Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 837-842

 ราชันเร้นลับ 837 : ถูกแขวน

เมื่อแสงจันทร์สีแดงหรี่ลง ไคลน์ผุดความคิดหนึ่งในใจ


พระจันทร์สีแดงกำลังจะถูกหมอกปกคลุมอีกครั้ง!


ขณะฉุกคิด ร่างเลือนรางด้านนอกที่กำลังเดินผ่านไปมา หายไปกับความว่างเปล่าประหนึ่งไอน้ำระเหย เสียงคำรามต่ำของสัตว์ป่าหยุดชะงักทันที


สภาพแวดล้อมกำลังจะกลับไปเป็นปรกติ… แม่มดสิ้นหวัง พานาเทียจะออกอาละวาดอีกครั้ง… มิสเตอร์ A ไม่จำเป็นต้องกังวลอันตรายจากภายนอก สามารถเปิดฉากกระหน่ำโจมตีใส่เหยื่อได้อย่างอิสระ… หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ ไคลน์ตัดสินใจยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้ว เผาไหม้ใบไม้ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร


ชายหนุ่มต้องการสร้างระยะห่างจากมิสเตอร์ A เพื่อหลีกเลี่ยงการป่วย ขณะเดียวกันก็เตรียมประเมินสถานการณ์ ตรวจสอบว่าควรเข้าไปเสี่ยงภายในวิหารหรือไม่


สำหรับตัวปัญหาทั้งสอง ไคลน์มีแผนในใจแล้ว นั่นคือการใช้มิสเตอร์ A ดึงดูดความสนใจจากแม่มดพานาเทีย เพราะในสายตาของหล่อน คนเลี้ยงแกะและนักเชิดหุ่นแทบไม่ต่างกันในเชิงคุณอาหาร ขอเพียงอิ่มท้อง จับใครได้ง่ายกว่าก็เล็งคนนั้น


หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันอย่างดุเดือด และไคลน์จะมองหาโอกาส ‘ซุ่มยิง’ พานาเทีย!


ขณะเปลวไฟสีแดงลุกท่วมร่าง ไคลน์เห็นมิสเตอร์ A เปลี่ยนกลับไปเป็นเงาดำอีกครั้ง กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ มิอาจทราบได้ว่าซ่อนตัวอยู่ตรงไหน


หนี… หมอนั่นหนีไปแล้ว… นี่ใช่มิสเตอร์ A ผู้เสียสติจริงหรือ? ทำไมถึงไม่ไล่ล่าเหยื่อ? ทำไมถึงเลือกที่จะหนี… ดวงตาไคลน์ชะงักเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้ม


ร่างกายชายหนุ่มหายไปพร้อมกับเปลวไฟ โผล่ขึ้นอีกครั้งในจุดห่างออกไปหลายสิบเมตร


ในวินาทีที่กระโจนออกจากเพลิง หน้าผากไคลน์ร้อนผ่าวทันที ปอดเริ่มติดขัด การหายใจทำได้ยากลำบาก


โรคระบาด!


‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียแพร่โรคระบาดอีกครั้ง!


ในการมองเห็นของไคลน์ สตรีในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์กำลังเดินบนอากาศ ค่อยๆ ย่างกรายเข้าหาตน


ใต้ฝ่าเท้าพานาเทียมีด้ายบางๆ จำนวนมากซึ่งถักสานกันเป็นใยแมงมุม ใยเชื่อมต่อกับต้นไม้และบ้านเรือนโดยรอบ กินพื้นที่ราวครึ่งหนึ่งของถนน


ในดวงตาของแม่มดครึ่งเทพรายนี้ ความหิวกระหายบรรเทาลงจากตอนแรกมาก มิได้แดงก่ำเหมือนเมื่อครู่ เพียงจ้องมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้าเย้ายวน คล้ายกับต้องการทำให้อีกฝ่ายค่อยๆ สิ้นหวังกับการดิ้นรนไปทีละนิด ลิ้มรสความเจ็บปวดจากก้นบึ้งหัวใจ


ไคลน์ข่มอาการไอ รีบดีดนิ้วเพื่อเผาต้นไม้ที่อยู่ใกล้กับยอดวิหารให้ลุกโชน


ร่างกายชายหนุ่มมีเปลวไฟลุกท่วม ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วและโผล่อีกครั้งบนต้นไม้ดังกล่าวราวกับดอกไม้ไฟ


ถัดมา ไคลน์กระโดดลงพื้น รีบกลิ้งไปทางวิหารเก่าแก่อย่างรวดเร็ว


ทันใดนั้น มันพบว่าร่างกายของตนกำลังเย็บเฉียบ พร้อมกับเหลือบไปเห็นชั้นน้ำแข็งหนาที่ข้อเท้า ต้นขา เอว และท้อง อากาศโดยรอบหนาวลงกะทันหัน


ไคลน์ขบกรามแน่น ข่มความตื่นตระหนกในใจ ลงมือตามแผนการที่วางไว้ล่วงหน้า เหยียดแขนออกอย่างใจเย็นและทาบลงบนผนังของวิหาร


ยุบพองหิวโหยในมือซ้ายเปลี่ยนเป็นสีโปร่งใส!


ไคลน์เดินผ่านกำแพงหนาสีดำอย่างเงียบงัน เข้ามายังด้านในวิหารที่มียอดแหลม


ในจุดเดิมที่เคยยืน ลูกบอลไฟสีดำพุ่งกระแทกกำแพง แต่ช้าไปครึ่งก้าว จึงระเบิดออกในลักษณะคลื่นน้ำกระเพื่อม แผดเผาน้ำแข็งและวัชพืชในบริเวณใกล้เคียง


ทันใดนั้น รอบๆ ยอดหอคอยแหลมของวิหารหลังเก่า อีกาบินที่บินวนไปมาอ้าปากกว้างและส่งเสียง


“ก๊า!”


“ก๊า!”


“ก๊า!”


พานาเทียชะงักทันที ทำได้เพียงมองตรงไปยังวิหารสีดำ สายตาเผยความหวาดกลัวเล็กๆ



ภายในวิหาร ไคลน์ที่เข้ามาทางกำแพงมองไม่เห็นอะไรเลย เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในมืดยิ่งกว่าข้างนอก รอจนกระทั่งน้ำแข็งละลายและสายตาเริ่มปรับสภาพ จึงมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน


ร่างจำนวนมากกำลังถูกแขวนอยู่ในอากาศ


ทั้งหมดคือมนุษย์!


บ้างสวมเสื้อคลุมสีดำทรงโบราณ บ้างสวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาล บ้างสวมกระโปรงฟูฟ่อง บ้างสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นประหนึ่งขอทาน


บ้างมีใบหน้าหยาบกร้าน บ้างร่างท้วม บ้างหล่อเหลา บ้างสง่างาม บ้างเป็นเด็กตัวเล็กน่ารัก แทบไม่มีใครเหมือนกันเลย


ไม่สิ ทุกคนมีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือการถูกปฏิบัติราวกับเนื้อตากแห้ง แขวนไว้จากที่สูงในสภาพโยกคลอนแผ่วเบา คอตก ดวงตาเหลือกขึ้น


ไคลน์เย็นวาบไปถึงหนังหัว ไม่เคลือบแคลงอีกแล้วว่า สิ่งที่พานาเทียและมิสเตอร์ A หวาดกลัวเป็นความจริง


ชายหนุ่มนำหลังพิงกำแพง เตรียม ‘เปิดประตู’ หนีทันทีที่พบอันตราย ยืนรอด้านนอกจนกว่าจะถูกแม่มดสิ้นหวังพบตัว จึงค่อยเปิดประตูกลับเข้ามาด้านในอีกครั้ง ทำซ้ำไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีชีวิตรอด


ฟ้าว!


ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาในวิหาร ส่งผลให้คนที่ถูกแขวนไว้ด้านบน หันหน้ามาทางไคลน์


คล้ายกับปลอกคอคนเหล่านี้เชื่อมต่อกับเชือก ส่งผลให้คอพับลงมา


ไคลน์แทบหยุดหายใจ รีบกดฝ่ามือซ้ายลงบนผนัง


ทันใดนั้น ร่างกายแต่ละคนเริ่มสั่นระริก ปากอ้ากว้างพร้อมกับเปล่งเสียง


“โฮนาซิส… เฟรเกีย…”


“โฮนาซิส… เฟรเกีย…”


“โฮนาซิส… เฟรเกียร์…”


เสียงเหล่านี้ดังซ้อนทับหลายชั้น เมื่อตั้งใจฟังรวมเป็นหนึ่ง ไคลน์เกิดความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก!


นี่คือเสียงที่ได้ยินในเกือบทุกการเลือนลำดับก่อนหน้า!


ต้นตนมาจากที่นี่ หมู่บ้านแห่งสายหมอก จากศพที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศภายในวิหาร!


ทันใดนั้น ไม่เพียงไคลน์จะชาไปทั้งหนังหัว แม้แต่ร่างกายก็ยังสั่นสะท้าน


หรือว่าหมู่บ้านสายหมอกจะตั้งอยู่บนยอดเขาโฮนาซิส? ประเทศรัตติกาลที่หายไป? นี่เราขึ้นเขามาจริงๆ? แล้วทำไมถึงต้องถูกแขวนในวิหาร… ทำไมการได้ยินเสียงตรงๆ ถึงไม่ทำให้เราวิงเวียนศีรษะหรือกระตุ้นให้เกิดภาวะคลุ้มคลั่ง? ไคลน์ซี้ดปาก กำปั้นคลายออกสลับกำแน่น ข่มความอยากที่จะ ‘เปิดประตู’ หนีออกไปข้างนอก


ในเมื่อเข้ามาที่นี่และได้เห็นต้นตอของเสียงเพรียก ชายหนุ่มเชื่อว่าการหนีไม่ใช่ทางออก


ไม่ว่าอย่างไร เราต้องสำรวจหาเบาะแสรอบๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้สักทีว่าทำไมร่างกายเราถึงผิดปรกติ!


หลังจากใช้เหรียญทองทำนายด้วยการถามพลังวิญญาณตัวเอง ไคลน์กระทบกรามเพื่อเปิดเนตรวิญญาณ แหงนมองไปยังศพที่ถูกแขวนกลางอากาศ พบว่าทั้งหมดถูกควบคุมด้วยพลังวิญญาณ สีออร่าอาจดูธรรมดา แต่ให้ความรู้สึกด้านชา


สีออร่าแบบนี้… พวกเขายังไม่ตาย? ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ตัดสินใจปิดเนตรวิญญาณ


ถัดมา ชายหนุ่มใช้หัวแม่มือซ้ายกดข้อต่อแรกของนิ้วชี้ เตรียมเปิดเนตรด้ายวิญญาณ


เมื่อมองไปรอบๆ รูม่านตาไคลน์พลันขยายตัว เนื่องจากร่างที่กำลังโงนเงนด้านบนมี ‘ด้ายวิญญาณ’ ที่พิเศษมาก


ด้ายมายาสีดำของทุกคนยื่นออกจากร่างกายในทิศทางเดียวกันทั้งหมด นั่นคือจุดสูงสุดของยอดวิหาร ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่คนเดียว!


ในสายตาไคลน์ ทั้งหมดราวกับเป็นศพที่ถูกแขวนไว้ด้วยด้ายวิญญาณ!


ก่อนที่ไคลน์จะพบคำตอบว่าฉากนี้หมายถึงสิ่งใด หางตาชำเลืองเห็นฉากหนึ่ง


ด้ายวิญญาณของตนค่อยๆ ลอยขึ้นไปยังยอดวิหารด้วยตัวเอง ตรงไปยังจุดเดียวกับศพที่ถูกแขวน!


นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริง ที่ไคลน์เคยเห็นด้ายวิญญาณขยับด้วยตัวเอง!


ลักษณะคล้ายโลหะที่ถูกแม่เหล็กดูด ด้ายวิญญาณลอยขึ้นอย่างมิอาจควบคุม เส้นที่เร็วที่สุดลอยไปถึงเป้าหมายแล้ว!


