Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 787-792
ราชันเร้นลับ 787: คำเตือนของโดเรี่ยน
Ink Stone_Fantasy
เกอร์มัน·สแปร์โรว์… ได้ยินเช่นเช่นนั้น เส้นเลือดที่หน้าผากโดเรี่ยนพลันปูดโปน เลื่อนมือขึ้นมาจับโดยไม่รู้ตัว ร่างกายเกิดอาการชาไปทุกส่วนโดยไม่มีเหตุผล
มันอาศัยอยู่ในท่าเรือพริสต์ ไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ข่าวลือมากมายเกี่ยวกับทะเลย่อมชัดเจนกว่าชาวเมืองเบ็คลันด์ที่ต้องอาศัยการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์เพื่อให้ทันโลก
ในช่วงหลายเดือนหลัง มันมักได้ยินข่าวเกี่ยวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์จากช่องทางที่แตกต่าง เริ่มจากการสังหาร ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ ลงมือกับ ‘พลเรือโทโรคภัย’ เทรซี่ ประสบความสำเร็จในการล่า ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล โดยเรื่องราวทั้งหมดเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
มันหายไปจากทะเล มาที่เบ็คลันด์? แถมยังไม่เปลี่ยนนิสัยอันบ้าบิ่นนั่น! โดเรี่ยนปกปิดความกลัวและตื่นตัวที่คุกรุ่นภายในใจ จ้องหน้าศิษย์ของตน กล่าวเสียงทุ้ม
“พยายามติดต่อนักล่าค่าหัวคนนี้ให้น้อยลง… เขาจะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นในสักวัน และเวลานั้นคงอีกไม่นาน”
อาจารย์ช่างมากประสบการณ์ สายตาเฉียบแหลม มองเห็นแก่นแท้ของมิสเตอร์เวิร์ลได้อย่างรวดเร็ว… น่าเสียดาย เรากลายเป็นสมาชิกชุมนุมทาโรต์เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางยกเลิกการติดต่อ… ฟอร์สวิเคราะห์สถานการณ์ พยักหน้าอย่างจริงใจ
“ค่ะ อาจารย์”
โดเรี่ยนใจเย็นลง เพ่งมองใบหน้าอดีตศิษย์ที่กลายมาเป็นศัตรู ลูอิส·เวย์น
ทว่า ‘นักท่องเที่ยว’ รายนี้พูดไม่ได้อีกแล้ว ไม่หลงเหลือแม้แต่เศษเสี้ยวพลังวิญญาณ
เงียบงันสองสามวินาที โดเรียนเอนหลังเล็กน้อย จ้องหน้าฟอร์ส
“คุณบอกว่าจ่ายเงินไปหนึ่งหมื่นปอนด์เพื่อเป็นค่าหัว?”
มันไม่มีข้อมูลสถานะทางการเงินของฟอร์ส ทราบเพียงว่า ศิษย์ของตนเป็นนักเขียนนิยายขายดี มีค่าตอบแทนพอสมควร และการมีชุมนุมผู้วิเศษสักสองสามแห่งก็คงช่วยได้มาก ทำภารกิจของที่นั่นนับว่าจ่ายค่อนข้างหนัก ดังนั้น การออมเงินหลักหมื่นปอนด์จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกตะลึงหรือยอมรับไม่ได้
ฟอร์สขยับตัว กล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเล็กๆ
“แพงไปหรือคะ?”
เธอจงใจยอกย้อนอย่างมีวาทศิลป์เพื่อปกปิดความจริงที่ว่า เธอกุราคาขึ้นมาเอง ทำให้ดูคล้ายกับไม่ประสาในด้านนี้สักเท่าไร
โดเรี่ยนส่ายหน้า
“เปล่า ถูกเกินไปต่างหาก… ถูกจนอดคิดไม่ได้ว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีเจตนาแอบแฝงหรือไม่”
ในฐานะสมาชิกตระกูลอับราฮัมที่เผชิญโศกนาฏกรรมหนแล้วหนเล่า มันหวาดระแวงกับทุกสิ่ง
หมายความว่า นี่คือ ‘ราคาสมาชิก’ สินะ… ฟอร์สหัวเราะแห้ง กล่าวอย่าง ‘ซื่อตรง’
“ยังมีข้อตกลงอื่นๆ ด้วยค่ะ เช่นสิ่งของที่ลูอิส·เวย์นพกติดตัวทั้งหมด จะตกเป็นของเขา และฉันต้องคอยให้ความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้น นอกจากนั้น ฉันยังต้องรับปาก หากภายหลังเขาต้องการเงินสดเป็นการเร่งด่วน จะต้องจ่ายเพิ่มอีกสามพันปอนด์”
“เริ่มสมเหตุสมผล” โดเรี่ยนพยักหน้า “เดิมที การลอบสังหารลูอิส·เวย์นที่มีชุมนุมแสงเหนือคอยหนุนหลัง ราคาต้องไม่ต่ำกว่าสามหมื่นปอนด์ อา… ยิ่งถ้ามีสถานการณ์ไม่คาดฝัน ราคาก็ยิ่งต้องเพิ่มขึ้นอีก”
ในตอนนั้น มิสเตอร์เวิร์ลใช้พลังครึ่งเทพจากบันทึกการเดินทางของเลมาโน่… นั่นคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน… นักบุญจากชุมนุมแสงเหนือปรากฏตัว? ฟอร์สผู้ถูกอิทธิพลของชุมนุมทาโรต์เปลี่ยนชีวิต ไม่ถึงกับไม่รู้จักชุมนุมแสงเหนือเลย จึงขมวดคิ้วโดยไม่ปิดบัง
“อาจจะเป็นแบบนั้น… เงื่อนไขของเขาฟังดูไม่ปรกติสักเท่าไร หรือว่า เขากำลังรีบใช้เงิน?”
โดเรี่ยนใช้ความคิด
“บางที เขาคงสนใจตะกอนพลังของลูอิส·เวย์นมากกว่า สำหรับผู้วิเศษเส้นทางอื่น สิ่งนั้นสามารถนำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษที่มีประโยชน์ ตราบใดที่สามารถหา ‘ช่างฝีมือ’ ที่เก่งกาจ”
โดเรี่ยนเว้นวรรค กล่าวเสริม
“ไม่ต้องไปใส่ใจ หลังจากนี้แค่อยู่ให้ห่างจากเขา… บางที เขาอาจจะหมายหัวลูอิส·เวย์นมานานแล้ว เมื่อเธอมีข้อมูล เขาจึงกล้าลงมือ ขณะเดียวกันก็ได้ค่าจ้างก้อนใหญ่เป็นของแถม”
โดเรียนไม่สานต่อหัวข้อเดิม หยิบลูกบอลคริสตัลบริสุทธิ์ขนาดเท่ากำปั้นออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน
“สร้างจากผลึกดวงดาว จะช่วยเพิ่มพลังโหราจารย์ของคุณได้มาก”
เมื่อแสงจากด้านนอกส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ลูกบอลคริสตัลกะพริบ ‘คลื่น’ ที่สว่างไสวออกมาเป็นระยะ
โดยไม่รอให้ฟอร์สปฏิเสธ โดเรียนหัวเราะ
“ลูอิส·เวย์นคือศัตรูของผม คนจ่ายเงินค่าหัวต้องเป็นผม ตอนนี้ยังไม่มีเงินสดมากขนาดนั้น ขอผ่อนชำระด้วยวัตถุบางชิ้น”
“ไม่ค่ะ ไม่จำเป็น” ฟอร์สส่ายศีรษะอย่างลังเล
ด้วยความสัตย์จริง ในตอนที่เธออยากฆ่าลูอิส·เวย์น ความคิดเดียวในหัวคือแก้แค้นให้อาจารย์ ไม่ได้หวังรางวัลที่จะตามมา แต่ตรงข้ามกับเจตนารมณ์ เธอมิอาจปฏิเสธ
โดเรี่ยนทำหน้าขึงขัง
“คุณอยากให้ผมรู้สึกผิดและเสียใจหรือ? ไม่ต้องกังวล อาจารย์ของคุณไม่ได้จนขนาดนั้น”
ฟอร์สพยักหน้ารับ
“ตกลงค่ะ”
โดเรี่ยนยิ้มอีกครั้ง
“แล้วก็ ผมนำสูตรโอสถ ‘นักบันทึก’ มาให้คุณด้วย เริ่มเร่งมือย่อยโอสถ ‘โหราจารย์’ ได้โดยไม่ต้องลังเล รวบรวมวัตถุดิบให้ครบ… ฮะฮะ! ผมจะมอบหนึ่งในวัตถุดิบหลักให้ด้วย สมองของอัสมาน ที่เหลือคุณจัดการเอาเอง”
อัสมานคือสัตว์ประหลาดที่มีตัวตนอยู่แค่ในเรื่องเล่าโบราณ ลักษณะคล้ายกับสมองของมนุษย์ที่ไม่มีกะโหลกปกป้อง ไม่เพียงจะมีพลังในการสร้างภาพลวงตาที่น่ากลัว แต่ยังสามารถทำให้ศัตรูเสียชีวิตด้วยการโจมตีของตัวเอง
ขณะกล่าว โดเรี่ยนหยิบกระดาษหนังสีน้ำตาลอ่อนออกมา ส่งให้ฟอร์ส
ฟอร์สรับไว้ด้วยความเต็มใจ ตรวจสอบวัสดุว่ามีวัสดุหลักอะไรบ้าง
“สมองที่สมบูรณ์ของอัสมาน คำสาปของวิญญาณอาฆาตโบราณ…”
หวังว่าเราจะรวบรวมได้ครบก่อนที่โอสถโหราจารย์จะย่อยเสร็จ… ฟอร์สม้วนกระดาษหนัง เหลือบไปเห็นอาจารย์โดเรี่ยนหยิบกล่องสีทองบริสุทธิ์ออกจากกระเป๋าเดินทาง
สลายกำแพงวิญญาณเสร็จ โดเรี่ยนกล่าว
“หากไม่ผนึกไว้ด้วยทองคำ สมองของอัสมานจะส่งอิทธิพลต่อคุณตลอดเวลา ทำให้มองเห็นภาพหลอน จนถึงขั้นจิตตก”
ภายในกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส หมอกสีเทากำลังนอนแน่นิ่ง เต็มไปด้วยร่องลึกและส่วนที่นูน สีโปร่งแสง ขนาดเพียงหนึ่งในห้าของศีรษะลูอิส·เวย์น
สมกับที่เป็นตระกูลเก่าแก่… ฟอร์สกล่าวขอบคุณอีกครั้ง รับกล่องสี่เหลี่ยมสีทอง ปิดฝาอย่างชำนาญ ใช้พลังวิญญาณเพื่อผนึก
จากนั้น โดเรี่ยนบอกให้ฟอร์สช่วยรอสักพัก ลงมือประกอบพิธีกรรม เรียกมาลมอส สัตว์ห้วงมิติผู้รักเสียงดนตรี เอกสารจำนวนสองปึกถูกนำออกจากร่างกลมๆ ของมัน
นอกจากของขวัญสามชิ้นแรก เนื่องจากโดเรี่ยนค่อนข้างผวากับข่าวของมิสเตอร์ประตู จึงเตรียมสิ่งเหล่านี้มาให้ฟอร์สด้วย ปึกเอกสารถูกวางไว้ข้างลำตัว
“นี่คือโฉนดที่ดินในเบ็คลันด์สองแห่ง ที่แรกอยู่ในฮิลสตัน อีกที่หนึ่งอยู่ในเขตเชอร์วู้ด ทำเลค่อนข้างดี ราคารวมน่าจะประมาณหกพันห้าร้อยปอนด์ ขายได้เท่าไร คุณเอาเงินไปเลย” โดเรี่ยนกล่าวพลางยิ้ม
แม้ว่าตระกูลอับราฮัมจะกำลังเสื่อมโทรม แต่ในฐานะอดีตตระกูลเทวทูต ในฐานะตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ทรัพย์สมบัติติดตัวย่อมไม่ธรรมดา มีทั้งที่ดิน ฟาร์มเกษตร อสังหาริมทรัพย์ บ้าน และเหมืองแร่ แต่โดเรี่ยนได้ครอบครองเพียงบางส่วน ที่เหลือเกือบทั้งหมดจะตกอยู่ในความครอบครองของตระกูลย่อย
บ้านที่เรากำลังเช่า มีราคากลางอยู่ที่ประมาณสองพันห้าร้อยปอนด์ ความกว้างน่าพึงพอใจก็จริง แต่ทำเลกลางๆ … สิ่งที่อาจารย์มอบให้เราในวันนี้ มูลค่ารวมไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์… ฟอร์สทำได้เพียงแอบถอนหายใจ
…
ภายในมหาวิหารแห่งวายุ ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์จ้องหน้าทูตพิพากษาอาวุโสฝั่งตรงข้าม
“ผลเป็นยังไง?”
