Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 815-818
ราชันเร้นลับ 815 : ทบทวน
Ink Stone_Fantasy
กรุงเบ็คลันด์ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ปรากฏตัวในห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์ สวมชุดกันลมสีดำ หมวกทรงกึ่งสูงยังคงตั้งตรง
ดอน·ดันเตสที่นอนอยู่บนเตียงหายไปทันที กลายเป็นกระจกเงาแผ่นเท่าฝ่ามือ
คงไม่มีใครแวะเข้ามา เพราะดูท่าแล้วอาโรเดสจะไม่ได้ทำอะไรเลย… เห็นฉากตรงหน้า เห็นบรรยากาศอันเงียบสงบภายในห้องนอน ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ส่วนสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จอนสีขาวผุดขึ้นข้างขมับ ดวงตากลายเป็นสีน้ำเงินลุ่มลึก เปลี่ยนกลับเป็นร่างดอน·ดันเตสโดยสมบูรณ์
พร้อมกันนั้น ผิวกระจกเงาเกิดคลื่นกระเพื่อม แสงสีเงินเรียงตัวกันเป็นข้อความ
“เรียนนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยในคืนนี้! ไม่สิ ข้าสวมบทบาทเป็นดอน·ดันเตสที่หลับสนิทได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง… นอกจากนั้น ข้ายังได้เผชิญกับเหตุการณ์บางอย่าง ท่านอยากจะทราบหรือไม่?”
ไคลน์มองข้ามประโยคแรกที่อาโรเดสต้องการให้ชมเชย รีบโยนหมวกไปทางเก้าอี้เอนหลังด้วยหัวใจเต้นระรัว และถามเสียงทุ้ม
“เล่ามา”
บนผิวกระจก ข้อความเดิมสลายตัว เรียงกันเป็นประโยคใหม่
“มีสตรีผู้หนึ่งมองเข้ามาในคฤหาสน์จากบนถนน”
…แล้วแปลกยังไง? แต่ละวันมีคนเดินผ่านหน้าบ้านนับไม่ถ้วน คงมีสักคนสองคนที่ชื่นชมสภาพแวดล้อม… ขณะไคลน์เตรียมถามเพิ่มเติม ผิวกระจกผุดคลื่นน้ำกระเพื่อมและกลายเป็นภาพของบุคคลผู้หนึ่ง
ในสายตาคนทั่วไป สตรีผู้นี้แต่งกายค่อนข้างแปลก สวมเสื้อคลุมสีดำของผู้สื่อวิญญาณ ใต้ตาและโหนกแก้มทาสีฟ้า แผ่กลิ่นอายความสง่างาม ลุ่มลึก และเป็นเอกลักษณ์ แน่นอน ไม่ใช่ใครนอกจากดาลีย์·ซิโมเน่
สตรีผู้นี้นั่งรถม้าไปตามถนนเบิร์คลุน ขณะผ่านหน้าบ้านเลขที่ 160 เธอมองออกนอกหน้าต่างนานกว่าสามวินาที
ให้ตายสิ… อย่าบอกนะว่า หลังจากสบตากับดอน·ดันเตสวันนั้น เธอเกิดความประทับใจจนพยายามสืบหาที่อยู่? ไคลน์ขมวดคิ้วสักพัก ก่อนจะถามกลับ
“แค่นี้?”
“ขอรับ!” อาโรเดสตอบด้วยการเน้นคำบนผิวกระจก ด้านข้างเป็นภาพสัญลักษณ์การ ‘สาบาน’
ไคลน์ผงกศีรษะรับ เมินเฉยความกระตือรือร้นของกระจกวิเศษ กล่าวคำอำลากับอีกฝ่าย
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์นำเทียนไขออกมาเตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง ตัวสนองตัวเอง เพื่อนำสิ่งของที่รวบรวมมาได้เข้าไปในมิติเหนือสายหมอก รวมถึงเสื้อผ้าที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์สวมใส่ เพราะไม่อยากให้เครื่องแต่งกายของสองตัวตนปะปนกัน
เป๊าะ!
ชายหนุ่มดีดนิ้ว จุดไฟสีแดงบนเทียนไข
ไฟ
ไฟ…
รูม่านตาไคลน์หดเกร็งนานสองสามวินาที ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีจากเทียนไข
จากนั้น มันบังคับ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลค่อยๆ เข้าใกล้โต๊ะอ่านหนังสือ
ระหว่างดำเนินการ ฝ่ามือเซนอลสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม แต่ในท้ายที่สุด มันดับไฟเทียนไขสำเร็จ
นอนก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยมาจัดการ… ไม่สิ ไม่ได้… ไพ่ทรราชถูกกระตุ้นการทำงานแล้ว ถึงจะผนึกไว้ด้วยกำแพงวิญญาณ แต่ก็อาจปิดกั้นอำนาจการดึงดูดในเส้นทางเดียวกันไม่หมด… บางทีอาจทำได้แค่บรรเทาอิทธิพล… ตอนที่เข้าไปในบายัม เรารีบกลับออกมาทันทีโดยไม่มัวรีรอ… ไคลน์ที่ใจเย็นลง ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาตรงหน้า
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มยกมือขึ้นอีกครั้งและดีดนิ้วจุดไฟบนเทียน
วินาทีถัดมา มันพยายามข่มความกลัวในใจ บังคับเซนอลให้หยิบเทียนไขออกมาอีกสองเล่ม ประกอบพิธีกรรมสังเวยซึ่งไม่ต้องรอการตอบสนอง ไม่ต้องนำร่างวิญญาณผ่านแสงเทียนไขออกมายังโลกความจริง
จัดการเสร็จ ไคลน์ก้มศีรษะลงอย่างยากลำบาก เอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูลโดยไม่กล้าจ้องเทียนไขตรงๆ
ชายหนุ่มกล้ำกลืนฝืนทนจนกระทั่งพิธีกรรมจบลง สังเวยรางวัลทุกชิ้นเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก บนที่นั่งของเดอะฟูล มันหยิบไพ่ทรราชออกมาสำรวจเป็นอันดับแรก
ทันใดนั้น ไพ่เย้ยเทพแปรสภาพกลายเป็นวัตถุสามมิติ คล้ายหนังสือขนาดเท่าฝ่ามือ
แผ่นแล้วหน้าเล่า ไคลน์พบโรซายล์·กุสตาฟในทุกหน้า บ้างสวมชุดกะลาสี บ้างสวมหมวกกัปตัน บ้างถือเครื่องวัดมุมดวงดาว และบ้างกำลังร้องเพลงโดยมีฉากหลังเป็นทะเล
ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปพักหนึ่ง เชื่อว่าแล้วชายคนนี้เป็นพวกหลงตัวเองขั้นสุด
ถ้าไพ่ของเส้นทางแม่มดยังใช้หน้าตัวเอง คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก… ไคลน์จิกกัดพลางพลิกอ่านแต่ละหน้า จดจำชื่อของโอสถและวัตถุดิบของเส้นทางวายุสลาตันทั้งหมด
ลำดับ 9 ลูกเรือ… ลำดับ 8 ผู้บันดาลโทสะ… ลำดับ 7 นักเดินเรือ… ลำดับ 6 ข้ารับใช้วายุ… ลำดับ 5 ผู้ขับขานสมุทร… ลำดับ 4 ผู้สังเวยภัยพิบัติ… ลำดับ 3 เจ้าสมุทร… ลำดับ 2 ภัยธรรมชาติ… ลำดับ 1 เทพอสนี… ลำดับ 0 ทรราช…
การขึ้นเป็น ‘ทรราช’ หรือที่เรียกว่าพิธีกรรมสู่การเป็น ‘เทพวายุสลาตัน’ แตกต่างจาก ‘จักรพรรดิมืด’ พอสมควร อันดับแรก ต้องผู้ประกอบพิธีต้องทำให้สาวกนับแสนคนยอมศิโรราบด้วยความหวาดกลัว อันดับที่สอง ต้องท้าทายกับเทพแท้จริงสักตน เช่นลำดับ 0 ของเส้นทางอื่น และเอาชีวิตรอดมาได้ จากนั้นก็ดื่มโอสถและเลื่อนลำดับท่ามกลางความหวาดกลัวและการยอมจำนน
ไม่ยากเกินไปหน่อยหรือ? ให้ลำดับ 1 ซึ่งยังครอบครองพลังเทพไม่สมบูรณ์ ไปต่อกรกับเทพแท้จริงโดยตรง… แปดในสิบคงจบลงด้วยความตาย… แล้วถ้าในยุคสมัยดังกล่าวไม่มีลำดับ 0 ตนอื่นอยู่เลย? ต้องปลุกปั้นให้ใครสักคนไปถึงจุดนั้น? หรือไม่ก็ย้ายตัวเองไปยังเส้นทางใกล้เคียง? แน่นอนว่า พิธีกรรมไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไป หากมีโชคมากพอ การดื่มโอสถเปล่าๆ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ดูจาก ‘คาเวทูว่า’ เป็นตัวอย่าง… แถมนั่นยังไม่ใช่โอสถ แต่เป็นตะกอนพลังที่ถูกแบ่งออกมา…
แก่นสารสำคัญของพิธีกรรมก็คือ ท้าทายเทพแท้จริง เผชิญกับความหวาดกลัวและยอมจำนน?