ไคลน์ไม่อยากจินตนาการถึงชะตากรรมของตัวเองเมื่อด้ายวิญญาณทั้งหมดรวมตัวในจุดดังกล่าว เชื่อว่าคงไม่แคล้วกลายเป็น ‘เนื้อตากแห้ง’ ที่แขวนในอากาศและเอาแต่ส่งเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’


สำหรับผู้วิเศษเส้นทางอื่น ทางรอดเดียวคือการรีบหนีออกจากวิหาร แข่งกับเวลาก่อนที่ด้ายวิญญาณจะถูกแขวนโดยสมบูรณ์ แต่สำหรับไคลน์นั้นค่อนข้างพิเศษ มันคือนักเชิดหุ่น สามารถควบคุมด้ายวิญญาณของตนได้โดยตรง บรรจงดึงพวกมันกลับมาทีละเส้น


ผ่านไปเกือบสามสิบวินาที ในที่สุดไคลน์ก็เก็บกลับมาหมด แต่ด้ายวิญญาณยังคงถูกดูดขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ต้องคอยเพ่งสมาธิเพื่อดึงกลับตลอดเวลา


นี่คือหนึ่งในอันตรายภายในวิหาร? ไคลน์หน้าใจออกเชื่องช้า เลิกพิงผนัง ตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในวิหาร


กลางอากาศเหนือศีรษะ ศพเหล่านั้นหันหน้าเล็กน้อย ราวกับกำลังจ้องมองมาทางชายหนุ่ม


หลังจากเดินตรงไปได้ยี่สิบถึงสามสิบเมตร ในที่สุดไคลน์ก็มองเห็นบางสิ่ง เป็นแทนบูชาสีดำของวิหาร


เหนือแท่นบูชามีรูปปั้นหินแกะสลักตั้งเด่นตระหง่าน


เดินไปได้สักพัก ไคลน์มองเห็นใบหน้าของรูปปั้นชัดเจน


รูปร่างโดยรวมคล้ายมนุษย์เพศหญิง แต่มีขาสัตว์สองคู่งอกออกจากซี่โครงและเอว แต่ละข้างปกคลุมด้วยขนสัตว์สั้นๆ สีดำ ลักษณะค่อนข้างหน้าและแข็ง


นอกจากนั้น รอบๆ รูปปั้นหินยังมีริบบิ้นสีดำ ดูคล้ายกับหนวดรยางค์ที่ยื่นยาวออกมา


ฐานรูปปั้นหินมีวิญญาณกำลังหลับใหล ดูคล้ายกับรายล้อมด้วยมวลหมู่ดวงดาว


ไคลน์เงยหน้ามองส่วนศีรษะของรูปปั้น พบกับใบหน้าอันงดงาม


นี่มัน… ดวงตาไคลน์พลันแข็งทื่อ


มันไม่มีทางลืมใบหน้านี้เด็ดขาด เพราะอีกฝ่ายคือคนที่ ‘ส่ง’ ตนมาที่นี่!


ใบหน้าของรูปปั้นหินเหมือนกับเทวทูต ‘นักลบ’ หลังประตูยานิสของวิหารนักบุญแซมมวลทุกประการ!


ท่านเกี่ยวข้องกับที่นี่… นั่นสินะ ในเมื่อเป็นคนส่งมนุษย์มายังหมู่บ้านแห่งนี้ ถ้าไม่เกี่ยวข้องเลยคงจะแปลกกว่า… ถ้าอย่างนั้น ท่านเกี่ยวข้องอย่างไรกับประเทศรัตติกาลบนเทือกเขาโฮนาซิสในยุคสมัยที่สี่? มารดาแห่งผืนนภา? ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมท่านถึงต้องทำงานให้กับศาสนจักร? นอกจากนั้น รูปลักษณ์เช่นนี้คล้ายคลึงกับหมาป่าอสูรที่เดอะซันน้อยบรรยายให้ฟัง… คำถามมากมายผุดขึ้นในใจไคลน์


ระหว่างนั้น ชายหนุ่มกวาดสายตาไปทางอื่น หวังจะได้พบเบาะแสที่มีค่า


ไม่กี่วินาทีถัดมา ไคลน์ได้พบกับร่างหนึ่ง มิได้ถูกแขวนไว้กลางอากาศ แต่กำลังนั่งหันหลังให้รูปปั้น


ราชันเร้นลับ 838 : ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์

บุคคลที่นั่งเฉียงไปทางด้านหลังรูปปั้นคือชายชราในชุดคลุมสีดำ สวมเสื้อคลุมหัวปิดลงมาถึงตา ใบหน้าเต็มไปด้วยเครายาวสีขาวที่ดกหนา คล้ายกับไม่ถูกตัดแต่งนานกว่าสิบปี ยาจะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริง


และในสายตาไคลน์ ชายชราเคราดกคนนี้พิสดารยิ่งกว่าร่างที่ถูกแขวนกลางอากาศเสียอีก


ด้ายวิญญาณที่ยื่นออกจากร่างกายชายคนนี้มิได้ลอยขึ้นไปด้านบน ตรงไปทางจุดที่คล้ายกับมี ‘แม่เหล็ก’ แต่วกกลับเข้าหาร่างกายตัวเอง ประหนึ่งต้นกำเนิดเป็นจุดเดียวกับจุดปลาย!


โดยทั่วไป ด้ายวิญญาณมีต้นกำเนิดมาจากร่างวิญญาณ ธรรมชาติคือการยืดยาวออกไปทุกทิศทางโดยไม่มีจุดสิ้นสุด และในกรณีของร่างที่ถูกแขวนกลางอากาศ ต้นกำเนิดไม่ต่างไปจากปรกติ แต่ปัญหาอยู่ที่ปลายทางซึ่งหลั่งไหลไปรวมกัน


นี่คือสาเหตุที่เขาไม่ถูกจับแขวน? เป็นวิธีหลีกเลี่ยงอันตรายจากวิหาร? ขณะพยายามบังคับด้ายวิญญาณของตัวเอง ไคลน์พึมพำพลางคาดเดาเหตุผล


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาสีดำสนิทที่คล้ายกับผิวน้ำขุ่นมัว


ชายชราที่นั่งในเฉียงออกไปด้านหลังรูปปั้น จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น


มันยังมีชีวิตอยู่!


ไคลน์ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ งอตัวเล็กน้อย วางมือซ้ายไว้ด้านหน้า


ท่ามกลางความเงียบสงัดและภาวะตึงเครียดจนหัวใจเต้นแรง ดวงตาชายชราขยับเล็กน้อย อ้าครึ่งหนึ่งและกล่าวอย่างคลุมเครือ


“ในที่สุดก็มีนักทำนายคนใหม่เข้ามา…”


คนใหม่? เคยมีนักทำนายเข้ามาในวิหารแห่งนี้แล้ว? นั่นสินะ นอกจากจะถูก ‘ลบ’ โดยเทวทูตนิรนาม การเข้ามาในหมู่บ้านสายหมอกยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นคือถูกความมืดมิดบนสมรภูมิแห่งเทพกลืนกิน… อาจมีนักทำนายคนสองคนถูกส่งมาที่นี่ขณะตามหานางเงือก หรือไม่ก็ถูกส่งเข้ามาขณะกำลังกลับ… เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่โจมตีเข้ามา เลือกจะสื่อสารก่อน ไคลน์จึงข่มอารมณ์ ซักถามกลับไปหลังจากไตร่ตรอง


“ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น?”


ชายชราเจ้าของดวงตาสีดำและเคราสีขาวดกหนา มิได้ตอบคำถามตรงๆ แต่เลือกจะย้อนถามกลับมา


“อยากออกไปไหม? ข้าบอกวิธีกับเจ้าได้”


ไคลน์ไม่ถูกซื้อ เพียงถามกลับ


“แล้วทำไมคุณถึงยังอยู่?”


ในเมื่อรู้วิธีหลบหนีออกจากหมู่บ้านสายหมอก แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องหมกตัวอยู่ในวิหารแสนอันตราย?


ชายชราลดศีรษะลงเล็กน้อย หัวเราะในลำคอสองสามคำ


“เพราะข้าตายไปนานแล้ว”


“…” ไคลน์เย็นวาบไปถึงสันหลัง หมดคำจะกล่าว


ในสายตาของชายหนุ่ม บุคคลตรงหน้าไม่ใช่ร่างวิญญาณ!


เมื่อพบว่าไม่มีการตอบสนองจากอีกฝ่าย ชายชราค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จ้องไคลน์ซึ่งกำลังสวมรูปลักษณ์เกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ข้าใช้พลังพิเศษเพื่อสำรวจช่องว่างประวัติศาสตร์และชะตากรรมของโลกใบนี้ จากนั้นก็แบ่ง ‘ภาพฉาย’ บางส่วนของตัวเองไว้ที่นี่ ดำรงสภาพมาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน แต่ร่างหลักและวิญญาณของตัวข้า เสียชีวิตและแตกสลายไปนานแล้ว”


มีพลังที่น่าทึ่งแบบนี้อยู่ด้วย… ไคลน์ไม่มีวิธีพิสูจน์คำพูดอีกฝ่าย ไม่มีทางเลือกนอกจากถามกลับ


“แล้วทำไมคุณถึงต้องบอกวิธีหลบหนีแก่นักทำนาย?”


เสียงของชายชรายังคงพร่ามัว


“หลังจากเปิดประตู ประวัติศาสตร์และชะตากรรมของที่นี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ภาพฉายที่ข้าแบ่งไว้ก็จะหายไปด้วย เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะได้พบกับโกศเก็บขี้เถ้า… ข้าหวังให้พวกมันถูกโปรยลงในแม่น้ำเซอเรนโซ่ใกล้กับกรุงทรีอาร์ เมืองหลวงของอินทิส… ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของข้า… เจ้าเคยได้ยินชื่อสถานที่ดังกล่าวหรือไม่? ข้าไม่แน่ใจว่าเวลาข้างนอกผ่านไปนานแค่ไหน”


ถูกขังอยู่ที่นี่มาไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยปี? ไคลน์ตอบเยือกเย็น


“ที่นั่นยังอยู่”


“เยี่ยม…” ชายชราพยักหน้าพลางตอบด้วยเสียงที่คล้ายกับเจือเสมหะ


แม้ไคลน์จะยังไม่ปักใจเชื่อ แต่ก็ยึดหลักการที่ว่า มีข้อมูลย่อมดีกว่าไม่มี เพราะตนสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตัวเอง


ด้วยความกังวลว่าจะถูกบุคคลด้านนอกเข้ามาขัดจังหวะอีก ชายหนุ่มรีบถามกลับไป


“ถ้าอย่างนั้น วิธีหนีคืออะไร?”


ชายชรายังคงนั่งในจุดเดิม ตอบโดยแทบไม่ขยับตัว


“บนกำแพงด้านหลังรูปปั้น เห็นภาพแกะสลักไหม?”


ใจจริง ไคลน์ไม่อยากทำตามคำแนะนำสักเท่าไร เพราะเพิ่งถูกแม่มดพานาเทียหลอกด้วยวิธีเดียวกัน จนเผลอเหลือบไปเห็นร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มมีแผนจะสำรวจที่นี่อยู่แล้ว จึงค่อยๆ หันไปมองผนังด้านหลังรูปปั้น


สิ่งที่สลักอยู่คือสัญลักษณ์โบราณขนาดไม่ใหญ่ ความยาวไม่มาก กึ่งกลางมีรูโหว่ ส่งผลให้ลวดลายไม่เชื่อมต่อกัน


รูโหว่ดังกล่าวมีขนาดเท่ากับสองฝ่ามือ ลักษณะเป็นการเว้าเข้าไป ราวกับใครบางคนดึงอิฐที่เคยเป็นผนังออก


“ตราบใดที่เจ้าสามารถหาหินออบซิเดียนที่ตรงกันมาสอดเข้าไปในช่องว่าง ผนังผืนนี้จะหลุดพ้นจากสถานะ ‘ถูกปกปิด’ ขั้นต้น สีของผนังจะดูคล้ายกับภาพมายา หากทำสำเร็จ ข้าจะบอกสักลักษณ์พิเศษที่ซับซ้อนขึ้นมาหนึ่งชุด สิ่งนั้นคือกุญแจสำหรับเปิดประตูหลบหนีที่ซ่อนอยู่บนผนัง” ชายชราเคารพกล่าวโดยไม่หัวหน้า เพียงมองตรงขณะเล่า


สัญลักษณ์พิเศษที่ซับซ้อน… กุญแจสำหรับเปิดประตู… เมื่อนำเบาะแสไปผนวกกับเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ จากศพที่ถูกแขวน ภาพสัญลักษณ์หนึ่งผุดขึ้นในใจไคลน์ทันที


ดวงตาแนวตั้งที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ซับซ้อน!


