Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 793-798

 ราชันเร้นลับ 793 : ผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด

Ink Stone_Fantasy

ได้ยินคำถามจากมิสเตอร์มูน ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส เกือบโพล่งออกมาว่า ‘แน่นอน! ฉันรู้ดีกว่าใคร! แค่ไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดเท่านั้นเอง!’


ทว่า เธอควบคุมปากในเวลาที่เหมาะสม สายตาชำเลืองไปทางมิสเตอร์เวิร์ลที่สุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งด้วยอาการหวาดผวาเล็กๆ


แทบจะในเวลาเดียวกัน แฮงแมน จัสติส และเฮอร์มิทพอจะคาดเดาได้เลือนรางว่า เหตุการณ์ในเขตตะวันออกของเบ็คลันด์ คือปฏิบัติการสังหารผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนือ โดยฝีมือของเดอะเวิร์ล!


และเนื่องจากเอ็มลินไม่ใช่ผู้ชม มิอาจอ่านคำตอบจากดวงตา ฟอร์สจึงยิ้มแห้งๆ และตอบกลับ


“ในส่วนของรายละเอียด ฉันเล่าไม่ได้… ทราบเพียงว่า มีพลังครึ่งเทพของเส้นทางพายุเกิดขึ้นที่นั่น ส่งผลให้ทางโบสถ์วายุสลาตันมุ่งความสนใจมาเป็นพิเศษ”


เธอไม่กล้าอธิบายเรื่องราวทั้งหมดแทนมิสเตอร์เวิร์ล แค่เกริ่นจากที่ตัวเองเห็น


ฟอร์สเชื่อว่า หากมิสเตอร์เวิร์ลต้องการลงลึกรายละเอียด เดี๋ยวอีกฝ่ายก็คงเล่าเอง


พลังพิเศษระดับครึ่งเทพในขอบเขตพายุ? ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือต่างตกตะลึง เริ่มสงสัยว่าสมมติฐานก่อนหน้าของตนคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ


พวกมันเคยเข้าใจว่า บันทึกการเดินทางของเลมาโน่เป็นวัตถุที่เกิดจากความตายของผู้ส่งสารชุมนุมแสงเหนือ ดังนั้น ก่อนที่เดอะเวิร์ลจะลอบสังหารอีกฝ่ายสำเร็จ ไม่มีทางที่จะให้มิสเตอร์ฟูลบันทึกพลังระดับครึ่งเทพไว้ล่วงหน้าได้!


หรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในเขตตะวันออกจะไม่เกี่ยวข้องกับมิสเตอร์เวิร์ล? ไม่น่าจะใช่… เมื่อครู่ ฟอร์สแอบชำเลืองไปทางมิสเตอร์เวิร์ลไม่ผิดแน่! แต่ว่า ทำไมถึงมีพลังครึ่งเทพในขอบเขตพายุปรากฏขึ้นได้? หนึ่งในความน่าจะเป็นก็คือ บันทึกการเดินทางของเลมาโน่ไม่ใช่ผลลัพธ์ของภารกิจ แต่เป็นสิ่งที่ฟอร์สครอบครองมาตั้งแต่แรก… อีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ สิ่งนี้เป็นฝีมือของพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน หรือไม่ก็สมบัติปิดผนึกในขอบเขตดังกล่าว…


หากเป็นอย่างแรก การที่มิสเตอร์เวิร์ลต้องลงทุนใช้พลังครึ่งเทพออกมา หมายความว่าผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนือคนนั้นต้องแข็งแกร่งอย่างมาก หรือไม่ก็มีตัวตนระดับนักบุญอยู่เบื้องหลัง แต่ถ้าเป็นแบบที่สอง การที่มิสเตอร์เวิร์ลรอดจากการโจมตีเช่นนั้นมาได้ เพียงพอแล้วที่จะอธิบายความน่าสะพรึงกลัวของเขา…


แน่นอน อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่ว่า มิสเตอร์เวิร์ลจงใจลากให้โบสถ์วายุสลาตันไปเผชิญหน้ากับครึ่งเทพของชุมนุมแสงเหนือ อาศัยจังหวะที่ครึ่งเทพทั้งสองฝ่ายปะทะกัน หลบหนีออกมาอย่างราบรื่น บรรลุภารกิจลอบสังหารท่ามกลางความโกลาหล… ‘จัสติส’ ออเดรย์เริ่มวิเคราะห์จากรายละเอียดที่เธอสังเกตเห็น คาดเดาเอาเองสองสามสิ่ง โดยทุกสมมติฐานชี้นำไปในทิศทางเดียวกัน


เดอะเวิร์ลเพียบพร้อมไปด้วยฝีมือ สติปัญญา การเตรียมตัว และความเด็ดขาด เรียกได้ว่าเป็นลำดับ 5 ที่เก่งกาจระดับยอดพีระมิด เป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้ครึ่งเทพอย่างไร้ข้อกังขา!


แข็งแกร่งจนน่ากลัว… สมแล้วที่เป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… ไว้เราไปถึงวิหารเมื่อไร คงได้รับรายละเอียดในเรื่องนี้… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เองก็ลองวิเคราะห์เบื้องต้น ถอนหายใจเงียบ ทำได้เพียงปลอบใจตัวเองว่า หากมีคู่หูร่วมเดินทางเป็นชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ การสำรวจเกาะโบราณที่ไม่มีใครครอบครอง ก็คงง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า


ในส่วนของ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา ความคิดของเธอคล้าย ‘จัสติส’ ออเดรย์ จึงเตรียมจะกลับไปถามราชินีเงื่อนงำ – เจ้าของเรือรุ่งอรุณ เกี่ยวกับสถานการณ์ในเขตตะวันออกของเบ็คลันด์


“พลังระดับครึ่งเทพในขอบเขตพายุ…” เอ็มลินทวนคำของมิสเมจิกเชี่ยนด้วยความปวดหัว


แม้ว่ามันจะรักการอยู่บ้าน ไม่ชอบออกไปไหน แต่ในมหานครใหญ่แห่งนี้ มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะตระเวนไปตามโรงพยาบาลเพื่อขโมยเลือดสดดื่มบ่อยครั้ง เมื่อผนวกเข้าความรู้พื้นฐานเข้ากับคำเตือนของเหล่าอาวุโส เอ็มลินมีความเข้าใจในหน่วยพิเศษของเมืองหลวงเป็นอย่างดี และเข้าใจว่าเหตุร้ายดังกล่าว จะสร้างความตึงเครียดแก่บริเวณใกล้เคียงมากแค่ไหน


หากเราไม่ปลอมตัวให้แนบเนียน การลอบเข้าไปในเขตตะวันออกอาจไม่ถึงเป้าหมาย ถูกไล่ล่าและตามจับกุมตัวโดยทูตพิพากษาแทน… แม้ว่าเราจะมีตัวตนเป็นคนของโบสถ์พระแม่ธรณี ซึ่งจะทำให้ไม่ถูกลากเข้าคุก และไม่กลายเป็นหนูทดลองสมบัติปิดผนึก แต่ภารกิจ ‘ล่า’ ก็จะล้มเหลว แถมยังจะถูกยึดบันทึกการเดินทางของเลมาโน่… ในสถานการณ์แบบนี้ การลงไปในท่อระบายน้ำยิ่งอันตราย ไม่มีทางรู้เลยว่าผู้วิเศษของทางการซ่อนตัวอยู่กี่คน… เอ็มลินพบว่าภารกิจของตนยากขึ้นกะทันหัน


แต่ไม่นาน มันก็ได้ข้อสรุป นั่นคือการลงมือในช่วงกลางดึก ก่อนเวลารุ่งสาง เพราะเป็นเวลาที่ชนชั้นล่างในเขตตะวันออกเริ่มทยอยกลับจากการทำงาน ถึงฟ้าจะมืด แต่ถนนก็ยังคึกคัก ต่อให้ทูตพิพากษามีกำลังคนมากกว่านี้อีกสิบเท่า ก็ไม่มีทางเฝ้าจับตามองได้อย่างละเอียด หมดสิทธิ์จำแนกเป็นรายบุคคล


แผนการขั้นถัดไปก็คือ ลงมืออย่างมีประสิทธิภาพ พยายามดับลมหายใจแวมไพร์เทียมทั้งสองโดยไม่ให้เกิดความวุ่นวาย… อา ต้องคอยคำนึงว่า การต่อสู้อันดุเดือดมิอาจเก็บซ่อนความผิดปรกติได้ง่ายนัก… เดี๋ยวนะ มิสเมจิกเชี่ยนเพิ่งบอกว่า ในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่มี ‘เทเลพอร์ต’ ถูกบันทึกไว้… ถ้าอย่างนั้นก็หมดปัญหา! ‘เดอะมูน’ เอ็มลินถอนหายใจโล่งอก หัวเราะในลำคอ


“ข้าจะจำใส่ใจไว้”


มันกล่าวด้วยความใจเย็น ค่อนไปทางมั่นใจ คล้ายกับทุกสิ่งอยู่ในความควบคุม


หึหึ สหายเอ็มลินคนนี้กระอักกระอ่วนในตอนต้น ก่อนจะผ่อนคลายในภายหลัง… เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ขอเดาว่าหมอนั่นเพิ่งฉุกคิดถึงเวทมนตร์ ‘เทเลพอร์ต’ ในหนังสือ… หากไม่ใช่เพราะเรา ‘ต้อนแกะ’ ได้พลัง ‘ประตูนักท่องเที่ยว’ มาครอง คงตั้งเงื่อนไขไว้ว่า ก่อนที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะยืมหนังสือไปใช้ ห้ามมิให้ใครแตะต้องหน้า ‘เทเลพอร์ต’ เด็ดขาด… ไคลน์ฉีกยิ้มในใจ ภายนอกเงียบขรึม


สำหรับมัน เป็นเพราะสมุดเวทมนตร์มีเทเลพอร์ตเพียงหน้าเดียว จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะต้องใช้งานยุบพองหิวโหยเพื่อเดินทางไปยังเกาะโบราณ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ไคลน์ก็ต้องหา ‘คนที่สมควรตาย’ มาเป็นอาหารให้ถุงมือ


“ถือว่าฉันได้เตือนไปแล้ว” ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สไม่พูดสิ่งใดอีก เพียงหวังให้ภารกิจของมิสเตอร์มูนผ่านไปอย่างราบรื่น


ทันใดนั้น ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์หันไปมอง ‘เดอะซัน’ ด้านข้าง


“คุณยังอยู่ในเมืองเงินพิสุทธิ์ใช่ไหม?”


“ครับ กิจวัตรในช่วงหลังคือการทำความคุ้นเคยกับพลังพิเศษ เดินลาดตระเวนไปรอบๆ พื้นที่” เดอร์ริคตอบโดยไม่ปิดบัง


อัลเจอร์ถามต่อ


“ในระยะหลัง อาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ คนนั้นไม่มาหาคุณบ้างหรือ?”


“ไม่ครับ” เดอร์ริคเว้นวรรค “ช่วงนี้หกสภาอาวุโสกำลังยุ่งอยู่กับอนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมือง แต่ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ผมยังไม่มีสิทธิ์รับรู้”


ไคลน์เคยได้ยินเดอะซันเล่าเกี่ยวกับอดีตเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ให้ฟัง กล่าวว่า ชายคนนั้นสร้างสุสานลึกลงไปใต้ดินและขังตัวเองไว้ภายใน ไม่ออกมาอีกเลยเป็นเวลานาน มีการคาดเดาว่า พิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับ 3 ของเส้นทางมรณาคงล้มเหลว


เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในสุสาน แต่สัมผัสวิญญาณบอกกำลังว่า ภายในนั้นมีอันตรายซ่อนอยู่… ไคลน์ยังไม่เปิดปาก ทำเพียงนั่งฟัง ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พูดกับเด็กหนุ่ม


“อย่าปล่อยผ่าน… การที่หกสภาอาวุโสลงทุนตรวจสอบอนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมืองด้วยตัวเอง แถมยังในเวลาแบบนี้ หมายความว่ามันต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”


“เข้าใจแล้วครับ!” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริครีบพยักหน้า “ผมจะพยายามตรวจสอบสถานการณ์อย่างเต็มที่”


การแลกเปลี่ยนดำเนินต่อไป แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีใครได้พบเจออะไรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ชุมนุมทาโรต์จึงใกล้ถึงจุดยุติ สมาชิกแต่ละคนเริ่มสอนเดอะซันเกี่ยวกับภาษาของโลกภายนอก แลกเปลี่ยนด้วยการเรียนประวัติศาสตร์โบราณจากเขา


ระหว่างนั้น ‘จัสติส’ ออเดรย์หัวเสียและหงุดหงิดมากที่สุด เพราะเธอไม่ได้ซื้ออะไรจากชุมนุม ไม่ได้แบ่งปันข้อมูลใด เรียกได้ว่าตัวตนจืดจางลงมาก


เฮ่อ… ชีวิตของเราสงบสุขและมั่นคงเกินไป ไม่มีสิ่งใดให้บอกเล่าและแบ่งปัน… แต่ว่า นี่เป็นเรื่องปรกติ ในฐานะบุตรสาวของเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ตะวันออกและหนึ่งในสามสุดยอดนายธนาคารแห่งอาณาจักร หากเราต้องเผชิญอันตรายจากพลังพิเศษบ่อยครั้ง ได้พบเจอเรื่องที่น่าตื่นเต้นทุกสัปดาห์ นั่นหมายความว่า โครงสร้างทางการเมืองและสังคมในปัจจุบัน เริ่มรับมือกับปัญหาของโลกผู้วิเศษไม่ไหว และนั่นจะลงเอยด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่… อา รอกลับไปถึงเบ็คลันด์ ติดต่อกับสมาคมแปรจิตให้บ่อยขึ้น สถานการณ์ของเราจะได้พัฒนาเสียที… ออเดรย์มองโลกในแง่บวก ลุกขึ้นยืน กล่าวคำอำลากับมิสเตอร์ฟูล


