่ไม่คาดฝัน
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ไคลน์หายตัวไปจากจุดเดิมที่เคยยืน โดยในเวลาเดียวกัน การมองเห็นเต็มไปด้วยริ้วแสงสีสันฉูดฉาดซ้อนทับหลายชั้น ร่างอันเลือนรางนับไม่ถ้วนเวียนว่ายไปมา
มันส่งตัวเองเข้าสู่โลกวิญญาณสำเร็จ!
ราชันเร้นลับ 845 : กลับมา
โลกวิญญาณของจริง… ไคลน์โล่งใจ พึมพำกับตัวเองเงียบงัน
โดยไม่ต้องรอยืนยันเพิ่มเติม พลังวิญญาณและสัมผัสวิญญาณได้บอกชายหนุ่มอย่างชัดเจน ที่นี่คือโลกวิญญาณของจริง!
และนั่นยังหมายความว่า ไคลน์กลับมายังโลกแห่งความจริงแล้ว – โลกที่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศ!
น้ำตาจะไหล… ไคลน์หัวเราะกับตัวเองพลางครุ่นคิดว่า ตนควรไปที่ไหนต่อ
จากตำแหน่งของดวงดาว พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ปัจจุบันยังเป็นช่วงเช้า… ถ้าเวลาในหมู่บ้านสายหมอกกับโลกความจริงเดินเร็วเท่ากัน ตอนนี้ก็น่าจะสักเจ็ดโมงครึ่ง… คนงานคงรู้แล้วว่าเพื่อนร่วมงานหายไป แต่ยังไม่น่าจะแจ้งให้บิชอปหรือนักบวชทราบ…
แม้พวกเขาจะถูกฝึกอบรมเป็นอย่างดี มีการรายงานความผิดปรกติให้เบื้องบนทราบตามระเบียบปฏิบัติ แต่ก็คงเผื่อเวลาสำหรับกรณีใครบางคนออกไปเดินเล่นหรือท้องเสีย รอยืนยันให้แน่ใจสักสิบนาทีจึงค่อยเริ่มรายงาน…
และหลังจากได้รับรายงาน บิชอปกับนักบวชคงยังมองไม่เห็นปัญหาในทันที อาจคิดแค่ว่าคนงานหลบหนี ยากจะเชื่อมโยงเรื่องราวเข้ากับผู้คุม กว่าความจริงจะค่อยๆ กระจ่างด้วยพลังทำนาย เหตุการณ์ก็ผ่านไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง…
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขายังไม่ค้นหาแบบปูพรมรอบๆ วิหาร จึงยังไม่น่าจะพบการหายตัวไปของดอน·ดันเตส…
อา… หากสูตรโอสถจอมเวทพิสดารของซาราธถูกต้อง ตัวตนดอน·ดันเตสยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอีกหลายเรื่อง หากเป็นไปได้ เราควรพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาเอาไว้…
และเหนือสิ่งอื่นใด เครื่องนุ่งห่มของเราในปัจจุบันมีเพียงกางเกงในที่เป็นของจริง… ถ้าไปโผล่ที่อื่น เกรงว่าคงได้ถูกมองเป็นพวกวิตถาร…
ไคลน์มีแผนในใจอยู่แล้ว จึงหยิบกล่องบุหรี่โลหะที่รัดด้วยยางยืดออกจากกระเป๋าเสื้อมายา เปิดฝาและหยิบเหรียญทอง
“การกลับไปยังบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนเป็นเรื่องอันตราย” ไคลน์พึมพำแผ่วเบาเจ็ดหน ดีดเหรียญทองขึ้นฟ้า จ้องมองวัตถุโลหะหมุนผ่านโลกวิญญาณก่อนจะตกลงบนฝ่ามือ
ออกก้อย หมายถึงปฏิเสธ!
ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ ตามด้วยการส่งตัวเองกลับไปยังกรุงเบ็คลันด์
หลังจาก ‘เที่ยว’ สามครั้ง ร่างกายชายหนุ่มปรากฏภายในห้องนอนใหญ่ของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ผ้าม่านถูกขึงมิดชิด แสงสลัวลอดผ่านเล็กน้อย เหมาะแก่การนอนอย่างมาก
และบนเตียงใหญ่ ดอน·ดันเตสกำลังอยู่ในท่านอนหงาย สองมือจับชายผ้าห่มใกล้กับลำคอ
ดูเหมือนว่าเราจะยังไม่ถูกสอบสวน… สภาพดูไม่ได้เลยแฮะ… ขณะไคลน์โล่งใจ ร่างของดอน·ดันเตสสลายไปในพริบตา หดกลับไปเป็นกระจกเงาขนาดเท่าฝ่ามือ
ผิวกระจกมีคลื่นน้ำกระเพื่อม แสงสีเงินเรียงตัวกันเป็นข้อความภาษาโลเอ็น
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และถ่อมตน อาโรเดสผู้นี้มิอาจสัมผัสถึงนายท่านได้สักพักใหญ่!”
