Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 829-836
ราชันเร้นลับ 829 : มิถุนายนใกล้เข้ามา
ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดในป่าเถาวัลย์เขียวเข้ม ไคลน์หลับตาลง ฟังการเคลื่อนไหวบนฟากฟ้า
ชายหนุ่มสงบนิ่งทั้งกายและใจ แต่ลึกๆ กำลังเกิดความหดหู่เจือความเศร้าเบาบาง
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ในที่สุดท่วงทำนองอันไพเราะก็เลือนหาย เถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากฟ้ากำลังโยกคลอนอย่างอ่อนโยน
ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เงยหน้าขึ้น พบแบร์นาแดตกำลังยื่นกะโหลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยรูโหว่ให้ ‘คนรับใช้’ ครึ่งมนุษย์ครึ่งลม
“เสร็จแล้ว” เสียงอันนุ่มนวลและราบเรียบของแบร์นาแดตดังตามมา
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” ไคลน์ขอบคุณซ้ำ บังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลลอยกลับมาอยู่ข้างกาย
ทันใดนั้น เถาวัลย์จำนวนมากหดตัวขึ้นไปบนฟ้า ผืนป่าสีเขียวเลือนหายอย่างรวดเร็ว
ไคลน์และเซนอลร่อนลงมายังตีนสะพานพร้อมกัน รอบข้างเงียบสงัดปราศจากผู้คน ห่างออกไปไม่ไกลมีกลุ่มทหารที่เฝ้าสะพานยืนอยู่ในสภาพหันหลัง เหมือนกับในตอนแรกทุกประการ
ฉากที่เป็นราวกับเทพนิยาย ช่างดูคล้ายภาพลวงตา
ไคลน์เพิ่งมีโอกาสได้ตรวจสอบหุ่นเชิด พบว่าอีกฝ่ายเหมือนคนตายยิ่งกว่าเก่า ใบหน้าขาวซีด ลมหายใจเย็นเยียบ บรรยากาศรอบตัวมืดหม่น
น่าจะเป็นผลมาจากการกัดกร่อนที่รุนแรงหนึ่งครั้ง… ถ้าเป็นการเฝ้าประตูยานิสราวหนึ่งถึงสองหนต่อสัปดาห์ การกัดกร่อนไม่ควรรุนแรงเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางใช้ชีวิตได้เดือนสองเดือน… ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ต่อให้เป็นโบสถ์ใหญ่ก็คงหาคนมาหมุนเวียนไม่ทันใช้งาน… ผู้คุมทั่วไปน่าจะมีอายุขัยหลายปี อาจมากถึงสิบปี แต่ก็มีโอกาสกลายพันธุ์และคลุ้มคลั่งกลางคันเช่นกัน… อา ในตอนที่อาสามาเป็นผู้คุม พวกเขาคงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว… ไคลน์ถอนหายใจ บังคับให้วิญญาณอาฆาตเก็บตัวเองเข้าไปในเหรียญทองในกล่องบุหรี่โลหะ
ถัดมา ชายหนุ่มใช้พลังนักท่องเที่ยวย้ายตัวเองไปในทะเล เลือกอาหารสำหรับยุบพอหิวโหย จากนั้นก็กลับมายังห้องน้ำของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน
…
5 มิถุนายน วันอาทิตย์ ภายในปราสาทตระกูลฮอลล์
ออเดรย์นั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือ เชยชมของวิเศษที่เพิ่งได้รับ
รูปลักษณ์ของมันคือถุงมือตาข่ายสีดำยาวถึงศอก ประหนึ่งเครื่องแต่งกายของสตรีสูงศักดิ์ชาวราชวงศ์ งดงามและเลอค่า
นี่คือสมบัติวิเศษจากตะกอนพลัง ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ ซึ่งเดอะเวิร์ลเป็นผู้ขาย สร้างจากช่างฝีมือ
ในตอนแรก ออเดรย์นำเรื่องนี้ไปปรึกษาบิดา เอิร์ลฮอลล์ และได้รับคำตอบว่า ‘ลูกควรซื้อไว้ใช้งานเอง พ่อขอรับความกตัญญูนั้นไว้’ เธอจึงระบุให้มิสเตอร์แฮงแมนสั่งช่างฝีมือ ผลิตสมบัติวิเศษที่เหมาะแก่การพกพาของสตรี
เรื่องนี้ยังทำให้ออเดรย์อดสงสัยไม่ได้ว่า บิดาของตนอาจมีสมบัติวิเศษที่ดีกว่านี้ หรือไม่ก็ได้รับความคุ้มครองจากโบสถ์รัตติกาลในระดับที่สูงมาก
อ้างอิงจากมิสเตอร์แฮงแมน ถุงมือตาข่ายข้างนี้ช่วยให้ผู้สวมใส่ได้รับพลังหลากหลาย
ประการแรก เสริมสร้างสง่าราศีและสมรรถภาพร่างกาย ทำให้สิ่งมีชีวิตรอบข้างรู้สึกต่ำต้อยโดยไม่รู้ตัว มีแนวโน้มที่จะเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดี
ประการที่สอง ความสามารถในการ ‘บิดเบือน’ คำพูด การกระทำ และเจตนาของเป้าหมาย ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง
ประการที่สาม ความสามารถในการ ‘ติดสินบน’ ประเภทเสน่หา ทำให้เป้าหมายเกิดความหลงใหล ไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้ใช้พลัง ไม่เต็มใจจะต่อสู้ และถ้าเข้าเงื่อนไข ผู้รับสินบนมีโอกาสต่ำที่จะโจมตีพวกเดียวกันเอง ออเดรย์ได้ยินมิสเตอร์เวิร์ลอธิบายว่า พลังพิเศษชนิดนี้มีชื่อว่า ‘ติดสินบน – เสน่หา’
ประการที่สี่ ความสามารถในการสร้าง ‘ความสับสน’ ในพื้นที่เฉพาะ ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายโจมตีพลาดเป้าได้ง่าย และมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจผิดพลาด
ออเดรย์พึงพอใจกับพลังเหล่านี้มาก แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจของเธอก็คือ เนื่องจากช่างฝีมือเก่งกาจไม่พอ สมบัติวิเศษจากตะกอนพลังลำดับ 5 จึงมาพร้อมผลข้างเคียงรุนแรง
ประการแรก ถุงมือตาข่ายจะทำให้จิตใจผู้สวมค่อยๆ ดำมืด คิดแต่จะใช้ทางลัด แหกกฎ และทำเรื่องต่ำทรามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ประการที่สอง หากสวมใส่นานกว่าสามนาที ผู้สวมจะตกอยู่ในความสับสนเช่นเดียวกัน ออเดรย์เคยทดลองแล้ว พบว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดในระหว่างอาบน้ำ
เดิมที เธอต้องให้สาวใช้เตรียมน้ำอุ่น ปรับอุณหภูมิ จากนั้นค่อยถอดเสื้อผ้าและลงไปแช่ อาบจนเสร็จ แต่สิ่งที่ออเดรย์ทำก็คือ ลงไปแช่ในอ่างก่อน เปิดน้ำเย็น รอให้เสื้อผ้าเปียก จึงค่อยได้สติกลับมาและรีบถอดออก
ความโชคดีก็คือ ออเดรย์ตัดสินใจทดลองเอง ไม่ได้เรียกให้สาวใช้เข้ามาเตรียมน้ำอุ่น จึงไม่มีพยานความน่าอับอายในครั้งนี้
มันทำให้เรากลายเป็นลิงบาบูนขนหยิก! ออเดรย์ครุ่นคิดอย่างหัวเสีย
สำหรับผลข้างเคียงแรก เธอรู้สึกรับได้ เพราะตัวเองคือนักจิตบำบัด สามารถตรวจสอบสภาพจิตใจตัวเองได้ทุกเมื่อ คอยลบความคิดด้านร้ายออกไป นอกจากนั้นยังมีซูซี่ที่ไร้เดียงสาคอยช่วยเหลือ แต่ผลข้างเคียงที่สองนั้นรุนแรงเกินไปมาก
ผลข้างเคียงที่สองแย่มาก… เราทำได้แค่พกติดตัว ค่อยนำมาสวมในเวลาสำคัญ… นอกจากนั้น เรายังมี ‘คำลวง’ ที่จะขยายอารมณ์ให้สุดโต่ง เมื่อจับคู่กับถุงมือ ความดำมืดในใจจะทวีความรุนแรงชนิดที่เรารับมือไม่ไหว… ออเดรย์ถอนสายตากลับ ครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีรับมือ
ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงเคาะประตู
แอนนี่ สาวใช้ส่วนตัวกล่าว
“คุณหนู ท่านเอิร์ลต้องการคุยกับคุณ”
ออเดรย์ทิ้งถุงมือตาข่ายไว้บนโต๊ะ เดินมายังประตูและเปิด
เอิร์ลฮอลล์ผู้ไม่ได้สวมโค้ท ใส่เพียงเสื้อกั๊กและทับเชิ้ต ยืนลูบคลำหนวดที่สง่างามและหัวเราะในลำคอ
“เตรียมตัวพร้อมหรือยัง? พวกเรากำลังจะกลับเบ็คลันด์ในอีกไม่ช้า… คืนพรุ่งนี้เป็นงานนี้วันเกิดครบอายุสิบแปดของลูก”
กล่าวจบ เอิร์ลฮอลล์ชำเลืองสาวใช้แอนนี่และคนที่เหลือ ส่งสัญญาณให้พวกหล่อนถอยออกไป
“เฮ่อ… ถึงช่วงเวลาวุ่นวายประจำปีอีกแล้ว” ออเดรย์พยักหน้า วางมาดของผู้ใหญ่
“ลูกมีวิธีใช้วัตถุชิ้นนั้นหรือยัง?”
ออเดรย์ยิ้มและกล่าว
“มีแล้วค่ะ พับเก็บไว้ในถุงใบเล็กๆ และให้ซูซี่พกไว้”
ด้วยประการฉะนี้ เธอไม่ต้องสวมใส่หรือพกพาเอง และซูซี่ก็จะเกิดภาวะสับสน ส่วนความดำมืดในจิตใจจะได้ออเดรย์คอยรักษาอยู่ข้างๆ และนอกจากนั้น เมื่อไม่มี ‘คำลวง’ คอยกระตุ้นอารมณ์ ซูซี่เองที่เป็นนักจิตบำบัด ก็สามารถตรวจสอบอารมณ์ตัวเองและรักษาได้เอง
เอิร์ลฮอลล์ทึ่งเล็กน้อย กล่าวยกย่อง
“ฉลาดมาก”
ได้ยินเช่นนั้น ออเดรย์ภูมิใจในตัวเองทันที แต่ภายนอกยังคงสงวนกิริยา
“หนูจะตั้งชื่อมันว่า ‘หัตถ์แห่งความหวาดกลัว’ … ท่านเอิร์ลที่รัก ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดนะคะ~”
รออีกสองสามวัน เราจะปรุงโอสถและพร้อมเลื่อนลำดับ! ออเดรย์กำลังยินดีปรีดา
…
คืนวันอาทิตย์ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน
ไคลน์ยืนอยู่ที่ระเบียง มองลอดผ่านช่องว่างผ้าม่าน เห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอก ในใจเกิดความกังวลเล็กๆ
หากไม่มีเหตุการณ์ผิดปรกติ มันพร้อมสำหรับแผนขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสแล้ว
หลังจากได้ความช่วยเหลือจาก ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต เปลี่ยนให้หุ่นเชิดอยู่ในสภาพถูกกัดกร่อน ผนวกกับการแวะไปบริจาคและฟังเทศน์ที่โบสถ์อย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มเริ่มทราบเวรยามของผู้คุม สำหรับตอนนี้ แผนการของไคลน์เหลือปัจจัยอีกเพียงข้อเดียวก่อนจะเริ่มลงมือ
นั่นคือการหาวิธีแอบสลับตัวกับเป้าหมายโดยที่ไม่มีใครไม่รู้!
จากข้อมูลที่ไคลน์รวบรวมได้ ผู้คุมหลังประตูยานิสจะลงใต้ดินทันทีที่ฟ้าสว่าง เป็นเวลาเดียวกับที่วิหารยังไม่เปิดทำการ การลอบเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจถูกพบตัวโดยครึ่งเทพ เช่นอาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ จากสามัญสำนึก โอกาสประสบความสำเร็จต่ำมาก
ดังนั้น แผนของไคลน์ก็คือ ลอบเข้าไปในวิหารล่วงหน้าหนึ่งวัน อดทนรอโอกาส
แน่นอน ต้องมีการปลอมตัวที่แนบเนียนพอ และไม่ใช่ปัญหาสำหรับ ‘ผู้ไร้หน้า’
หลังจากสังเกตมาสักระยะ ไคลน์พบว่าทางศาสนจักรจะมีพิธีมหามิสซาในคืนวันอาทิตย์ เพราะวันอาทิตย์และกลางคืนล้วนเป็นสัญลักษณ์ของเทพธิดา
หลังจากจบพิธี คนงานจะยุ่งอยู่พักใหญ่ คอยทำความสะอาดถังขยะและเศษขยะ
แผนของไคลน์คือฉวยโอกาสดังกล่าว แอบสลับตัวกับคนงานและลอบเข้าไปในวิหาร นอนอยู่ในเขตห้องพักคนงาน
ด้วยเหตุผลข้างต้น ชายหนุ่มตัดสินใจซื้อยานอนหลับจากเอ็มลินในปริมาณที่เหมาะสม รุนแรงพอจะทำให้มนุษย์หลับนานสิบชั่วโมงโดยไม่ส่งผลเสียกับร่างกาย โดยต้องจ่ายในราคาห้าปอนด์ถ้วน
ฟู่ว… ไม่กี่นาทีถัดมา ไคลน์ถอนหายใจออกผ่อนคลาย ปิดม่านมิดชิด เดินกลับเข้ามาในห้อง เดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก
นั่งบนเก้าอี้ประจำของเดอะฟูล ชายหนุ่มครุ่นคิดกับตัวเองนานเกือบนาที ก่อนจะเสกปากกาและกระดาษ เขียนประโยคทำนาย
“การขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย”
วางปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มลง ไคลน์ลูกตุ้มวิญญาณออกจากข้อมือซ้าย ถือโซ่เงินด้วยมือข้างเดียวกัน ปล่อยให้ปลายจี้บุษราคัมจ่อกับแผ่นกระดาษ
หลังจากเข้าฌานและหลับตาลง ไคลน์ท่องประโยคทำนายเงียบงันเจ็ดครั้ง ลืมตาขึ้นและเห็นลูกตุ้มวิญญาณหมุนตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วปรกติ วงกว้างปานกลาง
อันตราย แต่อยู่ในขอบเขตพอรับได้… ชายหนุ่มแปลความหมายอย่างรวดเร็ว
มันกังวลเล็กน้อยว่าอาจถูก ‘รบกวน’ โดยใครบางคนอีก เหมือนกับเมื่อครั้งมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีวิธียืนยันความถูกต้อง
ดังนั้น ในเมื่อผลการทำนายออกมาในเชิงบวก และองค์ประกอบด้านอื่นถูกจัดเตรียมครบถ้วนแล้ว ไคลน์จึงตัดสินใจแน่วแน่
ชายหนุ่มจ้องจี้บุษราคัมที่ค่อยๆ หยุดหมุน กล่าวเสียงต่ำในภาษาจีนกลาง
“คันศรถูกง้างแล้ว มีแต่ต้องยิงเท่านั้น”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ไคลน์แผ่พลังวิญญาณห่อหุ้มร่างกายตัวเอง เกิดเป็นความรู้สึกดำดิ่งจากมุมสูง กลับมายังโลกความเป็นจริง
สำหรับตอนนี้ มันคิดจะพกสมบัติตัดตัวสามชิ้น ประกอบด้วยยุบพองหิวโหย เหรียญทองเซนอล และนกหวีดทองแดงอะซิก คุณสมบัติที่ทั้งสามมีเหมือนกันก็คือ สามารถพกพาในกล่องบุหรี่โลหะ นอกจากนั้นยังจะใช้เทวทูตกระดาษและกำแพงวิญญาณเพื่อทำการผนึกสองชั้น
สำหรับสมบัติวิเศษอื่น คงไม่มีชิ้นใดผ่านประตูยานิสเข้าไปได้ มีโอกาสสูงที่จะแก่นผนึกจะตรวจพบความผิดปรกติ ไคลน์จึงโยนพวกมันเข้าไปในมิติหมอกพร้อมกับเงินสด พร้อมสำหรับการเผ่นหนีในกรณีที่เกิดปัญหา
ตอนนี้ก็เหลือแค่หุ้นสามเปอร์เซ็นต์ในบริษัทโคอิมของดอน·ดันเตส… แต่นั่นมีมูลค่าสูงถึง 12,800 ปอนด์… ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง นำกระจกเงามาวางบนหมอน
จากนั้น ชายหนุ่มวาดสัญลักษณ์ลึกลับเพื่ออัญเชิญ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส
ราชันเร้นลับ 830 : แทรกซึม
กระจกบนหมอนไคลน์เปล่งแสงคล้ายน้ำกระเพื่อม จุดแสงสีเงินรวมตัวกันเป็นอักษรโลเอ็นหนึ่งประโยค
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และถ่อมตนมาคอยรับใช้ท่านแล้ว!”