สำหรับหกเดือนที่ผ่านมา เป็นเพราะแรงกระตุ้นจากซูซี่ เราได้อ่านหนังสือที่มีประโยชน์หลายเล่ม เสริมสร้างความเป็นผู้ใหญ่และโครงสร้างทางความคิด เทียบกับสมัยอดีต เราพัฒนาตัวเองขึ้นมากแล้ว…



บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน


ไคลน์ที่เพิ่งจบชุมนุมทาโรต์ เดินไปทางระเบียงติดกับห้องนอน จ้องมองวิวทิวทัศน์สีเขียวขจีเบื้องล่าง


หลังจากมิสเมจิกเชี่ยนเริ่มต้นธุรกิจให้เช่าสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ ในอนาคต คงมีการค้าขายเกิดขึ้นในชุมนุมทาโรต์อีกบ่อยครั้ง… หึหึ พวกเขาอาจยังไม่ทราบ อาจคิดไม่ถึงว่าพลังพิเศษก็สามารถซื้อขายได้เช่นกัน! รอให้พฤติกรรมการเช่ากลายเป็นเรื่องปรกติ จะต้องมีคนที่รับจ้างบันทึกพลังที่มีประโยชน์ลงไป… เมื่อถึงตอนนั้น ตัวเราซึ่งมีสมบัติวิเศษมากมาย สามารถมอบความช่วยเหลือได้ในหลายแขนง…


ราคาต้องไม่แพงมาก เน้นการทำธุรกิจที่ยั่งยืน เน้นปริมาณการขายเป็นหลัก…


หึหึ… ใครจะเป็นคนแรกที่สามารถรวบรวมความกล้า ขอความช่วยเหลือจากเดอะฟูล ให้เพิ่มพลังระดับครึ่งเทพลงไปในสมุด? การทำแบบนี้ต้องมีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ คงต้องจ่ายหนักไม่เบา… แต่ถ้าไม่มีใครกล้าเสี่ยง ด้วยเกรงว่าจะเป็นการหมิ่นเบื้องสูง เราสามารถใช้เดอะเวิร์ลเป็นแบบอย่างได้ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด มิสเตอร์ฟูลเป็นมิตรกับทุกคน เป็นกันเองกับทุกคนอยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่กระทำความผิด การค้าขายย่อมเกิดขึ้นได้…


จากกรณีมาดามเฮอร์มิทถูกลงโทษไปเมื่อคราวก่อน เราชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าคลางแคลงเดอะฟูลอีก ภายในใจมีเพียงความยกย่องเทิดทูน หวาดกลัว แต่ก็โล่งอก… ไคลน์วิเคราะห์อนาคตของชุมนุมทาโรต์ เริ่มคาดหวังเกี่ยวกับการซื้อขายพลังพิเศษ


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงเคาะประตู


“เข้ามา” ดอน·ดันเตส เจ้าของจอนสีขาวตรงขมับ หันไปกล่าว


ลูกบิดถูกหมุน ประตูเปิดออก วอลเตอร์ พ่อบ้านผู้สวมถุงมือสีขาว เดินเข้ามาและกล่าวอย่างนอบน้อม


“นายท่าน มาดามแมรี่จากคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติแวะมาเยี่ยมครับ… อยากพบเธอไหม?”


แมรี่·ช็อตต์? ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโคอิม อดีตภรรยาที่เคยขอร้องให้เราช่วยตามจับชู้อดีตสามี? มาหาเราทำไม? คงไม่ใช่ว่าแอบปลื้มดอน·ดันเตสหรอกนะ? ไคลน์พยักหน้าด้วยรอยยิ้มฉงนเล็กๆ


“ใกล้ได้เวลาดื่มชาแล้ว เลื่อนให้เร็วขึ้นสักนิดคงไม่เป็นไรกระมัง”


“ได้ครับ ผมจะเชิญมาดามแมรี่ไปยังห้องรับแขกบนชั้นสอง” วอลเตอร์เข้าใจความนัยแฝงของนายจ้าง


ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยน ไม่พูดเพิ่มเติม อาศัยความช่วยเหลือจากบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน สวมเสื้อโค้ท เดินลงไปยังชั้นสอง


เพียงไม่นาน มันเห็นมาดามแมรี่ผู้มีโหนกแก้มสูง กำลังนั่งภายในห้องรับแขก


สตรีผู้นี้สวมเดรสสีน้ำเงินเข้ม เครื่องประดับหรูหรา กึ่งๆ โอ้อวด แต่สงวนกิริยา เมื่อเทียบกับเมื่อปีก่อน เธอดูมีรสนิยมขึ้นมาก แถมบรรยากาศรอบตัวก็ยังมีเสน่ห์


“ทิวาสวัสดิ์ครับ มาดาม ผมกำลังหาโอกาสไปเยี่ยมคุณ ฟังคุณเล่าเกี่ยวกับการผลสำรวจสภาพอากาศของเบ็คลันด์” ไคลน์เป็นฝ่ายชวนคุยอย่างสุภาพ


แมรี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“น่าเสียดายที่ดิฉันไม่ได้อดทนรอจนถึงตอนนั้น”


หลังจากทักทายกันสองสามคำเกี่ยวกับสภาพอากาศ ไคลน์นั่งลงบนโซฟาเดี่ยว หยิบถ้วยชากระเบื้องเคลือบและพูด


“มาดาม คุณมีเรื่องไม่สบายใจหรือ”


ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าแมรี่กำลังลังเลและครุ่นคิด


แมรี่ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะถอนหายใจ


“ปัญญาของคุณ ความรู้ของคุณ ดิฉันได้ยินกิตติศัพท์มานาน เชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษที่มีวิสัยทัศน์อันน่าทึ่ง… เกี่ยวกับเรื่องนั้น คุณสนใจจะลงทุนในหุ้นของบริษัทโคอิมไหม?”


“ทำไมกันครับ? มาดาม คุณกำลังเดือดร้อนเรื่องเงินหรือ?” ไคลน์ถามใจเย็น


แมรี่ส่ายหน้า


“มีใครบางคนอยากขาย”


ราชันเร้นลับ 794 : การลงทุนระยะสั้น

Ink Stone_Fantasy

ใครบางคนอยากขายหุ้น? ไคลน์ทวนประโยคซ้ำ ไม่ได้ถามกลับไปทันที รอจนกระทั่งสาวใช้เดินเข้ามาวางถาดน้ำชายามบ่ายสามชั้นและกลับออกไป จากนั้นจึงค่อยยิ้ม


“มาดาม ทำไมคุณถึงไม่ซื้อเอง? แม้แต่คนตาบอดก็ยังทราบว่า อาณาจักรโลเอ็นกำลังมุ่งความสนใจไปที่สภาพอากาศ ดังนั้น บริษัทโคอิมซึ่งเชี่ยวชาญการผลิตแอนทราไซต์และถ่านหินคุณภาพสูง จะต้องมีอนาคตที่สดใสมาก มูลค่าบริษัทสามารถพุ่งขึ้นไปเป็นห้าแสนปอนด์ หรืออาจมากถึงหนึ่งล้านปอนด์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน… แน่นอน นั่นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า บริษัทยังคงรักษาอัตราการขยายตัวไว้ได้… ในสถานการณ์แบบนี้ หุ้นของบริษัทโคอิมจะทำกำไรอย่างแน่นอน ถ้าผมเป็นคุณ ต่อให้ต้องเป็นหนี้ท่วมหัว ก็จะซื้อเก็บไว้เองให้ได้”


แมรี่เหยียดสองนิ้ว หยิบแซนด์วิชแตงกวาจากชั้นล่างสุดของถาดสีเงิน กัดหนึ่งคำ เคี้ยวเชื่องช้า กลืนลงท้อง


จากนั้น เธอเรียบเรียงคำพูด


“นับตั้งแต่ร่างกฎหมายควบคุมสภาพอากาศคลอดออกมา บริษัทโคอิมได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้ถือหุ้นเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ … คุณเองก็คงทราบ พวกหิวเงินมักมีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมในด้านนี้ และมักมีคนใหญ่คนโตคอยอยู่เบื้องหลังเสมอ… ถ้าดิฉันไม่ใช่คณะกรรมการสืบสวนสภาพอากาศแห่งชาติ และอาศัยตำแหน่งดังกล่าวเข้าใกล้ขุนนางกับข้าราชการระดับสูงมากมาย ป่านนี้คงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากพวกมัน จำต้องขายหุ้นในราคาที่ค่อนข้างสูง ได้รับเงินก้อนโต และออกจากเวที… แต่ถึงจะมีตำแหน่งช่วยเกื้อหนุน แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น หุ้นจำนวนมากเริ่มหลั่งไหลมารวมกันในจุดจุดหนึ่งอย่างรวดเร็ว… ฉันใกล้จะสูญเสียตำแหน่งผู้ถือหุ้นใหญ่ กำลังจะสูญเสียอำนาจในการปกครองบริษัท… บริษัทโคอิมคือมรดกที่ท่านพ่อเหลือทิ้งไว้ ฉันไม่ต้องการให้มันเป็นของเล่นของใคร และหวังว่าบริษัทจะค่อยๆ ช่วยผลักดังกรุงเบ็คลันด์ หรือแม้กระทั่งอาณาจักรโลเอ็น ด้วยการผลิตแอนทราไซต์และถ่านหินคุณภาพสูง ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมสะอาด… หึหึ… ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่พยายาม ยอมลงทุนถึงขั้นนำอสังหาริมทรัพย์ไปจำนอง ทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อแอบซื้อหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์อย่างลับๆ และขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ไว้ใจได้ ช่วยจัดหาหุ้นให้อีกสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อรวมกับยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ดิฉันเคยมี ปัจจุบันจึงกำลังถือครองหุ้นทั้งหมดสี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์… จนกระทั่งไม่นานมานี้ ผู้ถือหุ้นเล็กๆ คนหนึ่งต้องการขายหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ที่เขาครอบครอง แต่ฉันและเพื่อนยังไม่มีเงินมากพอจะซื้อ”


สงครามทางการเงินสินะ… ไคลน์ที่คุ้นเคยกับการต่อสู้ของผู้วิเศษ เพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงเกิดความรู้สึกแปลกใหม่


ชายหนุ่มเหยียดแขน หยิบแซนด์วิชแฮมคุณภาพสูงจากชั้นล่างสุดของถาดสีเงินสามชั้น เคี้ยวพลางครุ่นคิดราวสิบวินาที


“ทำไมคุณถึงไม่เอาหุ้นของตัวเองไปจำนำก่อน?”


“สายไปแล้ว… อีกฝ่ายเสนอราคาเรียบร้อย พร้อมชำระเงินทุกเมื่อ” แมรี่เคี้ยวอาหารที่เหลือในมือ


ไคลน์เอนหลังพิงโซฟา กล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย


“แล้วทำไมคุณถึงมาหาผม?”


ได้ยินคำถามดังกล่าว แมรี่เผยสีหน้าโล่งใจ


“ประการแรก เนื่องจากเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเบ็คลันด์ คุณน่าจะมีเงินสดติดตัวเป็นจำนวนมาก ไม่ต้องกู้ยืมหรือจำนองทรัพย์สิน ประการที่สอง คุณยังไม่ได้ผูกมิตรหรือเป็นศัตรูกับใคร นี่คือข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี นั่นหมายถึง ดิฉันต้องไม่กังวลว่าคุณจะละเมิดข้อตกลงที่พวกเราทำสัญญากัน เพราะต่อให้คุณคิดจะทำ ก็คงเกิดความกังวลเมื่อต้องสู้กันในชั้นศาล… ประการที่สาม แม้ว่าเราเพิ่งเคยพบกันแค่ครั้งเดียว แต่ดิฉันเชื่อว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเฉลียวฉลาด”


เขินเหมือนกันแฮะ… แต่สิ่งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า การวางตัวของดอน·ดันเตสที่ผ่านมาไม่สูญเปล่า สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ขั้นต้นของการสร้างตัวตน เพราะอย่างน้อยทุกคนก็มองว่า สุภาพบุรุษวัยกลางคนรายนี้มีประสบการณ์และความสามารถ มีเงินสดในมือ เพียงแค่ยังไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไร… อา ตอนนี้เรามีเงินสดทั้งสิ้น 16,943 ปอนด์ รวมกับที่มิสเมจิกเชี่ยนติดค้างอีกห้าพันปอนด์ ไม่สิ หกพันปอนด์ เมื่อรวมกับสี่สิบแปดปอนด์ที่ได้จากมิสเตอร์ X… เราจะมีเงินสดทั้งสิ้น 22,991 ปอนด์และอีกห้าเหรียญทอง ถึงจะหัก 5,987 ปอนด์ที่กำลังติดค้างมิสผู้ส่งสารออกไป ด้วยเงินสดระดับนี้ เราคือเศรษฐีตัวจริงเสียงจริง… ผู้คนมากมายที่ครอบครองทรัพย์สินหลักหนึ่งแสนปอนด์ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ถือเงินสดไว้มากเท่าเรา… ไคลน์นั่งคำนวณเงินสด ซักถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม


“มาดาม คุณต้องการให้ผมทำอะไร?”