“ไม่มีอะไร” ไคลน์ตอบกำกวม
สิ่งนี้ทำให้ไคลน์ยืนยันได้อีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือ อาโรเดสไม่สามารถส่องเข้าไปในโลกของหมู่บ้านสายหมอก ทั้งที่กระจกวิเศษบานเดียวกันสามารถส่องจนเห็นซาราธที่กำลังคลุ้มคลั่ง!
เพราะหมู่บ้านสายหมอกเกี่ยวข้องกับอำนาจขอเทพ? ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่งก่อนจะถาม
“มีใครมาหาเราไหม?”
“ไม่ขอรับ ไม่มีใครมารบกวนนายท่าน” อักษรสีเงินบนผิวกระจกหดตัวและเรียงเป็นคำใหม่
ไคลน์โล่งใจมาก ตอบกลับ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส
“เจ้ากลับไปก่อน ไว้มีธุระจะเรียกหาอีกครั้ง”
“ขอรับ นายท่าน ลาก่อน~” เฉกเช่นทุกครั้ง อาโรเดสวาดสักลักษณ์โบกมือทิ้งท้ายข้อความ
หลังจากคลื่นกระเพื่อมมายาหายไป กระจกเงากลับคืนสภาพปรกติ ไคลน์เดินไปที่เตียงและนำชุดอ่อนข้างใต้ออกมาสวม
จากนั้น ชายหนุ่มเดินไปหยิบเทียนไขและสิ่งของที่จำเป็น เดินเข้าห้องน้ำเพื่อประกอบพิธีกรรม เตรียมส่งยุบพองหิวโหย นกหวีดทองแดงอะซิก กล่องบุหรี่โลหะ และวัตถุเหนือธรรมชาติอื่นๆ เข้าไปในมิติเหนือสายหมอก หลีกเลี่ยงการสอบสวนที่อาจเกิดขึ้น
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์ไม่รีรอที่จะส่งตัวเองขึ้นมานั่งบนเก้าอี้เดอะฟูล เสกสูตรโอสถจอมเวทพิสดารขึ้นมาตรงหน้า
“ลำดับ 4: จอมเวทพิสดาร”
“วัตถุดิบหลัก: ดวงตาหลักของมารพิสดาร, ร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณ”
“วัตถุดิบเสริม: เลือดมารพิสดารสองร้อยมิลลิกรัม, ฝุ่นของหัวขโมยโลกวิญญาณสามสิบกรัม, เปลือกไม้เบิร์ชขนแดงสิบกรัม, เถาองุ่นทองคำหนึ่งเถา, หน้ากากยางทำเองขนาดหนึ่งหัวแม่มือ”
“พิธีกรรมเลื่อนลำดับ: อาศัยฝีมือและแผนการอันแยบยลของตัวเอง ชักใยให้เกิดฉากการสังหารสัตว์วิเศษระดับครึ่งเทพขึ้นไปต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก และทันทีที่ลงมือเสร็จ ดื่มโอสถปิดท้าย”
ไคลน์ยังไม่มีเวลาวิเคราะห์ว่าพิธีกรรมเช่นนี้มีเพื่ออะไร เพียงลงมือเขียนข้อความหนึ่งด้านหลังกระดาษโอสถ
จากนั้น ชายหนุ่มเสกลูกตุ้มวิญญาณจากกองขยะ ถือไว้ด้วยมือซ้ายและเริ่มการทำนาย
เพียงไม่นาน ไคลน์ลืมตาขึ้นและเห็นจี้บุษราคัมหมุนตามเข็มนาฬิกา
สิ่งนี้หมายความว่า สูตรโอสถจอมเวทพิสดารแผ่นนี้เป็นของจริง!