ไคลน์ที่ยืนอยู่ข้างเตียง จ้องกระจกเงาและถามอย่างใจเย็น
“สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสอยู่ตรงไหนในประตูยานิส”
ชายหนุ่มจำเป็นต้องระบุพิกัดล่วงหน้า จะได้ตรงดิ่งไปยังเป้าหมาย ปฏิบัติภารกิจด้วยเวลาน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝันทุกชนิดที่อาจเกิดขึ้น
บนผิวกระจก ตัวอักษรสีเงินบิดเบี้ยวและแปรเปลี่ยนเป็นข้อความใหม่
“สิ่งนั้นถือเป็นสมบัติปิดผนึกลำดับ 1 จึงอยู่ฝั่งขวาของห้องใต้ดินที่สอง แต่ข้ามองไม่เห็นมากกว่านี้แล้ว”
ไคลน์อืมในลำคอ
“ถึงตาเจ้าถาม”
อาโรเดสเปลี่ยนตัวอักษรสีเงินให้กลายเป็นคำถาม
“เจ้านายต้องการให้ข้าทำอะไรอีก?”
หากเป็นสถานการณ์ปรกติ ไคลน์คงถอนหายใจและส่ายหน้ารำพัน แต่ปัจจุบัน สติชายหนุ่มกำลังตึงเครียด จึงพยักหน้ารับและมอบคำตอบ
“คอยดูแลภาพลวงตาเหมือนคราวก่อน ตอบสนองต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”
“ขอรับ เจ้านาย!” ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสตอบโดยไม่ลังเล จากนั้นก็เสริม “ข…ข้าจะพยายามระงับสัญชาตญาณของตัวเอง ข้าขอสาบาน! สาบานต่อหน้าผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ!”
ไคลน์พยักหน้ารับ ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เปลี่ยนให้กระจกกลายเป็นดอน·ดันเตส
ภาพมายาเริ่มคมชัดและขยายใหญ่ จนกระทั่งดูสมจริง
หลังจากปรับท่าทางเล็กน้อย ไคลน์จัดระเบียบให้อยู่ในท่านอนบนเตียง คล้ายกับกำลังหลับสนิท
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นดอน·ดันเตสหันหน้ามาจ้องตน ยิ้มประจบประแจง เหยียดแขนออกและดึงผ้านวมขึ้น
“…” ไคลน์หมดคำจะกล่าวทันที เพียงเปลี่ยนรูปโฉมให้กลายเป็นนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เจ้าของสีหน้าเย็นชา พร้อมกับเปลี่ยนให้ยุบพองหิวโหยที่มือซ้ายกลายเป็นสีโปร่งใส
ร่างกายชายหนุ่มเลือนหายไปในพริบตา ‘ท่องเที่ยว’ ไปยังสุดเขตถนนเฟลป์ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารนักบุญแซมมวล จากนั้นก็เดินไปยังจัตุรัสที่มีนกพิราบบินในตอนกลางวัน ซ่อนตัวในมุมมืด
ถัดมาไม่นาน สาวกกลุ่มหนึ่งซึ่งเพิ่งร่วมพิธีมิสซาช่วงค่ำเดินกลับออกมา โดยหลังจากนั้นอีกสักพัก คนงานหลายคนเดินออกจากวิหารพร้อมกับสิ่งของเต็มไม้เต็มมือ ตรงไปยังถังขยะในตรอกด้านข้าง และมีคนงานกลุ่มหนึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการกับอุจจาระในจุดที่รถม้าเคยจอด
ทันใดนั้น คนงานรายหนึ่งชักกระตุกแผ่วเบา ก่อนจะลดศีรษะลงและก้มหน้าทำงานตามเดิม จนกระทั่งมันเดินไปทางถังขยะประหนึ่งว่าต้องการเทขยะ ค่อยๆ ทิ้งระยะห่างออกจากคนอื่น
เมื่อคนงานรายนี้คลาดสายตาจากเพื่อนร่วมงาน มือข้างหนึ่งโผล่ออกจากอากาศว่างเปล่าและคว้าไหล่ไว้ เปลี่ยนให้ร่างกายของมันเลือนรางและหายไปจากตำแหน่งเดิม
ไคลน์พา ‘เที่ยว’ ไปยังห้องนอนเตียงคู่ของหอพักราคาถูกแห่งหนึ่งในเขตตะวันออก – เป็นห้องที่เปิดไว้ล่วงหน้าหลายวัน จองโดยการเปลี่ยนรูปลักษณ์และใช้ตัวตนปลอม
ความสามารถของนักท่องเที่ยวช่างสะดวกสบาย ปัญหาข้อเดียวก็คือ ทุกครั้งที่ใช้พลัง ต้องมีโจรสลัดเป็นเหยื่อสังเวย… ไคลน์รำพันเพื่อคลายความเครียด ขณะเดียวกันก็บังคับให้คนงานนอนลงบนเตียง พร้อมกับโยนหลอดโลหะบางๆ ให้อีกฝ่ายดื่ม
คนงานรับไว้อย่างชำนาญ ดึงจุกออก ดื่มยานอนหลับอึกอึกเข้าไปรวดเดียวหมด สลบเหมือดภายในไม่กี่วินาที ก่อนที่วิญญาณอาฆาตในแจ็คเก็ตสีแดงเข้มจะปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง
ไคลน์ยืนจ้องคนงานบนเตียง ร่างกายหดลงกะทันหัน ลักษณะคล้ายกับสัตว์ประหลาดโคลน
อย่างไรก็ตาม โคลนมิได้ถล่มลงมากองบนพื้น โยกคลอนแผ่วเบา ก่อตัวเป็นรูปร่างที่มีความสูงลดลงสิบห้าเซนติเมตร ผิวคล้ำขึ้นจากปรกติ บนใบหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลง เพียงพริบตาก็กลายเป็นคนงานบนเตียง
ขณะเดียวกัน เซนอลกำลังถอดเสื้อผ้าของคนงานรายดังกล่าว
โดยไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า ไคลน์รีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ย้ายกล่องบุหรี่โลหะและสิ่งของอื่นๆ มายังชุดใหม่
หลังจากหยิบไม้กวาดและสำรวจตัวเอง เมื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหา ชายหนุ่มใส่เซนอลกลับไปบนผิวเหรียญทองอีกครั้ง ลดแขนซ้ายลงและกางนิ้วทั้งห้า เฝ้ามองยุบพองหิวโหยเข้าสู่ภาวะโปร่งใส
หลังจากเทเลพอร์ตกลับมาถึงมุมมืดหนึ่งในตรอก ไคลน์โน้มตัวลง บรรจงทำความสะอาดพื้น ค่อยๆ ขยับเข้าไปในกลุ่มคนงานอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ยังคงรักษาระยะห่างพอสมควร ด้วยเกรงว่าจะมีคนชวนคุย
ผ่านไปราวสามสิบนาที คนงานถูกเรียกให้มารวมกัน เดินเข้าไปในวิหารนักบุญแซมมวล เลี้ยวเข้าประตูฝั่งด้านข้าง
“เหนื่อยมาก” เมื่อพ้นจากสายตานักบวช คนงานเหยียดแขนยืดเส้นยืดสาย
ไคลน์แสร้งทำเป็นหมดแรง ไม่สนใจบทสนทนาของคนอื่น อย่างมากก็พยักหน้าอืออืม
เพียงไม่นาน คนงานเดินกลับมาถึงเขตห้องพัก แบ่งออกเป็นห้องใหญ่สองห้องหันหน้าชนกัน ด้านในเต็มไปด้วยเตียงสองชั้น แต่ละเตียงมีตู้เสื้อผ้าและกล่องไม้
ไคลน์ผงะไปชั่วขณะ เนื่องจากไม่ทราบว่าตนต้องเลี้ยวไปซ้ายหรือขวา
แต่โชคยังดี ในฐานะนักทำนาย มันสามารถพึ่งพาสัญชาตญาณที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังพิเศษหรือศาสตร์เร้นลับ นอกจากนั้นยังกำลังถือไม้กวาด จึงแสร้งทำเป็นจับไว้ แต่ความจริงแอบใช้เทคนิคทำนายด้วยแท่งวิญญาณ จนกระทั่งทราบว่าต้องเข้าไปในห้องขวา
หลังจากเข้าห้องฝั่งขวา ไคลน์จงใจก้าวให้ช้าลง เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของคนงานอื่นๆ เพื่อเรียนรู้ เดินไปวางไม้กวาดที่บริเวณหลังประตู และเดินออกไปยังห้องน้ำรวมด้านนอกเพื่อล้างหน้า ล้างปาก ล้างเท้า
ชายหนุ่มจงใจจัดการตัวเองให้เสร็จช้ากว่าคนอื่น เมื่อกลับถึงห้อง เตียงที่ควรเป็นของตนก็ถูกเผยออกมาตามธรรมชาติ – เตียงที่ไม่มีใครใช้
ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ไคลน์โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
คนงานต่างเหนื่อยล้าถ้วนหน้า เพียงไม่นานก็หลับสนิทและกรนเสียงดัง
ไคลน์ยังคงรักษาสติ บรรจงถอดยุบพองหิวโหยโดยไม่ให้คนรอบข้างรู้ตัว พับเป็นชิ้นเล็กๆ และยัดลงในกล่องบุหรี่โลหะ เก็บร่วมกับนกหวีดทองแดงอะซิกและเหรียญทองเซนอล
กระแสเวลาไหลผ่าน เนื่องจากตื่นเต้นเกินไป ชายหนุ่มจึงหลับไม่ลง ได้แต่ใช้การเข้าฌานบังคับตัวเองให้หลับได้ต่อเนื่องสองสามชั่วโมง
หลังจากตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง ไคลน์ปลดปล่อยวิญญาณอาฆาต
ออร่าอันเย็นเยียบของหุ่นเชิดผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว ด้ายวิญญาณหดกลับเข้าไปในร่างกาย เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและปราศจากต้นตอ
ยังควบคุมได้… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา บังคับวิญญาณอาฆาตกระโดดกระจกหลากสีสันบนหน้าต่างสูง รวมถึงพื้นหินที่มันวาว จนกระทั่งถึงบันไดที่พาไปสู่ห้องพักของ ‘ผู้คุม’ ที่อยู่ชั้นบน
ชายหนุ่มเชื่อว่า หากเซนอลไม่ถูกกัดกร่อนล่วงหน้า การเข้ามาในบริเวณนี้จะทำให้ถูกแก่นผนึกของประตูยานิสตรวจพบ จากนั้นก็กำจัดทิ้งอย่างไร้ความปรานี
ไม่มีทางที่ ‘วิญญาณอาฆาต’ จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในมหาวิหารของเจ็ดโบสถ์จารีตอยู่แล้ว!
และเนื่องจากได้รับ ‘อนุญาต‘ จากแก่นผนึก ผนวกกับการมีเทวทูตกระดาษช่วยลบร่องรอย ผู้วิเศษระดับเทวทูตที่อยู่ในวิหารจึงมิอาจสัมผัสถึงความผิดปรกติ!
ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นสองขั้น อาศัยความรู้สึกจากออร่าที่ถูกกัดกร่อนของวิญญาณอาฆาต ไคลน์เลี้ยวซ้ายและพบกับห้องพักของบรรดาผู้คุม
พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์… คนที่รับผิดชอบเวรวันจันทร์ของสัปดาห์นี้… น่าจะเป็นผู้คุมที่เราพบในวันแรก… ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจกับลำดับของเวรยาม บังคับให้วิญญาณอาฆาตที่สวมแจ็คเก็ตสีแดงเข้มลอยผ่านประตูไม้อย่างเงียบงัน เข้าไปในห้องเป้าหมาย
เนื่องจากในห้องมีแค่ไม่กี่คน ชายหนุ่มพบชายชราที่มีผิวหนังหย่อนยาน จมูกใหญ่ ผมบาง บรรยากาศเย็นเยียบ
เซนอลหยิบหลอดโลหะที่บรรจุยานอนหลับออกมาวางด้านข้างเตียง จากนั้นก็เข้าสิงร่างก่อนที่เป้าหมายจะสังเกตเห็น!
ผู้คุมในสภาพหลับใหล หมดสิทธิ์ตื่นขึ้นมาขัดขืน ต้องสูญเสียสิทธิ์ควบคุมร่างให้วิญญาณอาฆาต ลำพังจะลืมตายังยากลำบาก ทำได้เพียงชำเลืองเห็นตัวเองกำลังนำหลอดโลหะบรรจุของเหลวด้านข้างเตียง ยกดื่มรวดเดียวจนหมด
ร่างกายของมันชักกระตุกแผ่วเบา คล้ายกับเกิดการต่อสู้ภายใน จนกระทั่งผ่านไปครบหนึ่งนาทีเต็ม ทุกสิ่งเริ่มบรรเทาลง ผู้คุมหลับตาสนิทและเข้าสู่นิทราอันยาวนาน
จัดการทั้งหมดเสร็จ วิญญาณอาฆาตออกจากร่างผู้คุม กระโดดกระจกเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาถึงห้องพักคนงาน ปิดท้ายด้วยการสิงร่างไคลน์
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าร่างกายเริ่มเย็นเยียบ เจือกลิ่นอายความตาย ออร่าสงบนิ่งไร้อารมณ์ กระทั่งสีหน้าก็ยังแทบไม่ปรากฏ
มันค่อยๆ ลุกขึ้น แอบเดินออกจากห้องพักคนงาน ผ่านทางเดินที่สองฝั่งมีจิตรกรรมฝาผนังมืดทึบ ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ตรงเข้าไปในห้องพักเป้าหมาย
ขณะยืนข้างเตียง ร่างกายที่ใช้รูปลักษณ์คนงานของไคลน์สูงขึ้นกะทันหัน เส้นผมบางลง จมูกใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
เพียงไม่กี่วินาที ชายหนุ่มแปลงโฉมเป็นผู้คุมที่เพิ่งกินยานอนหลับอย่างสมบูรณ์ กระทั่งออร่าก็ยังแทบไม่ต่าง
หลังจากสวมเสื้อคลุมสีดำของนักบวชด้านข้าง ไคลน์ย้ายผู้คุมที่สวมชุดคนงานไปไว้ใต้เตียง ทิ้งตัวลงบนเตียงแทนเจ้าของ ยืนยันเวลาให้แน่ใจก่อนจะหลับ
จนกระทั่งตีห้าครึ่ง ชายหนุ่มตื่นก่อนเวลาเล็กน้อย กินขนมปังขาวที่เตรียมไว้เมื่อคืน ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว มองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง ไคลน์ยังคงรักษาบุคลิกเย็นชาและปราศจากอารมณ์ เปิดประตูเดินออกจากห้อง ลงไปยังชั้นหนึ่ง ตรงไปตามเส้นทางที่บันทึกในความทรงจำ ก่อนจะเลี้ยวซ้าย
เดินต่อไปอีกสักพัก ชายหนุ่มไม่ประหลาดใจที่ตนได้พบกับนักบวช
อาศัยประสบการณ์จากสมัยยังเป็นเหยี่ยวราตรี ไคลน์เชื่อว่าตนไม่มีทางหลงในวิหาร
นักบวชซึ่งยืนอยู่หน้าประตูลับที่นำไปสู่ชั้นใต้ดิน ยกมือขวาขึ้นมาทำสัญลักษณ์สี่จุดตามเข็มนาฬิกา
“ขอให้เทพธิดาอวยพร”
“สรรเสริญเทพธิดา” ไคลน์ตอบเสียงต่ำ วาดจันทร์แดงกลับไป
ชายหนุ่มไม่ยืนแช่ เดินผ่านนักบวชเข้าไปในประตู ท่ามกลางโคมไฟที่เรียงรายสองฝั่งกำแพง มันบรรจงก้าวลงบันไดทีละขั้น เดินต่อไปจนกระทั่งถึงทางแยก
อาศัยประสบการณ์เก่า ไคลน์ชื่อว่าฝั่งขวาคือทางออกจากวิหาร และปลายทางคงเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยสักแห่งที่เหยี่ยวราตรีเปิดเป็นฉากหน้า ดังนั้น มันเลี้ยวซ้ายโดยไม่ลังเล
แต่ถัดมาไม่กี่วินาที มันเห็นชายสวมถุงมือสีแดงกำลังเดินสวนมาจากระยะไกล
สุภาพบุรุษฝั่งตรงข้ามมีผมสีดำ ดวงตาสีเขียวมรกต ใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางขี้เกียจ ไม่ใช่ใครนอกจากเลียวนาร์ด·มิเชล
ราชันเร้นลับ 831 : ห่างแค่เอื้อมมือ
เมื่อเห็นเลียวนาร์ด·มิเชล ไคลน์เกร็งกล้ามเนื้อหลังทันที จิตตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกง้างจนสุด พร้อมขาดผึ่งทุกเวลา
ชายหนุ่มยังจดจำได้แม่นยำ เทวทูตจากเส้นทางนักจารกรรม พาลีส·โซโรอาสเตอร์ สามารถตระหนักถึงความพิเศษของตนได้ และย่อมมองการปลอมตัวออกอย่างทะลุปรุโปร่ง!
