Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 819-821
ราชันเร้นลับ 819 : ของขวัญ
ท่ามกลางท่วงทำนองเบาสบาย ไคลน์และเฮเซลกำลังเต้นรำเข้าจังหวะ ต่างฝ่ายต่างผอมเพรียวและตัวสูง หากไม่นับช่องว่างระหว่างวัยที่ค่อนข้างกว้าง ทั้งบุคลิก บรรยากาศ และความสง่างามของคนทั้งสองเหมาะสมกันอย่างไร้ที่ติ ถือเป็นภาพการเต้นรำที่งดงาม ใช้เป็นตัวอย่างในการเรียนได้สบาย
ไคลน์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ กล่าวขณะกำลังหมุนตัว
“เมื่อก่อนผมฝันร้ายบ่อยครั้ง แต่ต้องขอบคุณพรจากเทพธิดา ตัวผมที่แวะไปสวดมนต์และดื่มน้ำมนต์ที่โบสถ์จึงหยุดสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก”
เฮเซลแหงนหน้ามอง เงียบไปสักพัก
“ฝันร้ายแบบไหน”
เธอสนใจหัวข้อนี้จริงๆ … วิล·อัสตินแม่นมาก… ไคลน์ตอบพลางยิ้ม
“ท่ามกลางวิหารร้างที่ทรุดโทรม ผมกำลังถูกสัตว์ประหลาดไล่ล่า… แต่สิ่งที่อยู่ในความฝันมักคลุมเครือ ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นหน้าตาเป็นยังไง”
เฮเซลไม่กล่าวคำใด แต่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเผยความไม่พอใจชัดเจน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในความฝัน ไม่จำเป็นต้องพร่ามัวเสมอไป
ไคลน์ก้าวเฉียงไปข้างหน้า ยิ้มและเล่าต่อ
“แน่นอน ผมเคยมีความฝันที่ชัดเจนเช่นกัน… สมัยที่ยังอยู่ทวีปใต้ ผมเคยฝันถึงอนุสาวรีย์บรรจุศพกลับหัว อาคารทั้งหลังสร้างจากหินสีดำสนิท ขยายลึกลงไปใต้ดิน ในตัวอาคารมีซอมบี้ขนนกสีขาวลุกขึ้นมาต้อนรับผม ฝันเช่นนี้อยู่เป็นเวลานาน… อันที่จริงก็ไม่อยากเล่าให้ใครฟังสักเท่าไร เพราะมันน่าอาย ผมกลัวถึงขั้นแวะไปยังสโมสรพยากรณ์ในเมือง ให้พวกเขาช่วยแปลความฝัน จับใจความได้ว่า ในตอนที่ผมตระเวนซื้อสินค้าท้องถิ่น บังเอิญไปทำให้ชนเผ่าที่บูชาเทพมรณาไม่พอใจเข้า… น่าเหลือเชื่อมาก หลังจากผมเดินทางไปที่เผ่าเพื่อขอโทษและมอบของขวัญ รวมถึงเข้าร่วมงานเลี้ยงของพวกเขา ผมก็ไม่เคยฝันแบบนั้นอีกเลย”
เรื่องราวข้างต้นถูกแต่งขึ้นจากประสบการณ์สมัยเป็นนักทำนาย จุดประสงค์คือการตรวจสอบท่าทีของเฮเซล ดูว่าเธอจะเผยความผิดปรกติหรือไม่ นอกจากนั้นก็ยังแฝงคำแนะนำอย่างแนบเนียน เป็นการเตือนเฮเซลว่า หากเผชิญหน้ากับความฝันประหลาด ทางที่ดีควรแวะไปยังสโมสรพยากรณ์หรือวิหารเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยแปลความฝัน อย่าเดาเองส่งเดช
เมื่อวิล·อัสตินระบุว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับเฮเซล และปัญหาสามารถแก้ไขได้ด้วยการชวนคุยเกี่ยวกับความฝัน ไคลน์เดาว่าเฮเซลคงฝันซ้ำซากอย่างต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นก็คงหาเหตุผลอื่นมาอธิบายไม่ได้ ว่าทำไมผู้วิเศษลำดับ 8 ถึงมีปัญหากับความฝัน จริงอยู่ เธออาจจะขาดประสบการณ์ในโลกเหนือธรรมชาติ แถมยังเป็นคนโอหัง แต่พื้นเพก็ยังเป็นสุภาพสตรีชนชั้นสูงที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ไม่น่าจะเคยผจญภัยในป่าและเผลอลบหลู่ตัวตนลึกลับ ไม่เพียงเท่านั้น บิดาของเธอยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ย่อมต้องมีผู้วิเศษคอยคุ้มครอง ไม่น่าจะได้รับอิทธิพลจากคนภายนอกง่ายๆ
ดังนั้น ไคลน์จึงเชื่อว่าเฮเซลน่าจะเผลอไปสัมผัสบางสิ่งเข้า หรือไม่ก็ นิสัยของเธอถูกใจผู้วิเศษที่แข็งแกร่งบางคน อีกฝ่ายจึงพยายามชี้นำผ่านความฝัน ค่อยๆ สอนให้ก้าวเข้าสู่โลกผู้วิเศษ แต่ไม่สอนให้เห็นถึงความน่ากลัว ขณะเดียวกันก็คอยหลอกล่อให้เธอขุดหาบางอย่างในท่อระบายน้ำ
มีสองปัจจัยที่ทำให้ไคลน์มั่นใจในทฤษฎีของตัวเอง หนึ่งคือพูดของวิล·อัสติน และอีกหนึ่งคือ ลำดับ 5 เส้นทาง ‘นักจารกรรม’ มีชื่อว่า ‘นักชิงฝัน’ ย่อมต้องมีพลังมากกว่าการช่วงชิงความคิดและการกระทำแน่!
เฮเซลฟังการบรรยายของดอน·ดันเตสอย่างใจเย็น กล่าวหลังจากผ่านไปราวสิบวินาที
“แล้วทำไมคุณถึงไม่แวะไปที่วิหารของเทพธิดา?”