อา… ดูเหมือนว่าทรราชจะไม่มีพลังในการแหกกฎธรรมชาติเหมือนกับจักรพรรดิมืด ไม่สามารถคืนชีพได้ใหม่จากความว่างเปล่า แต่แลกมากับพลังในการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสายฟ้าช่วงเวลาสั้นๆ และยังอาจสร้างภัยพิบัติระดับทำลายโลกได้ด้วยตัวคนเดียว… เนื้อหาที่จักรพรรดิโรซายล์เขียนไว้ส่วนใหญ่ เป็นการอธิบายพิธีกรรมและสูตรโอสถ แทบไม่เล่าถึงลักษณะของพลังและอำนาจในขอบเขตของทรราช…
ไคลน์เสกกระดาษเปล่าด้วยท่าทีผ่อนคลาย ใช้ปากกาหมึกซึมเขียนสูตรโอสถลำดับ 4 ‘ผู้สังเวยภัยพิบัติ’ และกำกับท้ายด้วยประโยคสไตล์เกอร์มัน·สแปร์โรว์
“อย่าพยายามนึกถึงภาพวาดนั้น”
ประโยคนี้มีไว้เพื่อตักเตือนแฮงแมนว่า ในโลกเหนือธรรมชาติ ห้ามประมาทสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลำดับ 0 โดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะน่าเหลือเชื่อมากแค่ไหนก็ตาม
จริงอยู่ การพูดคุยบนเกาะหลังจากได้เห็นภาพอาจยังไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่งหากทำข้างนอก เกรงว่าถ้าย้อนกลับไปคิดถึงบ่อยนัก สักวันอาจโชคร้ายถูกสายฟ้าผ่าตาย หรือไม่ก็เผชิญกับปัญหาที่ไม่มีทางแก้ หรือไม่ก็เส้นเลือดในสมองแตก หรือไม่ก็เดินออกไปตากแดดแล้วร้อนตายโดยที่ช่วยเหลือไม่ทัน
พิธีกรรมการเลื่อนเป็น ‘ผู้สังเวยภัยพิบัติ’ นับว่าอันตรายมาก… ต้องทำให้เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ จากนั้นก็ดื่มโอสถท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวจนจบ ห้ามหนีไปไหน… ไคลน์พับกระดาษและวางลง เก็บไพ่ทรราช
หลังจากใช้เทคนิคการทำนายช่วยให้ทราบว่า ตะกอนพลังทั้งสามชนิดที่ตนได้มาเมื่อคืนประกอบด้วย ลำดับ 5 จากเส้นทางจักรพรรดิมืด ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ ลำดับ 5 จากเส้นทางวายุสลาตัน ‘ผู้ขับขานสมุทร’ และลำดับ 5 จากเส้นทางนักเพาะปลูก ‘ดรูอิด’ ไคลน์มีเวลาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการสำรวจ มองหาข้อมูลที่ซ่อนอยู่
‘สุริยันเจิดจรัส’ อยู่บนเส้นทาง ‘สุริยัน’ ไม่ผิดแน่… ขณะเดียวกัน พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ มีอีกชื่อหนึ่งว่าเทพสุริยันบรรพกาล เรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันมากมาย โดยเฉพาะบันทึกจากยุคสมัยที่สี่และภาพจิตรกรรมของเอลฟ์… จากกฎความถาวรของพลังพิเศษ การมีลำดับ 0 หมายถึงการไม่มีลำดับ 1 เทวทูตสีขาวในเวลานั้นจึงยังไม่น่าจะใช่ราชาเทวทูต… แต่ถ้าไม่ใช่ราชาเทวทูต ก็ไม่ควรมีสิทธิ์เข้าร่วม ‘งานเลี้ยง’ กัดกินศพเทพสุริยันบรรพกาล เพราะการกระโดดจากลำดับ 2 ไป 0 ในทันที มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้เกิดภาวะคลุ้มคลั่ง!
บางที เทพสุริยันเจิดจรัสอาจเปลี่ยนมาจากเส้นทางอื่น จึงค่อยมาเป็นเทพแท้จริงบนเส้นทางสุริยัน… หรือบางที เส้นทางหลักของเทพสุริยันบรรพกาลจากไม่ใช่ ‘สุริยัน’ แต่ท่านถือครอง ‘อำนาจ’ ในขอบเขตดวงอาทิตย์… หลังจากไล่ทวงคืน ‘อำนาจ’ กลับจากเทพบรรพกาลทั้งแปด พระองค์ได้แจกจ่าย ‘อำนาจ’ ไปยังเหล่าเทวทูตที่คอยรับใช้ เปลี่ยนให้ทุกคนกลายเป็นราชาเทวทูต? นี่คือสาเหตุที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังของเอลฟ์ซึ่งส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นระบุเพียงว่า เทพสุริยันบรรพกาล ‘เคย’ ครอบครองพระราชอำนาจในขอบเขตดวงอาทิตย์ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นของพระองค์แต่แรก?
ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ หลังจากพระผู้สร้างทวงคืน ‘อำนาจ’ มาจากเหล่าเทพบรรพกาล ท่านสามารถเลื่อนลำดับให้เหล่าเทวทูตรับใช้ จากลำดับ 2 เป็นลำดับ 1 ในเส้นทางเดียวกัน…
ไคลน์หันกลับมาสนใจในประเด็นที่ว่า ใครเป็นคนสร้างวิหาร ใครเป็นคนวาดภาพดังกล่าว เพราะเมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบเข้าด้วยกัน เป็นการยากที่จะหาข้อสรุปได้ทันที จึงตัดสินใจค่อยๆ เขียนเบาะแสลงบนกระดาษหนังและหาความเชื่อมโยง
เกาะโบราณถูกพบโดยคีลิงเกอร์และมิสเตอร์แฮงแมน…
คีลิงเกอร์รับทำภารกิจให้สภานักสิทธิ์สนธยาเพื่อแลกกับสมบัติล้ำค่า เดินทางมายังกรุงเบ็คลันด์และพยายามลอบสังหารดยุคนีแกน แต่ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือมิสเตอร์อะซิก…
คีลิงเกอร์บอกกับมิสเตอร์แฮงแมนว่า ภายในซากวิหารมีสมบัติในระดับทัดเทียมไพ่เย้ยเทพของโรซายล์อยู่ แต่ต้องมีลำดับ 5 เป็นอย่างน้อยในการสำรวจ…
ภายหลัง มันได้ครอบครองยุบพองหิวโหย กลายเป็นพลเรือโจรสลัดซึ่งมีฝีมือเทียบเท่าลำดับ 5…
แต่ไพ่ทรราชใบนี้ยังคงถูกเก็บอยู่ในส่วนลึกของซากวิหาร…
หลังจากนั้นคีลิงเกอร์ไม่ได้เข้ามาสำรวจอีกเลย? หรือลองแล้วแต่ล้มเหลว?
วิหารดังกล่าวถูกสร้างโดยมีความศรัทธาเอียนเอียงไปทางเทพสุริยันบรรพกาล ภาพจิตรกรรมด้านในเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันดำมืดของเทพจารีตในปัจจุบัน และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน ‘มหาภัยพิบัติ’ … ค่อนข้างชัดเจนว่าผู้วาดอยู่ฝ่ายเดียวกับเทพสุริยันบรรพกาล…
เป็นที่น่าสงสัยว่า สภานักสิทธิ์สนธยาถูกก่อตั้งโดยบุตรแห่งเทพ อาดัม เป้าหมายคือการคืนชีพให้กับเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ…
เกาะโบราณดังกล่าวหายไป ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน…
อาดัมคือเทวทูตจินตภาพ… จากบรรดาสมาชิกแกนหลักของสภานักสิทธิ์สนธยา มีเทวทูตอย่างน้อยหนึ่งคน นั่นคือเฮอร์มิส…
สภานักสิทธิ์สนธยามีแนวโน้มที่จะเลือกสมาชิกจากเส้นทาง ‘นักเดินเรือ’ ‘นักอ่าน’ และ ‘สุริยัน’ … มีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาอาจถือครองวัตถุดิบลำดับสูงของเส้นทางวายุสลาตัน รวมถึงวัตถุที่เกี่ยวข้อง… อาจถึงขั้นมีเทวทูตจากเส้นทางนี้เป็นสมาชิก…
ไคลน์วางปากกาลง ตรวจทานรายละเอียดที่เขียนลงบนกระดาษอย่างถี่ถ้วน สร้างสมมติฐานขึ้นในใจข้อหนึ่ง
ราชันเร้นลับ 816 : สะสางธุรกิจ
Ink Stone_Fantasy
ขณะนั่งอ่านเบาะแสทีละข้อบนกระดาษ ไคลน์ใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวพลางพึมพำ
คนที่ถอนหายใจในส่วนลึกของวิหาร คือหนึ่งในสมาชิกของสภานักสิทธิ์สนธยา?
