Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 807-814

 ราชันเร้นลับ 807 : ดวงไม่ดี

Ink Stone_Fantasy

เมื่อสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนของผืนดิน หัวใจอัลเจอร์เริ่มเต้นแรง รีบหันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์และอ่านเจตนาของอีกฝ่ายผ่านภาษากาย


พร้อมกันนั้น มันเสกสายลมรายล้อมร่างกาย ช่วยให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว ก่อนจะรีบฉากหลบไปด้านข้าง


อัลเจอร์ทำเช่นนี้ก็เพราะกังวลว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจสติแตก นึกครึ้มอยากล่าสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวภายในถ้ำ เพราะหากลงเอยเช่นนั้น ถึงจะเอาชนะศัตรูได้ แต่ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนการสำรวจระยะยาวแน่นอน


และในฐานะคนเดินเรือมากประสบการณ์ มันทราบดีว่าการตัดสินใจที่เด็ดขาดจะช่วยทำให้พวกพ้องที่ยังไม่มีเป้าหมาย ตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกัน


ไคลน์โล่งใจเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ละทิ้งการถกเถียงเรื่องมารยาท รีบวิ่งตามหลังแฮงแมนไปไม่ห่าง


ขณะเดียวกัน มันสัมผัสถึงลมที่พัดมาจากด้านหลังและใต้ฝ่าเท้า ช่วยให้พุ่งตัวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น แรงโน้มถ่วงมีผลต่อร่างกายน้อยลง ความเร็วโดยรวมจึงเพิ่มขึ้นราวสองเท่า


ท่ามกลางเสียงลมหวีด ไคลน์และอัลเจอร์วิ่งออกจากจุดที่มีต้นไม้บางตา ตรงเข้าไปในเขตที่มีความมืดปกคลุมหนาทึบ


ทันใดนั้น อัตราการเต้นหัวใจของคนทั้งสองช้าลงกะทันหัน ไม่เหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายอย่างหนัก ตรงกันข้าม ดูคล้ายกับคนที่กำลังจะงีบหลับในยามบ่าย


ไคลน์รู้สึกหนาวเย็นจับใจ ความหม่นหมองที่ยากจะอธิบายพยายามแทรกซึมเข้ามาในร่าง


ขณะเดียวกัน มันเห็นจากแสงโคมไฟในมืออัลเจอร์ค่อยๆ ถูกเงายักษ์ที่โผล่มาจากหลังกลืนกินทีละนิด ฉากหนึ่งผุดขึ้นในนิมิตลางสังหรณ์


งูยักษ์ที่มีลำตัวใหญ่กว่าหนึ่งคนโอบพุ่งออกจากปากถ้ำ เกล็ดของมันมีขนาดมหึมา สีเขียวแกมดำ ดวงตากำลังลุกโชนด้วยเปลวไฟ


ระหว่างซอกเกล็ดมีขนนกสีขาวเปื้อนน้ำมันผุดแซม กลางหลังมีปีกใหญ่หนึ่งคู่ที่สามารถใช้การได้


งูยักษ์ตัวดังกล่าวกึ่งเลื้อยกึ่งบินขึ้นไปในอากาศ พันรอบต้นไม้ที่สูงใหญ่และแข็งแรง แลบลิ้นสองแฉกสีดำสนิท จ้องมองผู้บุกรุกสองคนจากระยะไกล


รอบตัวงูยักษ์ ต้นไม้เฉาตายอย่างรวดเร็ว วัชพืชเหี่ยวแห้งโดยสมบูรณ์ ศพจำนวนมากผุดขึ้นจากดินเปียกบนพื้น เงาดำล่องหนกำลังเคลื่อนไหวภายในความมืด


งูมีขน!


ไม่ผิดแน่ นี่คืองูขนนก!


ในทวีปใต้ งูขนนกคือสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ เป็นตราประจำตระกูลราชวงศ์อายเกสที่สืบเชื้อสายจากเทพมรณาโดยตรง!


ไคลน์และอัลเจอร์ไม่หยุดวิ่ง อดทนต่อความหนาวเย็นและอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้าลงมาก อาศัยความช่วยเหลือจากสายลมรีบมุ่งหน้าเข้าไปในป่าสีดำ ออกห่างจากจุดที่มีต้นไม้บางตา


ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก! อัตราการเต้นหัวใจของทั้งคู่เริ่มกลับเป็นปรกติ ความเย็นบนร่างกายค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญ


เมื่อสัมผัสวิญญาณแจ้งว่าอันตรายผ่านพ้นไปแล้ว ไคลน์ลดความเร็วลงและหันกลับไปมอง เปล่งเสียงเยือกเย็นท่ามกลางป่ามืด


“งูขนนก ระดับครึ่งเทพ”


“ครึ่งเทพ…” อัลเจอร์ลดความเร็วลงเช่นกัน เส้นเลือดบนหน้าผากปูดขึ้นเล็กน้อย


มันเว้นวรรคสองวินาที กล่าวพลางถอนหายใจแผ่ว


“ไม่มีอะไรต้องกังวล สัตว์วิเศษตัวนี้แค่หวงอาณาเขต ถ้ามันไม่อยากล่าก็จะไม่ออกจากถิ่นตัวเองเด็ดขาด โดยเฉพาะในบริเวณที่ใกล้กับภูเขา… มันคงไม่ตามเรามา”


ไคลน์พยักหน้าและหันไปถาม


“สัตว์วิเศษที่นี่มีระดับสูง?”


อัลเจอร์หันกลับมามอง ตอบพลางส่ายหน้า


“ไม่เสมอไป… มีพวกที่อ่อนแออยู่ไม่น้อยเช่นกัน… ผมเคยมาที่นี่ในตอนกลางคืน พบเพียงร่องรอยของสัตว์วิเศษระดับครึ่งเทพ แต่ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญหน้า… ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับดวง ผมคิดว่าพวกเราคงไม่น่าจะซวยซ้ำสอง”


ในฐานะนักเดินเรือ ทักษะการคำนวณคือสิ่งจำเป็น


นายกำลังหมิ่นราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ? ไคลน์จิกกัดตัวเองในใจ กล่าวหน้านิ่ง


“การฟันธงจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาตรงกันข้ามเสมอ”


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เดอะเวิร์ลต้องการจะสื่อว่า


อย่าฟันธง!


อันที่จริง ถ้าศัตรูไม่ใช่งูขนนกระดับครึ่งเทพ แต่เป็นลำดับ 5 เหมือนกัน ไคลน์คงเพลิดเพลินไปกับการกลั่นแกล้งอีกฝ่าย เพราะท้ายที่สุด ตนมีนกหวีดทองแดงอะซิกในมือ สัตว์วิเศษเส้นทางมรณาจะสูญเสียพลังไปกว่าครึ่งต่อหน้าสิ่งนี้


สำหรับโอกาสเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพ ชายหนุ่มมิได้ตื่นตระหนกมากนัก แฮงแมนเคยหยิบยกประเด็นนี้มาเกริ่นให้ฟังแล้ว จึงมีการเตรียมตัวอย่างรัดกุม ทั้งยันต์โจรปล้นดวง พลังพิเศษระดับครึ่งเทพจำนวนสามหน้าในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ หนังสือการเดินทางของกรอซาย และพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ถึงจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะ แต่การหนีก็คงไม่ยากเย็นเกินไป


ตราบใดที่ไม่หลงเข้าไปปะทะกับเทวทูตโดยตรง… ไคลน์รำพันเงียบ


ฟังคำเกอร์มันจบ อัลเจอร์ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่านักผจญภัยเสียสติรายนี้จงใจเตือนให้ตนไม่ประมาท


เป็นชายเสียสติที่เยือกเย็น? นั่นสินะ ถ้าเสียสติโดยสมบูรณ์ คงไม่มีทางอายุยืนขนาดนี้… อัลเจอร์แหงนมองฟ้า เพ่งมองผ่านชั้นหมอกหนา พยายามจำแนกดวงดาวที่เลือนราง


สองนาทีผ่านไป มันถอนสายตากลับ ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง


“ทางนั้น”


ไคลน์ที่หยิบลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ ออกมาถือ ปล่อยปากกระบอกปืนชี้ลงพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ เดินตามอัลเจอร์โดยไม่พูดอะไร สีหน้าเผยความเยือกเย็น


เดินผ่านป่าสีดำบรรยากาศมืดสลัวสักพัก อัลเจอร์ชะงักฝีเท้า มองไปทางฝั่งซ้ายและกล่าวเสียงขรึม


“ถ้าตรงไปข้างหน้าอีกไม่ไกลจะได้พบกับต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท ผมอยากลองจัดการด้วยตัวเองก่อน… สัตว์วิเศษตัวถัดไปจะเป็นของคุณ ผมจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง”


เว้นแต่คุณจะจัดการมันตามลำพังไม่ไหว… อัลเจอร์กลืนคำพูดครึ่งหลังลงคอ


ชายคนนี้ไม่ใช่นักล่าที่พบได้ทั่วไปในท้องทะเล มันจำเป็นต้องควบคุมปาก ไม่ติดนิสัยพูดในสิ่งที่ทำให้คนอื่นฟังแล้วโกรธ


วัตถุดิบหลักของโอสถที่มิสจัสติสกำลังมองหา… สมกับที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมากมาย มิสเตอร์แฮงแมนรู้ว่าในบางครั้ง การพูดอย่างตรงไปตรงมาจะมีประโยชน์กว่าการอ้อมค้อม และการเจรจามีประโยชน์กว่าเดาใจ… ไคลน์รักษามาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตอบกลับเสียงเย็นชา


“ตกลง… แต่ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน ควรขอความช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นผมจะมองว่าคุณเป็นคนหัวรั้น”


แม้ว่าบุคลิกของนักผจญภัยเสียสติจะแตกต่างจากนักล่าทั่วๆ ไป แต่ในบางแง่มุมก็ยังเหมือนกันสินะ… อัลเจอร์สูดลมหายใจเข้า ถือตะเกียงเดินนำหน้า


ขณะกำลังย่างกราย คนทั้งสองได้ยินเสียงกระดิ่งแผ่วเบา ความรู้สึกอยากกลับบ้านผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึก ร่างกายผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด


ไคลน์พบว่าความหวาดระแวงในตัวเริ่มจางหายอย่างมิอาจหักห้าม ไม่ว่าจะย้ำคิดย้ำทำสักเพียงใดก็ไม่สามารถเพ่งสมาธิได้คมชัด


ในวินาทีนี้ มันอยากพุ่งตัวไปยังทิศทางของเสียงกระดิ่ง โดยเชื่อว่ามีบางสิ่งที่ตนโหยหารออยู่


เนื่องจากระยะทางยังค่อนข้างไกล ผนวกกับการที่มีสายลมรอบตัวคอยรบกวน ไคลน์ควบคุมสติกลับมาอย่างยากลำบาก หันไปมองแฮงแมนด้านข้าง


อัลเจอร์สูญเสียความสุขุมที่ควรมี บนใบหน้าที่ค่อนข้างหยาบกร้าน ดวงตากำลังแดงระเรื่อ ไม่มีใครรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด


จินตนาการไม่ออกว่ามิสเตอร์แฮงแมนตอนร้องไห้หน้าตาเป็นยังไง… คงหลอนพิลึก… ไคลน์รำพันติดตลก


ทันใดนั้น อัลเจอร์พูดเบาๆ


“ผมจัดการเอง”


เมื่อสิ้นเสียง มันวางตะเกียงลง หมุนแหวนที่ดูชั่วร้ายบนนิ้วหัวแม่โป้งซ้าย เปลี่ยนให้หนามแหลมที่ยื่นออกมาเริ่มส่องแสง


นี่คือสมบัติวิเศษ ‘แส้จิต’ ผลข้างเคียงจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกปวดหัวอย่างต่อเนื่อง นึกอยากเอาหัวโขกกำแพงใจแทบขาด


แต่ในเวลานี้ อาการปวดหัวรุนแรงช่วยให้อัลเจอร์มีสติท่ามกลางเสียงกระดิ่งโดยไม่ถูกสะกดจิต


ผลข้างเคียงก็มีประโยชน์ในบางครั้ง… อัลเจอร์ถอนหายใจพลางหยิบกล่องไม้ออกจากกระเป๋าเสื้อ กดปุ่มเปิดกลไก


ภายในมีหนูสีเทา!


มิสเตอร์แฮงแมนต้องการใช้หนูเป็นเหยื่อล่อความสนใจของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท จากนั้นก็ถือโอกาสโจมตี? ไม่เลว เตรียมตัวได้ดี วางแผนละเอียดรอบคอบ… ในฐานะนักผจญภัยมากประสบการณ์ ไคลน์เข้าใจเจตนาคร่าวๆ ของแฮงแมนได้ในคราวเดียว


อัลเจอร์หยิบหนูออกมาและแบบมือเพื่อให้มันกระโดดลงไป แต่ทันใดนั้น สีหน้าของมันพลันบิดเบี้ยว


หนูสีเทาไม่เคลื่อนไหว ไม่มีลมหายใจ และอุณหภูมิร่างกายก็เย็นมาก ไม่สามารถทำหน้าที่เหยื่อล่อได้อีกแล้ว!


ในการเผชิญหน้ากับงูขนนกครึ่งเทพเมื่อครู่ แม้อัลเจอร์จะอยู่แนวหลังที่ถอนตัวได้เร็ว แต่หนูสีเทาซึ่งพกพามาด้วยเป็นเพียงสัตว์ธรรมดา ร่างกายและจิตไม่แข็งแรงนัก ถูกกระทบกระทั่งเพียงเล็กน้อยก็เสียชีวิตโดยไม่มีโอกาสหลบหนี


ตายแล้วสินะ… มิสเตอร์แฮงแมนกำลังพบสัจธรรมอีกหนึ่งข้อ นั่นก็คือ แผนการอาจไม่ตรงตามที่วางไว้เสมอไป มีปัจจัยมากมายคอยสร้างความเปลี่ยนแปลง… ดวงไม่ดีเอาเสียเลย… ได้เห็นฉากดังกล่าว มุมปากไคลน์ขยับเล็กน้อยคล้ายกับต้องการหัวเราะ แต่ก็ไม่อยากทำลายภาพลักษณ์ตัวเอง


สถานการณ์เช่นนี้นับว่าหาได้ยาก เมื่อพิจารณาว่าแฮงแมนเป็นคนที่รอบคอบและพิถีพิถันเพียงใด


อัลเจอร์รีบควบคุมสติ ถือหนูสีเทาที่ตายแล้วเดินหน้าต่อไป ส่วนไคลน์ก้มตัวลงไปหยิบตะเกียงและเดินตามหลังอย่างไม่มีร้อน


ยิ่งเสียงกระดิ่งลมทวีความคมชัด บรรยากาศรอบข้างก็ยิ่งเงียบสงัด ความปรารถนาที่อยากจะปรี่เข้าหาก็ยิ่งเพิ่มพูน


ผ่านไปไม่กี่ก้าว ในที่สุดไคลน์ก็ได้เห็นต้นไม้ประหลาด


ลำต้นสีน้ำตาลอมเขียว เปลือกไม้มีรอยแตกเป็นจำนวนมาก ช่องว่างดังกล่าวดำมืดราวกับมีดวงตานับไม่ถ้วนซ่อนอยู่


แต่ละปลายกิ่งก้านที่ยื่นออก ล้วนมีกระดิ่งลมโลหะสีเทาห้อยลงมา สั่นสะเทือนด้วยตัวเองจนเกิดท่วงทำนอง ในจุดที่ใกล้กลับลำต้นมีผลไม้โปร่งแสงขนาดเท่ากำปั้น


อัลเจอร์จ้องมองสักพักพลางกดลูกกระเดือก ก่อนจะหันมาพูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“อุดหูและเพ่งสมาธิให้ดี”


ราชันเร้นลับ 808 : เสียงร้องสุดห่วย

Ink Stone_Fantasy

ได้ยินคำพูดจากปากแฮงแมน หัวใจไคลน์หยุดเต้นไปครู่หนึ่งเนื่องจากสัมผัสถึงลางร้าย มันไม่รักษาภาพพจน์อีกต่อไป รีบวางตะเกียงลง หยิบเศษกระดาษสองแผ่นออกจากกระเป๋า ขยำให้เป็นทรงกลมและยัดใส่ไว้ในหูซ้ายและขวา


เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่คัดค้านและยอมทำตามคำแนะนำแต่โดยดี อัลเจอร์เกิดความโล่งใจและคิดว่า การร่วมมือกับคนมีประสบการณ์ช่างสะดวกสบาย แม้อีกฝ่ายจะมีฉายาว่า ‘ชายเสียสติ’ แต่ถ้าถูกเตือนอย่างมีเหตุมีผล ก็ยอมรับฟังและเข้าใจสถานการณ์


ขณะเตรียมโยนหนูสีเทาที่ร่างกายเย็นเฉียบใส่ต้นไม้ซึ่งมีอำนาจสะกดจิตเพื่อหวังหันเหความสนใจ ทันใดนั้น อัลเจอร์พบว่าพุ่มไม้และวัชพืชด้านข้างมีการเคลื่อนไหว ไม่นานก็มีเสือโคร่งสีเหลืองแถบดำตัวหนึ่งเดินออกมา


ท่ามกลางเสียงกระดิ่งลม เสือโคร่งย่างกรายเข้าหาต้นไม้ประหลาดที่มอบความรู้สึกชั่วร้ายทีละก้าว


ได้เห็นฉากตรงหน้า อัลเจอร์ลดแขนลงพลางล้มเลิกความคิดที่จะขว้างหนูตาย ยอมอดทนต่ออาการปวดหัว เฝ้ามองเสือโคร่งค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้กับต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท


จากนั้น เสือโคร่งตัวดังกล่าวนั่งลงและตบเล็บแหลมๆ ใส่ลำคอตัวเอง


เลือดสีแดงพุ่งกระฉูด ราวกับเสือตัวนี้ไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป มันตะปบอุ้งเท้าใส่คอตัวเองจนเกิดเป็นแผลฉีกขาดหลายแห่ง เปลี่ยนผิวหนังอันเปลือยเปล่าให้ชุ่มเลือด


เสียงกระดิ่งลมค่อยๆ จางลง หลายกิ่งก้านเริ่มยืดยาวราวกับมีชีวิต ก่อนจะทิ่มลงพื้น ทะลวงเข้าไปในร่างเสือโคร่งที่น่าสมเพช


อัลเจอร์ซึ่งกำลังรอจังหวะนี้ รีบชักมืดสั้นพร้อมกับอ้าปากและร้องเพลง


“ซ่า! ซ่า! ซ่า!”