เป็นข้อความที่สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสส่งมาถึงตนผ่าน ‘หุ่นกระบอกอัปมงคล’ !


และตระกูลอันทีโกนัสน่าจะเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับอาณาจักรรัตติกาลบนยอดเขาโฮนาซิส!


หรือสิ่งนั้นจะเป็นกุญแจ… ไคลน์ถอนสายตากลับอย่างใจเย็น หันไปถาม


“แล้วทำไมนักทำนายคนก่อนๆ ถึงล้มเหลว?”


ในท่านั่งเฉียงออกไปด้านหลังรูปปั้น ชายชราหัวเราะและตอบ


“บางคนก็ช่างถามเหมือนกับเจ้า มัวเสียเวลาจนออกจากวิหารแห่งนี้ไม่ทันปรากฏการณ์จันทร์แดงกระจ่าง ถูกแขวนคออย่างน่าสมเพช หนึ่งในนั้นคือสุภาพบุรุษที่เปลี่ยนให้ใบหน้าตัวเองหล่อเหลา ส่วนอีกคนคือเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่น่ารักจนไม่มีข้อบกพร่อง”


“…” ได้ยินเช่นนั้น ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปสักพัก


แต่นั่นก็ช่วยให้ไคลน์ทราบว่า หากเกิดปรากฏการณ์จันทร์แดงกระจ่าง อันตรายภายในวิหารจะทวีคูณเป็นเท่าตัว จนแม้แต่นักเชิดหุ่นก็มิอาจควบคุมด้ายวิญญาณของตัวเอง!


เราต้องคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของแสง ทันทีที่พระจันทร์สีแดงสว่างขึ้น ต้องรีบหนีออกไปทางกำแพง… ไคลน์ชำเลืองไปรอบตัว ยืนยันจนแน่ใจว่ากำแพงที่ใกล้ที่สุด อยู่ห่างออกไปราวหกถึงเจ็ดเมตร


ชายชราสวมเสื้อคลุมศีรษะยังคงกล่าวโดยไม่เงยหน้า


“คนที่เหลือมิได้โชคดีนัก ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เสียสติและต้องการแค่ความอิ่มท้อง สุดท้ายก็กลายเป็นอาหารอันโอชะ… เจ้าคงทราบดีอยู่แล้ว ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายมีไม่มากนัก ยิ่งนักเชิดหุ่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง สามารถนับจำนวนคนที่เข้ามาในวิหารได้ด้วยมือข้างเดียว… แน่นอน มีหลายคนถูกล่อลวงให้เข้ามาในหมู่บ้านสายหมอก แต่เกือบทั้งหมดทำไม่สำเร็จ…”


กล่าวถึงตรงนี้ ชายชราค่อยๆ เงยหน้า มองไปยังยอดสูงสุดของวิหาร พูดด้วยเสียงพร่ามัว


“ทุกคนล้วนมีชะตากรรมที่น่าเศร้า”


หมายความว่ายังไง… ถ้าเราไม่ขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสหลังประตูยานิส ทางเดียวที่จะได้ครอบครองสมบัติของตระกูลอันทีโกนัสคือการแกะรอยจาก ‘เสียงเพรียก’ โฮนาซิส เฟรเกีย และกระเสือกกระสนปีนป่ายมาจนถึงยอดเขาโฮนาซิส… แบบนี้นับว่าถูกล่อลวงด้วยไหม? และเนื่องจากการเข้ามาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย จุดจบจึงน่าเศร้าเหมือนกันหมด? ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง เมื่อผนวกกับฉาก ‘หนอนแมลงบนบัลลังก์ยักษ์’ ที่เคยเห็นในการทำนาย ชายหนุ่มเริ่มสงสัยว่า ‘สมบัติตระกูลอันทีโกนัส’ คงไม่ใช่สิ่งใดนอกจากกับดัก


ชายหนุ่มไม่ใส่ใจจะล้วงลึก เปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น


“มีเบาะแสของหินออบซิเดียนไหม?”


ชายชราหัวเราะ


“อยู่ในมือของแม่มดสิ้นหวังตนนั้น”


แม่มดสิ้นหวัง… พานาเทียเป็นแม่มดสิ้นหวังจริงๆ … ไคลน์เคยนึกถึงชื่อนี้มาก่อน แต่เป็นเพราะนำสองชิ้นส่วนข้อมูลมาประกอบเข้าด้วยกัน หนึ่งคือ ผู้คนมักเรียกเธอว่าท่านหญิงสิ้นหวัง และอีกหนึ่งคือ ตนมั่นใจว่าพานาเทียเป็นแม่มด จึงนำมารวมกันเป็นชื่อเล่นที่เรียกเอง คิดไม่ถึงว่าลำดับ 4 ของเส้นทางแม่มด จะมีชื่อว่าแม่มดสิ้นหวังจริงๆ


“ถ้าอย่างนั้น โอกาสสำเร็จก็ต่ำมาก หล่อนเป็นครึ่งเทพตัวจริง…” ไคลน์เผยสีหน้าลำบากใจโดยไม่เก็บซ่อน รอดูท่าทีและฟังคำแนะนำจากอีกฝ่าย


ชายชราส่ายหน้า


“ข้าคือคนที่ตายไปแล้ว คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก… ว่าแต่ ในตอนที่เข้ามา เจ้ามีหุ่นเชิดติดตัวมาด้วยไม่ใช่หรือ”


“ใช่… แต่ถูกแม่มดสิ้นหวังกินไปแล้ว” ไคลน์ตอบเยือกเย็น


ชายชราถอนหายใจยาว กล่าวกึ่งยิ้ม


“ข้าช่วยเจ้าเรียกมันออกมาใหม่ได้… ดึงจากประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้”


ยังไม่ทันจะกล่าวจบ ไคลน์มองเห็นเค้าโครงหนึ่งคมชัดขึ้นจากความว่างเปล่าด้านข้าง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลผู้สวมหมวกสามมุมทรงโบราณและแจ็คเก็ตสีแดง โดยที่ด้านวิญญาณยังอยู่ในความควบคุมของตน!


ขณะรูม่านตาไคลน์เริ่มหดตัว โสตประสาทได้ยินเสียงจากชายชราที่สวมเสื้อคลุมศีรษะ


“คงสภาพได้เพียงสามสิบนาที ใช้มันให้เกิดประโยชน์… นอกจากนั้น ข้าจะช่วยเจ้าเสริมประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ ส่งผลให้ควบคุมหุ่นเชิดได้ดีขึ้น สามารถใช้พลังพิเศษของตัวเองจากหุ่นลับ และสามารถสลับตำแหน่งได้ในพริบตา… หึหึ แถมรัศมีการควบคุมและระดับความสมจริงก็ยังถูกส่งเสริม”


ใช้พลังพิเศษของตัวเองจากหุ่นเชิด? หมายความว่าเราสามารถใช้พลัง ‘ผู้ไร้หน้า’ เพื่อแปลงโฉมหุ่นเชิดให้เหมือนกับร่างต้นทุกประการ สร้างตัวตายตัวแทนที่สมบูรณ์แบบ? เป็นพลังของครึ่งเทพเส้นทางนักทำนาย? จอมเวทพิสดาร? ศัตรูไม่มีทางเดาได้ว่า คนที่เพิ่งฆ่าไปเป็นเพียงหุ่นเชิดหรือจอมเวทพิสดารตัวจริง? นอกจากนั้น พลังที่อัญเชิญหุ่นเชิดออกจากประวัติศาสตร์… ไม่ฟังดูเหนือจินตนาการไปหน่อยหรือ… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ยากจะทำจิตใจให้สงบ


ชายชราเงยหน้ามอง กล่าวต่อไป


“ส่งกระดาษคนตัวแทนมาให้ข้า”


ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลังเลสองสามวินาที แต่สุดท้ายก็นำกระดาษยื่นให้อีกฝ่าย


ชายชราเหยียดฝ่ามือแห้งผากออกมารับ สะบัดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


อาการปวดหัว เป็นไข้ คัดจมูก และคอบวมของไคลน์พลันหายเป็นปลิดทิ้ง!


แผ่นกระดาษเริ่มเปื้อนสนิมสีแดง ก่อนจะเปราะแตกอย่างรวดเร็ว


ใช้กระดาษเพื่อโอนถ่ายอาการป่วยออกจากตัวเรา? ไคลน์กล่าวหลังจากไตร่ตรองสักพัก


“ขออภัยที่เคยเสียมารยาท… ผมควรเรียกคุณว่าอะไร?”


ชายชราไม่ตอบในทันที รอจนกระทั่งถอนหายใจยาวเสร็จ


“ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”


มันเว้นวรรค ตามด้วยฉีกยิ้มกว้าง


“เจ้าสามารถเรียกข้าว่า… อา…”


“ซาราธ”


ราชันเร้นลับ 839 : ทายาทเทพบรรพกาล

เชี่ย… ไคลน์ที่ได้ยินคำตอบชายชรา ผุดคำหยาบคายมากมายในใจ แต่ก็ไม่ทำอะไรมากกว่านี้


ซาราธ ผู้นำของลัทธิเร้นลับ ลูกหลานของตระกูลขุนนางใหญ่แห่งจักรวรรดิโซโลมอนในยุคสมัยที่สี่ อดีตเจ้าของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส ผู้คอยชักใยเบื้องหลังจักรพรรดิโรซายล์ และยังเป็นผู้วิเศษลำดับสูงแห่งเส้นทางนักทำนาย เมื่อราวหนึ่งถึงสองร้อยปีก่อน มันอยู่ในลำดับ 2 ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ โดยอาโรเดสเคยระบุว่า ซาราธเกิดคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดหลังจากพยายามเลื่อนเป็นลำดับ 1 ‘บริวารเร้นลับ’


ไม่ว่าจะใช้สมญานามใด ไคลน์ก็มิอาจยืนฟังได้อย่างสบายใจ ยากจะทำใจยอมรับว่าตัวละครที่โด่งดังในตำราประวัติศาสตร์จะปรากฏกายตรงหน้า บรรยากาศโดยรอบอึดอัดและบีบคั้น คล้ายกับถูกกดทับจากทุกทิศทางจนยากจะหายใจ


ไคลน์เคยจินตนาการ บางทีทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน รวมถึงการเดินทางข้ามโลก อาจเกิดจากการชักใยของซาราธ สงสัยว่าอีกฝ่ายคือลาสต์บอสที่ต้องปราบในตอนสุดท้าย แต่กลับกลายเป็นว่า ชายหนุ่มต้องเผชิญหน้ากับมันระหว่างทาง


เรายังเป็นแค่ผู้วิเศษลำดับ 5! ไคลน์อดตัดพ้อไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เคลือบแคลงว่า บุคคลตรงหน้าจะใช่ซาราธแน่หรือ


ซาราธเป็นชื่อสกุล… เป็นชื่อของตระกูลขุนนางใหญ่แห่งจักรพรรดิโซโลมอนจากยุคสมัยที่สี่ ในทางทฤษฎี ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่าสองพันปี คนที่ชื่อซาราธอาจมีมากกว่าหนึ่ง… ชายคนนี้อาจเป็นปู่ของผู้นำลัทธิเร้นลับในไดอารีโรซายล์ หรือไม่ก็เป็นบิดา พี่น้อง ลูกหลาน… นอกจากนั้น ชายคนนี้ระบุว่าตัวเองตายไปแล้วหลายปี แต่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสและ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินต่างยืนยันตรงกันว่า ซาราธที่เป็นผู้นำลัทธิเร้นลับยังมีชีวิตอยู่ แต่เกิดคลุ้มคลั่งจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียสติ… ไคลน์พยายามมองโลกในแง่ดี ปลอบใจตัวเองว่าสถานการณ์อาจไม่เลวร้ายอย่างที่ติด เริ่มกลับมาสุขุมเยือกเย็น


พลังพิเศษที่ซาราธคนนี้แสดงให้เห็น ถึงจะมีไม่มาก แต่ทั้งหมดก็เป็นพลังที่น่าเหลือเชื่อ เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์และชะตากรรม… คงไม่ได้เป็นแค่ ‘จอมเวทพิสดาร’ แต่สูงถึงลำดับ 3 หรือ 2… เทวทูตบนเส้นทางนักทำนายไม่น่าจะมีจำนวนมากนัก…


สถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ประเทศรัตติกาล’ บนยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาโฮนาซิส… เป็นแหล่งกำเนิดเสียงเพรียกที่จะส่งไปถึงหูผู้วิเศษลำดับต่ำของเส้นทางนักทำนายทุกคน… หลังจากซาราธ ผู้นำลัทธิเร้นลับ ได้ครอบครองสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส โรซายล์ระบุว่าชายคนนั้นโผล่หน้าน้อยลงเรื่อยๆ และไม่ทราบว่ากำลังวางแผนใด… อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อมีสมุดบันทึกในมือ ซาราธเดินทางไปยังยอดเขาหลักของโฮนาซิสเพื่อตามสมบัติของตระกูลอันทีโกนัส จนได้พบกับสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของลำดับ 1 ‘บริวารลึกลับ’ ?