คีลิงเกอร์ได้รับความสนใจจากองค์กรลับดังกล่าวเพราะสามารถเข้าไปสำรวจวิหารได้? หลังจากนั้นก็เลื่อนลำดับและได้รับยุบพองหิวโหยจนมีพลังทัดเทียมพลเรือโจรสลัด?
ถ้าเป็นแบบนั้นก็เข้าใจได้ว่า ทำไมคีลิงเกอร์ถึงไม่ย้อนกลับไปสำรวจอีก เพราะไพ่ทรราช หากเจ้าของไม่ต้องการมอบให้ ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาเอาไป?
อีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ คีลิงเกอร์แข็งแกร่งขึ้นและเข้าไปสำรวจครั้งที่สอง จนได้พบกับหนึ่งในสภานักสิทธิ์สนธยา…
แต่ไม่ว่าจะแบบไหน สิ่งที่ค่อนข้างแน่ชัดก็คือ เกาะดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสภานักสิทธิ์สนธยา…
สาเหตุที่พวกเราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคภายนอก เข้าไปถึงห้องเก็บศพในวิหารได้ค่อนข้างราบรื่น และเห็นภาพวาดราชาเทวทูตกำลังกัดกินศพของพระผู้สร้าง เพราะว่าคนของสภานักสิทธิ์สนธยาจงใจปล่อยให้เกิดขึ้น? สำหรับพวกเขา หากมีโอกาสก็คงอยากตีแผ่ประวัติศาสตร์ที่ถูกลบเลือนให้โลกรับรู้… แต่ว่า สิ่งที่พวกเขาเชื่ออาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป…
หลังจากนั้น คนของสภานักสิทธิ์สนธยาคิดไม่ถึงว่าเราจะจัดการกับสามศพและหนึ่งการ์กอยล์ได้อย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ต้องสูญเสียไพ่ทรราช นั่นคือสาเหตุที่ถอนหายใจ?
หากเป็นสถานการณ์ปรกติ ขณะพวกเรากำลังตกที่นั่งลำบาก ‘ท่าน’ จะฉวยโอกาสนั้นเพื่อลงมือสยบทุกสิ่ง ส่งเราลอยขึ้นมาในอากาศและชักชวนให้เป็นสมาชิกวงนอกของสภานักสิทธิ์สนธยา?
ไคลน์จงใจใช้คำว่า ‘ท่าน’ เรียกแทนเจ้าของเสียงถอนหายใจในซากวิหาร
ชายหนุ่มถึงขั้นสงสัยว่า อีกฝ่ายอาจเป็นอดีตราชาเทวทูต บุตรแห่งเทพ อาดัม!
แน่นอน มันไม่สามารถยืนยันได้ว่า เกาะโบราณดังกล่าวจะเป็นของสภานักสิทธิ์สนธยา และเชื่อว่าพลังทำนายของตนจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เรื่องนี้เกี่ยวพันกับตัวตนลึกลับและทรงพลัง หรือ ข้อมูลดังกล่าวถูกซ่อนหรือลบออกจากโลกวิญญาณไปแล้ว
ถ้าสมมติฐานนี้ถูกต้อง หมายความว่าเราพลาดการเป็นสมาชิกของสภานักสิทธิ์สนธยา? น่าเสียดาย… ขอแค่ผ่านการทดสอบ เราอาจมีโอกาสได้เห็น ‘ศิลาเย้ยเทพ’ แผ่นที่สอง ได้ทราบสูตรโอสถลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย… แต่ว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีปูมหลังลึกลับ มีตัวตนที่ทรงพลังคอยสนับสนุน ข่าวนี้รู้กันทั่วทั้งทะเล โดยเฉพาะเบื้องบนขององค์กรลับที่สำคัญ ดังนั้น สภานักสิทธิ์สนธยาที่เป็นหนึ่งในองค์กรเก่าแก่และลึกลับที่สุด ยอมไม่น่าจะพลาดข้อมูล… มีโอกาสสูงมากที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะถูกฆ่าและสื่อวิญญาณสอบสวนทันที… ไคลน์นึกเสียดายในตอนแรก แต่จากนั้นกลายเป็นความหวาดกลัว
ยิ่งไตร่ตรอง มันก็ยิ่งอยากส่งแฮงแมนไปยังเกาะโบราณอีกครั้ง หาโอกาสเข้าเป็นสมาชิกสภานักสิทธิ์สนธยาและค่อยๆ ไต่เต้าเข้าใกล้เบื้องบน
เฮ่อ… ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เกาะโบราณหายไปแล้ว… ไม่อย่างนั้น มิสเตอร์แฮงแมนจะได้เป็นสายลับของสามองค์กร… ไม่สิ สี่ต่างหาก… ไคลน์ดีดนิ้ว เผากระดาษตรงหน้าจนเลือนหาย ตัดสินใจเลิกคิดเกี่ยวกับการสำรวจในคืนนี้ไปก่อน
หลังจากนี้ไป ไคลน์เตรียมสังเกตความบังเอิญที่ผิดปรกติในชีวิตประจำวัน
มันกังวลว่า ตัวตนลึกลับที่ถอนหายใจในวิหาร อาจมิได้ขัดขวางตนและแฮงแมนไม่ทันเวลา แต่เป็นการปล่อยให้หนีไปได้เพราะจงใจหวังผลบางอย่าง
หากไม่ใช่เพราะมิติหมอกมีพลัง ‘ยาฆ่าเชื้อ’ ไคลน์คงสงสัยว่าตนอาจถูกอีกฝ่ายตีตราประทับไว้บนร่างกาย
กวาดสายตามองสิ่งของบนโต๊ะทองแดงยาว ชายหนุ่มเลื่อนไพ่ทรราชมาวางข้างไพ่จักรพรรดิมืด จากนั้นก็ไตร่ตรองว่าควรทำอย่างไรกับสมบัติชิ้นที่เหลือ
สำหรับตะกอนพลัง ‘ดรูอิด’ ลำดับ 5 ของเส้นทางนักเพาะปลูก ไคลน์มีคำตอบในใจแล้ว นั่นคือการขายให้แฟรงค์·ลีผ่าน ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา
แต่ปัญหาคือ… เราอาจเป็นตัวการที่ทำให้โลกถูกทำลาย… ไคลน์จิกกัดตัวเอง เกิดความลังเลเล็กๆ ในใจ
หากปล่อยให้แฟรงค์·ลี ชายที่แสนอันตราย พัฒนาตัวเองกลายเป็นลำดับ 5… เกรงว่าวัว ปลา สัตว์ทะเล และนักบวชกุหลาบทั่วโลกอาจเผชิญความโกลาหล… ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า หากมีพลังในมือมากขึ้น ชายที่ไม่ต่างอะไรกับคนบ้า จะสร้างหายนะได้มากน้อยแค่ไหน… หมอนั่นจะทดลองอะไรออกมาอีก…
ถ้าเกิดว่าแฟรงค์ปลูกตัวเอง เก็บเกี่ยวตัวเอง เกิดเป็นแฟรงค์ขึ้นมาอีกหลายคน โลกคงใกล้แตกดับอย่างแท้จริง… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ตัดสินใจปล่อยให้เรื่องนี้เป็นปัญหาของพลเรือเอกดวงดาวแทน
นั่นสินะ เราแค่ทำหน้าที่ขายตะกอนพลังดรูอิด มาดามเฮอร์มิทจะซื้อหรือไม่ นั่นเป็นปัญหาของเธอ… นอกจากนั้น ดรูอิดเป็นแค่โอสถลำดับ 5 ส่วนทางด้านแคทลียามีแรงสนับสนุนจากทั้งราชินีเงื่อนงำและนิกายมอสส์ การรับมือแฟรงค์คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร หรือต่อให้ไม่ไหว ทางโบสถ์พระแม่ธรณีก็ยังมีนักบุญอีกเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงสมบัติปิดผนึกระดับ 0 และเทพแท้จริง กับแค่แฟรงค์·ลีคนเดียวไม่น่าจะเกินความสามารถ… ไคลน์ปลอบใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็หันมาสนใจตะกอนพลังของ ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ และ ‘ผู้ขับขานสมุทร’
สำหรับอย่างหลัง ไคลน์คิดจะนำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษ แต่ยังไม่แน่ใจว่าช่างฝีมือที่แฮงแมนรู้จักจะเก่งพอหรือไม่ ส่วนอย่างแรก มันต้องการขายเป็นเงิน
แม้ว่าสิ่งนี้สามารถสร้างเป็นสมบัติวิเศษได้เช่นกัน แต่พลังอาจซ้อนทับกับ ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ ในถุงมือ และไคลน์เองก็ตระหนักมานานแล้วว่า การพกพาสมบัติวิเศษติดตัวเป็นจำนวนมากไม่ใช่เรื่องดี ลำพังยุบพองหิวโหยกับสมุดเวทมนตร์เลมาโน่เช่าก็มากพอจะทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ขอแค่มียุบพองหิวโหยกับลางมรณะบรรจุกระสุนวิเศษ ก็นับว่าเหลือเฟือแล้ว
ถ้าต้องสู้ในทะเลหรือกลางอากาศ ก็แค่พกสมบัติวิเศษ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ เพิ่มอีกชิ้น และถ้าต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนหรือค่อนข้างตึงมือ ก็ต้องยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ ขณะเดียวกัน การเดินทางของกรอซายสามารถใช้กันกระสุน และถ้าจำเป็น ไคลน์ยังมีไพ่ตายอย่างยันต์ ‘โจรปล้นดวง’
นี่ยังไม่นับพลังพิเศษของตัวเอง ยังไม่นับหุ่นเชิดวิญญาณอาฆาต ยังไม่นับการหาจังหวะใช้งานคทาเทพสมุทร!