เป็นอย่างที่คิด เธอตอบสนองต่อหัวข้อที่เกี่ยวกับความฝัน แต่ก็ยังไม่เผยท่าทีมากนัก… ไคลน์ยิ้มขื่นขม
“แถวนั้นไม่มีวิหารของเทพธิดา เป็นเขตความเชื่อของเทพจักรกลไอน้ำ”
เฮเซลไม่ชวนคุยต่อ ดึงสมาธิกลับไปที่การเต้นรำของตัวเอง ดื่มด่ำไปกับดนตรีพื้นหลัง
ไคลน์เองก็เงียบลง เต้นรำไปพร้อมกับหญิงงามท่ามกลางท่วงทำนองไพเราะ
เมื่อเพลงจบ ชายหนุ่มส่งเฮเซลกลับตำแหน่งเดิม ก่อนจะเดินไปทางโต๊ะยาวด้วยความหิวโหย หยิบชาเย็นหนึ่งแก้ว
ทันใดนั้น มันเห็นบิชอปอีเล็คตร้ากำลังเพลิดเพลินไปกับไวน์แดง
แตกต่างจากโบสถ์วายุสลาตันและโบสถ์เทพสงคราม เหล่านักบวชของโบสถ์รัตติกาลจะดื่มของมึนเมาได้ไม่มากนัก และห้ามดื่มเหล้ากลั่นโดยเด็ดขาด อนุญาตเพียงแชมเปญ เบียร์ และไวน์ในปริมาณเล็กน้อย
“เป็นยังไงบ้าง? นี่คงเป็นงานเลี้ยงเต้นรำครั้งแรกที่คุณเป็นเจ้าภาพสินะ?” บิชอปอีเล็คตร้ายิ้มและยกแก้ว
ไคลน์ยิ้มตอบ
“ลำบากพอสมควร มีอุปสรรคไม่น้อยทีเดียว… ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ การเต้นรำหลายรอบติดๆ กันทำเอาหมดแรงและเหงื่อออก ส่งผลให้กระหายน้ำบ่อย”
บิชอปอีเล็คตร้าหัวเราะ
“สำหรับกรุงเบ็คลันด์ การได้ออกกำลังกายถือเป็นเรื่องดี เพราะในบางครั้ง การเข้าสังคมน่าเบื่อกว่าที่คุณคิด”
กล่าวจบ มันยิ้มอย่างมีเลศนัย
“มาดามฮอลลี่ชื่นชมคุณมาก เธอบอกว่าภายในของคุณสอดคล้องกับภายนอก”
คงต้องขอบคุณเธอที่ช่วยกระจายข่าวนี้… ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปสักพัก ทำได้เพียงกล่าวติดตลก
“ภายในของมนุษย์… ไม่มีทางมองเห็นผ่านการเต้นรำ”
โดยไม่รอให้บิชอปอีเล็คตร้าเผยรอยยิ้มที่สุภาพบุรุษต่าง ‘รู้กัน’ ชายหนุ่มกล่าวโดยไม่มองหน้า
“บิชอป ผมต้องเข้าไปพัวพันกับธุรกิจบางชนิด อาจทำให้คนใหญ่คนโตบางรายขุ่นเคือง ตอนนี้จึงค่อนข้างกังวล”
ไคลน์หมายถึงบริษัทโคอิมและบารอนซินดราส
บิชอปอีเล็คตร้าจิบไวน์
“ไม่ต้องกังวล เบ็คลันด์คือเมืองที่ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย นอกจากนั้น เทพธิดาจะอวยพรให้คุณ”
“ได้ยินแบบนั้นค่อยโล่งใจ… สรรเสริญเทพธิดา!” ไคลน์วาดพระจันทร์สีแดงบนหน้าอกด้วยท่าทางสำรวม
รอจนกระทั่งบิชอปอีเล็คตร้าเดินตรงไปบนฟลอร์เต้นรำ ดวงตาชายหนุ่มค่อยๆ ดำมืด ถอนหายใจกับตัวเอง
ไคลน์ไม่ได้ชอบไม่ได้เกลียด เพียงแต่รู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะจนถึงปัจจุบัน โบสถ์รัตติกาลทำดีกับตนมาก แม้จะเป็นเพราะว่าตนคอยบริจาคเงินก้อนโต แต่นั่นก็ช่วยให้การดำรงชีวิตสะดวกสบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกัน เป้าหมายที่แท้จริงของมันคือการตีสนิทกับผู้คุมและขโมยสมุดบันทึกด้านหลังประตูยานิส
เฮ่อ… ถ้าแผนการนี้กินเวลานาน เราอาจต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นจะเป็นบ่อเกิดของภาวะคลุ้มคลั่ง… ไคลน์ตรวจสอบอารมณ์ตัวเองพลางส่ายหน้า
…
เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านหลังหนึ่ง
ซิลวางพายเฟเนพ็อตและชาเย็นอ่าวเดซีย์ไว้บนโต๊ะ หันไปพูดกับฟอร์ส
“อย่ากินของแบบนี้บ่อย มันไม่ดีต่อสุภาพ”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น?” ฟอร์สหยิบพายไส้ผลไม้และแฮมขึ้นมากัด
“ฉันเคยอ่านเจอในนิตยสาร… สำหรับนักล่าค่าหัว การรักษารูปร่างคือสิ่งสำคัญ” ซิลลังเลสักพัก แต่สุดท้ายก็หยิบพายใส่ปาก
ฟอร์สยิ้มเยาะ
“เธอเป็นผู้วิเศษสายต่อสู้ ไม่ใช่นักล่าค่าหัวธรรมดาสักหน่อย ต่อให้ไม่ควบคุมอาหาร หุ่นก็แทบไม่เปลี่ยน… และบางที นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่เธอไม่สูงก็ได้… จริงสิ ฉันเคยได้ยินว่าเส้นทาง ‘นักรบ’ จะช่วยเพิ่มส่วนสูงให้ผู้วิเศษ ดูได้จากพวกคนเถื่อนฟุซัคนั่น”
ซิลผงะเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ
“แต่ฉันเกิดมาเป็น ‘ครึ่งผู้ตัดสิน’ ไม่สามารถเลือกเส้นทางนักรบได้”
เห็นได้ชัดว่า ซิลเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน
เมื่อตระหนักว่าตนเผลอทำให้เพื่อนนึกถึงความทรงจำเก่า ฟอร์สทำทีราวกับไม่ได้พูดออกไป ตั้งใจกินมื้อเย็นที่ช้ากว่าปรกติ
รอจนกระทั่งอิ่มท้อง เธอลากซิลเข้าไปในห้องนอน กระแอมแห้งและพูด
“เมื่อไม่นานมานี้ เธอช่วยฉันไว้มาก จึงอยากมอบของขวัญตอบแทน”
“คราวนี้จะให้ฉันไปทำอะไรยากๆ อีก?” ซิลลูบเส้นผมสีทองอย่างระมัดระวัง
“…” ฟอร์สกะพริบตาถี่ นึกทบทวนพฤติกรรมในอดีตของตัวเอง
จากนั้นก็หัวเราะแห้ง
“เอาน่า นั่นมันเรื่องในอดีต ผ่านมาก็นานแล้ว”
โดยไม่รออีกฝ่ายตอบสนอง ฟอร์สหยิบกล่องโลหะออกมาวางต่อหน้าสายสุดตาฉงนของอีกฝ่าย ลักษณะเหมือนกับกล่องใส่บุหรี่ทุกประการ
“ฉันไม่สูบบุหรี่” ซิลส่ายหน้า
ฟอร์ส ‘อืม’ ในลำคือ เปิดฝากล่องโลหะ เผยให้เห็นแท่งผลึกหกเหลี่ยม โปร่งแสง สีฟ้าอ่อน
ทันใดนั้น ดวงตาซิลพลันแข็งทื่อขณะจ้องมองแสงกะพริบที่คล้ายกับสายฟ้าแลบ ซักถามจากความรู้สึก
“นักสอบสวน?”