อาร์ชบิชอปใหม่แห่งเบ็คลันด์คือชายวัยกลางคนที่มีบรรยากาศคุกคามสุดขีด ผมสีน้ำเงินเข้มหยักศก ติ่งหูใหญ่ ในดวงตาคล้ายกับมีสายฟ้าและพายุกำลังอาละวาดตลอดเวลา
ฝั่งตรงข้ามคือ อาวุโสของทูตพิพากษา เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง สวมหมวกกัปตันเรือรุ่นใหม่ ไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มีรอยสักรูปสมอสีน้ำเงินสลับดำตรงคอ
สุภาพบุรุษตอบด้วยความเคารพ
“ท่านเจ้าคุณ พวกเราจับกุมตัวสมาชิกที่เข้าร่วมชุมนุมได้หลายคน… แต่พวกเขาไม่รู้จักกันเลย จึงไม่ต้องพูดถึงผู้ที่สังหารมิสเตอร์ X… จากคำอธิบายของพวกเขา ส่วนสูงของผู้โจมตีคือ 1.6 เมตร จึงน่าจะเป็นเพศหญิง แต่ก็ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ชายตัวเตี้ย”
เรดาลล์พยายามข่มโทสะ
“แล้วจะทำยังไงต่อ”
“เนื่องจากในตอนนี้ พวกเรายังไม่มีข้อมูลว่ามิสเตอร์ X เชิญใครมาร่วมงานบ้าง และสตรีส่วนใหญ่ก็มีส่วนสูงประมาณ 1.6 เมตรด้วยกันทั้งนั้น แผนการของเราก็คือ ภายนอกแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่จะคอยจับตามองเป้าหมายที่น่าสงสัยเอาไว้… นอกจากนั้น เราจะเปลี่ยนคนที่จับตัวมาได้ให้เป็นสายข่าว หากเราไม่กระโตกกระตาก พวกเสียสติของชุมนุมแสงเหนือจะต้องตามหาตัวฆาตกรแน่นอน แก้แค้นให้มิสเตอร์ X ด้วยข้อมูลที่ทางนั้นรวบรวมได้… ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงพวกเราจะสาวจนพบตัวมือสังหาร แต่ยังสามารถสืบสวนย้อนรอยไปถึงชุมนุมแสงเหนือได้ด้วย” ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางอธิบายรายละเอียด
เรดาลล์พยักหน้าครุ่นคิด
“รอย… ถ้าคิดจะลงมือ อย่าลืมเบิกสมบัติปิดผนึกระดับ ‘1’ ไปใช้งาน… สถานที่เกิดเหตุได้บอกกับเราแล้วว่า ชุมนุมแสงเหนือจะส่งนักบุญอย่างน้อยหนึ่งคนมาที่เบ็คลันด์แน่นอน และความแข็งแกร่งของมือสังหารคนดังกล่าวน่าจะสูงกว่าลำดับ 5 ทั่วไป นอกจากนั้นก็ยังมีครึ่งเทพอยู่เบื้องหลังเช่นกัน”
“ครับ ท่านเจ้าคุณคาร์ดินัล” รอย·เวลลิงตันกล่าวพลางนำกำปั้นขวากระแทกอกซ้าย
…
“ดอน คุณมักทำให้ผมประหลาดใจได้เสมอ ผ่านไปเพียงไม่นาน คุณกลับศึกษา ‘หนังสือแห่งปัญญา’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วิวรณ์รัตติกาล’ จนแตกฉาน” ภายในวิหารนักบุญแซมมวล บิชอปอีเล็คตร้าปิดพระคัมภีร์ในมือ กล่าวด้วยรอยยิ้มกับเศรษฐีเคร่งศาสนา เจ้าของจอนสีขาว ดวงตาน้ำเงินลุ่มลึกตรงหน้า
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“นี่คือสิ่งที่สาวกพึงกระทำ… ต่อไปคือการเรียน ‘จดหมายของนักบุญ’ ใช่ไหมครับ?”
“ถูกต้อง คุณอยากเริ่มด้วยนักบุญพระองค์ใด” บิชอปอีเล็คตร้าตั้งคำถาม
ไคลน์กวาดสายตา หัวเราะในลำคอ
“นักบุญแซมมวลก็ได้ครับ”
บิชอปอีเล็คตร้าไม่ประหลาดใจ เริ่มกล่าวแนะนำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นักบุญแซมมวลอาศัยอยู่ในจักรวรรดิทรันซอสต์ ตรงกับช่วงยุคสมัยที่สี่ ในเวลานั้น พระองค์ดำรงตำแหน่งเป็นอาร์ชบิชอปของวิหารภายในเบ็คลันด์ สร้างผลงานมากมายเพื่อเผยแพร่ความเชื่อในตัวเทพธิดา จึงได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งเทพขณะยังมีชีวิต กลายเป็นเทวทูต”
ขณะเล่า มันพลิกไปยังหน้า ‘จดหมายของนักบุญ’ ที่สอดคล้องกัน
ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณไคลน์พลันถูกกระตุ้น มันรู้สึกว่า ความคิดชั่วร้ายจากชั้นบนค่อยๆ แพร่กระจายออกมา
แต่ในวินาทีถัดมา ความรู้สึกเย็นยะเยียบและเงียบสงบเริ่มแผ่ซ่านออกจากพื้นดิน ทำให้ทุกสิ่งสงบนิ่งไปชั่วขณะ เปลี่ยนให้วิหารกลับสู่ภาวะปรกติ
บิชอปอีเล็คตร้าที่เพิ่งได้สติ กล่าวกับดอน·ดันเตสตรงหน้าที่ ‘ไม่สังเกตเห็นอะไรเลย’
“ต้องขออภัยด้วย พอดีผมนึกบางอย่างขึ้นมาได้”
ราชันเร้นลับ 788 : ทางลับ
Ink Stone_Fantasy
“ไม่มีอะไร” ไคลน์ยิ้มอ่อนโยน
ทำท่าเหมือนคนไม่สังเกตเห็น แต่ภายในใจกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว ลองพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่หมายถึงสิ่งใด
ก่อนหน้านี้ บรรดาผู้คุมมักใช้งานบันไดใกล้ๆ เพื่อขึ้นไปยังชั้นบน อาจอนุมานได้ว่า พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่น และเมื่อนำไปรวมกับตำแหน่งที่เกิดความเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่… สภาพของผู้คุม เดิมทีก็ไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้ว โอกาสคลุ้มคลั่งย่อมมากกว่าผู้วิเศษทั่วไป ส่งผลให้เผยความคิดชั่วร้ายออกมากะทันหัน?
หลังจากนั้นจึงถูกระงับไว้ หรือทำให้สงบ โดยแก่นผนึกด้านหลังประตูยานิสใต้ดิน?
หากเป็นเช่นนั้น มีความเป็นไปได้สองประการ หนึ่งคือ แก่นผนึกด้านหลังประตูยานิสสามารถสัมผัสถึงความผิดปรกติทั้งหมดภายในวิหารนักบุญแซมมวล และตอบสนองตามสัญชาตญาณ ประการที่สอง ผู้คุมภายในซึ่งต้องทำหน้าที่ตลอดทั้งปี ถูกกัดกร่อนอย่างต่อเนื่องโดยพลังจากแก่นผนึก กลายเป็นส่วนหนึ่งของผนึกในบางแง่มุม หรือไม่ก็พกพาสมบัติวิเศษที่เกี่ยวข้อง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นจะกระตุ้นให้ผนึกลงมือแทรกแซง…
หากเป็นอย่างแรก หมายความว่า ถ้าเราทำให้ผู้คุมหมดสติและสวมรอย แก่นผนึกหลังประตูยานิสก็จะพบความผิดปรกติทันที ลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงเหมือนกับเมื่อครู่ แผนการพังไม่เป็นท่าตั้งแต่เริ่ม… หากเป็นอย่างหลัง เมื่อเข้าไปในประตูยานิส เราที่ปลอมตัวเป็นผู้คุมก็จะถูกแก่นผนึกปฏิเสธ…
ต้องหาคำตอบของเรื่องนี้ให้ได้ก่อน จะได้วางแผนได้อย่างเหมาะสม…
การขโมยสมบัติปิดผนึกภายในวิหารไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่แปลกใจว่าทำไมไม่มีใครอยากทำ…
ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง ภายนอกดูเหมือนตั้งใจฟังเรื่องราวที่บิชอปอีเล็คตร้าเล่าเกี่ยวกับจดหมายของนักบุญแซมมวล จนกระทั่งถึงเวลากลับ มันกล่าวคำอำลาอย่างสุภาพ
กลับถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบ็คลันด์ ชายหนุ่มส่งหมวกและไม้ค้ำให้ริชาร์ดสัน เห็นพ่อบ้านเดินเข้ามาทักทาย
“นายท่าน คุณต้องการจัดงานเลี้ยงเต้นรำหรืองานเลี้ยงรับประทานอาหารในสัปดาห์หน้า และชวนเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงมาเข้าร่วมหรือไม่?” วอลเตอร์ไม่ได้ใช้น้ำเสียงเชิงแนะนำ คล้ายกับเป็นการไต่ถามอย่างซื่อตรง
แต่ไคลน์มั่นใจ หากมิสเตอร์พ่อบ้านเอ่ยถึงเรื่องนี้ หมายความว่าถึงเวลาที่ต้องทำแล้ว
ชายหนุ่มพยักหน้า
“คืนวันเสาร์ งานเลี้ยงเต้นรำ… คงต้องรบกวนให้คุณและทาเนญ่าช่วยเตรียมงานล่วงหน้า… ยังมีเงินเหลือพอไหม?”