“โอ้คลื่นทะเล! สาดซัดก้อนหินสีเทา!”


“ซ่า! ซ่า! ซ่า!”


“โอ้คลื่นทะเล! ทำลายก้อนหินสีเทา!”


เสียงเพลงของมันทั้งหยาบกร้านและหนักแน่น แต่ไม่ตรงคีย์เลยสักนิดเดียว แหกกฎการร้องเพลงทุกชนิดของมนุษย์และสัตว์โดยสิ้นเชิง มีเพียงความหงุดหงิด คลื่นไส้ และชวนให้ปวดหัว


กิ่งก้านของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาทหดกลับในทันที การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้กระดิ่งที่ห้อยตรงปลายขยับจนเกิดเสียงดัง


สำหรับไคลน์ที่อยู่ข้างๆ อัลเจอร์ แม้จะกำลังอุดหูด้วยลูกบอลกระดาษและรวบรวมสมาธิจดจ่อถึงขีดสุด แต่ก็อดไม่ได้ที่เส้นเลือดบนหน้าผากจะปูดโปน เกิดความรู้สึกอยากจะฆ่าคนร้องเพลงและทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า


นอกจากนั้น สติของชายหนุ่มยังค่อยๆ เตลิด กล้ามเนื้อและเส้นเลือดใต้ผิวหนังกำลังยุบพองแผ่วเบา


คนปรกติร้องเพลงเพราะอยากรวย… แต่มิสเตอร์แฮงแมนร้องเพลงเพราะอยากถูกกระทืบตาย! ไคลน์ที่กำลังเผชิญความหงุดหงิดเหนือพรรณนา สบถภายในใจอย่างหัวเสีย


“ซ่า! ซ่า! ซ่า!”


ทุกคำพูดที่อัลเจอร์กระแทกกระทั้นออกมา ฟังดูคล้ายกับเสียงคลื่นทะเลสาดกระทบก้อนหิน มีอำนาจในการอัญเชิญสายฟ้าจากความว่างเปล่า


แสงสีเงินวิบวับทำให้ทั่วทั้งบริเวณสว่างไสว สายฟ้าหลายเส้นเริ่มผ่าลงมายังต้นกระดิ่งลมหลอนประสาทจนออกอาการสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง กิ่งก้านที่เคยกวัดแกว่งเริ่มแข็งทื่อ มิอาจก่อให้เกิดสุ้มเสียงสะกดจิต


อัลเจอร์ไม่ปล่อยโอกาสหลุดลอย ทิ้งหนูตายไว้ด้านหลังพร้อมกับแทงมีดสั้นในมือไปข้างหน้า


ท่ามกลางเสียงลมหวีด ใบมีดสายลมอันแหลมคมถูกกระหน่ำยิงใส่กิ่งไม้ที่ใกล้กับลำต้นมากที่สุด


ปึด!


ผลไม้โปร่งแสง ไร้สี ขนาดเท่ากำปั้น หลุดร่วงจากต้นและถูกสายลมพัดลอยมาตกบนฝ่ามืออัลเจอร์ เปลือกไม้ที่เต็มไปด้วยรอยแยกคล้ายดวงตาพลันแข็งตัว กิ่งไม้ร่วงโรย สูญเสียชีวิตชีวาไปในทันที


คิดไว้ไม่มีผิด… ถ้ามีข้อมูลของเป้าหมายล่วงหน้าและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พืชวิเศษจะรับมือได้ง่ายกว่าสัตว์วิเศษมาก เนื่องจากพวกมันมีสติปัญญาต่ำกว่า… อัลเจอร์ล้วงหยิบกล่องโลหะที่เตรียมไว้ เก็บผลของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาทเข้าไป


จากนั้น มันหันมามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ไปต่อกัน…”


ขณะสิ้นเสียง ‘กัน’ อัลเจอร์ชะงักคำพูดกะทันหัน


เนื่องจากเห็นว่าใบหน้าอันเย็นชาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังบิดเบี้ยว ตาขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยที่พร้อมระเบิดออก ประหนึ่งเตรียมพุ่งเข้ามาทำร้ายมันทุกเมื่อ


หัวใจอัลเจอร์พลันเต้นระรัว รีบสูดลมหายใจเข้าและพูดชัดถ้อยชัดคำ


“ไปต่อกันเถอะ”


“…อา” เกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบเสียงทุ้ม เดินนำหน้าไปโดยการอ้อมซากของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท ตรงไปยังส่วนลึกของป่าสีดำ


มันไม่สนใจจะเก็บวัตถุดิบวิญญาณจำพวกเปลือกไม้ กิ่งไม้ และอื่นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้สัตว์ร้ายได้กลิ่นและเข้ามารุมล้อม นอกจากนั้น ไคลน์ไม่มีสมบัติวิเศษสำหรับเก็บของ ทุกช่องที่พอจะเก็บได้ก็ถูกเติมเต็มด้วยสิ่งที่สำคัญอยู่แล้ว


ต้องไม่ลืมว่า การพกสัมภาระติดตัวมากเกินไป จะทำให้สูญเสียความคล่องแคล่วอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวตลก


น่าเสียดายที่วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้ไม่มีเลือด จึงนำไปเก็บในการเดินทางของกรอซายไม่ได้… จริงอยู่ที่เราสามารถให้หุ่นเชิดช่วยถือแทน แต่การทำแบบนั้นค่อนข้างวุ่นวายและอาจไม่ส่งผลดีต่อการสำรวจในระยะยาว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ พยายามขจัดอิทธิพลจากเสียงร้องของมิสเตอร์แฮงแมนที่ยังหลงเหลือ


เมื่อครู่คือเสียงร้องที่บัดซบและน่าหงุดหงิดที่สุดในสองชีวิตที่มันเกิดมา!


หากแฮงแมนยังร้องต่อไปอีกสักสองสามนาที ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าไคลน์จะไม่ลงมือกระทืบอีกฝ่าย


การใช้ลูกบอลกระดาษและเพ่งสมาธิช่วยบรรเทาได้แค่เล็กน้อย ไม่มีทางขจัดได้สมบูรณ์… แม้แต่คนหูหนวกก็น่าจะได้ยิน เพราะเสียงร้องเมื่อครู่สร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงวิญญาณ… นี่คือการโจมตีที่รับมือได้ยากที่สุดของลำดับ 5 ผู้ขับขานสมุทร แทบไม่มีทางหลบได้ โชคยังดีที่ยังพอจะรับมือกับสายฟ้าหลังจากนั้นไหว… สมกับเป็นลำดับ 5 บนเส้นทางที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง… ว่าแต่ ทำไมเสียงร้องของมิสเตอร์แฮงแมนถึงแตกต่างจาก ‘ผู้ขับขานเอลฟ์’ เซียธาสนัก? ขณะไคลน์วิเคราะห์และสรุปเหตุการณ์ คำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจ


ขณะเดียวกัน อัลเจอร์ด้านข้างที่กำลังถือตะเกียง ผุดคำถามใหม่เช่นเดียวกัน


แม้แต่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ยังทนกับเสียงร้องของเราได้ไม่นาน… แล้วแบบนี้จะสวมบทบาทเป็น ‘นักร้อง’ ได้ยังไง…


ท่ามกลางความเงียบสงัด ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้สูงใหญ่ที่มีเปลือกไม้เป็นเกล็ดงู ขยับเข้าใกล้ซากปรักหักพังซึ่งเป็นปลายทางทีละนิด


เนื่องจากมี ‘นักเดินเรือ’ อยู่ด้วย ไคลน์จึงสงวนไม่ใช้ ‘แท่งวิญญาณทำนาย’ สมาธิทั้งหมดทุ่มไปกับการระวังตัวจากภัยอันตรายที่ไม่คาดคิด


ความมืดและความเงียบมักชวนให้นึกถึงเรื่องสยองขวัญเสมอ ยิ่งคนทั้งสองเดินตรงไป ต้นไม้รอบๆ ตัวก็ยิ่งบางตาลง


สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อครั้งที่เผชิญหน้ากับงูขนนกครึ่งเทพ ในตอนนั้น ต้นไม้บางตาลงอย่างกะทันหัน แต่สำหรับที่นี่ สภาพดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนทั้งสองใกล้จะออกจากป่าสีดำแล้ว


“เมื่อพ้นจากเขตนี้ พวกเราจะถึงด้านนอกของซากปรักหักพัง” อัลเจอร์พูดทำลายความเงียบ


มันเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะเสริมอย่างเป็นกันเอง


“จากประสบการณ์ของผม ยิ่งใกล้ออกจากป่าก็ยิ่งอันตราย คราวก่อนก็พบร่องรอยของสัตว์วิเศษครึ่งเทพแถวนี้… แต่กลับกัน ถ้าพ้นจากเขตป่าและถึงหน้าซากปรักหักพังเมื่อไร อันตรายทั้งหมดจะหายไปในทันที… แต่ผมไม่รับประกันว่าข้างในจะเหมือนกันหรือไม่”


นั่นเป็นเพราะว่า ในซากปรักหักพังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอาศัยอยู่ และบริเวณดังกล่าวคืออาณาเขตของมัน จึงไม่มีสัตว์วิเศษตัวใดกล้าเข้าใกล้… ไคลน์พึมพำ


แน่นอน ในการสำรวจครั้งนี้ ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่าตนจะได้เผชิญหน้ากับอันตราย จึงทำนายยืนยันให้แน่ใจล่วงหน้า แม้คำตอบที่ได้รับจะคลุมเครือและผันผวน แต่ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการหลบหนี


ได้ยินแฮงแมนพูดเช่นนั้น ไคลน์หัวเราะในลำคอ


“คุณก็รู้คำตอบของผมอยู่แล้ว”


ชายหนุ่มไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพียงมุ่งหน้าต่อไปยังเขตที่พืชพรรณเริ่มบางตา


อัลเจอร์เดินตามไปอย่างเงียบงัน เริ่มแน่ใจว่าตนมองอีกฝ่ายไม่ผิด


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายคนนี้คือคนบ้าที่เยือกเย็น!


หลังจากเดินไปได้ไม่กี่สิบเมตร พวกมันมองเห็นดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งจากแสงของตะเกียง


อีกฝ่ายคือลิงบาบูนที่กำลังนั่งยองๆ บนกิ่งไม้ ขนของมันค่อนข้างดำและหยิก บนศีรษะมีผลึกสีดำจำนวนมากฝังอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ ดูคล้ายกับมงกุฎ


เมื่อได้เห็นเต็มสองตา สัญชาตญาณของไคลน์และอัลเจอร์สั่งให้ก้มศีรษะลงทันที คล้ายกับกลัวการสบตากับสัตว์วิเศษตนดังกล่าว จึงอาจเป็นไปได้ว่า มันคือผู้ปกครองของป่าละแวกนี้


ผู้ปกครอง… อัลเจอร์อาศัยอาการปวดหัวที่เกิดจาก ‘แส้จิต’ เพื่อดึงสติให้หลุดพ้นจากการถูกครอบงำ ก่อนจะรีบฉากหลบไปทางซ้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการจู่โจมที่คาดไม่ถึง ปล่อยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จัดการกับสัตว์วิเศษลึกลับตัวนี้ตามลำพัง


นี่คือสิ่งที่พวกมันตกลงกันไว้ล่วงหน้า


ทว่า แม้สมองจะสั่งให้ก้าวไปทางซ้าย แต่ร่างกายกลับเดินไปข้างหน้าแทน แถมยังเป็นการเดินอย่างไม่มั่นคง คล้ายกับคนพิการที่ต้องใช้ไม้ค้ำ


จิตใต้สำนึกสั่งให้อัลเจอร์รีบชักมีดสั้นและยิงลมเฉือนใส่ลิงบาบูนขนหยิก


สัตว์วิเศษตรงหน้าเผยรอยยิ้มทันที


พายุลมเฉือนล่องหนพลันเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน บ้างพุ่งไปทางซ้าย บ้างพุ่งไปทางขวา บ้างพุ่งขึ้น และบ้างพุ่งลง ทั้งหมดพลาดเป้าโดยสมบูรณ์


ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์เชื่อว่าการบุกเข้าไปตรงๆ คงไม่เกิดประโยชน์ จึงสั่งให้ถุงมือข้างซ้ายเปลี่ยนเป็นสีโปร่งใสพร้อมกับหายตัว


อัลเจอร์หยุดพฤติกรรมที่เกิดจากความตื่นเต้นของตน พลางเฝ้าดูเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง หายตัวไปโผล่ด้านหลังลิงบาบูนขนหยิกด้วยระยะห่างไม่ถึงห้าเมตร


เพียงพริบตา ลิงบาบูนขนหยิกสีดำพลันแข็งทื่อ คล้ายกับกำลังสูญเสียสิทธิ์ในการควบคุมร่างกาย ลำพังการยกแขนสักข้างยังทำได้ลำบาก ยากจะใช้พลังใดให้สำเร็จในเวลาอันสั้น


เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาศัยประโยชน์จากอาการชะงักของเหยื่อ ยกลูกโม่สีดำในมือขวา เล็งปากกระบอกปืนสีเหล็กดำบรรยากาศลึกลับไปยังท้ายทอย


จากนั้น นักผจญภัยเสียสติเหนี่ยวไกโดยปราศจากสีหน้า


ราชันเร้นลับ 809 : อันตรายในความมืด

Ink Stone_Fantasy

ปัง!


เสียงปืนดังกึกก้องท่ามกลางผืนป่ากึ่งเปิดโล่ง หากเปลี่ยนเป็นเกาะยามราตรีทั่วไป มวลหมู่ปักษาคงรีบกระพือปีกบินหนี สัตว์ป่าวิ่งเอาชีวิตรอด แต่สำหรับที่นี่ บรรยากาศยังคงเงียบสงัดราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย


สำหรับลิงบาบูนขนหยิกสีดำ ศีรษะของมันระเบิดออกพร้อมกับเศษสมอง สาดกระเซ็นไปรอบทิศจนดูราวกับฝนตก


ผลึกสีดำกลางศีรษะแตกละเอียด ไม่มีเม็ดใดอยู่ในสภาพสมบูรณ์


ไคลน์ชักแขนกลับ ปากกระบอกปืนลูกโม่ลางมรณะยังมีควันคุกรุ่น ชายหนุ่มยืนมองลิงบาบูนขนหยิกกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ กำลังล้มทรุดลงไป


เปิดฉากด้วย ‘ท่องเที่ยว’ ตามต่อด้วย ‘สิงร่าง’ ของวิญญาณอาฆาต และปิดท้ายด้วยลางมรณะ นี่คือคอมโบสังหารในพริบตา!