หากนับรวมทรัพย์สินทั้งหมด เราจะถือเป็นบุคคลที่ร่ำรวยมาก… ไคลน์ถอนหายใจ เสกตะกอนพลังทั้งหมดลอยไปตกบนกองขยะ
สำหรับดวงตาของการ์กอยล์หกปีก วัตถุชนิดนี้มีพลังวิญญาณอัดแน่นเข้มข้น สามารถใช้ประกอบพิธีกรรมหรือสร้างยันต์ ไคลน์ยังไม่มีเป้าหมายชัดเจน จึงโยนเข้าไปในกองขยะนานแล้ว
จัดการทั้งหมดเสร็จ มันหายตัวไปจากมิติเหนือสายหมอก กลับมายังโลกความจริง
…
วันเสาร์เช้า ฟอร์สต้องการหลับยาวและตื่นขึ้นตามธรรมชาติ แต่กลับถูกปลุกด้วยข้อความที่ ‘เดอะเวิร์ล’ ฝากผ่านเดอะฟูล
อีกฝ่ายต้องการคืนบันทึกการเดินทางของเลมาโน่!
ฟอร์สขยี้ตาและเตรียมประกอบพิธีกรรมรับมอบ แต่หลังจากเห็นเส้นผมอันยุ่งเหยิงและดวงตาปูดโปน เธอตัดสินใจล้างหน้าเป็นอันดับแรก เปลี่ยนให้ตัวเองดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
เมื่อวาน ฟอร์สขายที่ดินของตระกูลอับราฮัมออก ราคาสูงกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย แม้จะหักภาษีและค่าธรรมเนียมทั้งหมดก็ยังได้เงินมากถึง 6,550 ปอนด์
สิ่งที่น่าหงุดหงิดสำหรับเธอก็คือ เหรียญทองซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาด กลับกลายเป็นสิ่งหายากในตอนที่เธอต้องการ แม้จะใช้เวลาสักพักใหญ่ก็ยังรวบรวมได้เพียงหกร้อยเหรียญ
ฟู่ว… เราจ่ายหนี้หมดสักที เป็นอันเสร็จสิ้นธุรกิจระหว่างเรากับเขา… ฟอร์สหวีผม เริ่มลงมือประกอบพิธีกรรม
ย้อนกลับไปเมื่อคืน เนื่องในโอกาสที่ได้ถือเงินก้อนใหญ่เป็นครั้งแรก เธอเฉลิมฉลองด้วยการดื่มแลงติคนเดียวครึ่งขวด เบียร์นันวีลล์อีกหนึ่งถัง ส่งผลให้สภาพตอนเช้าไม่สู้ดีนัก
ระหว่างดำเนินพิธีกรรม มีการพูดคุยโต้ตอบกันเล็กน้อย ฟอร์สจ่ายเงินสดห้าพันสองร้อยปอนด์กับอีกหกร้อยเหรียญทอง เป็นการชำระหนี้ในตอนแรกพร้อมกับซื้อตะกอนพลังนักสอบสวน
ส่งผลให้เธอเหลือเงินสด 2,530 ปอนด์ แต่ส่วนแบ่งจากการขายหนังสือทั้งสองเล่มก็ยังไหลเข้ามาในบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจไม่ใช่เงินจำนวนที่มากนัก แต่ก็ถือว่ามั่นคง
หลังจากอดทนรอสักพัก ฟอร์สเห็น ‘ประตูแห่งการสังเวยและรับมอบ’ เปิดออก วัตถุสองชิ้นปรากฏบนแท่นบูชา
หนึ่งคือบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ ส่วนอีกหนึ่งคือแท่งผลึกหกเหลี่ยม สีฟ้าโปร่งแสง ด้านในมีเส้นสายฟ้าสว่างวาบ
มิสเตอร์เวิร์ลมีตะกอนพลังพิเศษอยู่กี่ก้อนกันแน่… ฟอร์สพ่นลมหายใจ ขอบคุณมิสเตอร์ฟูลและสิ้นสุดพิธีกรรม ก่อนจะเก็บตะกอนพลัง ‘นักสอบสวน’
สุดท้าย เธอหยิบบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ เปิดอ่านพลังพิเศษด้านใน
ท่ามกลางเสียงพลิกกระดาษ ดวงตาหญิงสาวเริ่มแข็งทื่อ เพราะหน้ากระดาษสีเหลืองไหม้มิได้ว่างเปล่าอีกต่อไป ปัจจุบันเต็มไปด้วยลวดลายและสัญลักษณ์ซับซ้อน
นี่คือพลังพิเศษในระดับครึ่งเทพ!
แถมยังมีสองหน้า!
“หรูหราชะมัด…” ฟอร์สพึมพำอย่างมิอาจควบคุม
นี่คือครั้งแรกที่เธอเคยเห็นพลังพิเศษลำดับครึ่งเทพพร้อมใช้งาน!
ในฐานะนักเขียนนิยายซึ่งมีแกนหลักเป็นความรักใคร่ ท่าทีตอบสนองแรกของหญิงสาวคือ หรือว่าเดอะเวิร์ลกำลังแอบสนใจตน?
แต่เมื่อคิดว่าตนกับอีกฝ่ายไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน และสุภาพบุรุษรายนี้คือนักฆ่าป่าเถื่อน เลือดเย็น ฟอร์สรีบปัดตกแนวคิดดังกล่าว เชื่อว่าเดอะเวิร์ลคงขอความช่วยเหลือจากครึ่งเทพได้ทุกเมื่อ จึงไม่แยแสกับพลังพิเศษระดับครึ่งเทพแค่สองหน้า
ฟู่ว… เราจะพยายามไม่ใช้มัน เหลือไว้ให้มิสเตอร์เวิร์ลใช้ในการยืมคราวหน้า… ฟอร์สถอนหายใจเจือความหวาดกลัว ไม่กล้าเอาเปรียบนักฆ่าเลือดเย็นและป่าเถื่อนรายนี้
จัดการตัวเองเสร็จ หญิงสาวใช้งานลูกแก้วทำนาย ไล่ตรวจสอบพลังชนิดใหม่ในหนังสือทีละหน้า พบว่าทุกพลังมีประโยชน์และใช้งานค่อนข้างง่าย ยกเว้น ‘จันทร์เต็มดวง’
แต่ถ้าเราอยากฆ่าตัวตาย เจ้านี่น่าจะตอบโจทย์… หญิงสาวพึมพำ พับเก็บบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ รอซิลกลับมาในตอนกลางคืนและมอบตะกอนพลัง ‘นักสอบสวน’
…
หนึ่งทุ่มตรง ไคลน์ในชุดสุภาพ กำลังยืนข้างพ่อบ้านวอลเตอร์และบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน รอทักทายแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงเต้นรำ
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย
อลัน·คริสต์!