ขณะกล่าวประโยคสุดท้าย ไคลน์หันไปทางแม่บ้าน
ทาเนญ่าผงกศีรษะรับและกล่าวเสียงขรึม
“เพียงพอค่ะ… เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากในห้องใต้ดินของนายท่าน เพียงพอที่จะจัดงานเลี้ยงได้หลายครั้ง”
ในตอนที่ย้ายเข้าบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ไคลน์มอบเงินสดให้เธอหนึ่งพันปอนด์เพื่อใช้ในครัวเรือน จนกระทั่งตอนนี้ แม้จะมีการซื้อไวน์ ชา เมล็ดกาแฟ และอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม แต่ดูเหมือนเงินก้อนดังกล่าวจะไม่หมดลงภายในหนึ่งเดือน
ทองปอนด์มีมูลค่าสูงจนน่าเหลือเชื่อ… ไคลน์พยักหน้า ยิ้มและกล่าว
“ครั้งแรกอย่าใช้ไวน์ราคาแพงเกินไป ชาวโลเอ็นมักมีนิสัยอ้อมค้อม”
“ครับ นายท่าน” แม้วอลเตอร์จะทราบขั้นตอนการจัดงานเลี้ยงเต้นรำ แต่ก็เต็มใจรับฟังคำสั่งของนายจ้าง
มันเว้นวรรค หันมากล่าว
“มีเพียงสองสิ่งที่นายท่านต้องทำ หนึ่งก็คือ พวกเราจะเตรียมข้อมูลมาให้ และคุณคอยกำหนดรายชื่อแขก คิดถึงบทสนทนาที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละคน จับคู่ให้สอดคล้องกับตัวตนและประสบการณ์ของอีกฝ่าย อีกหนึ่งเรื่องคือ สั่งชุดเดรสสำหรับเต้นรำเข้ามาเพิ่ม”
วุ่นวายชะมัด… ในตอนที่ทักทายเฮเซล เราคิดแล้วได้หนึ่งประโยค… ท่อระบายน้ำของที่นี่สะอาดกว่าจัตุรัสในทวีปใต้เสียอีก คุณคิดแบบนั้นไหม? ไคลน์ถอนหายใจพลางรำพัน พยักหน้าและกล่าว
“ไม่มีปัญหา”
…
กลางดึกสงัด จันทร์แดงลอยสูงบนท้องฟ้า – กรุงเบ็คลันด์ เมืองหลวงที่หมวกควันเบาบางลง มอบบรรยากาศอันแสนสงบสุข
ภายในห้องนอนใหญ่ของดอน·ดันเตส ไคลน์ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง
คืนนี้มันเตรียมจะลงไปสำรวจท่อระบายน้ำ ก่อนอื่น จ้องตรวจสอบว่าทริสซี่ไปหรือยัง หลังจากนั้นจะไปตรวจสอบทางแยกที่อีกฝ่ายเคยกล่าวถึง สำรวจสิ่งที่เรียกว่าทางลับ มองหาเบาะแสที่น่าสนใจ
ไคลน์ไม่ได้คาดหวังว่าตนจะค้นพบอะไร เพียงกังวลว่า ภายในทางลับของท่อระบายน้ำจะมีอันตรายใหญ่หลวงซ่อนอยู่ และสักวันมันจะระเบิดออก ส่งผลกระทบกับดอน·ดันเตส ชายผู้อาศัยในบริเวณใกล้เคียง ทำลายแผนการขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส
ในสถานการณ์เช่นนี้ คนเราไม่ควรทำตัวเป็นนอกกระจอกเทศ เอาแต่ฝังศีรษะอยู่ในทราย แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร… ต้องระบุปัญหาให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะสายเกินแก้ ทำลายมันทิ้ง หรือไม่ก็รายงานให้ทางการ นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุด… แน่นอน เรายังต้องคอยระมัดระวัง อย่าปล่อยให้การสำรวจของตัวเองนำมาซึ่งปัญหา… ร่างวิญญาณไคลน์ปรากฏขึ้นจากแสงเทียน อาศัยความช่วยเหลือจากนกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิก ชายหนุ่มเข้าสิ่งร่างเนื้อดอน·ดันเตสตรงหน้า บังคับให้เดินไปยังขอบๆ กำแพงวิญญาณ นั่งบนเก้าอี้เอนหลัง
หากมองจากภายนอก จะดูเหมือนกำลังอ่านหนังสือพิมพ์และเผลอหลับไป ลืมกลับไปนอนบนเตียง
การอัญเชิญร่างวิญญาณออกมาควบคุมร่างเนื้อตัวเอง เทียบกับการควบคุมร่างตามปรกติ ให้ความรู้สึกแตกต่างมาก สัมผัสได้ถึงความแปลกแยกอย่างชัดเจน… เปรียบเทียบสถานการณ์เสร็จ ไคลน์ลอยกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ เก็บวัตถุเกือบทั้งหมดที่ตนวางไว้บนแท่นบูชา เหลือเพียงเทียนไขสำหรับการอัญเชิญ ปล่อยให้ลุกไหม้อย่างเงียบงัน
จัดการทั้งหมดเรียบร้อย ไคลน์สวมยุบพองหิวโหย รวมถึงนกหวีดทองแดงอะซิก ลูกโม่ลางมรณะ และเหรียญทองของเซนอล บินออกจากห้องนอนใหญ่ ลอยออกจากบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนกลางอากาศ เข้าไปในท่อระบายน้ำ
เมื่อไคลน์เข้ามาในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้นและสกปรก ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลถูกปลดปล่อยทันที มันวางแผนจะจัดการทุกสิ่งด้วยหุ่นเชิด จะได้ไม่ต้องนำพาตัวเองไปเผชิญปัญหา
เซนอลเดินไปตามทางจนกระทั่งถึงจุดที่ทริสซี่เคยอยู่ จากนั้นก็เลี้ยว
ทันใดนั้น ไคลน์พบว่าจุดที่เคยสะอาดสะอ้านจนดูไม่เหมือนท่อระบายน้ำ กลับมาสกปรกอีกครั้ง มีหนูวิ่งเล่นไปมา
“ทริสซี่ไปแล้วสินะ…” ไคลน์ที่คอยควบคุมจากระยะไกล ถอนหายใจโล่งอก
ในฐานะวิญญาณ มันไม่จำเป็นต้องหายใจ ไม่ต้องเดินเท้า ดังนั้น จึงไม่ต้องสนใจว่าสภาพแวดล้อมจะแย่แค่ไหน
‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลหันหลังเดินออกจากจุดดังกล่าว ก้าวไปเรื่อยๆ จนพบทางแยกที่หกจากซ้าย ไคลน์รักษาระยะห่างระหว่างตัวเองกับหุ่นเชิดไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตรเสมอ สวมบทบาทการเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง
ณ จุดสิ้นสุดของทางแยก ที่นี่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ผนังสึกกร่อน หากมองผิวเผิน ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ ถ้าไม่ใช่เพราะทริสซี่เอ่ยถึง ไคลน์จะไม่สั่งให้หุ่นเชิดสำรวจทุกตารางนิ้วของที่นี่อย่างละเอียดเด็ดขาด
ผ่านไปไม่กี่นาที เซนอลในแจ็คเก็ตสีแดงยืดตัวขึ้น ก้าวไปข้างหน้า เดินเข้าไปในกำแพง
หลังทะลุผ่านสิ่งกีดขวางหนาๆ หลายชั้น ดวงตาไคลน์พลันเบิกกว้าง ในการมองเห็นของหุ่นเชิด มันเห็นถ้ำกึ่งธรรมชาติกึ่งฝีมือมนุษย์ สูงเกือบ 1.8 เมตร กว้างสามเมตร บนพื้นมีพลั่วและเครื่องใช้อื่นๆ ที่ถูกห่อด้วยผ้าใบกันน้ำ ซ้อนทับด้วยสิ่งสกปรกและก้อนกรวดจำนวนมาก ด้านหน้ามีทางเดินลับสองช่อง ลาดลงไปยังใต้ดิน
ทางซ้ายลึกเพียงห้าถึงหกเมตร ทางขวาลึกเกือบสิบเมตร แต่ไม่มีอะไรอยู่เลย ดูเหมือนว่าจะอยู่ระหว่างการขุด
นี่มัน… ฝีมือเฮเซล? ระหว่างวัน เธอวางตัวเป็นกุลสตรีชนชั้นสูงที่หยิ่งผยอง พอตกกลางคืน เธอกลายเป็นคนขุดท่อน้ำทิ้ง และต้องคอยขนถ่ายสิ่งสกปรกกับกรวดทีละถัง? เธอเดินไปเดินมาเพื่อค้นหาตำแหน่งที่แน่นอน และขั้นตอนต่อไปคือการลงมือขุด? หมายความว่า บนผนังควรจะมีประตูลับซ่อนอยู่… ไคลน์เอนตัวไปกลับไปที่ทางเดินบนทางแยก บังคับให้เซนอลมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
จากนั้น ชายหนุ่มบังคับ ‘วิญญาณอาฆาต’ เข้าไปในทางลับด้านซ้าย เดินไปจนสุดทางที่มีชั้นโคลนและหินอัดแน่น
ร่างของเซนอลค่อยๆ เลือนหายไป ไม่หลงเหลือเค้าโครงเดิม มันทะลุผ่านสิ่งสกปรกตรงหน้าด้วยร่างวิญญาณที่กระจัดกระจาย สำรวจลึกเข้าไปในชั้นดินหิน
จนกระทั่งใกล้ถึงขีดจำกัดหนึ่งร้อยเมตร ชายหนุ่มไม่พบสิ่งใดที่น่าสนใจ เห็นเพียงแมลงธรรมดาบางชนิด
ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดของตนเปลี่ยนทิศทาง ‘แหวกว่าย’ ผ่านอะไรหลายสิ่ง แต่ก็ยังไม่พบจุดที่น่าสงสัย
‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลย้อนกลับไปทางปากถ้ำ ลอยเข้าไปในทางลับฝั่งขวา ผ่านทุกอุปสรรคอย่างง่ายดาย