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจออก สำรวจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับยุบพองหิวโหยด้วยท่าทีผ่อนคลาย รวมถึงการค้นหาผลข้างเคียงในเชิงลบ
หลังจากทำนายฝันจากหลากหลายแง่มุม ทั้งทางตรงและทางอ้อม ชายหนุ่มทราบสถานการณ์ปัจจุบันภายในเวลาไม่ถึงสองนาที
ยุบพองหิวโหยสามารถต้อนวิญญาณเข้ามาได้เจ็ดดวง ทุกครั้งที่ต้อนวิญญาณจะได้รับพลังพิเศษสองถึงสามชนิด โดยที่ผู้สวมสามารถเจาะจงเลือกได้หนึ่งชนิด
ปัจจุบันมีดวงวิญญาณถูกกักขังอยู่ถึงแปด เกิดจากการหลอมรวมและกลายพันธุ์โดยฝีมือ ‘บริเวณเร้นลับ’ แต่เนื่องจากมีจำนวนดวงวิญญาณมากเกินไป ภายในถุงมือจึงมีสภาพ ‘แออัด’ จนพลังบางชนิดใช้การไม่ได้ จำเป็นต้องปล่อยวิญญาณออกไปอย่างน้อยหนึ่งดวงเพื่อให้กลับเป็นปรกติ
จากบรรดาวิญญาณแปดดวง ดวงแรกคือ ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ ของ ‘นักเจรจา’ มีซอร์·คิง แต่วิญญาณได้ผสานกับวิญญาณชนิดเดียวกันที่มิสเตอร์ A เคย ‘ต้อนแกะ’ เข้ามาเก็บในตัว ส่งผลให้นอกเหนือจากพลัง ‘บิดเบือน’ และ ‘ติดสินบน·อ่อนแอ’ ยังมีความสามารถเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งชนิดคือ ‘กัดกร่อน’ ส่งผลให้หัวใจของเป้าหมายในระยะสิบเมตรทวีความดำมืด กลายเป็นคนโลภที่สูญเสียเหตุและผลได้ง่าย
ดวงที่สองคือ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ของจิลเซียส วิญญาณของมันผสานเข้ากับวิญญาณ ‘ปีศาจ’ ที่มิสเตอร์ A เคยต้อนแกะ ส่งผลให้พลัง ‘ลางสังหรณ์อันตราย’ ซึ่งค่อนข้างไร้ประโยชน์เพราะต้องคอยกระตุ้นถุงมือล่วงหน้า ถูกแทนที่ด้วย ‘ลูกบอลไฟกำมะถัน’ นอกจากนั้นยังมีการยกระดับ ‘ดาบแมกมา’ และ ‘วาจากัดกร่อน·เชื่องช้า’
ดวงที่สามคือ ‘นักท่องเที่ยว’ มิสเตอร์ X ลูอิส·เวย์น ดวงวิญญาณของมันผสานเข้ากับวิญญาณของ ‘นักบันทึก’ ที่มิสเตอร์ A เคยต้อนแกะ พลัง ‘ท่องเที่ยว’ และ ‘เปิดประตู’ ยังคงอยู่ แถมยังมีพลัง ‘บันทึก’ เพิ่มเข้ามา แต่พลังบันทึกจากวิญญาณดวงนี้ค่อนข้างพิเศษ เพราะจะบันทึกได้เฉพาะพลังของครึ่งเทพเท่านั้น โดยที่มีโอกาสสำเร็จมากกว่าปรกติ ถึงจะยากลำบากไปสักนิด แต่ถ้าไม่โชคร้ายเกินไป ไม่เกินเจ็ดแปดครั้งก็น่าจะบันทึกสำเร็จ เงื่อนไขเพิ่มเติมก็คือ สามารถบันทึกพลังของครึ่งเทพได้ไม่เกินสองชนิด และยังต้องไม่สูงกว่าลำดับสาม
ดวงที่สี่คือ ‘ซอมบี้’ ของแม็ควิตี้ วิญญาณดวงนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วยพละกำลังซอมบี้ ควบคุมน้ำแข็ง และบงการซอมบี้
ดวงที่ห้าคือ ‘แม่มดทุกข์ระทม’ ของสตรีนิรนามสักคน ช่วยให้ผู้สวมเปี่ยมด้วยเสน่หาและปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ดูดี นอกจากนั้นยังมีพลัง ‘โรคภัย’ ซึ่งรัศมีกว้างถึงห้าสิบเมตร สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในระยะจะค่อยๆ ประสบอาการป่วยจากเบาไปหาหนัก ในช่วงแรกจะมีอาการคันผิวหนังคล้ายภูมิแพ้ พัฒนาไปเป็นหวัดและมีไข้สูง ราวยี่สิบถึงสามสิบวินาทีถัดมา อาการจะลุกลามกลายเป็นปอดบวมและโรคร้ายแรงชนิดอื่น ถ้าปล่อยไว้นานถึงสองสามนาที กล้ามเนื้อหัวใจอาจล้มเหลวเฉียบพลันหรือไม่ก็สมองตาย