ศัลยแพทย์ชื่อดังรายนี้กำลังกุมมือภรรยาท้องโต ย่างกรายผ่านประตูทางเข้า
สตรีตั้งครรภ์… หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง ทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ราชันเร้นลับ 817 : แขก
Ink Stone_Fantasy
ในฐานะสุภาพบุรุษวางตัวดี ไคลน์ไม่หันไปจ้องภรรยาของอลัน เพียงมองหน้าศัลยแพทย์ชื่อดังและกล่าว
“สายัณห์สวัสดิ์ อลัน ผมควรเรียกสุภาพสตรีท่านนี้ว่าอย่างไร?”
อลันเดินมายื่นไวน์แดงซึ่งมีบรรจุภัณฑ์สวยงามให้เจ้าภาพด้วยสีหน้าเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน ยิ้มอย่างสุภาพและกล่าว
“ภรรยาของผม เวลม่า·กลาดีส ครูสอนโรงเรียนมัธยม”
“กำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกแล้วสินะครับ กำหนดคลอดช่วงไหน?” ไคลน์รับของขวัญจากอีกฝ่ายและถามกลับ
เดิมที หัวข้อสนทนาที่เตรียมไว้สำหรับอลันจะเกี่ยวกับผลงานตีพิมพ์ทางการแพทย์ในช่วงหลัง คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพาภรรยาท้องแก่ใกล้คลอดมาร่วมงาน
เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้ไคลน์ไม่น้อย เพราะทารกที่กำลังจะเกิดมาจากท้องมาดามเวลม่าไม่ใช่ใคร แต่เป็น ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน
อลันชำเลืองครรภ์ภรรยา เผยรอยยิ้มเล็กๆ
“ต้นเดือนกรกฎาคม หากไม่ติดขัดอะไร ผมอยากให้คุณมาร่วมงานฉลองวันเกิด”
กล่าวจบ สุภาพสตรีเลอโฉมผมดำขลับ บุคลิกอ่อนโยน เลื่อนมือขึ้นมาลูบท้องและพึมพำด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“เกิดอะไรขึ้น?” อลันโพล่งถาม
“เมื่อครู่เขาเตะท้องฉัน แต่ตอนนี้สงบแล้ว” เวลม่ากล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
หญิงสาวมองหน้าดอน·ดันเตส วาดยิ้มและพูด
“นับตั้งแต่ตั้งครรภ์ ดิฉันก็ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเต้นรำอีกเลย ได้แต่บ้านด้วยอารมณ์ห่อเหี่ยวเล็กๆ นั่นคือเหตุผลที่ดิฉันรบเร้าให้อลันพามางานวันนี้ด้วย แม้ว่าตัวเองจะเต้นไม่ได้ แต่ก็ยังได้พูดคุยกับเหล่าสุภาพสตรี รวมถึงการร่วมวงเล่นไพ่”
“การมาเยือนของคุณ ถือเป็นเกียรติแก่งานเลี้ยงของผมมาก” ไคลน์ตอบจากก้นบึ้ง “ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ผมจะเข้าร่วมงานวันเกิดอย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มไม่แยแสอุบัติเหตุเล็กน้อยเมื่อครู่ ยังคงหนักแน่นในคำเชิญของนายแพทย์อลัน
หลังจากทักทายกันตามมารยาท ไคลน์ส่งของขวัญในมือให้บุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน เดินนำทางแขกทั้งสอง— สามคนเข้าไปในโถง
โดยไม่ต้องรอนาน ชายหนุ่มกลับมาต้อนรับแขกอีกหนึ่งคู่ บิชอปอีเล็คตร้าและสตรีที่มาด้วยกัน ฝ่ายชายยังคงสวมเสื้อคลุมนักบวชสีดำทรงโบราณ
ฝ่ายหญิงแก้มยุ้ยเล็กน้อย น่ารักน่าเอ็นดู อายุของเธอราวยี่สิบตอนต้น ยังคงมองโลกสวยงามและมีชีวิตชีวา แต่เนื่องจากเคยมีบุตรแล้ว บุคลิกจึงดูค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่
“สายัณห์สวัสดิ์ บิชอป พักหลังมานี้ผมหลับสบายมาก” ไคลน์แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าได้รับความช่วยเหลือลับๆ จากโบสถ์รัตติกาล
บิชอปอีเล็คตร้าทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก
“คงเป็นพรจากท่านเทพธิดา”
จากนั้น มันแนะนำตัวสุภาพสตรีที่มาด้วยกัน
“ภรรยาของผม ชอว์น่า·จอห์นสัน”
เนื่องจากอีเล็คตร้าสนิทสนมกับดอน·ดันเตส และเคยแวะมาหาที่คฤหาสน์บ่อยครั้ง จึงไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญ เพราะนั่นจะถือว่าเป็นทางการเกินไป ดูห่างเหินเกินไป
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณสาวกว่าที่ผมคิดไว้มาก” ไคลน์หันไปพยักหน้าให้ชอว์น่า กึ่งชมเชยกึ่งติดตลก
ขณะเดียวกัน มันคำนวณในใจ
เราได้ยินว่าบิชอปแต่งงานเมื่อสองปีก่อน กล่าวอีกนัยหนึ่ง… ตอนนั้นภรรยาของเขาเพิ่งสิบแปดสิบเก้า… ห่างกันพอสมควร… เกรงว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราคงต้องแนะนำนักปรุงยาร่างท้วมคนนั้นให้บิชอป…
เมื่อได้ยินมุกตลกของดอน·ดันเตส อีเล็คตร้าหวนนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งเคยมาเยี่ยมไข้ ภายในใจเริ่มกระอักกระอ่วน จึงกระแอมแห้งหนึ่งหนและตอบแทนในส่วนของภรรยา
“เธอยังรักสนุกอยู่ หากมีโอกาสจะไม่พลาดงานเลี้ยงเต้นรำ”
ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนา เนื่องจากเห็นมาดามแมรีกำลังลงจากรถม้าและเดินตรงมา
หลังจากส่งบิชอปอีเล็คตร้าและภรรยาเข้าไปในห้องโถง ไคลน์ยิ้มและทักทายแมรี่
“มาดาม หวังว่าพวกเราจะได้ทำงานด้วยกันในสัปดาห์หน้า”
นักกฎหมายและทีมทนายที่จ้างมา ส่งรายงานสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว บริษัทโคอิมไม่มีปัญหา เหมาะสมอย่างมากที่จะลงทุนด้วย และไคลน์ก็บรรลุข้อตกลงกับผู้ขายแล้ว หุ้นสามเปอร์เซ็นต์จะมีมูลค่ารวม 12,800 ปอนด์ เหลือแค่รอการยืนยันอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายสัปดาห์หน้า
ได้ยินเช่นนั้น แมรี่หัวเราะในลำคอ
“สำหรับตอนนี้ ดิฉันก็คิดว่าพวกเราเป็นหุ้นส่วนกันแล้ว”
ฟังดูเหมือนมีนัยมากกว่านั้น… อย่าบอกนะว่าเธอกำลังแอบสนใจดอน·ดันเตส? หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายแฝง เหยียดแขนออกไปหาและกล่าว
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน”
หลังจากจับมือเบาๆ ตามมารยาท ชายหนุ่มบอกให้พ่อบ้านวอลเตอร์เดินนำสตรีเข้าไปในห้องโถง
ถึงตรงนี้ แขกเริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น ไคลน์ทบทวนหัวข้อสนทนาที่สอดคล้องกับแต่ละคน ทักทายอย่างเป็นกันเองและอบอุ่น ได้รับของขวัญมากมาย
หากไม่ใช้เพราะ ‘ผู้ไร้หน้า’ สามารถจดจำใบหน้าของอีกฝ่ายได้แม่นยำ เราคงบอกไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ยากจะนึกถึงหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวข้อง… เข้าใจแล้วว่าทำไม ในเวลาแบบนี้ การมีพ่อบ้านถึงเป็นสิ่งสำคัญ… ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะหันไปเห็นครอบครัวของส.ส. มัคท์เดินตรงมา
ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง เดินไปทักทาย
“สายัณห์สวัสดิ์ วันนี้ดาวบนฟ้าสวยจังเลยนะครับ”
ส.ส. มัคท์ยิ้มพลางยื่นขวด ‘แรนดี้ดำ’ ที่บ่มจากคฤหาสน์แห่งหนึ่ง
“ผมอาศัยอยู่ในเบ็คลันด์มาเกือบยี่สิบปี จำนวนวันที่เห็นดวงดาว รวมกันยังไม่เท่าปีนี้ปีเดียว”
“หวังว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” ไคลน์หันไปมองมาดามลีอานน่า “ผมได้ยินว่าคุณกำลังมองหาโรงเรียนประจำให้มิสเฮเซล?”