“ก็ยังไม่มีอะไรผิดปรกติ… ทริสซี่พูดถูก การจะค้นพบความลับ จำเป็นต้องอยู่บนเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง หรือไม่ก็ต้องมีสมบัติวิเศษในเส้นทางนั้น… อา เธอคงลองสำรวจด้วยใยแมงมุมล่องหนของแม่มดสุขสมไปแล้ว… เสียดายถุงมืออินธน์… ไม่แน่ใจว่าหมอกสีเทาบนร่างกายจะใช้แทนได้ไหม เพราะออร่าของหมอกมักดึงดูดเส้นทางนักจารกรรมเข้าหาเสมอ” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง ครุ่นคิดว่า ตนควรใช้ประโยชน์จาก ‘หมอก’ บนร่างวิญญาณเพื่อสำรวจทางลับที่เฮเซลขุดขึ้นหรือไม่
ทว่า มันยับยั้งความต้องการดังกล่าว ในฐานะ ‘นักเชิดหุ่น’ หากสิ่งใดไม่จำเป็น ไม่ควรทำด้วยตัวเอง การเปิดเผยตัวตน ถือเป็นการละเมิดกฎเหล็กการสวมบทบาท
“ไม่มีหมอกสีเทาก็ไม่เป็นอะไร บ่ายวันพรุ่งนี้ ในชุมนุมทาโรต์ แค่เราซื้อสมบัติวิเศษจากเส้นทางนักจารกรรมในราคาที่ไม่แพงเกินไป จะเป็นลำดับ 9 หรือ 8 ก็ได้… น่าเสียดาย เข็มกลัดของลาเนวุสเป็นแค่เครื่องรับสัญญาณ ไม่ใช่สมบัติวิเศษบนเส้นทาง… ไม่ว่าจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทางลับ การใช้ร่างวิญญาณของตัวเองสำรวจอย่างบุ่มบ่าม อาจนำพาไปสู่การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดลำดับสูง… ต้องประเมินตัวเองให้ต่ำไว้เสมอ” ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เรียกคืน ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอล
มันมิได้กังวลว่าเฮเซลจะลงมาในเร็วๆ นี้ เพราะจนกว่าเธอจะค้นพบวิธีรับมืออันตรายจากคราวก่อน มนุษย์ที่มีสติปัญญาครบถ้วนสมบูรณ์ ตามปรกติแล้วไม่จะวิ่งเข้าหาอันตรายโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตัว!
โดยเฉพาะเฮเซลที่มีความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับพอสมควร… ถึงจะเธอค้นพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาสมบัติวิเศษในเส้นทางสุริยัน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เบ็คลันด์คือสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตัน… แต่เรามีอยู่หนึ่งชิ้น และตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้ใช่งานสักเท่าไร หึหึ หาโอกาสขายให้เธอดีไหม? ให้เธอย้อนกลับมาทำร้ายหุ่นเชิดของเรา? ไคลน์จิกกัดตัวเอง ยิ้มและส่ายหน้า
ชายหนุ่มตัดขาดการเชื่อมต่อ ส่งตัวเองกลับไปยังสายหมอกสีเทา หายไปจากท่อน้ำทิ้ง
…
เช้าวันจันทร์ แสงแดดอันเจิดจ้าส่องทะลุผ่านชั้นเมฆบาง ปกคลุมทั่วทุกมุมของเบ็คลันด์
เอ็มลิน·ไวท์ดึงหมวกไหมพรมลง หลังจากลงจากรถม้าและตรงไปยังวิหารฤดูเก็บเกี่ยว มันพึมพำพลางหลับตา
“อากาศแย่มาก… ฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดของเบ็คลันด์กำลังจะมาถึง”
ขณะเตรียมเดินอีกหนึ่งก้าว เด็กส่งหนังสือพิมพ์คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ยื่นฉบับ ‘ทัสซอค’ ให้และกล่าว
“มิสเตอร์ หนังสือพิมพ์ของเช้าวันนี้!”
เอ็มลินเตรียมปฏิเสธ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าอีกฝ่ายแนบกระดาษแผ่นเล็กมาด้วย
เอ็มลินล้วงหยิบเหรียญทองแดงหนึ่งเพนนีและส่งให้ รับหนังสือพิมพ์ทัสซอคพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กมาถือ
ก่อนจะเข้าสู่วิหารฤดูเก็บเกี่ยว มันคลี่กระดาษอ่าน กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว
“พบเบาะแสคนที่คุณกำลังตามหาแล้ว… มาที่ผับวีรบุรุษ”
ราชันเร้นลับ 789 : วันจันทร์ของแต่ละคน
Ink Stone_Fantasy
เก้าโมงครึ่ง ย่านสะพานเบ็คลันด์ ถนนประตูเหล็ก ผับวีรบุรุษ
หลังจากเอ็มลินลงรถม้า มันยืนอยู่กับที่ จ้องตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย เกือบลืมหลบแดด
ปัจจุบัน ประตูหน้าของผับกำลังปิดสนิทแน่นหนา ยังไม่มีวี่แววว่าจะเปิด
เป็นภาพที่หาชมได้ยากมาก ผีดูดเลือดที่เคยแวะเข้าผับเพียงไม่กี่ครั้งในตอนกลางคืน เอ็มลิน ไม่คิดไม่ฝันว่า ร้านประเภทนี้จะไม่เปิดทำการในตอนเช้า หลังจากอ่านกระดาษแผ่นดังกล่าวจบ มันรีบหันหลังกลับอย่างมีความสุข เดินออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว ใช้บริการขนส่งเพื่อตรงมาที่นี่ หวังว่าจะได้รับข้อมูลโดยเร็วที่สุด
เพื่อประหยัดเวลา มันยอมทนกับสภาพแวดล้อมอันคับแคบและกลิ่นไม่พึงประสงค์ของรถไฟใต้ดินไอน้ำ
แน่นอน เอ็มลินกำลังฉุนเฉียว แต่ก็ตระหนักว่าฝ่ายที่ผิดคือตน ทำได้เพียงยกมือขึ้นมาปิดหน้า ตัดสินใจสำรวจรอบๆ ถนนประตูเหล็กเพื่อฆ่าเวลา การเดินทางมาในครั้งนี้จะได้ไม่สูญเปล่า
ขณะกำลังเดินเข้าใกล้รถม้าที่จอดริมถนน บุคคลที่คุ้นเคยเดินผ่านไปตรงมุมสายตา
อีกฝ่ายสวมหมวกทรงโดมสีน้ำตาล เสื้อโค้ทตัวเก่า กระเป๋าสภาพยับเยิน ไม่ใช่ใครนอกจากเอียน พ่อค้าข่าวและอาวุธเถื่อนในตลาดมืด
หึหึ… สัญชาตญาณของเรายังเฉียบแหลมเหมือนเคย รู้อยู่แล้วว่าเขาจะมาตั้งแต่เช้า! เอ็มลินเปลี่ยนความโกรธเป็นความสุข ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เดินอย่างผ่อนคลาย หยุดลงตรงหน้าเอียน หัวเราะในลำคอ
“อรุณสวัสดิ์”
เอียนเงยศีรษะมอง จ้องชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า ตอบกลับด้วยสีหน้าเจือความประหลาดใจ
“อรุณสวัสดิ์… มิสเตอร์ไวท์ เวลาที่เหมาะสมในการมาหาผมคือตอนเย็น”
“แต่ตอนนี้เหมาะสมเหมือนกัน” เอ็มลินยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เอียน ทำไมคุณถึงใส่ชุดเดิมทุกครั้ง มีเสื้อผ้าที่คล้ายกันหลายตัว?”
เอียนตอบเสียงเรียบ
“มันทำให้ผมดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และไม่ตกเป็นจุดสนใจ… แน่นอน เหตุผลหลักคือผมไม่มีเงิน”
มันเสริมประโยคหลังด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ยังจะใส่ต่อไปในหน้าร้อน?” เอ็มลินหัวเราะ
“ผมก็แค่ถอดเสื้อนอก” เอียนตอบพลางหยิบกระดาษสองแผ่นออกจากกระเป๋าสภาพทรุดโทรม สิ่งนี้คือ ‘ใบค่าหัว’ ที่เอ็มลินเคยมอบให้เมื่อครั้งก่อน “พบเป้าหมายในฝั่งตะวันออก”
มันยื่นเอกสารให้เอ็มลิน บุคคลที่ถูกทำเครื่องหมายไว้คือ ‘อาร์กอส’
เมื่อพบเบาะแสสาวกของดวงจันทร์บรรพกาล เอ็มลินถามอย่างมีความสุข
“มันอยู่ที่ไหน?”
เอียนไม่ตอบ เพียงยิ้มโดยไม่กล่าวคำใด
เอ็มลินไม่ใช่คนโง่ รีบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาทันที ส่งเงินให้อีกฝ่ายหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์
“รางวัล”
เอียนยิ้ม
“เหลืออีกครึ่งหนึ่ง”
“อีกครึ่ง?” เอ็มลินพลันฉุนเฉียว นึกอยากจะทำให้พ่อค้าข่าวและอาวุธเถื่อนรายนี้ตระหนักถึงความน่ากลัวของผีดูดเลือด เนื่องจากข้อตกลงในตอนแรกคือ ยี่สิบปอนด์สำหรับเบาะแสที่ถูกต้อง หนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์สำหรับการระบุตำแหน่ง
ทว่า มันเริ่มตระหนักถึงความนัยของอีกฝ่าย จึงถามกลับด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลง
“เจออีกราย?”