ถ้าคุณปู่คนนั้นบอกเลียวนาร์ดเกี่ยวกับความผิดปรกติของผู้คุมตรงหน้า นั่นคงเป็นเรื่องใหญ่… ได้แต่กลัวว่านักกวีเพื่อนรักจะไม่กล้าเปิดเผยความจริง แสร้งทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง… สมัยยังอยู่ทิงเก็น แม้ว่าชายคนนั้นจะชอบโอ้อวดว่าตัวเองมีความลับ และบอกว่าตนไม่ชอบยุ่งเรื่องความลับของคนอื่น แต่ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเขาจะยังเหมือนเดิม ตอนนี้อาจกลายเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมไปแล้วก็ได้ ยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อเปิดโปงอันตราย… แถมกรณีของเรายังคล้ายคลึงกับอินซ์·แซงวิลล์… ทันใดนั้น เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผากชายหนุ่ม
ด้วยความสัตย์จริง ไคลน์คาดไม่ถึงว่าตนจะเดินสวนกับเลียวนาร์ดขณะตรงไปทางประตูยานิส เพราะอีกฝ่ายเป็นถุงมือแดง มิใช่เหยี่ยวราตรีทั่วไป ไม่มีหน้าที่เฝ้ายามหน้าประตู จึงไม่ควรเพ่นพ่านใต้ดินในเวลานี้
แต่ทันใดนั้น ไคลน์ฉุกคิดถึงประเด็นสำคัญ
นั่นก็คือ บุคคลที่สามารถตรวจพบความผิดปรกติของตนคือพาลีส·โซโรอาสเตอร์ มิใช่เลียวนาร์ด·มิเชล ท่าทีของฝ่ายแรกต่างหากที่สำคัญ!
คุณปู่รายนี้ทราบว่าเราตระหนักถึงการมีอยู่ของตัวเขา… หากจงใจเปิดโปงให้เราตกอยู่ในอันตราย ก็ต้องเตรียมใจถูกเราเปิดโปงจนเดือดร้อนไม่ต่างกัน การแลกหมัดครั้งนี้ไม่เกิดผลดีต่อฝ่ายไหน โดยเฉพาะกับเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมที่มิได้นับถือเทพธิดารัตติกาล ไม่จำเป็นต้องเปลืองตัวเลยสักนิด… หากเราเป็นเขา จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่แม้แต่จะเตือนเลียวนาร์ด ไม่เสี่ยงนำความปลอดภัยของตัวเองไปฝากไว้กับเจ้าของร่าง… ไคลน์ที่ดึงสติได้รวดเร็ว กลับมาสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง เพียงเดินผ่านหน้า ‘ถุงมือแดง’ เลียวนาร์ด·มิเชลไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เลียวนาร์ดชำเลืองผู้คุมเจ้าของออร่าเย็นเยียบด้วยสีหน้าเรียบเฉย อดไม่ได้ที่จะยกมือขวาป้องปากหาว
เนื่องจากตอนกลางคืนไม่ต้องนอน ไม่มีอะไรทำ จึงเดินไปที่ห้องเวรยามเพื่อหาเพื่อนเล่นไพ่? ทำตัวสมกับเป็นผู้ไร้หลับ… ไคลน์เริ่มเข้าใจอย่างคลุมเครือ ถึงเหตุผลที่นักกวีถุงมือแดงมาโผล่บนทางเดินใต้ดิน
ชายหนุ่มนึกถึงสมัยยังอยู่ทิงเก็น ทบทวนท่าทีตอบสนองของผู้คุมขณะเดินสวนกับเหยี่ยวราตรี พยักหน้าให้เลียวนาร์ดโดยไม่กล่าวคำใด ใช้นิ้วชี้และกลางของมือขวาแตะสี่จุดบนหน้าอกตามเข็มนาฬิกา คล้ายกับวาดพระจันทร์แดงเต็มดวง
เลียวนาร์ดตอบสนองในแบบเดียวกัน พยักหน้าเล็กๆ ให้ผู้คุมเจ้าของจมูกใหญ่และผิวหนังหย่อนยาน ก่อนจะเดินผ่านไป
ไคลน์ถอนหายใจแผ่วเบา ก้าวไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมาย
ตรงหน้าคือประตูเหล็กสีดำท่าทางหนักและเย็นเยียบ สลักตราศักดิ์สิทธิ์เจ็ดแผ่น คล้ายกับไม่มีสิ่งใดสั่นคลอนมันได้
ไคลน์ขยับไปด้านข้าง ขยับสองก้าวในแนวเฉียง เคาะประตูห้องยามเพื่อเรียกให้เหยี่ยวราตรีมาเป็นพยาน จากนั้นก็เปิดประตูยานิส
ความมืดมิดด้านในพวยพุ่งออกมาทันที แม้จะภายในจะมีเทียนแกะสลักสีเงินคอยมอบความสว่างอย่างเงียบงัน แต่ก็มิอาจขจัดความรู้สึกดังกล่าว มีเพียงเปลวไฟสีฟ้าจางที่ช่วยบรรเทาอารมณ์ได้เล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ไคลน์พบว่ามีบางสิ่งจากความมืดมิดปะทะเข้ากับผิวหนัง ซึมลึกเข้าไปในร่างกาย ข้ามผ่านขอบเขตของความเป็นความจริงและภาพลวงตา เชื่อมต่อกับ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอล
เพียงพริบตา โดยไม่ต้องเปิดเนตรวิญญาณ ชายหนุ่มเห็นด้ายสีดำเส้นบางปกคลุมทั่วดินแดนด้านหลังประตูยานิส แต่ละเส้นโยกคลอนแผ่วเบา บ้างหดเข้า บ้างขยายออก ราวกับเส้นผมของสตรี หรือไม่ก็หนวดของสัตว์ประหลาดกำลังโบกสะบัด
ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หันกลับมาปิดประตูยานิสให้สนิท
ทันใดนั้น คล้ายกับเสียงภายนอกถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง เงียบสงัดประหนึ่งอาณาจักรแห่งความตาย อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว ความรู้สึกปัจจุบันทำให้ไคลน์นึกถึงสมัยเด็ก ทั้งที่ไม่ได้ฟังเรื่องผี แต่จู่ๆ ก็กลัวที่จะมองเข้าไปในความมืด ยากจะข่มตานอนหลับ
ไม่แปลกใจว่าทำไมเทพธิดาถึงมีสมญานามว่า ‘จักรพรรดินีแห่งความกลัว’ … ไคลน์จ้องไปด้านข้าง ยกตะเกียงขึ้นจากมุมห้องและจุดไฟอย่างชำนาญ
แสงสว่างเจือจางแผ่ออกมาทันใด ย้อมทุกสิ่งให้กลายเป็นสีฟ้าอ่อน
ไคลน์ในสภาพสวมชุดนักบวชสีดำ ตัดสินใจไม่รีบลงไปใต้ดินชั้นสองเพื่อค้นหาสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส แต่หยุดรออยู่หลังประตูอย่างใจเย็น
มันกังวลว่าเหยี่ยวราตรีบางคนอาจต้องการสิ่งของด้านใน แต่ไม่สามารถนำออกมาได้ในตอนกลางคืน ต้องรอให้ผู้คุมมาถึงในช่วงเช้าเสียก่อน
จากประสบการณ์ของชายหนุ่ม ห้านาทีแรกหลังจากผู้คุมเข้ามาในประตูยานิส คือช่วงเวลาที่ถูกรบกวนมากที่สุด ตราบใดที่ผ่านไปได้อย่างราบรื่นและไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย นอกจากนั้น การเบิกวัสดุตามปรกติจะเริ่มหลังแปดโมงเช้า เพราะนั่นเป็นเวลาเข้างานของเหยี่ยวราตรีและเจ้าหน้าที่พลเรือน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากไคลน์ผ่านห้านาทีแรกไปได้ ก็จะไม่ถูกเหยี่ยวราตรีรบกวนนานอีกกว่าสองชั่วโมง แน่นอน มันจะไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานขนาดนั้น เพราะถึงแม้วิหารของโบสถ์รัตติกาลจะเปิดแปดโมงตรง แต่คนงานจะต้องตื่นขึ้นมาเตรียมตัวให้เรียบร้อยก่อนเวลาเปิดราวหนึ่งชั่วโมง หมายความว่าหลังหกโมงครึ่ง คนงานที่เหลือคงรู้แล้วว่ามีเพื่อนร่วมงานหายไปหนึ่งคน!
จากวินาทีเป็นนาที หัวใจไคลน์เต้นแรงขึ้นจนยากจะควบคุม พบว่าห้านาทีช่างทุกข์ทรมานเหนือคำบรรยาย
จนกระทั่ง หลังจากการนับถอยหลังจบลง ชายหนุ่มหันไปมองบันไดหินซึ่งนำไปสู่ความมืดมิดชั้นล่าง
ในตอนนี้ ไม่มีใครขัดขวางมันได้อีกแล้ว!
ไคลน์ตระหนักว่าตนผ่านส่วนที่ยากเจ็ดส่วนสิบของภารกิจมาแล้ว หลังจากนี้เหลือความยากอีกเพียงสามส่วนสิบ
แน่นอน เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ไคลน์ไม่กล้าประมาท ถือตะเกียงเดินไปทางบันไดหินอย่างใจเย็น
สำหรับผู้วิเศษคนอื่น โซนแรกหลังประตูยานิสน่าดึงดูดกว่าโซนสมบัติปิดผนึกหลายเท่า เพราะที่นี่คือแหล่งรวบรวมวัตถุดิบวิญญาณ วัตถุดิบหลักโอสถ สูตรโอสถ และความรู้ศาสตร์เร้นลับทุกประเภท แถมยังใช้เป็นสถานที่กักขังพวกนอกรีตหรือผู้วิเศษนอกกฎหมาย ไม่ว่าจะมีเจตนาเพื่อเลื่อนลำดับ แสวงหาความร่ำรวย หรือต้องการช่วยเหลือพวกพ้อง ผู้บุกรุกส่วนใหญ่จะทำการค้นหาเฉพาะภายในโซนนี้
แต่สำหรับไคลน์ มันต้องเดินลึกลงไป นำพาตัวเองเข้าสู่โซนสมบัติปิดผนึกแสนอันตราย
จนกระทั่งผ่านห้องหินที่ถูกปิดตายแน่นหนา ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่ามีใครบางคนอยู่ด้านใน แต่ก็มิได้ส่งเสียงร้องหรือตะโกนโหวกเหวก มิได้อ่อนอ้อนขอให้ปล่อยตัว ไม่แหกปากขอความเวทนา เพียงนอนหรือนั่งนิ่งๆ ด้วยลมหายใจแผ่วเบาและเย็นเยียบ
แสงจากตะเกียงยังคงไหววูบ ช่วยมอบแสงสว่างแก่บันไดทีละขั้น ไคลน์รวบรวมสมาธิกลับมา เดินลงไปด้านล่างอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มมิได้สับเท้าวิ่ง กังวลว่านั่นอาจไปกระตุ้นแก่นผนึก
ความมืดมิดทวีความเข้มข้น แสงสีฟ้าบนเชิงเทียนสองฝั่งทางเดินหรี่ลงทุกขณะ คล้ายกับจำลองชีวิตของมนุษย์ที่ค่อยๆ ริบหรี่ลงในทุกก้าวเดิน สำหรับตอนนี้ ไคลน์ไม่มีทางทราบว่าความมืดรอบข้างจะนำพาสิ่งใดมาบ้าง ภายในใจเจือความหวาดกลัวหลายส่วน แต่ละย่างก้าวเกิดขึ้นอย่างไม่ประมาท จนกระทั่งมาถึงขั้นบันไดสุดท้ายของใต้ดินชั้นสอง
อาศัยเนตรมองกลางคืนของเซนอล ไคลน์พบว่ามีกำแพงประหลาดที่สร้างจากเหล็ก ดินเผา และแร่เงิน แบ่งออกไปหลายห้องและหลายโซน บ้างเปิดให้เข้า บ้างปิดตายแน่นหนา แต่ละห้องล้วนมีสมบัติปิดผนึกถูกเก็บรักษา
ในสภาพถือตะเกียง ไคลน์เลี้ยวซ้ายจนมองเห็นฉากตรงหน้า ด้านในห้องเต็มไปด้วยเปลวไฟสีแดงที่กำลังลุกโชน และถ่านหินสีดำ กำลังถูกแผดเผา
เปลวไฟที่ลุกโชนทำให้อ่างอาบน้ำโลหะส่งเสียงฟองเดือด ไอน้ำระเหยตลอดเวลา รวมตัวกันบนเพดานและกลั่นเป็นหยดน้ำ ตกลงมาอีกครั้งประหนึ่งฝน
สมบัติปิดผนึกที่ต้องเก็บในน้ำร้อน… ผู้คุมต้องคอยเติมถ่านหินและแอนทราไซต์อย่างสม่ำเสมอ ป้องกันมิให้ไฟมอด… ถ้ามีสมบัติปิดผนึกที่ปล่อยอุณหภูมิสูงตลอดเวลา สามารถนำมาเก็บร่วมกันได้ การผนึกจะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที… ไคลน์ชำเลืองไปทางอ่างอาบน้ำโลหะ เนื่องจากไม่ต้องการให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างแผน ชายหนุ่มตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้ ใช้อุปกรณ์ช่วยจับถ่านหินที่กองอยู่ด้านข้าง ใส่ลงไปในกองไฟ
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น มุมสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งที่อยู่ในน้ำร้อนบนอ่าง – วัตถุโลหะสีเงิน
เมื่อเห็นครบทุกส่วน ไคลน์พบว่าเป็นชุดเกราะหนัก บางจุดมีคราบเลือดสีแดงเข้มที่ล้างไม่ออก รวมไปถึงจุดเลือดที่สาดกระเซ็นประปราย
1-42… โลหิตเทพบรรพกาล… ถูกเก็บไว้ในมุขมณฑลเบ็คลันด์มานานแล้ว… เมื่อจดจำสมบัติปิดผนึกตรงหน้าได้ ข้อมูลที่สอดคล้องกันผุดขึ้นในใจทันที
ขณะกำลังจะถอนสายตากลับ ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นหมวกเหล็กสีเงินรูปทรงแปลกตา
กะบังหน้าของหมวกเหล็กถูกดึงลงมาปิด ทำให้มองไม่เห็นภายใน แต่ไคลน์กลับรู้สึกว่ามีสายตามองลอดออกมาหาตน
ร่างกายชายหนุ่มสั่นสะท้าน รีบถอยหลังสองก้าวรวดเร็ว หัวใจกำลังเต้นระรัวอย่างปั่นป่วน
ไม่กล้ามองต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ไคลน์รีบสงบสติและเดินออกมา
หลังจากผ่านโซนสมบัติปิดผนึกอีกหลายเขต สัมผัสวิญญาณชายหนุ่มถูกกระตุ้นกะทันหัน รู้สึกราวกับมีบางสิ่งกำลังเรียกหาจากที่ใดสักแห่งทางขวามือ มาพร้อมกับเสียงหัวใจเต้นตึกตักอย่างคมชัด!