ลีอานน่าชำเลืองไปทางบุตรสาวสีหน้าเย็นชาและบุคลิกหยิ่งทระนงด้านข้าง มอบคำตอบอย่างสุภาพ
“ตอนนี้โรงเรียนประจำกำลังได้รับความนิยม ไม่เว้นแม้แต่โรงเรียนหญิงล้วน และเหนือสิ่งอื่นใด เฮเซลจะได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจ คล้ายกับไม่อยากจากพวกเราไปไหน”
ในกรุงเบ็คลันด์ โรงเรียนประจำหญิงล้วนของชนชั้นสูงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีคุณภาพไม่เท่าการเรียนที่บ้าน แต่ก็จะได้สายสัมพันธ์ทางสังคม
โรงเรียนประจำในทำนองนี้ ลำพังค่าเทอมต่อปีจะไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปอนด์
สิ่งที่เฮเซลไม่อยากแยกจาก น่าจะเป็นท่อระบายน้ำมากกว่า… ไคลน์จิกกัด ทักทายพอเป็นพิธี จากนั้นก็เดินนำครอบครัวมัคท์เข้าไปในห้องโถง
รอจนกระทั่งใกล้ถึงเวลา ชายหนุ่มเลิกยืนรอหน้าประตู เดินขึ้นไปยังชั้นสอง หยุดยืนหน้าราวบันไดฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้า ส่งสัญญาณบอกให้วงดนตรีหยุดบรรเลงชั่วคราว
ด้วยแก้วแชมเปญในมือ ไคลน์กวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อเห็นแขกส่วนใหญ่มองกลับมา มันกล่าวเสียงดัง
“ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนตอบรับคำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงเต้นรำในคืนนี้ อันดับแรก ขอขอบคุณองค์เทพธิดา และอันดับถัดมา ขอขอบคุณทุกคนจากใจจริง… อาหารและดนตรีในค่ำคืนนี้จะอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของอ่าวเดซีย์ หวังว่าทุกคนจะชอบ…”
จบการกล่าวเปิดงานอย่างเรียบง่าย ไคลน์เดินลงมายังฟลอร์เต้นรำชั้นหนึ่ง เตรียมชักชวนสตรีเต้นรำเป็นคู่เปิด
เดิมที ในการเต้นคู่เปิด เจ้าภาพจะต้องชักชวนคู่สมรสของตน หากยังโสดจะเลือกจากญาติต่างเพศ หรือไม่ก็คนที่กำลังสนใจ ถือเป็นการทำความรู้จักเบื้องต้น แต่ดอน·ดันเตสไม่มีญาติที่นี่ และไม่มีสตรีที่กำลังหมายตา สถานการณ์จึงค่อนข้างกระอักกระอ่วน
อย่างไรก็ตาม ไคลน์มีพ่อบ้านมือฉมังอยู่ข้างกาย วอลเตอร์ได้นัดแนะกับสตรีคนดังในสังคมไว้ล่วงหน้า การเต้นรำกับเธอจะช่วยให้ไม่เกิดข่าวลือเสียๆ หายๆ ตามมา
ไคลน์จึงสามารถมองหน้าสุภาพสตรีนามว่าฮอลลี่ได้โดยไม่ต้องลำบากใจ ย่างกรายไปหาอีกฝ่ายอย่างมั่นคง
สุภาพสตรีรายนี้เป็นแม่หม้าย มีความสัมพันธ์อันดีกับชนชั้นสูงหลายฝ่ายในเบ็คลันด์ ฮอลลี่ชื่อชอบวิถีชีวิตในปัจจุบันและไม่อยากเปลี่ยนแปลง แต่บรรดาสตรีสูงศักดิ์หลายคนไม่ชอบหน้าเธอ
เหนือสิ่งอื่นใด ฮอลลี่เป็นสุภาพสตรีที่มีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะรูปร่างที่สมส่วนและโค้งเว้าจนเกือบสมบูรณ์แบบ หากไม่เพราะหน้าตาดีกว่ามาตรฐานเพียงเล็กน้อย ไคลน์คงสงสัยว่ามาดามฮอลลี่เป็นแม่มด
“มาดาม รบกวนเป็นคู่เต้นให้ผมได้ไหมครับ” ไคลน์ทำตามคำนำแนะของครูสอนมารยาทวาฮาน่า กิริยาท่าทางเป็นไปอย่างสง่าผ่าเผย
ฮอลลี่เจ้าของเส้นผมสีทอง เผยรอยยิ้มสงวนกิริยา ยื่นแขนออกมาพร้อมกับกล่าว
“คำเชิญจากสุภาพบุรุษอย่างคุณ คงไม่สตรีใดปฏิเสธลง”
รุกหนักมาก… นั่นสินะ ด้วยฐานะทางสังคมของเธอ มาดามฮอลลี่สามารถทำตัวเปิดเผยได้มากกว่าสุภาพสตรีส่วนใหญ่… ไคลน์ยื่นแขนออกไปจับมืออีกฝ่ายและจูงมายังกลางฟลอร์ ตามด้วยการเต้นรำภายใต้ดนตรีกลิ่นอายชนบท
ขุนนางส่วนมากมักมีที่ดิน มีปราสาท และมีคฤหาสน์ในแถบชนบท แถมยังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นปีละหลายเดือน ส่งผลให้ท่วงทำนองของเพลงชนบทได้รับความนิยม
“คุณเต้นเก่งมาก หากไม่ใช่เพราะวาฮาน่าเล่าให้ฟัง ดิฉันคงไม่รู้ว่าคุณไม่เคยเต้นรำมาก่อน” ฮอลลี่จงใจโน้มตัวเข้ามาใกล้ ผนวกกับจังหวะการก้าวเท้าในปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
เนื่องจากอีกฝ่ายยังเป็นคนแปลกหน้า ไคลน์ค่อนข้างอึดอัดกับระยะห่าง แต่ก็มิได้ผลักไสเธอต่อหน้าทุกคน เพียงส่งยิ้มให้
“ผมแค่ไม่รู้จักวิธีเต้นของที่นี่… ถนัดการเต้นรำแบบเดซีย์หรือทวีปใต้มากกว่า”
“ดิฉันเองก็ชอบการเต้นรำของพวกเขา ทั้งทรงพลังและเต็มไปด้วยอารมณ์ เป็นการเต้นรำเพื่อตัวเอง มิใช่เพื่อใคร” ฮอลลี่ตอบโต้บทสนทนาพลางหมุนตัวจนขยับเข้าใกล้ดอน·ดันเตสเป็นอย่างมาก
ขณะใกล้จบการเต้นคู่เปิด หญิงสาวลดเสียงลง
“หากไม่เคยได้ยินข่าวลือของคุณมาก่อน ดิฉันคงคิดว่าคุณไม่ชอบผู้หญิง เพราะบุคลิกค่อนข้างเย็นชา… แต่ตอนนี้หายข้องใจแล้ว”
กล่าวจบ เธอลดสายตาลงมองต่ำ
อันที่จริง ไคลน์กำลังอึดอัดไม่น้อย อีกฝ่ายชำนาญการบริหารเสน่ห์และภาษากายเพื่อสร้างบรรยากาศสองแง่สองง่าม แต่ดอน·ดันเตสเป็นสุภาพบุรุษมากประสบการณ์ จากภายนอก มันจึงยอมแพ้ไม่ได้
ชายหนุ่มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
“ผมทำตัวเย็นชาเพราะยังไม่คุ้นชินกับสังคมในกรุงเบ็คลันด์”
“ดิฉันยินดีสอน” ฮอลลี่หัวเราะในลำคอ
จนกระทั่งเพลงจบ หญิงสาวก้าวถอยหลัง กะพริบตาและส่งยิ้ม
“การได้เต้นกับคุณทำให้ดิฉันใจสั่น”
เธอพูดจาสองแง่สองง่ามอีกครั้ง ไคลน์เกือบหน้าแดงด้วยความเขินอาย เริ่มสงสัยอย่างจริงจังว่าอีกฝ่ายอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่มด
ชายหนุ่มยังคงสุขุมบนเปลือกนอก โค้งศีรษะคำนับและพาอีกฝ่ายไปส่งในตำแหน่งเดิม ขณะเดียวกัน มุมสายตาบังเอิญชำเลืองไปเห็นว่า มาดามเวลม่า·กลาดีสกำลังพา ‘อสรพิษปรอท’ เดินตรงไปยังโต๊ะยาว เป้าหมายดูเหมือนจะเป็นไอศกรีม
ราชันเร้นลับ 818 : คำเตือน
Ink Stone_Fantasy
ไคลน์เลื่อนสายตาออกจากมาดามเวลม่า·กลาดีส มองไปยังเค้กแคร์รอตและมัฟฟินครีมด้านข้าง รวมถึงไก่ย่างทั้งตัว สตูเนื้อแกะ สเต๊กริบอาย และปลาทอดสูตรพิเศษของอ่าวเดซีย์
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายที่มีอยู่น้อยนิด ฝืนตัวเองให้มองกลับมา เตรียมชวนมาดามแมรี่เต้นรำในรอบถัดไป
ในฐานะเจ้าภาพ การเต้นรำสามเพลงแรกคือสิ่งที่ห้ามพลาด มันจึงทำได้เพียงอดกลั้นความหิวโหย
ขณะเดียวกัน เวลม่า·กลาดีส สุภาพสตรีผู้มีท้องนูนยื่นออกมาเด่นชัด เดินไปยังจุดวางถ้วยไอศกรีมและเหยียดแขนออก ก่อนจะหดกลับในเวลาถัดมา
“คุณอยากกินหรือ?” สามีของเธอ นายแพทย์อลัน ไม่เข้าร่วมการเต้นรำในเพลงแรก แต่คอยเดินตามภรรยา
เวลม่า·กลาดีสส่ายศีรษะขึงขัง
“ไม่อยากกิน ดิฉันกำลังตั้งครรภ์ การกินไอศกรีมไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก… แต่ดูเหมือนว่า เด็กน้อยในท้องอยากลิ้มลองคำเล็กๆ … แค่คำเล็กๆ เท่านั้น”
นายแพทย์อลันผงกศีรษะเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ชิมคำเล็กๆ แล้วส่งที่เหลือมาให้ผม”
เวลม่าฉีกยิ้มกว้าง
“คุณตามใจเด็กคนนี้เกินไปแล้ว!”
