Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 799-804

 ราชันเร้นลับ 799 : ส่องความลับ

Ink Stone_Fantasy

ณ เขตเหนือ วิหารนักบุญแซมมวล


ไคลน์ที่เพิ่งเข้ามาในโถงสวดมนต์หลัก อาศัยความช่วยเหลือของจุดแสงเล็กๆ บนผนังด้านหลังแท่นบูชา มองไปรอบๆ อย่างเป็นธรรมชาติพลางบันทึกภาพสาวกทุกคนที่กำลังสวดวิงวอน


เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มกำหนดเป้าหมายได้ทันที เร่งฝีเท้าเดินตรงไปตามทางโดยไม่หยุดชะงัก


ณ แถวหน้าสุด ชายชราในชุดคลุมนักบวชสีดำคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบ ใบหน้าขาวซีด เส้นผมสีเหลืองซีด ปิดตาสนิทพลางสวดวิงวอนอย่างตั้งใจ ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในผู้คุมที่ไคลน์เคยพบเจอ


เข้าเวรวันศุกร์สินะ… ไคลน์ไม่ได้เข้าไปใกล้ เลือกนั่งห่างออกไปสองแถว ยื่นหมวกและไม้ค้ำให้บุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน


ชายหนุ่มนั่งลงพลางใช้หัวแม้โป้งซ้ายกดนิ้วชี้ข้อแรกสองครั้ง เปิดเนตร ‘ด้ายวิญญาณ’ อย่างเงียบงัน


เพียงพริบตา การมองเห็นไคลน์เต็มไปด้วยด้ายมายาเส้นบางๆ สีดำ แต่ละเส้นกระจุกตัวอย่างหนาแน่นในลักษณะแผ่ออกจากร่างกายสิ่งมีชีวิต ปลายยืดยาวออกไปไม่มีจุดสิ้นสุด


ขณะก้นสัมผัสพื้น ไคลน์ขยับสายตาไปยังผู้คุมคนดังกล่าว


สิ่งที่เห็นเกือบทำให้มันส่งเสียงร้อง อย่างไรก็ตาม อาศัยพลังในการควบคุมร่างกายของตัวตลก และการเตรียมใจที่จะพบเจอสถานการณ์ผิดปรกติ ไคลน์ยังรักษามาดขรึมไว้ได้


ในการมองเห็น แม้ว่าชายชราที่มีเส้นผมสีเหลืองซีดจะมีด้ายวิญญาณยื่นออกมาตามปรกติ แต่ร่างกายกลับดำสนิทราวกับแก่นสารที่เป็นต้นกำเนิดด้ายวิญญาณถูกความมืดกลืนกิน แตกต่างจากผู้วิเศษทั่วไปโดยสิ้นเชิง!


อย่างที่คิด… พวกเขาถูกกัดกร่อนด้วยพลังจากแก่นของผนึกจนเกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับวิญญาณ… ตรงตามสมมติฐานข้อที่สองที่เราเคยคาดเดาไว้… พวกเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของแก่นผนึกในบางแง่มุม หากส่งสัญญาณการคลุ้มคลั่งเมื่อใด แก่นผนึกจะถูกกระตุ้นและบังคับทำให้สงบ… เข้าใจแล้วว่าทำไม ผู้คุมต้องเกิดจากการสมัครใจ และยังต้องเป็นคนที่มีอายุมาก… พวกเขาทุกคนทราบผลลัพธ์ล่วงหน้า… ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน เตรียมปิดเนตรด้ายวิญญาณและถอนสายตากลับ


แต่ทันใดนั้น มันเห็นดวงตาดำสนิทคู่หนึ่ง คล้ายกับถูกฉาบด้วยหมึกดำ ปราศจากอารมณ์โดยสิ้นเชิง


หางตาทั้งสองข้ามีริ้วรอยร่องลึกแตกแขนง ราวกับเป็นสัญลักษณ์ที่บิดเบี้ยวพิสดาร


เนตรของผู้คุม!


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ผู้คุมคนดังกล่าวเหยียดหลังตรงและหันศีรษะมาทางดอน·ดันเตส จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา!


หนังศีรษะไคลน์เกิดอาการคันทันที ทำได้เพียงฝืนยิ้มและพยักหน้ารับ ราวกับเป็นเพียงการสบตาโดยบังเอิญ


ผู้คุมค่อยๆ ขยับศีรษะกลับเป็นการตอบสนอง


ทันใดนั้น ไคลน์พบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวถูกกระชากจนพร่ามัว เลือนรางในตอนแรก ก่อนจะกลับมาคมชัดอีกครั้ง


เพียงพริบตา ชายหนุ่มพบว่าตนถูกดึงเข้ามาในความฝัน


ด้วยร่างดอน·ดันเตส ไคลน์มองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ พบว่ายังตนอยู่ในวิหารนักบุญแซมมวล แต่ที่นั่งทั้งหมดกระจัดกระจายอย่างโกลาหล บ้างแตกหัก บ้างคว่ำลง คล้ายกับวิหารถูกบุกถล่มโจมตี


แท่นบูชาด้านหน้าเต็มไปด้วยรอยแตกหักและวัชพืชเกาะติด ฝุ่นจับตัวหนาเป็นชั้น คล้ายกับถูกทิ้งร้างมานาน


ผู้คุมเจ้าของเส้นผมสีเหลืองซีดกำลังยืนข้างๆ กล่องบริจาคที่พังยับเยิน สายตาจ้องมาทางดอน·ดันเตสอย่างเย็นชา


เมื่อเห็นไคลน์จ้องกลับ มันอ้าปากเล็กน้อยจนเผยให้เห็นฟันซี่คมที่เรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ


บนผิวฟันปรากฏร่างมายาเล็ก ๆ ที่พร่ามัว แต่ละร่างมีแขนขาสมบูรณ์ สีหน้าแตกต่างออกไป แต่ทั้งหมดแฝงความเจ็บปวดที่คล้ายคลึงกัน ประหนึ่งกำลังถูกกักขังไว้ข้างในและหมดทางหลบหนี


“กรร…” ผู้คุมส่งเสียงคำรามต่ำคล้ายสัตว์ร้าย แผ่นหลังเริ่มงุ้มงอ


เสื้อคลุมบริเวณซี่โครงและเอวบวมพองขึ้น ท่อนแขนชุ่มเลือด ‘สี่ข้าง’ ที่ปราศจากผิวหนังแทงทะลุออกมา


ทันใดนั้น ขนละเอียดสีดำงอกขึ้นมาปกคลุมท่อนแขน เล็บแหลมๆ งอกยาวจากปลายนิ้ว


เพียงสองถึงสามวินาที ผู้คุมที่ดูปรกติเมื่อครู่ได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มี ‘ขา’ มากถึงแปดข้าง ดูคล้ายกับแมงมุมซึ่งกำลังชักใยอย่างเงียบงันในความมืดเพื่อรอจัดการเหยื่อ ขณะเดียวกันก็คล้ายหมาป่าสีดำที่มีจำนวนขาเยอะผิดปรกติ คอยนำพาความหวาดผวามาสู่ผู้คน


แต่ทันใดนั้น ภายในแท่นบูชาที่แตกหักและทรุดโทรม ฝ่ามือขนาดมหึมาสองข้างที่ปกคลุมด้วยขนสีดำ เหยียดยาวออกมาโดยไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้า พวกมันฟาดลงบนพื้นทั้งสองฝั่งของห้องโถงพร้อมกับแผ่ควันสีดำฟุ้งกระจายไปทุกทิศทาง เพียงพริบตา โถงสวดมนต์ขนาดใหญ่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยควันดำหนาแน่น


ออร่าที่น่าหวาดหวั่นและร่างกายมายาขนาดมหึมา เริ่มทะลวงผ่านกำแพงล่องหนและค่อยๆ ปรากฏตัวอย่างคมชัด


เขาคลุ้มคลั่ง? …ผู้คุมคลุ้มคลั่ง? ไคลน์ที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ เตรียมตอบสนองอย่างทันท่วงทีด้วยการใช้ความพิเศษของตนยุติความฝัน แต่ทันใดนั้น มันฉุกคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง จึงรีบสวมสีหน้าหวาดผวา วิ่งอย่างสั่นกลัวไปยังทางเข้า พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากฝันร้าย


หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก กระแสความมืดค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาจากภายนอกโดยปราศจากสุ้มเสียง ปกคลุมดินแดนความฝันเอาไว้ทุกซอกมุม มอบความสุขสงบเหนือพรรณนา


ไคลน์ที่ได้สติกลับมารีบลืมตาบนโลกความจริง พบว่าตนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนผู้คุมผมสีเหลืองซีดคนดังกล่าวหันศีรษะกลับไปแล้ว ปัจจุบันกำลังหลับตาและสวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึม


ด้วยดวงตาเบิกโพลงเล็กๆ ดอน·ดันเตสมองไปรอบๆ อย่างหวาดผวา คล้ายกับยังสลัดจากความฝันเมื่อครู่ไม่ได้ ความหวาดกลัวบางส่วนยังหลงเหลือในจิตใจ


ผ่านไปหลายสิบวินาที ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกๆ สองหน จ้องไปยังตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์พลางวาดพระจันทร์แดงกึ่งกลางหน้าอก


จนกระทั่ง ไคลน์รวบรวมสติเพื่อวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น ลองคาดเดาด้วยเหตุและผล


เป็นเพราะเราแอบส่องด้ายวิญญาณของเขา… ภาวะใกล้คลุ้มคลั่งจึงตอบสนองอย่างหนักหน่วงด้วยการดึงเข้าสู่ห้วงความฝันและพยายามจะจัดการเรา?


หลังจากนั้น… แก่นผนึกด้านหลังประตูยานิสสัมผัสถึงความผิดปรกติ จึงสยบปัญหาดังกล่าวทันที…


สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ ผู้คุมยังจดจำสาเหตุที่ตนเกือบคลุ้มคลั่งได้ไหม? หากจำได้ เราไม่แน่ใจว่าเขาจะตอบสนองอย่างไรในสภาพปัจจุบัน… แน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเรา ตัวเขาใกล้จะคลุ้มคลั่งอยู่แล้ว… ไคลน์ชำเลืองไปทางชายชราผมเหลืองซีดอีกครั้ง คอยสังเกตว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองเช่นไร จะได้รับมือทันเวลา


หากจนปัญญาจะรับมือ เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากกระตุ้นยุบพองหิวโหยและเปิดใช้งาน ‘ท่องเที่ยว’ … ไคลน์วางแผนเสร็จสรรพ เฝ้ารอความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น


ไม่กี่นาทีถัดมา ชายหนุ่มชำเลืองเห็นบิชอปอีเล็คตร้าเดินเข้ามาทางประตูด้านข้าง ตรงมาหาตน


หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัว นิ้วมือข้างซ้ายทั้งห้าถูกกางออก เตรียมเปิดใช้งานยุบพองหิวโหย


ทว่า มันฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงหยุดความคิดดังกล่าวทันที


หลังจากดึงเราเข้าไปในความฝัน หากผู้คุมพบความผิดปรกติในตัวเราและแจ้งให้กับบิชอปทราบ ทางโบสถ์รัตติกาลต้องส่งหน่วยพิเศษออกมาล้อมจับกุม และต้องกระทำในความฝันเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้คนบริสุทธิ์ได้รับอันตราย ดังนั้น พวกเขาไม่น่าจะส่งบิชอปคนที่เราคุ้นเคยมาหาตามลำพัง… จุดประสงค์ของอีเล็คตร้าคงมาเพื่อปลอบขวัญมากกว่า… ไคลน์ถอนสายตากลับ หันมาตั้งใจสวดวิงวอนอีกครั้ง


ไม่กี่วินาทีถัดมา ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นพบว่ามีใครบางคนเข้ามาใกล้ จึงรีบเงยหน้าและมองไปทางด้านข้าง ได้ยินบิชอปอีเล็คตร้ากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล


“คุณรู้สึกไม่ดีหรือ?”


“ผมเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัวและฝันร้าย ยังกลัวมาถึงตอนนี้” ไคลน์ยิ้มเจื่อนๆ


บิชอปอีเล็คตร้านั่งลงด้านข้าง กล่าวอย่างสุขุม


“ในบางครั้ง ความฝันของคนเรามีบ่อเกิดจากความกลัวภายในจิตใจ… ขอแค่คุณสวดวิงวอนถึงเทพธิดาอย่างศรัทธาและดื่มน้ำมนต์เข้าไป ผมรับประกันว่าจิตใจจะสงบลง… แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่ปิดกั้นตัวเองมากเกินไปนัก พยายามหาโอกาสสารภาพบาปกับเทพธิดา สิ่งเหล่านี้ช่วยบรรเทาความเครียดได้ดี”


ไคลน์แอบสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย เงี่ยหูฟังน้ำเสียงและเจตนา ก่อนจะโล่งอก


“เข้าใจแล้วครับ”


ชายหนุ่มหันกลับมามองตรงและก้มหน้า สองมือประสานกันพลางพึมพำเสียงแผ่ว


ระหว่างนั้น มันเห็นผู้คุมแถวหน้าสุดลุกขึ้น เดินไปยังประตูลับด้านข้าง ณ จุดที่บิชอปกำลังยืนรอ


ฟู่ว… ไคลน์พ่นลมอย่างโล่งอก ผสานจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ


แต่ทันใดนั้น ภายในใจชายหนุ่มมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงของตน แต่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของตน


“นายคิดว่าตัวเองแนบเนียนแล้วหรือ? ผิดถนัด! ไม่เลยสักนิด! ลืมไปแล้วรึไงว่าตัวเองเคยสัมผัสสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาล!”


ราชันเร้นลับ 800 : สภาพจิตใจเริ่ม ‘ดี’

Ink Stone_Fantasy

ใครกัน? …เสียงของใคร? กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์พลันแข็งทื่อ เปลือกตาเกือบเปิดขึ้น


ทันใดนั้น เหงื่อเย็นๆ ไหลออกจากแผ่นหลังจนเสื้อเปียกชุ่ม


สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจมากที่สุดไม่ใช่เนื้อหาของประโยค แต่เป็นการที่เสียงเมื่อครู่ดังขึ้นในหัวโดยตรง แถมยังเลียนแบบเสียงของตนได้เหมือนมาก


หมายความว่า… จากความฝันเมื่อครู่ แม้ว่าเราจะครองสติไว้ได้ แต่ร่างวิญญาณก็ยังถูกปนเปื้อนด้วยจิตคลุ้มคลั่งของอีกฝ่าย? หรือว่ามีใครส่งผู้คุมคนนี้มาแจ้งข้อความถึงเรา? ในใจไคลน์ผุดคำถามและการคาดเดามากมาย ก่อนจะสรุปเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้น


มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราคือไคลน์·โมเร็ตติ เช่นเดียวกับคนที่ทราบว่าไคลน์·โมเร็ตติเคยสาบานต่อหน้าดาบศักดิ์สิทธิ์ และคนสองกลุ่มนี้แทบไม่ซ้อนทับกันเลย


มิสเตอร์อะซิกอาจทราบเรื่องหลัง แต่ถ้าเขาต้องการเตือน แค่ส่งผู้ส่งสารมาแจ้งข่าวโดยตรงก็พอ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีน่ากลัวขนาดนี้… วิล·อัสตินก็เช่นกัน ราวนี้เป็นถึง ‘อสรพิษปรอท’ ไม่แปลกที่รู้ความลับมากมายของเรา แต่เฉกเช่นมิสเตอร์อะซิก เขาสามารถแจ้งให้เราทราบได้ด้วยวิธีอื่น… บางที นี่อาจเป็นการกลั่นแกล้งจากเขา หลังจากที่เราคิดเล่นๆ ว่าจะเป็นบิดาอุปถัมภ์เมื่อช่วงเที่ยง…


หรือว่าบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจะกัดกร่อนผู้คุม เหมือนที่เคยทำกับตุ๊กตาอัปมงคลเพื่อวาดสัญลักษณ์ให้เราเห็น? แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมถึงไม่มอบสูตรโอสถมาให้เลย? หรือไม่ก็พยายามติดต่ออย่างเป็นมิตรเพื่อให้เราเข้าไปช่วยขโมยออกมา… แต่ว่า วิหารนักบุญแซมมวลคือสำนักงานใหญ่ของมุขมณฑลกรุงเบ็คลันด์ มีระดับสูงกว่าวิหารพระแม่เซเลน่า สมุดบันทึกเล่มดังกล่าวไม่น่าจะเคลื่นไหวอะไรได้อีก ถูกปิดตายอย่างแน่นหนา…


นอกจากคนเหล่านี้ มีเพียงบุคคลเดียวที่ทราบข้อมูลทั้งสองอย่าง… เทพธิดารัตติกาล… แต่ด้วยศักดิ์ศรีและความสง่างามของเทพ พระองค์ไม่จำเป็นต้องฝากข้อความผ่านคนอื่นด้วยท่าทีสยองขวัญ… เรากำลังอยู่ในวิหารนักบุญแซมมวล เพียงท่านส่ง ‘วิวรณ์’ สั้นๆ ก็มากพอจะทำให้หน่วยพิเศษนับสิบคนกรูเข้ามาล้อมจับกุมเรา และเนื่องด้วยที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของมุขมณฑล ย่อมต้องมีอุปกรณ์มากมายที่ช่วยสยบพลัง ‘นักท่องเที่ยว’ … ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยาก…


หืม… ไม่สิ ยังมีอีกหนึ่งคนที่รู้ทั้งสองเรื่อง…


ตัวเราเอง!


ก่อนจะวางแผนขโมยสมุดบันทึก เราเคยพิจารณาเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและได้ข้อสรุปว่าไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะหลังจากกลายเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ ออร่าสายหมอกสามารถแทรกแซงโลกความจริงได้ในระดับหนึ่ง มีเพียงครึ่งเทพที่ตรวจพบความพิเศษดังกล่าว รวมไปถึงเส้นทางสัตว์ประหลาด… ย้อนกลับไปขณะเราสัมผัสกับดาบศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็น ‘ตัวตลก’ ด้วยซ้ำ…


แม้ว่าการเชื่อมต่อกับเทพธิดาและลั่นวาจาสาบานจะทำให้พระองค์ตระหนักถึงความผิดปรกติเล็กๆ ในตัวเรา แต่ปัจจุบันก็ผ่านมานานมาก ยังไม่เห็นว่าพระองค์จะลงมือทำอะไร… หรือจะเป็นเทวทูตสาวตนนั้น… มีพลังอยู่ในระดับเทวทูตไม่ผิดแน่… หลังจากลบมิสเตอร์ A หายไป เธอหันมายิ้มให้เรา… ถ้าเธอคือตัวแทนของเทพธิดา พระองค์คงไม่คัดค้านเรื่องที่เราจะขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส… แม้จะยังไม่ทราบจุดประสงค์แท้จริงของพระองค์ แต่ด้วยระดับปัจจุบัน เราคงทำอะไรไม่ได้มาก ไว้ค่อยคิดหาวิธีรับมือในภายหลัง เพราะการเข้าหาพระองค์ย่อมปลอดภัยกว่าการไปเยือนยอดเขาโฮนาซิส… แต่สมมติฐานนี้จะเป็นความจริงก็ต่อเมื่อ เทวทูตสาวที่ ‘ลบ’ มิสเตอร์ A คือเทวทูตของโบสถ์รัตติกาล…


อา… แม้ว่าเราจะใช้เทคนิคสวมบทบาทจนย่อยโอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’ อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่การดื่มโอสถที่ปรุงจากตะกอนพลังนักเชิดหุ่น ทำให้มีตะกอนพลังของผู้ไร้หน้าเพิ่มเข้ามาใหม่… นอกจากนั้น นักเชิดหุ่นยังต้องกำหนดให้หุ่นเชิดแต่ละตัวมีอุปนิสัยที่แตกต่าง สิ่งนี้สามารถทำไปสู่อาการทางจิตที่เรียกว่าภาวะ ‘หลายบุคลิก’ … และในสภาพที่ไม่มั่นคงดังกล่าว การถูกผู้คุมที่คลุ้มคลั่งกัดกร่อนจิตของ ได้กระตุ้นให้ร่างวิญญาณของเราสร้างบุคลิกใหม่ขึ้นมา?


คิดถึงจุดนี้ เสียงที่คุ้นเคยแต่ไม่เคยชิน ดังก้องในหัวอีกครั้ง


“เฮ่อ… นายคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว! การที่เอาชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะนายดวงดีต่างหาก! ถ้าอาวุโสใหญ่ผู้เป็นเจ้าของดาบศักดิ์สิทธิ์ เครสไทน์·ซีสม่าคนนั้นอยู่ในเบ็คลันด์และกำลังทำคดีพิเศษ คิดหรือว่าขณะที่นายย่างกรายเข้ามาในวิหาร ดาบศักดิ์สิทธิ์จะไม่แสดงปฏิกิริยา? นายกับดาบเล่มนั้นถูกเชื่อมต่อกันด้วยคำสาบาน!”


ถ้าอาวุโสซีสม่ากลับมายังเบ็คลันด์ เราจะล้มเลิกแผนการทันที… ใช่แล้ว ยังพอจะมีโอกาสหลบหนีก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว อ้างเหตุผลที่ฟังขึ้นสักข้อ เดินทางออกจากกรุงเบ็คลันด์สักระยะหนึ่ง… ไคลน์พึมพำในใจตามความเคยชิน


จากนั้น มันได้ยินเสียงของตัวเอง ดังขึ้นในหัวตัวเอง


“มีตัวแปรเหนือความคาดหมายมากเกินไป… ก่อนจะเข้ามาในวิหารวันนี้ นายเคยคิดไหมว่า ลำพังการเปิดเนตรด้ายวิญญาณจะทำให้เกิดความวุ่นวาย?”