“ถูกต้อง ฉันบังเอิญเจอคนขายในชุมนุมลับ ราคาไม่แพงมาก กลัวว่าจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก ก็เลยรีบซื้อมาก่อน” ฟอร์สเล่าความจริงทุกคำ “อย่างที่เธอทราบ ฉันเพิ่งได้รับรางวัลจากอาจารย์ เงินทองจึงมีเหลือเฟือ”
ซิลทราบว่า เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนของเธอออกไปข้างนอกบ่อยครั้งโดยอ้างว่าทำงานให้อาจารย์ แต่ก็ยังยากจะให้เชื่อว่าอีกฝ่ายสามารถซื้อตะกอนพลังนักสอบสวนมาเป็นของขวัญได้ง่ายดาย เพราะความมั่งคั่งเช่นนี้ไม่เคยเกิดเลยสักครั้งตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน!
หรือว่าเธอยังไม่เลิกเล่นพนัน และใช้พลังโหราจารย์ทำเงินก้อนโต? หรือจะเป็นการลอบเข้าไปในธนาคารด้วยพลัง ‘เปิดประตู’ และขโมยธนบัตรด้านในออกมา? ซิลครุ่นคิดหลายสิ่งในพริบตา แต่สุดท้ายก็ไม่มีหลักฐาน
สองสามวินาทีถัดมา หญิงสาวตัดสินใจวางแผนบางอย่าง นั่นคือการแสร้งทำเป็นออกไปข้างนอกสองถึงสามวันต่อสัปดาห์ แต่ความจริงแล้วแอบกลับมาสังเกตพฤติกรรมของฟอร์ส
หากไม่ใช่เพราะเชื่อในตัวเพื่อนและรู้จักนิสัยอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ซิลคงคิดว่าฟอร์สแอบไปเป็นเมียน้อยของเศรษฐีสักคน
“ม…ไม่แพงไปหน่อยหรือ” ซิลโบกไม้โบกมือ พยายามปฏิเสธของขวัญ
ฟอร์สเดาไว้แล้ว จึงยิ้มและตอบ
“ยังไงเสีย เธอก็ต้องเดือดร้อนเพราะฉันอีกหลายครั้งในอนาคต นี่คือค่าจ้างล่วงหน้า”
“พวกเราเป็นเพื่อนกัน อย่าพูดเรื่องค่าตอบแทน” ซิลปฏิเสธด้วยสีหน้าลังเล
กำลังรอคำนี้อยู่พอดี! ฟอร์สฉีกยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น นี่คือของขวัญล่วงหน้าสำหรับวันเกิด ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด!”
“แต่วันเกิดของฉันยังอีกครึ่งปี…” ซิลพึมพำ ก่อนจะยื่นแขนออกไปรับตะกอนพลังของนักสอบสวน
…
เช้าวันอาทิตย์ ซิลระงับความตื่นเต้นและคาดหวัง เดินออกจากบ้านตามปรกติ เตรียมแวะไปยังบางสถานที่เพื่อทิ้งสัญลักษณ์นัดพบกับชายสวมหน้ากากจาก MI9 ในตรอกเปลี่ยวตอนกลางคืน
ในเมื่อมีตะกอนพลังนักสอบสวนแล้ว หากโอสถเจ้าพนักงานย่อยเสร็จเมื่อไร ขอแค่มีสูตรโอสถลำดับ 7 ที่ถูกต้อง เธอก็จะเลื่อนลำดับได้ทันที ถึงเวลาสืบหาความจริงและกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูล ดังนั้น ซิลจึงอดใจรอไม่ไหวที่จะเร่งมือทำภารกิจอีกสองสามครั้ง เพื่อนำคะแนนผลงานไปแลกกับสูตรโอสถ
ทิ้งสัญลักษณ์เสร็จ หญิงสาวเตรียมแวะไปยังบางจุดในเขตตะวันออก ตรวจสอบว่ามีข่าวใหม่ที่สำคัญหรือไม่ จากนั้นก็กลับบ้านและแอบสะกดรอยตามฟอร์ส ดูว่าพักหลังเพื่อนสนิทของตนแอบทำอะไร
แต่ทันทีที่เข้ามาในเขตตะวันออก ซิลพบว่าเธอกำลังถูกใครบางคนจับตามอง!