ดวงที่หกเป็นของ ‘ข้ารับใช้วายุ’ นิรนาม พลังทั้งสามชนิดประกอบด้วย บินระยะสั้น ดำน้ำลึก และควบคุมน้ำ
ดวงที่เจ็ดเป็นของ ‘นักปลอบวิญญาณ’ นิรนาม มีพลังสองชนิด ประกอบด้วย ‘ดึงเข้าสู่ห้วงความฝัน’ และ ‘กล่อมหลับร่างวิญญาณ’
ดวงที่แปดเป็นของ ‘แพทย์’ นิรนาม มีพลังสามชนิด ประกอบด้วย ‘จำแนกเวลา’ ‘รักษาโรคร้าย’ และ ‘เย็บวิญญาณ’
ขณะเดียวกัน ยุบพองหิวโหยเองก็พลังใหม่ในตัวเอง ประกอบด้วย ‘ซ่อนในเงามืด’ และ ‘ระเบิดเนื้อ’ นอกจากนั้นยังมีโอกาสต้อนวิญญาณลำดับ 4 นักบุญสำเร็จ
ทรงพลังขึ้นมาก… ขณะเริ่มดีใจ ไคลน์ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อได้ทราบผลข้างเคียง
ปัจจุบัน ยุบพองหิวโหยต้องกินคนทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะกลืนกินผู้สวมแทน แถมยังคอยสรรเสริญพระผู้สร้างแท้จริงในหัวผู้สวมเป็นระยะ นำมาซึ่งความสับสนทางความคิดและอาการปวดศีรษะ นอกเหนือจากสองเรื่องดังกล่าว ยุบพองหิวโหยรุ่นใหม่ยังกลัวเห็ด หากในรัศมีห้าเมตรมีเห็ด มันจะมิอาจใช้พลังใดได้เลย
สรรเสริญพระผู้สร้างแท้จริง… ฟังดูน่ารำคาญไม่น้อย เช่นเดียวกันกับการต้องกินคนทุกวัน… ไม่มีทางเลือก คงต้องโยนไว้บนหมอกสีเทาสักพัก ปล่อยให้มันได้สงบสติอารมณ์ แต่ถ้ายังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง เห็นทีต้องเขียนจดหมายปรึกษามิสเตอร์อะซิก… ไคลน์วางแผนเสร็จสรรพ และตัดสินใจปล่อยวิญญาณ ‘นักปลอบวิญญาณ’ โดยไม่ลังเล
ชายหนุ่มมีแผนจะปล่อย ‘ข้ารับใช้วายุ’ และ ‘แพทย์’ ในอนาคต รวมถึง ‘แม่มดทุกข์ระทม’ หากมีโอกาส
ด้านข้างโต๊ะทองแดงยาว ดวงวิญญาณของ ‘นักปลอบวิญญาณ’ ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า แต่เนื่องจากเกิดการกลายพันธุ์รุนแรงโดยฝีมือของเทวทูตลำดับ 1 วิญญาณจึงสลายไปทันทีที่ออกจากภาชนะ
ตะกอนพลังของมันควบแน่นในจุดที่เคยยืน ลักษณะเป็นก้อนสีดำล้วน มีแสงสว่างกะพริบในตำแหน่งกึ่งกลาง คล้ายกับค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวพราวพราย
จัดการเสร็จสรรพ ไคลน์ไม่มัวรีรอ รีบโยนยุบพองหิวโหยเข้าไปในกองขยะและส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง จบพิธีกรรมและจัดการเก็บกวาดร่องรอย
ถัดมา ชายหนุ่มล้างหน้าและแปรงฟันตามปรกติ เปลี่ยนให้ดอน·ดันเตสดูสดชื่น
หลังออกจากห้องน้ำ ไคลน์ในชุดนอนเดินไปที่ประตูห้องและเปิดออก กล่าวกับบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันด้านนอก
“เตรียมชุดอยู่บ้านให้ผม”
“ครับ นายท่าน” ริชาร์ดสันมิได้ถามว่าทำไม เพียงเดินไปยังห้องลองชุดด้านข้าง
หลังจากยืนมองแผ่นหลังบุรุษรับใช้ ไคลน์เพิ่งมั่นใจว่าตนได้หลุดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวงอย่างแท้จริง กลับมาหายใจสะดวกและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ราชันเร้นลับ 846 : ค้นหาเป้าหมาย