ในโลกของศาสตร์เร้นลับ ความบังเอิญอย่างต่อเนื่องมักหมายถึงปัญหา และหมายถึงความไม่ชอบมาพากล…


หากนี่เป็นซาราธตัวจริง ‘อัตตา’ ที่แบ่งทิ้งไว้ในหมู่บ้านสายหมอก คือสาเหตุที่ทำให้ร่างต้นคลุ้มคลั่งและเสียสติ?


ส่วนประโยคที่อีกฝ่ายพูดว่า ‘ตายมานานแล้ว’ เรื่องนี้ก็มีเหตุผลรองรับ เพราะผู้นำของลัทธิเร้นลับเคยกล่าวไว้ว่า


ปาฏิหาริย์คือสิ่งใด? ปาฏิหาริย์คือการฟื้นคืนชีพจากความตาย!


และมันลำดับล่าสุดของมันคือ ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ !


ขณะสมองไคลน์ประมวลผลหนักหน่วง ชายชราเคราดกที่อ้างตัวว่าเป็นซาราธ หัวเราะในลำคอ


“ดูจากปฏิกิริยาของเจ้า… รู้จักข้าหรือ?”


หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์หยั่งเชิง


“เคยได้ยินนามสกุลนี้… ผมเคยเจอกับราชินีเงื่อนงำและได้ฟังข้อมูลของลัทธิเร้นลับจากเธอ จึงทราบชื่อของผู้นำ”


ชายชราพยักหน้าแผ่วเบา ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธ เพียงยิ้มและถามเข้าประเด็น


“ยังมีเรื่องใดอยากให้ช่วยอีกไหม?”


เรื่องที่จะให้ช่วย… ไคลน์นึกทบทวนพลังพิเศษของอีกฝ่าย ลังเลสักพักก่อนจะตอบ


“จากประวัติศาสตร์ของโลกที่ถูกปกปิดแห่งนี้ คุณเรียกปลาจากข้างนอกเข้ามาได้ไหม? จะถูกแปรรูปเป็นอาหารแล้วก็ได้”


ตามความคิดของชายหนุ่ม คำขอนี้สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า คนที่หลงเข้ามาส่วนใหญ่ถูกนำตัวมาจาก ‘ซากสมรภูมิแห่งเทพ’ ทางสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย บางคนอาจพกปลาติดตัวเป็นอาหารสำรองหรือไม่ก็เพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ บางคนกินปลาจนอิ่มหนำและหลับไม่ทันในตอนกลางคืน ด้วยปัจจัยเหล่านี้ การจะมีเนื้อปลาหลงเหลือในประวัติศาสตร์หมู่บ้านสายหมอก ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


ซาราธเงยหน้า จ้องไคลน์ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เงียบงันอยู่นานโดยไม่มอบคำตอบ


ผ่านไปอีกสองสามวินาที มันถอนสายตากลับ กล่าวด้วยเสียงล่องลอย


“ได้”


กล่าวจบ บนฝ่ามือของพลเรือเอกโลหิตปรากฏเนื้อปลาบดละเอียด


“คงสภาพได้นานสี่สิบห้านาที หากครบกำหนด มันจะหายไปราวกับไม่เคยกินมาก่อน” ซาราธเสริม


ได้จริงๆ ด้วย… ไคลน์ยิ่งพบว่า พลังพิเศษลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย เต็มไปด้วยความพิสดารและน่ากลัว


ขณะเตรียมตอบว่าไม่มีอะไรแล้ว แต่ชายหนุ่มฉุกคิดได้ว่า ซาราธเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทุกคำพูดอาจต้องนำไปหารก่อน จึงรู้สึกว่าตนควรเตรียมการให้รัดกุมยิ่งขึ้น


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ตัดสินใจทำตัวละโมบ ซาราธจะได้ลดการประเมินคุณค่าของตนลง ให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตนเป็นเพียงไอ้งั่งที่ถูกชักนำได้ง่าย


หลังจากบังคับหุ่นเชิดเก็บเนื้อปลาเข้าไป ชายหนุ่มกลอกตาสองหน หายใจเข้าออก


“นอกจากนั้น… ผมอยากได้สูตรโอสถจอมเวทพิสดาร”


ซาราธไม่เปลี่ยนสีหน้า เงียบงันไปสักพักก่อนจะหัวเราะ


“ไม่มีปัญหา ตราบใดที่เจ้าเชื่อว่าข้ามอบสูตรโอสถที่ถูกต้อง… หลังจากเจ้ากลับมาพร้อมหินออบซิเดียนก้อนนั้น ข้าจะมอบสูตรโอสถจอมเวทพิสดารพร้อมกับสัญลักษณ์สำหรับเปิดประตู… เฮ่อ… ข้าไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ปรารถนาแค่ให้เจ้านำโกศเก็บเถ้ากระดูกไปโปรยลงแม่น้ำเซอเรนโซ่ในบ้านเกิด”


หลังจากฟังอย่างเงียบงัน ไคลน์อดถามไม่ได้


“ระดับตัวตนของคุณสูงมาก หากโปรยเถ้ากระดูกลงไป เกรงว่าแม่น้ำทั้งสายจะปนเปื้อนมลพิษร้ายแรง ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดจำนวนมาก”


ซาราธยิ้มเล็กๆ


“รอบคอบดีมาก… แต่เถ้ากระดูกของข้าไม่มีสิ่งใดพิเศษ มันสูญเสียคุณสมบัติไปนานแล้ว”


ขณะกล่าว มันแหงนหน้าอีกครั้ง มองไปยังยอดสูงสุดของวิหาร


เขากำลังบอกใบ้ว่า ตะกอนพลังและความพิเศษของร่างกาย ถูก ‘แม่เหล็ก’ ด้านบนดูดกลืนไปหมดแล้ว? ไคลน์ลองแปลความนัยแฝงของอีกฝ่าย ก่อนจะถามเกี่ยวกับพลังพิเศษบนเส้นทาง


“โอสถลำดับ 3 หลังจากจอมเวทพิสดารมีชื่อว่าอะไร?”


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเคราดกของซาราธขยับเล็กน้อย


“ปราชญ์โบราณ”


ปราชญ์โบราณ… แม้จะฟังดูเหมือนโบราณวัตถุที่ต้องขุดขึ้นจากหลุมศพ แต่น่าสนใจว่าซาราธเอ่ยถึง ‘ประวัติศาสตร์’ บ่อยครั้งมากในการสนทนา และพลังพิเศษในขอบเขตดังกล่าวก็น่าทึ่งมาก… ไคลน์ถามอีกครั้งอย่างตื่นเต้น


“เช่นนั้นแล้ว ลำดับ 0 มีชื่อว่าอะไร?”


ซาราธเงยหน้าขึ้น จ้องชายหนุ่มสักพักก่อนจะยิ้ม


“เจ้าจะได้ทราบในตอนที่ ‘เปิดประตู’ เพื่อออกไป”


เราเกลียดคนแบบนี้ที่สุด… ตอบครึ่งๆ กลางๆ และหัวเราะโดยไม่ยอมเล่าให้จบ… ในวินาทีนี้ ไคลน์เริ่มเข้าใจหัวอกของจักรพรรดิโรซายล์ เว้นวรรคสักพัก ชายหนุ่มมองไปยังรูปปั้นหินด้านข้างและถาม


“นี่คือใคร?”


ซาราธตอบโดยไม่มองหน้า เสียงค่อนข้างพร่า


“ท่านคือทายาทของเทพบรรพกาล”


ทายาทเทพบรรพกาล… ลูกหลานของ ‘หมาป่าแห่งการทำลายล้าง’ เฟรเกีย? หากเข้าใจไม่ผิด เทพบรรพกาลตนนี้ถือครองอำนาจในขอบเขต ‘รัตติกาล’ … ลูกหลานของท่านคือผู้ก่อตั้งประเทศรัตติกาล? ยังไม่ทันที่ไคลน์จะถามเพิ่ม ซาราธหัวเราะ


“นอกจากนั้น ท่านยังมีน้องชายที่เจ้าคุ้นเคย”


“ใคร?” ไคลน์พยายามนึก แต่นึกเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ


ซาราธหัวเราะในลำคอ


“ชายคนนั้นเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เขาเรียกตัวเองว่า… อันทีโกนัส”


อันทีโกนัส… ประเทศรัตติกาล… โฮนาซิส… เฟรเกีย… ดวงตาไคลน์พลันลุกวาว ข้อมูลมากมายเริ่มปะติดปะต่อ


เป็นเรื่องเข้าใจได้ไม่ยากที่โบสถ์รัตติกาลจะกวาดล้าง ‘ประเทศรัตติกาล’ นั่นเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิง ‘อำนาจ’ แต่ไคลน์ไม่เข้าใจเหตุผลที่เทพธิดาพยายามกวาดล้างตระกูลอันทีโกนัสผู้ถือครองเส้นทางนักทำนาย ไม่มีความจำเป็นถึงระดับนั้นเลย เพราะเส้นทางนักทำนายมิได้ใกล้ชิดกับ ‘รัตติกาล’ เหมือน ‘มรณา’ และ ‘คนยักษ์’


นอกจากนั้น ไคลน์เคยไม่เข้าใจว่าทำไมตระกูลอันทีโกนัสถึงต้องซ่อนสมบัติไว้บนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส ทำไมถึงได้เชื่อใจชาวรัตติกาลขนาดนั้น


แต่ปัจจุบัน มันเริ่มเข้าใจในหลายสิ่ง


ขณะเตรียมถามอีกครั้ง ไคลน์พลันสังเกตเห็นแสงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องผ่านหน้าต่างวิหาร เริ่มสว่างขึ้นจากเดิม เงาดำซึ่งทอดยาวจากศพที่ถูกแขวนกลางอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด


จันทร์แดงกระจ่าง! หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง ไม่มัวคิดให้มากความ รีบทำตามแผนฉุกเฉินที่วางไว้ในหัว ยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้ว จุดไฟเทียนไขริมกำแพงที่ห่างออกไป


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มบังคับให้เซนอลสิ่งร่าง กระโดดม้วนตัวหนึ่งตลบ เข้าประชิดกำแพงที่ใกล้ที่สุด


ทันใดนั้น วิหารทั้งหลังพลันเงียบสงัด ปราศจากเสียงเพรียกจากศพที่ถูกแขวนคอ


สัมผัสวิญญาณไคลน์มิได้แจ้งเตือนสิ่งใด แต่ชายหนุ่มสังเกตได้จากเงาบนพื้น ศพที่ถูกแขวนคอกลางอากาศกำลังหันหน้ามาทางแสงเทียนไขอย่างพร้อมเพรียง!


โดยปราศจากความลังเล ไคลน์ทาบฝ่ามือซ้ายลงบนกำแพงและทะลุออกไป เมื่อถึงด้านนอกวิหาร ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเงยหน้ากวาดสายตาสำรวจ อาศัยพลังจากวิญญาณอาฆาตช่วยม้วนตัวและกระโดดไปทางบ้านหลังที่ใกล้ที่สุด ระยะห่างเหลือไม่ถึงสิบเมตร


ระหว่างลงมือ ชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงคำรามต่ำของสัตว์ร้าย ไม่เห็นร่างอันเลือนรางที่เดินไปมาบนถนน แต่ตระหนักได้อย่างชัดเจนและรุนแรงว่า มีสายตาจำนวนมหาศาลกำลังจ้องมายังแผ่นหลังของตน!