ราชันเร้นลับ 820 : ภวังค์ที่สอง
ใครกัน? ในฐานะเจ้าพนักงาน ซิลมีสัญชาตญาณในการสะกดรอยและระวังตัวเป็นเลิศ สมองเริ่มตึงเครียด ความคิดมากมายแล่นผ่าน ใคร่ครวญในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
ตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ใหญ่ที่ควรค่าแก่การใส่ใจ อาชญากรที่จับได้ก็ไม่ใช่ผู้วิเศษ อย่างมากก็คงเป็นเรื่องที่ตนเชื่อมโยงกับแก๊งอันธพาลบางกลุ่ม แต่คงไม่มีใครคิดจะกำจัดนักล่าค่าหัวคนดังของเขตตะวันออกเพียงเพราะพวกมัน ส่งผลให้ซิลตีกรอบแคบลงอย่างรวดเร็ว เดาได้เลือนรางว่าคนที่แอบจับตามองมาจากฝ่ายไหน
ชุมนุมแสงเหนือ? คราวก่อน เราไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของมิสเตอร์ X และที่นั่นเกิดอุบัติเหตุขึ้น ได้ยินว่าจุดเกิดเหตุมีสภาพค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ… คนของ MI9 บอกกับเราว่า มิสเตอร์ X ถูกฆ่าตายและนำศพกลับไป คนร้ายมีฝีมือระดับครึ่งเทพ… ชุมนุมแสงเหนือกำลังสืบหาว่าใครเป็นคนทำ? ทุกคนที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมชุมนุมจึงเข้าข่ายผู้ต้องสงสัย? ซิลอาจมุทะลุและฉุนเฉียวในบางครั้ง แถมความคิดอ่านก็ยังเป็นเส้นตรง แต่หากเป็นเรื่องที่เธอชำนาญ จะสามารถจับประเด็นสำคัญได้รวดเร็ว
ในคดีลอบสังหารมิสเตอร์ X แง่หนึ่งซิลก็โล่งใจที่ถูกฟอร์สลากตัวไปทำอย่างอื่น ช่วยให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุ ในอีกแง่หนึ่งก็มั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ สามารถทนต่อการสอบสวนได้จากทุกฝ่าย ดังนั้น ในตอนที่พบกับชายสวมหน้ากากจาก MI 9 เมื่อสัปดาห์ก่อน เธอตอบทุกคำถามอย่างมั่นใจ และรับหน้าที่สืบหาความจริงของคดี แต่น่าเสียดายที่ซิลเองก็ไม่ทราบว่า ชุมนุมลับดังกล่าวมีผู้วิเศษคนใดเข้าร่วมบ้าง มิอาจสืบลึกไปมากกว่าเดิม
สุภาพบุรุษจาก MI9 บอกเราว่า คนของชุมนุมแสงเหนือ หากไม่ใช่พวกเสียสติ ก็คงใกล้เสียสติเต็มที ไม่สามารถใช้หลักตรรกะของคนทั่วไปในการคาดเดาพฤติกรรม… ถึงแม้พวกมันจะตรวจสอบและไม่พบปัญหาจากเรา แต่ก็มีโอกาสที่จะฆ่าทิ้งอย่างไร้เหตุผลเพื่อระบายความโกรธ หรือไม่ก็เพื่อข่มขวัญฆาตกรตัวจริง… ซิลเดินตรงไปด้วยความตึงเครียด เปลี่ยนแผนกิจกรรมในเขตตะวันตกใหม่หมด
บนเส้นทางใหม่ ในกรณีที่ถูกโจมตี เธอสามารถขอความช่วยเหลือจากพวกพ้องได้ตลอดเวลา และมีโอกาสพอสมควรในการหลบหนีหรือจัดการกับคนร้าย
ขณะย่างกราย ซิลตกอยู่ในภวังค์กะทันหัน พบว่าตัวเองย้อนกลับมาที่บ้านในเขตเชอร์วู้ดตอนไหนก็มิอาจทราบได้
ซิลเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเหม่อลอย ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว ก่อนจะถูกฟอร์สตบไหล่
“ไปที่เขตตะวันออกกับฉัน”
ซิลผงะสองสามวินาที รู้สึกคุ้นเคยกับคำพูดดังกล่าว
“ไปรวบรวมวัตถุดิบ?”
ฟอร์สปฏิเสธทันควัน เล่าว่าเธอรับงานตามหาผงที่ภูตผีเหลือทิ้งไว้ และเนื่องจากวิญญาณของคนตายในสุสานใหญ่ๆ ถูกนักบวชของโบสถ์หลักปัดเป่าและส่งไปยังดินแดนทวยเทพหมดแล้ว จุดที่ยังหลงเหลือภูตผีจึงมีเพียงเขตตะวันออก
ซิลลังเลสักพัก
“แต่ฉันต้องเข้าร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ X… เลื่อนออกไปหนึ่งวันไม่ได้หรือ?”
ฟอร์สทำหน้าบึ้งตึง อธิบายว่าเธอชอบทำงานแบบไฟลนก้น ใกล้ถึงกำหนดเส้นตายแล้ว
ซิลถอนหายใจยาว ตกลงที่จะไปเป็นเพื่อนอีกฝ่าย ตามหาคนตายนิรนามในเขตตะวันออก
ขณะทั้งสองกำลังจะออกจากบ้าน ซิลถูกสายลมด้านนอกปะทะใส่ใบหน้าจนหนาวสั่น สะดุ้งตื่นกะทันหัน หางตามองเห็นนักดนตรีพเนจรคนหนึ่งกำลังนั่งดีดกู่เจิงเจ็ดสายตรงมุมตึก ร้องเพลงชนบทของหมู่บ้านทางใต้
ซิลขมวดคิ้ว ยกมือลูบหน้าผาก ตระหนักว่ามีความผิดปรกติเกิดกับตัวเอง แต่ความทรงจำเลือนรางจนนึกไม่ออก
หญิงสาวยังคงตื่นตัว เดินไปตามเส้นทางใหม่ที่กำหนดไว้ เข้าไปในผับที่ขายอาหารกลางวัน พบปะคนของเขตตะวันออกซึ่งคอยให้ข้อมูลเป็นครั้งคราว
อีกฝ่ายคือชายวัยยี่สิบสี่ คิ้วถูกตัดแต่งจนบางเฉียบ ผมสีน้ำตาลประบ่า ใบหน้าดูดีกว่ามาตรฐาน แต่มีการแต่งแต้มด้วยเครื่องประดับราคาถูก มอบความรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย
“เชอร์แมน วันนี้มีข่าวใหม่บ้างไหม” ซิลทักทาย
จากข้อมูลของเธอ ชายที่ชื่อเชอร์แมนคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง แต่โชคชะตาเล่นตลก ทำให้เกิดมาในร่างผู้ชาย ชีวิตจึงต้องเผชิญความทุกข์ทรมานนานหลายปีจากการถูกกลั่นแกล้ง
เชอร์แมนยิ้มเล็กๆ แต่เห็นฟันขาว
“สงบสุขมาก… และยังไม่มีสุภาพบุรุษคนใดชวนฉันดื่มเหมือนเดิม”
“การดื่มไม่ใช่สิ่งที่ดี” ซิลเตือนขึงขัง เดินผ่านอีกฝ่ายไปที่เคาน์เตอร์
เชอร์แมนจิบหนึ่งคำใหญ่ เดินออกจากประตูผับด้วยเอวที่ส่ายไปมา ตรงกลับห้องเช่าของตัวเอง
มันหยุดยืนหน้าประตูห้องตัวเองหลายสิบวินาที ก่อนจะขยับสองก้าวไปด้านข้าง เคาะประตูห้องข้างๆ
ประตูไม้เปิดออกดัง ‘แอ๊ด’ เสียงสตรีทุ้มต่ำแต่ไพเราะดังออกมา
“ตัดสินใจได้หรือยัง”
เชอร์แมนเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตูด้วยหลังมือ นั่งลงบนขอบเตียงและพูดกับสตรีในชุดสีดำ
“ฉันยังไม่อยากเชื่อว่า จะมีของที่วิเศษขนาดนั้นอยู่”
ในสายตามัน สตรีชุดดำมีใบหน้าค่อนข้างกลมกลึง ไม่เพียงจะสวยหวาน แต่ยังมีเสน่ห์ที่หลากหลาย
แน่นอน สำหรับเชอร์แมน อีกฝ่ายคือบุคคลที่น่าอิจฉา มิได้เกิดความหลงใหล
สตรีในชุดดำตอบหน้านิ่ง
“ก็เห็นรูปถ่ายของฉันในอดีตไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ดวงตาของหญิงสาวเจือความเศร้าโดยไม่รู้ตัว
“แต่นั่นอาจจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายฝาแฝดของคุณก็ได้ มันน่าเหลือเชื่อเกินไปที่ฉันจะกลับมาเป็นผู้หญิงได้อีกครั้ง” เชอร์แมนพูดด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง
สตรีในชุดดำยิ้มหน้านิ่ง
“ถ้าเธอคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของปลอม ก็เชิญกลับไปได้”
เชอร์แมนกำหมัดแน่น เงียบงันหลายวินาทีก่อนจะตอบ
“ฉ…ฉันจะลองดู แม้ว่าคุณอาจจะโกหก… แต่ฉันก็อยากเสี่ยง… ต้องจ่ายในราคาเท่าไร?”