ไคลน์ไม่ได้ทำลงไปเพราะต้องการอวดฝีมือ แต่จากการสังเกต มันเชื่อว่าลิงบาบูนขนหยิกกลายพันธุ์มีพลังไม่ธรรมดา หากไม่ฉวยโอกาสปิดฉากในตอนที่อีกฝ่ายยังไม่รู้จักพลังของตนดีพอ เกรงว่าผลลัพธ์ที่ตามมาอาจยุ่งวุ่นวาย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่คือเกาะซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษ ไม่มีใครทราบว่าการปะทะที่ยืดเยื้อจะชักนำศัตรูเข้ามาเพิ่มหรือไม่


ดังนั้น หลังจากสิงร่างด้วยวิญญาณอาฆาต ไคลน์ตัดสินใจไม่ใช้วิธีที่ปลอดภัยและแน่นอนกว่าอย่างการ ‘ควบคุมด้ายวิญญาณ’ เพราะนั่นจะใช้เวลานานเกินไป แต่เลือกเหนี่ยวไกลางมรณะในจังหวะที่ศัตรูกำลังชะงักจากการถูกเข้าสิง


ผลลัพธ์ตรงตามจินตนาการของชายหนุ่ม วิธีนี้ช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกลางคัน เพราะจากเท่าที่สำรวจ ลิงบาบูนขนหยิกกลายพันธุ์ตัวนี้มีพลังในการ ‘บิดเบือน’ และสร้างความโกลาหล หากให้เวลามันมากกว่านี้ พลังการสิงร่างของวิญญาณอาฆาตอาจถูกบิดเบือน และกระสุนจากลางมรณะก็จะพลาดเป้า


การดิ้นรนของลิงบาบูนต้องกลายเป็นหมันเพราะไคลน์คิดไวทำไว เลือกลั่นไกลางมรณะด้วย ‘โจมตีหนักหน่วง’ ในวินาทีที่อีกฝ่ายออกอาการชะงัก


หากชายหนุ่มตัดสินใจเข้าควบคุมด้วยด้ายวิญญาณ ผลลัพธ์คงไม่ออกมาราบรื่นเช่นนี้


คุ้มแล้วกับการยอมได้รับจุดอ่อนใหม่เพื่อใช้งานปืน… นอกจากนั้น ยิ่งสำรวจเกาะลึกมากเท่าใด ปืนลูกโม่ลางมรณะก็ยิ่งขาดไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วเราคงต้องใช้อยู่ดี ในเมื่อเลี่ยงจุดอ่อนไม่ได้ ก็ควรรีบหาจุดอ่อนให้พบตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้คิดวิธีป้องกันตัวอย่างเหมาะสม… ทางเลือกของเราสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว… ไคลน์ลดมือลง จ่อปากกระบอกปืนลงพื้น เดินไปยืนข้างศพลิงบาบูน


ณ ปัจจุบัน ภายใต้การสิงร่างของวิญญาณอาฆาต ตะกอนพลังจึงควบแน่นเร็วขึ้น


อัลเจอร์ในท่าถือตะเกียงกำลังเฝ้ามองจากระยะไกล ฉากเมื่อครู่ทำให้มันตกอยู่ในภวังค์สักพักก่อนจะได้สติ สิ่งที่ชวนให้ตกตะลึงมากที่สุดคือจังหวะที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ลั่นไกและระเบิดศีรษะลิงบาบูนขนหยิก


‘ความวุ่นวาย’ ในช่วงแรกทำให้อัลเจอร์เข้าใจว่า สัตว์วิเศษตนนี้แข็งแกร่งกว่าต้นกระดิ่งลมหลอนประสาทพอสมควร เป็นศัตรูที่รับมือได้ยากและต้องห้ามประมาท ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าพวกตนจะเป็นฝ่ายชนะ ทว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับทำให้เรื่องราวจบลงภายในสามวินาที ความเร็วระดับนี้ไม่ต่างอะไรกับการยิงเป้าซ้อมอย่างสบายใจ!


ทั้งที่เป็นผู้วิเศษลำดับ 5 เหมือนกัน แต่ฝีมือแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!


นำพลัง ‘ท่องเที่ยว’ มาผสานกับความสามารถในการควบคุมร่างศัตรู จากนั้นก็ปิดฉากด้วยลูกโม่ที่มีอำนาจทำลายล้างสูง เกิดเป็นผลลัพธ์เหนือจินตนาการ… หากต้องเผชิญหน้ากับเขาในฐานะศัตรูโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เราคงตายในพริบตา… แต่ถึงจะเตรียมตัวล่วงหน้าก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย คงมีแต่ต้องใช้เสียงเพลงของเราทำให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ชะงักในจังหวะกำลังจะใช้ ‘ท่องเที่ยว’ … สมกับเป็นนักผจญภัยเสียสติเจ้าของค่าหัวห้าหมื่นปอนด์ ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล เขาก็ยังแข็งแกร่งเทียบเท่าพลเรือเอกโลหิต… ไม่สิ อาจทรงพลังยิ่งกว่า… อัลเจอร์ลองจินตนาการถึงวิธีรับมือในกรณีที่ตนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับลิงบาบูนขนหยิกกลายพันธุ์ จากนั้นก็ถอนหายใจ


เมื่อเทียบกับการได้ยินได้ฟังมาจากคนอื่น การมาเห็นด้วยตาตัวเองนั้นน่าตกตะลึงยิ่งกว่ามาก!


บนศพของลิงบาบูนขนหยิก ในจุดที่เป็นผลึกสีดำแตกละเอียด ละอองแสงค่อยๆ มารวมตัวกันเป็นรูปทรงคล้ายกำปั้นโปร่งแสงสีดำ


เป็นกำปั้นที่ให้ผู้คนรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและชั่วร้าย หากมองผิวเผิน เส้นลายมือ เล็บ และความโปร่งแสง ไม่มีสิ่งใดดูผิดปรกติ แต่ไคลน์สัมผัสถึงความขัดแย้งและการละเมิดในปริมาณเข้มข้น คล้ายกับความวุ่นวายโกลาหลและความบ้าคลั่งกำลังไหลเวียนอยู่ภายใน


ลำดับ 5 ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ แห่งเส้นทางจักรพรรดิมืด? เรายังไม่รู้ว่าจุดอ่อนใหม่ในคราวนี้เป็นอะไร ภาวนาให้ไม่ร้ายแรงก็แล้วกัน… อา… แต่หลังจากนี้หกชั่วโมง เราสามารถใช้งานลางมรณะได้เท่าที่ต้องการ… ไคลน์รำพันพลางโน้มตัวหยิบตะกอนพลังพิเศษ เก็บใส่กล่องโลหะที่เตรียมไว้ล่วงหน้า


อันที่จริง ชายหนุ่มสามารถลอง ‘ต้อนแกะ’ ลิงบาบูนขนหยิกกลายพันธุ์ตัวนี้และดูว่าจะได้รับพลังแบบไหน หากเป็นของดีก็ค่อยปล่อย ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ ออกไปแทน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ทำ เพราะไม่มั่นใจว่าสัตว์วิเศษตนนี้เคยกระทำความชั่วจนสมควรถูกจองจำ


การเข่นฆ่าถือเป็นธรรมชาติของสนามรบ ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ แต่การต้อนแกะดวงวิญญาณนั้นแตกต่างออกไป วิธีนี้จะทำให้เหยื่อเกิดความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ไคลน์มีหลักการของตัวเองให้ยึดถือ แถมยังเป็นคนหัวรั้นมาก จะไม่แหกกฎที่ตั้งไว้หากไม่จำเป็น เหยื่อของถุงมือจะต้องถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีเท่านั้น


จริงอยู่ สัตว์วิเศษนั้นมีสติปัญญาไม่เท่ามนุษย์ ถึงจะต้อนแกะเข้าไปก็คงไม่ล้ำเส้นศีลธรรม ทว่า ประสบการณ์ได้หล่อหลอมให้ชายหนุ่มเข้มงวดในหลักการของตัวเอง ไม่ผ่อนปรนเพราะเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อย นี่มิได้เป็นเพียงเรื่องของศีลธรรม แต่เป็นการเตือนสติตัวเอง ไม่ให้ลืมว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นใคร กรอบที่ตั้งขึ้นมาอย่างถี่ถ้วน ไม่ควรถูกขยายออกไปเรื่อยๆ ตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นอาจก่อความผิดพลาดขึ้นในสักวัน


ท่ามกลางโลกที่วุ่นวายและลึกลับใบนี้ กฎดังกล่าวมีเพื่อตัวเรา ไม่ใช่เพื่อใคร… คนเราสามารถหลอกคนอื่นได้ หลอกได้กระทั่งเทพ แต่ท้ายที่สุดแล้วจะไม่สามารถหลอกตัวเองได้… ไม่สิ บางทีผู้วิเศษของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ อาจมีพลังสำหรับหลอกตัวเอง… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์หยิบการเดินทางของกรอซายออกจากเสื้อ เตรียมป้ายเลือดของลิงบาบูนขนหยิกลงบนปก


ทันใดนั้น หัวใจของมันพลันบีบเกร็ง ขนท้ายทอยลุกซู่ชูชันทันใด


นี่คือลางสังหรณ์แจ้งเตือนอันตราย!


แถมยังเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่มีนิมิตหรือภาพอะไรเลย!


ท่าไม่ดีแล้ว! ไคลน์รู้สึกอย่างชัดเจนว่าหัวใจของตนกำลังถูกชั้นของเงาสีดำบีบรัด ทัศนวิสัยคล้ายกับถูกแผ่นกระจกสีเข้มวางซ้อนทับหลายชั้น


โดยไม่ลังเลหรือครุ่นคิดในสิ่งที่เกิดขึ้น มือซ้ายรีบคว่ำลง ถุงมือเปลี่ยนเป็นสีโปร่งแสง


ในสภาพล่องหน ชายหนุ่มโผล่ขึ้นข้างๆ แฮงแมนพร้อมกับจับไหล่ของอีกฝ่าย


อัลเจอร์เองก็เริ่มพบความผิดปรกติบางอย่าง หัวใจของมันกำลังเต้นระรัวราวกับด้านในมีพายุก่อตัว เลือดลมสูบฉีดไปตามร่างกายอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยว


ขณะเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์นำมือขวาวางบนไหล่ เล็บมือของอัลเจอร์เริ่มกลายเป็นสีเทาด้าน คล้ายกับเศษหินและกรวดที่พบได้ทั่วไปในป่า แข้งขาเริ่มแข็งตัว กล้ามเนื้อหดเกร็ง ราวกับร่างกายเริ่มไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป!


ร่างคนทั้งสองโปร่งใสและเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ตรงเข้าสู่โลกวิญญาณที่มีริ้วแสงสีสันฉูดฉาดซ้อนทับ ปลายทางคือซากปรักหักพัง


ทันใดนั้น ฉากของสีสันอันหลากหลายเบื้องหน้าไคลน์พลันแปรเปลี่ยนเป็นฉากสีดำเนื้อละเอียด ยิ่งเพ่งมองก็ยิ่งดูคล้ายกับเส้นผมสีดำสนิทที่มีหลายรากหลายโคน


เส้นผมสีดำยาว!


ชายหนุ่มรู้สึกเย็นวาบจากหัวจรดเท้า ไม่ลังเลเลยที่จะออกจากโลกวิญญาณพร้อมกับแฮงแมน กลับมายังโลกความจริงโดยมีพื้นหญ้าและกรวดรองรับ ห่างออกไปไม่ไกลคือซากปรักหักพังของอาคารที่แทบไม่หลงเหลือเค้าเดิม


จากหางตา ไคลน์พบว่าแฮงแมนกลายเป็นหินตั้งแต่ครึ่งท่อนล่างลงไป ราวกับถูกเปลี่ยนให้เป็นรูปปั้นแกะสลัก!


เป๊าะ!


ไคลน์ดีดนิ้ว จุดไฟบนหญ้าที่ห่างออกไปหลายสิบเมตรเพื่อเตรียมกระโดดหนี


ทันใดนั้น หัวใจของมันพลันหดเกร็ง ร่างกายสั่นระริกอย่างมีอาจหักห้าม


ภาพของเปลวไฟซึ่งกำลังลุกโชน ดูสยดสยองเป็นอย่างมากในสายตาไคลน์!


จุดอ่อนที่ลางมรณะมอบให้ในคราวนี้ก็คือ หวาดกลัวต่อไฟ!


เมื่อเห็น ‘กระจก’ สีเข้มตรงหน้าเริ่มซ้อนทับหลายชั้น ไคลน์พยายามควบคุมสติ ทันใดนั้น ชายหนุ่มสัมผัสถึงสายลมหนาวที่พัดขึ้นจากด้านล่าง ส่งให้ตนและอัลเจอร์ลอยขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน ทะลวงผ่านขอบเขตที่มองไม่เห็น เข้าไปในดินแดนของซากปรักหักพังโบราณ


โครม!


คนทั้งสองหล่นกระแทกพื้นเสียงดัง เศษหินแตกหัก


เงาดำภายในใจพวกมันเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว อันตรายที่ซ่อนอยู่ในความมืดบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลายเมื่อเห็นผิวหนังสีเทาที่ลามมาถึงข้อศอก ค่อยๆ กลับสู่สภาพปรกติ ร่างกายฟื้นฟูตัวเองทันทีที่ออกจากเขตป่าสีดำ


ปัจจุบัน เสื้อกั๊กของชายหนุ่มกำลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เต็มแผ่นหลัง


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเหตุการณ์เมื่อครู่ก็คือ มันไม่ทราบด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาดชนิดใดและใช้พลังแบบไหน!


กระสุนของลางมรณะให้ทำให้สัตว์วิเศษในละแวกใกล้เคียงตื่นตัว หรือว่าตัวตนเมื่อครู่คือผู้ปกครองผืนป่าในยามค่ำคืน? โชคดีที่มันไม่กล้าใกล้เข้าเขตซากปรักหักพัง… ไม่สิ นั่นไม่ใช่เรื่องดี เพราะหมายความว่าภายในซากอาคารเก่าแก่แห่งนี้ มีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวกว่าซ่อนอยู่… เราต้องเตรียมตัวหนีตลอดเวลา… ไคลน์เหยียดแขนพยุงตัวขึ้น


ขณะเดียวกัน อัลเจอร์ที่รอดพ้นจากคำสาปสีเทา หันมามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“พื้นที่ดังกล่าวทำให้เรากลายเป็นหิน”


พื้นที่… กลายเป็นหิน… ไคลน์พยักหน้ารับพลางเดินลึกเข้าไปในซากอาคาร ก่อนจะตอบเสียงทุ้ม


“ตอนนี้ปัญหาอยู่ข้างใน”


อัลเจอร์ไม่ต่อปากต่อคำ เร่งความเร็วเพื่อตามให้ทัน


หลังจากคนทั้งสองขยับเข้าไปใกล้ ไคลน์จ้องเข้าไปในตัวอาคาร กวาดตามองเสาหินและยอดแหลม รวมถึงซากกำแพงที่พังทลาย


มันเว้นวรรค ก่อนจะถามอย่างเป็นกันเอง


“คุณคิดว่าอาคารแห่งนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน”


อัลเจอร์ครุ่นคิดสองสามวินาที ก่อนจะตอบ


“วิหาร… ส่วนหนึ่งของวิหาร”


ราชันเร้นลับ 810 : วิหารของใคร

Ink Stone_Fantasy

บางส่วนของวิหาร… ตรงกับที่เราคิด… ไคลน์มองไปยังซากปรักหักพังด้านหน้า พึมพำสองสามคำ


ในตอนนี้ ดวงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องผ่านกลุ่มหมอก กำลังฉาบไปทั่วซากอาคารโบราณ เทียบกับในตอนแรก สีแดงของแสงจันทร์เข้มขึ้นมาก ดูราวกับเป็นเลือดสด


ไคลน์รักษามาดเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวเสียงเรียบ


“คุณเคยสำรวจตรงไหนบ้าง”


ขณะพูด ไคลน์เหลือบมองตะเกียงในมือแฮงแมนที่ยังรอดมาถึงตอนนี้แม้จะผ่านอะไรมามาก แสงสะท้อนจากเปลวไฟทำให้กล้ามเนื้อชายหนุ่มหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว


แม้ว่าไฟจะถูกคั่นด้วยกระจกหนาและโครงเหล็ก แต่ก็มากพอจะทำให้มันหวาดกลัว


อัลเจอร์มิได้ใส่ใจกับการท่าทีผิดปรกติของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยกมือขวาข้างที่ถือมีดสั้น ชี้ไปทางอาคารขนาดใหญ่ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดด้านใน


“ตรงนั้น”


ปัจจุบันเหลือเพียงโครงหลักของอาคาร จึงแทบเดาไม่ออกว่าหน้าตาเดิมเป็นอย่างไร พิจารณาจากส่วนที่เหลือ สามารถยืนยันได้แค่ว่าผนังหนา วิจิตรงดงาม หน้าต่างแคบ และครั้งหนึ่งเคยมีหอคอยสูงและหอนาฬิกา รูปลักษณ์เก่าแก่เรียบง่าย


“สถาปัตยกรรมแบบนี้เคยได้รับความนิยมในช่วงต้นของยุคสมัยที่สี่ จากบันทึกของโบสถ์วายุสลาตัน ทางศาสนจักรเคยสร้างวิหารที่คล้ายคลึงกันมาก่อนในอดีต รวมถึงโบสถ์หลักแห่งอื่นในยุคเดียวกัน” อัลเจอร์ประทับใจกับซากปรักหักพังแห่งนี้มาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์และปูมหลังอย่างชัดเจน “จุดเด่นคือการมีวิหารอยู่ด้านบนและสุสานอยู่ด้านล่าง อาศัยหลักการชีวิตและความตายรวมเป็นหนึ่ง แต่ผมไม่มั่นใจว่าการตกแต่งภายในของวิหารเก่าหลังนี้จะตรงตามคำอธิบายหรือไม่ เพราะยังไม่เคยสำรวจเข้าไปลึก”


บางที ที่นี่อาจเป็นสถาปัตยกรรมจากยุคสมัยที่สาม… ไคลน์คาดเดาพลางเดินไปทางซากอาคารที่สูงผิดปกติ เมื่อลองนำตะเกียงไว้ด้านหลัง ชายหนุ่มสามารถเพลิดเพลินไปกับแสงสว่างโดยไม่ต้องเห็นเปลวไฟ


ทั้งสองเดินขึ้นบันไดหินสีเทาขาวจนกระทั่งถึงทางเข้า พบเสาหินเก่าแก่และโดมหลังคนที่โค้งเข้าหาจุดศูนย์กลาง


ไคลน์ไม่รีบร้อนเข้าไป นำมือซ้ายล้วงกระเป๋า หยิบเหรียญทองออกมาพลิกเล่นระหว่างนิ้ว พึมพำบางสิ่งในปาก


ทันใดนั้น มันดีดเหรียญทองเสียงดัง แบมือและหันไปถามแฮงแมน


“อะไรที่ทำให้คุณเชื่อว่า วิหารแห่งนี้ซ่อนสมบัติซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่าไพ่เย้ยเทพ?”


กล่าวจบ มันมองเหรียญทองที่ตกลงบนฝ่ามือ ก่อนจะเก็บกลับ


อัลเจอร์ชี้เข้าไปด้านใน


“อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นผมยังแข็งแกร่งไม่เท่าคีลิงเกอร์ ประสาทสัมผัสในการตรวจสอบไม่เฉียบแหลมเท่าหมอนั่น ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายเห็นอะไร ทำได้เพียงเดาจากคำพูดในทำนองว่า ภายในนั้นมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ และต้องมีลำดับไม่ต่ำกว่า 5 ในการสำรวจ… ส่วนสมบัติจะเป็นอะไรขั้น ผมเชื่อว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังใกล้กับทางเข้า รวมถึงร่องรอยบนพื้น อาจตอบคำถามบางอย่างได้”


ไคลน์พยักหน้า เดินผ่านทางเข้าที่แสงจันทร์สีแดงส่องไม่ถึง เสื้อกันลมสีดำบนร่างกายพัดกระพือแผ่วเบา ส่วนอัลเจอร์ถือตะเกียงและมีดสั้นเดินตาม


ผ่านทางเข้าประตู ไคลน์อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากช่องว่างบนหลังคาโดม มองเห็นห้องโถงลึกด้านหน้า รวมถึงเสาหินเก่าแก่ที่เหลือเพียงครึ่งท่อน


สุดปลายทางไม่ใช่แท่นบูชา ไม่มีบันไดพาขึ้นไปชั้นบน มีเพียงความดำมืดที่ยากจะหาคำตอบ อาจเป็นทางที่นำไปสู่ชั้นใต้ดิน


ไม่ใช่โครงสร้างแบบวิหารด้านบน หลุมศพด้านล่าง… แต่ทั้งวิหารและสุสานล้วนอยู่ใต้ดิน? อย่าเพิ่งด่วนสรุป ต้องลงไปดูให้แน่ใจ… ไคลน์เหลียวซ้ายแลขวาตามสัญชาตญาณ พบประตูด้านข้างฝั่งละหนึ่งบาน แต่ข้างในถูกซากวิหารถล่มลงมาปิด ไม่สามารถใช้การได้


ภาพจิตรกรรมฝาผนังและร่องรอยบนพื้นใกล้กับทางเข้า… ชายหนุ่มทบทวนคำพูดของแฮงแมน เดินเฉียงหน้าสองก้าวและปล่อย ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลในสภาพล่องหน อาศัยเนตรมองกลางคืน พิจารณาภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เหลืออยู่บนผนัง


พื้นหลังของจิตรกรรมฝาผนังเป็นภูเขางดงาม ด้านบนสุดมีไม้กางเขนขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยแสงระยิบระยับ


ด้านหน้าไม้กางเขน กลุ่มคนรูปร่างแปลกตากำลังยืนเด่นสง่า ประกอบด้วยเทวทูตสองปีก สี่ปีก และหกปีก


นี่มัน… เพียงไคลน์ชำเลืองเห็น ความรู้สึกคุ้นเคยผุดขึ้นในใจทันที


ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่คล้ายคลึงกัน มันเคยเห็นในอนุสาวรีย์บรรจุศพของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!


เพ่งสายตาอีกครั้ง ไคลน์พบความแตกต่างอย่างรวดเร็ว ไม่มีทารกสองคนที่เป็นตัวแทนของอามุนด์และอาดัม ไม่มีเทวทูตสิบสองปีก บุคคลสง่างามซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ด้านหน้ากางเขน กำลังยกมือทั้งสองข้างระดับอก ถือแผ่นศิลาเรียบง่ายแปลกตา


แผ่นศิลาถูกวาดอย่างคลุมเครือ แต่ก็มอบความรู้สึกเก่าแก่และร่วมสมัย ศักดิ์สิทธิ์และความชั่วร้าย ขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง


แผ่นศิลา… รูม่านตาไคลน์ขยายขนาด ชื่อที่สอดคล้องแล่นเข้ามาในหัว


ศิลาเย้ยเทพ!


นี่คงเป็นเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ… นึกแล้วเชียว ‘ศิลาเย้ยเทพ’ เกี่ยวข้องกับท่านจริงๆ … แต่ไม่รู้ว่าเป็นศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกหรือแผ่นที่สอง… ไคลน์เริ่มเข้าใจผิวเผินว่าวิหารแห่งนี้เป็นของใคร ขณะเดียวกันก็เริ่มเชื่อว่า อาจมีสิ่งล้ำค่าและสำคัญซ่อนอยู่ในส่วนลึกของซากปรักหักพัง


ชายหนุ่มบังคับให้เซนอลถอนสายตากลับ นำ ‘หุ่นเชิด’ ก้มมองที่พื้นทางเดิน


นอกจากรอยแตกบนแผ่นหิน ยังมีรอยแปลกๆ สีแดงเข้ม ขนาดใกล้เคียงหน้าผากมนุษย์ เรียงรายเป็นทางยาวจนสุดโถงทางเดิน


ไคลน์จินตนาการฉากหนึ่งขึ้นในใจ


สาวกเคร่งศาสนากำลังหมอบกราบบนพื้น ค่อยๆ คลานไปข้างหน้า และนำหน้าผากโขกพื้นจนเลือดออก


เมื่อสังเกตเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถอนสายตากลับ ไม่สำรวจต่อ อัลเจอร์ถามด้วยความลังเล


“เทพสุริยันบรรพกาล?”


ขณะเดียวกัน มันรู้สึกคล้ายกับมีลมหนาวพัดมาจากด้านข้างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สงสัยว่าอาจมีเงาดำหรือวิญญาณอาฆาตซ่อนอยู่ในละแวกใกล้เคียง


แต่พอนึกถึงการเหตุการณ์ที่ลิงบาบูนกลายพันธุ์ถูกควบคุมร่างด้วยวิธีการแปลกประหลาด อัลเจอร์พอจะคาดเดาบางสิ่ง แต่ไม่ได้พูดออกมา


ได้ยินคำถามจากแฮงแมน ไคลน์อยากหัวเราะและตอบกลับไปว่า “หรืออีกชื่อหนึ่งคือ พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง” แต่เมื่อพบว่าน้ำเสียงและถ้อยคำใกล้เคียงกับเดอะฟูลมากเกินไป ไม่คล้ายกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงหักห้ามใจตัวเองและทำเพียงพยักหน้า


“เดาได้ไม่ยาก”


อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ มองไปข้างหน้าและคาดหวังเกี่ยวกับสมบัติที่ฝังลึกอยู่ในวิหาร


ทั้งสองตัดสินใจพร้อมกัน เดินตรงไปยังสุดทางของห้องโถง


จนกระทั่งเข้าใกล้ ไคลน์พบบันไดสำหรับเดินลง


“ห้องใต้ดิน?” มันถามห้วน


อัลเจอร์ส่ายหน้า


“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมยังไม่เคยลงไป… แม้ว่าคีลิงเกอร์จะพยายามเข้าไปสำรวจ แต่ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที มันก็กลับมาด้วยลมหายใจกระเส่า”


ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด กล่าวเสียงค่อย


“คุณกับเจ้านั่น… สนิทกันสินะ”


หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูด อัลเจอร์คงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ตอบข้อสงสัย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล คำถามของชายคนนี้อาจหมายถึงเจตนารมณ์ของบุคคลเบื้องหลัง จึงต้องตอบสนองอย่างรอบคอบ


พิจารณาสักพัก อัลเจอร์ตอบเสียงเรียบ


“มันกับผมเคยเป็นเพื่อนร่วมเมือง ทำงานเป็นคนรับใช้ในวิหารเดียวกัน… นักบวชที่นั่นขี้โมโหและชอบลงโทษคนรับใช้ คีลิงเกอร์จึงทนไม่ไหว แอบหลบหนีออกมาเป็นโจรสลัด”


มีเรื่องแบบนี้ด้วย… มิสเตอร์แฮงแมนเองก็มีปูมหลังไม่ธรรมดา… ไคลน์ไม่ได้สอบถามเชิงลึก ท่ามกลางซากปรักหักพังของวิหารที่เงียบสงบ เดินลงบันไดทีละขั้น


แม้จะเดินด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบามาก แต่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เสียงยังคงดังสะท้อนไปไกล


ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย พบประตูหลังคาโค้งบานหนึ่ง


หน้าทางเข้าทั้งสองฝั่งของประตู ไคลน์เห็นเงาดำสองจุดยืนห่างกัน ไม่ขยับเขยื้อน


มันและอัลเจอร์รีบชะงักฝีเท้า เพ่งมองเงาดำทั้งสอง พบว่าเป็นรูปปั้นหิน


รูปปั้นทั้งสองเป็นเพศชาย สีขาวนวลถ้วนทั่ว คนหนึ่งสวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกที่ดูคล้ายถังเหล็ก อีกคนสวมแจ็คเก็ตทันสมัย สีหน้าเปี่ยมด้วยความเจ็บปวด ดวงตาถลึงออกมา ราวกับกำลังเพ่งมองบางสิ่ง


ได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์หวนนึกถึงประสบการณ์ที่เพิ่งได้เผชิญ


ก่อนหน้านี้ มันและอัลเจอร์มีอาการคล้ายกับถูกสาปให้เป็นหิน โชคดีที่ขจัดผลกระทบได้ทันเวลา จึงไม่กลายเป็นรูปปั้นไปจริงๆ !


นี่มัน… มนุษย์ที่โดนแบบเดียวกับเรา? ถ้าตอนนั้นเรากลายเป็นหิน จะถูก ‘ย้าย’ ลงมายังห้องใต้ดินของวิหารโบราณแห่งนี้ด้วยไหม? คอยทำหน้าที่เฝ้าประตูตลอดหลายร้อยหลายพันปี? สรุปแล้ว เจ้าของพลังสาปหินมิได้หวาดกลัววิหารแห่งนี้หรอกหรือ? ไคลน์ผุดความกลัวที่ยากจะพรรณนา หนังศีรษะเริ่มออกอาการชา


มันรีบควบคุมสีหน้า หันไปมองแฮงแมนด้านข้างและพบว่า รูม่านตาของชาวทะเลหยาบกร้านรายนี้กำลังขยายใหญ่ มีดสั้นในมือถูกบีบแน่น


มิสเตอร์แฮงแมนคงคิดเหมือนเรา ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร… ไคลน์ชี้ไปทางประตู


“ข้างในอาจมีรูปปั้นหินมากกว่านี้”


อัลเจอร์พยักหน้า ตอบกึ่งกังวลกึ่งติดตลก


“ภาวนาให้มันไม่เห็นพวกเรา”


หลังจากคิดว่าตัวเองรอดพ้นจากคำสาปกลายเป็นหิน กลับต้องมาเห็นรูปปั้นในห้องใต้ดินของวิหาร… สยองขวัญฉิบ… ไคลน์ใคร่ครวญสักพัก กล่าวกับแฮงแมน


“มีเนตรมองกลางคืนไหม”


ความหมายที่แท้จริงก็คือ แสงของโคมไฟจะเด่นชัดมากในห้องใต้ดินที่มืดสนิท ง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อ ดังนั้น หากมีเนตรมองกลางคืนก็ควรดับไฟ


และชายหนุ่มเชื่อว่า มิสเตอร์แฮงแมนฉลาดพอจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูด


อัลเจอร์ตอบเยือกเย็น


“มี”


เส้นทาง ‘นักเดินเรือ’ ที่สามารถดำน้ำลึก ย่อมมีพลังในการ ‘มองเห็นในที่มืด’


ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตา ไม่กล่าวสิ่งใด แต่ความหมายค่อนข้างชัดเจน


แล้วทำไมเอ็งยังต้องใช้ตะเกียง?