ภายในเสี้ยววินาที ไคลน์มาถึงกำแพงบ้าน รีบกดฝ่ามือลงไปและส่งตัวเองเข้ามาข้างใน


จากนั้น ชายหนุ่มดีดนิ้วเพื่อใช้พลังควบคุมไฟ ดับเทียนไขภายในวิหาร


หลังจากความเงียบสงัดปกคลุมสักพัก ไคลน์พบว่าความรู้สึกคล้ายกับถูกสายตาหลายคู่จดจ้องเริ่มเลือนหาย ท่ามกลางม่านแสงจันทร์สีแดงสว่าง ด้านนอกมีเสียงของผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอีกครั้ง


ราชันเร้นลับ 840 : อาศัยความได้เปรียบ

เมื่อความผิดปรกติจางหาย ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก สำรวจสภาพแวดล้อมในบ้านอย่างใจเย็น ก่อนจะเลือกจุดที่มีแสงจันทร์สองเข้ามาเล็กน้อย หลบในมุมที่ไม่มืดเกินไป จะได้ไม่ถูกลอบจู่โจมอีก


ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเริ่มคาดเดาเกี่ยวกับร่างอันเลือนรางด้านนอกซึ่งเป็นเจ้าของเสียงคำรามสัตว์ร้าย


พวกมันทั้งหมดคือศพที่ถูกแขวนไว้ในวิหาร ศพที่เอาแต่ส่งเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ !


ในตอนที่ไคลน์เดินผ่านกำแพงออกจากวิหาร ศพซึ่งถูกแขวนล้วนหันมาจ้องเทียนไขอย่างพร้อมเพรียง ขณะเดียวกันก็ไม่มีร่างอันเลือนรางมาเดินบนถนน จนกระทั่งไคลน์ดับเทียนไขจากระยะไกล ทุกสิ่งจึงกลับมาเหมือนกับปรากฏการณ์จันทร์กระจ่างคราวก่อน


เมื่อพระจันทร์สีแดงส่องแสงจ้า พลังจะทวีความเข้มข้น ส่งผลให้ ‘แม่เหล็ก’ บนยอดวิหารแผ่อิทธิพลปกคลุมไปทั่วหมู่บ้านสายหมอก ส่งผลให้เหล่าศพที่ถูกแขวนสามารถเดินไปเดินมา แสร้งทำตัวเหมือนคนปรกติ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แสงสว่างคงดึงดูดสายตาของ ‘ผู้เชิด’ เบื้องหลัง… หากเราดับเทียนไขไม่ทันเวลาจนถูกระบุตำแหน่ง เหตุการณ์สยองขวัญอาจเกิดขึ้น อา… ในอนาคต เราไม่ควรใช้พลังควบคุมไฟส่งเดช ไม่อย่างนั้นอาจเป็นการดึงดูดสายตาของ ‘ผู้เชิด’ … ไคลน์เตือนตัวเอง เปิดเนตรด้ายวิญญาณที่ปิดอยู่ ทดสอบเพ่งมองไปยังขนมปัง สตูมันฝรั่ง และไวน์แดงบนโต๊ะ


ชายหนุ่มสงสัยว่า อาหารที่นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของ ‘แม่เหล็ก’ ถ้ากินเข้าไป ด้ายวิญญาณจะถูกกัดกร่อนและลอยเข้าไปในวิหาร รอจนกระทั่งจันทร์แดงกระจ่าง จะได้ออกมาเดินเล่นอีกครั้งในฐานะหุ่นเชิด ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับคำบอกเล่าของมิสเตอร์ A ที่ระบุว่า คนที่หายตัวไปจะกลับมาเดินบนถนนในยามจันทร์แดงกระจ่าง


เพียงชำเลืองสายตา ไคลน์พบว่าอาหารบนโต๊ะราวกับมีชีวิต ทั้งหมดมีด้ายวิญญาณยืดยาว ปลายสายมุ่งหน้าไปยังวิหาร


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ พวกมันมีด้ายวิญญาณเพียงเส้นเดียว แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตปรกติที่จะจับกลุ่มหนา


เป็นอย่างที่คิด สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของเรา… ไคลน์ที่ยืนยันทฤษฎีเบื้องต้น ถอนสายตากลับพลางครุ่นคิดว่า ตนจะจัดการ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียได้อย่างไร


ด้านข้างชายหนุ่ม ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลในสภาพส่วนหมวกสามมุมทรงโบราณและแจ็คเก็ตสีแดงเข้ม ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อนจะส่งเสียงกระดูกลั่นพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มกระเพื่อม จนกระทั่งแปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เสร็จสมบูรณ์


นี่คือการใช้พลังผู้ไร้หน้าผ่านหุ่นเชิด!


ไคลน์จ้อง ‘ตัวตายตัวแทน’ สักพัก ก่อนจะพบข้อบกพร่องที่น่าเสียดาย นั่นคือเสื้อผ้าจะไม่เปลี่ยนตามร่างต้น และถ้าใช้พลังลวงตาปกปิด คงไม่มีทางตบตา ‘แม่มดสิ้นหวัง’ ระดับครึ่งเทพได้ ไม่แม้กระทั่งมิสเตอร์ A


ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มบังคับเซนอลในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถอดเสื้อผ้า ส่วนร่างต้นก็ถอดชุดคลุมสีดำ จากนั้นก็สลับเครื่องแต่งกายกัน


ขณะแต่งกาย สีหน้าไคลน์บิดเบี้ยวเล็กน้อย เพราะตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เสื้อผ้าชุดนี้ต้องเผชิญกับหลายสิ่ง ไม่ว่าจะลุยท่อระบายน้ำหรือฝังระเบิด กลิ่นไม่พึงประสงค์มากมายผสมปนเป


เฮ่อ… เป็นเพราะความขี้เกียจในอดีต ก็เลยต้องทุกข์ทรมานในวันนี้… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เมื่อแต่งกายเสร็จ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ร่างต้นอยู่ในชุดของกัปตันโจรสลัด


ในเวลาเดียวกัน ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลสวมชุดคลุมสีดำเรียบร้อย ออร่าเต็มไปด้วยชีวิตชีวาไม่แตกต่างจากคนเป็น


หลังจากไตร่ตรอง ไคลน์นำยุบพองหิวโหยไปสวมไว้ที่มือซ้ายของพลเรือเอกโลหิต


ด้วยเหตุนี้ หุ่นเชิดได้กลายเป็นตัวตายตัวแทนเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างสมบูรณ์!


ถ้าคิดจะเล่นละคร ก็ต้องทำให้เต็มที่… หากยุบพองหิวโหยเกิดไม่เชื่อฟัง คนที่ถูกกินจะเป็นหุ่นเชิด ไม่ใช่เรา… และเมื่อหุ่นเชิดหมดอายุขัย เจ้านั่นก็จะกลับไปรู้สึกเหมือนไม่ได้กินอะไร แบบนี้จะน้อยใจไหม? คล้ายกับการกินยาหลอก… ไคลน์ซ้อมบังคับวิญญาณอาฆาตให้เกิดความเคยชิน ก่อนจะนำเนื้อปลาและสิ่งของอื่นๆ ออกมาพร้อมกับวางแผนอย่างรอบคอบ


การพึ่งพาหุ่นเชิดที่สามารถใช้พลังพิเศษของร่างต้น คงไม่เพียงพอจะเอาชนะแม่มดสิ้นหวัง… ลำพังการขโมยหินออบซิเดียนก็ยังแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอคือครึ่งเทพตัวจริง…


แม้การใช้หุ่นเชิดเพื่อดึงดูดความสนใจจะช่วยให้เราซุ่มโจมตีได้ง่ายขึ้น รวมถึงการสลับตำแหน่งไปมา ทำให้พานาเทียเกิดความสับสนจนตอบสนองได้ไม่ถูกต้องนัก แต่ก็ยังไม่มากพอจะชดเชยความต่างชั้นของระดับตัวตนทางธรรมชาติ ทำให้แผนการกลายเป็นสิ่งไร้ความหมาย


เราสามารถใช้หุ่นเชิดเข้าต่อสู้ในระยะประชิด พยายามควบคุมด้ายวิญญาณของพานาเทีย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เซนอลเป็นเพียงคนตาย ย่อมไม่ได้รับผลกระทบจากอาการป่วย เธอน่าจะคาดไม่ถึงเรื่องนี้… แต่ติดปัญหาอยู่สองข้อ หนึ่งคือ ‘ไวรัส’ และ ‘แบคทีเรีย’ ที่สร้างจากแม่มดสิ้นหวังจะทวีความแข็งแกร่งจากปรกติ บางทีอาจส่งผลต่อศพด้วย และข้อสอง เธออาจมีพลังพิเศษชนิดอื่นที่ซ่อนเอาไว้… มีความเป็นไปได้สูงมาก…


อา เราคงต้องไล่เรียงจุดที่ตัวเองได้เปรียบหรือสูสีกับแม่มดสิ้นหวัง จากนั้นก็มาดูกันว่าจะพบทางออกบ้างไหม…


เราสามารถซ่อนตัว… หุ่นเชิดที่สามารถใช้พลังของร่างต้น มีพลังต่อสู้ทัดเทียมระดับครึ่งเทพ… พลังสลับร่างในพริบตา… หมดแค่นี้… แต่ถ้าพิจารณาถึงสภาพปัจจุบันของแม่มดสิ้นหวัง ดูเหมือนเราจะเป็นต่อในเชิงจิตใจ


เธอกลายเป็นผู้วิเศษกึ่งเสียสติ การคิดแบบมีเหตุผลเดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย พฤติกรรมเป็นไปอย่างสุดโต่ง เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ อา… ถึงจะยังหว่านเสน่ห์และโน้มน้าวได้เก่ง แต่นั่นคงมาจากสัญชาตญาณการล่อลวงเหยื่อ ส่วนเราปรกติสุดขีด สติปัญญาครบถ้วน ยังวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้ดี


หมายความว่า เราต้องเอาชนะด้วยสติปัญญา?


ไคลน์เริ่มฉุกคิดบางสิ่ง


แล้วทำไมเราถึงต้องสู้กับแม่มดสิ้นหวังตอนนี้?


ไม่เพียงเท่านั้น อีกฝ่ายเองก็ต้องการหนีออกจากหมู่บ้านสายหมอก ลึกๆ แล้ว เธอเองก็ต้องการออกจากที่นี่ เป็นความต้องการที่เข้มข้นยิ่งกว่าความหิวกระหาย แถมตอนนี้พานาเทียก็ยังอิ่มอยู่!


เราสามารถชักชวนให้เธอมาร่วมมือกัน บอกให้เธอส่งหินออบซิเดียนมา ส่วนเราจะวาดสัญลักษณ์พิเศษ เป็นอันครบเงื่อนไขสำหรับเปิดประตู…


นอกจากนั้น เรายังไม่ปักใจเชื่อซาราธเต็มร้อย ไม่มีใครรู้ว่ามันวางแผนอะไรอยู่ การลากแม่มดสิ้นหวังเข้ามาเกี่ยวข้อง จะช่วยให้สถานการณ์ชุลมุนจนอีกฝ่ายลงมือไม่สะดวก!


ความร่วมมือคือศิลปะเชิงการทูต มิใช่ศิลปะการต่อสู้ ตัวตายตัวแทนที่สมจริงและแข็งแกร่งทัดเทียมครึ่งเทพ จะมีประโยชน์มากกว่าหากนำไปใช้เจรจาแทนการต่อสู้ซึ่งหน้า เพราะนั่นจะทำให้เราใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทั้งหมดอย่างเต็มที่!


ไคลน์ตัดสินใจฉับไว ระหว่างที่วางแผนรายละเอียดการ ‘เจรจา’ ชายหนุ่มก็รอให้จันทร์สีแดงถูกหมอกบดบังไปในตัว


ผ่านไปสักพัก แสงจันทร์ที่ส่องผ่านผ้าม่านเริ่มหรี่ลง ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดผ่านกำแพง ออกจากบ้านหลังที่ซ่อนตัว


‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินไปตามถนน จนกระทั่งใกล้ถึงวิหารสีดำ


เพียงสิบวินาที ไคลน์พบว่าหุ่นเชิดเซนอลได้รับอาการป่วย


สำหรับคนตาย อาการป่วยอาจไม่ส่งผลเสีย แต่ไคลน์มองเห็น หากปล่อยไว้นานโดยไม่แก้ไข เชื้อโรคจะรุนแรงและพิสดารมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งทำลายเส้นประสาท ยากจะขยับข้อต่อ หากต้องการขยับตัวก็ต้องกระโดดสถานเดียว


โชคดีที่เราไม่เลือกแผนใช้หุ่นเชิดเข้าควบคุมด้ายวิญญาณพานาเทีย… ไคลน์บังคับให้เซนอลเปิดปาก


“ฉันเข้าไปในวิหารมาแล้วสักพัก และยังไม่ตาย… ฉันพบทางหนีออกจากที่นี่แล้ว!”