“คอยทำงานให้ฉันก็พอ ไม่ต้องห่วง งานทุกชิ้นคือสิ่งที่เธอสามารถทำได้” สตรีในชุดดำกล่าว “ในการจะเปลี่ยนเพศอย่างสมบูรณ์ เธอต้องดื่มน้ำยาวิเศษสามครั้ง และต้องบรรลุพิธีกรรมบางอย่าง… ไม่ต้องกังวล ฉันจะสอนให้เอง”
กล่าวจบ สตรีชุดดำยิ้มจิกกัดตัวเอง
“คิดชื่อผู้หญิงเตรียมไว้ได้เลย”
…
ตกกลางคืน ย่านสะพานเบ็คลันด์ ในตรอกแคบบนถนนประตูเหล็ก
ซิลกำลังยืนใต้โคมไฟถนนที่ถูกใครบางคนทุบทำลาย นึกทบทวนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า
หลังจากยืนยันว่าตนไม่ถูกสะกดรอย เธอย้อนกลับไปยังเขตเชอร์วู้ด แอบสังเกตฟอร์ส พบว่าเพื่อนสนิทของตนไม่ได้ออกไปไหนเลย ยังอยู่บ้านตามปรกติ อ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารจำนวนมาก และมีการขึงผ้าม่านหมกตัวอยู่ในห้องนานกว่าหนึ่งชั่วโมง คล้ายกับกำลังทำความเคยชินกับพลังพิเศษ จนกระทั่งไม่มีอะไรให้ทำ ฟอร์สหยิบสมุดเล่มใหม่ออกมาเปิด เขียนเกี่ยวกับนิยายเรื่องใหม่ราวสิบห้านาทีก่อนจะฉีกออกและขยำทิ้งถังขยะ
เธอสูบบุหรี่มากเกินไป… ดื่มมากเกินไป… ซิลแอบขบกราม จนกระทั่งชำเลืองเห็นชายสวมสูทสีดำเดินออกจากเงามืดอีกฝั่งของตรอกแคบ
ชายคนนี้มีรูปร่างสูงโปร่ง สวมหน้ากากทองคำปกปิดรูปลักษณ์ เผยเพียงดวงตา จมูก ปาก และแก้ม ไม่ใช่ใครนอกจากคนของ MI9 ที่ติดต่อกับซิล
“มีเรื่องด่วนอะไร” มันถามเข้าประเด็น
แม้ซิลจะเตี้ยกว่ามาก แต่บุคลิกยังคงแข็งกร้าว
“ฉันถูกสะกดรอยที่เขตตะวันออก สงสัยว่าจะเป็นคนของชุมนุมแสงเหนือ พวกมันพยายามสืบหาสิ่งที่เกิดขึ้นในการชุมนุมครั้งสุดท้ายของมิสเตอร์ X”
หัวข้อที่ซิลเตรียมไว้ในตอนแรกก็คือ เธอพบเบาะแสที่ยังไม่ได้รับการยืนยันของเป้าหมายที่ MI9 ฝากฝังให้เธอไปสืบ เป็นข้ออ้างในการขอนัดพบฉุกเฉินเพื่อเปลี่ยนไปทำภารกิจอื่น แต่เมื่อถูกสะกดรอยโดยคนของชุมนุมแสงเหนือในตอนเช้า การนัดพบครั้งนี้จึงมีน้ำหนักขึ้นมาทันที
“พวกชุมนุมแสงเหนือมักเสียสติแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าทางเรากำลังสืบคดีไปพร้อมกับหาตัวพวกมัน ก็ยังออกมาทำอะไรโง่ๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงถูกโจมตีจนได้รับความเสียหายบ่อยครั้ง” ชายสวมหน้ากากทองยิ้ม “ว่ากันตามตรง ผมประหลาดใจมากที่พวกมันไม่ออกมาล้อมจับคุณตรงๆ และพาตัวไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ปิดท้ายด้วยการฆ่าและสื่อวิญญาณ”
ขณะซิลกำลังจะตอบว่า คนของชุมนุมแสงเหนือสะกดรอยเธอไม่นาน แต่ก็นึกได้ว่าระหว่างนั้นตนตกอยู่ในภวังค์ประหลาด จึงตัดสินใจเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
“ฉันไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีช่วงหนึ่งที่ฉันรู้สึกเหม่อลอยและสับสน จำไม่ได้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่”
ชายสวมหน้ากากทองเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบ
“ยกเลิกการสืบสวนคดีที่คุณรับผิดชอบอยู่… ชุมนุมแสงเหนือให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่าที่คิด ผมจะไปรายงานเบื้องบน… อ้างอิงจากที่คุณเคยรายงาน มีผู้วิเศษจำนวนมากถูกชักชวนแต่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม?”
ซิลพยักหน้า
“ในทุกการชุมนุม จำนวนคนเข้าร่วมจะมีไม่ถึงหนึ่งในสามของสมาชิกที่ถูกเชิญ… แต่เรื่องนี้ถือเป็นเหตุการณ์ปรกติของชุมนุมลับ ไม่เว้นแม้แต่ของมิสเตอร์ X”
ชายสวมหน้ากากทองครุ่นคิด ซักถามต่อไป
“คนที่คุณกำลังตามสืบ มีเบาะแสเพิ่มเติมบ้างไหม”
“คนที่มีชื่อจริงว่าทริสซี่?” เมื่อซิลเห็นอีกฝ่ายผงกศีรษะ เธอส่ายหน้า “ยัง… หล่อนช่ำชองมาก”
ชายสวมหน้ากากทองหัวเราะ
“จำนวนเหยื่อที่หล่อนฆ่า มีมากกว่าจำนวนภารกิจล่าค่าหัวที่คุณทำสำเร็จ… อย่าพยายามเข้าใกล้เชียว หล่อนอันตรายมาก”
ซิลอืมในลำคอ กลับเข้าสู่ประเด็นหลัก
“มีงานใหม่ให้ทำไหม?”