อัลเจอร์ตอบเสียงขรึม


“ประการแรก ทำให้ศัตรูเข้าใจผิด เมื่อพวกมันเห็นผมถือตะเกียง สัญชาตญาณจะบอกว่าผมมองไม่เห็นในที่มืด รอจนกระทั่งพวกมันทำลายตะเกียงสำเร็จและตายใจว่าผมมองไม่เห็น ถึงตอนนั้นจะเป็นโอกาสสร้างความประหลาดใจ”


ร้ายกาจ… ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปสักพัก


อัลเจอร์พูดต่อ


“ประการที่สอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบเดียวกับเมืองเงินพิสุทธิ์ อาจมีอันตรายอย่างยิ่งยวดในความมืด”


สมเหตุสมผล… ไคลน์มิได้ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายดับตะเกียง เพียงเดินผ่านรูปปั้นหินทั้งสองที่มีสายตาแฝงความเจ็บปวด ก้าวเข้าไปในประตู


เนื่องจากยังไม่ทราบว่ารูปปั้นหินเหล่านี้สื่อถึงอะไร และเหยื่อที่กลายเป็นหินเสียชีวิตแล้วหรือไม่ ไคลน์จึงไม่คิดทำลายรูปปั้นทิ้งเพื่อรวบรวมตะกอนพลังและสมบัติวิเศษที่อาจหลงเหลือในตัวเหยื่อ


ราชันเร้นลับ 811 : ภาพวาดในห้องเก็บศพ

Ink Stone_Fantasy

หลังจากผ่านประตูทางเข้า แสงจากธรรมชาติเลือนหายไปจากการมองเห็นของไคลน์และอัลเจอร์ เนื่องจากเพดานยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แสงจันทร์สีแดงเข้มจึงมิอาจส่องผ่าน


อัลเจอร์ยกตะเกียงในมือขึ้น มอบแสงสว่างแก่โถงทางเดินด้านหน้า แต่ก็ยังมองไม่เห็นส่วนที่ลึกเข้าไป


ไคลน์กวาดตามอง พบรูปปั้นหินอย่างน้อยหกแห่ง มีทั้งชายและหญิง สีเทาอ่อนทั้งตัว แม้แต่เสื้อผ้าก็ดูคล้ายกับถูกแกะสลัก


คนเหล่านี้ประกอบด้วยเอลฟ์ คนยักษ์ และมนุษย์ที่แต่งกายด้วยชุดโบราณ นอกจากสีหน้าที่สิ้นหวังและเจ็บปวด ก็แทบไม่มีจุดใดเหมือนกันเลย


เมื่อเห็นรูปปั้นกำลังจ้องมาโดยไม่ละสายตา พลางจินตนาการว่าคนเหล่านี้อาจยังมีชีวิต หรือครั้งหนึ่งเคยมีชีวิต ไคลน์เย็นวาบไปถึงแผ่นหลัง ความมืดที่ลึกเข้าไปในทางเดินได้มอบบรรยากาศชวนขนหัวลุก ดูคล้ายกับปากของสัตว์ประหลาดกำลังอ้ากว้าง รอให้คนทั้งสองเป็นฝ่ายเดินเข้าไป


เมื่อสงบสติอารมณ์ ทั้งไคลน์และอัลเจอร์มิได้ส่งเสียง เพียงเดินผ่านรูปปั้นหินสีเทาขาวที่มีใบหน้าบิดเบี้ยว บรรจงย่างกรายทีละก้าวอย่างใจเย็น


ผ่านไปราวสิบวินาที อาศัยแสงจากตะเกียง ไคลน์ไม่ต้องพึ่งพาเนตรมองกลางคืนของ ‘วิญญาณอาฆาต’ ก็เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีร่องรอยการถูกทำลาย


สภาพบางส่วนค่อนข้างสมบูรณ์ ช่วยให้จำแนกองค์ประกอบโดยรวมของภาพ และไม่ผิดจากที่คาด จุดเด่นของจิตรกรรมคือไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้า รวมถึงร่างอันสง่างามที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าไม้กางเขน


ร่างอันคลุมเครือและเคร่งขรึมนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายภาพ มีทั้งภาพการช่วยเหลือเมืองซึ่งถูกน้ำท่วม ภาพการย่างกรายไปบนพื้นดินที่แตกระแหง และภาพการแหงนมองท้องฟ้าพราวพรายซึ่งมีดวงตาชั่วร้ายกำลังจ้องมองลงมา


หมายความว่า เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง เทพสุริยันบรรพกาลคือผู้กอบกู้? คล้ายกับจิตรกรรมฝาผนังที่ ‘เดอะซันน้อย’ พบในวิหารของพระผู้สร้างแท้จริง… บางที… การที่ทั้งสองฝั่งมีภาพวาดในลักษณะเดียวกัน คงเพราะต้องการย้ำเตือนให้สาวกเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือเจตจำนงของตน ย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่ง ‘พวกท่าน’ คือผู้กอบกู้ที่ควรค่าแก่การเคารพนับถือ… ไคลน์กวาดสายตาไปบนผนัง ย่างกรายเข้าไปในโถงทางเดินด้วยความใจเย็น


อัลเจอร์ที่สำรวจภาพจิตรกรรมฝาผนังเช่นกัน บีบเสียงลงและกล่าว


“ผมสงสัยว่า ภาพจิตรกรรมของพระผู้สร้างแท้— พระผู้สร้างเสื่อมทราม… อาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่นี่”


นั่นสินะ ทุกคนก็คงคิดแบบนี้… ไคลน์ลดลางมรณะลง ยิ้มและกล่าว


“ผมจะไม่แปลกใจถ้าข้างหน้ามีภาพที่เกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างแท้จริง”


“ท่านและพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ อาจมีบางสิ่งที่เชื่อมโยงกัน” อัลเจอร์เห็นด้วยกับแนวคิดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ทั้งสองยังคงก้าวต่อไป พยายามเดินให้เบาที่สุด แต่ก็ยังมีเสียงสะท้อนดังก้องท่ามกลางความเงียบ


ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของไคลน์ถูกกระตุ้น จึงรีบเดินแซงหน้าอัลเจอร์ไปสองก้าวเพื่อบังไฟจากตะเกียง


ราวสองวินาทีถัดมา เสียงหนักแน่นดังมาจากระยะไกล


ตึง! ตึง! ตึง!


การสั่นสะเทือนของแผ่นดินใกล้เข้ามาทีละนิด จนกระทั่งไคลน์เห็นร่างสูงเกือบสี่เมตรกำลังย่างกราย


ผิวพรรณสีเทาอ่อนไปทุกส่วน ลำตัวสวมชุดเกราะลวดลายซับซ้อน บนหัวมีเขาแพะ จมูกยื่นยาวคล้ายสุนัข ปากที่อ้าครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาว


เอกลักษณ์เด่นชัดที่สุดคือดวงตาสีแดงเพลิงและปีกสีเทาอ่อนจำนวนหกคู่


ตึง! ตึง! ตึง!


สัตว์ประหลาดตนนี้ถือง้าวหินยาวเจ็ดแปดเมตร เดินไปบนโถงทางเดินอย่างไม่รีบร้อน ทุกย่างก้าวหนักหน่วงจนแผ่นดินสะเทือน ส่งผ่านความรู้สึกหนักอึ้งไปยังสิ่งรอบข้าง


แม้ว่าไคลน์จะไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ มาก่อน แต่ก็ทราบทันทีว่ามันคือตัวอะไร


การ์กอยล์หกปีก!


แก่นผลึกคือหนึ่งในวัตถุดิบหลักของนักเชิดหุ่น พลังพิเศษต้องไม่ธรรมดาแน่ ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก!


พิจารณาจากลักษณะทางกายภาพ น่าจะแข็งแกร่งในการดวลตัวต่อตัว แถมยังไม่กลัวการถูกโจมตี… เพียงฟาดฟันหนึ่งครั้งด้วยง้าวหินหนัก ก็มากพอจะทำให้ถึงตาย… ไคลน์เหยียดมือซ้ายออก ไม่ตอบสนองส่งเดช


มันและอัลเจอร์ยังไม่ขยับเขยื้อน คนหนึ่งใช้ร่างกาย ส่วนอีกคนใช้เสื้อผ้าเพื่อบังแสงจากตะเกียง


ตึง! ตึง! ตึง!


การ์กอยล์หกปีกไม่หันมาสนใจคนทั้งสอง เพียงเดินผ่านโถงทางเดินไปยังอีกฝั่ง เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังห่างออกไป


เป็นอย่างที่คิด ประสาทสัมผัสของมันไม่ดีเท่าไร… เพราะแบบนี้ คีลิงเกอร์ถึงลงมาสำรวจได้และรอดชีวิตกลับไป… ไคลน์รอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน จึงเริ่มขยับตัวอีกครั้ง


อันที่จริง ด้วยฝีมือและสมบัติวิเศษในปัจจุบัน การฆ่าการ์กอยล์หกปีกไม่ใช่เรื่องยากเย็น แถมยังมีแฮงแมนคอยสนับสนุน แต่เหตุผลที่ชายหนุ่มไม่โจมตี เพราะไม่รู้ว่าแถวนี้ยังมีการ์กอยล์หกปีกกี่ตัว เมื่อเริ่มต่อสู้ หากเกิดเสียงดังอึกทึก อาจทำให้การ์กอยล์ตัวอื่นเข้ามารุมล้อม ทางรอดเดียวคือการพึ่งพาพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ในการหลบหนี และในกรณีเลวร้าย ความวุ่นวายอาจไปกระตุ้นความสนใจของสิ่งมีชีวิตลึกลับที่สัตว์วิเศษในละแวกใกล้เคียงหวาดกลัว สถานการณ์จะย่ำแย่ถึงขีดสุด


นักผจญภัยที่ดีต้องสามารถระงับความโลภในจังหวะที่เหมาะสม


เมื่อเห็นนักผจญภัยเสียสติทำตัวเยือกเย็น อัลเจอร์โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยว่า อีกฝ่ายอาจรับคำสั่งบางอย่างมาจากมิสเตอร์ฟูล จึงไม่ลงมือโจมตีการ์กอยล์หกปีกอย่างบุ่มบ่าม


ในยามปรกติ ยิ่งดูสงบมากเท่าใด ในยามเผชิญหน้ากับเป้าหมาย ความบ้าคลั่งก็ยิ่งปะทุ… ขณะเดินตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผ่านสี่แยกทางเดิน ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองอัลเจอร์


ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ผุพังทั้งสองด้าน ยังคงบอกเล่าความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ของเทพสุริยันบรรพกาลอย่างต่อเนื่อง


จนกระทั่งไคลน์และอัลเจอร์มาถึงสุดทางเดินยาว ตรงหน้าคือประตูหินสูงเจ็ดแปดเมตร บานประตูสลักสัญลักษณ์แห่งความตาย การนอนหลับ และการเกิดใหม่


“ห้องเก็บศพ?” ไคลน์หันไปถามอัลเจอร์


อัลเจอร์พยักหน้ารับ


“แต่ก็อาจจะเป็นวิหารด้วย”


ค่อนข้างชัดเจนว่า อัลเจอร์ยังเชื่อทฤษฎีที่วิหารและสุสานอยู่ร่วมกัน


ประตูหินสีเทาตรงหน้ามิได้ปิดสนิท มีช่องว่างพอให้เด็กลอดผ่าน อัลเจอร์ก้มมองพื้นสักพัก ก่อนจะวางตะเกียงลงและเก็บมีดสั้น นำฝ่ามือทาบกับประตู


มันหายใจเข้าออกเชื่องช้า งอเข่าลงหนึ่งข้าง กล้ามแขนบวมพองกะทันหัน


ช่องว่างระหว่างประตูขยายออกอย่างเงียบงัน


ได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์เลิกคิ้วเล็กน้อย ค่อนข้างแปลกใจ เนื่องจากการเปิดประตูของแฮงแมนเกิดขึ้นโดยปราศจากเสียง


มันไม่คลางแคลงในพละกำลังของ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเปิดประตูหินได้โดยไม่สัมผัสกับพื้น


มองไปบนพื้น ไคลน์พบของเหลวเหนียวหนืดในช่องว่างด้านล่างประตู


แอบใส่สารหล่อลื่น… มิสเตอร์แฮงแมนพิถีพิถันมาก… เป็นพลังของ ‘นักเดินเรือ’ หรือ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ? หืม… นอกจากนั้นยังมีการใช้พลังของ ‘ข้ารับใช้วายุ’ เพื่อสร้าง ‘เบาะอากาศ’ สำหรับลดทอนเสียง… ไคลน์ไตร่ตรองจนพบสาเหตุ


แม้ชายหนุ่มจะขยับเข้าใกล้ประตู แต่ก็ไม่รีบร้อนผ่านเข้าไป พยายามสำรวจภาพแวดล้อมด้านใน


จุดที่ดึงดูดสายตา ‘วิญญาณอาฆาต’ มากที่สุดคือริมผนังสองฝั่งซ้ายขวา บริเวณดังกล่าวมีโลงหินสีเทาอ่อนเรียงรายจำนวนหนึ่ง


เป็นห้องเก็บศพอย่างที่คิด… ส่วนจะเป็นวิหารด้วยหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ… ไคลน์ใคร่ครวญพลางเปิดหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ด้วยมือซ้าย เลือกหน้าที่เหมาะแก่การรับมือกับขอบเขตของความตาย


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มใช้กริชเงินสร้างกำแพงวิญญาณเพื่อผนึกกล่องบุหรี่โลหะ ป้องกันมิให้นกหวีดของอะซิกปลุกศพในโลงให้ตื่นขึ้นมาสร้างความปั่นป่วน


อัลเจอร์ดึงมีดสั้นออกมาอีกครั้ง มือซ้ายทาบลงบนคมมีดและตวัดไปข้างหน้า


เกิดเสียงโลหะถูกกระทบแผ่วเบา อสรพิษไฟฟ้าสีเงินเริ่มหมุนเป็นเกลียวรอบๆ ใบมีด


บุรุษทั้งสองเตรียมตัวเสร็จภายในเวลาอันสั้น ไคลน์ซึ่งกำลังสวมบทบาทเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเสียสติ เดินเข้าไปในห้องฝังศพเป็นคนแรก


แน่นอน ก่อนจะย่างกรายเข้าไป มันใช้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลสำรวจด้านในพอสังเขปแล้ว


ในฐานะ ‘นักเชิดหุ่น’ มันสามารถใช้หุ่นเชิดดำเนินการแทนได้โดยไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง!


บนเพดานห้องมีคราบน้ำไหลซึม บ่งบอกถึงระดับความชื้น ด้านในห้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนซ้ายขวา แต่ละฝั่งมีโลงศพหินสีเทาอ่อนฝั่งละสิบสองโลง กึ่งกลางห้องเป็นพื้นที่ว่างวงกลม มีภาพวาดที่งดงามและซับซ้อนบนพื้นหิน


ไคลน์ตัดสินใจไม่เข้าใกล้ ขณะเดียวกันก็ยกมือห้ามอัลเจอร์ พลางบังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลเผยตัวตน ลอยเข้าไปในวงกลมซึ่งเป็นที่ว่างกึ่งกลาง


“พลเรือเอกโลหิต…” กล้ามเนื้อบนใบหน้าอัลเจอร์เริ่มกระตุก


แม้จะคาดเดาได้สักพักแล้ว แต่เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง เป็นเรื่องยากที่จะควบคุมการตอบสนองจากจิตใต้สำนึก


ขณะเดียวกัน เซนอลลดลดระดับการบินลง สำรวจภาพบนพื้นผิวของที่ว่างในส่วนกลาง


ภาพวาดด้วยโทนสีหม่น องค์ประกอบด้านหลังเป็นกลุ่มเงาลางซึ่งมีใบหน้าไม่คมชัด ด้านหน้าเป็นโต๊ะยาว


บนโต๊ะยาวมีบุคคลนิรนามกำลังถือไม้กางเขนที่ส่องสว่าง รายล้อมด้วยสามบุคคลคนที่ถูกเงาดำปกคลุมใบหน้า


ทั้งสามประกอบด้วย บุรุษผู้หล่อเหล่าและแข็งแรง บุรุษผู้องอาจกล้าหาญ และชายชราเคราสีขาวที่มากปัญญา ดวงตาทั้งสามคู่เปี่ยมด้วยความชั่วร้ายที่ยากจะพรรณนา และทุกคนกำลังทำในสิ่งเดียวกัน


คนหนึ่งฉีกแขนของบุคคลนิรนาม ใส่ปากเคี้ยวจนเลือดกระเซ็นเปรอะเปื้อน อีกคนกำลังกอดศีรษะและดูดของเหลวจากสมองของชายนิรนาม และคนสุดท้ายควักหัวใจที่กำลังเต้นของชายนิรนามออกมากินอย่างหิวโหย


ตรงข้ามกับสามคนแรก บุคคลที่สี่คือทารกผิวเข้มซึ่งมีบรรยากาศรอบตัวชั่วร้าย กำลังนั่งขัดสมาธิภายในช่องท้องซึ่งถูกผ่าออกเป็นทางยาวของบุคคลนิรนาม เคี้ยวลำไส้ที่มีเลือดสดไหลหยด


คล้ายกับทั้งสี่ตระหนักว่าใครบางคนกำลังแอบมอง จึงเงยหน้าขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หันมาจ้องผู้ที่พยายามสำรวจภาพนี้!


ราชันเร้นลับ 812 : ตำนานจากอีกมุม

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้เห็นภาพดังกล่าวเต็มสองตาผ่านมุมมองของ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอล หัวใจไคลน์เต้นแรงกะทันหัน เสียงโครมครามดังกังวานชัดเจน


ในฐานะ ‘นักทำนาย’ ที่เก่งด้านการตีความวิวรณ์และสัญลักษณ์ ปัจจุบันสมองกลับขาวโพลน เลือดในร่างกายไหลเวียนไปยังศีรษะอย่างบ้าคลั่งจนเกิดอาการวิงเวียน คล้ายกับพยายามปิดกั้นความคิดอ่าน


เลวร้ายถึงขั้นมีเสียงมายาของตัวเองดังก้องอยู่ในความคิด อารมณ์เต็มเปี่ยมด้วยความหวาดผวา


ศ…ศพที่กำลังถูกกลืนกิน น่าจะสื่อถึงเทพสุริยันบรรพกาล สื่อถึงพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งตามความเชื่อของชาวเงินพิสุทธิ์ มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง!