วิหารนักบุญแซมมวล หลังประตูยานิส
นักบุญแอนโทนี อาร์ชบิชอปแห่งกรุงเบ็คลันด์กำลังยืนบนทางขึ้นบันไดที่เชื่อมกับชั้นใต้ดินที่หนึ่งและสอง เฝ้ามองเหล่าอาวุโสของเหยี่ยวราตรีหลายคนเดินวุ่นวายไปมา หลายคนสวมถุงมือสีแดง
ในฐานะผู้เป็นปากเสียงของโบสถ์รัตติกาลสาขาเมืองหลวง ใบหน้าแสนสะอาดสะอ้านและปราศจากหนวดเคราของนักบุญแอนโทนีแทบไม่เผยให้เห็นอารมณ์ที่แท้จริง ดวงตาลุ่มลึกและมืดสนิทมิได้พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ เพียงแต่ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาล้วนเกิดความหวาดกลัวที่ยากอธิบายจากก้นบึ้ง
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป หลังจากตรวจนับคลังพัสดุ อุปกรณ์เชิงศาสตร์เร้นลับทั้งหมดยังอยู่ครบถ้วน รวมถึงวัตถุดิบหลักและตะกอนพลังสำหรับปรุงโอสถด้วยครับ”
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป สูตรการปรุงโอสถทั้งหมดยังอยู่ในตำแหน่งเดิม นอกจากนั้นยังยืนยันได้ว่าไม่มีใครผ่านเข้าออกห้องภายในแปดชั่วโมงหลังสุดครับ”
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป นักโทษที่ถูกคุมตัวในห้องใต้ดินชั้นหนึ่งยังไม่มีใครหลบหนี ยังไม่มีใครเสียชีวิต”
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป ไม่มีวัตถุวิญญาณหรือเอกสารโบราณได้รับความเสียหาย ไม่มีชิ้นใดขยับเขยื้อนครับ”
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป สมบัติปิดผนึกระดับ 3 และ 2 ยังอยู่ครบถ้วน ไม่มีชิ้นใดถูกนำออกไปครับ”
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป สมบัติปิดผนึกระดับ 1 ทั้งสามชิ้นยังอยู่ในสภาพถูกผนึก ไม่มีร่องรอยการนำออกมาครับ”
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป แก่นผนึกยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีส่วนใดชำรุดครับ”
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่มีวัตถุใดเพิ่มเข้ามา และไม่มีเบาะแสของอันตรายตกค้างอยู่”
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป พวกเราไม่พบศัตรูที่ปลอมตัวเป็นผู้คุม ราวกับว่าเขา… ระเหยไปในอากาศ…”
ท่ามกลางถ้อยคำรายงานของอาวุโส เรื่องราวยิ่งทวีความผิดแผกแปลกประหลาด
พวกมันไม่เข้าใจเลยสักนิด ผู้วิเศษที่ชาญฉลาดและกล้าเสี่ยงอันตราย หลังจากวางแผนอันแยบยล ซับซ้อน และรอบคอบจนสามารถลอบเข้ามาในประตูยานิสได้สำเร็จ กลับไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวออกไปเลย มีเพียงการเดินสำรวจหนึ่งรอบเท่านั้น!
ราวกับอีกฝ่ายทำไปเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตน หรือไม่ก็ช่วยโบสถ์รัตติกาลมองหาช่องโหว่ของประตูยานิส
โซสต์ อาวุโสผู้นำหน่วยถุงมือแดงมองไปรอบๆ พลางคาดเดาจากข้อสันนิษฐานส่วนตัว
“ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอป… หรือนี่จะเป็นพิธีกรรมเลื่อนลำดับของบางเส้นทาง?”