“ทำไมจู่ๆ ถึงกระตือรือร้นนัก?” ชายสวมหน้ากากทองถามอย่างประหลาดใจ
ซิลตอบเสียงเย็น
“ฉันใกล้จะแลกสูตรโอสถนักสอบสวนได้แล้ว แค่อยากมีไว้ในครอบครองเร็วๆ”
“อันที่จริง คุณไม่จำเป็นต้องแลกสูตร แนะนำให้ใช้คะแนนแลกเป็นโอสถทีเดียวเลย นั่นจะช่วยประหยัดได้มากกว่า” ชายสวมหน้ากากทองแนะนำ
ฉันมีตะกอนพลังอยู่แล้ว! ซิลส่ายหน้า
“นั่นคงใช้เวลาอีกนาน และฉันอาจจะได้ซื้อวัตถุดิบจากชุมนุมลับอื่นๆ ในราคาถูก”
ชายสวมหน้ากากทองไม่ซักไซ้ กล่าวพลางถอนหายใจ
“งั้นก็ขอให้โชคดี… งานถัดไปค่อนข้างซับซ้อน หากทำสำเร็จจะได้คะแนนผลงานเพียงพอสำหรับแลกเปลี่ยนสูตรโอสถ”
ซิลพยายามปกปิดความยินดี ถามกลับ
“ให้ทำอะไร?”
ชายสวมหน้ากากทองกล่าวด้วยสำเนียงที่เปลี่ยนไป
“สืบหาว่าไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดติดต่อกับใครบาง เขียนรายงานและส่งให้ผม… คุณไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าบ้าน แค่แอบสังเกตในตอนที่แวะผ่านแถวนั้นก็พอ จดบันทึกเป็นครั้งคราว เชื่อผมเถอะว่า คุณไม่ใช่คนเดียวที่ทำงานนี้ ขอเพียงส่งรายงานที่มีมูลค่ามากพอ คุณก็จะได้คะแนนสำหรับแลกเปลี่ยน”
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด… ซิลเข้าสู่ภวังค์เหม่อลอยอีกครั้ง แต่หนนี้เธอทราบสาเหตุที่ชัดเจน
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดคือหัวหน้าหน่วยองครักษ์หลวง เป็นอดีตมือขวาของบิดาเธอ!
ราชันเร้นลับ 821 : ตราประทับดวงวิญญาณ
ซิลตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลาสิบวินาที ก่อนจะสะดุ้งตื่นและจ้องชายสวมหน้ากากทอง
“ตกลง ฉันจะคอยสอดส่องว่าไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดติดต่อกับใครบ้าง”
คล้ายกับชายสวมหน้ากากทองไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติที่เกิดขึ้น
“ยังมีอีกหนึ่งงาน… ถุงมือแดงกำลังตรวจสอบคดีที่เกี่ยวข้องกับนิกายวิญญาณ หากมีข้อมูล ติดต่อผมมาทันที”
ซิลอืมในลำคอ อารมณ์บึ้งตึงคล้ายกำลังค้างคา
ชายสวมหน้ากากทองครุ่นคิดสักพัก กล่าวหลังจากเรียบเรียงคำพูด
“คุณอยากเข้าเป็นสมาชิก MI9 อย่างเป็นทางการไหม? ตัวตนปัจจุบันยังคงอยู่ รับผิดชอบในเขตตะวันออก”
ซิลชะงักไปสองวินาที พะงาบปากเล็กน้อย ตัดสินใจไม่ถูก
ชายสวมหน้ากากทองไม่รบเร้าเอาคำตอบ พูดพลางยิ้ม
“ไม่ต้องรีบร้อน รอให้คุณเป็นนักสอบสวนก่อนค่อยมอบคำตอบ”
จัดการเสร็จ มันก้าวถอยหลัง หลอมรวมเป็นหนึ่งกับเงามืดด้านหลังตรอก
…
ในคืนวันเดียวกัน ไคลน์สะดุ้งตื่นจากฝันอีกครั้ง
ตราประทับวิญญาณที่มันวางไว้ในท่อระบายน้ำถูกกระตุ้น!
กลางดึกแบบนี้ ใครยังไม่หลับไม่นอน… เฮเซลไม่กลัวจะถูกวิญญาณอาฆาตสิงร่างหรือ? ไคลน์ถอนหายใจอย่างจนปัญญา หยิบกล่องบุหรี่โลหะที่ห่อหุ้มกำแพงวิญญาณจากใต้หมอน ถือเดินไปยังระเบียงห้องนอนที่ม่านปิดสนิท
‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลกระโดดกระจกไปโผล่บนโคมไฟริมถนนอย่างรวดเร็ว ผ่านฝาท่อระบายน้ำ ดำลึกลงไปข้างล่าง
ไคลน์มองผ่านดวงตาของหุ่นเชิด เห็นเฮเซลในชุดสามัญชน
สตรีผู้นี้กำลังย่างกรายด้วยความหวาดระแวง ยกมือซ้ายขึ้นเป็นระยะ สัมผัสสร้อยคอที่ประดับด้วยหินมรกตเจ็ดเม็ด ฝ่ามือข้างขวาถือแผ่นยันต์ทองคำ
แม้ว่ายันต์จะยังไม่ถูกเปิดใช้งาน แต่ก็ช่วยให้ผู้ถือรู้สึกอบอุ่น แผ่กลิ่นอายความสดชื่นของน้ำค้างยามเช้า
เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์หวนนึกถึงสิ่งที่ได้พบเจอในการเดินเล่นเมื่อเช้า
เฮเซลตื่นเช้าเพื่อเดินเล่นในสวนบ้านตัวเอง!
เธอกำลังรวบรวมวัสดุสำหรับสร้างยันต์ขอบเขตสุริยัน? น้ำค้างยามเช้า? ไคลน์คาดเดาอย่างคลุมเครือด้วยความประหลาดใจ เพราะนอกจากเฮเซลจะอ่อนต่อโลกเหนือธรรมชาติ เธอยังแทบไม่มีพื้นฐานของศาสตร์เร้นลับ แถมยังเป็นสาวกของโบสถ์รัตติกาล
ตามปรกติแล้ว ผู้วิเศษในลักษณะนี้จะไม่ได้รับการตอบสนองเมื่อสวดวิงวอนถึงเทพสุริยันเจิดจรัส และถ้าจะมีความผิดปรกติใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นน่าจะเป็นการลงทัณฑ์จากพระองค์มากกว่า!