ความกังวลของเราก่อนจะมาที่นี่ อาจทำให้เราเตรียมใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันไว้บ้างก็จริง… แต่ต้องยอมรับตามตรง เราคิดไม่ถึงว่า แค่การแอบมองด้วยเนตรด้ายวิญญาณจะทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ตามมา… เคยคิดง่ายๆ ว่าถ้าไม่ได้สัมผัสโดยตรงก็คงไม่เป็นอะไร เรื่องนี้เราประมาทเกินไป… อย่างไรก็ตาม ตัวแปรที่คาดไม่ถึงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสถานการณ์อยู่แล้ว… ว่าแต่ แกเป็นใครกันแน่? ไคลน์หลับตาลง แสร้งทำเป็นตั้งใจสวดวิงวอน


เสียงเดิมกล่าวด้วยความลังเล


“ฉันคือไคลน์ ส่วนนายคือโจวหมิงรุ่ย… ไม่สิ ฉันคือโจวหมิงรุ่ย ส่วนนายคือไคลน์…”


นึกแล้วเชียว… ไคลน์ที่ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง เชื่อว่าตนต้องรีบออกจากวิหารนักบุญแซมมวล ตรงกลับบ้านเพื่อแก้ปัญหาอาการหลายบุคลิก


ในระยะเริ่มแรก ปัญหายังถูกขจัดได้ง่ายดาย แต่ถ้าปล่อยไว้จนกระทั่งบุคลิกอื่นแข็งแรงและมั่นคง มันจะเริ่มเข้ายึดครองร่างกายทีละนิด และวิธีรักษาจะเหลือแค่การขอช่วยเหลือจากภายนอก!


ชายหนุ่มลืมตาขึ้น หันไปมองอีเล็คตร้าด้วยสีหน้าสุขุม


“ผมสงบลงแล้ว”


เมื่อเทียบกับอาการป่วยทางจิต สภาพจิตใจของเรายังนับว่าดีอยู่… ไคลน์จิกกัดตัวเอง


สาเหตุที่มันรำพันบ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะเป็นนิสัยประจำตัว แต่ขณะเดียวกัน สิ่งนี้ยังเป็นการเตือนสติตัวเอง คอยระลึกถึงตัวเองอยู่เสมอ ไม่หมกมุ่นกับการสวมบทบาทเป็นคนอื่น


บิชอปอีเล็คตร้ายิ้ม


“ขอให้เทพธิดาอวยพรคุณ”


กล่าวจบ มันรับแก้วน้ำที่นักบวชนำมาให้ ยื่นมาทางดอน·ดันเตส


ไคลน์ทราบทันทีว่าสิ่งนี้คือน้ำมนต์ เพราะในอดีตเคยดื่มมาแล้วหลายหน ชายหนุ่มเก็บซ่อนความกังวลและดื่มรวดเดียวหมดแก้วด้วยสีหน้าสุขุม


ความรู้สึกเย็นเยียบไหลผ่านลำคอ ช่วยมอบความสดชื่นแก่ร่างกาย ขณะเดียวกันก็ทำให้จิตใจตื่นตัว แม้แต่เสียงที่เคยดังในหัวก็ยังแผ่วลง


นี่คือพลังการปลอบวิญญาณ… ทางศาสนจักรให้ความสำคัญกับดอน·ดันเตสมาก ถึงกับลงทุนให้ผู้วิเศษผลิตน้ำมนต์… ไคลน์พยักหน้าให้บิชอปอีเล็คตร้าพลางวาดจันทร์แดงกลางหน้าอก เดินไปทางแท่นบูชาอย่างใจเย็น บริจาคเงินสดห้าสิบปอนด์ลงในกล่อง


จัดการทั้งหมดเสร็จ ด้วยกันกับริชาร์ดสัน ชายหนุ่มเดินออกจากวิหาร ขึ้นรถม้าหรูหราตรงกลับไปยังถนนเบิร์คลุน


ระหว่างทาง มันมิได้แวะให้อาหารนกพิราบ เพราะมนุษย์ปรกติที่เพิ่งเจอเหตุการณ์เมื่อครู่ คงไม่มีกะจิตกะใจจะให้อาหารสัตว์


กลับถึงบ้าน ไคลน์ที่เงียบมาตลอดทาง ใช้ข้ออ้างของีบยามบ่ายเพื่อไล่คนรับใช้ออกไป เดินถอยหลังสี่ก้าวภายในห้องน้ำ ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก


หลังจากเผชิญเสียงเพรียกมายามากมาย ชายหนุ่มพบว่าไม่มีการ ‘ชำระล้าง’ เกิดขึ้นกับร่างกาย จึงเริ่มมั่นใจว่าปัญหามาจากจิตของตน เป็นภาวะหลายบุคลิกที่เกิดจากการถูกกัดกร่อน


ขณะนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล ไคลน์ทบทวนสภาพจิตใจและพบร่องรอยความสับสน ขาดความบริสุทธิ์ สีออร่าในบริเวณดังกล่าวมีจุดด่างดำเล็กๆ


หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบนานสองนาทีโดยไม่สนใจเสียงรบกวนในหัว ชายหนุ่มตัดสินใจเสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และบังคับให้สวดวิงวอนจากก้นบึ้ง


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ… ได้โปรดแจ้งให้เดอะมูนทราบว่า ผมต้องการยืม ‘เทียนไขจิตฝันร้าย’ เป็นเวลาครึ่งวัน ผมเชื่อว่าเขาสามารถมาได้”


เนื่องจากตัวตน ‘เดอะเวิร์ล’ ถูกเตรียมไว้เพื่อเชอร์ล็อก·โมเรียตี้อยู่แล้ว ไคลน์จึงไม่กังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งในภายหลัง



ย่านทิศใต้ของสะพานเบ็คลันด์ ภายในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


เอ็มลิน·ไวท์ที่กำลังเฝ้ารอ ‘แหวนลิลิธ’ ในตอนกลางคืน พลันเห็นสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นตรงหน้า ตามด้วยคำสวดวิงวอนของเดอะเวิร์ล


มันพึมพำกับตัวเองแผ่วเบาด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“หมอนั่นรู้ได้ยังไงว่าเราจะหาเทียนไขจิตฝันร้ายได้…”


ราชันเร้นลับ 801 : อ้อนวอน

Ink Stone_Fantasy

หลังจากประหลาดใจสักพัก เอ็มลินอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบตัวด้วยความสงสัยว่า เดอะเวิร์ลอาจกำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าสาวกของวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


อย่างที่ทราบกันดี มันไม่เคยเอ่ยถึงเทียนไขจิตฝันร้ายในชุมนุมทาโรต์ และบิชอปยูทรอฟสกี้ก็แทบไม่เคยขัดแย้งกับใครจนต้องใช้สมบัติวิเศษ หากไม่ใช่เพราะนักสืบเชอร์ล็อกเตือนให้มันฉุกคิดว่า การที่ตนอยากแวะมาวิหารฤดูเก็บเกี่ยวทุกๆ วัน อาจเป็นเพราะถูกฝังการโน้มน้าวทางใจ และตัดสินไปถามบิชอปตรงๆ จนได้รับคำตอบ เกรงว่าแม้แต่ตัวมันก็คงไม่ทราบถึงการมีอยู่ของเทียนไขจิตฝันร้าย


ทันใดนั้น เอ็มลินพลันรู้สึกว่าทุกคนดูเหมือน ‘เดอะเวิร์ล’ ไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นชายวัยกลางคนลงพุง หญิงชราที่สวมผ้าโพกศีรษะสีเทา สาวสวยแต่งตัวนำสมัย ทุกคนล้วนมีบางส่วนคล้ายคลึงเดอะเวิร์ล


ท่าไม่ดีแล้ว… เราต้องหาคำตอบให้ได้ ชายคนนั้นรู้จักสภาพแวดล้อมรอบตัวเราดีเกินไป… กระทั่งต่อหน้ามิสเตอร์ฟูล เรายังไม่เคยพูดถึงบางเรื่อง… เอ็มลินลุกขึ้นยืนด้วยอาการผวาเล็กๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องพักนักบวชด้านหลัง ตอบกลับเดอะฟูลท่ามกลางความเงียบสงบ


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ข้าต้องการพูดคุยกับเดอะเวิร์ลโดยตรง”


ไม่ถึงสิบวินาที แสงสีแดงอาบร่างเอ็มลินอย่างท่วมท้นประหนึ่งคลื่นน้ำ


ถัดมา มันพบว่าตัวเองกลับมาอยู่บนมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง กำลังนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมท่ามกลางพระราชวังอันงดงาม


สุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งหนึ่งมี ‘เดอะเวิร์ล’ นั่งรออยู่ก่อนแล้วในลักษณะพร่ามัว


เทียบกับสมัยอดีต เอ็มลินทำตัวดีขึ้นมาก ไม่รีบร้อนสนทนากับเดอะเวิร์ล แต่เลือกทักทายเดอะฟูลซึ่งกำลังเฝ้ามองด้วยท่าทีผ่อนคลาย จึงค่อยหันกลับมายังสุดขอบโต๊ะทองแดงลวดลายเก่าแก่อีกฝั่งและกล่าว


“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าสามารถหาเทียนไขจิตฝันร้ายให้ได้?”


เดอะเวิร์ลภายใต้การควบคุมของไคลน์ ตอบเสียงทุ้มและแหบ


“พวกเราอาจจะเคยพบกันมาก่อน”


มันมิได้ลงลึกรายละเอียด ระบุเฉพาะจุดที่สำคัญ ส่วนเอ็มลินจะพบคำตอบหรือไม่นั่น คงต้องให้เป็นปัญหาของเจ้าตัว


แน่นอน ไคลน์เชื่อว่าเอ็มลินยังไม่สามารถเชื่อมโยงกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ได้ในตอนนี้ เพราะท้ายที่สุด เบาะแสบ่งชี้ยังน้อยเกินไป


เอ็มลินขมวดคิ้ว พยายามตีกรอบผู้ต้องสงสัยลง แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่าใครคือเดอะเวิร์ล


“เชื่อเถอะ ผมไม่มีเจตนาร้ายต่อสมาชิกของชุมนุมทาโรต์” เมื่อเห็นว่าเอ็มลินเงียบไปนาน เดอะเวิร์ลเสริมอีกหนึ่งประโยค


เฮ่อะ… สักวัน ข้าจะหาตัวเจ้าให้พบ! เอ็มลินพึมพำก่อนจะถาม


“เจ้าจะนำเทียนไขจิตฝันร้ายไปทำอะไร? ข้าต้องมีเหตุผลที่ดีในการขอยืม”


ไคลน์ระงับมือขวาของตนมิให้ยกขึ้นมาจับขมับ บังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าว


“รักษาอาการทางจิตของตัวเอง”


รักษา… อาการทางจิต? เอ็มลินสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะยืดหลังตั้งตรงอีกครั้ง


มองกลับไปทางเดอะเวิร์ล ภาพที่เห็นช่วยให้มันระบุได้ว่า อีกฝ่ายคือชายเสียสติแสนอันตราย


“…” เทียนไขจิตฝันร้ายรักษาอาการทางจิตได้จริง… เอ็มลินใช้ความคิดสักพัก “ข้ายืมให้ได้แค่ครึ่งวัน ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”


“ไม่มีปัญหา” ไคลน์อดทนต่อเสียงอ้อนวอนและข่มขู่ภายในหัว บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบกลับ


หากเทียนไขจิตฝันร้ายแก้ปัญหาได้ เพียงสิบห้านาทีก็เกินพอ แต่ถ้าไม่ได้ผล ต่อให้ยืมหนึ่งวันหรือหนึ่งเดือนก็มีค่าเท่ากัน ดังนั้น ปัจจัยด้านเวลาจึงมิได้สลักสำคัญ


เอ็มลินคำนวณในใจสักพัก


“ค่าเช่าสามร้อยปอนด์ รวมถึงการบันทึกพลังลงในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่จำนวนห้าหน้า”