กล่าวจบ เกอร์มัน·สแปร์โรว์พบว่า ความต้านทานอาการป่วยของตนลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอลง


ขณะเดียวกัน ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียในชุดคลุมสีขาวโพลน ปรากฏตัวใกล้กับประตูวิหาร เส้นผมถูกเกล้ามวยใหม่อีกครั้ง ช่วยให้ดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ


เธอจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยดวงตาเปี่ยมเสน่หา ล้วงหยิบหินออบซิเดียนออกจากเสื้อ


เค้าโครงของหินออบซิเดียนก้นนี้ ตรงตามช่องว่างบนผนังด้านหลังรูปปั้นในวิหารทุกประการ!


“ใช้เจ้านี่ใช้ไหม?” พานาเทียถามเยือกเย็น


เมื่อพบว่าแม่มดสิ้นหวังสลายอาการป่วยและเชื้อโรค ชายหนุ่มบังคับ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลพยักหน้า


“ถูกต้อง ขอเพียงวางไว้ในจุดที่เหมาะสมด้านในวิหาร พร้อมกันกับสัญลักษณ์พิเศษ พวกเราจะเปิดประตูและหนีไปจากที่นี่ได้… ฉันเข้าใจว่าข้างในอันตรายสำหรับเธอ แต่นั่นมีต้นตอมาจากด้านวิญญาณ สำหรับฉันที่เป็นนักเชิดหุ่นซึ่งสามารถควบคุมด้ายวิญญาณ เธอจะปลอดภัยจากการถูกจับแขวนคอ”


‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียเงียบงันสักพัก ยกมุมปากยิ้มสดใส


“แล้วฉันก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดของนาย? หรือนายจะหยุดช่วยเหลือในช่วงเวลาสำคัญ ปล่อยให้ฉันกลายเป็นร่างที่เดินเตร็ดเตร่ใต้แสงจันทร์?”


ไคลน์เตรียมคำตอบไว้แล้ว รีบบังคับให้หุ่นเชิดกล่าวกลับไปอย่างใจจริง


“แล้วต้องทำยังไงเธอถึงจะสบายใจ?”


พานาเทียไม่ตอบทันที ครุ่นคิดสักพักจึงค่อยกล่าว


“ส่งเส้นผมกับเลือดของนายมาให้ฉัน”


คำสาปที่แม่มดถนัด? คิดจะสาปเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยเส้นผมและเลือดเซนอล? ถ้าเธอทำสำเร็จ เรียกฉันว่าไอ้กระจอกได้เลย! ขณะเดียวกัน ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดแสดงสีหน้าลำบากใจ


“ถ้าเป็นแบบนั้น เธอจะฆ่าฉันตอนไหนก็ได้ไม่ใช่หรือ…”


‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียยิ้มตอบ


“ไว้ค่อยส่งเส้นผมกับเลือดของนายหลังจากพวกเราเข้าไปในวิหารแล้ว… ถ้าอยู่ข้างใน หากฉันทำท่าจะใช้คำสาป นายก็แค่เลิกควบคุมด้ายวิญญาณของฉัน และในทางกลับกัน ถ้านายทำตัวแปลกๆ ฉันก็จะสาปทันที… รอจนกระทั่งประตูเปิดออก ฉันจะเข้าไปก่อนพร้อมกับคืนเส้นผมและเลือดให้นาย”


‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ ทำหน้าครุ่นคิดอยู่นานสองนาน หลังจากพิจารณาข้อเสนอของแม่มดสิ้นหวัง มันพยักหน้าและตอบ


“ตกลงตามนั้น”


ขณะพานาเทียเตรียมกล่าวบางสิ่ง ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย


“ไม่รู้ทำไม แต่ฉันยังรู้สึกไม่สบายใจ”


ราชันเร้นลับ 841 : คุมเชิงกันและกัน

สัญชาตญาณเฉียบแหลมเกินไปแล้ว… ทั้งที่ไม่รู้ว่า ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ ตรงหน้าเป็นแค่ตัวตายตัวแทน แต่ยังสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปรกติ… ไคลน์ที่ซ่อนอยู่ในบ้านไม่ห่างออกไป ขบคิดหลายสิ่ง เริ่มวางแผนขั้นตอนถัดไป


ชายหนุ่มบังคับ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลพูดเสียงทุ้ม


“ฉันเองก็กังวลเล็กๆ เหมือนกัน… หลังจาก ‘เปิดประตู’ ถ้าเธอออกไปก่อน ย่อมมีโอกาสซุ่มโจมตีฉันจากด้านนอก… ไม่สิ ระดับเธอไม่ต้องซุ่มโจมตี แค่ดักรอเฉยๆ ก็พอ… ฉันคิดว่าทางนี้ควรได้สิทธิ์ออกไปเป็นคนแรก แน่นอน เธอต้องคืนเส้นผมและเลือดมาก่อน เมื่อถึงตอนนั้น เธอจะอยู่ใกล้ประตูมาก สามารถหนีออกจากประตูก่อนที่ด้ายวิญญาณจะถูกจับแขวนไว้บนวิหาร”


‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียยืนฟังอย่างเงียบงันสักพัก ย้อนถามกลับอย่างมีชั้นเชิง


“แล้วฉันจะป้องกันไม่ให้นายทำลาย ‘ประตู’ หลังจากหนีได้ยังไง?”


“นั่นก็เป็นปัญหาของทางนี้เหมือนกัน” หุ่นเชิดเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบกลับหน้านิ่ง “ไว้ฉันได้สัญลักษณ์พิเศษนั่น จะแสดงให้เธอเห็นก่อนออก ด้วยวิธีนี้ ถ้าฉันหนีไปพร้อมกับปิดประตู เธอยังเปิดมันใหม่ได้อีกครั้ง”


พานาเทียปิดปากเงียบไปพักใหญ่ คล้ายกับกำลังไตร่ตรองแผนการหนี แต่อากัปกิริยาขาดความเยือกเย็นอย่างชัดเจน ราวกับจิตใจกำลังถูกครอบงำด้วยความบ้าคลั่ง


ผ่านไปสิบวินาที เธอพูดอีกครั้ง


“ฉันคิดว่าคำสาปเพียงอย่างเดียวอาจทำร้ายนายไม่ได้… นักทำนายมีวิธีมากมายในการหลบหนี เช่นเดียวกับกระดาษคนตัวแทนที่นายเคยแสดงให้ดู”


ยังรอบคอบขนาดนี้เชียว… แต่ช่างเถอะ คนที่อยู่ตรงหน้าเธอมันปลอมไปทุกส่วน… ไคลน์จิกกัดขณะบังคับให้เซนอลดึงกระดาษรูปคนออกจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เผาทั้งหมดทิ้งต่อหน้าแม่มดสิ้นหวัง


“ฉันไม่มีทางยืนยันได้ว่านายยังซ่อนไว้อีกกี่ใบ” พานาเทียยังคงคลางแคลง


มุมปาก ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ กระตุกเล็กน้อย


“ทำไมไม่ลองใช้พลังทำนาย? แม่มดถนัดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่หรือ?”


พานาเทียยิ้ม


“ที่นี่ติดต่อกับโลกวิญญาณไม่ได้ และพลังวิญญาณของฉัน…”


เธอไม่พูดต่อให้จบ เพียงเผยสายตาอันตราย


ไคลน์ทราบความนัยของแม่มดสิ้นหวัง พลังวิญญาณของเธอถูกปนเปื้อนจาก ‘การกิน’ ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันอยู่ในสภาวะยุ่งเหยิงและบ้าคลั่ง ยากจะมอบ ‘คำตอบ’ ที่น่าเชื่อถือในการทำนายถามพลังวิญญาณตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้วิเศษที่เชี่ยวชาญพลังทำนาย


บทสนทนาหยุดลง หาข้อสรุปไม่ได้เป็นเวลานาน


ทันใดนั้น บนหลังคาของบ้านฝั่งซ้ายมือ เสียงแหบพร่าและคลุมเครือดังขึ้น


“ฉันช่วยเป็นพยานให้ได้”


‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ และพานาเทียหันไปมองพร้อมกัน พบมิสเตอร์ A ‘งอก’ ออกจากเงามืดในสภาพสวมเสื้อคลุมสีแดงเลือด


“จะเป็นพยานด้วยวิธีไหน?” ไคลน์บังคับให้เซนอลถาม


มิสเตอร์ A ดึงผ้าคลุมศีรษะลง เผยรอยยิ้มลุ่มลึก


“ฉันจะใช้เวทมนตร์เลือดเนื้อเข้าไปแฝงตัวในร่างกายของนาย คอยเฝ้าตรวจสอบพฤติกรรม หากนายละเลยการควบคุมด้ายวิญญาณของหล่อน หรือคิดจะใช้กระดาษคนตัวแทน ฉันจะตักเตือนและพยายามขัดขวาง… เมื่อ ‘ประตู’ ที่นายพูดถึงเปิดออก ฉันจะออกจากร่างนายและเข้าไปในประตูก่อนที่ด้ายวิญญาณจะถูกแขวน”


แกคิดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นไอ้งั่ง? ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดยกมุมปาก


“เท่าที่ฉันทราบ นักบวชกุหลาบสามารถซ่อนตัวในร่างกายคนอื่นได้ก็จริง แต่ในตอนที่ออกมา เจ้าของร่างจะต้องตาย”


“เข้าใจผิดแล้ว… นั่นคือกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ จำเป็นต้องผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดเนื้อเจ้าของร่าง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีความจำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้น แค่ซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ในท้องของนายก็พอ” มิสเตอร์ A อธิบายอย่างละเอียด


เข้าใจผิดแล้ว… นั่นไม่ใช่ท้องของฉัน แต่เป็นท้องของเซนอล… ไคลน์บังคับให้ ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ หยิบเหรียญทองออกมาแสร้งทำนาย


‘นักผจญภัยเสียสติ’ พึมพำบางสิ่งขณะควงเหรียญทองเล่นระหว่างนิ้ว


จนกระทั่งมีเสียง ‘กิ๊ง’ เหรียญทองถูกดีดขึ้นไปในอากาศและหล่นลงบนฝ่ามือ


‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ มองเหรียญอย่างตั้งใจ


“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้โกหกสินะ… แต่นายต้องออกจากตัวฉันก่อนที่ทางนี้จะแสดงสัญลักษณ์ให้ ‘ท่านหญิงสิ้นหวัง’ เห็น”


หากไม่ทำแบบนี้ มีแนวโน้มสูงว่า ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ จะถูกคนทั้งสองรุม – ถ้าพานาเทียได้รับสัญลักษณ์เปิดประตูในขณะที่ถือหินออบซิเดียนในมือ เธอจะมีเวลาเหลือเฟือสำหรับหลบหนี ไม่ต้องกลัวจะถูกด้ายวิญญาณแขวน และไม่จำเป็นต้องคอยช่วยเหลือเกอร์มัน·สแปร์โรว์จากมิสเตอร์ A หน้าที่เดียวของมิสเตอร์ A คือการยับยั้งมิให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้กระดาษคนตัวแทน


แต่ถ้ามิสเตอร์ A ออกจากตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาก่อน อันตรายต่างๆ ก็จะลดลงอย่างมาก ไม่ต้องกังวลว่าหลังจากพานาเทียได้รับสัญลักษณ์ไปจะย้อนกลับมาทำร้าย เพราะตนยังมีเวลาใช้กระดาษคนตัวแทนหลบหนี และพานาเทียก็ไม่มีทางเสี่ยงไล่ล่าในวิหารที่เธอสามารถถูกแขวนได้ทุกเมื่อ ทางเลือกเดียวของเธอคือการหนีออกไป!


นอกจากนั้น เธอไม่มีทางหนีไปพร้อมกับหินออบซิเดียน เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถเปิดประตูได้อีกครั้ง


แม้แผนนี้จะมีช่องโหว่ในรายละเอียดอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเข้าท่าสำหรับทั้งสามฝ่าย หลังจากไตร่ตรองสักพัก ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียยกมือขึ้นสางผม ถามอีกครั้งอย่างใจเย็น


“ถ้าฉันหนีออกไปก่อน ไม่กลัวว่าจะถูกซุ่มโจมตีหรือ?”