เป็นเพราะเธอไม่ได้ลงไปในท่อระบายน้ำนานเกินไป การขุดจึงไม่คืบหน้า ทำให้ผู้วิเศษที่คอยชักนำเธอผ่านความฝันเป็นกังวล? อีกฝ่ายก็เลยสอนสร้างยันต์ในขอบเขตสุริยันผ่านความฝัน? อา… เมื่อพิจารณาว่าเส้นทางนี้เริ่มด้วยโอสถนักจารกรรม และตัวแทนของลำดับสูงอย่างอามุนด์มีฉายาว่า ‘ผู้เย้ยเทพ’ หมายความว่า มีโอสถบางลำดับที่สามารถปลอมตัวเป็นสาวกของเทพตนอื่น สวดวิงวอนและสร้างยันต์ได้โดยไม่ถูกแนวป้องกันตรวจจับ? ฟังดูสอดคล้องกับธรรมชาติของเส้นทางนี้… อาศัยทัศนวิสัยของวิญญาณอาฆาต ไคลน์เฝ้ามองเฮเซลเดินไปตามส่วนลึกของท่อระบายน้ำ
จากสัมผัสวิญญาณของชายหนุ่ม แม้ว่ายันต์ในขอบเขตสุริยันจะเป็นอันตรายต่อวิญญาณอาฆาต แต่หากต้องการคุกคามผู้วิเศษลำดับ 5 ยันต์ระดับแค่นี้ยังไม่เพียงพอ อย่างมากก็สร้างความเสียหายได้จำนวนหนึ่ง เพราะท้ายที่สุด เฮเซลคงไม่มีปัญญาหาวัตถุดิบมาสร้างยันต์ลำดับสูง อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่บังคับให้วิญญาณอาฆาตเข้าไปสิงร่างอีกฝ่ายทันที ด้วยกังวลว่าจะไปทำให้ผู้วิเศษที่กำลังครอบงำเฮเซลผ่านความฝันตื่นตัว ไว้รอให้ถึงชุมนุมทาโรต์วันพรุ่งนี้ หาซื้อสมบัติวิเศษเส้นทางนักจารกรรมลำดับต่ำเพื่อตรวจสอบความลับในท่อระบายน้ำ ก่อนหน้านั้นจึงไม่ควรทำตัวเอิกเกริก
ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจว่าเฮเซลจะขุดไม่พบอะไรในอีกสองวันข้างหน้า ส่งผลให้ตนมีเวลาเตรียมตัวเหลือเฟือ
ในฐานะนักทำนาย มีหลากหลายวิธีในการยืนยันเรื่องนี้ ง่ายที่สุดคือการเข้าไปในมิติหมอก
เรียกหุ่นเชิดกลับ ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเอาเข้ามาในพระราชวังโบราณที่มีเสาหินค้ำจุน เสกปากกาและกระดาษ เขียนประโยคทำนายที่สอดคล้อง
“จะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นบนถนนเบิร์คลุนภายในสามวัน”
อ่านลักษณะการหมุนของจี้บุษราคัม ไคลน์ได้รับคำตอบในเชิงปฏิเสธ หมายความว่าภายในสามวันถัดไป ถนนเบิร์คลุนจะไม่มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น
สำหรับในกรณีที่ว่า สิ่งที่เฮเซลขุดขึ้นมาจะไม่ส่งผลต่อถนนเบิร์คลุน แต่มีผลเสียกับตน ไคลน์ไม่ใส่ใจนัก เพราะเหตุการณ์เล็กน้อยดังกล่าวจะไม่ทำให้แผนการใหญ่ของตนคลาดเคลื่อน ไม่มีความจำเป็นต้องป้องกัน
ชายหนุ่มเคยเตือนอีกฝ่ายแล้วในงานเลี้ยงเต้นรำ ถ้าเฮเซลไม่เชื่อหรือไม่เข้าใจ นั่นเป็นปัญหาของตัวเธอเอง ไม่มีเหตุผลที่ไคลน์ต้องรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย
กลับมายังโลกความจริง อดทนรออีกเกือบสี่สิบห้านาที จนกระทั่งเฮเซลกลับออกมา เมื่อยืนยันว่าไม่มีความผิดปรกติจากใต้ดิน ไคลน์เอนหลังลงบนเตียง เข้าฌานและสะกดจิตตัวเองให้หลับ
…
วันจันทร์ บ่ายสามโมงตรง
ต่อหน้าเดอะฟูล เดอะเวิร์ล และเดอะซัน เสาลำแสงสีแดงเข้มปรากฏขึ้นทั้งสองฝั่งโต๊ะทองแดงยาว
‘จัสติส’ ออเดรย์ยังคงสดใสเหมือนเคย กล่าวทำความเคารพบุคคลที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”
ไคลน์ยิ้มพลางพยักหน้า ตอบสนองต่อสตรีที่ช่วยให้ตนกระชุ่มกระชวยได้เสมอ
ขณะเดียวกัน ออเดรย์เหลือบไปเห็นไพ่ที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งใบข้างๆ มิสเตอร์ฟูล!