มันต้องการแบ่งเบาภาระหนี้ของตนลงครึ่งหนึ่ง


ห้าหน้า… หมอนี่ใช้ไปกี่หน้ากันแน่? ไคลน์รำพัน สั่งให้เดอะเวิร์ลพูด


“ตกลง”


หลังจากเจรจาธุรกิจเสร็จ เอ็มลินกลับสู่โลกความจริง เดินออกจากห้องพักของนักบวช


เมื่อมองไปรอบๆ มันพบว่าบิชอปยูทรอฟสกี้ ลูกครึ่งคนยักษ์กำลังยืนคุยกับสาวกอยู่หน้าแท่นบูชา ภายในใจเริ่มเกิดความประหม่า


แม้จะเชื่อใจคำพูดของเดอะเวิร์ล แต่อันที่จริง มันไม่เคยยืมสิ่งของมูลค่าสูงจากบิชอปมาก่อน ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองอย่างไร


ขณะกวาดสายไปโดยไม่รู้ตัว เอ็มลินสำรวจรอบๆ โถงสวดมนต์


เราเคยช่วยหลวงพ่อรักษาชีวิตชาวเมืองจำนวนมากที่ติดโรคระบาด… เคยถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรให้สาวกที่ใฝ่เรียน คอยช่วยเผยแผ่คำสอนของพระแม่ให้กับชาวเมืองละแวกนี้ กับแค่ยืมเทียนไขจิตฝันร้ายสักครึ่งวันจะเป็นอะไรไป? เอ็มลินเชิดคาง เดินเข้าหาบิชอปยูทรอฟสกี้ที่สูงจนต้องเงยหน้า กระแอมในลำคอและพูด


“เพื่อนของข้าคนหนึ่งมีปัญหาทางจิต ขอยืมเทียนไขจิตฝันร้ายได้ไหม?”


มันมิได้รำลึกบุญคุณ เพราะศักดิ์ศรีไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น


บิชอปยูทรอฟสกี้ก้มมองเอ็มลินในชุดคลุมนักบวช เผยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ตกลง”


ง่ายๆ แบบนี้เลย? เอ็มลินถึงกับผงะ ไม่อยากเชื่อว่าบิชอปจะยินยอม


คล้ายกับมิอาจทำใจยอมรับ มันถามกลับ


“ไม่กลัวข้าทำหายหรือ”


บิชอปยูทรอฟสกี้ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดจบในตัวเอง กลับคืนสู่ผืนธรณี ฝังลึกลงใต้ดินและงอกเงยขึ้นมาใหม่ เจริญเติบโตและผลิดอกออกผล ส่งต่อชีวิตไปเรื่อยๆ … ไม่มีอะไรหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ได้ หากเทียนไขจิตฝันร้ายสูญหาย หมายความว่าผมกับมันหมดวาสนาต่อกัน ต้องอดทนรอโชคชะตาและการ ‘ดลบันดาล’ ของพระมารดา”


การสูญเสียเทียนไขจิตฝันร้ายคือชะตากรรม… ถ้าอย่างนั้น ข้าที่เกือบถูกเจ้าทุบตีจนตายก็เป็นชะตากรรมเหมือนกัน? เอ็มลินหัวเราะแห้ง ไม่ถามสิ่งใดต่อ รับเทียนไขพิสดารมาจากนักบวชครึ่งคนยักษ์


ถัดมา มันใช้ข้ออ้างว่าจะไปรักษาเพื่อน ปลีกตัวออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว สุ่มเข้าพักในโรงแรมและประกอบพิธีกรรมสังเวย



เหนือมิติสายหมอก เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ได้รับเทียนไขจิตฝันร้าย


สมบัติวิเศษชิ้นนี้คล้ายกับไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ผิวชั้นนอกดูเหมือนหนังมนุษย์ มีรอยขรุขระหลายแห่ง


แท่งเทียนสั้นมาก ดำสนิทถ้วนทั่ว ลวดลายคล้ายเกล็ดเล็กๆ


ไคลน์ไม่มัวรีรอ ไม่คิดปล่อยให้อีกหนึ่งบุคลิกเติบโต อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายยังอ่อนแอรีบถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก ไม่อย่างนั้น จุดจบเดียวที่รอตนอยู่คือการคลุ้มคลั่ง และเหนือสิ่งอื่นใด ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของมิติหมอก การต่อสู้ระหว่างสองบุคลิกในร่างกายจะไม่ส่งผลกระทบต่อภายนอก


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว ยื่นมือออกไปเพื่ออัญเชิญคทาเทพสมุทร


สำหรับครั้งนี้ ชายหนุ่มมิได้ลงมือทำนาย เพราะไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ‘เรา’ หมายถึงใคร ผลลัพธ์ที่ได้จึงไร้ค่า


เป๊าะ!


ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดเทียนไขจิตฝันร้าย


บนเทียนไขสีดำสนิท เปลวไฟมายาสีฟ้าอ่อนลุกไหม้อย่างเงียบงัน มอบความสว่างไสวให้กับวังลึกลับ


โดยไม่รู้ตัว สภาพแวดล้อมรอบตัวไคลน์พลันแปรเปลี่ยน ตู้กับข้าว โต๊ะทำงาน เตาถ่าน เตียงสองชั้น และมิเตอร์แก๊สเริ่มปรากฏในการมองเห็น นอกหน้าต่างมีแสงจันทร์สีแดงเข้มสาดส่องอย่างเงียบงัน ฉาบทุกสิ่งไว้ด้วยชั้นสีแดงบางๆ


นี่คือห้องพักที่ครอบครัวโมเร็ตติเคยอาศัย!


นี่คือจุดเกิดเหตุซึ่งไคลน์·โมเร็ตติยิงตัวตาย!


ในวินาทีนี้ ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงชั้นล่าง จ้องไคลน์ผู้กำลังถือคทาเทพสมุทรด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว


เส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล หุ่นผอมบาง โครงหน้าชัดลึก มีกลิ่นอายของนักวิชาการ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ไคลน์’ อีกหนึ่งคน


‘ไคลน์’ คนนี้กล่าวด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง


“นายยึดครองร่างฉัน… ตอนนี้ยังคิดจะทำลายวิญญาณของฉันให้สิ้นซากอีกหรือ? ฉันคือไคลน์·โมเร็ตติ! นายมันก็แค่นักเดินทางข้ามโลกที่น่ารังเกียจและไร้ยางอาย ไอ้กาฝาก!”


คล้ายกับมีพละกำลังเพิ่มขึ้น แต่มิอาจหยิบจับวัตถุภายนอกมาใช้งาน


ไคลน์ไม่ตอบ เพียงเดินเข้าไปใกล้ด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม


ทันใดนั้น สีหน้าของ ‘ไคลน์’ อีกคนค่อยๆ แปรเปลี่ยน ความหวาดกลัวเข้าครอบงำดวงตาอย่างชัดเจน


มันห่อตัวลง อ้อนวอนด้วยร่างกายที่สั่นระริก


“ปล่อยฉัน… ปล่อยฉันไปเถอะนะ… นายขโมยน้องสาวฉัน ขโมยพี่ชายฉัน ปล้นชีวิตฉัน แค่นี้ยังไม่สาแก่ใจอีกหรือ? ฉันสัญญาว่าจะอยู่เงียบๆ ในร่างกายตัวเอง คอยช่วยนายวิเคราะห์ปัญหาและมอบคำแนะนำ สัญญาว่าจะไม่พยายามยึดครอง… ได้โปรดปล่อยฉัน… ปล่อยฉันไป”


ไคลน์ยังคงเงียบ แต่มือขวาที่ถือคทาเทพสมุดยกขึ้น


ทันใดนั้น ‘ไคลน์’ ที่เอาแต่ร่ำไห้จนน้ำตาอาบสองแก้ม ตะโกนด้วยน้ำเสียงเจือความโกรธและหวาดกลัว


“ฉันแค่ต้องการเตือนนายเท่านั้น! ถ้าไม่เพราะหวังดี ฉันจะเปิดเผยตัวเองออกมาทำไม! ปล่อยฉันไป… ฉันสาบานว่าไม่มีเจตนาร้าย!”


ไคลน์จ้องหน้าอีกฝ่ายโดยไม่ปริปาก ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อให้อัญมณีสีน้ำเงินเปล่งแสงทีละเม็ด


สายฟ้าหลายเส้นผุดขึ้นจากความว่างเปล่า บิดเป็นเกลียวในลักษณะการสอดประสาน ฟาดลงมาปะทะและห่อหุ้มร่าง ‘ไคลน์’ จนดูคล้ายกับพายุ


ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ร่างของเป้าหมายสลายไปในบันดล ร่องรอยทั้งหมดถูกอสรพิษสายฟ้าลบออกจนเกลี้ยง


สมกับที่เป็นตัวเรา… รู้ถึงจุดอ่อนในหัวใจ รู้จักวิธีอ้อนวอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด… แต่เรายังจดจำตัวเองได้อย่างมั่นคง… เราคือโจวหมิงรุ่ยผู้ผสานเข้ากับชิ้นส่วนความทรงจำและอารมณ์ของไคลน์·โมเร็ตติ หากเราปล่อยมันไป นั่นจะเท่ากับการยอมรับให้มีอีกหนึ่งบุคลิกอยู่ในร่าง และจะเกิดภาวะคลุ้มคลั่งทันทีเมื่อกลับสู่โลกความจริง… ไคลน์หลับตาลงพลางวางคทาเทพสมุทร ถอนหายใจแผ่ว


จากนั้น ด้วยสติที่คมชัด มันบังคับให้ตัวเองออกจากโลกความฝัน


ราชันเร้นลับ 802 : วิธีถัดมา

Ink Stone_Fantasy

เมื่อลืมตาอีกครั้ง เสียงข่มขู่และอ้อนวอนในใจไคลน์อันตรธานหายไป ตรงหน้ามีเพียงเปลวไฟสีฟ้าอ่อนที่แผดเผาอย่างเงียบงันบนเทียนไขสีดำ


ชายหนุ่มตรวจสอบสภาพวิญญาณดาราของตนอย่างถี่ถ้วน ยืนยันว่าร่องรอยความสับสนหายไปแล้ว สีของออร่ากลับไปเป็นบริสุทธิ์ ปราศจากจุดด่างดำเหมือนในตอนแรก


จบปัญหาสักที… ไคลน์ถอนหายใจพลางลดคทาเทพสมุทรลง ดีดนิ้วเพื่อดับเทียนไขจิตฝันร้าย


มันไม่รีบกลับสู่โลกความจริง ยังคงนั่งเงียบๆ เหนือมิติสายหมอกไปอีกสักพัก คอยขจัดอารมณ์ด้านลบที่ยังหลงเหลือท่ามกลางสถานที่เงียบสงบ


หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ดังกล่าว ไคลน์เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเส้นทางผู้วิเศษต้องคอยต่อสู้กับความบ้าคลั่งและอันตรายอยู่เสมอ สำหรับผู้วิเศษทุกคน หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อย หรือไม่ก็ถูกอิทธิพลจากสิ่งรอบข้างกระตุ้น ก็อาจเผชิญภาวะคลุ้มคลั่งหรืออาการทางจิตได้ง่ายดาย และเมื่อร่างกายส่งสัญญาณความผิดปรกติ หากไม่แก้ไขให้ทันเวลา ปัญหาจะลุกลามจนจัดการได้ยาก


บุคลิกภาพรองเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก… ส่วนหนึ่งคงเพราะเราคือนักเดินทางข้ามโลก ความทรงจำและอารมณ์บางส่วนผสมกับเข้าไคลน์·โมเร็ตติ โดยธรรมชาติแล้ว จิตใต้สำนึกของตัวเองย่อมอยากแยกออกจากกัน… นอกจากนั้น เพื่อขโมยสมุดบันทึกของตระกูลอันทีโกนัส เราต้องสวมบทบาทเป็นดอน·ดันเตสผู้เดินบนขอบเหวตลอดเวลา เผชิญอาการเครียดอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถูกผู้คุมที่คลุ้มคลั่งกัดกร่อนวิญญาณ ปัญหาจึงปะทุลุกลามขึ้นมาทันที… ไคลน์เลื่อนมือลูบขมับ ร่างกายเลือนหายไปจากมิติเหนือสายหมอก


เมื่อกลับเข้าร่างเนื้อ ไคลน์พบว่าตัวเองผ่อนคลายและปลอดโปร่งกว่าเดิมมาก ประหนึ่งกระจกที่เคยมีฝุ่นเกาะหนาถูกทำความสะอาดอย่างพิถีพิถัน นอกจากนั้น โอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’ ที่เพิ่มเข้ามาในร่างกายก็ยังถูกย่อยโดยสมบูรณ์


บุคลิกรองเกิดจากการสั่งสมของอาการทางจิตเก่าๆ การแก้ไขปัญหาด้วยเทียนไขจิตฝันร้ายนั้นเทียบได้กับการรักษาจากนักจิตวิเคราะห์มือฉมัง คงไม่เกิดปัญหาเดิมซ้ำภายในเวลาสั้นๆ แต่ก็ห้ามประมาทเด็ดขาด ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมของตัวเอง… ไคลน์เดินออกจากห้องน้ำ ตรงไปยังระเบียง มองเห็นภูเขาระยะไกลและต้นไม้เขียวขจี เป็นภาพที่งดงามและสบายตา


ชายหนุ่มพบว่า ระดับการตระหนักรู้ของตนลึกซึ้งขึ้นกว่าแต่ก่อน ความรู้สึกท้อแท้ที่เคยมีมานานบรรเทาลงไปหลายส่วน


ไม่คิดว่าการเอาชนะบุคลิกรอง จะช่วยมอบประโยชน์ในแง่มุมนี้ด้วย… หากไม่ใช่เพราะว่าบุคลิกรองมีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งขึ้นและรับมือได้ยาก เราคงคิดจะสร้างบุคลิกรองอีกสักสองสามครั้งและฆ่า ‘ตัวเอง’ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ในเชิงบวก… ไคลน์ส่ายหน้าและยิ้ม หัวเราะกับตัวเอง


ว่ากันตามตรง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อาการหลายบุคลิกถือเป็นเรื่องที่อันตรายและแก้ไขได้ยาก แต่ในกรณีของไคลน์ มันทราบว่าจะหาเทียนไขจิตฝันร้ายได้จากที่ไหน ทราบวิธีรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ ทราบถึงแก่นของปัญหาและรีบถอนรากถอนโคนโดยไม่ปล่อยให้ลุกลามใหญ่โต ไม่อย่างนั้น อาการคงพัฒนาไปอยู่ในระดับเดียวกับบิชอปยูทรอฟสกี้ในอดีต ปลายทางคือภาวะคลุ้มคลั่งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง


และเหนือสิ่งอื่นใด เรายังมี ‘นักจิตบำบัด’ ส่วนตัว… ไคลน์หัวเราะในลำคอ เดินกลับเข้าห้องอย่างไม่รีบร้อน นั่งลงบนเก้าอี้เอนหลัง


ชายหนุ่มนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างวัน จำแนกประเด็นที่ต้องคอยระวังในอนาคต


หากผู้วิเศษลำดับกลางของเส้นทาง ‘ผู้ไร้หลับ’ คลุ้มคลั่ง จะมีพลังในการดึงคนเข้าสู่ความฝันและกัดกร่อนจิตใจโดยตรง ต้องคอยระวังในอนาคต…


หากไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับสูง ผู้วิเศษส่วนใหญ่ของเส้นทางอื่นทำแบบนี้ไม่ได้… อย่างมากก็แค่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด โจมตีหรือตรึงเป้าหมายด้วยพลังพิเศษจากโอสถ มิได้ถ่ายทอดการกัดกร่อนทางจิตของตัวเองให้ใคร…


นอกจากผู้วิเศษลำดับกลางของเส้นทางผู้ไร้หลับ ผู้วิเศษคลุ้มคลั่งจากเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ก็น่าจะทำได้เช่นกัน… หากเผชิญหน้ากับศัตรูประเภทนี้และไม่รีบจำกัดให้สิ้นซาก แม้แต่เราก็ยังไม่มีวิธีรับมือกับอันตรายที่อาจตามมา… ทั้งที่เรารู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับอาการของผู้คุม แถมยังรู้ด้วยว่าพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของแก่นผนึกในบางแง่มุม แต่กลับหลีกเลี่ยงปัญหาไม่พ้น… ถ้าอยากจะลอบเข้าไปด้านในประตูยานิส เราต้องจำลองการถูกผนึกกัดกร่อนให้แนบเนียน จะได้ไม่ถูกพบความผิดปรกติ… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก แต่ก็จนปัญญา ทำได้เพียงลุกขึ้นยืนและเดินไปยังโต๊ะอ่านหนังสือ หยิบปากกาขึ้นมาวาดสัญลักษณ์ของความลับและการแอบมองลงบนกระดาษสีขาว


มันเตรียมอัญเชิญกระจกวิเศษ ‘อาโรเดส’


ทันใดนั้น คลื่นน้ำมายากระเพื่อมขึ้นบนผิวกระจกบานใหญ่ในห้องนอน แสงสีเงินสว่างขึ้นพร้อมกับเรียงตัวเป็นข้อความภาษาโลเอ็น


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยม อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และถ่อมตน พร้อมจะรับใช้ท่านแล้ว… พฤติกรรมของข้าในครั้งก่อนได้ทำให้ภาพลักษณ์ของนายท่านต้องมัวหมอง ข…ข้าอับอายและรู้สึกผิดมาก ท่านจะยอมรับคำขอโทษหรือไม่?”


โฮ่… รู้ด้วยว่าตัวเองทำผิด… ไคลน์ ‘อืม’ ในลำคอและกล่าว


“อย่าทำผิดซ้ำเดิมอีก”


“ขอรับ!” ประโยคใหม่พรั่งพรูบนผิวกระจกเต็มบาน “นายท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ?”


“เรามีคำถาม” ไคลน์กล่าวหลังจากครุ่นคิด “ผู้คุมภายในประตูยานิสของโบสถ์รัตติกาลถูกกัดกร่อนโดยพลังของแก่นผนึก เป็นสภาวะที่แตกต่างจากผู้วิเศษทั่วไป มีวิธีใดบ้างที่จะปลอมตัวเป็นพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ?”


อักษรสีเงินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นข้อความใหม่


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ สำหรับคำถามของท่าน คำตอบมีวิธีเดียวก็คือ เสียสละหุ่นเชิดของนายท่านหนึ่งตัว ปล่อยให้มันถูกแก่นผนึกกัดกร่อนจนมีสถานะเหมือนผู้คุมเหล่านั้น ขณะปลอมตัวก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายเพื่อตบตาแก่นผนึก”


ทำแบบนั้นได้ด้วย? แนวคิดน่าสนใจ… แต่หุ่นเชิดซึ่งเป็นลำดับ 5 ‘วิญญาณอาฆาต’ คือสิ่งที่ถึงจะมีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้… หากหวังครอบครองสูตรโอสถและวัตถุดิบลำดับครึ่งเทพ ก็ต้องยอมเสียสละสิ่งสำคัญสินะ… ไคลน์ใช้ความคิดสักพัก


“ถ้าอย่างนั้น จะทำให้หุ่นเชิดถูกกัดกร่อนได้ด้วยวิธีใด?”


โดยทั่วไปแล้ว หุ่นเชิด ‘วิญญาณอาฆาต’ นั้นแทบไม่มีโอกาสเข้าใกล้ประตูยานิส ไม่แม้แต่โถงสวดมนต์หลัก เพราะจะถูกแก่นผนึกตรวจพบและทำลายทิ้งในทันที!


ผิวกระจกเงาเต็มบานสั่นกระเพื่อมในลักษณะคลื่นน้ำ ตามด้วยการฉายภาพหนึ่ง


บุคคลดังกล่าวสวมหมวกคลุมหน้าแบบเก่า รูปร่างสูง ผมยาวสีเกาลัด ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต


“นายท่านสามารถขอความช่วยเหลือจากเธอได้” อาโรเดสเรียบเรียงคำเพื่ออธิบาย


เป็นเธอ? ราชินีเงื่อนงำไม่ใช่ผู้วิเศษเส้นทางรัตติกาลสักหน่อย จะช่วยเราได้ยังไง? หรือว่าเธอมีสมบัติปิดผนึกของเส้นทางรัตติกาลที่คล้ายคลึงกับแก่นผนึกด้านหลังประตูยานิส? จริงสิ พลเรือเอกดวงดาวปรารถนาเลือดของสัตว์ในตำนานหนึ่งหยด นอกจากจะต้องมอบสิ่งตอบแทนที่วิล·อัสตินพึงพอใจ เธอยังต้องจ่ายค่านายหน้าให้เราด้วย… และสิ่งนี้คือค่านายหน้า! ไคลน์ผงกศีรษะพลางใช้ความคิดเป็นเวลานาน


“ทำได้ดี เจ้ากลับไปได้”


“ขอรับ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยม อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน จะรอการเรียกใช้งานจากท่านอีกครั้ง” ขณะตัวอักษรสีเงินปรากฏขึ้น อาโรเดสวาดภาพมือที่กำลังโบกผ้าเช็ดหน้าบนกระจก


มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบา ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก



เขตตะวันตก ภายในคฤหาสน์ของตระกูลโอดรา


เอ็มลิน·ไวท์ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ สุ่มนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวในห้องรับแขก


ฝั่งตรงข้ามในแนวเฉียง รุส·บาโธรี บารอนผีดูดเลือดอีกหนึ่งตน กำลังถือแก้วไวน์ที่เต็มไปด้วยเลือดสด จ้องมาทางเอ็มลินด้วยดวงตาเหยียดหยัน เจือความเกลียดชังโดยไม่ปิดบัง – ขณะรุส·บาโธรีกำลังไล่ล่าสาวกดวงจันทร์บรรพกาลรายแรก ไม่เพียงจะลงเอยด้วยอาการบาดเจ็บ แต่ยังถูกเอ็มลินขโมยผลงาน


ยิ่งทำตัวแบบนี้ ข้าก็ยิ่งมีความสุข… เอ็มลินยิ้มเยาะ มองไปทางด้านข้างซึ่งคาซีมี·โอดรากำลังเปิดประตูเข้ามา รอให้อีกฝ่ายประกาศผลและแจกรางวัล


คาซีมีพยายามไม่สนใจสายตาของเอ็มลิน เดินตรงไปที่หน้าเตาผิงซึ่งมีกลุ่มผีดูดเลือดรออยู่


“ที่ข้าเรียกทุกคนมาที่นี่ เพราะการแข่งล่าได้ผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว”


ใครกัน? ผีดูดเลือดต่างมองหน้ากันและกัน พยายามเดาว่าใครคือผู้ชนะ


ทุกสายตาค่อยๆ จดจ้องไปยังรุส·บาโธรี มีไม่กี่คนที่คิดว่าเป็นเอ็มลิน·ไวท์ และจากบรรดาทั้งหมด มีเพียงรุส·บาโธรีคนเดียวที่พอจะคาดเดาบางสิ่งได้ รีบจ้องไปทางผีดูดเลือดที่มันเกลียดชังด้วยสายตาประหลาดใจ


คาซีมีถอนหายใจเงียบ


“เอ็มลิน·ไวท์จัดการเป้าหมายไปแล้วสามตน จึงได้รับชัยชนะไปโดยปริยาย”


“อะไรนะ?” บรรดาผีดูดเลือดโพล่งขึ้นด้วยความตกตะลึง


ผีดูดเลือดมีจำนวนประชากรน้อยกว่ามนุษย์มาก และในเบ็คลันด์ก็เป็นเพียงส่วนเดียวของทั้งหมด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี


เอ็มลินเป็นผีดูดเลือดประเภทใด ไม่มีใครที่ไม่ทราบเรื่องนี้!