แมรี่จิบชาดำหนึ่งคำ ซักถามนุ่มนวล


“ซื้อหุ้นสามเปอร์เซ็นต์… แต่ก่อนหน้านั้น ดิฉันจะทำสัญญากับคุณสองฉบับ ฉบับแรกเป็นสัญญาที่ระบุว่า เมื่อผ่านไปสามเดือน คุณต้องขายหุ้นสามเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวกลับคืนมา โดยจะใช้การคำนวณราคาในจุดสูงสุด ณ ขณะนั้น ดิฉันจะเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายด้านภาษีให้ทั้งหมด… ฉบับที่สองจะเป็นสัญญา ‘ความร่วมมือ’ … ดิฉันจะแต่งตั้งให้คุณเป็นคณะกรรมการบริหารของบริษัทโคอิม ดื่มด่ำไปกับสิทธิประโยชน์มากมาย เฝ้ามองการเจริญเติบโตของบริษัท และช่วยให้คุณเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูงได้ง่ายขึ้น”


เท่าฟังดู เรามีแต่ได้กับได้… คล้ายกับเราเป็นฝ่ายให้เธอกู้เงิน มาดามแมรี่จะคืนเงินกลับมาพร้อมดอกเบี้ย แถมยังมอบโอกาสในการเข้าสังคมชนชั้นสูง… และเมื่อเทียบกับสัญญาการกู้ยืมตามปรกติ อย่างน้อยเราก็มีหุ้นของบริษัทคุณภาพสูงในมือ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะบิดพลิ้ว เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เธอยังเป็นแค่คนแปลกหน้า… อา สัญญาฉบับนี้นับว่าวิเศษมาก หากไม่เกิดปัญหาใดขึ้นกับบริษัทโคอิม… หึหึ นั่นคงเป็นเหตุผลที่ตั้งเราเป็นคณะกรรมการบริหาร… ไคลน์วิเคราะห์เงื่อนไขที่มาดามแมรี่มอบให้ เอนเอียงไปทางสนใจ


ตามความคิดของชายหนุ่ม ดอน·ดันเตสจำเป็นต้องสนใจในการลงทุน ไม่อย่างนั้นอาจตกเป็นเป้าสงสัย แต่ปัญหาคือ ตนควรเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมประเภทใด? นี่คือคำถามสำคัญที่ต้องขบคิดให้ดี เพราะดอน·ดันเตสคือบุคคลที่เตรียมจะทิ้งเบ็คลันด์ตลอดเวลา


เมื่อถึงตอนนั้น… เงินสดอาจนำติดตัวไปได้ แต่กับหุ้นคงหมดสิทธิ์ การลงทุนระยะสั้นของมาดามแมรี่จึงสอดคล้องกับจุดประสงค์ของเรา และบางที หุ้นตัวนี้อาจทำกำไรก้อนใหญ่… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก เผยรอยยิ้มอ่อนโยน


“การช่วยสุภาพสตรีแก้ปัญหาคืองานของผมอยู่แล้ว”


มาดามแมรี่เผยสีหน้าโล่งใจ ขณะเตรียมพูดบางสิ่ง เธอได้ยินดอน·ดันเตสกล่าวต่อ น้ำเสียงชวนให้หลงใหล


“แต่ว่า ผมมีนิสัยไม่ประมาทในทุกการลงทุน… คงต้องจ้างนักกฎหมายและทีมบัญชีขึ้นมาตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทโคอิมให้แน่ใจเสียก่อน เร่งหาข้อสรุปโดยเร็ว หากไม่มีปัญหา พวกเราจะได้ร่วมมือกัน”


นอกจากนั้น ผมจะทำนายยืนยันเพิ่มเติม… ไคลน์เสริมในใจ


“ไม่มีปัญหา” มาดามแมรี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดิฉันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวเอง”


ไคลน์ไม่ปฏิเสธ พยักหน้าและพูดต่อ


“หุ้นสามเปอร์เซ็นต์มีมูลค่ารวมเท่าไร?”


“ราคาประเมินอยู่ที่เก้าพันหกร้อยปอนด์ แต่ผู้ขายเชื่อว่า บริษัทโคอิมมีอนาคตไกล ราคาจึงควรจะไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์” มาดามแมรี่ลงลึกรายละเอียด


ฟู่ว… ไคลน์ยิ้มอย่างใจเย็น


“ตกลง”


ดอน·ดันเตสร่ำรวยอย่างที่คิด… มาดามแมรี่รำพัน ถือโอกาสชักชวน


“ดอน… ไม่ทราบว่า พรุ่งนี้คุณว่างแวะไปที่บริษัทโคอิมกับดิฉันไหม?”


“กำลังต้องการอยู่พอดี” ไคลน์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


ขณะเดียวกัน มันฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง : สามีของอดีตเจ้าของบ้าน สตาร์ลิ่ง·ซาร์เมอร์ น่าจะยังเป็นผู้จัดการอยู่ที่บริษัทโคอิม!


เจอคนรู้จักอีกแล้ว… แต่แปลกหน้าสำหรับดอน·ดันเตส… ไคลน์รำพันเจือความเศร้า



สองทุ่มตรง บนถนนขาเข้าเขตตะวันออก ผู้คนยังคงพลุกพล่าน ใบหน้าอิดโรยชัดเจน


เป็นเช่นนี้ไปจนถึงเกือบสี่ทุ่ม


เอ็มลิน·ไวท์เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดคนงานสีเทาน้ำเงิน สวมหมวกแก๊ป หลบซ่อนในตรอกมืดย่านสะพานเบ็คลันด์ คอยจับตามองกลุ่มชนชั้นล่างเดินผ่านไปผ่านมา


แม้ว่ามันจะไม่มีประสบการณ์การปลอมตัว แต่อย่างน้อยก็มีตาและสมอง เพียงสำรวจสักพัก เอ็มลินพบว่าการแต่งกายของตนมีปัญหา


จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อเทียบกับคนจนซึ่งมีเสื้อผ้าสกปรกและขาดรุ่งริ่ง ชุดทำงานที่เพิ่งซื้อในช่วงบ่ายทั้งใหม่และสะอาดเกินไป ดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างอย่างมาก


เอ็มลินครุ่นคิดสักพัก เดินกลับเข้าไปในตรอกมืด เหยียดนิ้วออกมา อาศัยภาพที่สังเกตเห็นจากคนอื่น กระชากเสื้อผ้าของตนในจุดที่ฉีกง่ายได้ง่าย


จากนั้น มันมองไปรอบตัว กล้ามเนื้อบนใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย


ด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน เอ็มลินเดินมาที่กำแพง หลับตาลง ถูไถเสื้อผ้าและกางเกงเข้ากับสิ่งสกปรก


กลิ่นเขม่า… กลิ่นเหม็นเน่า… กลิ่นขี้ กลิ่นเยี่ยว… เอ็มลินเหยียดฝ่ามือออก ปิดปาก แทบอาเจียนออกมา


ในวินาทีนี้ มันได้ตระหนักว่า การมีประสาทสัมผัสรับกลิ่นที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป


หลังจากจมอยู่กับความทุกข์สักพัก ในที่สุดเอ็มลินก็ปลอมตัวเสร็จ แม้แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่า


ด้วยสภาพดังกล่าว มันงอหลังเล็กน้อย เดิมตามฝูงชน ก้าวเข้าสู่เขตตะวันออกอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นที่เตะตา


ขณะเดิน เอ็มลินเริ่มพบปัญหา


นั่นก็คือ มันไม่รู้เส้นทาง!


มันไม่ทราบว่า ถนนหินปูนและถนนวาฬขาวตั้งอยู่แถวไหนในเขตตะวันออก ป้ายบอกทางส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายจนหมดสภาพ


ภารกิจลอบสังหารช่างวุ่นวาย… เอ็มลินพึมพำ เตรียมถามใครสักคนเพื่อขอเส้นทาง


หลังจากพยายามกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงถนนหินปูน สภาพถนนค่อนข้างคับแคบ อาคารสองฝั่งถนนอยู่ใกล้กันมาก แม้ในยามกลางวัน บรรยากาศยังค่อนข้างมืด ตกกลางคืนยิ่งน่ากลัวและสยองขวัญ แต่สำหรับผีดูดเลือด สภาพแวดล้อมเช่นนี้ค่อนข้างเป็นมิตร ปัญหาเดียวก็คือ สภาพแวดล้อมสกปรกและยุ่งเหยิงเกินไป


หลังจากฉีดสารกำจัดกลิ่น เอ็มลินเดินเข้าไปในอาคารหมายเลข 6 ตรงขึ้นชั้นสาม บีบจมูกและเดินไปทางห้องน้ำรวม จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องพักของอาร์กอส สาวกดวงจันทร์บรรพกาล


เอ็มลินเงี่ยหูฟัง คลายนิ้วที่กำลังบีบจมูกด้วยสีหน้าฉงน


ทันใดนั้น มันเกือบจะหมดสติไปเพราะกลิ่นเหม็นบรรลัยจากห้องน้ำรวม ต้องทำใจอยู่นาน กว่าจะหันมาจดจ่อสมาธิกับห้องพักของอาร์กอสได้อีกครั้ง


สัมผัสการดมกลิ่นได้บอกกับมันว่า ข้างในไม่มีใคร ไม่มีแม้กระทั่งซากศพ


ย้ายออกไปแล้ว? หรือยังไม่กลับมา? เอ็มลินพึมพำด้วยสีหน้างุนงง


มันคาดไม่ถึงว่า การล่าจะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


หลังจากสงบสติ เอ็มลินเดินออกจากอพาร์ตเมนต์ ตรงไปยังอาคารหมายเลข 19 ถนนวาฬขาว


ในคราวนี้ มันโล่งใจเมื่อพบว่า ภายในห้องมีคน และไม่ใช่ใครนอกจากกาลิส·เควิน


ทว่า เอ็มลินยังได้กลิ่นอีกหนึ่งคน คล้ายคลึงกับกลิ่นในห้องของอาร์กอสบนถนนหินปูนมาก


สองคน… ในห้องมีสองคน! อาร์กอสไม่อยู่บ้านเพราะมาหากาลิส·เควิน… ศัตรูสองคน… สีหน้าเอ็มลินพลันหม่นหมอง


หากเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง มันไม่กังวลเลยสักนิด แต่ถ้าเป็นสถานการณ์สองรุมหนึ่ง ถึงจะมีบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ เอ็มลินก็ยังค่อนข้างประหม่า เพราะท้ายที่สุด เป้าหมายคือแวมไพร์เทียมสองตน ฝีมือย่อมไม่ธรรมดา!


ราชันเร้นลับ 795 : ความอดทน

Ink Stone_Fantasy

ในฐานะผีดูดเลือดที่ชอบหมกตัวอยู่กับบ้าน จำนวนการต่อสู้ที่เอ็มลินเคยเข้าร่วมสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว แถมยังไม่เคยเผชิญหน้ากับการถูกรุม


ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับสาวกดวงจันทร์บรรพกาลเมื่อคราวก่อน การดิ้นรนขัดขืนบิชอปยูทรอฟสกี้จากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว เกือบทุกครั้งจะได้เปรียบด้านจำนวนเสมอ หรือก็คือ เอ็มลินเป็นประเภทที่ตัวต่อตัวไม่เก่ง


เมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่สมาชิกครอบครัวของมันสามคน พ่ายแพ้ในการต่อสู้กับบิชอปลูกครึ่งคนยักษ์ ใบหน้าเอ็มลินเริ่มดำมืด คล้ายกับหวนนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ต้องเผชิญภายในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


เนื่องจากอพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีคนพักอาศัยไม่มาก และกาลิส·เควินซึ่งเป็นแวมไพร์เทียม มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคม เอ็มลินจึงไม่กล้ายืนหน้าประตูนานเกินไป เลือกเดินไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตรงสุดท้ายเดิน


เราควรทำยังไงต่อ… เอ็มลินยืนพิงบางสิ่งที่กำลังบดบังแสงจันทร์สีแดงเข้ม ความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง พยายามหาวิธีบรรลุภารกิจจากประสบการณ์อันน้อยนิด


ทีละเล็กละน้อย คำพูดที่แฮงแมนเคยพร่ำสอนเดอะซันดังก้องในใจ


“ความอดทนเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์หลากหลายรูปแบบ… เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ในบางครั้งก็ต้องอดกลั้นจนถึงที่สุด”


ความอดกลั้น… เอ็มลินพยักหน้ากับตัวเอง เริ่มเข้าใจว่าตนควรทำอย่างไร


มันตั้งใจจะซ่อนตัวก่อน รอจนกระทั่งอาร์กอสออกมาจากห้อง!