หลังจากทำภารกิจปราบปีศาจมาหลายครั้ง โซสต์มีแนวคิดโน้มเอียงไปในทางพิธีกรรม เพราะหลังจากลำดับ 5 พิธีกรรมเลื่อนลำดับของแต่ละเส้นทางล้วนพิสดารและหลากหลาย และโบสถ์รัตติกาลก็ไม่มีข้อมูลทั้งหมด
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คล้ายกับโซสต์นึกสีหน้าที่คนร้ายกำลังทำออก อีกฝ่ายคงพูดว่า ‘กระทั่งประตูยานิสของโบสถ์รัตติกาลก็ไม่ต่างอะไรกับสวนหลังบ้านของฉัน พวกเหยี่ยวราตรีหน้าโง่นั่นคงกำลังแตกตื่นและตระหนักถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเอง’
ต้องจับมันให้ได้! โซสต์กำหมัดที่สวมถุงมือสีแดงแน่น
ขณะนักบุญแอนโทนีเตรียมกล่าวบางสิ่ง อีกหนึ่งอาวุโสของเหยี่ยวราตรี ดาลีย์·ซิโมเน่เสนอความเป็นไปได้
“บางที ผู้บุกรุกอาจจ้องจะขโมยสมบัติปิดผนึกบางชิ้น แต่ถูกผลข้างเคียงเล่นงานจนตายคาที่และถูกเก็บกวาดจนสะอาดหมดจด”
นักบุญแอนโทนีพยักหน้า
“ผมจะลงไปตรวจสอบที่ชั้นสาม”
กล่าวจบ มันเดินลงบันไดไปยังชั้นสอง และอาศัยทางลับในจุดอับเปิดประตูลงไปยังชั้นสาม
อาวุโสคนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ความลับนี้ จึงทำได้เพียงยืนรอในจุดเดิมอย่างใจเย็น
ผ่านไปสักพัก นักบุญแอนโทนีเดินลงมาถึงชั้นสามที่มีค่อนข้างแคบ กวาดสายตาไปรอบๆ และยืนยันว่าสมบัติปิดผนึก 1-29 และ 1-80 ยังคงอยู่ในสภาพปรกติ
หลังจากปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเข้มงวด มันสำรวจ 1-80 และ 1-29 จนพบว่า 0-17 ยังคงนอนอยู่ด้านในด้วยดวงตาที่ปิดลงครึ่งหนึ่งเฉกเช่นทุกครั้ง
ระหว่างนี้ นักบุญแอนโทนีเดินเข้าหาสามก้าวและถอยหลังสามก้าว เปลี่ยนตำแหน่งเป็นครั้งคราว รวมถึงก็ปล่อยให้ร่างกายถูกปกคลุมด้วยม่านราตรีสีดำสนิท ไม่กล้าละเลยรายละเอียดเพียงเล็กน้อย
แม้จะเป็นนักบุญ แต่มันก็ไม่กล้าดูแคลนสมบัติปิดผนึกภายในห้องนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงพลังในการทำลายภาชนะของ 0-17 ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผนึกของ 1-29 และ 1-80 เสื่อมสภาพชั่วคราว ลำพังตัว 1-29 และ 1-80 เองก็นับว่าอันตรายมากแล้ว แอนโทนีไม่อยากกลายเป็นชายความจำเสื่อมที่ต้องหัดกินหัดเดินใหม่ ไม่อยากกลายเป็นส่วนหนึ่งของความฝันระหว่างโลกความจริงและภาพมายา
ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ… แอนโทนีถอนหายใจผ่อนคลาย เริ่มผนึกสมบัติปิดผนึก ‘ภาชนะ’ ทั้งสองชนิดให้กลับไปอยู่ในสภาพเดิม
ไม่กี่นาทีถัดมา เหล่าอาวุโสของเหยี่ยวราตรีเห็นเจ้าคุณท่านอาร์ชบิชอปของพวกมันเดินกลับถึงชั้นบน
“ผู้บุกรุกน่าจะเสียชีวิตเนื่องจากสัมผัสกับสมบัติปิดผนึก” เสียงของนักบุญแอนโทนีคลุมเครือเล็กน้อยในตอนที่พูดว่า ‘เสียชีวิต’
โดยไม่อธิบายเพิ่มเติม มันออกคำสั่ง
“อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ต้องถูกสอบสอนให้กระจ่าง มีโอกาสสูงที่คนร้ายจะมีผู้สมรู้ร่วมคิด! การลอบเข้ามาในวิหารนักบุญแซมมวลอย่างเงียบเชียบคือเครื่องพิสูจน์ว่าพวกมันคุ้นเคยกับที่นี่ คุ้นเคยกับเวรการเฝ้าของผู้คุม คุ้นเคยกับกระบวนการของเหยี่ยวราตรี มีพลังหรือสมบัติวิเศษช่วยในการแปลงโฉม นอกจากนั้นยังได้รับความช่วยเหลือจากผู้วิเศษที่ครอบครองสมบัติวิเศษเส้นทางรัตติกาล หรือไม่ก็เป็นพลังของตัวเอง… พิจารณาจากเงื่อนไขทั้งหมด จงตรวจสอบว่ามีคนงานและนักบวชคนใดถูกสื่อวิญญาณบ้างหรือไม่ ตรวจว่ามีบิชอปทอดทิ้งเทพธิดาบ้างไหม ตรวจสอบว่ามีสาวกหน้าใหม่คนใดบ้างที่แวะมาวิหารบ่อยครั้งในระยะหลัง… นอกจากนั้น แยกย้ายออกไปสืบสวนชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง บางทีอาจได้ฟังเบาะแสบางอย่าง รวมถึงสิ่งของบางชิ้นที่ถูกขโมยไป ผมจะแบ่งหน้าที่ให้เหมาะสมกับแต่ละคน… นอกจากนั้น อย่างลืมค้นหาเบาะแสของคนงานที่หายตัวไป”
“ขอรับ ท่านเจ้าคุณบิชอป” โซสต์และอาวุโสของเหยี่ยวราตรีคนอื่นๆ ต่างขานรับ
…
ภายในห้องทำงานที่มีบรรยากาศตึงเครียด เลียวนาร์ด·มิเชลมิได้นำเท้ามาวางบนโต๊ะเหมือนอย่างเคย แต่กำลังนั่งในท่าจริงจังและทำสีหน้าขึงขัง
เพราะนี่คือครั้งที่สองที่มันได้เผชิญเหตุการณ์ซึ่งคนร้ายเพ่งเล็งสิ่งของด้านหลังประตูยานิส ความทรงจำเก่าแก่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
และเหนือสิ่งอื่นใด มันและคนร้ายที่ปลอมตัวเป็นผู้คุมเคยเดินสวนกัน แต่กลับไม่พบความผิดปรกติเลยสักนิด!
ถ…ถ้าเราแข็งแกร่งขึ้น มีพลังการสังเกตที่ดีกว่านี้ อาจจะพอเอะใจได้บ้าง… เลียวนาร์ดเม้มริมฝีปากแน่นพลางก้มมองเอกสารตรงหน้าแต่ไม่ได้อ่าน รอจนกระทั่งเพื่อนร่วมงานคนอื่นเดินเข้ามา
“ผู้คุมคนนั้นตื่นแล้ว เขาไม่เห็นหน้าคนร้าย รู้เพียงว่าตัวเองถูกวิญญาณอาฆาตสิงร่าง” ถุงมือแดงที่เดินเข้ามากล่าวกับทุกคน
“วิญญาณอาฆาตเข้ามาในวิหารได้ยังไง…” ถุงมือแดงหลายคนผุดคำถาม แต่ไม่มีใครตอบได้
บางที วิญญาณอาฆาตตนนั้นอาจนับถือเทพธิดา… เลียวนาร์ดพึมพำเงียบ รอจนกระทั่งไม่มีใครในห้องสังเกตเห็นจึงค่อยกระซิบกระซาบกับตัวเองเสียงเบา
“ตาแก่… ในตอนที่เดินสวนกัน คุณไม่พบความผิดปรกติบ้างหรือ?”
เสียงค่อนข้างชราดังก้องในหัว
“ข้ามิได้สังเกตโลกสายนอกตลอดเวลา โดยเฉพาะในยามที่อยู่ใกล้ประตูยานิส”
เลียวนาร์ดไม่กล้าซักไซ้มากกว่านี้ ตัดสินใจร่วมวงสนทนากับเพื่อนร่วมงาน
ผ่านไปสักพัก หัวหน้าหน่วยถุงมือแดง โซสต์ เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับโยนเอกสารกองหนึ่งลงบนโต๊ะ
“นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องตรวจสอบ บิชอปมอบรายชื่อของสาวกที่แวะมาวิหารบ่อยครั้งในระยะหลัง”
เลียวนาร์ดชำเลืองเอกสาร พบชื่อที่คุ้นเคยบนหน้าหลังของเอกสารแผ่นแรก
ดอน·ดันเตส!