อย่างที่คิด สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสกำลังรอเราอยู่… ไคลน์ยืนยันสมมติฐานก่อนหน้าอย่างใจเย็น เดินไปตามเสียงเรียกมายา หักเลี้ยวและตรงเข้าไป
ผ่านไปราวสองถึงสามนาที ชายหนุ่มพบห้องที่ประตูเปิดแง้มครึ่งหนึ่ง ด้านในมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงไฟ
อาศัยแสงจากตะเกียงในมือ ไคลน์มองเห็นชั้นหนังสือว่างเปล่าที่สร้างจากกระดูก สมุดบันทึกสีดำปกแข็ง สภาพค่อนข้างเก่า วางอยู่บนชั้นอย่างเงียบงัน
สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส!
“โฮนาซิส… เฟรเกีย… โฮนาซิส… เฟรเกีย…” เสียงมายาทะลวงผ่านโสตประสาทไคลน์ ช่วยตอกย้ำว่าพบเป้าหมายแล้ว!
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ไคลน์ยังไม่กล้าประมาท เดินเข้าไปในห้องด้วยความระมัดระวัง ขยับเข้าใกล้ กังวลว่าวิธีผนึกสมุดจะสร้างอันตรายแก่ตัวเอง
จนกระทั่งเข้าประชิดสำเร็จ มือข้างหนึ่งยื่นออกจากช่องท้องชายหนุ่ม เป็นมือที่มาพร้อมแจ็คเก็ตสีแดง!
มือของ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอล!
หนึ่งในกฎเหล็กของนักเชิดหุ่นก็คือ สิ่งใดที่ใช้หุ่นเชิดทำแทนได้ ก็จงใช้หุ่นทำแทน!
ทันใดนั้น ไคลน์ได้ยินเสียงเปิดประตู คล้ายกับมีคนเดินเข้ามา!
รูม่านตาไคลน์ขยายกว้างทันที โดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ชายหนุ่มกระโจนเข้าหาชั้นหนังสือกระดูกพร้อมกับใช้มือของหุ่นเชิดที่ท้องเหยียดออกไปหาสมุดบันทึก ขณะเดียวกันก็ล้วงมือขวาเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เปิดกล่องบุหรี่โลหะและหยิบยุบพองหิวโหยออกมาสวม รีบลงมือให้เสร็จก่อนที่แก่นผนึกจะตอบสนอง!
ระหว่างนี้ นิมิตลางสังหรณ์ผุดขึ้นในใจ
สตรีผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดคลุมสีดำโบราณกำลังยืนอยู่หน้าประตู รูปลักษณ์เลอโฉม ดวงตาสีหม่นปราศจากอารมณ์โดยสิ้นเชิง!
เทวทูตที่ลบมิสเตอร์ A… คนของโบสถ์รัตติกาลที่หยุดโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน? ทำไมหล่อนถึงซ่อนตัวอยู่แถวนี้? ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด! เมื่อความหวาดผวาผุดขึ้นในใจ ไคลน์รีบก้มมองร่างกายตัวเองตามสัญชาตญาณ
อวัยวะบางส่วนของมันคล้ายกับภาพวาดดินสอที่ถูกยางลบลบ เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว และหายไปโดยสมบูรณ์ก่อนที่จะได้สัมผัสกับสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส
ราชันเร้นลับ 832 : หมู่บ้าน
ก่อนจะเข้าสู่โหมด ‘ภาพตัด’ ความคิดไคลน์มีเพียงสองเรื่อง
แข็งแกร่งฉิบ… หมดสิทธิ์ต่อต้านโดยสิ้นเชิง…
ถ้าตายไปในสภาพนี้ เราจะคืนชีพได้ไหม…
ขณะความคิดแล่นผ่าน ดวงตาไคลน์มืดสนิท สิ้นสติโดยสิ้นเชิง ราวกับเข้าสู่ห้วงนิทราที่ปราศจากความฝัน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ความมืดอับแสงไร้เสียงเริ่มสั่นไหว สติชายหนุ่มพร่ามัว รู้สึกคล้ายลมหนาวพัดผ่าน
เมื่อสติเริ่มกลับคืน ไคลน์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องทะเลหมอกด้านบนซึ่งมีดวงจันทร์สีแดงเข้มซ่อนอยู่
เราคืนชีพอีกครั้ง? หรือว่าที่นี่คือ ‘โลกแห่งความตาย’ ? ถ้าเป็นอย่างหลัง อย่างน้อยก็ยังพอมีทางออก บางทีเราอาจขอความช่วยเหลือจากผู้ส่งสารของมิสเตอร์อะซิก แต่ปัญหาคือ เราจะกลายเป็นสัตว์วิญญาณหรือไม่ก็อันเดด… สมองไคลน์ยังคงเฉื่อยชา คล้ายกับมีใครบางคนวางยาชาที่ท้ายทอย ความคิดฟุ้งซ่านอย่างมิอาจควบคุม
ทีละเล็กละน้อย ชายหนุ่มค่อยๆ สัมผัสถึงการมีอยู่ของร่างกาย ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวและแรง
เมื่อสติเริ่มคมชัด ไคลน์เชื่อว่าตนน่าจะคืนชีพใหม่อีกครั้ง บางทีอาจเป็นการจับโยนมายังทุ่งกว้างทุรกันดาร
แกร่ก!
เสียงข้อต่อดังลั่นขณะไคลน์พยุงตัวลุกยืน โดยไม่สนสภาพร่างกาย ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อยืนยันสภาพแวดล้อม
สิ่งแรกที่เห็นคือหมอกหนา ค่ำคืนอันมืดมิดและเหน็บหนาว มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ห่างไปไม่ไกล
สิ่งก่อสร้างที่เด่นสะดุดตาที่สุดในเมืองคือวิหารเก่าแก่ซึ่งมียอดแหลม ดำสนิทไปทั้งหลัง ไม่มีหอระฆัง ด้านบนสุดมีอีกาดำบนโฉบอย่างต่อเนื่อง
รอบวิหารมีอาคารหลายหลัง ไม่ว่าจะบ้านสองชั้นธรรมดา บ้านไม้เรียบง่าย ร้านขนมปังแขวนป้ายไม้ โรงสีกังหันลมสีเทาอ่อน แต่ปราศจากคนเดินถนนโดยสิ้นเชิง คล้ายกับกำลังหลับใหลในค่ำคืนอันสุขสงบ
ในฐานะนักทำนาย ไคลน์พบว่าเมืองนี้คุ้นเคยอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่งในอดีต!
หลังจากทบทวนความจำสักพัก มันเริ่มนึกออก
นี่คือ ‘ต้นตอ’ ของความอันตรายในช่วงกลางคืนบน ‘ซากสมรภูมิแห่งเทพ’ !
หลังจากเข้าสู่น่านน้ำสุดเขตฝั่งตะวันออกของทะเลโซเนีย ถ้าตกกลางคืนแล้วใครไม่ยอมนอนเพื่อเข้าสู่โลกแห่งความฝัน เมื่อถึงช่วงฟ้าสว่าง พวกพ้องจะพบว่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีครั้งหนึ่งที่ไคลน์ถูกปลุกให้ตื่นโดย ‘นักบุญมืด’ ชายหนุ่มพบว่าบนทะเลในจุดห่างไกล มีสถานที่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยความสุขสงบยามค่ำคืน รายล้อมด้วยหมอกพิสดาร!
ไคลน์ยังสงสัยด้วยว่า สิ่งมีชีวิตที่หายสาบสูญไปในยามค่ำคืน ล้วนถูกนำตัวมาที่นี่!
ปัจจุบัน ชายหนุ่มได้เข้ามาอาศัยด้วยตัวเอง หากจากหมู่บ้านสายหมอกไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร!
เป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับยามค่ำคืน… เป้าหมายหายไปราวกับถูกลบ… พลังของสมาชิกระดับสูงของโบสถ์ไม่ใช่การลบศัตรูให้หายไปจากโลก แต่เป็นการส่งมาที่นี่แทน? สิ่งมีชีวิตที่หายไปในซากสมรภูมิแห่งเทพ ก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน? กล่าวกันว่า พลังทำนายมิอาจระบุตำแหน่งของพวกเขาได้ ทราบเพียงว่ายังมีชีวิตอยู่… แต่อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่เราคืนชีพและมาเกิดที่นี่… ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์ถอนสายตากลับ ใช้พลังตัวตลกตรวจสอบร่างกายตัวเอง
รูปลักษณ์เปลี่ยนกลับไปเป็นไคลน์·โมเร็ตติ แต่ยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำของนักบวชสำหรับผู้คุม ไม่มีอาการบาดเจ็บ
อาศัยประสบการณ์อันโชกโชน ไคลน์สงบลงอย่างรวดเร็ว นำมือขวาล้วงกระเป๋าเสื้อ เปิดกล่องบุหรี่โหละ หยิบถุงมือหนังมนุษย์ที่ถูกพับไว้มาสวมที่มือซ้าย
หลังจากยืนยันว่ายุบพองหิวโหยยังใช้งานได้ ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงอะซิกขึ้นมาจ่อปากเป่า
ทว่า ท่ามกลางเนตรวิญญาณที่เปิดอยู่ ผู้ส่งสารโครงกระดูกไม่ปรากฏตัว
ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับผลลัพธ์มากนัก มองว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครสามารถติดต่อกับคนที่หายตัวไปในซากสมรภูมิแห่งเทพ ต้องไม่ลืมว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คดีคนหายย่อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากบรรดาเหยื่อทั้งหมด ต้องมีสักคนที่สามารถอัญเชิญผู้ส่งสาร ตัวอย่างที่ชัดเจนคือคนของนิกายวิญญาณ
สถานที่แห่งนี้ถูกตัดขาดจากโลกวิญญาณ? ถ้าอย่างนั้นก็คงใช้ ‘ท่องเที่ยว’ ไม่ได้… สมแล้วที่เป็นสมาชิกระดับสูงซึ่งศาสนจักรไว้ใจส่งมายุติโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน… ท่าน ‘ส่ง’ เป้าหมายมาที่นี่เพื่อเนรเทศ หรือไม่ก็กักขัง… หากติดอยู่ในนี้ การหนีออกไปไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เป็นระดับนักบุญก็ตาม… ไคลน์มิได้ตื่นตระหนัก ค่อนข้างใจเย็นด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มกลับนกหวีดทองแดงอะซิกกลับเข้ากล่องบุหรี่โลหะ เตรียมถอยหลังสี่ก้าว
มันคิดจะทำลายการ ‘จองจำ’ จากเมืองแห่งนี้ด้วยการเข้าไปอยู่ในมิติเหนือสายหมอก!
“เซียนราชันฟ้าดินประทานโชค”
“เทพสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
“จักรพรรดิสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
ไคลน์ขยับทีละก้าว เพียงไม่นานก็เสร็จพิธีกรรม
ทว่า ชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงเพรียกอันบ้าคลั่ง ไม่เห็นสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้ง
นี่มัน… รูม่านตาไคลน์หดตัว มึนงงไปสองสามวินาที
สถานที่แห่งนี้ตัดขาดแม้กระทั่งห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทา!
ไพ่ตายของตนต้องกลายเป็นหมัน!
หลายครั้งหลายครา ไคลน์พึ่งพาความช่วยเหลือจากมิติหมอกเพื่อหลบหนีหรือเอาตัวรอดจากสถานการณ์ แต่ปัจจุบัน วิธีดังกล่าวกลับใช้ไม่ได้ผล
นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริงที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้!
ให้ตายสิ… รู้สึกเหมือนกับสูตรโกงถูกนำออก… ไคลน์ผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดด้วยการรำพัน
อาศัยประสบการณ์ในเชิงศาสตร์เร้นลับ ชายหนุ่มเชื่อว่าหมู่บ้านสายหมอกตรงหน้า อาจมีความเกี่ยวข้องกับเทพแท้จริง เพราะนั่นคือเหตุผลเดียวที่อธิบายว่า ทำไมมันถึงสามารถตัดขาดกับมิติเหนือสายหมอก
บรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างมืด… เราถูกส่งเข้ามาโดยสมาชิกระดับสูงของโบสถ์… หรือที่นี่จะเป็น ‘คุก’ ของเทพธิดา? เป็นไปได้ เพราะพระองค์คือ ‘มารดาแห่งความลับ’ สามารถเปลี่ยนคนหรือสิ่งของให้อยู่ในสถานะ ‘ถูกปกปิด’ จนไม่มีใครหาพบอีกเลย… หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ตัดสินใจเข้าไปในเมืองเพื่อสำรวจ เพราะเบาะแสของทางออกน่าจะอยู่ภายในนั้น
ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มไม่คิดกังวลว่าตนจะเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ไม่ได้
แน่นอน ไคลน์ได้ยกเลิกชุมนุมทาโรต์ล่วงหน้าไว้แล้ว เนื่องจากแผนขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสเต็มไปด้วยอันตรายและปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุม ไคลน์เชื่อว่าตนมีโอกาสไม่รอด ต้องใช้เวลาสักพักในการคืนชีพ จึงหว่านล้อมสมาชิกทุกคนด้วยเหตุผลที่เหมาะสม บอกให้พวกเขาใช้เวลาที่หยุดไปเพื่อเตรียมความพร้อมให้ดี
หลังจากตัดสินใจ ไคลน์บังคับวิญญาณอาฆาตในร่างกายให้โผล่ออกมาข้างๆ
หุ่นเชิดอยู่ในสภาพแย่มาก ออร่าเย็นยะเยียบคล้ายแก่นผนึก การควบคุมด้วยด้ายวิญญาณเชื่องช้าลงเล็กน้อย
อา… คงพอใช้งานได้อีกสองสามวัน… นอกจากนั้น ต้องไม่ลืมว่ามิสเตอร์ A เองก็ถูกอาวุโสของโบสถ์ลบเลือน อาจกำลังซ่อนตัวสักแห่งภายในละแวกใกล้เคียง ต้องคอยระวังคนบ้ารายนี้ให้ดี… ไคลน์แปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางส่งหุ่นเชิดของพลเรือเอกโลหิตเข้าไปในหมู่บ้านหมอก
ด้วยความที่ไม่ละเลยกฎเหล็ก ชายหนุ่มทิ้งระยะห่างจากร่างต้นราวหนึ่งร้อยสิบเมตร
หลังจากย่อยโอสถมาได้สักพัก ระยะควบคุมของไคลน์เพิ่มเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบเมตร นอกจากนั้นยังใช้เวลาเข้าควบคุมเหยื่อขั้นต้นลดลง รวมถึงเวลาในการเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ หากเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีระดับใกล้เคียงกัน การควบคุมขั้นต้นจะใช้เวลาเพียงสิบหกวินาที และสี่นาทีในกรณีหลัง
ท่ามกลางโลกอันเงียบสงัดที่เต็มไปด้วยหมอก ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลในสภาพสวมหมวกสามมุมใบเก่าและแจ็คเก็ตสีแดงเข้ม เดินเข้าไปในหมู่บ้านพิสดารอย่างง่ายดาย
ประตูบ้านหลายหลังภายในเมืองกำลังเปิดอ้า คล้ายกับรอต้อนรับผู้มาเยือนจากภายนอก ไคลน์ถอนสายตาออกจากหุ่นเชิด จ้องไปยังขนมปังขาวที่ถูกกัดทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งภายในบ้าน รวมถึงแก้วไวน์แดง มีดและส้อมสีเงินสภาพยุ่งเหยิง
ราวกับใครบางคนกำลังกินอาหารเย็น แต่แถวนี้ไม่มีใครอยู่ ประหนึ่งว่าเจ้าของบ้านอันตรธานหายไปในอากาศ
หายไป… จู่ๆ ไคลน์ก็สนใจคำคำนี้ รีบบังคับให้เซนอลมองไปทางโรงสีพลังกังหันสีเทาอ่อน
ภายในโรงสี กังหันลมกำลังหมุนเงียบงัน แต่ไม่มีแป้งออกมา มีเพียงแป้งเก่าจำนวนมากที่กระจายเต็มพื้น
ฉากนี้คุ้นตามาก… เหมือนว่าเราเคยเห็นมาก่อน… ไคลน์ขมวดคิ้ว บังคับหุ่นให้สำรวจไปรอบๆ พลางนึกทบทวนฉากที่คล้ายคลึงกัน
ขณะเตรียมใช้พลังทำนายฝันเพื่อถามพลังวิญญาณ คำตอบที่ต้องการผุดขึ้นในหัว
ฉากที่คล้ายกันเคยปรากฏขึ้นในซากปรักหักพังบนยอดเขาโฮนาซิส!