นี่ไม่ใช่บ้านของแวมไพร์เทียมตนดังกล่าว ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องออกมา และเมื่อถึงเวลานั้น เอ็มลินจะมีโอกาสได้ดวลตัวต่อตัวกับกาลิส


อดทน… อดกลั้น… รออย่างใจเย็น… เอ็มลินย้ำคำพูดในใจ พยายามขจัดแรงกดดันที่สภาพแวดล้อมรอบตัวกระทำใส่


สภาพอากาศในชั้นที่หนึ่งของอพาร์ตเมนต์ กลิ่นปัสสาวะ กลิ่นน้ำเน่า กลิ่นอุจจาระไม่ราดน้ำ กลิ่นเขม่าจากการเผาถ่านหินคุณภาพต่ำ กลิ่นเหงื่อที่ไม่ได้อาบน้ำหลายวัน กลิ่นกายของผู้เช่าบางราย และกลิ่นเหม็นเปรี้ยวอีกนานับชนิด ทุกกลิ่นเหม็นเกินกว่าจะพรรณนา ชวนให้ขยะแขยง กัดกร่อนประสาทสัมผัสการดมกลิ่นของเอ็มลินที่เปรียบดังยาพิษ


เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เอ็มลินอยากเฉือนจมูกตัวเองทิ้ง ความรู้สึกคล้ายกับถูกทรมานในห้วงอเวจีและขุมนรก


อดทน… อดกลั้น… รอคอย… มันท่อง ‘คติพจน์’ จากจิตใต้สำนึก พบว่าทุกวินาทีช่างยาวนาน


ในที่สุด มันเห็นประตูห้องของกาลิส·เควินถูกเปิดออก บุคคลรูปร่างผอมบาง ผิวสีคล้ำ เดินออกมา โหนกแก้มค่อนข้างสูง ดั้งจมูกโด่งเป็นสัน ปลายจมูกงุ้มงอเล็กน้อย ไม่ใช่ใครนอกจากอาร์กอส สาวกของดวงจันทร์บรรพกาล


ใบหน้าของมันมีร่องรอยและคราบสกปรก ชวนให้ขยะแขยง


กะแล้วเชียว… เหมือนกับที่ ‘ตาแก่’ เอียนว่าไว้ เสื้อผ้าของพวกมันค่อนข้างสะอาดและมีสภาพดี แตกต่างจากชาวเขตตะวันตกทั่วไปโดยสิ้นเชิง… เอ็มลินเริ่มมีไฟ เฝ้ามองอาร์กอสเดินออกจากอพาร์ตเมนต์พลางพึมพำ


อดทนรอเกือบห้านาที มันยืนขึ้น ตัดสินใจลงมือ


เนื่องจากเป้าหมายของมัน กาลิส·เควินเป็นแวมไพร์เทียม เอ็มลินจึงทราบอีกฝ่ายมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ถนัดการต่อสู้แบบไหน ส่งผลให้เตรียมตัวรับมือได้อย่างเหมาะสม


ประสาทการดมกลิ่นของกาลิส·เควินไม่ด้อยไปกว่าเราในร่างโตเต็มวัย… ไม่สิ การที่มันทนอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมย่ำแย่เช่นนี้ได้เป็นเวลานาน บางที จมูกและสมองคงพังไปหมดแล้ว… นอกจากนั้น สัมผัสวิญญาณของมันค่อนข้างดี รวมถึงสัญชาตญาณในการหยั่งถึงอันตราย สายตาและหูก็ไม่เลว… เอ็มลินวิเคราะห์อีกฝ่าย ดื่มยา ฉีดพ่นของเหลวเพื่อกลบกลิ่นตัวอีกครั้ง ปกปิดไว้อย่างแนบเนียน


ถัดมา มันทำเหมือนกับคราวก่อน ใช้ยาวิเศษลบร่างกายและเสื้อผ้า หายไปกับความว่างเปล่าประหนึ่งถูกลบด้วยยางลบ


ในมุมที่มืดและเปลี่ยว สมุดบันทึกสีเขียวขี้ม้าขนาดเท่าฝ่ามือโผล่ออกจากความว่างเปล่า คล้ายกับแทรกตัวผ่านม่านล่องหน


สมุดบันทึกพลิกตัวเองโดยไม่เกิดสุ้มเสียง จนกระทั่งไปถึงหน้ากระดาษสีขาวที่อัดแน่นด้วยสัญลักษณ์เชิงโหราศาสตร์


เมื่อสัญลักษณ์หายไป สภาพแวดล้อมโดยรอบสว่างขึ้นเล็กน้อย


เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากพลังการแทรกแซง ‘ลางสังหรณ์’ ของโหราจารย์!


จากนั้น บันทึกการเดินทางของเลมาโน่ถูกเก็บกลับ ค่อยๆ หายไปทีละนิด ถูกปิดกั้นด้วยม่านล่องหนอีกครั้ง


เอ็มลินที่เตรียมตัวพร้อม นึกทบทวนแผนการเป็นครั้งสุดท้าย เริ่มขยับฝีเท้าด้วยความเงียบ ตรงมายังด้านนอกห้องพักของกาลิส·เควินอย่างไร้สุ้มเสียง แต่มิได้เข้าใกล้ประตูหน้า


สมุดบันทึกสีเขียวขี้ม้าปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าอีกครั้ง เล็งไปทางกำแพงห้อง


เสียงมายาพลันกังวานในห้วงความคิดเอ็มลิน มันรีบนำฝ่ามือ ‘แนบ’ ลงบนกำแพงและออกแรงผลัก


ขณะเดียวกัน เอ็มลินรีบสอดบันทึกการเดินทางของเลมาโน่เข้าไปในชายเสื้ออย่างระมัดระวัง คลุมทับด้วยเสื้อคลุมล่องหน


เมื่อกดฝ่ามือเข้าไปในกำแพง แสงสีฟ้าจางๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า บานประตูมายาเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างจนเสร็จสมบูรณ์บนผนัง แต่ด้านล่างประตูยังคงอิฐกำแพงตามเดิม


ตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวในห้องสักพัก สูดกลิ่นในอากาศ เอ็มลินก้าวไปข้างหน้า ผ่านประตูสีฟ้าจางๆ ที่คล้ายม่านน้ำ


ฉากตรงหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน มันเริ่มเห็นผนังเปรอะเปื้อน ทั้งสามด้านมีเตียงไม้ทรุดโทรมและของใช้จิปาถะวางเรียงราย


ไม่ผิดแน่ ที่นี่คือห้องพักของกาลิส·เควิน!


ในส่วนประตูสีฟ้าด้านหลังเอ็มลิน บานประตูเลือนหายไปสักพักแล้ว ประหนึ่งว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่


มองไปรอบตัวด้วยความระมัดระวัง เอ็มลินพบร่างของเป้าหมาย กาลิส·เควิน


สาวกดวงจันทร์บรรพกาลรายนี้เป็นพวกเลือดผสมที่หน้าตาดี ผมยาวประบ่า ดวงตาสีน้ำตาลแดง แต่ไม่เข้มมาก คล้ายกับไม่ได้สืบทอดสีดวงตามาจากผีดูดเลือดอย่างสมบูรณ์


ในเวลานี้ มันกำลังนั่งข้างเตียง จ้องไปทางประตู ไม่มีใครรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด


เอ็มลินเดินอ้อมไปด้านข้างโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เปิดใช้งานสมุดเวทมนตร์ในมุมอับสายตา หยุดลงที่หน้ากระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งทำให้ปลายนิ้วเกิดอาการชาเบาๆ


กระดาษแผ่นดังกล่าวมีสีน้ำตาลอมเหลือง สภาพคล้ายกระดาษหนัง เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และลวดลายเก่าแก่ อักขระเวทมนตร์เรียงตัวกันจนดูเหมือนต้นไม้เล็กๆ ที่กำลังแผ่กิ่งก้าน


ขยับข้อมือเล็กน้อย เอ็มลินตวัดนิ้วลงบนผิวกระดาษ


เพียงพริบตา แสงสีเงินพลันส่องสว่างภายในห้องประหนึ่งเวลากลางวัน


ยังไม่ทันที่เสียง ‘เปรี้ยะ’ จะดังขึ้น สายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงมายังกึ่งกลางศีรษะกาลิส·เควิน เปลี่ยนให้สาวกดวงจันทร์บรรพกาลรายนี้กลายเป็นตอตะโกทันที ร่างกายชักกระตุกรุนแรง ดวงตาเหม่อลอยกะทันหัน


ขณะอสรพิษสายฟ้ากำลังวิ่งพล่านอย่างโกลาหล ร่างของเอ็มลิน·ไวท์โผล่ขึ้นด้านหลังเป้าหมายที่กำลังตัวแข็งทื่อ มือขวาเหยียดออกพร้อมกับบีบคอศัตรูเต็มแรง


กร๊อบ!


มันหักกระดูกต้นคอของกาลิส·เควินอย่างเลือดเย็น กระชากศีรษะออกด้วยความอำมหิต ไม่ปล่อยโอกาสให้เหยื่อฟื้นตัวด้วยพลังการรักษาขั้นสูง


ร่างไร้วิญญาณทรุดลง


ตุ้บ!


ลำตัวที่ปราศจากเศียรของกาลิส·เควินตกลงบนพื้น โลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อน


แวมไพร์เทียมเสียชีวิตคาที่


สีหน้าอันเยือกเย็นของเอ็มลินพลันแปรเปลี่ยน มันก้มมองศีรษะในมือด้วยความตกตะลึง เชื่อว่ากาลิส·เควินคงตายไปโดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุ ความเจ็บปวดและสับสนปรากฏในดวงตาอย่างชัดเจน


ง่ายดายขนาดนี้เชียว? ง่ายเกินไปแล้ว… แม้ว่าเอ็มลินจะภูมิใจ แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าตนจะฆ่าแวมไพร์เทียมได้ง่ายดายเช่นนี้ แต่ความจริงก็คือความจริง แวมไพร์เทียมอาร์กอสตายไปอย่างง่ายดาย


สายฟ้าคงทำให้เหยื่อเป็นอัมพาต… ผนวกกับสมรรถภาพร่างกายและความเร็วของเรา การดับลมหายใจเป้าหมายจึงไม่ใช่เรื่องยาก… แต่หมอนี่คงแพ้ทางสายฟ้า เพราะโดนเพียงเล็กน้อยก็ตกอยู่ในอาการอัมพาตทันที นอกจากนั้น พลังโหราจารย์ยังคอยก่อกวนการหยั่งถึงอันตรายล่วงหน้า ช่วยให้เราลอบเข้ามาทางกำแพงอย่างง่ายดาย สิ่งนี้คือกุญแจสู่ความสำเร็จ… หลังจากยืนฉงนไม่กี่วินาที เอ็มลินเริ่มวิเคราะห์อย่างใจเย็น สรุปผลด้วยประสบการณ์อันโชกโชน


เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้มันตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของการจับคู่พลังวิเศษ รวมไปถึงคุณค่าที่แท้จริงของสมุดเวทมนตร์เลมาโน่


ไม่แปลกใจว่าทำไมมิสเตอร์แฮงแมนถึงอยากเช่าเป็นคนแรก…เอ็มลินขบคิด มองไปยังเลือดที่ไหลจากศพกาลิส·เควิน อดไม่ได้ที่จะขยับลูกกระเดือก


นานมากแล้วที่มันไม่ได้เห็นเลือดสดในระยะใกล้แบบนี้!


อย่างไรก็ตาม เอ็มลินไม่กล้าดื่ม เนื่องจากตะกอนพลังพิเศษของอีกฝ่ายยังไม่ควบแน่น มีบางสิ่งเจือปนเปื้อนอยู่ในเลือด การดื่มเข้าไปจะทำให้เกิดภาวะพลังพิเศษ ‘ล้น’ เสี่ยงต่อการเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ไม่มีประโยชน์กับภารกิจถัดไป


เอ็มลินถอนสายตากลับ มองไปรอบตัว พบกองหนังสือพิมพ์เก่าและกล่องไม้ใบเล็ก พอดีกับการใส่ศีรษะของกาลิส·เควินลงไป


แต่ก่อนหน้านั้น มันนั่งลง รอให้ตะกอนพลังพิเศษของอีกฝ่ายรวมตัว


สองนาทีถัดมา เอ็มลินเงยหน้าขึ้นกะทันหัน รีบมองไปทางประตู


มันได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา!


แทบจะในทันที เอ็มลินได้กลิ่นของอาร์กอส!


แวมไพร์เทียมตนนั้นกลับมาทำไม? เกิดเปลี่ยนใจกลางคัน? เอ็มลินประหม่าเล็กๆ ไม่แน่ใจว่าควรรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร


ก๊อก ก๊อก!


อาร์กอสด้านนอกเคาะประตู จากนั้นก็ไม่มีสุ้มเสียงใดดังขึ้นอีกเลย เงียบเป็นเป่าสาก


เอ็มลินสะดุ้งเล็กๆ เชื่อว่าอีกฝ่ายอาจได้กลิ่นเลือด จึงพบความผิดปรกติภายในห้อง


เราควรทำยังไง… พุ่งออกไปฆ่ามัน? ไม่ดีแน่ แบบนั้นจะทำให้ถูกพบตัว ลงเอยด้วยการถูกผู้วิเศษของทางการจับกุม… ด้วยสัญชาตญาณ เอ็มลินหยิบขวดยาออกมาถือ เตรียมซ่อนตัวอีกครั้ง


ทันใดนั้น มันผุดแนวคิดใหม่


หายใจเข้าเชื่องช้า เอ็มลินวางศีรษะของกาลิส·เควินไว้บนเตียง ดื่มยาล่องหน ฉีดพ่นของเหลวในทำนองเดียวกัน ค่อยๆ ขยับตัวไปทางมุมห้อง หลบซ่อนอย่างมิดชิด


ด้วยวิธีนี้ ภายในห้องจะดูคล้ายกับว่า การลอบสังหารเกิดขึ้นและจบลงแล้ว ฆาตกรหนีไปได้อย่างลอยนวล


ผ่านไปสักพัก บรรยากาศยังคงเงียบงันทั้งภายในและภายนอกห้อง ปราศจากสุ้มเสียง มีเพียงผู้เช่ารายอื่นๆ ที่เดินผ่านหน้าห้องเป็นครั้งคราว


ทันใดนั้น หน้าต่างของห้องกาลิส·เควินถูกเปิดแง้ม ดวงตาสองดวงจ้องมองเข้ามา


หลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบ อาร์กอสที่มีรอยตำหนิบนใบหน้า รีบกระโดดเข้ามาในห้อง ค่อยๆ เดินไปทางศพที่ตะกอนพลังยังไม่ควบแน่น


ณ มุมหนึ่ง เอ็มลิน·ไวท์ซึ่งกำลังซ่อนตัว อาศัยประโยชน์จากการที่อีกฝ่ายมิได้หันมามอง หยิบบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ด้วยความเงียบเชียบ เปิดไปที่หน้า ‘อสนีบาต’


ขณะเดียวกัน สายตาของอาร์กอสทอดลงบนเตียง จ้องไปทางศีรษะของพวกพ้อง จากนั้นก็เหลือบมองกองหนังสือพิมพ์เก่าและกล่องไม้ใบเล็ก


รูม่านตาของมันหดลีบกะทันหัน


ราชันเร้นลับ 796 : ค่อยๆ ชำนาญ

Ink Stone_Fantasy

ท่าไม่ดีแล้ว! เอ็มลิน·ไวท์มองตามการจ้องมองของอาร์กอส สังเกตเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าและกล่องไม้เล็กที่ตนลืมจัดการ


แม้ว่าทั้งสองสิ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของห้องนี้ แต่เมื่อครู่ กล่องไม้กับหนังสือพิมพ์อยู่ในตำแหน่งอื่น คล้ายกับพวกมันถูกนำมารวมกันในภายหลังจนดูผิดวิสัยอย่างมาก ราวกับใครบางคนต้องการกระทำบางสิ่ง ก่อนจะเปลี่ยนใจกลางคัน


ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงเปลี่ยนใจกลางคัน? เพราะถูกรบกวนโดยเสียงเคาะประตู? หมายความว่าฆาตกรยังไม่ออกจากห้อง แต่ยังซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง? ความคิดในทำนองเดียวกันแล่นผ่านสมองเอ็มลินและอาร์กอสโดยพร้อมเพรียง ทว่า ฝ่ายหนึ่งกำลังกระวนกระวายสุดขีด ส่วนอีกฝ่ายกำลังย้อนกระบวนการความคิดของผู้ลงมือ


ท่าไม่ดีแล้ว!