“ครับ” เอียนยื่นกระดาษแผ่นที่เหลือในมือ “ในตอนที่เพื่อนของผมคอยจับตามองอาร์กอส ขณะกำลังจะยืนยันที่อยู่ เขาพบว่าอาร์กอสแอบไปพบกับสุภาพบุรุษที่ชื่อกาลิส·เควิน ดังนั้น พวกเราได้ตำแหน่งของเป้าหมายสองคนในคราวเดียว”
“ดีมาก” เอ็มลินควักกระเป๋าสตางค์ ยื่นธนบัตรอีกหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ให้เอียน
มันกำลังมีความสุขสุดขีด รู้สึกราวกับบรรพบุรุษและมิสเตอร์ฟูลกำลังอวยพรตนอย่างท่วมท้น เนื่องจาก ในการแข่ง ‘ล่า’ คราวนี้มีเหยื่อเพียงห้าราย มันล่ามาได้แล้วหนึ่ง และในมือมีอีกสองเบาะแส หากประสบความสำเร็จ ไม่ว่าผีดูดเลือดตนอื่นๆ จะทำอย่างไร พยายามมากแค่ไหน เอ็มลินก็สามารถประกาศชัยชนะเหนือทุกคนได้อย่างมั่นใจ
เอียนนับอย่างระมัดระวังพลางตรวจสอบความถูกต้องของธนบัตร ก่อนจะหรี่เสียงลงและพูด
“อาร์กอสพักอยู่บนชั้นสามของอาคารหมายเลข 6 ถนนหินปูน เขตตะวันออก ตรงข้ามกับห้องน้ำรวม… กาลิส·เควินเองก็อยู่ในเขตตะวันออก อาศัยในห้องติดบันไดชั้นที่หนึ่งของอาคารหมายเลข 19 ถนนวาฬขาว”
“จะตรวจสอบข้อมูลอีกที… แต่ผมเชื่อว่า คุณคงไม่ทำลายธุรกิจของตัวเองด้วยเงินเพียงสามร้อยปอนด์” เอ็มลินพยักหน้า กึ่งบอกเล่ากึ่งตักเตือน จากนั้นก็หัวเราะ “แล้วทำไมพวกมันถึงถูกพบง่ายนัก?”
ดวงตาสีแดงของเอียนขยับเล็กน้อย มองไปรอบๆ และตอบ
“ประการแรก ผมมีเพื่อนเป็นนักล่าค่าหัวหลายคน พวกเขามีสายข่าวมากมายในเขตตะวันออก… ประการที่สอง การปลอมตัวของสุภาพบุรุษทั้งสองยังไม่ดีพอ ในเขตตะวันออก พวกเขาโดดเด่นกว่าคนรอบข้างมากเกินไป เว้นเสียแต่จะเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสกปรกและเก่าโทรม คล้ายกับคนทำงานหนักราวสิบสองชั่วโมงต่อวัน ถ้าเป็นแบบนั้น คงเป็นการยากที่จะหาตัวพบในเขตตะวันออกอันแสนวุ่นวาย”
อย่างนี้นี่เอง… การปลอมตัวต้องใส่ใจความแตกต่างของสภาพแวดล้อมด้วย… เอ็มลินพึมพำ ตระหนักว่าตนได้เรียนรู้สิ่งใหม่
มันไม่มีแผนจะมุ่งหน้าไปยังเขตตะวันออกทันที เพราะแม้จะลงมือได้ระหว่างวัน แต่การหนีโดยไม่ให้ใครพบความผิดปรกติ นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก สิ่งนี้ค่อนข้างอันตรายในเบ็คลันด์ และนั่นหมายถึง ทูตพิพากษาหรือเหยี่ยวราตรี อาจแวะมาเคาะประตูบ้านทันทีเมื่อมันกลับไปถึง
หลังจากเสร็จชุมนุมทาโรต์ เอ็มลินค่อยเริ่มวางแผนและเตรียมตัว บุกเข้าไปในช่วงสองถึงสามทุ่ม ประเมินสถานการณ์และตัดสินใจว่าจะลงมือตอนไหน
สาวกดวงจันทร์บรรพกาลคนก่อนนับว่าไม่ธรรมดา สองคนนี้ก็คงมีฝีมือไม่เลวเช่นกัน มันมั่นใจว่าตนเอาชนะได้ แต่ลำพังพลังของตัวเองเพียงอย่างเดียว อาจยังไม่เพียงพอที่จะรับประกันความปลอดภัย… เอ็มลินโบกมือลาเอียน ภายในใจนึกทบทวนปัญหา ก่อนจะนั่งรถม้าเช่ากลับมายังย่านทิศใต้ของสะพาน
…
เมืองหลวงของแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก เมืองสโตน
ออเดรย์ยืนอยู่หลังราวบันได เฝ้ามองสาวใช้และคนรับใช้นำสิ่งของที่ขนย้ายมาจากปราสาทของตระกูล ไปวางตามจุดที่เหมาะสม บรรยากาศเป็นไปอย่างกระฉับกระเฉง เป็นระเบียบ ปราศจากความสับสน
คงต้องส่งคนไปหารองศาสตราจารย์มิตเชล บอกเขาว่าพรุ่งนี้เราจะไปเยี่ยมกองทุนขุดค้นและเก็บรักษาวัตถุโบราณ… หวังว่าพวกเขาจะรวบรวมวัตถุที่เกี่ยวกับผู้วิเศษมาได้บ้าง… ออเดรย์คิดอะไรเรื่อยเปื่อย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุม เธอกำลังภูมิใจกับความคิดในการบริจาคเงินเพื่อก่อตั้งกองทุน
ดวงตาสีเขียวที่งดงามราวกับอัญมณีหันไปทางด้านข้าง ตรวจสอบเวลาบนนาฬิกาผนัง ครุ่นคิดบางสิ่ง หมุนตัวเดินกลับไปยังห้องนอน
ที่มุมห้องนอน ซูซี่ โกลเด้นรีทรีเวอร์ตัวใหญ่กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น ไขว้สองขาหน้าอย่างสง่างาม
ตรงหน้ามีหนังสือเล่มหนึ่งเปิดค้างไว้ เต็มไปด้วยข้อความหลายบรรทัด
ซูซี่ยกขาหน้าขึ้นเป็นครั้งคราว ‘ฉึบ’ พลิกหน้าหนังสือ จ้องอ่านอย่างจริงจัง
ทุกครั้งที่เห็นซูซี่ทำตัวแบบนี้ เรารู้สึกละอายใจนิดหน่อย… ออเดรย์ เธอห้ามเกียจคร้านในการเรียนเด็ดขาด! ออเดรย์กระตุ้นตัวเอง ขยับเข้าไปใกล้ เตรียมสั่งให้ซูซี่ไปเฝ้าประตู
ซูซี่เงยหน้าขึ้น จ้องออเดรย์ ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและพูด
“ฉันรู้แล้ว!”
กล่าวจบ เธอวิ่งเหยาะๆ ออกจากห้องนอนด้วยความเร็วค่อนข้างสูง แถมยังไม่ลืมปิดประตู
“…เรายังไม่ได้พูดอะไรเลย” ออเดรย์กะพริบตาถี่ พึมพำกับตัวเอง
คำสั่งที่คล้ายกัน เธอเคยทำมาแล้วหลายครั้ง และเพื่อป้องกันไม่ให้ซูซี่จับสังเกตได้ว่า เธอชอบอยู่คนเดียวในห้องนอนช่วงบ่ายสามถึงบ่ายสามครึ่งของทุกวันจันทร์ ออเดรย์จึงจงใจทำสิ่งที่คล้ายกันในช่วงเวลาอื่นๆ – ออกคำสั่งไม่ให้ใครเข้ามาในห้อง บ้างแสร้งทำเป็นประชุม บ้างแสร้งทำเป็นอยากอยู่คนเดียว พยายามทำอย่างไม่มีแบบแผน อีกฝ่ายจะได้คาดเดาลำบาก
ว่ากันตามตรง การมีอยู่ของซูซี่ ช่วยเพิ่มแรงจูงใจ ประสิทธิภาพ และความเข้มงวดในการใช้ชีวิตของเรามาก… เราจะด้อยกว่าหมาไม่ได้เด็ดขาด! และถึงจะ ‘ดีกว่าหมา’ นั่นก็ฟังดูไม่เหมือนคำชมสักเท่าไร… ออเดรย์ทำแก้มป่อง นั่งลงข้างเตียง รอให้ชุมนุมทาโรต์เริ่มต้นขึ้น
…
บ่ายสามโมงตรง เหนือสายหมอกสีเทา
สองฝั่งโต๊ะทองแดงยาว ร่างมายาสีแดงเข้มปรากฏขึ้นทีละคนสองคน จนกระทั่งเค้าโครงคมชัด แต่รายละเอียดพร่ามัว
“ทิวาสวัสดิ์ มิสเตอร์ฟูล~” ‘จัสติส’ ออเดรย์ลุกขึ้นทำความเคารพอย่างกระฉับกระเฉง
สมาชิกที่เหลือเริ่มทักทายทีละคน มิสเตอร์ฟูลตอบสนองโดยการผงกศีรษะรับเล็กน้อย
หลังจากนั่งลง ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สอดไม่ได้ที่จะใช้หางตาชำเลือง ‘เดอะเวิร์ล’ ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนจะกล่าวกับอีกฝ่าย
นอกจากนั้น เธอยังต้องถ่ายทอดคำตอบของอาจารย์ให้กับ ‘เฮอร์มิท’ สรุปโดยสั้น วันนี้เธอยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ประการแรกบอกกับมิสเตอร์เวิร์ลว่า เมื่อพิจารณาจากความยากของงาน คุณสามารถเพิ่มค่าจ้างได้ แต่คงต้องรอสักพัก เนื่องจากการขายบ้านค่อนข้างใช้เวลานาน ประการที่สอง หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา เธอพบวิธีสร้างรายได้ไปพร้อมกับเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างแยบยล วิธีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการนำ ‘เงื่อนไข’ ของเดอะเวิร์ลมาต่อยอด : เปิดให้เช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ !
เมื่อเพื่อนสมาชิกต้องการสมบัติที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ชั่วคราว เพื่อรับมือกับสถานการณ์พิเศษ ทุกคนสามารถเช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ จากเธอได้ ค่าเช่าแบ่งเป็นสองส่วน หนึ่งคือเงินสด ต้องไม่แพงเกินไป อีกส่วนหนึ่งคือการบันทึกพลังเข้าไปแทนพลังของเดิม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้เช่าต้องรับปากว่า เมื่อคืนสมุดเวทมนตร์ จะต้องมีหน้าเพิ่มจากปรกติอย่างน้อยสองถึงสามหน้า
แน่นอน ในฐานะผู้ให้เช่า ฟอร์สจะบันทึกพลัง ‘เปิดประตู’ ของผู้ฝึกหัด รวมถึงพลังที่มีประโยชน์ในด้านอื่นๆ ช่วยให้ผู้เช่าได้รับการสนับสนุนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์
ส่วนที่เป็นปัญหาที่สุดของธุรกรรมนี้ก็คือ ผู้เช่าอาจหายตัวไปพร้อมกับหนังสือ แต่ชุมนุมทาโรต์มีมิสเตอร์ฟูลเป็นสักขีพยาน ฟอร์สเชื่อว่าคงจะไม่มีใครโลภหรือโง่มากพอจะทำเช่นนั้น
ในกรณีถ้ามีใครตาย การสูญเสียบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ จะถือเป็นเรื่องเล็กภายในชุมนุมทันที แต่ตอนนี้ทุกคนได้ทราบแล้วว่า พวกตนสามารถสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลได้ในช่วงเวลาสำคัญ นั่นจะยิ่งลดโอกาสเสียชีวิตลงจนเกือบจะเป็นศูนย์!
คิดจะทำธุรกิจ ก็ต้องมีความเสี่ยงกันบ้าง… เราต้องคุยกับมิสเตอร์เวิร์ลอีกที กำหนดช่วงเวลาที่เขาจะยืมใช้ หลีกเลี่ยงการยืมชนกัน… ขณะฟอร์สถอนสายตากลับ เธอได้ยิน ‘เฮอร์มิท’ กล่าว
“เรียนมิสเตอร์ฟูล คราวนี้มีไดอารีโรซายล์จำนวนสองหน้า”
ตั้งแต่ได้ติดต่อกับราชินีเงื่อนงำ ไดอารีก็มาไม่ขาดสาย… ไคลน์พยักหน้ารับ กล่าวพลางหัวเราะในลำคอ
“ดี”
หลังจากเงียบงันสักพัก ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเสกกระดาษสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมาสองหน้า เฝ้ามองพวกมันกระโดดไปยังฝ่ามือมิสเตอร์ฟูลในลักษณะคล้ายกับเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างมิติของโลกวิญญาณ
ไคลน์บรรจงลดสายตาลง นั่งอ่านไดอารีในมือ
“29 ธันวาคม ปีใหม่ใกล้เข้ามาถึงแล้ว”
“อนุสาวรีย์บรรจุศพทั้งหมดถูกเตรียมการเรียบร้อย เราถอยหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว”
ราชันเร้นลับ 790 : บทสุดท้ายของไดอารี
Ink Stone_Fantasy
อนุสาวรีย์บรรจุศพถูกสร้างขึ้น… ถอยหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว… ไคลน์จ้องไดอารีในมือด้วยความคิดเดือดพล่าน ข้อสันนิษฐานมากมายผุดขึ้นและหายไป
ตามความเห็นของมัน ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ฉบับนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่า สมมติฐานคราวก่อนของตนถูกต้อง : โรซายล์เลือกที่จะเปลี่ยนไปยังเส้นทาง ‘จักรพรรดิมืด’ ในช่วงบั้นปลายชีวิต เสี่ยงกลายเป็นเทพกึ่งเสียสติ เทพแท้จริงในลำดับ 0!
อะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้จักรพรรดิต้องทำถึงขนาดนี้? พิจารณาจากความปั่นป่วน แรงกระตุ้น และความบ้าคลั่งของไดอารีฉบับก่อนหน้า คุณไปเจออะไรเข้า? และเมื่อเทียบกับครั้งนั้น อารมณ์ในไดอารีหน้าปัจจุบันกำลังสุขุมและสงบนิ่งจนน่าเหลือเชื่อ แต่ขณะเดียวกันแฝงความรู้สึกที่รุนแรง… เดาไม่ออกเลย เกิดอะไรขึ้นกับจักรพรรดิในช่วงบั้นปลายกันแน่ บุคลิกถึงได้ต่างกันสุดขั้วเช่นนี้… เป็นอาการเสียสติที่เกิดจากสถานะของเทวทูต หรือมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตที่เป็น ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ของเขา? อา… ถ้าเข้ายังอยู่ในสภาวะปรกติ น่าจะรอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อกลืนกิน ‘ปราชญ์เร้นลับ’ ไม่ใช่หรือ? ไคลน์คิดหลายสิ่งในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มิอาจหาหลักฐานมาสนับสนุน
และในหน้านี้ของกระดาษ มีข้อความเขียนไว้เพียงสองบรรทัด ราวกับกำลังบอกว่า นี่คือไดอารีหน้าสุดท้ายในชีวิตจักรพรรดิโรซายล์มหาราช ตรงกับช่วงสิ้นปี ลากยาวไปถึงต้นปีใหม่ เป็นช่วงที่ถูกระบุว่าเขาตายในวังเมเปิ้ลขาว…
ข้อความสุดท้ายของมหาจักรพรรดิ ผู้เป็นนักเดินทางข้ามโลก? ไคลน์ถอนหายใจเงียบ พลิกไปยังไดอารีอีกหน้าหนึ่ง
หน้านี้ไม่มีวันที่ระบุ แต่เมื่อเงยขึ้น มันเห็นอักษรภาษาฟุซัคโบราณเขียนไว้ว่า
“ถัดจากเมื่อครู่”
อักษรบรรทัดนี้ถูกเงียบอย่างสวยงามและมีสติมั่นคง แตกต่างจากลายมือของจักรพรรดิโรซายล์ที่ผ่านๆ มาอย่างชัดเจน เห็นแวบแรกก็ทราบได้ทันทีว่าถูกเขียนเพิ่มโดยคนอื่น
คงเป็นการเขียนกำกับของราชินีเงื่อนงำ… เพื่อบ่งบอกว่า นี่คือจุดสิ้นสุดของไดอารีของจริง โดยถูกเขียนหลังจากจักรพรรดิระบุว่า ตนลงมือไปไกลจนไม่สามารถถอยหลังได้? แต่ทำไมถึงไม่มีวันที่กำกับ? ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจ แต่เมื่อก้มลงไปอ่านเนื้อหาด้านล่าง ดวงตาของมันพลันแข็งทื่อ
“ฉันเชื่อว่า บนโลกใบนี้ ฉันไม่น่าจะเป็นนักเดินทางข้ามโลกเพียงคนเดียว”
“ถ้ามีใครอ่านไดอารีของฉันออก โปรดจงจำไว้ว่า เลือกเส้นทางผู้วิเศษอย่างรอบคอบ”
“เพราะเส้นทางที่เลือก จะเป็นการกำหนดมิตรและศัตรูในอนาคต”
“ฉันไม่สามารถมอบคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงได้ เพราะไม่เคยโฉมหน้าที่แท้จริงของเทพทั้งเจ็ดมาก่อน ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเหล่าเทพมาร สิ่งเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองซึ่งองค์กรเก่าแก่ดังกล่าวครอบครอง แต่น่าเสียดาย ฉันทำได้แค่คาดเดาเนื้อในส่วนที่ถูกซ่อนไว้ ไม่สามารถยืนยันรายละเอียดได้ชัดเจน”
“ในทำนองเดียวกัน ฉันก็ไม่เคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่ง”
“คำเตือนที่มีประโยชน์ก็คือ อย่าเลือกเส้นทางที่ลำดับ 0 ไม่ว่างเด็ดขาด และยังต้องคอยระวังลำดับ 0 และ 1 ในเส้นทางใกล้เคียง ฉันต้องเผชิญความสูญเสียมากมายเพราะเรื่องนี้”
“และถ้าจะถามว่าลำดับ 0 คืออะไร ถ้าคุณยังไม่ทราบ พยายามหาไดอารีอื่นๆ ของฉันให้พบ”
“ฮะฮะ! หน้านี้เปรียบได้กับเนื้อหาบทสุดท้ายของชีวิตฉัน หากทำสำเร็จ หลังจากนี้จะมีเทพแท้จริงถือกำเนิดขึ้น กลายเป็นเนื้อหาบทใหม่โดยสิ้นเชิง แต่ถ้าล้มเหลว มันคงก็ไม่มีอีกแล้ว… คุณคงทราบเหตุผลดี”
“จงก้าวไปข้างหน้า สหายที่สามารถอ่านไดอารีของฉันเอ๋ย เพื่อสำรวจความลับที่พวกเราไขว่คว้าและความจริงเบื้องหลังมัน ฉันจะคอยเฝ้ามองคุณ… ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ล่ะนะ”
“และคำเตือนสุดท้าย จงจำไว้ว่า”
“ระวังดวงจันทร์ให้ดี!”
มีนักเดินทางข้ามโลกมากกว่าหนึ่งคน ไคลน์ไม่แปลกใจ เพราะตนทราบถึงการมีตัวตนของ ‘รุ่นพี่’ จักรพรรดิโรซายล์ได้จากไดอารี
สิ่งที่ชายหนุ่มสงสัยก็คือ โรซายล์ไปพบรายละเอียดหรือข้อมูลใดเข้า จึงทราบว่ามีนักเดินทางข้ามโลกมากกว่าหนึ่งคน?
ประเด็นนี้สำคัญมาก สำคัญอย่างยิ่งสำหรับไคลน์ ผู้กำลังหาทางกลับไปยังโลกเก่า!
คล้ายกับสมการที่มีตัวแปรไม่ทราบค่าอยู่หลายตัว หากตัวอย่างไม่เพียงพอให้เปรียบเทียบ ไม่มีเงื่อนไขเพียงพอ ไม่ว่าจะพยายามถอดสมการสักเท่าไร ก็ไม่มีวันได้รับคำตอบที่ชัดเจน ต้องรอจนกว่าจะได้สูตรการคำนวณที่ถูกต้อง ผลลัพธ์จึงจะปรากฏ
อา… จักรพรรดิคงบันทึกการค้นพบเรื่องดังกล่าวไว้ในไดอารีฉบับก่อนๆ น่าเสียดาย เราไม่มีทางเดาได้เลยว่าเป็นช่วงไหน ไม่อย่างนั้นคงตีกรอบการรวบรวมให้แคบลง… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ หันไปครุ่นคิดประเด็นอื่นที่ถูกเขียนไว้ใน ‘บทสุดท้าย’
สภานักสิทธิ์สนธยาปกปิดเนื้อหาบางส่วนของศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง?