และบุคคลชั่วร้ายทั้งสามรอบๆ ตัวเขา… ร…เราเคยเห็น ‘พวกท่าน’ มาก่อน!


ในซากปรักหักพังใต้ดินของเบ็คลันด์… ในจุดที่วิญญาณมารอันน่าสะพรึงกลัวถูกผนึกไว้!


แต่คราวนั้น เราพบในลักษณะรูปปั้น และไม่ชั่วร้ายเหมือนกับในภาพนี้… แต่ละท่านประกอบไปด้วย…


‘เทพสุริยันเจิดจรัส’ ‘เทพวายุสลาตัน’ ‘เทพปัญญาความรู้’ !


ทันใดนั้น ไคลน์พลันนึกถึงสมญานามหนึ่งที่เคย ‘เรียนรู้’ จากการเผชิญหน้ากับ ‘สุริยันเจิดจรัส’


เทวทูตสีขาว!


นี่มัน… ไม่มีทาง… อย่าบอกนะว่า ‘สุริยันเจิดจรัส’ เคยเป็นเทวทูตรับใช้ของ ‘เทพสุริยันบรรพกาล’ มาก่อน? เดอะซันน้อยเคยกล่าวไว้ว่า ในหมู่บ้านยามบ่าย เขาได้ยินนักบวชของพระผู้สร้าง พึมพำบางสิ่งด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด เนื้อหาค่อนไปในทางพยากรณ์ หนึ่งในนั้นประกอบด้วยประโยคนี้ : เหล่าราชามักแอบพบกันในวังแห่งสนธยาเพื่อสมคบคิดบางสิ่ง… แต่เดิม เทพสุริยันบรรพกาลคือ ‘เทวทูตสีขาว’ หนึ่งในราชาเทวทูตที่ทรยศต่อพระผู้สร้าง?


ท่านและ ‘เทพวายุสลาตัน’ กับ ‘เทพปัญญาความรู้’ รวมถึงทารกผิวเข้มที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ได้ครอบครองประโยชน์สูงสุดโดยการกินศพของพระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ… บรรดาโบสถ์หลักต่างบันทึกตรงว่า เทพทั้งสามพระองค์ถือกำเนิดจากการแบ่งดวงวิญญาณของพระผู้สร้างต้นกำเนิด… หากเปลี่ยนมุมมอง นี่คือคำบอกใบ้ของประวัติศาสตร์อันดำมืด?


ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริง แปลว่า ‘วายุสลาตัน’ กับ ‘เทพปัญญาความรู้’ ก็น่าจะเป็นราชาเทวทูตที่คอยรับใช้พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือเช่นกัน… บางที พวกท่านอาจเคยถูกเรียกว่า ‘เทวทูตวายุ’ และ ‘เทวทูตปัญญา’


ถ้าเป็นแบบนี้ ราชาเทวทูตทั้งแปดจะประกอบด้วย เทวทูตมืด เทวทูตสีขาว เทวทูตวายุ เทวทูตปัญญา เทวทูตจินตภาพ เทวทูตกาลเวลา เทวทูตโชคชะตา และเทวทูตสีชาด… จากคำบอกเล่าของเดอะซันน้อย ในภายหลัง ดูเหมือนว่านอกจากบุตรชายทั้งสองของพระผู้สร้างอย่างอามุนด์และอาดัม ราชาเทวทูตที่เหลือได้ทรยศต่อพระผู้สร้าง… ถ้าเป็นแบบนี้จริง จุดจบของเทพสุริยันบรรพกาลไม่น่าสมเพชไปหน่อยหรือ? แต่ว่า ภาพนี้อาจเป็นแค่การใส่ร้าย เรายังไม่มีข้อมูลยืนยัน…


ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าทารกผิวเข้มที่นั่งอยู่ในท้องของเทพสุริยันบรรพกาลหมายถึงใคร… แต่คนที่น่าสงสัยที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ … ไคลน์คิดหลายสิ่งภายในเวลาอันสั้น ยิ่งไตร่ตรองมากเท่าไหร่ ก็อยากปล่อยวางและหันหลังหนี หลอกตัวเองว่าไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน


ณ ตอนนี้ ภายในใจชายหนุ่มผุดความหวาดกลัวที่มิอาจควบคุม รู้สึกราวกับ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ‘วายุสลาตัน’ และ ‘เทพปัญญาความรู้’ กำลังทอดสายตาลงมาจากดินแดนดารา


ใครเป็นคนวาดภาพนี้? คนที่รู้ความลับมากมาย และยังอยู่ฝ่ายเดียวกับเทพสุริยันบรรพกาล… หนึ่งในราชาเทวทูตที่คอยรับใช้พระผู้สร้างด้วยศรัทธาแรงกล้า? เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังไคลน์ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย


แม้ว่าทักษะการสังเกตของอัลเจอร์จะไม่ดีเท่า ‘จัสติส’ แต่ก็เป็นคนที่ผ่านอะไรมามาก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมซึ่งต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบว่ามีบางสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“เกิดอะไรขึ้น?” มันถามเสียงแผ่ว


ไคลน์พลันสะดุ้ง รีบบังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลถอนสายตากลับ พลางใช้ร่างต้นชี้ไปทางที่ว่างวงกลมใจกลางห้อง


“เห็นแล้วจะเข้าใจเอง”


ภาพที่ทำให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์สั่นสะท้าน… เราจะไม่คลุ้มคลั่งทันทีหลังจากได้เห็นหรือ? แต่ในเมื่อเขาไม่ได้ห้าม แถมยังเชื้อเชิญให้ดูด้วยตัวเอง ปัญหาก็คงไม่ร้ายแรง… แต่ยังไม่ควรตัดความเป็นไปได้ที่ชายคนนี้จะเสียสติไปแล้ว และกำลังแสร้งทำเป็นปรกติ… อัลเจอร์ครุ่นคิดหลายสิ่งในพริบตา ก่อนจะตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับตะเกียง ตรงไปยังเขตส่วนกลาง


ผ่านไปเจ็ดแปดก้าว มันได้เห็นเนื้อหาของภาพโทนหม่นอย่างชัดเจน


เพียงสามถึงสี่วินาที มือของอัลเจอร์ที่ถือมีดสั้นและตะเกียง สั่นระริกอย่างมิอาจควบคุม คล้ายกับกำลังเจ็บป่วยทางจิต


ตัวมันซึ่งเป็นสมาชิกชุมนุมทาโรต์ ย่อมเคยเห็นรูปปั้นร่างมนุษย์ของหกเทพจารีตที่ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์แสดง นั่นจึงหมายความว่า บุคคลทั้งสามที่กำลังกัดแขน กินหัวใจ และดูดสมอง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘วายุสลาตัน’ ‘สุริยันเจิดจรัส’ และ ‘เทพปัญญาความรู้’ !


แม้ว่ามันจะเคยถูกคีลิงเกอร์บีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ถือเป็นการทรยศต่อศาสนจักร แม้ว่าจะเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ ตีตัวออกหากจาก ‘ห้วงลึกแห่งพายุ’ และศรัทธาในตัวมิสเตอร์ฟูล แสวงหาพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม แม้ว่าจะทรยศศาสนจักรโดยการนำข้อมูลภายในออกมาเผยแพร่หลายครั้ง แต่อัลเจอร์ยังมองว่าตัวเองเป็นสาวกของ ‘วายุสลาตัน’ เพียงแต่ไม่เคร่งมากเท่ากับคนอื่น หลังจากได้เห็นภาพเมื่อครู่ มันจึงเชื่อจากก้นบึ้งว่าตนได้ก่อบาปร้ายแรงที่ถือเป็นการดูหมิ่นพระองค์ อยากจะควักลูกตาตัวเองออกมาด้วยความกลัว


การที่ยังไม่ฆ่าตัวตายในทันที แสดงให้เห็นแล้วว่าเราเป็นแค่สาวกจอมปลอม… อัลเจอร์ไม่กล้าดูนาน รีบหันกลับมามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์และถามเสียงสั่น


“ราชาเทวทูตทั้งสาม?”


“ยังยืนยันไม่ได้ บอกได้เพียงว่า ‘สุริยันเจิดจรัส’ มีความเกี่ยวข้องกับ ‘เทวทูตสีขาว’ ” ไคลน์ตอบคลุมเครือ


อย่างที่คิด… อัลเจอร์พบว่า ‘วายุสลาตัน’ ‘สุริยันเจิดจรัส’ และ ‘เทพปัญญาความรู้’ ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชาเทวทูต


การที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ อัลเจอร์ไม่แปลกใจนัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่ใช่ตัวมิสเตอร์ฟูลเอง


อัลเจอร์เตรียมกล่าวบางสิ่ง ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงหวีดแหลม


เสียงคล้ายกับใครบางคนในโลงศพ กำลังใช้เล็บข่วนฝาโลงหิน!


นี่ไม่ใช่การอุปมา แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น!


ครืด! กึก! ครืด!


สามโลงศพทางซ้ายและขวากำลังส่งเสียงแหลมเสียดแทง จากนั้น ฝาโลงสีเทาอ่อนที่ดูเหมือนจะมีน้ำหนักมาก บ้างถูกยกขึ้น บ้างระเบิดออก สามบุคคลที่บิดเบี้ยวพยุงตัวลุกขึ้นมา


หนึ่งในนั้นสวมเสื้อคลุมแปลกตา สีขาวเกือบเทา ใบหน้าเน่าและเป็นหลุม ตรงคอ หน้าผาก หลังมือ เต็มไปด้วยดวงตาจมลึก ข้างๆ กันเป็นชายฝ่ามือใหญ่ นิ้วอ้วนป้อม คล้ายแกะสลักจากไม้ ผิวปกคลุมด้วยหนองสีเขียวเหลือง แถมรอบๆ ยังเต็มไปด้วยหมอกสีเดียวกัน มีอำนาจกัดกร่อนโลงศพหิน


อีกด้านหนึ่ง ชายสวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาลขาดวิ่น สวมหมวกสามมุมมีรูปหัวกะโหลกสีขาว ผิวหนังหลายส่วนผุกร่อนจนเผยให้เห็นกระดูก


ภายใต้เสื้อผ้ามีหนวดยาวและหนา ผิวหนวดเป็นเกล็ดปลา มอบความรู้สึกน่าเกรงขาม บ้าคลั่ง และทรราช ขณะเดียวกันก็แผ่ออร่าที่น่าหวาดกลัว ทำให้ไคลน์รู้สึกคล้ายกับกำลังเผชิญหน้าผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางพายุ แต่ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่า ‘ระดับตัวตน’ จะยังไม่ถึงขั้นนั้น


ศพทั้งสามคลานออกจากโลง พลางมองไปยังทิศทางที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์และอัลเจอร์ยืนอยู่ ศพหนึ่งสร้างสายฟ้าสีเงินรายล้อมร่างกาย อีกศพฉายภาพพวกพ้องทั้งสองบนกระจกตาที่มีอยู่เต็มลำตัว และศพสุดท้ายแพร่หมอกสีเขียวเหลืองพร้อมกับสร้างเถาวัลย์สีน้ำตาล


ขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้า ‘ตึงตึงตึง’ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง ดูเหมือนว่าการ์กอยล์หกปีกกำลังวิ่งมาที่นี่


ฉากตรงหน้าไม่ทำให้ไคลน์ลนลาน มือซ้ายในกระเป๋าจับบันทึกการเดินทางของเลมาโน่อย่างใจเย็น มือขวาทำลายกำแพงวิญญาณด้วยสองนิ้ว ปลดปล่อยนกหวีดทองแดงของอะซิกให้เป็นอิสระ


จากนั้น ชายหนุ่มสะบัดข้อมือ โยนนกหวีดทองแดงไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องเก็บศพ และไม่ผิดคาด ศพที่น่ากลัวทั้งสามทำตัวเหมือนกับสุนัขล่าเนื้อ หักเหทิศทางและวิ่งตามไป


เห็นภาพดังกล่าว ดวงตาอัลเจอร์แข็งทื่อในช่วงแรก ก่อนจะคิดไวทำไว ทิ้งตะเกียงและรีบวิ่งไปที่ประตู


ประสบการณ์ได้บอกมันว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถรับมือกับศพทั้งสามได้พร้อมกัน และสิ่งที่มันต้องทำคือการหยุดการ์กอยล์หกปีก ไม่ปล่อยให้เข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ของนักผจญภัยเสียสติ


โครม!


ยังไม่ทันจะถึงประตู อัลเจอร์เห็นประตูหินสูงใหญ่ขาดสะบั้นออกจากกัน การ์กอยล์หกปีกที่ถือง้าวหินยาวเจ็ดแปดเมตรกำลังพุ่งเข้ามาด้านใน


มันสูดลมหายใจเข้า โทสะลุกโชนในดวงตา มัดกล้ามเนื้อขยายตัว จากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความช่วยเหลือของสายลมกระโชก ฟันกวาดด้วยมีดสั้นที่มีสายฟ้าห่อหุ้ม


โครม!


อัลเจอร์หลบง้างหินที่ทุบลงพื้นพร้อมกับใช้มีดสั้นฟันใส่ท้อง


ประกายสายฟ้าปะทุออก ร่างอัลเจอร์กระเด็นถอยหลัง ส่วนการโหมบุกของการ์กอยล์หกปีกมีอันต้องชะงักไป


โครม! อัลเจอร์กระแทกพื้นอย่างแรง แต่ ‘เบาะลม’ ที่สร้างขึ้นช่วยให้ไม่บาดเจ็บ


ขณะเดียวกัน ศพทั้งสามกำลังมารวมตัวรอบนกหวีดทองแดง


ไคลน์จ้องพวกมันอย่างเยือกเย็น มือซ้ายเปิดสมุดเวทมนตร์ไปยังหน้ากระดาษสีเหลืองไหม้ที่มีลวดลายซับซ้อน


นี่คือพลังพิเศษระดับครึ่งเทพที่ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า : พายุสายฟ้า!


จากนั้น ไคลน์ใช้นิ้วมือขวาข้างที่ถือลางมรณะ ลูบไล้ไปบนหน้ากระดาษ


สายตาจดจ้องศพทั้งสามที่พยายามแย่งชิงนกหวีดทองแดงอะซิก ปากขยับทักทายเสียงต่ำ


“ลาก่อน”


ท่ามกลางเสียง ‘เปรี้ยะ’ สายฟ้าสีเงินหลายเส้นผุดจากความว่างเปล่า ถักสานกันเป็นพายุในตำแหน่งของนกหวีดทองแดงอะซิกและศพทั้งสาม


ห้องเก็บศพถูกย้อมด้วยแสงสว่างสีขาวราวกับช่วงเวลากลางวัน แม้แต่อัลเจอร์ก็ยังต้องหรี่ตาลง ร่างกายของมันสั่นระริกจากออร่าอันทรงพลังที่กำลังแผ่ซ่านไปทุกทิศ


ในวินาทีที่พายุสายฟ้าก่อตัว อัลเจอร์อาศัยแรงลม ส่งร่างกายให้กระโจนไปในอากาศ พุ่งเข้าหาการ์กอยล์หกปีกที่พยายามทำร้ายเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ราชันเร้นลับ 813 : ทรราช

Ink Stone_Fantasy

นอกจากการโจมตีด้วย ‘ระเบิดโทสะ’ อัลเจอร์เชื่อว่าไม่มีท่าโจมตีใดของตนที่สามารถทะลวงผ่านร่างกายการ์กอยล์หกปีกที่ต้านทานสายฟ้าได้


แน่นอน การร้องเพลงเพื่อเจาะทะลวงเข้าไปในจิตใจของศัตรูโดยตรงคือวิธีที่ดีและได้ผลมากที่สุด หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่อื่น มันจะฉวยโอกาสจากความเชื่องช้าของการ์กอยล์หกปีก อ้อมไปรอบๆ ศัตรูพลางร้องเพลงและใช้ลมเฉือนโจมตีซ้ำๆ ในจุดเดิม ล้มเหยื่อด้วยความเสียหายสะสมในจุดเดียว


แต่ปัจจุบัน มันกำลังอยู่ในห้องเก็บศพ เนื่องด้วยขีดจำกัดทางด้านสภาพแวดล้อม การหลบหลีกอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ตกเป็นเป้าถูกโจมตีแทน การ์กอยล์หกปีกสามารถอาศัยจังหวะดังกล่าว ใช้ง้าวหินยาวเจ็ดแปดเมตรฟันใส่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก่อนที่อีกฝ่ายจะจัดการกับศพทั้งสามเสร็จ นอกจากนั้น อัลเจอร์ยังเชื่อว่า เสียงร้องของตนจะส่งผลกระทบต่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์มากกว่าการ์กอยล์หกปีก


โครม!