แวมไพร์สองตนตอบสนองในเวลาเดียวกัน อาร์กอสกระโจนไปด้านข้างพร้อมกับผุดควันสีดำที่ดูคล้ายปีกค้างคาว ในส่วนของเอ็มลิน·ไวท์ ปลายนิ้วของมันตวัดลงบนบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ในหน้าที่เปิดอยู่


เพียงพริบตา แสงสีเงินสว่างวาบไปทั่วห้องอีกครั้ง


สายฟ้าที่แตกแขนงพลาดการปะทะร่างอาร์กอส เพียงพุ่งตรงไปยังพื้นดินด้านข้างเตียง จากนั้นก็กระจัดกระจายกลายเป็นอสรพิษสายฟ้าตัวเล็กจำนวนมาก พุ่งเข้าหาวัตถุเหนี่ยวนำไฟฟ้ารอบๆ


ถึงตรงนี้ ปีกที่อาร์กอสสร้างด้วยควันดำกลายเป็นวัตถุเหนี่ยวนำสายฟ้า จึงถูกไล่ล่าโดยอสรพิษสายฟ้าและรับแรงกระแทกเข้าอย่างจัง กระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่างกาย


อาร์กอสเผชิญอาการชาหนึ่งวินาทีและล้มลงบนฟื้น ความพยายามในการกระโดดหนีล้มเหลว


เอ็มลินรีบพลิกหน้าบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ เลื่อนนิ้วไปที่แผ่นกระดาษ ‘อสนีบาต’ อีกหนึ่งใบ


แม้จะไม่ทราบว่าทำไมถึงมีพลังอสนีบาตถูกบันทึกไว้เยอะนัก จำนวนราวๆ ครึ่งหนึ่งของหน้ากระดาษหนังสีเหลืองอมน้ำตาล แต่เอ็มลินก็มิได้ถือสา ภายในใจมีเพียงความยินดีขณะลงมือใช้งาน


แสงสีเงินโผล่ขึ้นจากอากาศอันว่างเปล่า ฟาดใส่ร่างอาร์กอสขณะมันพยายามดิ้นรนให้หลุดจากอาการชาของสายฟ้าระลอกแรก ควันดำผุดขึ้นบนร่างกายอีกครั้ง ร่างกายสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม


ฉวยโอกาสดังกล่าว เอ็มลิน·ไวท์งอเข่า พุ่งเข้าหาอาร์กอสด้วยความเร็วที่น่าทึ่งจนเกิดเป็นภาพตกค้าง ตามด้วยการใช้แขนขวาคว้าศีรษะของเป้าหมาย หมุนตัวแผ่วเบาและไปโผล่ด้านหลังอย่างชำนาญ


กร๊อบ!


ศีรษะอาร์กอสถูกบิดมายังด้านหลัง!


ทว่า ดวงตาของมันพลันแดงก่ำ ใบหน้าที่เคยบวมพองและเป็นแผลเริ่มยุบกลับเข้าไป ความมืดมิดมายาพวยพุ่งออกจากภายใน


เอ็มลินไม่เข้าในสถานการณ์ตรงหน้า จึงรีบถอยหลังกลับและเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ


อาร์กอสไม่ได้ไล่ตาม ดวงตาคล้ายกับสูญเสียสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์ เหลือเพียงความอาฆาต บ้าคลั่ง และเหม่อลอย


มันยกสองมือขึ้น จับศีรษะตัวเองและหมุนกลับ คืนสู่สภาพเดิมพร้อมกับเสียง ‘กร๊อบ’ แหลมๆ


รอบตัวแวมไพร์เทียมตนนี้กำลังปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ประหนึ่งพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง


จากนั้น อาร์กอสยืดคอออกและแกว่งซ้ายทีขวาที ผิวกายเริ่มเน่าเปื่อยและบวมพอง เต็มไปด้วยหนองเหลืองอันน่าขยะแขยง


สำหรับวันนี้ มันแวะมาหากาลิส·เควินเพราะร่างกายเริ่มแสดงสัญญาณอาการคลุ้มคลั่ง ต้องการปรึกษาปัญหาและวิธีรับมือ โดยขณะกำลังจะกลับ มันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า อาจเป็นเพราะพวกตนอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหม็นอับและส่งผลเสียต่อประสาทการดมกลิ่น อาการของภาวะการคลุ้มคลั่งจึงยิ่งสั่งสม


และเมื่อครู่ ในวินาทีที่เฉียดใกล้เงามืดแห่งความตาย ภาวะคลุ้มคลั่งได้ถูกกระตุ้นโดยสมบูรณ์


เอ็มลินที่ถูกอาร์กอสจ้องมอง หัวใจพลันเต้นแรง พบว่าตนกำลังเผชิญวิกฤติร้ายแรงอีกหน อดไม่ได้ที่จะเกลียดชังเหล่าสาวกดวงจันทร์บรรพกาลที่ชอบแปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดเสียเหลือเกิน


เอ็มลินตัดสินใจยังไม่สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ประการแรก ให้ทำตอนนี้คงสายเกินไป เพราะศัตรูใกล้เปิดฉากโจมตีแล้ว ประการที่สอง ในสถานการณ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง เอ็มลินเชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องยากหากตนจะรับมือกับแวมไพร์ลำดับ 7 ที่คลุ้มคลั่ง


มันรีบพลิกบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ให้หยุดลงบนหน้ากระดาษ ‘อสนีบาต’ อีกครั้ง


เปรี้ยง!


สายฟ้าสีเงินเส้นใหญ่และหยักเป็นแฉก ฟาดลงมายังเบื้องล่างอย่างหนักหน่วง กระแทกร่างอาร์กอสที่กลายสภาพเป็นสัตว์ประหลาด


ในวินาทีดังกล่าว คล้ายกับสายฟ้าทำลายวังวนความมืด แต่ขณะเดียวกันก็ถูกกลืนกินเข้าไป ส่งผลให้พลังสองชนิดหักล้างและสลายหายไป เหลือเพียงอาร์กอสที่กำลังยืนจ้องเอ็มลิน


แวมไพร์เทียมที่ขาดสติโดยสมบูรณ์ เคลื่อนไหวร่างกายด้วยความเร็วสูงจนเกิดภาพตกค้าง พุ่งเข้าตะครุบเป้าหมาย


เอ็มลินย่อตัวลงและกลิ้ง รอดพ้นจากการโจมตีที่อาจถึงแก่ชีวิต


ขณะเดียวกัน มันนำมือขวาซึ่งไม่ได้จับสมุดเวทมนตร์ ล้วงเข้าไปในกระเป๋าและหยิบขวดโลหะ


ฟุ่บ!


อาร์กอสเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็มายืนหน้าศัตรู


เพล้ง! เอ็มลินที่ไม่มีเวลาบิดเกลียวเปิดฝา ใช้ปลายนิ้วหักฝาขวดออกทันที


จากนั้น มันโยนขวดไปข้างหน้า ส่งผลให้ของเหลวบริสุทธิ์และเปล่งประกายสาดใส่อาร์กอสที่กำลังกระโจนเข้าใส่


นี่คือ ‘น้ำมนตร์สุริยัน’ ที่มันผลิตขึ้นด้วยวัตถุวิญญาณ ถือเป็นของแสลงอย่างมากสำหรับแวมไพร์


สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ‘ศาสตราจารย์โอสถ’ จะแข็งแกร่งมากหากมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้า!


“อ๊าก!”


อาร์กอสซึ่งถูกน้ำมนต์สาดใส่ ส่งเสียงกรีดร้องทันที ควันดำพวยพุ่งจากผิวกายพร้อมกับเรี่ยวแรงที่หายไปกะทันหัน


เปรี้ยง! แม้ว่าการโจมตีจะโดนตัวเอ็มลิน แต่ก็ไม่รุนแรงนัก ทำได้แค่พังสมดุลร่างกายเล็กน้อย เอ็มลิ้นกลิ้งสองตลบอย่างปลอดภัย ปราศจากบาดแผลฉกรรจ์


ขณะกลิ้งตัว เอ็มลินไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตน เลือกที่จะสะบัดมือขวาซึ่งเจ็บแปลบเล็กๆ จากการถูกหยดน้ำมนต์สุริยันกระเซ็นใส่ พลางพลิกหน้ากระดาษของสมุดเวทมนตร์เลมาโน่


เปรี้ยง!


สายฟ้าฟาดลงมาอีกครั้ง เสียงกรีดร้องของอาร์กอสพลันขาดห้วง


ราวกับว่า แวมไพร์เทียมคลุ้มคลั่งตนนี้กำลังทุกข์ทรมานจากการถูกน้ำมนต์สุริยันแผดเผาในระยะประชิด ร่างกายครึ่งซีกตกอยู่ในอาการเหน็บชาอย่างรุนแรง


เอ็มลินไม่ปล่อยโอกาสหลุดลอย ล้วงหยิบน้ำมนต์สุริยันออกมาอีกหนึ่งขวด คลายเกลียวฝาและสาดไปด้านหน้า


ในคราวนี้ อาร์กอสไม่แม้แต่จะกรีดร้อง ร่างกายมีสภาพคล้ายเทียนไขที่กำลังหลอมละลาย


เอ็มลินซึ่งกำลังโล่งใจ รีบสร้างกลุ่มค้างคาวขนาดเท่าฝ่ามือด้วยควันสีดำเข้ม สั่งให้พวกมันกรูเข้าใส่เป้าหมาย


ค้างคาวสีดำปกคลุมร่างกายอาร์กอสโดยสมบูรณ์เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะแยกตัวออก บินกลับมาหาเอ็มลินและสลายไป


ร่างกายอาร์กอสหดเกร็งอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งทนไม่ไหวอีกต่อไป ล้มลงในสภาพกึ่งหลอมละลาย


เอ็มลินยกมือขวาขึ้นเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บที่ยังหลงเหลือ พบบาดแผลสึกกร่อนหลายแห่งบนฝ่ามือและปลายนิ้ว


อย่างไรก็ตาม เนื้อหนังของมันเริ่มยุบพองและรักษาตัวเองอย่างรวดเร็ว


จบสักที… เราฆ่ามันได้แล้ว… เอ็มลินถอนสายตากลับ มองไปยังร่างของอาร์กอสด้วยความประหลาดใจ


แม้ว่าการล่าในครั้งนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมาย แต่ระหว่างภารกิจ มันแทบไม่ได้เผชิญอันตรายถึงชีวิต เรื่องนี้ทำให้เอ็มลินตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของชุมนุมทาโรต์ พบว่าองค์กรลับแห่งนี้แข็งแกร่งกว่าจินตนาการของตนมาก


หากอาร์กอสตรวจสอบศพของกาลิส·เควินก่อนที่จะสังเกตเห็นหนังสือพิมพ์และลังไม้ มันคงทราบทันทีว่าฆาตกรมีพลังพิเศษในขอบเขตสายฟ้า และจะไม่มีทางใช้ ‘ปีกแห่งความมืด’ ในการหนี รอดพ้นจากการถูกสายฟ้าตามติด…


แต่ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็จะไม่พบความผิดปรกติเกี่ยวกับกล่องไม้และกองหนังสือพิมพ์ ไม่ทราบว่าฆาตกรยังคงซ่อนตัวอยู่ในห้อง ทำให้หลบหลีก ‘อสนีบาต’ ของเราไม่พ้น และเหตุการณ์ทั้งหมดก็จะดำเนินไปอย่างง่ายดาย…


จากมุมมองดังกล่าว ไม่ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางไหน ตราบเท่าที่เราไม่สร้างข้อผิดพลาดขึ้นเอง การฆ่ามันก็จะสำเร็จแน่นอน… พวกมันช่างอ่อนแอ… ขณะเดียวกัน เราก็แข็งแกร่งขึ้นมาก…


เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านบรรพบุรุษถึงแนะนำให้เราเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์… องค์กรนี้มีเพื่อรับมือกับวันสิ้นโลก มีเพื่อรักษาแต่ละเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดปลอดภัย แข็งแกร่งกว่าองค์กรลับอื่นๆ ไม่รู้ตั้งกี่เท่า! เอ็มลินเชิดคางเล็กน้อย มุมปากยกโค้งอย่างมิอาจควบคุม


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกประตู แต่ไม่มีใครเข้ามาใกล้


เสียงร้องของอาร์กอสคงทำให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงตกใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวปัญหา… แต่ถึงอย่างนั้น ต้องมีใครสักคนแจ้งตำรวจแน่… เราต้องรีบเก็บกวาดจุดเกิดเหตุและหนีไป… เอ็มลินจ้องหน้าประตู เดินไปทางศพของกาลิส·เควิน หยิบวัตถุขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาจากกองเลือด


วัตถุชนิดนี้มีสีแดงสดโดยสมบูรณ์ ลักษณะคล้ายหัวใจที่กำลังยุบพองตัวแผ่วเบา พื้นผิวโปร่งแสง ด้านในมีของเหลวจางๆ ไหลเวียน แน่นอน มันคือตะกอนพลังของลำดับ 7 ‘แวมไพร์’ แห่งเส้นทางนักปรุงยา


นี่คือถ้วยรางวัลของเรา… เอ็มลินพยายามสลัดอาการขยะแขยง หลังจากห่อศีรษะกับตะกอนพลังของกาลิส·เควินด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าเสร็จเรียบร้อย มันนำไปยัดไว้ในกล่องไม้


และเมื่อวางกล่องไม้ลงด้านข้างลำตัว เอ็มลินกระชากศีรษะอาร์กอสซึ่งแทบไม่เหลือเค้าเดิมออกจากศพ ตามด้วยการหยิบยาวิเศษอีกขวดและโปรยไว้ทั่วห้อง


ระหว่างลงมือ เอ็มลินมิได้เผยท่าทีกระวนกระวาย คล้ายกับไม่กังวลเรื่องที่ผู้วิเศษทางการของเขตตะวันออกจะรุดมาถึงจุดเกิดเหตุ


ถัดมาไม่กี่วินาที มันหยิบตะกอนพลังที่ปนเปื้อนของอาร์กอสขึ้น มองไปยังพื้นผิวสีดำและมีลวดลายคล้ายใบหน้ามนุษย์ พลางเสกกลุ่มควันสีดำขึ้นมาจากด้านหลังของตน


กลุ่มควันสีดำแปรสภาพเป็นค้างคาวตัวเล็กจำนวนมาก บินแยกย้ายไปทั่วห้อง ผสมผสานเข้ากับยาวิเศษที่ฉีดพ่นก่อนหน้า กลายเป็นเปลวไฟสีดำที่ค่อยๆ ลุกไหม้อย่างเงียบงัน


เปลวไฟสีดำแผดเผาเลือด ศพ และร่องรอยฟ้าผ่าจนเกลี้ยง เหลืองทิ้งไว้เพียงชั้นของเหลวหนาๆ คล้ายยางมะตอยตามจุดต่างๆ


ไม่กี่อึดใจถัดมา ของเหลวเหล่านี้กลายร่างเป็นค้างคาวดำตัวใหญ่และบินกลับมาหาเอ็มลิน


เอ็มลินไม่ได้คาดหวังว่าตนจะทำลายร่องรอยทั้งหมดทิ้งโดยสมบูรณ์ แต่ต้องการทำให้จุดเกิดเหตุเป็นปรกติมากที่สุด ตำรวจหรือผู้วิเศษที่มาตรวจสอบจะได้มองเป็นเพียงคดีเล็ก ไม่สลักสำคัญ สืบสวนลวกๆ และพับเก็บคดีเข้าไปในแฟ้มเอกสาร ไม่นำกลับมาสนใจอีก


จัดการทั้งหมดเรียบร้อย เอ็มลินในสภาพสวมหมวกแก๊ปและใบหน้าเปื้อนถ่าน ยกกล่องไม้พลางมองไปรอบตัว


ถัดมา มันโค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อคำนับดวงจันทร์สีแดงด้านนอก


ขณะเดียวกันก็พลิกบันทึกการเดินทางเลมาโน่ไปยังหน้า ‘เทเลพอร์ต’


ร่างของเอ็มลินที่ผสานเข้ากับค้างคาวตัวใหญ่รอบๆ พลันโปร่งใสและเลือนหายไปจากจุดเกิดเหตุ


หลังจากผ่านไปเกือบสิบห้านาที ตำรวจสองสามคนจากเขตตะวันเดินทางมาถึงอพาร์ตเมนต์ พังประตูห้องเข้าไป แต่ก็ไม่พบใครทั้งสิ้น ไม่แม้แต่ศพ


พวกมันอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน จ้องไปทางพยานในที่เกิดเหตุและโน้มน้าวแกมบังคับให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเองเห็นภาพหลอน ปิดคดีลงแต่เพียงเท่านี้


นี่คือรูปแบบการทำงานตามปรกติของตำรวจในเขตตะวันออก



หลังจากพ้นเขตตะวันออก เอ็มลินตรงกลับบ้านทันทีและนำบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ไปซ่อน จากนั้นก็นำศีรษะแวมไพร์เทียมที่ตนรวบรวมมาได้ พกติดตัวไปยังบ้านของโอดราในเขตตะวันตก


มันเตรียมประกาศชัยชนะและรับรางวัล!


ราชันเร้นลับ 797 : รางวัล

Ink Stone_Fantasy

ภายในคฤหาสน์ตระกูลโอดรา เอ็มลินได้พบกับคาซีมีที่เป็นบารอนเหมือนกับตน


ผีดูดเลือดเจ้าของใบหน้าคล้ายกับกำลังอยู่ในวัยที่ดีที่สุดของชีวิต งานของมันคือการเป็นปากเสียงให้นีบาส·โอดรา


เราเองก็เป็นบารอนเหมือนกัน แถมยังใช้เวลาไม่นานในการโตเต็มวัย… เอ็มลินรำพัน ลุกขึ้นยืนจากโซฟาในห้องรับแขกและทำความเคารพอีกฝ่าย


“สายัณห์สวัสดิ์ ท่านลอร์ดบารอน”


ขณะคาซีมีเตรียมกล่าวบางสิ่ง จมูกของมันฟุดฟิดพร้อมกับทอดสายตาไปยังกล่องไม้ที่เอ็มลินวางไว้ข้างฝ่าเท้า


“กลิ่นเลือด?”


ขณะกำลังฉงน คล้ายกับมันฉุกคิดบางอย่าง จึงกล่าวหลังจากไตร่ตรอง


“ล่าเป้าหมายได้อีกรายแล้ว?”


เอ็มลินยกมุมปากขึ้น ยิ้มและส่ายหน้า


“ไม่ใช่”


ก่อนที่คาซีมีจะได้ถามคำใด มันยิ้มลึกกว่าเดิมและอธิบาย


“ไม่ใช่รายเดียว แต่เป็นสอง”


สอง? คาซีมี สุภาพบุรุษวัยกลางคนถึงกับผงะ นั่งจ้องเอ็มลินโน้มตัวลงยกกล่องไม้ขึ้นมาเปิดฝา


ระหว่างดำเนินการ กล้ามเนื้อใบหน้าเอ็มลินกระตุกแผ่วเบา เนื่องจากเผลอนำบาดแผลบนมือขวาไปสัมผัสกับกล่อง


มันมิได้แสดงออก เพียงหย่อนแขนลงเล็กน้อย เอียงกล่องไม้ไปด้านหน้าและเปิดฝาออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน


ศีรษะชุ่มเลือดและมีรอยไหม้สองหัว ถูกซุกอยู่ในกล่องโดยมีกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าห่อไว้ ใกล้กันมีวัตถุสองชิ้นคล้ายหัวใจวางอยู่ ดวงหนึ่งมีสีแดงสด อีกดวงหนึ่งมีสีแดงเข้มจนเกือบดำ


ฉากอันน่าดึงดูดทำให้คาซีมีไม่ละสายตาไปไหน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ จ้องเอ็มลินและถามตรงไปตรงมา


“ฝีมือเจ้าหรือ?”


แม้ว่ามันจะยืนยันได้แค่ศีรษะของกาลิส·เควิน แต่ตะกอนพลังพิเศษของ ‘แวมไพร์’ ทั้งสองดวงไม่สามารถปลอมแปลงกันได้!


เอ็มลินวางกล่องไม้ลง ลดมือขวาอย่างเป็นธรรมชาติและนำไปถูกับชายกางเกงเบาๆ ตอบด้วยรอยยิ้ม


“แน่นอน… เรื่องราวเป็นเช่นนี้… หลังจากข้าได้รับรางวัลเจ็ดพันปอนด์ในคราวก่อน ข้าซื้อ ‘มรดก’ ของบารอนตนหนึ่งมาจากชุมนุมลับ จากนั้นก็เลื่อนลำดับ… อันที่จริง ข้าไม่อยากเสียเงินให้กับคนที่ฆ่าพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดสักเท่าไร แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ ‘มรดก’ ชิ้นนี้ต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่น และเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ขายอาจไม่ใช่คนฆ่าเสมอไป”


เอ็มลินใช้โอกาสนี้ในการเปิดเผยเรื่องที่ตนกลายเป็น ‘บารอน’ แถมยังไม่มีคำพูดใดโกหก


นี่คือทักษะที่มันเรียนมาจากชุมนุมทาโรต์


ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นบารอน… คิดว่าเจ้าที่มักจะขอซื้อวัตถุวิญญาณ ชอบยืมหนังสือเกี่ยวกับการปรุงโอสถ จะปกปิดความจริงจากสายตาพวกเราได้หรือ? หากมิใช่เพราะมีปัจจัยหลายๆ อย่างบ่งชี้ พวกเราคงตั้งคำถามกับเจ้านานแล้ว… แต่ที่ข้าประหลาดใจก็คือฝีมือในการต่อสู้ เจ้าไม่ได้พกสมบัติวิเศษด้วยซ้ำ เป็นแค่เด็กหนุ่มคลั่งตุ๊กตา ถึงจะอยู่ในลำดับบารอน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะล่าแวมไพร์เทียมสองตนและหลบหนีออกมาได้อย่างราบรื่น… แม้แต่ข้า หากไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าและสืบข้อมูลเป็นอย่างดี เกรงว่าโอกาสสำเร็จก็คงไม่สูงนัก… ในขณะที่ทุกคนไม่ทันสังเกต เอ็มลินเติบโตขนาดนี้เชียว? คาซีมี·โอดรารำพันเงียบ เผยรอยยิ้มและกล่าว


“แบบนี้นี่เอง… เอ็มลิน แล้วเจ้าจะปิดบังทำไม? ไม่อยากได้รับเกียรติในฐานะบารอนและถูกพี่น้องเรียกว่า ‘ลอร์ด’ หรือ?”


เอ็มลินชำเลืองใบหน้าผีดูดเลือดฝั่งตรงข้าม เชิดคางเล็กน้อย


“ข้ากำลังจะบอกทุกคน แต่เนื่องจากมีการแข่ง ‘ล่า’ เกิดขึ้นเสียก่อน จึงอยากทำให้ทุกคนประหลาดใจ… คาซีมี ตอนนี้ข้าจัดการสาวกดวงจันทร์บรรพกาลไปสามคนแล้ว และเนื่องจากเป้าหมายมีเพียงห้าราย หมายความว่าข้าชนะแล้วใช่ไหม?”


มันแทบรอไม่ไหวที่จะเปลี่ยนคำเรียกจาก ‘ลอร์ดบารอน’ เป็น ‘คาซีมี’


เปลือกตาคาซีมีกระตุกแผ่วเบา หัวเราะในลำคอขณะตอบ


“ถูกต้อง เจ้าไม่ต้องล่าอีกแล้ว สำหรับเป้าหมายอีกสองคนที่เหลือ ปล่อยให้รุส·บาโธรีและคนอื่นๆ จัดการแทน อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีสิทธิ์ได้รับรางวัลปลอบใจ”


กล่าวจบ คาซีมีรู้สึกว่าน้ำเสียงของตนเย็นชาไปสักนิด จึงถามด้วยความกังวล


“เจ้าบาดเจ็บหรือ?”


“นิดหน่อย” เอ็มลินยกแขนขวาขึ้น กางนิ้วออก


ด้วยความสัตย์จริง ในการล่าเมื่อครู่ สิ่งที่มอบความเจ็บปวดให้เอ็มลินได้มากที่สุด เกิดขึ้นหลังจากหนีพ้นเขตตะวันออกมาด้วย ‘เทเลพอร์ต’ เพราะต้องฉีกหนังของตัวเองเพื่อป้ายเลือดลงบนหน้าปกบันทึกการเดินทางของเลมาโน่


คาซีมีไม่สานต่อหัวข้อเดิม ครุ่นคิดสองสามวินาที


“ขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นผู้ชนะในการแข่งล่าครั้งนี้ เจ้าจะได้รับรางวัลสองชิ้น… ชิ้นแรกคือโอกาสในการเป็นไวเคาต์ รายชื่อของเจ้าจะถูกเสนอให้อยู่ในกลุ่มแรกที่มีสิทธิ์ รอรับความช่วยด้านพิธีกรรมโดยไม่ต้องเสียเงิน… ชิ้นที่สอง เจ้าจะได้รับสมบัติวิเศษซึ่งเป็นของเก่าแก่ สิ่งนั้นคือแหวนที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง แม้จะปราศจากพลังเทพ แต่ก็แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยความลึกลับ เนื่องจากท่านบรรพบุรุษมิได้ตั้งชื่อ พวกเราจึงเรียกมันว่า ‘แหวนลิลิธ’ … และนอกจากนั้น เหมือนเช่นเคย ตะกอนพลังทั้งสองจะตกเป็นของตระกูลผีดูดเลือด ส่งผลให้มีเด็กแรกเกิดเพิ่มขึ้นอีกสองตน และเจ้าจะได้รับเงินสดสามพันปอนด์ตอบแทน”


แหวนที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นด้วยตัวเอง… แม้ว่าเอ็มลินจะผิดหวังที่รางวัลของผู้ชนะไม่ใช่ตะกอนพลัง ‘ไวเคาต์’ โดยตรง เป็นเพียงโอกาสในการประกอบพิธีกรรม แต่เมื่อผนวกกับแหวนที่บรรพบุรุษอย่างลิลิธสร้างขึ้น รางวัลในคราวนี้ดูคุ้มค่าทันที


สำหรับตระกูลผีดูดเลือดที่มีความภาคภูมิใจในเผ่าพันธุ์ สิ่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศขั้นสูงสุด!