“พวกมันจงใจซ่อน หรือยังรวบรวมมาไม่ครบ… หรือแท้จริงแล้ว ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน อึกครึ่งหนึ่งตกอยู่ในมือขององค์กรอื่น?”
“เส้นทางผู้วิเศษของเรา ได้รับอิทธิพลมาจากไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์… จากเนื้อหาของ ‘บทสุดท้าย’ ถ้าอ้างอิงจากกฎการอนุรักษ์พลังพิเศษ เราสามารถยืนยันได้ว่า เส้นทาง ‘นักทำนาย’ ยังไม่มีลำดับ 0 เพราะลำดับ 1 คือซาราธที่เสียสติ… หึหึ ในประเด็นนี้ เราสามารถเรียกได้อีกอย่างว่า กฎของความไม่ลงรอย จะไม่มีลำดับ 0 อย่างแน่นอน หากยังลำดับ 1 ยังมีชีวิตอยู่”
“บุคคลที่เราต้องระวังคือซาราธ มิสเตอร์ประตู ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ และพาลีส·โซโรอาสเตอร์ รวมถึงลำดับ 1 ตนอื่นๆ จากทั้งสามเส้นทางที่ใกล้เคียงกัน”
“ให้ระวังดวงจันทร์… หมายความว่ายังไง?”
“ดวงจันทร์บรรพกาล?”
“แล้วทำไมไม่เขียนตรงๆ?”
“ถ้าจำไม่ผิด จักรพรรดิเคยมีความคิดที่จะสำรวจดวงจันทร์สีแดง… หรือว่าลองทำดูแล้ว? ค้นพบอะไรเข้า? สำคัญจนถึงกับต้องบอกให้นักเดินทางข้ามโลกคนอื่นระวังตัว?”
“หรือว่า… ดวงจันทร์สีแดงเกี่ยวกับเดินทางข้ามโลก?”
“อา… สำเนียงการเขียนของจักรพรรดิช่วยบอกใบ้ว่า เขายังปิดบังข้อมูลบางอย่างเอาไว้ ปัจจุบันอาจยังไม่ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์ กำลังคอยจับตามองเราจากที่ใดสักแห่ง… เรื่องนี้อาจจะถูกเขียนไว้ในไดอารีก่อนๆ เช่นกัน”
หลังจากข้อสรุปและคำถามมากมายแล่นผ่านสมอง ไคลน์ค่อยๆ สะสางไปทีละหัวข้อ
จากนั้น ชายหนุ่มเสกไดอารีในมือให้หายไป หันไปทาง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา
“คำถามคืออะไร”
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาดันแว่นเลนส์หนาที่ดั้งจมูก ก้มลงและกล่าวด้วยความเคารพ
“เรียนมิสเตอร์ฟูล ดิฉันต้องการทราบว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จักรพรรดิโรซายล์จะยังมีชีวิตอยู่”
ทันทีที่เธอกล่าวจบ สมาชิกชุมนุมทาโรต์คนอื่นๆ ซึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง พลันตื่นจากภวังค์อย่างพร้อมหน้า รีบมองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวด้วยสายตาคาดหวัง
แม้ว่าเรื่องที่จักรพรรดิโรซายล์จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่ได้สำคัญกับพวกมันเลยก็ตาม แทบไม่กระทบกับการดำรงชีวิต แต่หัวข้อที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ย่อมกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ทุกคน!
เราคิดว่า หลังจากกลายเป็น ‘นักจิตบำบัด’ เราจะมีภูมิต้านทานกับเรื่องทำนองนี้เสียอีก… เฮ่อ ทำไมถึงได้อยากรู้ขนาดนี้! ‘จัสติส’ ออเดรย์มองมิสเตอร์ฟูลด้วยดวงตาเปล่งประกาย รอให้อีกฝ่ายเฉลยคำตอบ
จากบรรดาสมาชิกทั้งหมด มีเพียง ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคที่เรียกได้เต็มปากว่าไม่สนใจ แต่มันก็เป็นหนึ่งในคนที่มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว เพียงเพราะทุกคนก็ทำ
นึกแล้วเชียว… คำถามของราชินีเงื่อนงำจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของไดอารีที่เธอส่งมาเสมอ… ไคลน์มิได้ประหม่า เพียงหัวเราะในลำคออย่างเหนือชั้น
“อาจจะ”
คำตอบของมันคือ ‘อาจจะ’ แสดงให้เห็นว่า จักรพรรดิโรซายล์มีความหวังที่จะเอาตัวรอดจากความตาย ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้น ไม่มีใครคาดเดาได้ และไม่ได้อยู่ในแก่นสารของคำถาม และเหนือสิ่งอื่นใด อาจไม่มีใครทราบคำตอบไปตลอดกาล
อาจจะ… มิสเตอร์ฟูลหมายความว่า มีโอกาสที่จักรพรรดิโรซายล์จะยังมีชีวิตอยู่? ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาและคนที่เหลือ ต่างทำสีหน้าราวกับกำลังได้ยินความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก อารมณ์ตื่นเต้นเริ่มเผยในดวงตาแต่ละคน
ทว่า พวกมันเองก็ตระหนักถึงความนัยที่แฝงมากับคำตอบดังกล่าว เนื่องจากเนื้อหาของไดอารีไม่ค่อยปะติดปะต่อ และท่านยังอ่านไม่มากพอหลังจากเพิ่งลืมตาตื่นและฟื้นคืนพลัง มิสเตอร์ฟูลจึงไม่มั่นใจว่าจักรพรรดิโรซายล์ทำสำเร็จหรือไม่ จำเป็นต้องศึกษาจากเบาะแสและหลักฐานเพิ่มเติมในอนาคต
แต่ไม่ว่าอย่างไร จักรพรรดิโรซายล์ได้เตรียมใจที่จะถูกลอบสังหารไว้แล้ว
ขณะจัสติสและแฮงแมนกำลังเค้นสมอง ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ กล่าวเสียงเรียบ
“เชิญ”
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สสลัดเรื่องของโรซายล์ออกจากหัวอย่างยากลำบาก มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
“เรียนมิสเตอร์ฟูล ดิฉันขอสนทนาส่วนตัวกับมิสเตอร์เวิร์ล ใช้เวลาไม่นาน”
ยังต้องคุยอะไรกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีก? เรื่องขอมิสเตอร์ X ยังไม่จบหรือ? ไคลน์เกิดความฉงน พยักหน้ารับแผ่วเบา
“ตกลง”
จากนั้น ชายหนุ่มปิดกั้นประสาทสัมผัสของสมาชิกคนอื่น บังคับให้เดอะเวิร์ลยิ้มและถาม
“ยังมีอะไรอีกหรือ”
ฟอร์สนึกทบทวนสองสามวินาที ตอบกลับไป
“คือว่า… ศีรษะของมิสเตอร์ X นำมาซึ่งรางวัลตอบแทนมากมาย สำหรับเรื่องนี้ หากพิจารณาถึงระดับความยากของภารกิจ ฉันคิดว่าตัวเองจ่ายคุณน้อยเกินไป จึงอยากจะเพิ่มเงินสดให้อีกจำนวนหนึ่ง… คุณอยากได้เท่าไร?”
เยี่ยม! เป็นฝ่ายริเริ่มชดใช้ให้เอง… แม้ว่าในบางครั้ง มิสเมจิกเชี่ยนจะค่อนข้างโลภ เห็นแก่เงินเล็กๆ น้อยๆ เสมอ แต่ก็ถือว่าเป็นคนจริงใจและซื่อสัตย์ อา… การซื้อขายย่อมต้องทำกำไรสินะ ไม่ใช่ความโลภ… ไคลน์ที่เกิดความสุขอย่างคาดไม่ถึง ชมเชยสองสามคำในใจ บังคับให้เดอะเวิร์ลพูด
“เท่าไรก็ได้”
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สลังเลสักพัก ก่อนจะตอบ
“ห้าพันปอนด์”
รางวัลที่อาจารย์มอบให้นั้นมีมูลค่ารวมหนึ่งหมื่นปอนด์ เธอจึงคิดจะแบ่งให้มิสเตอร์เวิร์ลครึ่งหนึ่ง และเนื่องจากสูตรโอสถ วัตถุดิบหลัก และลูกแก้วคือสิ่งที่เธอต้องใช้ ดังนั้น สิ่งที่แปลงเป็นเงินสดได้ก็คือโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับ
นั่นคือเหตุผลที่ฟอร์สสามารถใจกว้าง โดยขณะเดียวกัน เธอเชื่อว่าภารกิจลอบสังหารมิสเตอร์ X มีระดับความยากมากกว่าที่ตนประเมินไว้ในตอนแรก ราคาที่อีกฝ่ายเรียกร้องจึงยังน้อยเกินไป และนอกจากนั้น เธอเริ่มหวาดกลัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์มากขึ้นทีละนิด ไม่กล้าทำให้นักผจญภัยเสียสติ นักล่าค่าหัวที่น่าพรั่นพรึงคนนี้ต้องขุ่นเคืองใจ
ตระกูลอับราฮัมจ่ายหนักเหมือนกันแฮะ… ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลหัวเราะในลำคอ
“ถ้าคุณสามารถแปลงเป็นเหรียญทองปอนด์ได้ ผมยินดีลดราคาให้ ขึ้นอยู่กับจำนวนเหรียญทองที่รวบรวมได้”
“ฉันจะพยายาม” แม้ว่าฟอร์สจะไม่เข้าใจว่า เหตุใดเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงยึดติดกับเหรียญทองนัก พูดเหมือนกับที่เคยกำชับ ‘เฮอร์มิท’ ก่อนหน้านี้ทุกประการ แต่เธอก็ไม่กล้าถามออกไป
หญิงสาวเว้นวรรค จากนั้นก็ถามประเด็นอื่น
“มิสเตอร์เวิร์ล คุณคิดจะยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ตอนไหน? ฉันจะได้วางแผนในช่วงก่อนหน้าและหลังจากนั้นถูก หาโอกาสปล่อยให้สมาชิกคนอื่นเช่า ทำเงินและรวบรวมพลังพิเศษไปพร้อมกัน”
“>ปล่อยให้เช่า? เช่าสมบัติวิเศษ? ไคลน์ตกตะลึงเมื่อได้ยิน คาดไม่ถึงว่า ‘เมจิกเชี่ยน’ จะมีหัวการค้าขนาดนี้!