แต่เธอไม่คัดค้าน ทำเพียงยืนมองสามีตักไอศกรีมเป็นก้อนกลม
หลังจากกินไปสองคำ เวลม่าหลับตาลงด้วยความดื่มด่ำ ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งและมองไปรอบๆ พบสตรีกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการเต้นในเพลงแรก พวกหล่อนกำลังซุบซิบบางสิ่ง ยิ้มอย่างมีเลศนัย มีการป้องปากหัวเราะเป็นบางครั้ง
คุยอะไรกันนะ? น่าสนุกจัง… เวลม่าเกิดความสงสัย หลังจากบอกลาสามี เธอเดินไปยังกลุ่มสตรีดังกล่าว
ทว่า พวกหล่อนสลายตัวอย่างรวดเร็ว คล้ายกับเตรียมเข้าร่วมการเต้นรำในเพลงที่สองพอดี
เวลม่าค่อนข้างผิดหวัง กล่าวกับหญิงสาวที่ยังยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม
“พวกเขาคุยอะไรกันหรือคะ?”
“ไม่ทราบค่ะ ดิฉันไม่ได้สนใจฟัง” เฮเซลกล่าวพลางชำเลืองสตรีท้องแก่ด้านข้าง
เธอไม่ได้ตำหนิเรื่องที่อีกฝ่ายเสียมารยาท สตรีมีครรภ์มักได้รับการยกเว้นในเรื่องนี้
ขณะเดียวกัน เวลม่าพบว่าเฮเซล หญิงงามเจ้าของเส้นผมสีเขียวเข้มที่กำลังถือแก้วแชมเปญ ไม่มีความคิดจะเข้าร่วมการเต้นรำ
เธอเป็นคนหยิ่งทระนง แต่ก็ถูกสอนมารยาทมาอย่างดี ต่อให้สนทนากับทาสของบารอน ก็ยังรักษากิริยามารยาทขั้นพื้นฐาน… นิสัยเช่นนี้น่าคบหา แต่ปัญหาก็คือ เธอทำแบบนี้กับทุกคน และนั่นถือว่าเย็นชาเกินไป… หรือนี่จะเป็น ‘วัยต่อต้าน’ ที่จักรพรรดิโรซายล์หมายถึง? ในฐานะครูมัธยม เวลม่าอดไม่ได้ที่จะแสดงความเห็น ก่อนจะทิ้งระยะห่างออกมาและมองหาสุภาพสตรีที่คุ้นเคย
หลังจากการเต้นรำสามเพลงแรกจบลง ไคลน์มีเวลาพักหายใจ สามารถเดินไปกินอาหารหรือดื่มชาเย็นเพื่อดับกระหาย – เกือบทั้งหมดคืออาหารท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของอ่าวเดซีย์
และเนื่องจากกำลังพกพาลางมรณะ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะหิวน้ำบ่อยกว่าปรกติ หลังจากสนทนากับบิชอปอีเล็คตร้าได้ไม่นานก็ต้องขอตัวเข้าห้องน้ำ
อันที่จริง ไคลน์ยังอดทนเต้นได้อีกสามเพลง แต่เนื่องจากวันนี้ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสตินมาเยี่ยมถึงที่ ชายหนุ่มเชื่อว่าอีกฝ่ายน่าจะมีเรื่องคุยกับตน จึงทำตัวเองให้พร้อมกับการสนทนา มองหาสถานที่ลับตาสำหรับสนทนา
แม้ว่าจะ ‘ท่าน’ ผู้นี้จะเป็นเพียงทารกในครรภ์และบังเอิญมาที่นี่เพราะความตั้งใจของมารดา แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ต้องการพบหน้าเรา ยังมีอีกร้อยแปดวิธีในการเปลี่ยนใจมารดา… สรุปโดยสั้น ลองดูก็ไม่เสียหาย… ไคลน์พึมพำพลางเดินเข้าห้องน้ำ ลงกลอนปิดประตู
ชายหนุ่มลังเลว่าตนควรจัดการกับปัญหาเบื้องล่างก่อนดีหรือไม่ แต่สุดท้ายตัดสินใจยืนรอสองสามนาที จนกระทั่งสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น จึงรีบมองไปทางกระจกเงาสำหรับล้างหน้า
ภาพของทารกคนหนึ่งปรากฏบนผิวกระจก นอนอยู่ในรถเข็นเด็กสีดำ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยเงาดำจนยากจะมองเห็นรายละเอียด ทราบเพียงว่าร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมสีเงิน
ทารกเปล่งเสียงกระจ่างใส
“ชะตากรรมของเจ้าพลิกผันเล็กน้อย”
“เกิดอะไรขึ้น?” หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง
วิล·อัสตินในร่างทารกยิ้มเยาะ
“ลองถามตัวเองดูเถอะ! สิ่งเดียวที่ข้าทราบก็คือ เจ้าน่าจะได้พบกับเทวทูตมา”
ไคลน์นึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นบนเกาะโบราณและสมมติฐานของตน ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้ว
“เทวทูตมองเห็นความพิเศษในตัวผมได้ไหม? ก่อนหน้านี้ ในตอนที่พบกับ ‘แสงส้ม’ เขาบอกว่ามีเพียงสัตว์วิเศษระดับสูงไม่กี่ตน รวมถึงเทพที่ถือครองอำนาจในบางเส้นทาง และผู้วิเศษเส้นทางโชคชะตา จึงจะสามารถมองเห็นความพิเศษในตัวผม แถมยังต้องอยู่ในระยะใกล้มาก”
วิล·อัสตินที่กำลังดูดนิ้วในรถเข็นเด็กสีดำ กล่าวพลางยิ้ม
“คงไม่ เพราะเจ้าไม่ใช่ตัวอันตราย… นอกจากนั้น สิ่งที่เทวทูตสนใจอาจไม่ใช่ความพิเศษในตัวเจ้า แต่เป็นพวกพ้องหรือวัตถุบางชิ้นที่มีความพิเศษใกล้เคียงกัน”
วัตถุบางชิ้น หรือพวกพ้องบางคน… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก จนกระทั่งเริ่มฉุกคิดบางอย่าง เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะหลงลืมได้จนถึงตอนนี้ ราวกับถูกใครบางคน ‘ชี้นำทางจิตใจ’ ให้ลืมมันไป
ในตอนที่สำรวจเกาะโบราณ ชายหนุ่มนำ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ติดตัวไปด้วย!
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยเทพบรรพกาล ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล!