เมื่อความยินดีเริ่มจางลง เอ็มลินที่เคยเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์หลายครั้งและล่าเหยื่อสำเร็จมาแล้วสองหน เริ่มฉุกคิดว่าเรื่องราวอาจมิได้ราบรื่นเช่นนั้น


เราถูกท่านบรรพบุรุษส่งไปหามิสเตอร์ฟูล และตอนนี้ก็ได้รับแหวนของพระองค์มาหนึ่งวง… เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงหรือ? เอ็มลินครุ่นคิดเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่พบคำตอบ ทำได้เพียงรอสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลเพื่อปรึกษา เล่าเรื่องราวทั้งหมดและรอฟังคำแนะนำ


เมื่อเห็นความสุขบนใบหน้าเอ็มลินจางลงและไม่พูดอะไรนานหลายสิบวินาที คาซีมีกระแอมในลำคอ


“แหวนและเงินสดจะถูกมอบให้เจ้าในคืนพรุ่งนี้… เมื่อถึงเวลา ข้าจะเรียกรุส·บาโธรีและคนที่เหลือมารวมตัว ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเจ้าได้รับชัยชนะในการแข่งล่า จากนั้นจึงค่อยมอบแหวน”


“ไม่มีปัญหา” แม้เอ็มลินจะขาดประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้ แต่ก็พอจะทราบว่า ‘รางวัล’ คือสิ่งที่ไม่สามารถมอบให้กันอย่างลับๆ จะต้องกระทำอย่างโปร่งใสต่อหน้าผู้เข้าแข่งทุกคน


โดยไม่มัวแช่อยู่นาน เอ็มลินกล่าวคำอำลาและออกจากคฤหาสน์ตระกูลโอดรา โบกรถม้าเช่าในละแวกใกล้เคียง


ภายในรถม้าที่แล่นไปบนถนนด้วยความเร็วต่ำ เอ็มลินแหงนมองดวงจันทร์สีแดงเข้มที่กำลังลอยบนท้องฟ้าอย่างเงียบงัน จิตใจสงบลงหลายส่วน จึงนึกทบทวนรายละเอียดที่เกิดขึ้น ตกผลึกเป็นประสบการณ์และบทเรียนมากมาย


จนกระทั่ง มันคำนวณว่าตนต้องบันทึกพลังพิเศษลงในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่เป็นจำนวนเท่าใด


เราใช้อสนีบาตไปห้าครั้ง… เทเลพอร์ตหนึ่งครั้ง เปิดประตูหนึ่งครั้ง โหราศาสตร์อีกหนึ่งครั้ง… รวมทั้งสิ้นแปดครั้ง นอกจากนั้นยังต้องเพิ่มเข้าไปอีกสอง รวมเป็นสิบครั้ง… ยุ่งยากเอาเรื่อง เพราะพลังพิเศษบางชนิดของเราไม่สามารถบันทึกลงไปได้ ยกตัวอย่างเช่น พลังในการฟื้นฟูร่างกาย… คงต้องบันทึกบางทักษะซ้ำลงไป… อา… รอให้ได้แหวนของบรรพบุรุษก่อน อาจมีพลังพิเศษของแหวนให้บันทึก



แหวนลิลิธ? เหนือสายหมอกสีเทา ท่ามกลางพระราชวังที่คล้ายกับถิ่นพำนักของคนยักษ์ ไคลน์กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงประจำตำแหน่งเดอะฟูล ครุ่นคิดเกี่ยวกับเนื้อหาการสวดวิงวอนของเอ็มลิน·ไวท์


เดิมที มันนึกว่าการที่ตนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะแวมไพร์ที่ขาดประสบการณ์ต่อสู้กำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่ใครจะไปคิดว่า เอ็มลินจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพด้วยตัวเองก่อนห้าทุ่ม แม้กระทั่ง ‘ส่งงาน’ เสร็จเรียบร้อย


เป็นเพราะวิวรณ์ของเทพบรรพกาลตนดังกล่าว เอ็มลินจึงสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล… และตอนนี้เขาก็ได้รับแหวนจากลิลิธ… ไม่ว่าลิลิธจะเป็นใคร ดูเหมือนว่าเราต้องระวังตัวเอาไว้ คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงให้ดี… ไคลน์ครุ่นคิดสองสามวินาที ก่อนจะตอบสนองคำสวดวิงวอนของเอ็มลินด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกแต่สุขุม


“ทุกครั้งที่สวดวิงวอนถึงเรา หรือกระทั่งในยามเข้าร่วมชุมนุม จงอย่างลืมถอดแหวนวงนั้นออกก่อน”


หลังจากอธิบายจบ ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปลุกกลางดึกอีกต่อไป หลับยาวไปจนถึงรุ่งสาง


กินข้าวเช้าเสร็จ มันพักต่ออีกสักนิด รอจนกระทั่งครูสอนมารยาท วาฮาน่า มาถึงคฤหาสน์ คาบเรียนในวันนี้จะเกี่ยวกับการจัดงานเลี้ยงเต้นรำที่จะมีขึ้น ณ บ้านของตนในวันหยุดสุดสัปดาห์


เส้นผมสีดำของวาฮาน่ากำลังโบกสะบัดไปพร้อมกับกระโปรงเดรส จุดประสงค์ของเธอคือการทำให้ดอน·ดันเตสคุ้นเคยกับการเต้นรำเปิดงานและกระบวนการที่เกี่ยวข้อง


ท่ามกลางท่วงท่าที่เบาสบาย ครูสอนมารยาทหาโอกาสพูด


“ดิฉันได้ยินว่า มาดามแมรี่มาเยี่ยมคุณเมื่อวานตอนบ่าย?”


“ใช่ครับ” ไคลน์แอบถอนหายใจและรำพันว่า ไม่มีความลับในถนนบล็อกนี้เลยหรือ? แต่ภายนอกพยักหน้าตอบรับอย่างสุขุม


วาฮาน่าผงกศีรษะเล็กน้อย เงียบงันสองสามวินาทีจึงพูดต่อ


“ดิฉันได้ยินมาว่า มาดามแมรี่นำหุ้นทั้งหมดของตัวเองไปจำนำกับธนาคารเพื่อกู้เงินก้อนโต”


เป็นคำเตือนให้เราคอยระวังว่า อย่าได้ตกหลุมพรางการต้มตุ๋น… ความช่วยเหลือที่เรามอบให้ก่อนหน้านี้ ไม่เพียงจะทำให้เข้าสู่แวดวงชนชั้นสูงของถนนเบิร์คลุนง่ายขึ้น แต่ยังคอยมอบคำแนะนำในด้านอื่นๆ เป็นระยะ… อย่างไรก็ตาม การที่มาดามแมรี่นำหุ้นไปจำนำ จุดประสงค์ก็เพื่อจะเพิ่มจำนวนหุ้นในมือด้วยวิธีที่ปลอดภัย… ไคลน์ฟังอย่างเงียบงัน เผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะตอบ


“ขอบคุณครับ”


มันเว้นวรรคก่อนจะเสริม


“แต่ละสาขาอาชีพนั้นมีธรรมชาติและอุปนิสัยที่แตกต่างกัน สำหรับแวดวงธุรกิจ กฎเหล็กข้อแรกคือความไม่ประมาท… ผมได้บอกให้วอลเตอร์จ้างทนายความและทีมนักบัญชีเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด สืบสวนเกี่ยวกับบริษัทเป้าหมาย และมอบทางออกที่ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของผมได้อย่างรัดกุมที่สุด รวมไปถึงการลดหย่อนภาษี… จนกว่าจะได้รับรายงาน ผมจะไม่ตัดสินใจใดๆ”


วาฮาน่าหันศีรษะมาครึ่งหนึ่ง จ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มของดอน·ดันเตสและยิ้มกึ่งถอนหายใจ


“ฉลาดสมคำร่ำลือ”


ไคลน์อยากจะตอบว่า ‘แค่นี้นับว่าธรรมดามาก’ แต่ทันใดนั้นพลันฉุกคิดได้ สามีของวาฮาน่าเคยถูกโกงผ้ามาก่อน และฝ่ายที่ช่วยทำให้ขาดทุนน้อยลงก็คือตน การตอบออกไปเช่นนั้นอาจทำให้วาฮาน่านำไปเชื่อมโยงกัน จนเกิดเป็นความเข้าใจผิดคิดว่าเราดูแคลน มันจึงเปลี่ยนคำตอบพลางหัวเราะในลำคอ


“ปัญญาของผมเกิดจากบทเรียนที่ได้รับในอดีต”


“นึกภาพคุณถูกหลอกไม่ออกจริงๆ” วาฮาน่าก้มศีรษะลงและยิ้ม “และคงเป็นเพราะคุณมีประสบการณ์มากมาย จึงสามารถชื่นชมเสน่ห์ที่แตกต่างกันของสตรีในแต่ละช่วงอายุ?”


ข่าวลือบัดซบนี่… เมื่อไรจะหายไปเสียที… ไคลน์ยิ้มอย่างจนปัญญา


“ดอกไม้ทุกดอก งดงามในตัวเองเสมอ”


เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับขั้นตอนการจัดงานเลี้ยงเต้นรำ ไคลน์เดินมาส่งวาฮาน่ากลับ จากนั้นก็ออกเดินทางไปพร้อมกับริชาร์ดสัน เป้าหมายคือที่ทำการบริษัทโคอิมในเขตเชอร์วู้ด ตามคำเชิญของมาดามแมรี่เมื่อวาน


ราชันเร้นลับ 798 : กลับมาเยือน

Ink Stone_Fantasy

เขตเชอร์วู้ด ด้านนอกบริษัทโคอิม


เมื่อก้าวลงจากรถม้าและเหลียวซ้ายแลขวา ไคลน์ได้รับความรู้สึกอันคุ้นเคยอีกครั้ง


อันที่จริง มันไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับละแวกนี้ ชายหนุ่มทราบว่าฝั่งตรงข้ามคือห้างสรรพสินค้าการ์ดเล่ย์ซึ่งชนชั้นกลางชื่นชอบ และทราบว่ามีร้านขายพายเดซีย์รสเด็ดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล


ครั้งหนึ่ง ไคลน์เคยทำลับๆ ล่อแถวนี้เพื่อคอยจับตามองโดรัค·เกเลอร์ จากนั้นก็สะกดรอยตามและหาเบาะแสชู้สาวของอีกฝ่าย!


ถอนสายตากลับ ไคลน์พาริชาร์ดสันเดินไปยังทางเข้าบริษัทโคอิมซึ่งมีมาดามแมรี่และสาวใช้ส่วนตัวรออยู่


ในอาณาจักรโลเอ็นที่ค่อนข้างหัวโบราณ สาวใช้ส่วนตัวของสุภาพสตรีต้องเป็นเพศเดียวกัน ไม่อย่างนั้นจะถูกนินทาเสียๆ หายๆ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและชีวิตคู่ ดังนั้น สาวใช้ประจำตัวของแมรี่จึงต้องสามารถทำหน้าที่เลขาได้ดีในระดับหนึ่ง ต้องมีกิริยามารยาทสง่างาม มีหัวด้านการเงินและการตลาด มีทักษะเจรจาต่อรอง ต้องเลือกสตรีที่มีคุณสมบัติทั้งหมดในตัวคนเดียว ห้ามเป็นชายเด็ดขาด


ในทำนองเดียวกัน บุรุษรับใช้ส่วนตัวของผู้ชาย รวมถึงเลขานุการ ก็ต้องเป็นเพศเดียวกัน


อย่างไรก็ตาม มีคนมากมายที่ควบคุมแรงกระหายของตัวเองไม่ได้ เฉพาะในเบ็คลันด์ ทุกปีจะมีนายจ้างที่สร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรับใช้ และในหมู่เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ โดยมากแล้วเหยื่อจะเป็นสาวใช้ บ้างถูกหลอก บ้างถูกบังคับ และบ้างถูกล่อลวงให้มีความสัมพันธ์ลับๆ กับนายจ้างชาย จนกระทั่งเรื่องแดงขึ้น พวกเธอจะถูกไล่ออกอย่างไร้ความปรานี ต้องตกงานและเสียชื่อเสียง ไม่สามารถทำงานเป็นคนรับใช้ได้อีก ส่วนใหญ่กลายเป็นโสเภณีริมถนนในเวลาถัดมา


“ทิวาสวัสดิ์ ดอน” มาดามแมรี่ทักทายด้วยรอยยิ้ม


ไคลน์ทักทายกลับ


“ทิวาสวัสดิ์ครับ มาดาม แถวนี้นับว่าคึกคักผิดคาด”


คำโปรยเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการทักทายด้านสภาพอากาศ


หลังจากแมรี่ตอบกลับสองสามคำ เธอนำดอน·ดันเตสเข้าไปในบริษัทโคอิมพร้อมกับฉีกยิ้ม


“อีกสักพักจะมีมืออาชีพมาคอยอธิบายสถานการณ์และพาคุณเดินชมรอบๆ … ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง คุณต้องขึ้นไปยังชั้นบน ดิฉันเตรียมบุฟเฟต์และเชิญเพื่อนสนิทมาจากหลากหลายวงการ”


เพื่อนจากหลายวงการ… โอกาสในการขยายแวดวงทางสังคมของเรา… เธอจริงใจมาก! ไคลน์พยักหน้ารับ


“ในฐานะคนต่างถิ่นที่เพิ่งเข้ามาในเบ็คลันด์ ผมชื่นชอบการพบปะผู้คน”