ราชันเร้นลับ 803 : เปลี่ยนสมญานาม

Ink Stone_Fantasy

จากบรรดาผีดูดเลือดทั้งหมด ถึงเอ็มลินจะมิได้ประหลาดที่สุด แต่ก็ต้องติดอยู่ในสิบอันดับแรกแน่นอน


ในฐานะผีดูดเลือดที่มีอายุยืนยาวตั้งแต่เกิด ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีงานอดิเรกสักอย่างสองอย่างเพื่อฆ่าเวลา เอ็มลินไม่ใช่คนเดียวที่ชอบตุ๊กตา แต่ปัญหาคือ หากไม่นับการออกมาซื้อตุ๊กตาตัวใหม่พร้อมเสื้อผ้า หรือการออกมาหาเลือดสดดื่ม เอ็มลินแทบไม่เคยออกไปไหน ไม่ชอบสุงสิงกับพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ เว้นเสียแต่จะต้องการเลือดสดใหม่ หรือไม่ก็อยากได้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ หรือไม่ก็ต้องการซื้อวัตถุดิบสักชนิด ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านี้ เอ็มลินจะไม่เข้าร่วมชุมนุมใดๆ ของพี่น้องเลย


วิถีชีวิตเช่นนี้มีแต่จะทำให้แก่ตัวไปอย่างเปล่าประโยชน์ เหมือนกับผีดูดเลือดอาวุโสบางตนที่ต้องนอนอยู่ในโลงพิเศษเพื่อประทังชีวิต เอ็มลินที่ไม่มีสิ่งใดเหมือนผีดูดเลือดโตเต็มวัยเลย จึงกลายเป็นประเด็นสนทนาในแวดวงผีดูดเลือดไปโดยปริยาย


เมื่อหลายปีก่อน ทุกคนอาจพูดถึงเอ็มลินเป็นครั้งคราว ติดตลกเล็กน้อย คล้ายกับการเล่าถึงพฤติกรรมประหลาดๆ ของมนุษย์ในกรุงเบ็คลันด์ จนกระทั่งมีข่าวลือว่า เอ็มลินหลงเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยวและถูกนักบวชของพระแม่ธรณีจับกุมตัว ภาพพจน์ของมันเริ่มกลายเป็นตัวตลกในสายตาพี่น้องทันที ถึงขั้นถูกเรียกว่าเป็นความอัปยศของวงศ์ตระกูล ยากจะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา


แต่ผีดูดเลือดที่ไม่เอาไหนตนนั้นกลับล่าสาวกดวงจันทร์บรรพกาลได้สามคนรวด!


ทั้งหมดนั่นคือแวมไพร์เทียม!


หมอนั่นขอความช่วยเหลือจากนักบวชพระแม่ธรณี? หรือว่าจ้างนักล่าค่าหัวที่เก่งกาจ? ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองของเหล่าผีดูดเลือด พยายามคาดเดาว่าเอ็มลินใช้วิธีใดเอาชนะเกมนี้


ในเวลาเดียวกัน คาซีมีกระแอมแห้ง


“เอ็มลินได้ครอบครองมรดกพลังพิเศษและกลายเป็นบารอนแล้ว”


บารอน… เมื่อเหล่าพี่น้องจ้องมาทางเอ็มลิน คราวนี้สีหน้าปราศจากความงุนงงและสงสัย แต่แววตากำลังเปี่ยมด้วยความประหลาดใจและตกตะลึงเสียเต็มประดา


เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เอ็มลินถูกเครือญาติมองด้วยสายตาแบบนี้ ร่างกายพลันเบาหวิวและซาบซ่านอย่างเหนือคำบรรยาย ความพึงพอใจเอ่อล้นไปทั่วร่างจนมันอยากจะเชิดคางขึ้นและพูดว่า ‘พวกเจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านลอร์ดบารอน’


เป็นความพึงพอใจระดับเดียวกับ การได้ซื้อตุ๊กตาตัวที่ต้องการหลังจากเก็บเงินเป็นเวลานาน… เอ็มลินรำพันเงียบ กลืนความคิดลงคอ จากนั้นก็เดินไปหาคาซีมีพลางติดกระดุมเสื้อ


รอจนกระทั่งเหล่าผีดูดเลือดได้สติคืนมาและจ้องหน้าสองบารอนด้วยอารมณ์ซับซ้อน คาซีมีถือโอกาสกล่าว


“ผู้ชนะการแข่งล่าในครั้งนี้จะได้สิทธิ์ต่อคิวในรายชื่อเลื่อนลำดับเป็นไวเคาต์ แถมยังจะได้รับความช่วยเหลือในพิธีเลื่อนลำดับโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย… นอกจากนั้น เขายังจะได้รับแหวนวงที่ทานบรรพบุรุษเป็นผู้สร้างกับมือ”


ขณะกล่าว คาซีมีหยิบกล่องเครื่องประดับสีเงินลวดลายซับซ้อนออกจากกระเป๋าเสื้อ กดปุ่มกลไก เปิดฝาและเผยวัตถุภายในให้ทุกคนเห็น


เนื้อแหวนโปร่งแสง คล้ายกับแหวนที่สร้างจากอำพันสีแดงอ่อน ด้านบนฝังอัญมณีสีเลือด ขนาดเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของเล็บมือ กำลังเปล่งแสงเจือจาง


“ชื่อของมันคือแหวนลิลิธ จะทำให้ผู้สวมใส่มีเสน่ห์มากขึ้น และอยู่ในสภาพสมบูรณ์สุดขีดเมื่อเกิดปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวง” คาซีมีแนะนำเบื้องต้น “นอกจากนั้น แหวนยังมีพลังทำให้จุดใดจุดหนึ่งมีสภาพคล้ายกับพระจันทร์เต็มดวง เพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากให้กับพลังพิเศษที่เกี่ยวข้อง แถมยังสามารถสร้างประตูมายาที่เชื่อมต่อกับส่วนลึกของโลกวิญญาณได้ด้วย”


คาซีมีเว้นวรรค ก่อนจะเสริม


“ประตูบานดังกล่าวมีชื่อว่า ‘ประตูอัญเชิญ’ จะทำให้สิ่งมีชีวิตในส่วนลึกของโลกวิญญาณออกมาสู่โลกความจริง แต่สามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว และต้องรออีกสักพักจึงจะใช้พลังได้ใหม่… หากสัตว์วิญญาณตัวใดย่างกรายผ่านประตูบานนี้ นั่นจะเท่ากับการทำพันธสัญญากับผู้สวมใส่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ตามข้อมูลคือห้านาที ถ้าต้องการใช้งานนานกว่านั้น ผู้สวมต้องสื่อสารกับสัตว์วิญญาณและเขียนพันธสัญญาฉบับใหม่ด้วยตัวเอง… ภายใต้สถานการณ์ปรกติ สัตว์วิญญาณที่อัญเชิญออกมาจะแข็งแกร่งเทียบเท่าหรือมากกว่าผู้สวมเล็กน้อย แต่ก็มีโอกาสที่จะอ่อนแอกว่ามาก และแข็งแกร่งมากเช่นกัน… เคยมีไวเคาต์ตนหนึ่งใช้แหวนวงนี้เรียกสัตว์วิญญาณระดับครึ่งเทพออกมา… แต่ยิ่งสัตว์วิญญาณทรงพลังเพียงใด มันก็ยิ่งฝ่าฝืนพันธสัญญาของ ‘ประตูอัญเชิญ’ ได้ง่าย และทำให้ผู้สวมแหวนตกอยู่ในอันตราย หากเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว คำแนะนำก็คือ รีบยุติการอัญเชิญทันที… ผลข้างเคียงขณะสวมใส่คือการป่วยเป็น ‘โรคกระหายเลือด’ จำต้องดื่มเลือดมนุษย์จากขวดสำรองทุกๆ หนึ่งชั่วโมงเพื่อบรรเทาอาการ ไม่อย่างนั้นเลือดจะเดือดพล่านและระเหย ภายในสิบห้านาที บารอนผีดูดเลือดจะจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ”


อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่… กลับกัน เราชอบเสียอีกที่จะได้ดื่มเลือดมนุษย์บ่อยๆ แต่ปัญหาคือ เราจะไปหาเลือดมากขนาดนั้นได้จากไหน… เอ็มลินระงับความตื่นเต้น ขบคิดหาวิธีแก้ผลข้างเคียง


ทันใดนั้น คาซีมีหันมามอง


“สำหรับเลือดในส่วนดังกล่าว ทางเผ่าผีดูดเลือดมีไว้คอยบริการ”


ถ้าอย่างนั้น ปัญหาก็เหลือแค่ จะใส่ขวดและพกพาเลือดจำนวนมากด้วยวิธี… เอ็มลินหันไปมองผีดูดเลือดตนอื่นๆ ที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาอิจฉาริษยา


“ถ้าข้าไม่สวมไว้ จะได้รับโรคกระหายเลือดไหม?”


“ไม่” คาซีมีส่ายศีรษะหนักแน่น


เอ็มลินจ้องแหวนลิลิธ ถามอีกครั้ง


“ถ้าข้าสวมมันไว้ห้าสิบเก้านาทีและถอดออก จะป่วยเป็นโรคกระหายเลือดไหม”


กล้ามเนื้อใบหน้าคาซีมีกระตุก ก่อนจะตอบ


“เมื่อเจ้าสวมแหวน โรคกระหายเลือดจะแสดงผลทันที ต้องดื่มเลือดมนุษย์จากขวดสำรองเพื่อทำให้สงบลงเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ในระหว่างนั้น หากเจ้าถอดและสวมมันอีก โรคกระหายเลือดก็จะกลับมาแสดงผลอีก ไม่ว่าจะครบหนึ่งชั่วโมงหรือไม่ก็ตาม จำเป็นต้องดื่มเลือดอีกครั้ง… เข้าใจที่ข้าพูดไหม?”