จากข้อมูลของทีมสำรวจ ภายในบ้านเรือนมีของตกแต่งและเครื่องเรือนสภาพเหมือนใหม่ จิตรกรรมฝาผนังที่แทบไม่เสียดาย บางโต๊ะยังมีอาหารเย็นๆ เหลืออยู่มาก บางจานอาหารเริ่มเน่า… ในบางห้อง ไวน์ที่เหลืออยู่ครึ่งขวดมีสีเกือบใส…
ทีมสำรวจระบุว่า ในตอนแรกที่เห็นฉากตรงหน้า พวกเขาคิดว่าชาวเมืองน่าจะหายตัวไปอย่างกะทันหันพร้อมกัน!
หมู่บ้านสายหมอกแห่งนี้เกี่ยวข้องกันซากเมืองบนยอดเขาโฮนาซิส? บ้าน่า… ทั้งที่พยายามหลีกเลี่ยง แต่เรากลับเป็นฝ่ายถูกดึงเข้ามาหาเอง? กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์กระตุกเล็กน้อย ไม่อยากทำใจยอมรับข้อสันนิษฐานของตัวเอง
แน่นอน ลำพังความคล้ายกันของสภาพแวดล้อม ยังไม่เพียงพอให้ด่วนสรุป
หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกเชื่องช้า ไคลน์สงบสติตัวเองพลาง ‘เชิด’ เซนอลเข้าไปสำรวจในส่วนลึก
ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา
หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัว รีบนำร่างต้นเข้าไปซ่อนในโรงสีข้าว พร้อมกับบังคับให้หุ่นเชิดหยุดนิ่ง
ไม่กี่วินาทีถัดมา ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินออกจากตรอกใกล้เคียง
อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีขาวโพลน ผมเกล้ามวยหลวมๆ เผยให้เห็นต้นคอขาวเนียน ใบหน้างดงามจนน่าเหลือเชื่อ
ราชันเร้นลับ 833 : ข้อควรระวัง
ท่ามกลางหมอกที่ปกคลุมหมู่บ้าน สตรีที่เดินออกจากตรอกดูขัดแย้งกับสิ่งรอบข้างอย่างมาก บรรยากาศรอบตัวเธอมอบว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง สง่างาม ปราศจากมลทิน ให้ผู้พบเห็นตาเป็นประกาย
นอกจากนั้น เสื้อคลุมสีขาวเรียบๆ และผมที่เกล้ามวยหลวมๆ ยังช่วยมอบบุคลิกเกียจคร้านและเก็บตัว กระทั่งไคลน์ที่มองผ่านสายตาของหุ่นเชิด อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าสตรีผู้นี้วางตัวอย่างไรบนเตียง จะมีเสน่ห์และตัวตนที่แตกต่างออกไปหรือไม่
ในขณะนี้ ชายหนุ่มพยายามข่มแรงกระหายภายในใจที่อยากทำลายความศักดิ์สิทธิ์นั่น อยากทำลายความสงวนตัวนั่น
หล่อนเป็นแม่มด? ไคลน์ขบกรามตามสัญชาตญาณ มุมปากกระตุกเล็กน้อย
สตรีผู้เลอโฉมและสง่างามรายนี้เองก็มองเห็นเซนอล เผยสีหน้าประหลาดใจในตอนแรก ก่อนจะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ
“เซนอล… นายถูกทำเป็นหุ่นเชิดตั้งแต่เมื่อไร… ถ้าไม่ใช่เพราะถูกพลังรัตติกาลกัดกร่อนรุนแรงถึงเพียงนี้ ฉันคงยากจะสังเกตเห็น”
ประหนึ่งว่ากำลังคุยกับเซนอล แต่ความจริงแล้ว เธอคุยกับนักเชิดหุ่นเบื้องหลัง
เฮ่อ… ออร่าอันเย็นเยียบนั่นคงไม่มีทางซ่อนมิดชิด… อย่างน้อยก็ในสายตาผู้วิเศษลำดับสูง… ใจจริง เราอยากซ่อนอยู่ในมุมมืดโดยไม่ให้ใครรู้ อาศัยเซนอลเป็นฉากหน้าสำหรับติดต่อ นั่นจะช่วยยืนยันความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง… ที่หมู่บ้านนี้ พลังของมิติสายหมอกไร้ถูกปิดกั้น หากเราตายไป เกรงว่าคงไม่มีการคืนชีพ… ไคลน์ซ่อนตัวลึกเข้าไปในโรงสี บังคับหุ่นเชิดตอบเสียงทุ้ม
“หากเธอออกไปได้ ข่าวคราวบนท้องทะเลจะช่วยให้เธอทราบว่า ฉันรับใช้เจ้านายใหม่มาเดือนกว่าๆ แล้ว”
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางของพลเรือเอกโลหิต ราวกับอีกฝ่ายยังมีชีวิต
นี่คือกฎการสวมบทบาทของนักเชิดหุ่น หุ่นเชิดแต่ละตัวต้องมีเอกลักษณ์และบุคลิกเป็นของตัวเอง!
นอกจากนั้น ไคลน์ยังแฝงคำว่า ‘ออกไป’ เพื่อชักนำหัวข้อสนทนา
ในหมู่บ้านพิสดารแห่งนี้ ชายหนุ่มไม่อยากฆ่าแม่มดทุกคนที่เห็น ยังไม่ต้องถามว่าเป็นแม่มดที่ดีหรือร้าย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแบบไหนก็ไม่ควรฆ่าส่งเดช เพราะสำหรับคนที่ติดอยู่ที่นี่มานาน มีความเป็นไปได้สูงที่จะครอบครองข้อมูลสำคัญหรือเบาะแสของทางออก ช่วงแรกจึงต้องวางตัวสันติไปก่อน
สตรีในชุดคลุมสีขาวหัวเราะพลางตอบ
“ยังไม่ลืมสวมบทบาทอย่างสม่ำเสมอ… ดูเหมือนว่า ทางนั้นคงใกล้ย่อยโอสถนักเชิดหุ่นเสร็จในอีกไม่ช้า… คนของลัทธิเร้นลับ?”
เธอคุ้นเคยกับเส้นทาง ‘นักทำนาย’ เป็นอย่างดี… อา นิกายแม่มดเป็นองค์กรลับที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่ ถึงจะไม่สนิทสนมกับตระกูลอันทีโกนัสหรือซาราธ แต่ก็น่าจะเคยผ่านตามาบ้าง เป็นเรื่องปรกติที่จะมีข้อมูลของเส้นทางนักทำนาย… แน่นอน สมมติฐานข้างต้นจะจริงก็ต่อเมื่อเธอเป็นแม่มด… หัวใจไคลน์เต้นแรงขึ้น จงใจซักถาม
“เป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วหรือ?”
มันต้องการหยั่งเชิงอีกฝ่าย ดูว่าองค์กรลับของทางนั้นครอบครองเส้นทางนักทำนายด้วยหรือไม่
สตรีผู้สดใสและสง่างามย่างกรายเข้าใกล้ โน้มตัวมาหาพลเรือเอกโลหิตและตอบ
“ไม่สำคัญว่าทางนั้นจะเป็นคนขององค์กรใด พวกเราต่างถูกเนรเทศมาขังไว้ที่นี่ อาจจะออกไปไหนไม่ได้อีกแล้ว สิ่งสำคัญจึงเป็นอนาคต มิใช่อดีต ทำไมไม่ร่วมมือหาทางออกไปด้วยกัน?”
หยั่งเชิงล้มเหลว… ไคลน์บังคับวิญญาณอาฆาตพูด
“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ… จะให้เรียกเธอว่าอะไร?”
เมื่ออีกฝ่ายขยับเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมสดชื่นจากประสาทสัมผัสของหุ่นเชิด ผนวกกับเสียงพูดของอีกฝ่าย มันเกิดความรู้สึกอยากละทิ้งทุกสิ่ง ละทิ้งศีลธรรมและสามัญสำนึก แลกเปลี่ยนความอบอุ่นทางร่างกายกับอีกฝ่าย
ไม่ผิดแน่ เธอน่าจะเป็นแม่มด… หืม… หลังจากฟังเสียงมาสักพัก ทำไมเราเริ่มรู้สึกคุ้นเคย? แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก น่าเสียดายที่ตอนนี้ใช้พลังทำนายฝันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกอีกฝ่ายตรวจจับ ยากจะคาดเดาผลลัพธ์ตามมา… ไคลน์ขมวดคิ้ว
สตรีท่าทางเกียจคร้านรายนี้ยกมือขึ้นมาสางเส้นผม เปิดเผยใบหูที่เล็กกะทัดรัด
“พานาเทีย… แล้วทางนั้นล่ะ?”
เดิมที ไคลน์อยากสุ่มอ้างชื่อใครสักคน เช่นมิสเตอร์ X แห่งชุมนุมแสงเหนือ ผู้ช่วยกัปตันของแจ้งมรณะ ‘จอมเชือด’ จิลเซียส เพราะตนสามารถจำลองพลังของพวกมันได้ด้วยยุบพองหิวโหย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ทำ ตอบไปตามตรง
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”
ชายหนุ่มไม่ทราบว่าผู้วิเศษฝั่งตรงข้ามที่น่าจะเป็นแม่มด เข้ามาในหมู่บ้านสายหมอกตั้งแต่ตอนไหน จึงยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะรู้สาเหตุการหายตัวไปของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
พานาเทียผงกศีรษะ
“เข้ามาได้ยังไง?”
ไคลน์ไม่ปิดบัง เล่าผ่านปากของหุ่นเชิด
“เผชิญหน้ากับสตรีนิรนาม… เธอสวมเสื้อคลุม ดวงตาคล้ายค่ำคืนอันมืดมิด แต่ขาดชีวิตชีวา”
พานาเทียเงียบงันสองสามวินาที ก่อนจะตอบ
“เป็นเธอนี่เอง… หึหึ”
หญิงสาวมิได้ลงลึกรายละเอียด เพียงยิ้มและเปลี่ยนคำถาม
“แล้วทำอะไรลงไป? ทำไมโบสถ์รัตติกาลถึงต้องลงทุนส่ง ‘ท่าน’ มาจัดการ”
พานาเทียเปลี่ยนสรรพนามการเรียก
ท่าน? สตรีคนดังกล่าวคือเทวทูต? เป็นนักบวชหญิงของวิหาร? ดูเหมือนว่าพานาเทียจะรู้เรื่องของเธอไม่น้อย… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบคลุมเครือ
“ลอบเข้าไปในวิหารนักบุญแซมมวล พยายามขโมยสมบัติปิดผนึก แต่กลับลงเอยด้วย…”
มันมิได้ลงลึกรายละเอียด เพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเจอสตรีคนดังกล่าวได้อย่างไร
ไคลน์เชื่อว่า ในฐานะเทวทูต สตรีผู้นั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่หลังประตูยานิสของวิหารนักบุญแซมมวลตลอดเวลา ไม่น่าจะมีสิ่งใดสำคัญจนบุคคลระดับนี้ต้องคอยปกป้องเช้าจรดเย็น!
“งั้นหรือ… อยู่ในประตูยานิสของวิหารแซมมวลจริงๆ” คล้ายกับพานาเทียฉุกคิดบางสิ่ง
สำหรับองค์กรลับ พวกมันจะลบคำว่า ‘นักบุญ’ ออกจากชื่อวิหารนักบุญแซมมวล… เราต้องจำเรื่องนี้ไว้ใช้ในอนาคต… ไคลน์วิเคราะห์คำพูดอีกฝ่าย
พานาเทียมิได้สานต่อบทสนทนา กล่าวด้วยรอยยิ้มเจือจาง
“เอาล่ะ อย่าสนใจอดีตอีกเลย อย่างที่บอกไป สิ่งที่สำคัญตอนนี้คืออนาคต และเรื่องที่ว่า พวกเราจะหนีออกไปอย่างไร”
ไคลน์ถือโอกาสบังคับให้เซนอลถาม
“รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่บ้าง?”
พานาเทียชำเลืองไปทางวิหารสีดำที่มียอดแหลมใจกลางเมือง
“ที่นี่ไม่ใช่โลกความจริง ไม่ใช่โลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกดารา แต่อยู่ในสถานะถูกปกปิดหรือซ่อนตัว… ฉันสำรวจพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านหมดแล้ว รวมถึงข้างนอกด้วย แต่ก็ไม่พบเบาะแสสำหรับทางออก จึงเหลือเพียงแค่ในวิหาร บางที ภายในนั้นอาจมีความลับทั้งหมดซ่อนอยู่”
“แล้วทำไมถึงไม่สำรวจวิหาร?” ไคลน์ถามผ่านปากหุ่นเชิด
พานาเทียดึงชายเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ขึ้น เผยให้เห็นรอยฉีกขาดหลายจุด
“สัญชาตญาณบอกกับฉันว่า ภายในนั้นเต็มไปด้วยอันตราย”
กล่าวจบ เธอเปลี่ยนหัวข้อ
“แต่ตอนนี้มีวิธีแล้ว ทางนั้นสามารถใช้หุ่นเชิดเข้าไปสำรวจแทน ถึงมันจะถูกทำลาย แต่พวกเราก็ยังปลอดภัย… มั่นใจได้ หากพวกเราพบเบาะแสสำคัญจากด้านใน ฉันสัญญาว่าจะมอบหุ่นเชิดตัวใหม่ที่ดีกว่า แถมเซนอลก็น่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
นั่นก็ใช่ แต่ฉันไม่อยากเชื่อเธอ… ถ้าเป็นแม่มดจริง เราไม่ควรไว้ใจ… ไคลน์ไม่มอบคำตอบ เพียงถามผ่านเซนอล
“แล้วยังมีข้อควรระวังอะไรอีก?”
พานาเทียเม้มปาก
“มีผู้คนมากมายหลงเข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลบางประการ แต่พวกเขาก็หายตัวไปทั้งหมด”
หายตัวไปทั้งหมด? ไคลน์ทวนคำ
“เกิดอะไรขึ้น?”
พานาเทียถอนหายใจแผ่ว
“ไม่ทราบได้… บางคนหิว จึงเข้าไปในบ้านและกินอาหาร แต่กลับหายไป… หายไปทันที… และในคราวนี้ ผลการทำนายระบุว่า พวกเขาตายไปแล้ว เข้าสู่นิทราอันเป็นนิรันดร์”
ในหมู่บ้านสายหมอกแห่งนี้ มีบางปัจจัยทำให้คนถูกลบเลือน? แถมยังเป็นการตายโดยแท้จริง… ไคลน์ตกตะลึงมาก ก่อนจะฉุกคิดถึงบางสิ่งจนเกือบโพล่งออกมา
แล้วเธอไม่หิวบ้างหรือ?