นี่มัน… เพียงไม่ถึงสองเดือนหลังจากตาแก่ที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สี่เพิ่งย้ายมาในละแวกใกล้เคียง ประตูยานิสถูกลอบแทรกซึม นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงหรือ? และชายคนนั้นมักแวะมาที่วิหารนักบุญแซมมวลบ่อยครั้ง คงมาสังเกตการณ์เวรยาม… ถึงข้อแก้ตัวของตาแก่จะแหม่งๆ ไปบ้าง แต่ถ้าคนร้ายคือดอน·ดันเตส นั่นจะสมเหตุสมผลทันที ตาแก่ไม่อยากให้ตัวเองถูกเปิดเผย จึงแสร้งทำเป็นไม่พบความปรกติ… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองเลียวนาร์ด·มิเชล ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม
“หัวหน้าโซสต์ คนร้ายนำสิ่งใดออกไปบ้าง? มีเบาะแสอะไรเหลืองทิ้งไว้?”
โซสต์กวาดสายตาสำรวจห้องสักพัก
“ไม่มีสิ่งใดถูกขโมย ภายในประตูยานิสมีสภาพเหมือนใหม่ราวกับไม่เคยถูกแทรกซึม เบื้องต้นท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอปสงสัยว่า คนร้ายเสียชีวิตและระเหยไปด้วยพลังของสมบัติปิดผนึกบางชนิด งานหลักของพวกเราคือการตามหาผู้สมรู้ร่วมคิด”
ไม่มีทาง ดอน·ดันเตสไม่มีทางตายง่ายขนาดนั้นแน่! หมอนั่นคือสัตว์ประหลาดที่เหลือรอดมาจากยุคสมัยที่สี่… แต่ว่า เขาแอบเข้ามาทำอะไร? เลียวนาร์ดขมวดคิ้วด้วยความลังเลสักพัก ก่อนจะเริ่มวางแผนอาสาสืบสวนดอน·ดันเตสด้วยตัวเองพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน
รอจนกระทั่งถุงมือแดงและเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นแยกย้ายออกไปทำงาน เลียวนาร์ดหาข้ออ้างเข้าห้องน้ำ ลดเสียงลงและกล่าว
“คุณมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับดอน·ดันเตส”
เลียวนาร์ดไม่สนใจจะถามจี้เกี่ยวกับคำโกหกของปรสิต
เสียงค่อนข้างชราหัวเราะในลำคอ
“ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ข้าไม่มีข้อมูลของเขามากนัก รู้เพียงว่ามีบางสิ่งที่พิเศษในตัว มีออร่ากลิ่นอายโบราณ… แต่คดีที่เจ้าเคยสืบเมื่อนานมาแล้วทำให้ข้าฉุกคิด… บางที ดอน·ดันเตสอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นตัวแทนของตัวตนลึกลับและยิ่งใหญ่บางคน”
“คดีไหน? ตัวตนลึกลับใด?” เลียวนาร์ดกระซิบถามอย่างประหลาดใจ
เสียงชราในหัวตอบกลับด้วยโทนแปลกๆ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”
…
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน
หลังจากจัดการอาหารเช้าเสร็จ ไคลน์กลับมาที่ห้องกึ่งเปิดโล่งซึ่งมีระเบียงใหญ่ นั่งบนเก้าอี้เอนหลังพลางยกมือลูบหน้าผาก
แม้ความเครียดจะบรรเทาลงหลายส่วน แต่ไคลน์ก็ยังพบว่าจิตของตนเหม่อลอยเป็นพักๆ บ้างนึกถึงศพที่ถูกแขวนกลางอากาศภายในวิหารเก่าแก่ บ้างเห็นกลุ่มก้อนของหนอนโปร่งใส บ้างได้ยินเสียงเพรียกมายาในโสตประสาทว่า
“โฮนาซิส… เฟรเกีย…”
แม้เราจะรีบตัดขาดการเชื่อมต่อกับหุ่นเชิด แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ ดวงวิญญาณถูกกัดกร่อนบางส่วน… สมกับเป็นสัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์… ไว้การสืบสวนเบื้องต้นจากโบสถ์รัตติกาลจบลงเมื่อไร เราคงต้องรีบแก้ปัญหานี้โดยเร็ว… ไคลน์ถอนหายใจออกผ่อนคลายและเชื่องช้า อาศัยการเข้าฌานช่วยให้จิตใจสงบลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น