“แน่นอน มันไม่ได้ซับซ้อนอะไร” เอ็มลินถอนหายใจ


คาซีมีถอนสายตากลับ หันไปมองผีดูดเลือดตนอื่นๆ


“เช่นนั้นแล้ว ข้าขอมอบแหวนวงนี้ให้กับผู้ชนะในการแข่งล่าเหยื่อ… เอ็มลิน·ไวท์”


“ยินดีด้วยเอ็มลิน” มันหันกลับมามองเอ็มลินพร้อมกับยื่นมือขวาออกไปจับและเขย่าเบาๆ


จากนั้น คาซีมีส่งมอบแหวนลิลิธสีเลือดให้แก่เอ็มลิน


“ขอบใจ” เอ็มลินยิ้มอย่างสงวนกิริยา


คาซีมีเลิกสนใจเอ็มลิน หันไปกล่าวกับผีดูดเลือดที่เหลือ


“ยังเหลืออีกสองเป้าหมายที่เป็นเหยื่อของพวกเจ้า ยังมีรางวัลให้สำหรับคนที่ล่าสำเร็จ”



สิบโมงเช้า มิติเหนือสายหมอก


ไคลน์ได้รับบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ที่เอ็มลินสังเวย พร้อมกับทราบประโยชน์ของแหวนลิลิธ


ประเด็นอื่นไม่สำคัญอะไร สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ‘ประตูอัญเชิญ’ ซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนลึกของโลกวิญญาณ… อาจจะมีสักวันที่เทพบรรพกาล ลิลิธ เป็นผู้ก้าวออกจากประตูบานนี้เอง… แน่นอน การจะทำแบบนั้นได้ต้องบรรลุเงื่อนไขหลายข้อ… ไคลน์คาดเดาอย่างไร้หลักการ พลางพลิกเปิดบันทึกการเดินทางของเลมาโน่เพื่อสำรวจว่า เอ็มลินใช้พลังใดไปบ้าง และมีพลังใดเพิ่มเข้ามา


‘อสนีบาต’ ถูกใช้จนเกลี้ยง… ‘ท่องเที่ยว’ ก็หายไปเช่นกัน… หมอนี่ไม่รู้จักเกรงใจพลังของคนอื่นเลยหรือ?


ที่เพิ่มเข้ามาคือ ‘ปีกแห่งความมืด’ จะเพิ่มความเร็วให้ผู้ใช้งานและบินได้ในระยะเวลาสั้นๆ นอกจากนั้นยังสามารถเปลี่ยนเป็นฝูงค้างคาวดูดเลือดมายาเพื่อโจมตีศัตรู


อีกพลังหนึ่งคือ ‘จันทร์เต็มดวง’ จะเปลี่ยนให้บริเวณที่กำหนดอยู่ในสภาวะเดียวกับพระจันทร์เต็มดวง ช่วยส่งเสริมพลังพิเศษประเภทความตาย และยังช่วยทำให้ปริมาณพลังวิญญาณเพิ่มขึ้น… เอ็มลินบันทึกมาจากแหวนลิลิธ…


อีกหนึ่งคือ ‘กรงเล็บกัดกร่อน’ จะทำให้เล็บงอกยาวและมีลวดลายซับซ้อน คมพอที่จะตัดผ่านเหล็ก มาพร้อมคุณสมบัติกัดกร่อนรุนแรง ถือเป็นของแสลงสำหรับเกล็ดและผิวหนัง


อีกหนึ่งคือ ‘เข้าใจสัตว์’ สามารถสื่อสาร ขี่สัตว์ และแบ่งปันความรู้สึกระหว่างกัน… หากใช้อย่างถูกวิธีจะมีประสิทธิภาพสูงมาก… ไม่เคยเห็นเอ็มลินใช้เลยสักครั้ง เสียของชะมัด…


อีกหนึ่งคือ ‘ตรวนนรก’ เป็นคาถาในขอบเขตความมืด สามารถทำให้ความมืดหรือเงาดำควบแน่นเป็นโซ่ตรวนเพื่อพันธนาการศัตรู


ไม่มี ‘ประตูอัญเชิญ’ … คงบันทึกได้ยาก และด้วยนิสัยของเอ็มลิน หลังจากล้มเหลวสองสามครั้งก็คงยอมยกธงขาว… ขณะพลิกอ่านบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ ไคลน์ใช้พลังทำนายเพื่อวิเคราะห์พลังพิเศษใหม่ๆ


ถอนสายตากลับ ชายหนุ่มกวักมือเรียกให้คทาเทพสมุทรบินมาหา ทำการบันทึก ‘อสนีบาต’ ลงไปสองสามหน้า – ด้วยเกรงว่าพลังการทำลายจะต่ำเกินไป


จากนั้น ไคลน์ใช้เข็มกลัดสุริยันบันทึก ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘ทำน้ำมนต์’ เพื่อให้พลังพิเศษในบันทึกการเดินทางของเลมาโน่มีความหลากหลาย


จัดการทั้งหมดเรียบร้อย ชายหนุ่มปิดสมุด หยิบเทียนไขจิตฝันร้าย


หลังจากแก้ไขอาการหลายบุคลิกเสร็จในช่วยบ่าย ไคลน์ยังไม่คืนสมบัติวิเศษทันที เพราะในเมื่อเทียนไขมีพลังในขอบเขตเส้นทางผู้ชม ก็น่าจะช่วยให้ตนสำรวจทะเลจิตใต้สำนึกรวมในบันทึกการเดินทางของกรอซายได้ ไคลน์จึงมีแผนจะยืมเทียนไขให้ครบครึ่งวันตามเวลาเดิม


แต่ผิดคาด มันค้นพบในภายหลังว่า เทียนไขจิตฝันร้ายไม่มีพลังปลอบประโลมหรือขจัดอารมณ์ด้านลบในจิตใจ ประโยชน์เพียงข้อเดียวก็คือ ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจเป้าหมาย จากนั้นค่อยขจัดอารมณ์ด้านลบหรือปลอบประโลมจิตใจด้วยวิธีของแต่ละคน


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจ คืนเทียนไขจิตฝันร้ายและบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ผ่านพิธีกรรมรับมอบ ส่งถึงมือเอ็มลินและฟอร์สตามลำดับ


กลับถึงโลกความจริง ชายหนุ่มอาบน้ำอย่างสบายใจ อ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารสักพักจึงเข้านอน


ท่ามกลางภวังค์เหม่อลอย ไคลน์ได้สติกะทันหัน พบว่ามีใครบางคนกำลังบุกรุกความฝัน


ฉากตรงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยน ด้านบนคือความมืดมิดอันไร้ก้นบึ้ง ประดับประดาด้วยเพชรสีขาวระยิบระยับ มอบความรู้สึกสุขสงบแก่จิตใจ


เสียงสวดมนต์ดังมาจากจุดห่างไกล บางเบาและเป็นระเบียบ ตรงเข้าสู่ก้นบึ้งจิตใจทันที


ขณะเดียวกัน ก้อนเมฆเริ่มเคลื่อนตัว ดวงจันทร์สีแดงเข้มเผยโฉมออกมาครึ่งหนึ่ง มอบแสงสว่างอ่อนๆ


เมื่อประกอบทุกสิ่งเข้าด้วยกัน ไคลน์รู้สึกราวกับตนได้มาเยือนอาณาจักรแห่งเทพธิดารัตติกาล ผ่อนคลายเป็นล้นพ้นภายในความฝันของตัวเอง


นี่มัน… ชายหนุ่มตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น


ทั้งหมดเป็นฝีมือของผู้วิเศษแห่งโบสถ์รัตติกาล จุดประสงค์คือการปลอบขวัญเศรษฐีดอน·ดันเตสภายในความฝัน รักษาบาดแผลทางใจที่อาจเกิดขึ้นในช่วงบ่าย


ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็น! ฉันนอนไม่หลับ! ไคลน์ถอนหายใจอย่างจนปัญญา


ราชันเร้นลับ 804 : ทีมนักโบราณคดี

Ink Stone_Fantasy

ขณะถอนหายใจ เฉกเช่นคนปรกติ ไคลน์ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามธรรมชาติ เพลิดเพลินไปกับความสงบและสะดวกสบายที่หาได้ยากภายในความฝัน


ราวสิบห้านาทีถัดมา ในที่สุดผู้วิเศษของโบสถ์ก็กลับไป


ได้นอนอย่างสงบสักที… ไคลน์คิดจะลืมตาขึ้นตามปรกติเพื่อกลับไปหลับบนโลกความจริง แต่ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้ว่า ตนไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล จึงอาศัยภาวะผ่อนคลายภายในความฝันเพื่อหลับไปตามธรรมชาติ


คุณภาพการนอนตลอดทั้งคืนเข้าขั้นดีเยี่ยม ไคลน์หลับยาวจนกระทั่งรุ่งสาง ด้านนอกมีแสงอาทิตย์ส่องเข้า แต่ดวงจันทร์สีแดงก็ยังไม่เลือนลับโดยสมบูรณ์ ผสมผสานกับสายลมพัดเอื่อยตลอดเวลา


ชายหนุ่มนอนแช่บนเตียงนานกว่าสิบนาที ก่อนจะหยิบนาฬิกาพกสีทองบนโต๊ะข้างเตียงมาตรวจสอบเวลา


ยังไม่หกโมงครึ่ง… เราควรพลิกตัวและนอนต่อ หรือสมควรตื่นได้แล้ว? ไคลน์สำรวจสภาพร่างกาย พบว่าจิตใจกำลังปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยพลังงาน ปราศจากความเมื่อยล้า ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลุกจากเตียงเพื่อไปล้างหน้า ตรงไปทางระเบียงและมองไปยังเส้นขอบฟ้าสีส้มอมแดง


กรุงเบ็คลันด์ในฤดูกาลนี้มีลมแรง หมอกควันจึงไม่หนาแน่นมากนัก นอกจากนั้นยังมีมาตรการควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวดในช่วงหลัง ท้องฟ้าจึงมีสีครามสดใสอยู่บ่อยครั้ง เมื่อมองลงไป คนสวนกำลังยุ่งอยู่กับงานในสวน สาวใช้และเด็กลูกมือกำลังเดินไปจ่ายตลาด หากไม่นับสิ่งเหล่านี้ สภาพแวดล้อมเต็มจะไปด้วยความงามของธรรมชาติ ช่วยมอบความร่าเริงแจ่มใสให้ไคลน์ ช่วยทำให้หลงลืมปัญหาของตัวเองไปชั่วขณะ รู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังเป็นของตนคนเดียว


ด้วยรอยยิ้มเจือจาง ไคลน์ยืนดื่มด่ำฉากตรงหน้าอย่างเงียบงัน จนกระทั่งผ่านไปสิบห้านาที คนรับใช้ของบ้านในละแวกใกล้เคียงเริ่มจับกลุ่มสองถึงสามคนเดินออกมา บ้างหิวตะกร้า บ้างจูงม้า ช่วยมอบชีวิตชีวาให้กับบล็อกถนนในแถบนี้ ยิ่งเวลาผ่านไป ดวงอาทิตย์ก็ยิ่งส่องแสงสว่าง


นี่คือวิถีชีวิตที่ควรจะเป็น… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ นึกครึ้มอยากออกไปเดินเล่น จึงหันหลังกลับและเดินออกจากระเบียง ตรงไปที่ประตูและบิดลูกบิด


ด้านนอกห้องนอนใหญ่ ริชาร์ดสันกำลังยืนรออยู่ เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าชายคนนี้ตื่นกี่โมง