ด้วยเกรงว่าคำถามจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าที ชายหนุ่มข่มความอยากรู้อยากเห็น บังคับให้เซนอลถามอ้อมๆ
“อยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?”
พานาเทียถอนหายใจและยิ้ม
“น่าจะครึ่งปีได้แล้ว… ฉันเคยเห็นหลายคนกินกันเองเพื่อความอยู่รอด แต่โชคดีที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องกินเยอะ สามารถดำรงชีวิตได้นานด้วยอาหารเพียงเล็กน้อย และบนศพมนุษย์ มีอวัยวะบางส่วนสามารถกินได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายนัก”
ขณะกล่าว หญิงสาวชี้นิ้วขึ้นไปบนดวงจันทร์สีแดงท่ามกลางเมฆ
“อีกหนึ่งสิ่งที่ควรระวัง… เมื่อพระจันทร์สีแดงกระจ่างชัด ที่นี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมอันตรายใหญ่หลวง… ฉันเคยต้องบาดเจ็บหนักมาแล้ว”
กล่าวจบ เธอเลื่อนมือลงมาชี้ที่รอยฉีกขาดบนเสื้อคลุมสีขาว
ตามความเคยชิน ไคลน์บังคับวิญญาณอาฆาตมองตามปลายนิ้ว พบรอยขาดในตำแหน่งไหปลาร้า พบผิวหนังอ่อนนุ่มด้านในที่มีบาดแผลลึกจนเห็นกระดูก
ทันใดนั้น ผิวหนังในบริเวณดังกล่าวพลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นลวดลายลึกลับเต็มพรืด แฝงความชั่วร้ายอย่างเต็มเปี่ยม!
จิตไคลน์แทบระเบิดในพริบตา เสียงเพรียกโหยหวนดังกังวานในใจ
ขณะเดียวกัน การหายใจของร่างต้นเริ่มทำได้ยากลำบาก เรี่ยวแรงหดหายอย่างรวดเร็ว ทิ้งตัวล้มลงโดยมิอาจควบคุมพร้อมกับไอกระแอมรุนแรง
จากนั้น ชายหนุ่มเห็นเสื้อคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ เห็นท่อนขาเรียวสวยของสตรี และเห็นพานาเทีย
หญิงสาวเดินเข้ามาในโรงสี เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังทุรนทุราย มุมปากยกโค้งเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันซี่ขาวที่เรียงสวย ระหว่างซอกฟันมีเศษเนื้อและเลือดเกรอะกรัง
“เจอตัวแล้ว…”
ราชันเร้นลับ 834 : โชคดี
“เจอตัวแล้ว”
เส้นไหมล่องหนถูกยิงออกมาพร้อมกับคำพูดพานาเทีย รัดพันร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างรวดเร็ว คล้ายกับจะจับชายหนุ่มมัดขังไว้ในรังไหม
ทันใดนั้น ร่างที่สวมชุดคลุมนักบวชสีดำพลันแบนราบ กลายเป็นกระดาษที่ถูกเกาะกินด้วย ‘สนิม’
ถัดมา ร่างไคลน์โผล่ขึ้นด้านนอกโรงสี ก่อนจะเผ่นหนีหนีเข้าไปยังใจกลางหมู่บ้าน
ชายหนุ่มเคยเห็นร่างจริงของเทพสุริยันเจิดจรัสและยังรอดชีวิตมาได้ โดยธรรมชาติแล้ว ไคลน์มีภูมิคุ้มกันร่างวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก ยากจะคลุ้มคลั่งเพียงเพราะได้เห็นร่างสัตว์ในตำนานเพียงชั่วครู่ นอกจากนั้น พานาเทียยังไม่ใช่สัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ ดังนั้น ถึงจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมิติหมอก ไคลน์ก็ยังสามารถขจัดความคิดที่พลุ่งพล่าน คืนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากพบว่าตนอาการไม่ดี ชายหนุ่มฉวยโอกาสจังหวะที่ไอกระแอม แอบใช้พลังกระดาษคนตัวแทน!
กระดาษคนไม่ใช่วัตถุวิเศษ ไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่ ไคลน์จึงกล้าพกติดตัวเป็นจำนวนมาก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำปฏิกิริยากับแก่นผนึกหลังประตูยานิส
และก่อนที่ไคลน์จะเริ่มเผ่นหนี มันนำนิ้วโป้งขวาถูกกับนิ้วกลางเพื่อจุดไฟแป้งที่วางกองอยู่เต็มพื้นโรงสี!
บึ้ม!
แสงสว่างวาบ ระเบิดฝุ่นส่งผลให้โรงสีกระจัดกระจาย กังหันลมตกพื้นในสภาพหัวปัก ร่างพานาเทียแตกกระจัดกระจายท่ามกลางคลื่นกระแทกและเปลวไฟ ราวกับเป็นเพียงกระจกแผ่นหนึ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างที่สวมชุดคลุมสีขาวของเธอโผล่ขึ้นด้านหลังไคลน์ มวยผมที่เกล้าไว้หลวมๆ เริ่มคลี่ออกและลอยขึ้นไปในอากาศ
เป๊าะ!
ไคลน์รีบดีดนิ้วเพื่อเผาใบไม้ด้านข้าง ขณะเดียวกันก็บังคับให้พลเรือเอกโลหิตกระโดดกระจกไปโผล่บนหน้าต่างชั้นสองของบ้านข้างๆ พานาเทีย จากนั้นก็พยายามสิงร่างโดยการไปโผล่บนกระจกตาสตรีที่น่าหวาดกลัว
เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชน ห่อหุ้มร่างกายไคลน์ทุกส่วน ช่วยให้ชายหนุ่มหายตัวไปโผล่ในอีกหลายสิบเมตร ส่วนทางด้านพานาเทีย ราวกับกระจกตาของเธอมีกระจกซ่อนอยู่ด้านใน ภาพสะท้อนของชายวัยกลางคนสวมหมวกสามมุมทรงโบราณ ซ้อนทับกันหลายชั้นอย่างสับสนวุ่นวาย
ไคลน์ไม่ลังเล บังคับให้เซนอลกระโดดกลับมาที่หน้าต่าง แปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าและกระโจนใส่แม่มดด้วยความเร็วสูง
ถูกต้อง ไคลน์ยืนยันแล้วว่าพานาเทียคือแม่มด แถมยังเป็นแม่มดครึ่งเทพ!
เส้นผมสีดำและใยบางๆ โปร่งใสจนเกือบล่องหน พลันยืดขยายออกจากร่างกายพานาเทีย เกิดเป็นโครงข่ายใยแมงมุมซับซ้อน ห่อหุ้มร่างกายเซนอลที่ปกคลุมด้วยกระจุกขน
ทว่า ในวินาทีดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะสัมผัสกัน ร่างของพลเรือเอกโลหิตพลันโปร่งใสอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เส้นผมสีดำขลับและใยแมงมุมมายาของแม่มดพุ่งผ่านไป มิอาจพันธนาการเป้าหมาย
ร่างวิญญาณอาฆาต!
“ฮึ!” สีหน้าของพานาเทียยังไม่แปรเปลี่ยน มีเพียงการพ่นลม
เพียงพริบตา เส้นผมที่ยาวหนาและด้ายมายาเส้นบางซึ่งพุ่งผ่านร่างเซนอล เกิดระเบิดกะทันหันพร้อมกับสร้างเปลวสีดำลุกไหม้ ราวกับใช้พลังวิญญาณเป็นเชื้อไฟ เปลี่ยนวิญญาณอาฆาตให้กลางเป็นคบเพลิง!
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พลเรือเอกโลหิตที่ถูกเผา กลับคืนร่างมนุษย์หมาป่าในสภาพยับเยิน เศษเลือดเนื้อร่วงหล่นทีละชิ้น
หุ่นเชิดลำดับ 5 ‘วิญญาณอาฆาต’ หมดสภาพโดยสมบูรณ์
ขณะเดียวกัน ไคลน์ดีดนิ้วต่อเนื่อง กระโจนไฟไปยังจุดแล้วจุดเล่า หนีเข้าไปยังส่วนลึกของหมู่บ้านด้วยการสังเวยหุ่นเชิด
เพียงการหายตัวไม่กี่ครั้ง ชายหนุ่มสร้างระยะห่างกับพานาเทียได้หลายร้อยเมตร
ทันใดนั้น ไคลน์พบว่าหน้าผากของตนเริ่มร้อนผ่าว ปอดกลายเป็นเครื่องสูบลมของช่างตีเหล็ก ส่งเสียงดังทุกครั้งที่หายใจเข้าออก มาพร้อมกระแสลมร้อนระอุ
เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ ชายหนุ่มจึงใช้กระดาษคนตัวแทนได้ช้ากว่าปรกติ ไม่สามารถสลัดอาการป่วยออกไปได้หมดจด ทำได้เพียงบรรเทาบางส่วน และในตอนแรก ไคลน์เชื่อว่าร่างกายตนแข็งแกร่งพอจะหลุดพ้นจากอิทธิพลโรคภัยของพานาเทีย แต่อาการป่วยกลับรุนแรงและกำเริบเร็วกว่าที่คาดไว้มาก!
เหนือสิ่งอื่นใด แม้จะหนีมาไกลกว่าร้อยเมตร แต่อาการป่วยยังไม่หายไป!
ตุ้บ! ขณะไคลน์เตรียมกระโจนไฟ แข้งขาอ่อนแรงกะทันหัน มิอาจดีดนิ้ว ทำได้เพียงล้มฟุบลงไปกับพื้น
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะที่นุ่มนวลและอ่อนหวานของพานาเทียดังก้องข้างใบหู
“ถึงจะหนีไปยังสุดขอบหมู่บ้าน แต่นายก็ไม่มีวันหลุดพ้นจากระยะเชื้อโรค… เผื่อนายยังไม่ทราบ ในกรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออกทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยหมอกโรคระบาดที่ฉันสร้างขึ้น นอกจากย่านที่ห่างไกลอย่างเขตราชินีและเขตตะวันตก เขตอื่นๆ ภายในเมืองล้วนได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย”
นี่มัน… ท่านหญิงสิ้นหวังที่ร่วมมือกับมิสเตอร์ A… หนึ่งในคนร้ายตัวจริงของโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน… ในสภาพป่วยไข้ สมองไคลน์เริ่มขาวโพลน แม้จะไม่ถึงแก่ความตาย แต่อาการไอรุนแรงที่มิอาจยับยั้ง ส่งผลให้ชายหนุ่มไม่สามารถใช้พลังพิเศษ
พานาเทียย่างกรายเข้าใกล้อย่างใจเย็น ดวงตาอันงดงามเผยความกระหายเลือดอย่างไม่ปิดบัง ราวกับคนเร่ร่อนที่หิวโซมาหลายวันได้เห็นสเต๊กเนื้อย่างบนเตาร้อน
มือของเธอกำลังแบกศพเซนอลในสภาพแขนขาขาด
สิ่งนี้น่าจะถูกใช้เป็นอาหารสำรอง
“เสียงดีดนิ้วของนายไพเราะมาก ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่า นิ้วทั้งสองของนายจะอร่อยขนาดไหน” พานาเทียจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่กำลังไอทุรนทุรายบนพื้นห่างออกไป
กล่าวจบ หญิงสาวยกมือขึ้นพร้อมกับนำนิ้วชี้ของเซนอลยัดใส่ปาก กัดและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
ไคลน์จ้องมองฉากดังกล่าวด้วยทัศนวิสัยพร่ามัว ดวงตาเหม่อลอย รู้สึกราวกับนิ้วของตนกำลังปวดแปลบ
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มพบว่า ‘ท่านหญิงสิ้นหวัง’ พานาเทียเข้าสู่ภาวะกึ่งเสียสติเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากกินเนื้อของผู้วิเศษคนอื่นมากเกินไป
ขณะไคลน์เริ่มสิ้นหวังในการเอาตัวรอด แสงจันทร์สีแดงเข้มพลันสว่างวาบจากด้านบน
ชายหนุ่มเห็นพานาเทียเผยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด หันหลังกลับโดยไม่ลังเล รีบเข้าไปในบ้านใกล้เคียงและปิดประตูดังโครม
เมื่อพบว่าอาการป่วยของตนบรรเทาลง ไคลน์รีบแหงนหน้ามองฟ้า พบดวงจันทร์สีแดงกำลังส่องผ่านทะเลเมฆหมอก มอบแสงสว่างท่ามกลางความมืดอย่างกระจ่างชัดและเงียบสงบ
หัวใจชายหนุ่มเริ่มเต้นแรงเมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่พานาเทียเคยพูด รีบกระเสือกกระสนโซเซเข้าไปในบ้านอีกหนึ่งหลัง และไม่ลืมที่จะลงกลอนมิดชิด
“เมื่อพระจันทร์สีแดงกระจ่างชัด ที่นี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมอันตรายใหญ่หลวง”
ราชันเร้นลับ 835 : ผ่านไปผ่านมา
หลังจากรีบเข้ามาในบ้านและปิดประตู ไคลน์พบว่าผ้าม่านหน้าต่างถูกปิดมิดชิด มีเพียงแสงจันทร์สีแดงที่ลอดผ่านเข้ามาได้อย่างเลือนราง
ชายหนุ่มไม่สนใจสำรวจเพิ่มเติม เมื่อหันไปเห็นเก้าอี้ไม้ จึงเดินไปนั่งและส่งตัวเองเข้าฌาน ระงับความผิดปรกติของร่างกายที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อครู่
ต้องไม่ลืมว่า เมื่อครู่เพิ่งได้เผชิญหน้ากับร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ แถมยังเป็นระดับนักบุญ มีหรือที่จะรอดกลับมาง่ายๆ โดยไม่ได้รับผลข้างเคียงใดเลย? ที่นี่ไม่ใช่มิติเหนือสายหมอกที่มีพลังฟื้นฟูสักหน่อย!
จริงอยู่ ไคลน์มีความต้านทานค่อนข้างสูง จึงตั้งสติได้เร็วและรอดพ้นจากอาการคลุ้มคลั่ง แต่ไม่ได้แปลว่าปัญหาซ่อนเร้นทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข
ชายหนุ่มนั่งนิ่ง อาศัยการเข้าฌานต่อสู้กับคลื่นความคิดอันบ้าคลั่งที่หลั่งไหล ระหว่างนี้ ไคลน์ได้ยินเสียงกระดูกโหนกแก้มลั่น มองเห็นเส้นผมสีดำของตนงอกยาวอย่างมิอาจควบคุม หน้าอกยื่นออกมาพร้อมเสื้อผ้า ผิวหนังกลายเป็นตุ่มเนื้อเม็ดเล็กๆ
ผ่านไปเกือบสามสิบวินาที ในที่สุดไคลน์ก็ถอนหายใจผ่อนคลาย
ชายหนุ่มขจัดผลข้างเคียงจากร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ของพานาเทียออกอย่างหมดจด นอกจากนั้นยังได้รับความรู้เพิ่มเติมเล็กน้อย นั่นก็คือ พลังพิเศษของอีกฝ่ายมี ‘ความสิ้นหวัง’ เป็นแกนหลัง เก่งกาจในการสร้างและแพร่เชื้อโรค
อิทธิพลจากการได้เห็นร่างสัตว์ในตำนาน ไม่เพียงจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง แต่ยังมอบข้อมูลของลำดับอีกฝ่าย… เราเคยเกือบถูกเทพสุริยันบรรพกาลย่างสด และเมื่อครู่ก็เกือบต้องกลายเป็นแม่มด… ไคลน์ก้มมองร่างกายตัวเอง ยืนยันว่าผิวหนังและหน้าอกกลับคืนสู่สภาพเดิม
หากไม่ได้ ‘ผู้ไร้หน้า’ ถ้าไม่นับเรื่องหน้าอกที่ยื่นออกมา ปัญหาอื่นๆ ไคลน์ต้องแก้ไขด้วยพลังจากภายนอก
โดยไม่มัวตัดพ้อหรือวิเคราะห์นานนัก ไคลน์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องไปยังผ้าม่านสีเข้มที่ปิดสนิท พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สีหน้าชายหนุ่มแปรเปลี่ยนกะทันหัน เนื่องจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากถนนด้านนอก!