หากเกาะโบราณมีส่วนเกี่ยวพันกับสภานักสิทธิ์สนธยาจริง เทวทูตที่ถอนหายใจจากส่วนลึกของวิหาร ไม่ว่าจะพลาดการชิงไพ่เย้ยเทพกลับไป หรือจงใจปล่อยให้เรานำกลับ แต่ท่านจะต้องสนใจการเดินทางของกรอซายแน่ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ผู้นำสูงสุดขององค์กรลับนี้คือ ‘เทวทูตจินตภาพ’ บุตรแห่งเทพ อาดัม! หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นเพราะ ‘การเดินทางของกรอซาย’ อีกฝ่ายจึงยอมมอบไพ่ทรราชให้เราอย่างง่ายดาย และกับการไม่ให้เราและแฮงแมนสำรวจลึกเข้าไป? ไคลน์ครุ่นคิดหาคำตอบ
“แล้วจะแก้ไขได้ยังไง?”
“ไม่จำเป็นต้องแก้ไข ในระยะยาว สิ่งนี้จะเป็นเรื่องดีกับตัวเจ้า เพียงแต่ระหว่างทางอาจมีอุปสรรคค่อนข้างมาก” วิล·อัสตินตอบด้วยเสียงใสกังวาน “แต่สำหรับเจ้าที่มีอุปสรรคในชีวิตอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เพิ่มไปอีกสักหน่อยก็ไม่เสียหาย ที่ข้าเตือนก็เพราะต้องการให้เพิ่มความระมัดระวัง ไม่ถูกอุปสรรคเหล่านั้นจัดการไปเสียก่อน”
สมเหตุสมผล เหมือนกับคนเป็นหนี้ ถ้าเป็นหนี้มากถึงจุดหนึ่งก็เลิกกังวลไปเอง… บางที นี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่จะปล่อยให้บรรดาเจ้าหนี้ทะเลาะกัน… หลังจากครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง ไคลน์เห็นพ้อง
ก่อนจะหันไปถาม
“เพื่อนของผมที่ต้องการเลือดสัตว์ในตำนานหนึ่งหยด คุณต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน?”
“ข้าต้องการสิ่งใด?” วิล·อัสตินเหยียดหยัน “ข้าต้องการหลายสิ่งมาก ยกตัวอย่างเช่น วิธี ‘ปรองดอง’ กับ ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ หรือไม่ก็ช่วยข้าจัดการกับโอโรเลอุส… หากเจ้าทำได้ จะเลือดกี่หลอดก็เอาไปเลย! แล้วทำได้ไหม?”
ถ้ามีพลังพอจะทำแบบนั้น ฉันจะเสี่ยงกับโอโรเลอุสทำไม? เชือดทารก ‘อสรพิษแห่งชะตา’ อย่างนายไม่ง่ายกว่าหรือ? นั่นก็ทำให้ได้เลือดเหมือนกัน… ไคลน์ส่ายหน้าพลางรำพัน
“ทำไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าต้องเป็นฝ่ายเสนอมา ข้าไม่รีบร้อน” วิล·อัสตินเว้นวรรค “…สตรีหยิ่งทระนงคนนั้นกำลังมีปัญหา หากเจ้ามีโอกาสพูดคุยกับเธอ อย่าลืมชักนำบทสนทนาเข้าสู่หัวข้อความฝัน”
เฮเซล? ความฝัน? ไคลน์พยักหน้าพลางครุ่นคิด
“ตกลง”
เมื่อเห็นวิล·อัสตินกำลังจะกลับ ชายหนุ่มรีบเสริม
“นกกระเรียนกระดาษใกล้จะขาดแล้ว หากมีเหตุฉุกเฉินในอนาคต ผมจะติดต่อคุณยังไง?”
วิล·อัสตินกล่าวหลังจากเงียบไปสักพัก
“เจ้าหวังให้ข้าพับนกกระเรียนกระดาษในครรภ์มารดารึไง? หรือต่อทำให้ได้ เจ้าก็เอาออกไปไม่ได้! หากข้าต้องการพบเจ้า ตราบใดที่ยังอยู่ในเมืองนี้ ข้าสามารถไปหาได้ทุกเมื่อ… หากมีเหตุฉุกเฉิน แค่แวะมาหาพ่อข้าก็พอ! จากนั้นก็รอสักพัก เหมือนกับที่เจ้ารอหลังจากใช้นกกระเรียนกระดาษ… เอาล่ะ ในฐานะทารกในครรภ์ ข้าต้องนอนหลับให้เพียงพอ ไว้คุยกันวันหลัง”
ไคลน์พยักหน้ารับ
“เชิญ ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว”
ขณะภาพของวิล·อัสตินกำลังเลือนหาย ฉากบนกระจกหยุดชะงักราวสองวินาที ก่อนจะส่งเสียง
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง”
“เรื่อง?” ไคลน์เริ่มเครียดอีกครั้ง
วิล·อัสตินกระแอมในลำคอและตอบ
“ไอศกรีมที่พ่อครัวของเจ้าทำ รสติดหวานเกินไป…”
หา? ไคลน์ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก จนกระทั่งทารกในรถเข็นสีดำหายไปจากกระจก มันเพิ่งเข้าใจความหมาย มุมปากกระตุกแผ่วเบาอย่างมิอาจหักห้าม
หลังจากจัดการปัญหาช่วงล่างของตัวเองเสร็จ ไคลน์ล้างมือและออกจากห้องน้ำ มองหาบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันและออกคำสั่ง
“ไปที่ห้องครัว บอกให้พวกเขาลดความหวานของไอศกรีมตั้งแต่ชุดถัดไป”
ริชาร์ดสันไม่ถามถึงเหตุผล ตอบรับอย่างว่าง่ายและเดินไปทางห้องครัว จนกระทั่งใกล้ถึงครัว มันเริ่มเอะใจ
มิสเตอร์ดอน·ดันเตสยังไม่ได้ไปยุ่งกับไอศกรีม แล้วทำไมเขาถึงรู้ว่ารสชาติหวานเกินไป?
แต่เพียงไม่นานก็ได้คำตอบให้ตัวเอง นั่นคือ คงมีแขกสักคนที่ลองกินและปัญหามาบอกกับเจ้าภาพ
แม้จะค่อนข้างเสียมารยาท แต่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์แปลกใหม่ เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในกรณีที่เจ้าภาพและแขกสนิทกันมาก เป็นการตักเตือนด้วยความหวังดี จะได้รีบแก้ไขปัญหา ไม่ทำให้ชื่อเสียงของเจ้าภาพเสื่อมเสีย
ปัจจุบัน เนื่องจากการเต้นรำเพลงล่าสุดยังไม่จบ ไคลน์ไม่รีบร้อนหาคู่เต้น เพียงเดินไปยังสุดขอบโต๊ะอาหารยาว เตรียมเร่งมือลิ้มรสอาหารอันโอชะ
ขณะหยิบชิ้นปลาทอดเดซีย์ไร้ก้าง มุมสายตาชำเลืองเห็นเวลม่า·กลาดีสเดินเข้ามาใกล้ หยิบแก้วชาเย็น
หญิงสาวผงกศีรษะทักทายเจ้าภาพ ยิ้มและกล่าว
“เครื่องดื่มชนิดนี้อร่อยมาก ดิฉันเพิ่งเคยดื่มเป็นครั้งแรก”
“ชาเย็นจากทวีปใต้ครับ” ไคลน์อธิบายด้วยรอยยิ้ม ก้มมองครรภ์และพูด “เขาทำตัวเรียบร้อยดีนะครับ… เอ่อ… ไม่สิ อาจจะเป็น ‘เธอ’ ก็ได้”
เวลม่ายิ้ม
“ใช่ค่ะ ส่วนใหญ่จะเรียบร้อย มีแค่ตอนกลางคืนที่นานๆ ครั้งจะเล่นซน”
ตอนกลางคืน… นานๆ ครั้ง… ตอนที่ตอบคำถามของเรา? ไคลน์รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็แสร้งหูทวนลม หันเหความสนใจกลับไปยังจานอาหาร ส่วนเวลม่าดื่มชาเย็นและกลับไปยืนในจุดที่เคยสนทนากับกลุ่มสตรี
จนกระทั่งการเต้นรำรอบใหม่ใกล้เริ่มขึ้น ไคลน์วางจานและแก้วให้กับบริกรชายด้านข้าง มองหาเฮเซลและเดินตรงไปทักทาย
“มิส… เป็นเกียรติมาเป็นคู่เต้นให้ผมได้ไหม?”
เฮเซลเงียบไปสักพัก วางแก้วแชมเปญลงบนถาดเงินในมือบริกร ตอบกลับอย่างสุภาพ
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น