หนึ่งสิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นบุรุษรับใช้ก็คือ ต้องนอนทีหลังและตื่นก่อนเจ้านาย


“อาหารเช้าจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมง… ถ้านายท่านต้องการให้เริ่มก่อน ครัวจะพร้อมในอีกสิบห้านาที” ริชาร์ดสันไม่ได้ถามว่าทำไมดอน·ดันเตสถึงตื่นเช้านัก


ไคลน์หัวเราะในลำคอ


“ไม่ต้องรีบ ผมแค่จะออกไปเดินเล่น”


“ครับ นายท่าน” ริชาร์ดสันเดินเข้ามาในห้องนอน อาศัยข้อมูลที่นายจ้างบอก เลือกเสื้อโค้ทมาสวมให้


ถัดมา ไคลน์สวมหมวกผ้าไหมและถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง เดินลงไปยังชั้นหนึ่งและออกจากประตูบ้าน เดินผ่านต้นเมเปิลอินทิสและโคมไฟสีดำริมถนน ย่างกรายอย่างไม่รีบร้อนไปยังสุดสายของถนน


ตลอดทางจะมีกลิ่นหอมจางๆ จากสวนของเพื่อนบ้านแต่ละหลัง ใบไม้สีเขียวมอบความเงียบสงบจากมุมสูง คนเดินเท้าผ่านไปผ่านมาประปราย รถม้าแล่นผ่านบางครั้งบางคราว ทำลายความเงียบงันและจากไปในเวลาไม่นาน


ไคลน์ที่มีความสุขกับสภาพแวดล้อมยามเช้า พบว่าเศษเสี้ยวอารมณ์ด้านลบเมื่อวานค่อยๆ ละลายหายไปทีละนิด


นั่นสินะ… ผู้วิเศษควรสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับตัวเองเพื่อควบคุมอารมณ์… การที่เราเดินเล่นบนถนนแถบนี้ บิชอปของวิหารนักบุญแซมมวลคงทราบแล้วว่า ดอน·ดันเตสฟื้นตัวจากอาการจิตตกแล้ว… คงไม่มารบกวนกลางดึกอีก… ชายหนุ่มรำพันพลางมองไปยังบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน


บ้านของส.ส. มัคท์


รั้วด้านนอกสุดทำจากซี่เหล็กแหลม ผู้คนที่ผ่านไปมาสามารถชื่นชมวิวทิวทัศน์ของสวนหน้าบ้านได้จากช่องว่างรั้ว


ขณะกวาดตามอง ไคลน์พบบุคคลที่คุ้นเคย ไม่ใช่ใครนอกจากเฮเซล เจ้าของเส้นผมสีเขียวเข้มและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม สตรีโอหังรายนี้อยู่กับสาวใช้ กำลังเดินไปตามทางของสวนและกวาดตามองรอบตัวเป็นครั้งคราว


เธอก็ตื่นเช้าเหมือนกัน? หืม… หรือว่าหลังจากลงท่อระบายน้ำกลางดึกไม่ได้ คุณภาพการนอนก็เลยดีขึ้น? ไคลน์หัวเราะในใจ ถอนสายตากลับและเดินตรงไป


ระหว่างทาง ขณะหันกลับไปมองริชาร์ดสันที่เดินตามหลังอย่างใจเย็น ไคลน์พลันนึกถึงสิ่งที่ตนเพิ่งอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และเรื่องราวเกี่ยวกับทวีปใต้


แต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มจะนำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับทวีปใต้อย่างสมเหตุสมผล เพื่อให้การสร้างตัวตนของดอน·ดันเตสแนบเนียนที่สุด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับทวีปใต้เกือบทั้งหมดมาจากแอนเดอร์สัน โจรสลัดนักผจญภัย และนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหมอก ไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่า ชายคนนั้นจะไม่โอ้อวดเกินความจริง


ข้อมูลที่เราเคยอ่านในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ส่วนมากจะกล่าวถึงคนที่แสวงหาโอกาสและประสบความสำเร็จในทวีปใต้ บางคนกลับมาอาศัยในเบ็คลันด์ แต่บางคนก็เลือกจะอยู่ต่อ… อา… ข้อมูลเหล่านี้คงทำให้ชาวเบ็คลันด์จำนวนไม่น้อยคิดว่าทวีปใต้เต็มไปด้วยทองคำ เต็มไปด้วยโอกาสกอบโกยความมั่งคั่ง เพราะแม้แต่ต้นไม้ที่มีอยู่ดาษดื่น ยางของมันก็ยังมีประโยชน์หลากหลายและขายได้ราคาสูง… คงเป็นเหตุผลที่อาณาจักรมักทำสงครามกับฟุซัค อินทิส และอาณาจักรอื่นๆ เพื่อแย่งชิงอาณานิคม… หากไม่ใช่เพราะชาวเมืองส่วนใหญ่ไม่มีเงินเก็บ และบางคนไม่กล้าลอบขึ้นเรือ คงมีชาวโลเอ็นจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลไปยังทวีปใต้… หลังจากคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไคลน์ซักถามคนรับใช้อย่างเป็นกันเอง


“คุณคิดว่าทวีปใต้เป็นยังไง”


มันยังจำได้ว่า ริชาร์ดสันเกิดในคฤหาสน์ของทวีปใต้ และถูกพามายังเบ็คลันด์ในตอนโต


ริชาร์ดสันเงียบงันสักพัก


“นายท่าน ผมไม่รู้จักทวีปใต้มากนัก ส่วนมากมักจะอยู่แต่ในคฤหาสน์ แทบไม่มีโอกาสได้ออกไปไหน”


“ลองบอกความรู้สึกมาก็พอ… สิ่งแรกที่คิดในหัวหลังจากสลัดความรู้สึกรบกวนออกไปทั้งหมด ผมแค่อยากเห็นภาพกว้างๆ … ใครหลายคนคิดว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญทวีปใต้ แต่ความจริงแล้วยังห่างไกลนัก เคยไปแค่ไม่กี่แห่งในฐานะพ่อค้า” ไคลน์หัวเราะกับตัวเอง


ขณะเดิน ริชาร์ดสันก้มหน้าจนเห็นนิ้วเท้า


“ความประทับใจแรกของผมก็คือ… ความหิว เหนื่อย เจ็บปวด และการโหยหาโลกหลังความตาย”


หิว เหนื่อย และเจ็บปวด… ไคลน์ทวนสามคำซ้ำในใจ ค่อยๆ ก้าวไปบนถนนเบิร์คลุนโดยไม่ถามอะไรเพิ่ม



แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก ภายในอาคารติดกับมหาวิทยาลัยสโตน


ออเดรย์กำลังเยี่ยมชมตู้จัดแสดงที่กองทุนขุดค้นและเก็บรักษาวัตถุโบราณรวบรวมมาได้


เดิมที เธอวางแผนจะมาในช่วงบ่ายวังอังคาร แต่รองศาสตราจารย์มิตเชล·ดิตเตอร์ติดประชุมวิชาการในกรุงเบ็คลันด์ ว่างแค่วันนี้ เธอจึงต้องปรับเปลี่ยนตารางเวลา


“รองเท้าบูตเหล่านี้ถูกพบในซากปรักหักพังบนภูเขาใกล้กับเมืองสโตน ผู้ค้นพบคือชาวนา รูปทรงคล้ายคลึงกับรองเท้าที่ได้รับความนิยมในยุคสมัยที่สี่” มิตเชลแนะนำของในตู้จัดแสดงให้กับสตรีเลอโฉมผู้สูงศักดิ์


ออเดรย์มองด้วยความสนใจ พบว่าปลายรองเท้าบูตโค้งขึ้นชัดเจน คล้ายกับเป็นรองเท้าของตัวตลก


แต่ความสูงในจุดที่โค้งขึ้นนั้นไม่เท่ากัน ข้างหนึ่งสามเซนติเมตร อีกข้างห้าเซนติเมตร คล้ายกับไม่ใช่คู่กัน


สไตล์ไม่สมมาตรของยุคสมัยที่สี่… ซ้ายสามขวาห้า… เราไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร… ออเดรย์ถอนสายตากลับและเดินตามรองศาสตราจารย์มิตเชลไปยังตู้จัดแสดงถัดไป


จนกระทั่งมาถึงตู้สุดท้าย มิตเชลชี้เข้าไปในแผ่นกระจก


“ตราประจำตระกูลแผนนี้เพิ่งถูกส่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมบูชามหามังกรที่เก่าแก่มาก”


มหามังกร… ออเดรย์ก้าวเท้าเพื่อขยับเข้าใกล้ พบภาพมังกรสีเทาอมขาวกำลังสยายปีกถูกสลักลงบนแผ่นตรา


“มาจากไหน?” ออเดรย์ถามเหมือนกับทุกครั้ง


มิตเชลตอบ


“หมู่บ้านที่ชื่อฮาร์ตลาร์ค อักษรโลเอ็นเหล่านี้ไม่มีในภาษาฟุซัคโบราณ จึงอ่านไปตามที่เขียน”


ฮาร์ตลาร์ค… เป็นชื่อของหมู่บ้านบูชามังกรที่เราเคยไปสำรวจ มีมังกรจิตอาศัยอยู่ในทะเลจิตใต้สำนึกรวม… บันทึกสงครามยี่สิบปีที่ได้จากรองศาสตร์มิตเชลก็เป็นของอัศวินที่ชื่อ ‘ลินเดลิร่า’ ซึ่งเป็นคนของหมู่บ้านนี้เช่นกัน ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับมังกรจิตไม่ทางใดทางหนึ่ง… ออเดรย์พยักหน้าใคร่ครวญพลางเรียบเรียงคำพูด ในใจอยากถามว่าใครเป็นคนพบตราประจำตระกูล


ทันใดนั้น สีหน้าของรองศาสตราจารย์มิตเชลพลันดำมืด


“การค้นพบตราแผ่นนี้มาพร้อมกับโศกนาฏกรรม”


“โศกนาฏกรรม?” ออเดรย์ไม่เก็บซ่อนความประหลาดใจ


รองศาสตราจารย์มิตเชลหายใจออก


“ทีมนักโบราณคดีที่เข้าไปในหมู่บ้านเพื่อศึกษาธรรมเนียมบูชามังกร เกิดเสียสติในตอนกลางคืน และดูเหมือนว่าอาการดังกล่าวจะเป็นโรคติดต่อ ทีมนักโบราณคดีทุกคนเสียสติในเวลาถัดมาและเริ่มเข่นฆ่ากันเอง หรือไม่ก็ทำร้ายตัวเอง ไม่มีใครรอดชีวิต… ตราแผ่นนี้ถูกพบในศพของพวกเขา ทางตำรวจได้นำไปตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว เมื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหาจึงส่งมาให้เรา”


ทีมนักโบราณคดีที่เข้าไปในหมู่บ้าน กลายเป็นบ้าทีละคนสองคน… ดวงตาออเดรย์เบิกกว้างเล็กๆ ขณะทบทวนคำพูดของรองศาสตราจารย์มิตเชล


ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของเธอถูกกระตุ้นพร้อมกับผุดแนวคิดหนึ่ง


สมาคมแปรจิต!


สมาชิกของทีมนักโบราณคดีคือคนของสมาคมแปรจิต!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)