ง้าวหินกระแทกพื้นห้องอย่างหนักหน่วงจนเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ ห้องเก็บศพสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับแผ่นดินไหว สำหรับอัลเจอร์ มันไม่โง่พอจะรับแรงปะทะตรงๆ แต่อาศัยสายลมเร่งความเร็วไปทางขวาและกระโดดขึ้น หลบหลีกการโจมตีของการ์กอยล์ด้วยความคล่องแคล่วพร้อมกับพุ่งไปที่หัวศัตรู


ทันใดนั้น มันพบว่าดวงตาสีเทาอ่อนของอีกฝ่ายกำลังมีเปลวไฟลุกโชน


ความคิดอัลเจอร์ชะงักทันที ร่างกายแข็งทื่อพร้อมกับเกิดความรู้สึกถูกสาปเป็นหิน แต่บนผิวหนังยังไม่ปกคลุมไปด้วยสีเทาอ่อน


อาศัยแรงเฉื่อยตกค้าง อัลเจอร์ยังคงพุ่งตรงไปในทิศทางเดิม แต่มิอาจขยับแขนแทงมีดสั้นใส่ศัตรูได้ทันเวลา ร่างกายจึงกระแทกเข้ากับศีรษะของการ์กอยล์หกปีกอย่างจังจนกระเด็น


ง้าวหินสีเทาปรากฏในมุมสายตาอัลเจอร์อีกครั้ง แต่ด้วยความคิดที่กำลังเชื่องช้า เป็นเรื่องยากจะที่รับมือกับการโจมตีถัดไป


ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับไหล่ของมันพร้อมกับกระชากไปด้านข้าง


โครม!


เศษหินกระจัดกระจายพร้อมกับสะเก็ดไฟ ง้าวหินยักษ์ของการ์กอยล์กระแทกพื้นจนเกิดรู้โหว่ขนาดมหึมาอีกครั้ง


การมองเห็นของอัลเจอร์เริ่มกลับมาคมชัด สตินึกคิดค่อยๆ กลับมาเป็นปรกติ


ราวกับตื่นจากฝันร้ายที่มิอาจหลุดพ้นได้ด้วยตัวเอง อัลเจอร์ได้รับสิทธิ์การควบคุมร่างกายคืน


มันพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังยืนอยู่ข้างตน โดยตรงมุมห้องในจุดที่ศพทั้งสามยืนอยู่ ยังคงมีประกายสายฟ้าหลงเหลือ


“ห้ามสบตากับมัน เล็งโจมตีที่หน้าอก” หลังจากประสบความสำเร็จในการดึงอัลเจอร์ให้พ้นจากง้าวหิน ไคลน์มอบคำแนะนำ


อัลเจอร์เคยผ่านการต่อสู้มามาก ไม่ต้องให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์อธิบายเพิ่มเติมก็ทราบทันทีว่าประโยคหลังหมายถึงสิ่งใด จึงตั้งสติและเริ่มวนไปรอบๆ การ์กอยล์หกปีก


กึก! กึก! กึก!


อัลเจอร์วิ่งเข้าหาศัตรูและรอให้ง้าวหินฟันกวาดเข้ามา จากนั้นก็ใช้สายลมเร่งความเร็วเพื่อกระโดดหลบ


ฟ้าว!


ลมเฉือนอันคมกริบถูกยิงใส่หน้าอกของการ์กอยล์หกปีก


ระหว่างนั้น อัลเจอร์หลับตาลง ง้างกำปั้นขวาไปด้านหลัง กล้ามเนื้อท่อนแทนเริ่มขยายตัวจนมองเห็นด้วยตาเปล่า


อาศัยความแม่นยำในการกะระยะของนักเดินเรือ มันเหวี่ยงหมัดข้างที่ถือมีดสั้นสุดแรง


ในวินาทีนี้ กำปั้นกำลังถูกห่อหุ้มด้วยเกลียวสายลมและเกลียวสายฟ้า


เปรี้ยง!


หมัดขวาของอัลเจอร์ปะทะกับหน้าอกการ์กอยล์และเกิดระเบิด ส่งผลให้ผิวหนังการ์กอยล์หินเริ่มปริแตก อสรพิษสายฟ้าที่กระจัดกระจายไปรอบๆ เปลี่ยนให้รอยร้าวยุบตัวลงและกลายเป็นหลุมลึก!


แต่ขณะเดียวกัน มีดสั้นในมืออัลเจอร์ส่งเสียงปริแตก ตามด้วยการระเบิดเป็นเศษเล็กเศษน้อย


แรงระเบิดส่งร่างอัลเจอร์กระเด็นไปในอากาศ มันชำเลืองด้วยหางตาและพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังอ้อมไปด้านหน้าการ์กอยล์พร้อมกับง้างนกปืนลูกโม่


เสี้ยววินาทีถัดมา นักผจญภัยเลือดเย็นยกมือขึ้นและใช้ปากกระบอกสีดำเล็งใส่การ์กอยล์


ปัง!


ท่ามกลางเสียงกึกก้อง กระสุนพุ่งเข้าไปในหลุมลึกกึ่งกลางหน้าออกการ์กอยล์


สิ้นเสียงสนั่นหวั่นไหว การ์กอยล์หินสีเทาอ่อนชักกระตุกแผ่วเบา ดวงตาที่มีเปลวไฟลุกโชนพลันดับมอด


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ร่างของมันเริ่มพังถล่มลงมาจนแผ่นดินสั่นสะเทือน


ลางมรณะทำการยิง ‘โจมตีหนักหน่วง’ เข้าใส่จุดอ่อน!


วินาทีเดียวกัน อัลเจอร์ที่สามารถรักษาสมดุลร่างกายกลางอากาศ ร่อนลงพื้นด้วยความช่วยเหลือจากสายลม


ไคลน์มิได้หันไปคุยกับอัลเจอร์หรือมองหาสิ่งของมีค่าที่ตกอยู่ แต่รีบมุ่งหน้าไปยังพื้นไหม้เกรียมที่มีนกหวีดทองแดงอะซิกวางอยู่


ศพหนวดปลาหมึกซึ่งมีเกล็ดปลาปกคลุม ค่อยๆ พยุงตัวยืนด้วยร่างกายที่หายไปกว่าครึ่ง ประกายสายฟ้ายังคงแล่นไปทั่วศพจนทำให้เกิดอาการกระตุก


ไม่ใช่ใครนอกจากศพที่แผ่บรรยากาศองอาจ บ้าคลั่ง และทรราช สวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาลและหมวกสามเหลี่ยม แขนซ้ายกับขาขวาหายไป ศีรษะเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง ตามลำตัวมีรอยไหม้หลายจุด


แต่ถึงอย่างนั้น มันยังไม่ยอมพักผ่อนอย่างสงบ พยายามผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเศษเนื้อโดยรอบเพื่อกระตุ้นความแข็งแกร่ง


ต้องไม่ลืมว่า การโจมตีที่ไคลน์ใช้เมื่อครู่คือ ‘พายุสายฟ้า’ จากคทาเทพสมุทร แม้ขั้นตอนการบันทึกจะทำให้ประสิทธิภาพลดทอนลงหลายส่วน แต่ระดับความรุนแรงก็ยังอยู่ในขอบเขตครึ่งเทพ การที่อีกสองศพตายคาที่โดยไม่ส่งเสียงร้อง ก็มากพอจะอธิบายพลังทำลายล้างได้เห็นภาพ


เจ้านี่คือตัวปัญหาสินะ… หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง พลางบังคับให้หุ่นเชิดเซนอลกระโดดเข้าไปในผิวเรียบของนกหวีดทองแดง จากนั้นก็พยายามกระโดดเข้าไปในผิวมันเลื่อมของเกล็ดบนหนวด


ทว่า จากความรู้สึกของ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอล ไคลน์สัมผัสถึงแรงต่อต้านอันเกรี้ยวกราดจาก ‘ระดับตัวตนที่สูงกว่า’ ส่งผลให้วิญญาณอาฆาตไม่สามารถเข้าสิงร่างได้!


ร่างเซนอลถูกดีดกลับพร้อมกับสูญเสียสถานะล่องหน


เห็นฉากดังกล่าว อัลเจอร์ไม่มัวเสียเวลาไต่ถาม รีบสร้างลมหมุนรอบตัวศพหมายตรึงการเคลื่อนไหว แต่สายลมกลับไม่ยอมพัดเข้าไปหาอีกฝ่าย คล้ายกับหวาดกลัวบางสิ่ง ทำเพียงกระจัดกระจายไปทุกทิศ


ข่าวดีเรื่องเดียวในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือ ศพดังกล่าวไม่คิดโจมตีใส่คนทั้งสอง แต่กระโดดไปทางซ้ายและก้มตัวลง เล็งหยิบนกหวีดทองแดงของอะซิก


ไคลน์ขยับข้อมืออย่างชำนาญ พลิกเปิดสมุดเวทมนตร์ไปที่หน้า ‘ตรวนนรก’


นี่คือพลังที่เอ็มลินบันทึกลงไป เป็นความสามารถของลำดับ 7 แวมไพร์


หลังจากไคลน์ใช้มือขวาข้างที่ถือลางมรณะลูบลงบนหน้ากระดาษ เงาสีดำรอบๆ ศพเริ่มก่อตัวเป็นโซ่ตรวน พันธนาการเป้าหมายให้ติดกับพื้น


อาศัยจังหวะชะงักชั่วครู่ของศัตรู ไคลน์ยกลูกโม่ขึ้นด้วยสีหน้าดำมืด


สีสันที่แตกต่างกัน ทั้งแดง เขียว และขาว ปรากฏขึ้นในทัศนวิสัย


ชายหนุ่มเล็งไปยังจุดสีขาวพร้อมกับเหนี่ยวไก


ปัง!


ลำแสงสีทองสว่างพุ่งเป็นเส้นตรงใส่ศีรษะของศพ เกิดเป็นน้ำพุเลือดสาดกระเซ็น โดยขณะเดียวกัน กระสุนชำระล้างได้แผ่แสงสีทองอร่ามราวกับแสงแดด อาบร่างของเป้าหมายทุกซอกมุม


ในท่างอตัว ศพเริ่มละลายคล้ายเทียนไข ก่อนจะล้มลงพื้นด้านข้างนกหวีดทองแดงอะซิก


สัตว์ประหลาดไร้สติปัญญารับมือง่ายกว่าผู้วิเศษในระดับเดียวกันมาก… ชักเริ่มรู้สึกผิดกับนกหวีดทองแดงแล้วสิ… นับตั้งแต่มาอยู่กับเรา มันต้องเผชิญกับหลายสิ่ง ทั้งระเบิด สายฟ้า แสงชำระล้าง… สมบุกสมบันมาก… ไคลน์รำพันในใจ ก่อนจะสั่งให้วิญญาณอาฆาตลอยไปหยิบนกหวีดทองแดงขึ้นมายัดใส่ร่างกาย


ชายหนุ่มไม่เดินเข้าไปเอง ด้วยเกรงว่าศพที่เหลืออาจตื่นขึ้น เพียงบังคับให้เซนอลสำรวจศพที่สามารถต้านทานพลังการสิงร่าง


ไคลน์เชื่อว่า ศพนี้ต้องพกพาของมีค่าไว้กับตัวแน่!


เพียงไม่นาน เซนอลในร่างปรกติล้วงบางสิ่งออกมา


เป็นไพ่!


ชายบนหน้าไพ่กำลังสวมมงกุฎหรูหราคล้ายกับของสันตะปาปา สองมือประสานกันระดับอก ด้านหน้าชายคนดังกล่าวมีสาวกเคร่งศาสนาจำนวนมากกำลังหมอบกราบ ฉากหลังประกอบด้วยเมฆดำ สายฟ้า พายุ และคลื่น!


ไคลน์รู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดี เพราะเคยเห็นอีกฝ่ายในเครื่องแต่งกายรูปแบบอื่น


จักรพรรดิโรซายล์!


และบนมุมซ้ายบนถัดจากโรซายล์ที่สวมเครื่องแต่งกายสันตะปาปา แสงระยิบระยับเรียงตัวกันเป็นข้อความหนึ่งบรรทัด


ลำดับ 0 : ทรราช!


ไพ่เย้ยเทพเส้นทางวายุสลาตัน? ไพ่ทรราช? ไคลน์หวนนึกถึง ‘พระนาม’ ที่โบสถ์เทพปัญญาความรู้ใช้เรียกเทพวายุสลาตัน


ทรราช!


ในวินาทีที่อัลเจอร์เห็นไพ่ ดวงตาของมันลุกวาวทันที อัดแน่นไปด้วยความหิวกระหาย


อัลเจอร์สูดลมหายใจเข้าลึก รีบเบือนหน้าไปทางอื่นและกล่าว


“การต่อสู้เมื่อครู่สร้างความวุ่นวายไม่น้อย อาจไปปลุกให้ตัวตนลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวตื่นขึ้น พวกเราควรรีบเก็บของและรีบหนี”


มิสเตอร์แฮงแมน คิดว่าคนอย่างฉันจะไม่กังวลถึงเรื่องนั้นเลยหรือ? ไม่เห็นจะต้องเตือน ก็พวกเราเคยตกลงกันแล้วนี่? หึหึ… เข้าใจแล้ว ไพ่เย้ยเทพใบนี้คง ‘กระตุ้น’ นายไม่มากก็น้อย ทำให้สงบจิตใจได้ยาก กลายเป็นคนพูดมากโดยไม่จำเป็น… ไคลน์สั่งให้เซนอลก้มเก็บไพ่ทรราชมายัดใส่ตัว ตามด้วยการไล่เข้าสิงศพเพื่อเร่งการควบแน่นของตะกอนพลัง จากนั้นก็หันมากล่าวเสียงเย็น


“คุณเสียเวลาไปแล้วห้าวินาที”


อัลเจอร์ผงะ รีบหันหลังกลับและเดินไปทางศพการ์กอยล์หกปีก ควักลูกตาสีส่องแสงสีแดงออกมา อดทนรอสักพัก ก่อนจะนำมือล้วงเข้าไปในทรวงอกที่ถูกทำลายเป็นหลุมลึก หยิบผลึกสีเทาอ่อนออกมา


ในมุมหนึ่งของห้อง วิญญาณอาฆาตกำลังเร่งปฏิกิริยาของศพที่มีหนองเหลืองปกคลุม จนกระทั่งเกิดเป็นก้อน ‘ดิน’ สีน้ำตาลซึ่งมีรากและ ‘เส้นเลือด’ ซ่อนอยู่ภายใน นับเป็นวัตถุที่พิสดารมาก


โดยไม่มัวคาดเดาลำดับและเส้นทางของโอสถ ไคลน์บังคับให้เซนอลเก็บตะกอนพลังเข้าไปในตัว วกกลับไปหาศพที่หนวดปลาหมึกยังคงสั่นกระตุก เข้าสิงร่างและเร่งความเร็วการตกตะกอน


ขณะรอให้วัตถุคล้ายแมงกะพรุนสีครามก่อตัวเป็นรูปร่าง ไคลน์และอัลเจอร์ได้ยินเสียงหนึ่งลากยาว


“เฮ่อ…”


เสียงถอนหายใจดังมาจากส่วนลึกของวิหาร มอบความรู้สึกเก่าแก่และน่าเกรงขามเหนือพรรณนา


ราชันเร้นลับ 814 : หายไป

Ink Stone_Fantasy

สิ้นเสียงถอนหายใจยาวจากส่วนลึกของวิหาร กล้ามเนื้อแผ่นหลังของไคลน์และอัลเจอร์หดเกร็งพร้อมกัน เลือดลมสูบฉีดบ้าคลั่ง


โดยไม่มัวลังเล ถุงมือข้างซ้ายของไคลน์กลายเป็นสีโปร่งใส ก่อนจะหายตัวไปโผล่ข้างอัลเจอร์


ขณะนำมือทาบลงบนไหล่แฮงแมน ไคลน์บังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลเก็บตะกอนที่พลังคล้ายแมงกะพรุนและรีบใช้พลัง ‘กระโดดผิวกระจก’ เพื่อกลับเข้ามาในเหรียญทองในกล่องบุหรี่โลหะ


วินาทีถัดมา ร่างของไคลน์และอัลเจอร์เลือนหายไป ทิ้งให้ห้องเก็บศพเหลือเพียงความเงียบสงัด


คนทั้งสองปรากฏกายอีกครั้งกลางอากาศ ด้านบนคือดวงจันทร์สีแดงเข้ม ด้านล่างเป็นปุยเมฆ


ด้วยสัญชาตญาณ ไคลน์และอัลเจอร์หันกลับไปมองเกาะโบราณพร้อมกัน สงสัยว่าเกิดอะไรกันแน่


ขณะได้ยินเสียถอนหายใจ ไม่มีใครสัมผัสถึงอันตราย แต่ประสบการณ์และสัญชาตญาณของทั้งสองคนต่างร้องบอกให้รีบหนี และเมื่อย้ายตัวเองมายังจุดปลอดภัย จึงอดไม่ได้ที่จะผุดคำถามมากมาย


ในการมองเห็นของพวกมัน หมอกหนาทึบที่ปกคลุมเกาะเริ่มสลายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้แสงจันทร์สีแดงเข้มฉายลงไปยังเบื้องล่างอย่างชัดเจน


ท่ามกลางเสียงสายลมที่อัลเจอร์เสกขึ้นมาช่วยพยุงให้ลอย ไคลน์มองเข้าไปในหมอกจางๆ และเริ่มเห็นภาพรวมของเกาะ


มันหายไป


เกาะโบราณที่มีงูขนนกครึ่งเทพและสัตว์วิเศษอีกนานับชนิด ตอนนี้หายไปแล้ว!