นั่นคือสิ่งที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยเป็นกังวล


ไคลน์บังคับหุ่นเชิดยกมุมปาก


“กลัวสิ… แต่ทางนี้เองก็มีวิธีเอาตัวรอด ฉันสามารถเดิมพันกับมันได้”


พานาเทียขยับสองก้าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก


“งั้นมาเริ่มกันเลย”


หลังจากตัดสินใจ หญิงสาวเผยรอยยิ้ม


“นายช่างเป็นผู้ชายที่วิเศษ สามารถทำให้ฉันคนนี้เห็นแสงแห่งความหวังอีกครั้ง… หากพวกเราหนีออกไปได้ ถ้าไม่รังเกียจ ฉันยินดีจะมอบความสุขที่นายจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตให้”


‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ ถอนสายตาอย่างยากลำบาก หันไปมองมิสเตอร์ A ด้านข้าง


“ฉันหมดข้อสงสัยแล้ว”


เกิดเสียงสายลมพัดผ่าน มิสเตอร์ A ร่องลงมาข้างล่างใกล้กับเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ร่างกายและเสื้อผ้าของมันละลายอย่างรวดเร็ว กลายเป็นก้อนเลือดเนื้อเหนียวข้น


แทบจะในทันที เลือดเนื้อก้อนนั้นบีบตัวเป็น ‘กระแสน้ำ’ ขนาดประมาณท่อนแขน ไหลเข้าไปใกล้เกอร์มัน·สแปร์โรว์


ในบ้านหลังที่ห่างออกไปไม่ไกล ไคลน์ร่างต้นเกิดความคลื่นไส้ที่ยากจะอธิบาย พลางบังคับให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์อ้าปากค้าง


‘กระแสเลือดเนื้อ’ ไต่ขึ้นไปบนร่างกายหุ่นเชิด ไหลเข้าปากเป็นทางยาว มอบความรู้สึกอบอุ่น ไหลผ่านหลอดอาหารจนกระทั่งถึงกระเพาะ


หนัก… แต่เลือดเนื้อของมิสเตอร์ A ช่วยถ่วงท้องไม่ให้บวมออกมา… ไคลน์สำรวจหุ่นเชิดสักพัก แหงนหน้ามองพระจันทร์สีแดงบนท้องฟ้าที่ถูกหมอกบดบัง ก่อนจะหันไปพูดกับ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทีย


“มาเริ่มกันเลย”


“ตกลง” พานาเทียที่แทบอดใจรอไม่ไหว เดินตรงไปทางประตูวิหาร


ไคลน์บังคับ ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ เดินตามไป ตามด้วยการดึงผมออกมาหนึ่งกระจุก จากนั้นก็เสกให้ตุ่มเนื้องอกจากผิวท่อนแขนและกระชากออกจนเลือดไหลซิบ


หากมีคนรู้จักของเราอยู่ที่นี่ พวกเขาคงสงสัย เพราะเราไม่ใช่คนที่ทำร้ายตัวเองได้เลือดเย็นขนาดนี้… อา แต่ในร่าง ‘นักผจญภัยเสียสติ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ คนทั่วไปคงมองเป็นเรื่องปรกติ… ไคลน์พบจุดบกพร่องในพฤติกรรมของตน รีบบันทึกใส่ความทรงจำเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก จนกระทั่งหุ่นเชิดเดินผ่านประตูของวิหารที่เปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่ง มันส่งเส้นผมและเลือดในมือให้กับแม่มดสิ้นหวัง


พานาเทียลดความเร็วลง นำตุ๊กตาที่น่าขยะแขยงขนาดเท่าฝ่ามือออกมาถือ ละเลงเลือดลงไปพร้อมกับพันเส้นผมรอบลำคอ


หญิงสาวถือตุ๊กตาต้องสาปไว้ในมือข้างหนึ่งพลางเดินผ่านประตูวิหาร ส่วนไคลน์บังคับให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ช่วยควบคุมด้ายวิญญาณของทั้งสอง ในกรณีมิสเตอร์ A เนื่องจากด้ายวิญญาณซ้อนทับกับเซนอล จึงควบคุมได้โดยไม่ต้องใช้สมาธิมากนัก


หืม… ถ้าเราทำได้… ซาราธที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าเราก็น่าจะทำได้ไม่ใช่หรือ… เขาสามารถร่วมมือกับแม่มดสิ้นหวังและเปิดประตูออกไปได้นานแล้ว… ทำไมถึงไม่ทำ? หรือว่าส่งเสียงออกไปนอกวิหารไม่ได้ ขอบเขตการสนทนาอาจสั้นแค่บริเวณรูปปั้น ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายลำดับหุ่นเชิดหรือสูงกว่า ก็จะไม่มีทางได้คุยกับซาราธ? ขณะไคลน์เพ่งสมาธิควบคุมหุ่น ความคิดส่วนหนึ่งกำลังไตร่ตรองหาเหตุผล


และภายในวิหาร ศพเหล่านั้นยังคงถูกแขวนกลางอากาศ ศีรษะก้มลง ดวงตาเหลือกขึ้นจนเห็นสีขาว ร่างกายโยกเอนแผ่วเบาท่ามกลางสายลมเอื่อย ส่งเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ ออกมาเป็นระยะ


เห็นฉากดังกล่าว ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็รีบรักษาความสุขุม เดินผ่านกลุ่มศพที่ถูกแขวนไปพร้อมเกอร์มัน·สแปร์โรว์


เพียงไม่นาน ทุกคนมองเห็นแท่นบูชาสีดำและรูปปั้นของทายาทเทพบรรพกาล


ซาราธยังคงนั่งด้านหลังรูปปั้นหิน สวมเสื้อคลุมศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยเคราดกสีขาว


เมื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์และพานาเทียเข้าไปใกล้ มันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและยิ้ม


“ทำได้ดี… ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายต้องรู้จักใช้สมองให้มากกว่ากำลัง”


คล้ายกับคาดการณ์ล่วงหน้าว่ากระดาษคนตัวแทนของ ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ จะถูกทำลายไปเกือบหมด ซาราธเหยียดแขนออกมาและล้วงเข้าไปใน ‘ช่องว่าง’ ก่อนจะดึงมือกลับพร้อมกับปากกาขนนกที่แช่ในขวดหมึก และกระดาษหนังสีเหลือง


ฉากดังกล่าวทำให้พานาเทียขมวดคิ้ว


ซาราธหยิบปากกาเขียนสัญลักษณ์บนกระดาษหนัง จากนั้นก็ม้วนและส่งให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์


“นี่คือเครื่องหมายสำหรับเปิดประตู รวมถึงสูตรโอสถจอมเวทพิสดารที่เจ้าต้องการ… กระดาษหนังแผ่นนี้จะคงสภาพได้นานสี่สิบห้านาที และไม่สามารถนำออกไปข้างนอกได้”


ไคลน์คลี่กระดาษโดยไม่ให้แม่มดสิ้นหวังเห็น ตรวจสอบสูตรโอสถและสัญลักษณ์สำหรับเปิดประตู


ทันใดนั้น ชายหนุ่มหรี่ตาลงด้วยร่างกายแข็งทื่อ


สัญลักษณ์สำหรับเปิด ‘ประตู’ มีความใกล้เคียงกับสัญลักษณ์ซับซ้อนที่สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสสั่งให้ ‘หุ่นกระบอกอัปมงคล’ นำมาแสดงให้ตนเห็น เป็นภาพของดวงตาแนวตั้งที่เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับ!


ทว่า มีจุดแตกต่างเล็กน้อยในรายละเอียด ภาพของจันทร์เสี้ยวและเครื่องหมายเส้นประถูกสลับตำแหน่งกัน!


ราชันเร้นลับ 842 : ด้านหลังประตู

ทันใดนั้น ความคิดแรกที่แล่นผ่านสมองไคลน์ก็คือ :


เป็นอย่างที่คิด! ซาราธเล่นไม่ซื่อ!


ชายหนุ่มพบว่า ตนโชคดีมากที่เคยเห็นสัญลักษณ์ของจริงมาจากสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสล่วงหน้า ภายในใจจึงยังสุขุม ไม่เผยอาการแตกตื่น


ซาราธคืนปากกาขนนกและขวดหมึกกลับคืนสู่ประวัติศาสตร์ เงยหน้าขึ้น สำรวจ ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ และ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทีย ก่อนจะถอนหายใจและกล่าว


“เงื่อนไขทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว พวกเจ้าสามารถเปิด ‘ประตู’ ได้”


กล่าวจบ ซาราธมองหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หัวเราะเล็กๆ ในลำคอ


“อย่าลืมนำโกศของข้าติดตัวไปด้วย”


เมื่อสิ้นเสียง ร่างกายของมันแตกออกเป็นละอองแสงเล็กๆ จำนวนมาก กระจัดกระจายไปรอบทิศ ก่อนจะเลือนหายไปกับความว่างเปล่า ราวกับร่างต้นผุกร่อนและกลายเป็นขี้เถ้ามานานมากแล้ว


ในจุดที่ซาราธเคยนั่งมีโกศสีขาว ผิวโกศเรียบง่าย ไม่มีสิ่งใดพิเศษ


ไคลน์บังคับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินไปข้างหน้าสองก้าว ก้มตัวหยิบโกศ สัมผัสได้ถึงความหนัก พบว่าไม่ใช่ของปลอม


ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ถือกระดาษหนังเปิดฝาโกศ มองเห็นฝุ่นและอนุภาคสีขาวนวลนอนก้น ปราศจากแสงระยิบระยับ


เป็นแค่ขี้เถ้าธรรมดาจริงหรือ… แล้วใครช่วยซาราธเผาศพ? เผาตัวเอง? หลังจากปิดฝาโกศ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้มือข้างที่ถือกระดาษหนังล้วงหยิบเนื้อปลาออกจากกระเป๋าเสื้อ ใส่ปากกลืนลงท้อง


‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียสังเกตเห็นพฤติกรรมดังกล่าว จึงใช้หางตาชำเลืองเป็นเชิงถามว่า ‘กำลังทำอะไร’


ไคลน์ทยอยนำเนื้อปลาใส่ปากคำแล้วคำเล่า หายใจเข้าออกสักพักก่อนจะตอบ


“ฉันค่อนข้างประหม่า… ยังไม่มั่นใจว่าสัญลักษณ์เปิดประตูจะได้ผลหรือไม่”


พานาเทียยืนยันได้ว่า สิ่งที่อีกฝ่ายกินเข้าไปเป็นแค่เนื้อปลาธรรมดา อาจดูน่าขยะแขยงกว่าปรกติเล็กน้อย แต่ในสภาวะกึ่งเสียสติของหญิงสาว เธอไม่มัวใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ เพียงมองไปยังโกศขี้เถ้าและยิ้ม


“ถ้าสัญลักษณ์เปิดประตูใช้การไม่ได้… พวกเราสามารถนำของที่อยู่ข้างในมาแบ่งกันกิน… ฉันขอแค่วันละช้อน… นั่นจะช่วยให้พวกเราอยู่รอดได้อีกนาน”


สภาพจิตใจของแม่มดคนนี้เข้าขั้นวิกฤติแล้ว… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว เดินผ่านรูปปั้นเทวทูต ‘นักลบ’ ซึ่งสงสัยว่าอาจเป็น ‘มารดาแห่งผืนนภา’ และตรงไปยังกำแพงด้านหลัง


จากนั้น ชายหนุ่มหันข้าง ชี้ไปยังช่องว่างและพูดกับแม่มดสิ้นหวัง


“ใส่หินออบซิเดียนตรงนี้”


พานาเทียฉีกยิ้มกว้าง กล่าวด้วยสายตาเย็นชา


“แสดงสัญลักษณ์เปิดประตูให้ฉันดูก่อน”


ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้… ถ้าฉันคิดจะทำร้ายเธอ ก็แค่ยกเลิกหุ่นเชิดเสียตรงนี้… เธอไม่มีทางหนีออกจากวิหารได้ทัน ชะตากรรมเดียวคือการถูกแขวนเหมือนกับศพด้านบน จากนั้นค่อยไปค้นตัวศพเพื่อเอาหินออบซิเดียนมาเปิดประตูหนี… แต่สัญลักษณ์ที่ซาราธวาดนั้นไม่ปรกติ เราจำเป็นต้องมีหนูทดลอง… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง ก่อนจะบังคับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เลื่อนมือลงไปตบท้องเบาๆ พร้อมกับอ้าปาก