ไพ่เย้ยเทพใบใหม่? เส้นทางไหน? ถ้าเป็นเส้นทางผู้ชมก็คงดี… หัวใจออเดรย์เริ่มเต้นแรงขณะหันไปทักทายสมาชิกคนอื่น
รอจนกระทั่งบรรยากาศสงบลง หญิงสาวมองผ่านหน้า ‘เฮอร์มิท’ ไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวซึ่งมีลวดลายเก่าแก่
“เรียนมิสเตอร์ฟูล ดิฉันรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ได้สามหน้า”
ทั้งหมดมาจากกองทุนขุดค้นและเก็บรักษาวัตถุโบราณ ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก เธอมีสิทธิ์ได้รับฉบับคัดลอก
ออเดรย์ภูมิใจกับสิ่งนี้มาก มองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อสร้างรากฐานในอนาคต แต่น่าเสียดาย เธอไม่สามารถเล่าให้ใครในชุมนุมทาโรต์ฟัง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเปิดเผยตัวตน
“ทำได้ดี” ไคลน์ยิ้มพลางผงกศีรษะ ส่งสัญญาณให้มิสจัสติสเขียนไดอารี
ขณะเดียวกัน ‘เฮอร์มิท’ แคทลียามิได้พูดแทรก คล้ายกับเธอไม่ได้รับไดอารีหน้าใหม่
ราชินีเงื่อนงำยังไม่ตอบกลับ? หรือกำลังมีสมาธิกับเรื่องอื่น? ไคลน์นั่งมองมิสจัสติสคัดลอกไดอารีสามหน้า ก่อนจะเสกให้มาอยู่บนฝ่ามือตัวเอง
กวาดสายตาผ่านหนึ่งรอบ มุมปากไคลน์เริ่มกระตุก เนื่องจากคุ้นเคยกับลักษณะเนื้อหาเป็นอย่างดี
เมื่อเทียบกับไดอารีที่อัดแน่นด้วยข้อมูลของราชินีเงื่อนงำ ไดอารีของสมาชิกคนอื่นมีเนื้อหาไม่สลักสำคัญนัก โน้มเอียงไปทางชีวิตประจำวันของโรซายล์ และไดอารีทั้งสามหน้าของมิสจัสติสก็เข้าข่ายนี้ หลังจากพลิกอ่านแบบสุ่ม ไคลน์พบว่ามีเพียงหน้าเดียวที่น่าสนใจ สำหรับหน้าอื่น หากไม่ใช่บันทึกการหลีสาวหรือเล่นชู้กับชาวบ้าน ก็จะเป็นการดูแคลนขุนนางฝ่ายชายที่มีเงินมากกว่าสมอง และบางครั้งก็แสดงความโหยหาแม่มดในข่าวลือ
เพียงไม่นาน ไคลน์หันมาสนใจกับไดอารีหน้าที่มีค่ามากที่สุด
“…จากข้อมูลบางส่วนของโบสถ์ สัตว์ประหลาดที่เกิดจากการ ‘เย็บ’ ดวงวิญญาณเข้าด้วยกันมีอยู่จริง”
“หลังจากผู้วิเศษลำดับสูงเสียชีวิต ตะกอนพลังจะถูกประทับ ‘ดวงวิญญาณ’ ลงไปในระดับที่เข้มข้นและขจัดได้ยาก หากอาศัยเวลาเพียงอย่างเดียว เกรงว่าหลายร้อยหลายพันปีก็คงไม่หายไปอย่างสมบูรณ์”
“เช่นเดียวกันกับสมบัติวิเศษที่เกิดจากการผสานระหว่างตะกอนพลังลำดับสูงและสิ่งของใกล้เคียง ผู้ใช้งานต้องมีดวงวิญญาณที่คล้ายคลึงกัน ไม่อย่างนั้นจะเกิดผลข้างเคียงด้านลบรุนแรง ในส่วนของตะกอนพลังลำดับสูงที่ถูกใช้ปรุงเป็นโอสถ ผู้ดื่มก็ต้องมีดวงวิญญาณที่คล้ายคลึงกันจึงจะทนรับไหว ไม่อย่างนั้นจะล้มเหลวได้ง่าย”
“ในเชิงศาสตร์เร้นลับ ความล้มเหลวหมายถึงการคลุ้มคลั่งหรือความตาย มีเพียงคนโชคดีไม่มากนักที่สามารถรักษาสมดุลและสติเอาไว้ได้ แต่ก็มีข่าวลือว่า สมบัติปิดผนึกบางชนิดสามารถดึงตะกอนพลังออกมาและจัดโครงสร้างใหม่ได้ ช่วยให้คนที่ล้มเหลวมีสภาพเหมือนกับไม่ได้ดื่มโอสถ แค่ได้รับอาการบาดเจ็บทางวิญญาณบางส่วน… แต่ตามสมมติฐานของเรา คนที่ดื่มโอสถเข้าไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรม เพราะจากข้อมูลทางสถิติ ถึงจะรอดชีวิตมาได้ แต่ในอีกไม่เกินห้าปีก็จะล้มป่วยหนักและเสียชีวิต”
“หมายความว่า การดื่มโอสถที่มีลักษณะ ‘ดวงวิญญาณ’ คล้ายกับตัวเองจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จได้มาก แต่แลกมากับการได้รับอิทธิพลจากตราประทับดวงวิญญาณรุนแรง เป็นบ่อเกิดของโรคหลายบุคลิกโดยไม่รู้ตัว ค่อยๆ วิวัฒนาการกลายเป็น ‘ดวงวิญญาณที่ถูกเย็บเข้าด้วยกัน’ ประหนึ่งผู้วิเศษลำดับสูงคนดังกล่าวได้กลับมาคืนชีพอีกครั้ง… ใช่แล้ว… คืนชีพ”
“เมื่อลองคิดดูให้ดี เรื่องนี้น่ากลัวมาก… ทางโบสถ์บอกกับเราว่า มีสองสามวิธีในการขจัดตราประทับดวงวิญญาณ แต่จะเป็นวิธีอะไรนั้น พวกเขาไม่ได้เล่าให้ฟัง แปลว่าอาจทำได้ไม่ง่าย… เข้าใจแล้วว่าทำไมคนของตระกูลเซารอนถึงเรียกสิ่งนี้ว่าพรสวรรค์… อา พรสวรรค์สินะ ชักเห็นใจฟลอเร็นขึ้นมานิดหน่อย”
ดวงวิญญาณที่ถูกเย็บเข้าด้วยกัน… ตราประทับดวงวิญญาณของผู้วิเศษลำดับสูง… น่ากลัวชะมัด… ตะกอนพลังของครึ่งเทพขึ้นไปจะมีอันตรายแบบนี้ซ่อนอยู่สินะ อา… แต่ทางโบสถ์มิได้ขาดแคลนเทวทูต มิได้ขาดแคลนสมบัติปิดผนึกระดับ 0 จึงมีหลากหลายวิธีในการจัดโครงสร้างตะกอนพลังใหม่… สำหรับบางตระกูลเก่าแก่ สิ่งนี้คือฝันร้าย เพราะพวกมันมีเทวทูตไม่มากนัก เช่นเดียวกับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 บางตระกูลจึงไม่สามารถจัดโครงสร้างตะกอนพลังใหม่… ท่ามกลางความคิดที่หมุนวน ไคลน์สลายไดอารีในมือและหันไปมองมิสจัสติส
“ต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด”
ปัจจุบัน ออเดรย์กำลังรอให้วัตถุดิบหลักโอสถของเธอถูกส่งมอบ และด้านอื่นๆ ก็ยังไม่มีสิ่งใดขาดแคลน จึงเลือกจะสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
“เรียนมิสเตอร์ฟูล ไพ่ที่วางอยู่ข้างๆ ฝ่ามือของท่าน… ใช่ไพ่เย้ยเทพหรือไม่? เส้นทางใด?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น