ณ จุดที่เคยเป็นผืนเกาะขนาดมหึมา น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มกำลังกระเพื่อมอ่อนโยนตามจังหวะคลื่น ไม่มีสิ่งใดดูผิดธรรมชาติ!


อัลเจอร์รีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและสัมผัสสิ่งของภายใน ควานหาผลึกแก่นของการ์กอยล์ที่เกือบทำให้ตนเป็นหิน


หากไม่ใช่เพราะสิ่งของเหล่านี้ยังอยู่ มันคงเชื่อว่าตนและเกอร์มัน·สแปร์โรว์เกิดหลงทาง ไปไม่ถึงเกาะโบราณซึ่งเป็นเป้าหมาย หลงสำรวจในดินแดนความฝันที่ไม่มีอยู่จริง


ไคลน์เองก็คิดแบบเดียวกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงภาพหลอน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เกาะโบราณซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษและกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ยุคเก่า ไม่น่าจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ผิวน้ำทะเลก็ยังไม่หลงเหลือเบาะแส


โชคดีที่เราตัดสินใจหนีทันที ไม่อย่างนั้น เรากับมิสเตอร์แฮงแมนอาจหายไปเหมือนกับเกาะ… ไคลน์ขอบคุณตัวเอง ก่อนจะยื่นแขนออกไปจับไหล่อัลเจอร์และพาท่องโลกวิญญาณด้วยพลัง ‘ท่องเที่ยว’


ฉากสุดท้ายของท้องทะเลที่ปรากฏแก่สายตาคนทั้งสองก็คือ ภาพของหมอกสีขาวที่ค่อยๆ กลับมาถมแน่นอีกครั้ง


หลังจาก ‘ท่องเที่ยว’ อีกหนึ่งรอบ ไคลน์และอัลเจอร์มาโผล่บนเกาะทะเลทรายแห่งเดิม แต่คราวนี้เป็นการยืนบนแนวปะการัง จ้องมองคลื่นทะเลซัดกระทบฝั่งจนเกิดเสียงดัง


อัลเจอร์กวาดสายตา ถอนหายใจเงียบ ล้วงหยิบลูกตาและแก่นผลึกของการ์กอยล์หกปีกออกมา


“นี่เป็นส่วนกลาง คุณเลือกก่อน”


จากการประเมินของมัน มีเพียงสิ่งของจากการ์กอยล์หกปีกเท่านั้นที่ต้องหารเท่า เพราะศพของสัตว์ประหลาดสามตนถือเป็นรางวัลของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว


ไคลน์ไม่ตอบอะไร เพียงบังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลปรากฏกายพร้อมกับนำไพ่ทรราชออกมา รวมถึงตะกอนพลังที่คล้าย ‘โคลน’ สีน้ำตาลและวัตถุคล้ายแมงกะพรุนสีคราม อย่างหลังน่าจะเป็นตะกอนพลังของผู้ขับขานสมุทร


จัดการเสร็จ มันกล่าว


“ทุกชิ้นคือส่วนกลาง แต่ผมเลือกก่อน และเป็นฝ่ายเลือกสามชิ้นรวด”


ความนัยแฝงก็คือ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์สองคนกับหนึ่งการ์กอยล์และสามศพ อัลเจอร์เองก็แสดงฝีมือไม่น้อย แปลว่าสมบัติทั้งหมดต้องถูกนำมารวมกันเป็นกองเดียวแล้วค่อยแบ่ง


แต่จากผลงาน เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีสิทธิ์ได้เลือกก่อน และต้องเป็นสามชิ้นรวด


อัลเจอร์ผงะเล็กน้อย เริ่มมองนักผจญภัยเสียสติรายนี้ในแง่มุมใหม่ ตามด้วยพยักหน้า


“ตกลง”


ไคลน์เหยียดแขนออกไปหาหุ่นเชิด เลือกหยิบไพ่ทรราชด้วยสีหน้าเยือกเย็น


“นับเป็นสองชิ้น”


ด้วยไพ่เย้ยเทพใบนี้ เมื่อใช้งานพร้อมกับคทาเทพสมุทร ร่างวิญญาณของตนจะทรงพลังทัดเทียมครึ่งเทพเลยทีเดียว


แถมยังมีประโยชน์มากในการสวมรอยเป็นเทพสมุทรให้สมจริง


อย่างไรก็ตาม คุณค่าที่สำคัญที่สุดของไพ่ทรราชก็คือ สูตรโอสถของทุกลำดับบนเส้นทาง รวมถึงการช่วยให้ผู้ถือ ‘ดึงดูด’ วัตถุดิบหลักของโอสถหลังจากกลายเป็นลำดับ 4


ด้วยเหตุนี้ ไคลน์จึงตัดสินใจหยุดพักครึ่งทางในขากลับ แบ่งสมบัติให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นไพ่ทรราชอาจดึงดูดความสนใจจาก ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมน


จะนับเป็นกี่ชิ้นก็ตามใจนายเลย… อัลเจอร์ไม่คัดค้านในสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอ ทำเพียงยืนมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยื่นมือออกไปหยิบตะกอนพลังที่คล้ายกับแมงกะพรุนสีคราม


ไคลน์เลือกสิ่งนี้ก็เพราะ ตนสามารถนำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษในเส้นทางพายุ และใช้แทนกระดุมข้อมือเมอร์ล็อคซึ่งหายไปบนเรือของ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ นอกจากนั้นยังสามารถนำไป ‘ประทาน’ ให้แก่กลุ่มต่อต้านในอนาคต แต่ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจที่อีกฝ่ายมอบให้เทพสมุทร


หลังจากเก็บไพ่ทรราชและวัตถุคล้ายแมงกะพรุนสีคราม ไคลน์หันไปมองอัลเจอร์ เป็นนัยว่าถึงตานายแล้ว


อัลเจอร์ใช้ความคิดสักพัก


“ผมเลือกสูตรโอสถลำดับ 4 ในไพ่เย้ยเทพใบนั้นได้ไหม?”


“ไม่มีปัญหา” ไคลน์ผงกศีรษะหน้านิ่ง “เดี๋ยวผมจะส่งให้ภายหลัง”


ตอนนี้ไพ่เย้ยเทพถูกกระตุ้นแล้ว เกรงว่าอาจจะเกิดความวุ่นวายที่คาดไม่ถึงหากมัวประวิงเวลา ไคลน์จึงต้องการรีบกลับกรุงเบ็คลันด์ ส่งไพ่เข้ามิติสายหมอกและนั่งศึกษา


“ขอบคุณ” อัลเจอร์ผู้เงียบขรึมและรักษาภาพพจน์ ยามนี้กลับเผยรอยยิ้มโดยไม่ปิดบัง


อันที่จริง หากย่อยโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ เสร็จเมื่อไร มันสามารถกลับไปที่โบสถ์เพื่อสร้างผลงานและขอเลื่อนเป็นลำดับ 5 ผู้ขับขานสมุทรอย่างเป็นทางการ แน่นอน การดื่มโอสถซ้ำไม่ใช่ปัญหา ไม่จำเป็นต้องมีลูก แค่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถย่อยโอสถส่วนเกินได้หมด แต่อุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือลำดับถัดไป การพัฒนาจาก 5 เป็น 4 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรียกได้ว่า ‘ยกระดับตัวตน’ ขึ้นไปอีกขั้น โดยภายในโบสถ์วายุสลาตัน มี ‘ผู้ขับขานสมุทร’ จำนวนมากที่ค้างอยู่แค่ลำดับ 5 นานหลายสิบปี ไม่มีโอกาสกลายเป็นลำดับ 4 อัลเจอร์จึงเชื่อว่าตนที่เป็นพวกเลือดผสม แถมยังไต่เต้ามาจากทาส ไม่น่าจะได้รับโอกาสไปมากกว่าคนอื่น ลำพังการไม่ถูกกลั่นแกล้งและกีดกันก็ถือว่าน่ายินดีมากแล้ว ต้องขอบคุณมนุษยสัมพันธ์อันดีของมัน


นอกจากนั้น การเลื่อนเป็นลำดับ 4 ของโบสถ์วายุสลาตัน เบื้องบนจะเตรียมโอสถและพิธีกรรมให้ครบครัน จะไม่มีการมอบสูตรโอสถและให้ผู้วิเศษไปหาเอง แต่เงื่อนไขก็คือ อัลเจอร์ต้องทำคะแนนผลงานให้ติดหนึ่งในสามคนแรก ฟังดูยากเสียจน การมองหาวิธีอื่นเพื่อเลื่อนลำดับอาจเป็นทางออกที่ง่ายกว่า


แผนการในหัวตอนนี้ก็คือ อ้างตัวว่าเป็นผู้สังหารโจรสลัดชื่อดังสักคนและแจ้งกับโบสถ์ว่าตน ‘ได้รับ’ สูตรโอสถ ‘ผู้สังเวยภัยพิบัติ’ มาจากเหยื่อรายดังกล่าว โดยต้องบรรยายลักษณะให้ตรงตาม ‘ศพ’ ในเกาะโบราณ เพราะชายคนนั้นเองก็น่าจะเป็นอดีตโจรสลัดชื่อดังที่หายตัวไปอย่างลึกลับ


ด้วยวิธีนี้ เบื้องบนของโบสถ์จะสงสัยว่า ‘โจรสลัดชื่อดัง’ คนดังกล่าวคือผู้ถือครองไพ่เย้ยเทพ และเริ่มตรวจสอบหาความจริงด้วยวิธีการอันหลากหลาย


หากราบรื่น อัลเจอร์จะถือโอกาสที่ตน ‘รู้สูตรโอสถลำดับ 4 อยู่แล้ว’ เป็นบันไดในการแซงคิวเลื่อนลำดับ 4 และกลายเป็นครึ่งเทพของโบสถ์วายุสลาตันอย่างถูกต้อง


แน่นอน แผนการจะสำเร็จได้ถ้าทางโบสถ์ไม่มีสมบัติปิดผนึกที่สามารถลบความทรงจำเรา… แต่ถ้าล้มเหลว เราคงไม่มีทางเลือกอื่น ต้องรวบรวมวัตถุดิบเอง ประกอบพิธีกรรมเอง และเมื่อบรรลุเป้าหมาย เราจะออกจากโบสถ์มาเป็นราชาโจรสลัด… ทบทวนความคิดเสร็จ อัลเจอร์เห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังเก็บตะกอนพลังลักษณะคล้ายโคลนสีน้ำตาล


กวาดตามองสิ่งของที่ยังเหลือ อัลเจอร์หยิบผลึกแก่นส่องแสงสีเทาอ่อน เหลือดวงตาของการ์กอยล์ไว้ให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์


สำหรับมันที่เป็นผู้วิเศษเส้นทางพายุ มีพลังทำลายมหาศาล ทรงพลังทั้งบนบก ในทะเล และท้องฟ้า สมบัติวิเศษที่สร้างจากผลึกแก่นของการ์กอยล์ น่าจะช่วยเสริมจุดอ่อนในด้านการควบคุมศัตรู


ย้อนกลับไปในห้องเก็บศพ เนื่องจากยังไม่มั่นใจว่าพลัง ‘ทะลวงจิต’ จะใช้ได้ผลกับการ์กอยล์หรือไม่ และไม่ควรปล่อยให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน อัลเจอร์จึงไม่กล้าใช้ ‘แส้จิต’ ส่งเดช


หลังจากเก็บสิ่งของแยกกล่อง ผนึกทุกกล่องด้วยกำแพงวิญญาณ ไคลน์เก็บเซนอลเข้าไปในเหรียญทอง เหยียดแขนไปหาอัลเจอร์และเปลี่ยนให้ร่างกายอีกฝ่ายล่องหน พาเข้าสู่โลกวิญญาณ


เมื่อการ ‘ท่องเที่ยว’ จบลง คนทั้งสองปรากฏตัวในสุสานบนไหล่เขาริมทะเลด้านนอกเมืองบายัม ราวกับไม่เคยเดินทางไปไหน


อัลเจอร์ไม่บ้าน้ำลาย เพียงพยักหน้ารับและพูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยไม่อ้อมค้อม


“ถ้าคุณต้องการสร้างสมบัติวิเศษ ผมยินดีช่วยออกค่าใช้จ่าย… ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน”


ไคลน์ผู้สวมถุงมือโปร่งแสง ‘อืม’ ในลำคอก่อนจะหายตัวไป


มันเคลื่อนย้ายตัวเองมายังมุมเปลี่ยวๆ แห่งหนึ่งภายในบายัม


“ก่อนอื่นก็ต้อง… เลือกโจรสลัดผู้โชคดีมาหนึ่งคน” ไคลน์บริหารนิ้วมือข้างซ้าย เดินย่ำออกจากตรอกพลางสำรวจรอบๆ


แน่นอน มันไม่ลืมทำสิ่งที่สำคัญอย่างการแปลงโฉม รวมถึงป้ายเลือดลงบนสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ ปัจจุบัน ป้ายประกาศค่าหัวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถูกติดไปรอบเมือง และที่บายัมมี ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนคอยดูแล การถูกจดจำใบหน้าได้ หรือการบังเอิญหลงทาง คงไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีนัก



บนไหล่เขาริมทะเลนอกเมืองบายัม อัลเจอร์กำลังแหงนมองท้องฟ้าสีดำและดวงจันทร์สีแดง ถอนหายใจเข้าออก ปล่อยให้สายลมที่สดชื่นเจือความเค็มชะล้างร่างกาย


การสำรวจเมื่อครู่ ถือเป็นประสบการณ์ที่เฉียดใกล้ความตายมากที่สุดในชีวิตมัน หากไม่ใช่เพราะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้ยุบพองหิวโหยเพื่อ ‘ท่องเที่ยว’ หนีออกมา เกรงว่าทั้งคู่คงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้


แต่ว่า ในฐานะข้ารับใช้ของเดอะฟูล เดอะเวิร์ลคงมีอีกหลายไพ่ตาย เช่นพลังระดับครึ่งเทพในบันทึกการเดินทางของเลมาโน่…


ไม่สิ ถ้าเขาไม่มียุบพองหิวโหยซึ่งมีพลัง ‘ท่องเที่ยว’ พวกเราคงไปไม่ถึงห้องเก็บศพ ติดแหง็กอยู่ระหว่างทาง…


อา… คงเพราะการมีอยู่ของไพ่เย้ยเทพเส้นทางพายุ นักผจญภัยเสียสติรายนี้ถึงได้ทำตัวเยือกเย็น… หรือนี่จะเป็นภารกิจโดยตรงจากมิสเตอร์ฟูล? ต้องใช่แน่ ท่านมองเห็นล่วงหน้า! และบางที ท่านอาจรู้จักกับเจ้าของเสียงถอนหายใจนั่น…


ย้อนกลับไปในอดีต คีลิงเกอร์เองก็คงเห็นไพ่เย้ยเทพ แต่ไม่มีวิธีช่วงชิงมาเป็นของตัวเอง มันถึงพูดแบบนั้นออกมา… อัลเจอร์ครุ่นคิดหลายสิ่งขณะเดินลงจากเขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)