ก้อนเลือดเนื้อไหลออกจากปาก กองรวมกันตรงหน้าก่อนจะงอกขึ้นมาเป็นมิสเตอร์ A ที่มีใบหน้าสะสวย


เห็นฉากดังกล่าว เกอร์มัน·สแปร์โรว์สะบัดม้วนกระดาษเพื่อคลี่ออก


สัญลักษณ์พิเศษพร้อมด้วยสูตรโอสถจอมเวทพิสดารปรากฏตรงหน้าพานาเทียและมิสเตอร์ A


ดวงตาพานาเทียลุกวาว ยิ้มและพูด


“เปิดประตูได้เลย เชิญนายออกเป็นคนแรก”


เธอพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังคงช่วยควบคุมด้ายวิญญาณใหญ่ จึงยังมีเวลาเหลือเฟือ


ขณะกล่าว หญิงสาวโยนตุ๊กตาที่น่ารังเกียจและเปื้อนเลือดไปทางคู่สนทนา


เธอเองก็กลัวเหตุการณ์ไม่คาดฝัน… ไคลน์บังคับให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์รับตุ๊กตา ยืนมองแม่มดสิ้นหวังก้าวไปข้างหน้าและนำหินออบซิเดียนใส่ลงในช่องว่าง


หินผสานเป็นเนื้อเดียวกับผนัง ไม่มีส่วนเกินแม้แต่น้อย


ผนังเรืองแสงทันที จากนั้นก็ค่อยๆ โปร่งใส่จนมองเห็นทางเดินที่ปูด้วยหิน กำแพงที่มีรู และเมฆที่ลอยกลางอากาศ


เมื่อพานาเทียหลีกทางให้ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินเข้าไปพร้อมกับตุ๊กตา กระดาษหนัง และโกศขี้เถ้า เหยียดแขนขวาออกพร้อมกับใช้นิ้วเขียนต่างปากกา วาดลงดวงตาแนวตั้งและสัญลักษณ์ลึกลับจำนวนมากลงบนผนังโปร่งใส


ระหว่างนี้ ชายหนุ่มเกิดความลังเล ไม่แน่ใจว่าควรวาดสัญลักษณ์ของซาราธหรือของตระกูลอันทีโกนัส


แม้ไคลน์จะยังระแวงซาราธและไม่เชื่อใจเต็มร้อย แต่หลังจากสงบสติและไตร่ตรอง มันพบว่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำเรื่องวุ่นวาย หากซาราธต้องการทำร้ายทุกคน ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องการเปิดประตู สิ่งที่ต้องทำมีเพียงการรอโอกาสอย่างใจเย็น


นอกจากนั้น เนื่องจากหมู่บ้านสายหมอกได้ตัดขาดมิติหมอกเทาออกไปโดยสิ้นเชิง ซาราธไม่น่าจะมองเห็นความพิเศษในตัวไคลน์ จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องเพ่งเล็งโจมตี


ดังนั้น ข้อสันนิษฐานของไคลน์ก็คือ ซาราธต้องการโน้มน้าวให้ใครสักคน ‘เปิดประตู’ ออก นั่นจะช่วยให้มันได้รับผลประโยชน์บางอย่าง หรือหลุดพ้นจากบางสิ่ง ส่วนจะมีอันตรายใดเกิดขึ้นหลังจากเปิดประตูหรือไม่ ซาราธคงไม่แยแส และไม่ว่าคำขอร้องที่ให้โปรยขี้เถ้าลงแม่น้ำจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่โอกาสที่ประตูจะเปิดออกนั้นมีสูง


กล่าวอีกนัยหนึ่ง สัญลักษณ์เปิดประตูของซาราธน่าจะถูกต้อง และมีโอกาสปลอดภัยราวห้าสิบเปอร์เซ็นต์


และในทางกลับกัน ตระกูลอันทีโกนัสอาจไม่ได้ ‘ดี’ เสมอไป เมื่อนำภาพที่ไคลน์เห็นจากการทำนายเหนือมิติหมอก รวมกับข้อมูลบางส่วนที่ซาราธเล่าให้ฟัง และเรื่องที่ซาราธจากโลกภายนอกกำลังเสียสติ ไคลน์เชื่อว่า ‘สมบัติตระกูลอันทีโกนัส’ บนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส น่าจะเป็น ‘กับดัก’ สำหรับล่อลวงผู้คนมากกว่า ดังนั้น สัญลักษณ์ที่ตระกูลอันทีโกนัสแสดงให้เห็น อาจไม่ใช่ของจริงเสมอไป


ซ้ายคือเสือ ขวาคือหมาป่า… ต้องเลือกสิ่งที่ชั่วร้ายน้อยกว่า… นอกจากนั้น สัญลักษณ์ของตระกูลอันทีโกนัสอาจหมายถึง ‘ประตูเข้าสู่ขุมทรัพย์’ ไม่ใช่ประตูสำหรับหนีออกไป… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์ยังไม่หยุดวาดภาพ จนกระทั่งมาถึงจุดที่แตกต่างกันในช่วงท้าย


ชายหนุ่มหันไปมองพานาเทีย พบว่าดวงตาของแม่มดสิ้นหวังกำลังส่องประกาย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับอดใจรอไม่ไหว


นี่เธอ… หากอยู่ในสภาพปรกติ ‘นักกระตุ้นอาวุโส’ อย่างเธอน่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่านี้… แถมยังได้เห็นสัญลักษณ์สำหรับเปิดประตูไปแล้ว… หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรงขณะบังคับหุ่นเชิดวาดสัญลักษณ์ของซาราธ


เพียงไม่นาน ดวงตาแนวตั้งอันซับซ้อนก็ถูกวาดจนเสร็จ


จากนั้น แสงบริสุทธิ์สว่างขึ้นพร้อมไล่ไปตามเส้นของสัญลักษณ์ จนกระทั่งมาบรรจบกัน


ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า ประตูมายาที่เต็มไปด้วยความลึกลับโผล่ขึ้นบนผนัง เมื่อถูกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกแรงผลัก บานประตูค่อยๆ เปิดเข้าไปด้านใน


ด้านหลังประตูคือทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินเก่า ตามผนังมีรูโหว่ บรรยากาศเงียบสงบ ปราศจากสิ่งผิดปรกติ


ทันใดนั้น จู่ๆ ร่างของ ‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียก็แตกกระจัดกระจายเหมือนเศษกระจก


เพียงพริบตา สตรีในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชิงตัดหน้าเข้าไปใน ‘ประตู’


ในมือของเธอมีตุ๊กตาที่น่าขยะแขยงอีกตัวหนึ่ง เลือดสีแดงเปรอะเปื้อน เส้นผมสีดำพันรอบลำคอ


ส่วนตุ๊กตาในมือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันแตกกระจัดกระจายคล้ายเศษกระจก


หากเป็นด้าน ‘กระจกลวงตา’ แม่มดสิ้นหวังเหนือกว่าไคลน์หลายเท่า


ขณะก้าวผ่านประตูไปเป็นคนแรก พานาเทียหันกลับมามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางเผยรอยยิ้มโรคจิต เพลิงสีดำลุกโชนบนฝ่ามือพร้อมกับแผดเผาตุ๊กตา


ทันใดนั้น คล้ายกับเธอกำลังพูดว่า : จงสิ้นหวัง จงหดหู่และทุรนทุรายหลังจากได้เห็นแสงแห่งความหวัง!


ขณะเดียวกัน ไคลน์พบว่าคำสาปมิอาจถูกถ่ายโอนไปยังกระดาษคนตัวแทนได้!


พานาเทียรีบหันหลังกลับ เตรียมหลบหนีออกจากหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยหมอก พยายามออกต่างจากวิหารให้มากที่สุด ด้วยกังวลว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน


ทันใดนั้น ดวงตาหญิงสาวพลันแข็งทื่อ


ร่างของเธอแตกกระจัดกระจายคล้ายกระจกอีกหลายครั้ง แต่กลับมิอาจออกห่างจาก ‘ประตู’ ได้เกินกว่าสิบเมตร


เพียงหนึ่งถึงสองวินาทีถัดมา พานาเทียส่งเสียงกรีดร้อง พร้อมกับนำใยแมงมุมมายาและเส้นผมสีดำมารัดพันร่างกายตัวเอง ตามด้วยการสร้างเปลวไฟสีดำปกคลุม และทับด้วยชั้นน้ำแข็งหนา


แต่ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ทุกสิ่งที่สร้างขึ้นพลันแตกสลาย ดวงตาพานาเทียเผยความสิ้นหวังและสำนึกเสียใจอย่างชัดเจน


สีหน้าของหญิงสาวดำมืดอย่างรวดเร็ว ลำคอคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นดึงกระชาก คนทั้งคนลอยขึ้นไปในอากาศ จนกระทั่งถูกแขวนโทงเทงด้วยดวงตาเหลือกขึ้นจนเห็นสีขาว ใบหน้ายังคงงดงามไม่แปรเปลี่ยน


ใกล้กับประตูทางออก ร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถูกคลอกด้วยเพลิงสีดำ ค่อยๆ ละลายคล้ายเทียนไข ส่วนมิสเตอร์ A ที่กำลังจะพุ่งออกจากประตู ร่างกายเริ่มชักกระตุกอย่างไร้เหตุผล อาเจียนเห็ดสีสันสดใสออกมาทีละดอก ตามผิวหนังมีเห็ดผุดขึ้นมากมายประหนึ่งหน่อไม้หลังฝนตก


ขณะที่ทัศนวิสัยของ ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ ยังคงไม่ดับไป ฉากด้านหลังประตูเริ่มสว่างขึ้นทีละนิดจนเผยให้เห็นห้องโถงว่างเปล่า


ไม่สิ ไม่ว่างเปล่าเลยสักนิด กลางอากาศมีศพถูกแขวนมากยิ่งกว่าในวิหาร ‘พวกเขา’ มีทั้งคนแก่และเด็ก ชายและหญิง แต่งกายหรูหรานำสมัย หรือไม่ก็โบราณ หรือไม่ก็แต่งตัวตามสบาย


ศพเหล่านี้ถูกแขวนในลักษณะเดียวกับวิหาร ลอยค้างกลางอากาศ เรียงชิดติดกันหนาแน่น ราวกับเป็นคณะละครเวทีหรือนักร้องประสานเสียงของเมืองเล็กๆ สักแห่ง!


ไคลน์พบว่า ด้านหลังศพที่ถูกแขวนเหล่านี้มีหนวดรยางค์โปร่งใส ผิวหนวดมีลวดลายซับซ้อนและลึกลับ คล้ายกับจะทำให้ทุกคนที่จ้องมองมีอันต้องเสียสติ


หนวดรยางค์จำนวนมหาศาลยื่นยาวเข้าไปในส่วนลึกของห้องโถง ณ ที่นั่นมีบัลลังก์หินเก่าแก่ขนาดมหึมา เลี่ยมด้วยทองคำและอัญมณีล้ำค่ามากมาย


นี่มัน… เมื่อหัวใจเริ่มเต้นแรง ไคลน์ไม่ลังเลที่จะหลับตาลงและตัดการเชื่อมต่อกับหุ่นเชิด!


ในใจชายหนุ่มผุดฉากที่เคยเห็นจากพลังทำนาย


หนอนแมลงโปร่งใสจำนวนมหาศาลกำลังรวมตัวกันบนบัลลังก์ยักษ์ ยุบพองเชื่องช้า แผ่ขยายหนวดรยางค์ล่องหน


และฉากสุดท้ายที่หุ่นเชิดได้เห็น ด้านล่างของบัลลังก์โบราณ ไพ่ทาโรต์ใบหนึ่งนอนอยู่อย่างเงียบงัน


หน้าไพ่ยังคงเป็นจักรพรรดิโรซายล์ สวมผ้าโพกหัวหรูหรา เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ถือไม้เท้าที่ส่วนปลายห้อยถุงสัมภาระ คล้ายกับเตรียมออกเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล


สีหน้าแฝงความโหยหา ด้านข้างมีลูกสุนัขตัวหนึ่งเดินตาม มุมบนสุดมีข้อความที่เรียงร้อยจากแสงดวงดาว :


“ลำดับ 0 : เดอะฟูล!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)