ในวินาทีนี้ ไคลน์พบว่านอกจากตัวมันและ ‘ท่านหญิงสิ้นหวัง’ พานาเทีย หมู่บ้านร้างแห่งนี้มีประชากรเพิ่มขึ้นกะทันหัน แต่ละคนออกมาเดินตามท้องถนน บ้างทักทายกันและกัน สนทนาเกี่ยวกับขนมปังที่ซื้อ หากหรูหราหน่อยก็คุยเรื่องเนื้อวัวหนักหนึ่งปอนด์
หมู่บ้านสายหมอกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด!
อย่างไรก็ตาม ร่างดังกล่าวมิได้พยายามเข้าไปในบ้านริมถนนทั้งสองฝั่ง มีเพียงเดินสวนกันไปมา พร้อมกับส่งเสียงที่ยากจะให้เชื่อว่าเป็นคำพูด แต่ใกล้เคียงกับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย
ไคลน์จินตนาการฉากด้านนอกไม่ออก ทราบเพียงว่าแม้แต่แม่มดระดับครึ่งเทพก็ยังต้องซ่อนตัวจากมัน
ชายหนุ่มถอนสายตากลับ ครุ่นคิดสองสามวินาที พึมพำกับตัวเองเงียบงัน
เราออกไปไม่ได้… แต่ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้เช่นกัน… ไม่มีทางรู้เลยว่าดวงจันทร์สีแดงจะถูกหมอกบดบังอีกตอนไหน หากรอให้เกิดขึ้น พานาเทียก็จะกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และเราที่อยู่ใกล้กับหล่อนมากก็จะหมดสิทธิ์หนี!
แต่จะย้ายตำแหน่งยังไงถ้าไม่ออกไป?
ท่ามกลางความเงียบ ไคลน์ค่อยๆ หมุนตัวไปทางวิหารสีดำที่มียอดแหลม
อ้างอิงจากคำพูดของ ‘ท่านหญิงสิ้นหวัง’ พานาเทีย วิหารดังกล่าวคือจุดเดียวที่เธอยังไม่ได้สำรวจ และไม่กล้าจะสำรวจ อาจมีเพียงการเข้าไปหลบในวิหารเท่านั้น จึงจะหนีพ้นจาก ‘การล่า’ ของเธอ
แน่นอน พานาเทียซึ่งเป็นแม่มัด อาจไม่ได้เล่าความจริง แต่ไคลน์ก็เชื่อว่า อีกฝ่ายไม่น่าจะเสียเวลาโกหก เพราะในสายตาหล่อน ตนคือเหยื่อ เป็นได้เพียงอาหารที่รอถูกกิน
นอกจากนั้น พานาเทียยังพยายามหว่านล้อมด้วยคำพูดและเสน่ห์ ออกแบบกับดักอย่างละเอียดเพื่อจับเหยื่อ พิจารณาจากความมั่นใจในตัวเองของครึ่งเทพ เธอไม่มีความจำเป็นต้องโกหกเหยื่อที่กำลังจะตาย การเล่าความจริงคือสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุด
เว้นแต่สภาวะกึ่งเสียสติจะทำให้เธอโกหกจนเป็นนิสัย ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ปัจจัยด้านอื่นก็คงไม่มีปัญหา… ไคลน์ที่มีทางเลือกไม่มากนัก ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มลดมือซ้ายลง เปลี่ยนให้ยุบพองหิวโหยกลายเป็นสีโปร่งใส
แม้จะทราบว่าพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ไม่มีประโยชน์ที่นี่ แต่ไคลน์ก็ยังแอบหวัง เพราะปัจจุบันเป็นช่วงเวลาจันทร์แดงกระจ่าง ไม่ถูกสายหมอกบดบัง กลมดิกราวกับถาดเงิน ในกรณีที่คล้ายคลึงกัน มิสเตอร์ประตูเคยส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือมายังโสตประสาทลูกหลานทุกคนในคืนจันทร์เต็มดวงผ่านช่องทางพิเศษ ดังนั้น การแสดงผลของ ‘ท่องเที่ยว’ อาจไม่ล้มเหลวเสียทีเดียว
ร่างของไคลน์เลือนหายไป แต่ไม่กี่วินาทีถัดมา มันโผล่ในจุดเดิม
“เราเข้าสู่โลกวิญญาณไม่ได้ กระทั่งการมีอยู่ของมันก็สัมผัสไม่ถึง… สำหรับพลังพิเศษชนิดนี้ การ ‘ท่องเที่ยว’ เป็นเพียงส่วนเดียวจากทั้งหมดสามส่วน ยังสามารถใช้ล่องหนสั้นๆ ได้ด้วย” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง สรุปประสบการณ์และบทเรียนในใจ ก่อนจะผุดข้อสงสัยใหม่ “ถ้าอย่างนั้น ร่างล่องหนมิได้เป็นผลจากโลกวิญญาณหรอกหรือ? ทำไมเราถึงยังหายตัวได้?”
ไคลน์ครุ่นคิดราวสิบวินาที คาดเดาบางสิ่งอย่างคลุมเครือ
มนุษย์ทุกคนต้องเชื่อมโยงกับโลกวิญญาณ เพราะวิญญาณดาราของทุกคนอยู่ที่นั่น… ช่วยให้รับข้อมูลในเชิงนามธรรมได้ทุกประเภท และเป็นเหตุผลว่าทำไม พลังทำนายถึงได้รับวิวรณ์ตอบกลับมา
ดังนั้น เมื่อตัวเราถูกเปลี่ยนให้อยู่ในสถานะ ‘ถูกปกปิด’ การวิญญาณดาราของเราจึง ‘ถูกปกปิด’ ไปด้วย?
นี่คือเหตุผลว่าทำไมโลกวิญญาณยังคงให้ยืมพลัง ‘ล่องหน’ แต่ไม่ยอมให้เราเข้าไป เพราะวิญญาณดาราของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของสภาพถูกปกปิด! อา… ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท ในตอนที่เราใช้ ‘กระโจนไฟ’ มันออกมาประสบความสำเร็จ ทั้งที่พลังนี้ก็ต้องพึ่งพาโลกวิญญาณเช่นกัน…
เมื่อเริ่มมั่นใจ ไคลน์ยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว พยายามจุดเทียนไขที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งในบ้านหลังข้างเคียง
ชายหนุ่มต้องการใช้กระโจนเพลิงเพื่อค่อยๆ ขยับไปในบ้านหลังติดกัน จนกระทั่งถึงวิหาร รอให้ดวงจันทร์สีแดงถูกหมอกปกคลุม จึงค่อยวิเคราะห์สถานการณ์ว่าควรจะเสี่ยงซ่อนตัวด้านในหรือไม่
ผ่านไปสักพัก เชิงเทียนในบ้านหลังถัดไปมีไฟสีส้มลุกโชน มอบแสงสว่างแก่สภาพแวดล้อมโดยรอบ
ทันใดนั้น ถนนด้านนอกพลันเงียบสงัด
เสียงคำรามคล้ายสัตว์ร้ายเงียบลงทันที!
สิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่กำลังเดินไปมาบนถนน คล้ายกับพยายามหันไปมองเปลวไฟเทียนไข พยายามเพ่งมองผ่านบานประตูหรือหน้าต่าง!
เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผากไคลน์ ทำเอาไม่กล้า ‘กระโจน’ ข้ามไป สัญชาตญาณบอกให้รีบดีดนิ้วอีกครั้ง ดับเทียนไขเล่มดังกล่าวลง
หลังจากเงียบงันไปอีกสักพัก เสียงพูดคุยดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเท้าที่ย่ำเดินไปมา
เมื่อไคลน์มั่นใจว่าปลอดภัย ชายหนุ่มยกมือขวาปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
ชายหนุ่มพบว่า หลังจากเข้าไปในหมู่บ้านสายหมอก ตนทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่รู้ตัวหลายครั้ง ไม่แม้กระทั่งทำนายยืนยันว่าการจุดเทียนในบ้านหลังข้างๆ อันตรายหรือไม่!
สัมผัสวิญญาณควรกระตุ้นเตือนเรา แต่มันกลับไม่… ดูเหมือนว่า หลังจากพลังของมิติหมอกถูกปิดกั้น สัมผัสวิญญาณและลางสังหรณ์ของเราไม่ถูกยกระดับ กลายเป็นนักเชิดหุ่นที่เก่งกว่าปรกติเล็กน้อย ห่างไกลจากความแข็งแกร่งแบบสุดโต่ง… และนั่นคงเป็นเหตุผลที่เราถูกพานาเทียล่อลวงให้มองบาดแผลด้วยพลัง ‘กระตุ้น’ โดยเชื่อไปเองว่า การมองผ่านดวงตาของหุ่นเชิดไม่น่าจะก่อปัญหาร้ายแรง… ไคลน์ไม่มีเวลามัวทบทวนความผิดพลาด สมาธิไตร่ตรองเกี่ยวกับวิธีเข้าใกล้วิหารยอดแหลม
หลังจากตรวจสอบตัวเอง พลังพิเศษ และสมบัติวิเศษทีละชิ้น ชายหนุ่มฉุกคิดบางสิ่งได้
สิ่งนี้คือพลัง ‘เปิดประตู’ ของเส้นทางผู้ฝึกหัด ที่ไคลน์คิดว่าไร้ประโยชน์มาตลอด!
ภายใต้สถานการณ์ปรกติ พลังนี้ห่วยกว่า ‘ท่องเที่ยว’ ในทุกด้าน แต่สำหรับหมู่บ้านสายหมอกที่ลึกลับและพิสดาร มันมีประโยชน์มากเนื่องจากพึ่งพาเพียงธรรมชาติของโลกวิญญาณ ไม่ต้องใช้วิญญาณดาราเพื่อระบุตำแหน่ง!
ไคลน์ไม่รีบร้อนลงมือ หยิบเหรียญทองที่เซนอลเคยอาศัยออกมาถือ อาศัยการถามจากพลังวิญญาณของตัวเอง ได้รับคำตอบว่าตนควร ‘ทะลุผ่านกำแพง’ ออกไป
และในเมื่อมิอาจทำนายเพื่อรับวิวรณ์จากโลกวิญญาณ ไคลน์มีแต่ต้องเชื่อใจคำตอบจากพลังวิญญาณของตน ตัดสินใจเดินไปยังกำแพงที่บ้านสองหลังใช้ร่วมกัน ทาบฝ่ามือลงไป
ไคลน์ทะลุผ่านกำแพงหินอย่างเงียบงัน ตรงเข้าไปในบ้านหลังข้างเคียง
ชายหนุ่มเดินต่อไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีนี้ จนกระทั่งถึงหลังสุดท้าย และจากแผนที่ในความทรงจำ ไคลน์เชื่อว่าตนอยู่ใกล้วิหารเต็มที กระโจนไฟอีกเพียงสองครั้งก็น่าจะถึง
ในเวลาเดียวกัน แสงจันทร์สีแดงเข้มด้านนอกยังไม่บรรเทาลง ร่างเลือนรางด้านนอกยังคงเดินผ่านไปผ่านมาตามปรกติ
เนื่องจากไม่มีอะไรให้ทำ ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้ใกล้กับหน้าต่าง จุดดังกล่าวเป็นมุมอับที่ปกคลุมด้วยเงาสีดำเข้มข้น
จนถึงตอนนี้ มันเพิ่งมีเวลาพักหายใจหายคอ นึกทบทวนรายละเอียดขณะเผชิญหน้ากับแม่มดพานาเทีย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หล่อนคือฆาตกรที่สร้างโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ผู้คนหลายหมื่นต้องตายไปเพราะเธอ และอีกมากที่ต้องทุกข์ทรมานจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก…
เฒ่าโคห์เลอร์พยายามดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด… มาดามไลฟ์พยายามเลี้ยงบุตรสาวทั้งสองอย่างยากลำบาก… ไคลน์หลับตาลง ยกศีรษะพร้อมกับสูดลมหายใจ
ชายหนุ่มข่มโทสะที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันอย่างใจเย็น
น่าเสียดาย เราไม่ได้ให้เซนอลสวมแหวน ‘บุปผาโลหิต’ ไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นคงพอจะยื้อได้อีกสักนิด… แต่ก็ไม่มีทางเลือก ในเมื่อเราต้องให้เซนอลสิงร่างตัวเองเพื่อดำเนินแผน การสวมแหวนที่มีพลังของ ‘นักบวชกุหลาบ’ ผ่านเข้าประตูยานิส คงไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย…
ปัจจุบัน สมบัติวิเศษที่เราสามารถใช้งานได้มีเพียงยุบพองหิวโหย ประกอบไปด้วยพลังซอมบี้ บารอนแห่งความเน่าเปื่อย ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย และนักท่องเที่ยว…
อา… คงต้องลองติดต่อกับมิติหมอกในตอนที่พระจันทร์สีแดงกำลังกระจ่าง…
ไม่สำเร็จ…
อีกหนึ่งเรื่องที่ยืนยันได้ก็คือ ต่อให้มีหุ่นเชิดคั่นกลาง แต่เราก็ยังคงได้รับอิทธิพลจากเสน่ห์และแรงเย้ายวนจากแม่มด…
ในเมื่อพานาเทียสามารถแพร่โรคได้เป็นวงกว้าง แล้วทำไมไม่แอบโจมตีเราอย่างลับๆ? ทำไมต้องโน้มน้าวให้เราดูร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์จนเกิดคลุ้มคลั่งและเปิดเผยตำแหน่ง?
อา… เธอทำได้แน่ โศกนาฏกรรมมหาหมอกควันคือเครื่องพิสูจน์… มีสองคำอธิบายในเรื่องนี้ ข้อแรก เป็นเพราะเราถูกเทวทูตตนดังกล่าว ‘ส่ง’ เข้ามา พานาเทียจึงมองว่าเราไม่ธรรมดา การแพร่โรคอาจถูกตรวจพบได้ง่าย.. ข้อที่สอง เธอหวาดกลัวบางสิ่ง จึงไม่กล้าแพร่โรคเป็นวงกว้าง… ถ้าเป็นอย่างหลัง แปลว่าที่นี่ยังมีอันตรายอื่นซ่อนอยู่…
ขณะไคลน์ใช้ความคิด สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้น ความหนาวเย็นแล่นไปถึงแผ่นหลังในพริบตา
แทบจะในเวลาเดียวกัน มันเห็นเงาดำที่ปกคลุมร่างกายและสภาพแวดล้อมของตน ค่อยๆ ไหลซึมเข้ามาตามรูจมูกและปาก!
ราชันเร้นลับ 836 : “โยนอาหาร”
ทันใดนั้น เงาดำทวีความคมชัดและก่อตัวเป็นรูปร่าง มอบความรู้สึกเย็นและชุ่มฉ่ำ ห่อหุ้มร่างกายไคลน์โดยสมบูรณ์ ราวกับยุงที่ถูกแช่ในอำพัน
ร่างไคลน์แบนราบกลายเป็นแผ่นกระดาษ ก่อนจะสลายกลายเป็นโคลนสนิม
กระดาษคนตัวแทน!
ในวินาทีที่สัมผัสถึงอันตราย ชายหนุ่มใช้กระดาษคนตัวแทนหนีรอดมาได้!
ไคลน์ที่สวมเสื้อคลุมสีดำโผล่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร อ้าปากเตรียมส่งเสียง ‘ปัง’
ทันใดนั้น สติไคลน์พร่ามัวกะทันหัน ทัศนียภาพรอบตัวเลือนรางลง ขาดความคมชัด
ชายหนุ่มเข้าใจทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับสิ่งใด – พลังกระชากเข้าสู่ดินแดนความฝัน!