“ผิดแล้ว คุณไม่เหมือนคนต่างถิ่นเลยสักนิด ตามความเห็นของดิฉัน คุณคือสุภาพบุรุษเบ็คลันด์ตัวจริงผู้มีการศึกษาดี” แมรีตอบกลับอย่างสุภาพ


ระหว่างพูดคุย พวกเขาเดินผ่านประตู เข้าสู่โถงต้อนรับซึ่งมีแสงไฟสว่างไสว ด้านในมีบุรุษคนหนึ่งกำลังรออยู่ ภายนอกดูแข็งแรง แต่งกายด้วยชุดทางการ


“นี่คือลุค·ซาเมอร์ เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัท” แมรี่แนะนำอีกฝ่ายให้ดอน·ดันเตส


อันที่จริง ผมรู้จักเขาอยู่แล้ว… ไคลน์มองหน้าลุค ผงกศีรษะและส่งรอยยิ้ม


จากมุมมองของชายหนุ่ม ลุค·ซาเมอร์เป็นคนสุขุม มีความเป็นมืออาชีพสูง หลงใหลเครื่องยนต์กลไก และเป็นสุภาพบุรุษมากในงานเลี้ยง ลุคไม่เคยดูหมิ่นนักสืบจนๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียง และไม่พยายามประจบประแจงข้าราชการของเทศบาลเบ็คลันด์ในเขตถนนมินส์


“ทางนี้คือเพื่อนของดิฉัน ดอน·ดันเตส เขาสนใจแอนทราไซต์และถ่านหินคุณภาพสูง รบกวนช่วยเล่ารายละเอียดแทนฉันด้วย” แมรี่หันไปกล่าวกับลุค


ลุคที่ได้รับข้อมูลมาล่วงหน้า ก้าวเท้าออกมาและจ้องหน้าเศรษฐีจากอ่าวเดซีย์ เผยรอยยิ้มอ่อนโยน


“มิสเตอร์ดันเตส ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของบริษัทโคอิม… พวกเราทำสัญญาระยะยาวกับเหมืองถ่านหินแอนทราไซต์หลายแห่ง… บริษัทโคอิมจะคอยส่งถ่านหินคุณภาพสูงและแอนทราไซต์เข้าไปในเขตเชอร์วู้ด ฮิลสตัน เขตเหนือ และเขตตะวันตก โดยคิดเป็นสามสิบเปอร์เซ็นต์ของความต้องการทั้งหมด นอกจากนั้น ทางเรากำลังจะได้รับคำสั่งซื้อจากกองทัพเรือ…”


ไม่เคยเห็นลุคทำตัวแบบนี้มาก่อน… ไคลน์เดินตามอีกฝ่ายไปรอบๆ บริษัทโคอิมอย่างใจเย็น ฟังคำแนะนำและสถานการณ์ปัจจุบันในทุกแง่มุม ถามกลับเป็นครั้งคราว แต่มิได้เสนอความเห็น


ครึ่งชั่วโมงถัดมา พวกเขาขึ้นไปยังชั้นสอง เข้าไปในห้องประชุมขนาดใหญ่


สถานที่ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า โต๊ะอาหารถูกวางใกล้กับผนัง จานอาหารวางเรียงรายแบบสุ่ม อาหารหลักของ ‘จานเย็น’ ประกอบด้วยแฮม เบคอน ไส้กรอก ขนมปัง สลัด เค้ก พุดดิ้ง และอาหารจานเย็นอื่นๆ นอกจากนั้นจะเป็นอาหารจานร้อนอีกเล็กน้อย


เพียงเดินเข้าไป แมรี่กล่าวแนะนำสุภาพบุรุษสองคนด้านข้างให้ดอน·ดันเตสรู้จัก


“ทางนี้คือไมค์·โยเซฟจากหนังสือพิมพ์เกาะกระแสรายวัน ส่วนทางนี้คืออลัน·คริสต์ ศัลยแพทย์มือฉมัง กรุงเบ็คลันด์ขาดเขาไม่ได้”


ไคลน์ฟังคำแนะนำของแมรี่พลางมองไปยังทั้งสองด้วยรอยยิ้ม มุมปากกระตุกแผ่วเบา


พวกเขาก็เป็นเพื่อนของผมเหมือนกัน! แถมยังสนิทกับทารกในครรภ์ภรรยาคุณหมออลัน… เดี๋ยวนะ ทำไมถึงฟังดูแหม่งๆ … ไคลน์รำพันเงียบ อดทนรอให้แมรี่แนะนำตัวดอน·ดันเตส จึงค่อยทักทายอลันและไมค์อย่างสุภาพ


เทียบกับที่ปีแล้ว ไมค์·โยเซฟเปลี่ยนไปไม่มาก คิ้วยังคงบางเฉียบ ผิวพรรณหยาบกร้าน ดวงตาสีฟ้าเจือเสน่ห์ ในส่วนของอลัน·คริสต์ โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนเย็นชาและไม่ชอบสุงสิง แต่ปัจจุบัน บรรยากาศดังกล่าวบรรเทาลงมาก คล้ายกับชีวิตกำลังดำเนินไปได้สวยในช่วงไม่กี่เดือนหลัง ไม่ว่าจะอารมณ์หรือความมั่นใจ ทั้งหมดกำลังอยู่ในจุดสูงสุด


เมื่อได้ยินว่าดอน·ดันเตสเป็นเศรษฐีจากอ่าวเดซีย์ ไมค์หยิบนามบัตรออกมาแสดงและเผยรอยยิ้ม


“คงไม่รังเกียจใช่ไหมถ้าผมจะขอแนะนำตัว? หากคุณต้องการโฆษณาสินค้า สามารถติดต่อผมได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็น ‘เกาะกระแสรายวัน’ หรือ ‘หนังสือพิมพ์ทัสซอค’ คุณจะได้รับราคาพิเศษ”


กล่าวจบ ไมค์กะพริบตาเป็นนัยว่าติดตลก


นายก็แค่นักข่าวที่ชอบพกบัตรประจำตัวปลอมหลายๆ ใบ… ว่าแต่ ทำไมนายถึงไม่แนะนำเกี่ยวกับการลดราคาโฆษณาหนังสือพิมพ์ให้นักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้บ้าง? ไม่ดูถูกนักสืบชื่อดังไปหน่อยหรือ? ไคลน์รำพันสองสามคำ แลกเปลี่ยนนามบัตรกับอีกฝ่าย


“ผมต้องได้ใช้บริการแน่”


ถัดมา ชายหนุ่มหันไปหาอลัน ยื่นนามบัตรอีกใบหนึ่งให้


“ผมเพิ่งป่วยและหายขาด เข้าใจความสำคัญของแพทย์เป็นอย่างดี”


“ผมเป็นศัลยแพทย์ ขอให้คุณไม่ต้องพบกับผมบ่อยนัก” แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่อลันก็ยอมแลกนามบัตร


ผิดแล้ว ไม่เพียงผมจะอยากเจอคุณ แต่ยังจะเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของลูกคุณด้วย… ไคลน์พึมพำ ตามด้วยการชักนำบทสนทนาเข้าสู่หัวข้อทางการแพทย์ คุยกับอลันและไมค์อย่างออกรส


มันเคยกังวลเกี่ยวกับวิธีที่จะเข้าใกล้อลันเพื่อติดต่อกับทารกในครรภ์อย่างแนบเนียน เพราะปัจจุบัน นกกระเรียนกระดาษใกล้ขาดเต็มที อาจใช้งานไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ และเป็นเรื่องยากที่จะให้เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ปรากฏตัวอย่างเปิดเผยในกรุงเบ็คลันด์ ไม่ต้องพูดถึงการเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด


แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้ว ด้วยการแนะนำของมาดามแมรี่ เราสามารถตีสนิทอลันได้อย่างเป็นธรรมชาติ และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะได้รับเชิญอย่างแน่นอน… หึหึ ไม่แน่ว่า เราอาจได้เป็นบิดาอุปถัมภ์ของอสรพิษปรอท… เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเราทุกคนล้วนเป็นสาวกของเทพธิดา… หืม… แบบนี้ทารกในครรภ์จะโกรธไหม? คงต้องระมัดระวังคำพูด หากอลันไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนก่อน เราจะไม่เปิดประเด็นด้วยตัวเองเด็ดขาด… ไคลน์ครุ่นคิดอย่างมีความสุข


ชายหนุ่มยังมีความเป็นมืออาชีพ สามารถยับยั้งชั่งใจไม่ให้ตีสนิทอีกฝ่ายมากเกินไปในการพบกันครั้งแรก เพียงพูดคุยตามประสาและเดินตามแมรี่ไปรู้จักคนอื่นๆ


ระหว่างนี้ ไคลน์ไม่ลืมที่จะกินอาหารและเครื่องดื่ม ปรับตัวให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม


หลังจากเดินวนครอบรอบ แมรี่ชะงักฝีเท้าและหันมากล่าว


“ทุกคนที่นี่เป็นเพื่อนของฉัน”


หมายความว่า เธอจะไม่ชวนคนไม่รู้จัก… และยังหมายความว่า เราเป็นเพื่อนของเธอ? ไคลน์พยักหน้ารับอ่อนโยน


“ในฐานะสุภาพบุรุษ บางทีผมไม่ควรถามออกไป แต่ในฐานะนักธุรกิจ ผมต้องการทราบว่าใครกำลังพยายามแย่งชิงหุ้นเพื่อควบคุมบริษัทโคอิมแทนคุณ?”


แมรี่เงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบ


“บารอนซินดราสและผองเพื่อน… พวกเขาต้องการนำบริษัทโคอิมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทำกำไรสูงเสียดฟ้าโดยไม่สนใจว่าบริษัทจะพัฒนาไปในทิศทางใด”


บารอนซินดราส หนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดของโลเอ็น… ในฐานะนายธนาคารและเจ้าของโรงงาน ชายคนนี้บริจาคเงินทุนให้พรรคอนุรักษนิยมจนได้เป็นขุนนาง… ยังบอกไม่ได้ว่าอยู่ขั้วอำนาจไหน แม้จะได้รับบรรดาศักดิ์จากพรรคอนุรักษนิยม แต่กลับเห็นอกเห็นใจกลุ่มนักธุรกิจ จึงมีความโน้มเอียงไปยังพรรคหัวก้าวหน้า… ไคลน์ใช้ความคิดสักพัก ก่อนจะยิ้มและถาม


“ทำไมคุณถึงไม่ให้มิสเตอร์ฮอลล์ช่วย? บิดาของเขาเป็นถึงขุนนางใหญ่และนายธนาคารชื่อดัง น่าจะให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ”


แมรี่ยิ้มแห้ง


“มิสเตอร์ฮอลล์ไม่ต้องการพัวพันกับเรื่องนี้ ด้วยกังวลว่า ในฐานะตำแหน่งเลขาธิการใหญ่แห่งคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ ตนไม่ควรมีส่วนร่วมในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแอนทราไซต์และถ่านหินคุณภาพสูง”


สุภาพบุรุษที่ทะเยอทะยานจะเป็นนักการเมืองโดยแท้จริง… แต่อีกมุมหนึ่ง เขาอาจจะไม่อยากเป็นศัตรูกับบารอนซินดราส… หึหึ หากเรามีโอกาสได้เลือกพ่อบ้านใหม่ คงจะเลือกคนที่สามารถสานสัมพันธ์กับบารอนซินดราสได้… ด้วยความร่ำรวยขนาดนี้ หากเขาอยากได้หุ้นจนเพิ่มราคาเป็นเท่าตัว เกรงว่าเราคงจนปัญญาจะประมูลแข่ง… หรือไม่แน่ว่า เขาอาจทุ่มเงินเพื่อทำลายชีวิตเราในภายหลัง… ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนาเดิม เพียงหันไปพูด


“ผมจะไม่ตัดสินใจจนกว่าจะได้รับรายงาน”


เมื่อเห็นดอน·ดันเตสไม่ขวัญผวาหลังจากฟังความจริง แมรี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความซาบซึ้ง


“ในยุคสมัยปัจจุบัน บุรุษกล้าหาญหาได้ยากยิ่ง และคุณคือหนึ่งในนั้น”


ไคลน์ทำเพียงยิ้ม ไม่ได้สัญญาอะไรออกไป รอจนกระทั่งบุฟเฟต์จบลง จึงนั่งรถม้าสี่ล้อหรูหรากลับไปยังเขตเหนือ


ขณะมองออกไปนอกหน้าต่างพลางครุ่นคิด จู่ๆ ไคลน์ก็หันไปหาบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน


“ผมเปลี่ยนใจแล้ว แวะวิหารนักบุญแซมมวลให้หน่อย”


ในครั้งก่อน มีความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปรกติเกิดขึ้นและสงบลงทันที และเนื่องจากยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด ไคลน์จึงลังเลว่าตนควรหาโอกาสติดต่อกับผู้คุมประตูยานิสหรือไม่


ชายหนุ่มจับสังเกตได้ว่า ในช่วงบ่ายของทุกวัน ผู้คุมด้านในอย่างน้อยหนึ่งคนจะออกมาสวดวิงวอนถึงเทพธิดาในโถงหลัก


จะหาโอกาสติดต่อยังไง… ในสถานที่แบบนี้ การกระซิบก็กลายเป็นเสียงดังได้… และนั่นจะยิ่งทำให้คนรอบข้างผิดสังเกต… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเฝ้าสังเกตไปก่อน จึงค่อยคิดหาวิธีลงมือในภายหลัง


รถม้ายังคงไม่เปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าไปยังถนนเบิร์คลุน แต่ไม่ได้หยุดที่หน้าคฤหาสน์ ยังคงตรงไปเรื่อยๆ


ไคลน์ในรถม้าหลับตาลง พยายามข่มความกระวนกระวายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)