และด้วยเหตุนี้ ไคลน์สามารถยืนยันได้ว่า ความสามารถในการครองสติท่ามกลางความฝัน มิได้เกิดจากการพึ่งพาพลังของมิติหมอก หากแต่เป็นความพิเศษของตัวเอง!
หลังจากดิ้นรนสักพัก ไคลน์ปลุกตัวเองให้ตื่นจากภวังค์ เห็นเงาดำในบ้านกำลังถาโถมเข้าหาประหนึ่งกระแสน้ำ
ปัง!
ชายหนุ่มเปิดปาก ยิงกระสุนอัดอากาศที่ทรงพลังใส่เป้าหมาย
กระสุนนัดดังกล่าวทะลวงผ่านเงาดำ เกิดเป็นรูโหว่ในจุดหนึ่ง
เงาดำรอบรูโหว่แปรสภาพกลายเป็นสายน้ำ หลั่งไหลเข้าไปเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เปลี่ยนให้สภาพแวดล้อมกลับเป็นปรกติชั่วคราว เมื่อเห็นดังนั้น ไคลน์ไม่ปล่อยโอกาสหลุดลอย รีบกลิ้งตัวไปด้านข้าง ถ่ายพลังวิญญาณจนถุงมือข้างซ้ายกลายเป็นสีซีดค่อนไปทางเขียว
ซ่า! จุดเดิมที่ไคลน์เคยยืนถูกฝูงเลือดเนื้อจากเงามืดถาโถมเข้าใส่ ชุ่มชโลมพรมสีแดงเข้มที่เต็มไปด้วยเชื้อราประหลาด
ไคลน์พบว่าตนอ่อนแอลงอย่างอธิบายไม่ถูก แต่ก็ไม่มัวเสียเวลาขบคิดหาสาเหตุ รีบกระจายน้ำแข็งไปทั่วฝ่าเท้า เปลี่ยนบรรยากาศให้กลายเป็นเย็นเยียบ
เงาดำบนพรมถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็ว ภายใต้ชั้นน้ำแข็งสีใส เงาดำยุบพองตัวราวกับมีชีวิต
‘แช่แข็ง’ ของ ‘ซอมบี้’ !
ไคลน์กลิ้งตัวอีกครั้งเพื่อย้ายตำแหน่ง ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนผิวถุงมือข้างซ้ายให้ดูคล้ายตุ่มเล็กๆ สีดำจำนวนมาก มอบความรู้สึกลุ่มลึกและมืดมน
ตามด้วยการหันหน้าเข้าหาเงาดำใต้น้ำแข็ง พ่นคำพูดชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยความหมายกัดกร่อน
“เชื่องช้า!”
เพียงพริบตา ไคลน์เห็นเงาดำเริ่มหยุดยุบพองตัว เคลื่อนไหวช้าลงจากปรกติ ทว่า สติไคลน์เองก็เข้าสู้ภาวะเชื่องช้าไม่ต่างกัน ส่งผลให้พลาดการโจมตีซ้ำใส่เป้าหมาย
‘วาจากัดกร่อน’ ของชายหนุ่มถูกบิดเบือน แม้จะเล็งไปที่เงาดำ แต่กลับถูกบิดเบือนให้ส่งผลต่อทุกสิ่งภายในห้อง รวมถึงตัวไคลน์
ภายในเสี้ยวลมหายใจ ไคลน์หลุดพ้นจากภาวะเฉื่อยชา กลิ้งตัวไปทางโต๊ะอาหารโดยปราศจากความลังเล หยิบจากที่มีสเต๊กถูกกินเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง ขว้างตรงไปทางเงาสุดแรง
ระหว่างนี้ แม้ถุงมือจะยังเป็นสีดำสนิท แต่กลับมอบความรู้สึกชั่วร้ายและสูงสง่า
ติดสินบน!
ชายหนุ่มกำลัง ‘ติดสินบน’ ศัตรูด้วยสเต๊ก ส่งผลให้พลังโจมตี พลังป้องกัน และสมดุลร่างกายอ่อนแอลง!
ทันใดนั้น เงาดำพลันหดตัวและหนีไปยังมุมห้อง ปล่อยให้จานกระแทกกับแผ่นน้ำแข็งที่เริ่มละลาย
ถัดมา เงาดังกล่าวลอยขึ้นด้านบน แปรสภาพเป็นบุคคลในเสื้อคลุมยาวสีดำ
บนฝ่ามือของบุคคลดังกล่าว หนังสือโปร่งใสเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงสวดมนต์
“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”
ทันทีที่เสียงสวดมนต์ดังขึ้น หนังสือพลิกหน้าด้วยตัวเอง หอกเพลิงอันร้อนระอุผุดขึ้นจากความว่างเปล่าตรงหน้า
มิสเตอร์ A? เสียสติไปแล้วรึไง? ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำไมถึงกล้าใช้พลังพิเศษในขอบเขตของไฟ? หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง ความคิดมากมายแล่นผ่าน ก่อนจะพุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายในท่าง้างมือซ้ายไปด้านหลัง
ยุบพองหิวโหยถูกย้อมด้วยสีดำเข้มที่เปี่ยมความชั่วร้าย ดาบเพลิงแมกมาขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า แผ่แสงสีฟ้าอ่อนไปทั่วบริเวณ
ตึง!
ไคลน์กระทืบพื้นเสียงดัง ลำตัวและหัวไหล่บิดกลับ ก่อนจะวาดแขนซ้ายไปข้างหน้าเต็มแรง
กล้ามเนื้อท่อนแขนชายหนุ่มกำลังพองตัวถึงขีดสุดขณะฟันดาบแมกมาเสยจากล่างขึ้นบน!
เปรี้ยง! ดาบเล่มยักษ์ฟันปะทะหอกเปลวเพลิง เกิดประกายแสงสีฟ้าอ่อนและแดงส้ม กระจัดกระจายไปทุกทิศ ส่งผลให้ไฟลามติดไปบนเก้าอี้และผ้าม่าน
เสียงเอะอะโวยวายจากถนนด้านนอกเงียบลงสักพักแล้ว ร่างอันเลือนรางบนถนนล้วนกำลังมองเข้ามาในบ้านอย่างเงียบงัน
หลังจากทำลายหอกเพลิงสำเร็จ ไคลน์งอเข่าลงหนึ่งข้างพร้อมกับใช้มือขวาดีดนิ้ว
เป๊าะ!
เปลวไฟทั้งหมดภายในห้องดับสนิททันที
ไคลน์ไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย พยายามสัมผัสถึงสายตาที่มองเข้ามาจากด้านนอก สายตาที่พยายามทะลวงผ่านผ้าม่านเพื่อมองหาความผิดปรกติภายใน
ชายสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทเองก็มิได้เคลื่อนไหว ราวกับเมื่อครู่แสร้งเสียสติ ดูเหมือนว่ามันเองก็สัมผัสถึงอันตรายที่เหนือจินตนาการจากด้านนอก
ภายในบ้านอันมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์สีแดงเจือจางส่องผ่านผ้าม่าน ไคลน์อยู่ในท่าคุกเข่า ส่วนอีกฝ่ายยืนพิงผนัง ดูราวกับเป็นรูปปั้นหินสองรูป
ท่ามกลางความเงียบที่แสนอึดอัด กระแสเวลาไหลผ่านอย่างเชื่องช้า ไคลน์นับหนึ่งถึงสิบภายในใจ แต่รู้สึกราวกับผ่านไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง
ในที่สุด เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้นอีกครั้ง ดังอย่างต่อเนื่องสลับกับหยุดพัก ร่างอันเลือนรางด้านนอกเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง วนเวียนไปมาบนถนน
ขณะเดียวกัน ไคลน์ประสบความสำเร็จในการควบคุมด้ายวิญญาณของเป้าหมายขั้นต้น ส่งผลให้พฤติกรรมของชายในผ้าคลุมยาวสีดำเฉื่อยชาลงอย่างเห็นได้ชัด!
โดยไม่รีรอ ชายหนุ่มโน้มตัวลงเล็กน้อย เดินวนไปมารอบเป้าหมาย เตรียมตอบโต้การขัดขืนจากอีกฝ่าย รอจนกว่าจะเปลี่ยนเหยื่อให้กลายเป็นหุ่นเชิดสำเร็จ
ทันใดนั้น ไคลน์เกิดคันจมูกกะทันหัน จำต้องอ้าปากจามอย่างมิอาจควบคุม
ฮัดเช่ย!
ไคลน์จามรุนแรงจนสูญเสียการควบคุมด้ายวิญญาณ นอกจากนั้น ลำคอเริ่มเจ็บแปลบพร้อมกับน้ำมูกที่คั่งจมูก
มันกำลังป่วย!
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ชายหนุ่มป่วยกะทันหัน!
หลังจากสงสัยว่าอีกฝ่ายคือมิสเตอร์ A ไคลน์ก็เตรียมรับมือกับ ‘อาการป่วย’ ของแม่มดทันที เพราะในอดีตเคยสู้กับมิสเตอร์ A และต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่จากอาการป่วย ทว่า ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ชายหนุ่มประเมินสิ่งหนึ่งพลาดไป ลืมว่าตนเพิ่งเผชิญอาการป่วยจาก ‘แม่มัดตัวจริง’ พานาเทียมาเมื่อครู่ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง จึงไม่ควรรอควบคุมให้สมบูรณ์ แต่ต้องรีบปิดฉากในตอนที่ควบคุมขั้นต้นสำเร็จ!
ฮัดเช่ย!
ขณะจามเสียงดัง ไคลน์กลิ้งตัวอีกครั้งพร้อมกับเปลี่ยนยุบพองหิวโหยเป็นพลัง ‘บารอนแห่งความเน่าเปื่อย’ หวังใช้ความสามารถในการบิดเบือน ช่วยบรรเทาอาการป่วยลง
แน่นอน เป็นเพราะการ ‘ติดสินบน’ เมื่อครู่ อาการป่วยของไคลน์จึงไม่ร้ายแรงเท่าที่ควร เพียงควบคุมด้ายวิญญาณได้ลำบาก ยังไม่หมดสภาพในการต่อสู้
ขณะกำลังม้วนตัว หางตาไคลน์ชำเลืองไปเห็นศัตรูออกจากสภาวะเงาดำ ผ้าคลุมศีรษะหลุดลงไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามคล้ายสตรี ไม่ใช่ใครนอกจากมิสเตอร์ A
ผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนือรายนี้ สามารถเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายได้จวบจนปัจจุบัน!
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของมันกำลังแดงก่ำ จ้องมองไคลน์ราวกับเห็นอาหารแสนโอชะ เผยความหิวกระหายโดยไม่ปิดบัง
ปัจจุบัน ไคลน์ยังคงมีหวัง ยังเหลือเรี่ยวแรงพอจะดวลกับอีกฝ่าย
สิ่งที่ชายหนุ่มกังวลมากที่สุดไม่ใช่มิสเตอร์ A หากแต่เป็น ถ้าการต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดระเบิดหรือเปลวไฟขึ้น และนั่นจะดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตอันตรายด้านนอก ยากรอดกลับไปแบบมีชีวิต!
มันกำลังหิว… ความหิวกระหายทำให้มิสเตอร์ A ขาดเหตุและผลโดยสิ้นเชิง อาจถึงขั้นไม่สนใจสิ่งมีชีวิตบนถนน… ถ้าเราสามารถบรรเทาความหิวของมันได้สักนิด ช่วยให้มันหยุดโจมตีจนกว่าพระจันทร์สีแดงจะถูกหมอกปกคลุม… แถวนี้มี ‘อาหาร’ ให้มันกินบ้างไหม? ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์เกือบจะหั่นเนื้อตัวเองและโยนให้อีกฝ่าย
แต่โชคยังดี มันฉุกคิดบางสิ่งได้ทัน
มันพกอาหารติดตัวมาด้วย!
สิ่งนั้นคือเห็ดตากแห้งที่แฟรงค์·ลีส่งมาถึง อีกฝ่ายระบุว่า เห็ดชนิดนี้เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างเนื้อวัวและเลือดของนักบวชกุหลาบ ตราบใดที่มีปลาและน้ำ มันสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากเป็นพืชสายพันธุ์ใหม่ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนักบวชกุหลาบ ไคลน์จึงกล้าเก็บรวมไว้กับผงสมุนไพรที่ตนใช้ประจำอย่างบุปผาหลับใหล โดยไม่กังวลว่า ‘แก่นผนึก’ หลังประตูยานิสจะตรวจพบความผิดปรกติ
ฮัดเช่ย! หลังจากหนึ่งจามและหนึ่งกลิ้ง ไคลน์ล้วงหยิบเห็ดตากแห้ง โยนไปทางมิสเตอร์ A
บางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นเนื้อ หรืออาจเป็นเพราะมีบางสิ่งเชื่อมโยงกับนักบวชกุหลาบ มิสเตอร์ A หยุดการพลิกหนังสือมายาทันที รีบคว้าเห็ดแห้งใส่ปากเคี้ยวและกลืนโดยไม่ลังเล
ความหิวกระหายในดวงตาบรรเทาลงหลายส่วน แต่สายตาที่มองมาทางไคลน์ยังไม่แปรเปลี่ยน
ไคลน์โยนเห็ดแห้งที่เหลือไปหาอีกฝ่าย และแน่นอน มิสเตอร์ A รีบคว้าและกินจนหมด
สายตาของมันเริ่มคลายความอาฆาต หลังจากมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีร่างเลือนรางเดินผ่านไปมา มิสเตอร์ A ถอยหลังกลับเข้าไปในมุมมืด ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเงา
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ถอยหนีไปอีกมุมหนึ่งของห้อง
มิสเตอร์ A ยังไม่ตายจริงๆ … ต้องยอมรับว่า ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ พลังของนักบวชกุหลาบช่วยได้มาก… โดยเฉพาะเรื่องที่สามารถเก็บเลือดเนื้อสำรองไว้ในร่างกาย นำออกมากินในยามจำเป็น เพียงเท่านี้ก็ช่วยยืดอายุขัยได้นาน… แน่นอน การที่มิสเตอร์ A ยังไม่ถูก ‘ท่านหญิงสิ้นหวัง’ พานาเทียจัดการ ก็พอจะบอกได้ว่าชายคนนี้แข็งแกร่ง… อย่างไรก็ตาม พลังครึ่งเทพที่มิสเตอร์ A มันบันทึกไว้ในหนังสือ ป่านนี้คงถูกใช้ไปเกือบหมด… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง เรียบเรียงคำพูดเพื่อถามหยั่งเชิงอีกฝ่าย
“มีเบาะแสในการหลบหนีหรือยัง?”
บรรยากาศยังคงเงียบ มิสเตอร์ A ไม่ยอมสนทนาด้วย
เสียสติไปแล้วจนคุยไม่รู้เรื่อง? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก พ่นชื่อหนึ่งออกจากมาก
“เลโอมาสต์”
นี่คือชื่อของ ‘นักบุญมืด’ แห่งชุมนุมแสงเหนือที่มีสองบุคลิก
หลังจากเงียบงันสักพัก ในที่สุดเสียงอันแหบพร่าของมิสเตอร์ A ก็ดังขึ้น
“ท่านถูกส่งมาที่นี่ด้วยหรือ?”
เป็นอย่างที่คิด หมอนี่สนใจแต่หัวข้อที่เกี่ยวกับชุมนุมแสงเหนือ… ไคลน์ตอบอย่างใจเย็น
“เปล่า… ชายคนนั้นถูกขังอยู่ในสมรภูมิแห่งเทพ”
โดยไม่รอคำตอบจากมิสเตอร์ A ไคลน์เสริมทันที
“ทำไมนายถึงไม่เข้าไปในวิหาร?”
มิสเตอร์ A พึมพำเสียงแหบพร่า
“ที่นั่นอันตราย… อันตรายมาก… ข้างนอกก็เช่นกัน… ทุกหนแห่งล้วนอันตราย ทุกคนที่เคยหายตัวไป จะโผล่ออกมาอีกครั้งในยามจันทร์แดงกระจ่าง”
ยังไม่ทันกล่าวจบ แสงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องลอดผ่านผ้าม่าน จางลงจากเมื่อครู่หลายเท่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น