ราชันเร้นลับ 791 : รูปแบบใหม่
Ink Stone_Fantasy
ในฐานะคนหนุ่มจากโลกเก่าที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคเครือข่ายข้อมูล ไคลน์ทราบทันทีว่ามิสเมจิกเชี่ยนคิดจะทำอะไร วางแผนอย่างไร และใช้สิ่งใดสำหรับสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ
นี่มัน… เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน… สำหรับชุมนุมทาโรต์ที่มีเดอะฟูล ปัญหาเชิงเทคนิคจะไม่ใช่อุปสรรค… มิสเมจิกเชี่ยนมักทำตัวขี้เกียจและจืดจางเสมอ คิดไม่ถึงว่าจะกระตือรือร้นในเรื่องแบบนี้… อา ส่วนหนึ่งคงฉุกคิดได้จากการที่เราขอยืมสมุดเวทมนตร์มาใช้งาน… แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ถือว่าเธอนำไอเดียไปปรับปรุงได้เร็ว เกิดเป็นโมเดลทางธุรกิจที่น่าสนใจ… ไคลน์จงใจบังคับให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะกล่าว
“สุดสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า… ผมอาจต้องใช้มัน”
ชายหนุ่มกะเกณฑ์เวลาที่มิสเตอร์แฮงแมนจะเดินทางจาก ‘วังวนนรก’ มาถึงเขตรอบนอกของหมู่เกาะรอสต์ ขณะเดียวกันจะทิ้งช่วงให้อีกฝ่ายมีเวลาปรับพลังวิญญาณให้มั่นคง รวมถึงการเติมเสบียง
เมื่อได้เวลา พวกมันจะร่วมมือกันสำรวจเกาะโบราณที่ยังไม่มีใครยึดครอง – เกาะที่เต็มไปด้วยสัตว์วิเศษ
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สรีบพยักหน้าหลังจากได้ยิน
“ตกลง ฉันจะได้จัดสรรเวลาถูก ไม่ให้ใครเช่าในช่วงที่คุณต้องการใช้”
หญิงสาวแอบโล่งใจ ขณะเดียวกันก็ขอร้องให้มิสเตอร์ฟูลเป็นสักขีพยานในสัญญาปากเปล่า หลังจากอีกฝ่ายอนุญาต เธอส่งสัญญาณให้สิ้นสุดการสนทนาส่วนตัว
จากนั้น หญิงสาวนำบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ออกมาแสดงต่อหน้าทุกคน มองไปรอบๆ
“ทุกคน ดิฉันมีสมบัติวิเศษ… มีทั้งหมดสามสิบแปดหน้า ทุกหน้าสามารถบันทึกพลังพิเศษลงไปได้ ขอเพียงได้เห็นกับตาตัวเอง โดยจะหายไปทันทีหลังจากใช้งาน แล้วก็ ประสิทธิภาพจะด้อยกว่าพลังต้นแบบ… แต่ละหน้าสามารถบันทึกพลังที่แตกต่างกัน… จากบรรดาหน้ากระดาษเหล่าทั้งหมด มีสามหน้าที่สามารถบันทึกพลังของครึ่งเทพลงไป แต่โอกาสสำเร็จต่ำมาก สิบครั้งอาจจะไม่สำเร็จเลย”
ขณะฟอร์สอธิบายการใช้งานและผลข้างเคียงของสมุดเวทมนตร์ ดวงตา ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือสว่างขึ้นเล็กน้อย
กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่เด็กใหม่ในโลกศาสตร์เร้นลับ เพียงได้ยินข้อมูล ก็สามารถประเมินค่าของสมุดเวทมนตร์ในมือมิสเมจิกเชี่ยนได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องปรึกษาหารือ ทุกคนคิดในใจตรงกันว่า สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีระดับทัดเทียมครึ่งเทพ
มีส่วนคล้ายกับคนเลี้ยงแกะ มีส่วนคล้ายกับยุบพองหิวโหย เป็นการรวบรวมพลังพิเศษหลากหลายชนิดไว้ใช้งานในสถานการณ์ที่แตกต่าง แต่ผลข้างเคียงต่ำมาก แถมยังสามารถบันทึกพลังของครึ่งเทพลงไป… ป้ายเลือดของตัวเอง… ขณะ ‘จัสติส’ ออเดรย์ครุ่นคิด ฝ่ามือของเธอสั่นระริกแผ่วเบาด้วยความกลัว
ในฐานะบุตรสาวของขุนนางใหญ่ ตั้งแต่เด็กจนโต เธอแทบไม่เคยมีแผล ดังนั้น ความเจ็บปวดที่ตัวเองไม่รู้จัก ย่อมเป็นบ่อเกิดของความหวาดกลัว
อาศัยจังหวะที่ฟอร์สเว้นวรรค ออเดรย์ยกมือขึ้น
“มิสเมจิกเชี่ยน คุณต้องการขายเท่าไร?”
ออเดรย์เชื่อว่า บิดาของตน เอิร์ลฮอลล์ ย่อมต้องมองเห็นคุณค่าของ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ เล่มนี้แน่ เธอสามารถซื้อไปและเบิกเงินคืนได้เต็มจำนวน ดังนั้น ไม่ว่าฟอร์สจะเสนอราคาเท่าไร ออเดรย์ก็ยินดีจะทุ่มจ่าย
ได้ยินมาว่า ในระยะหลัง ฟอร์สกำลังถังแตก ไม่อย่างนั้น คงไม่คิดขายสมบัติวิเศษแสนสำคัญและมีประโยชน์ขนาดนี้… ออเดรย์ครุ่นคิดพลางเห็นใจ เริ่มลังเลว่าตนควรเป็นฝ่ายเสนอราคาไปก่อนดีไหม
บ้าจริง! ทำไมไม่รอให้เรากลับจากเกาะโบราณนั่นก่อนค่อยขาย… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เองก็สนใจในบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ แต่ ณ ขณะนี้ มันมีเงินสดไม่พอที่จะซื้อสมบัติวิเศษ
หนึ่งพันสามร้อยปอนด์สำหรับคนธรรมดา คือเงินก้อนโตที่ต้องใช้เวลารวบรวมนานนับสิบหรือยี่สิบปี แต่นั่นกลับยังห่างไกลจากราคาที่แท้จริงของบันทึกการเดินทางของเลมาโน่อย่างมาก ห่างไกลจนเกินเอื้อม!
มูลค่าต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์แน่… ถ้าผู้วิเศษที่มีองค์กรใหญ่หนุนหลังรู้เข้า มีโอกาสที่จะขายได้มากถึงสามหมื่นปอนด์… อัลเจอร์ชำเลืองไปทางมิสจัสติส รวมถึงคนที่กำลังขยับแว่นลงอย่าง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาซึ่งคิดจะเข้าร่วมประมูลเช่นกัน มันทำได้เพียงถอนหายใจอย่างหดหู่ อัลเจอร์เชื่อว่า การค้าขายในคราวนี้คงลงเอยด้วยความสำเร็จ ซึ่งมันไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย ในใจลึกๆ กำลังหวังให้การค้าขายยืดออกไปจนกระทั่งมันกลับจากเกาะโบราณ
มิสจัสติสร่ำรวยมาก มาดามเฮอร์มิทก็มีราชินีเงื่อนงำและนิกายมอสส์คอยหนุนหลัง ไม่มีทางขาดแคลนเงินทุนและทรัพยากร เฮ่อ… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เปลี่ยนท่านั่ง มองอย่างใจเย็นไปที่ฝั่งตรงข้าม
‘เดอะมูน’ เอ็มลินและ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคต่างก็สนใจบันทึกการเดินทางของเลมาโน่เช่นกัน แต่ก็ทำได้แค่สนใจ เพราะพวกมันทราบดี ตนไม่มีทางเป็นผู้ชนะในการเสนอราคา
ได้ยินคำถามจากมิสจัสติส ฟอร์สเพิ่งตระหนักว่าตนลืมเล่าส่วนสำคัญที่สุดไป จึงรีบเสริมอย่างรวดเร็ว
“ผิดแล้ว มันไม่ได้มีไว้ขาย แต่ให้เช่า… หากคุณต้องการ สามารถเช่าได้ในระยะเวลาสั้นๆ โดยมีมิสเตอร์ฟูลเป็นสักขีพยาน”
เช่า? ทำได้ด้วยหรือ? ทันใดนั้น นอกจาก ‘เดอะฟูล’ ไคลน์และ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาและคนที่เหลือต่างพากันตกตะลึง
แน่นอน พวกมันทุกคนทราบว่าการเช่าคืออะไร แต่ไม่คิดว่าจะใช้ได้กับสินค้าประเภทสมบัติวิเศษ ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในชุมนุมทาโรต์!
ฟังดูเป็นไปได้ แถมยังราบรื่นกว่าที่คิด… หากเป็นเช่นนี้ สมาชิกทุกคนในชุมนุมทาโรต์จะได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า และค่าใช้จ่ายก็จะไม่สูงเกินไป อยู่ในอันตรายที่รับได้ แน่นอน คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือมิสเมจิกเชี่ยน สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่สิ สิ่งที่มีประโยชน์กว่านั้นก็คือ ในยามที่พลังพิเศษมากมายถูกบันทึกลงไป เธอสามารถรวบรวมพลังพิเศษที่แตกต่างกันจากหลากหลายเส้นทาง ถึงจะไม่รู้ว่ามากกว่ากี่เท่า แต่ก็มีประสิทธิภาพมากกว่าการบันทึกด้วยตัวเองคนเดียวแน่นอน! ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ตระหนักถึงแก่นสำคัญของการเปิดให้เช่าบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ มันถามออกไปขณะหัวใจกำลังอิ่มเอม
“คิดค่าเช่ายังไง?”
บันทึกการเดินทางของเลมาโน่คือสมบัติวิเศษในลำดับ 6 ตามปรกติ ราคาซื้อขาดจะอยู่ที่ห้าพันปอนด์ ทว่า ด้วยความยอดเยี่ยมของตัวหนังสือ มูลค่าจึงไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สที่สั่งสมประสบการณ์ในชุมนุมทาโรต์มาไม่น้อย ขบคิดเกี่ยวกับราคา
“ทุกการเช่า ราคาพื้นฐานคือสามร้อยปอนด์ เพิ่มห้าสิบปอนด์ต่อหนึ่งวัน และในตอนที่ส่งคืน หน้ากระดาษภายในหนังสือต้องมากกว่าตอนที่ยืมไป อย่างน้อยสองหน้า… ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีหน้าว่างหนึ่งแผนในตอนก่อนยืม เมื่อส่งคืนต้องไม่มีหน้าว่างเหลืออยู่เลย ต้องเติมเต็มสมุดให้เรียบร้อย”
เพิ่มขึ้นสองหน้า ไม่ได้หมายถึงการบันทึกพลังพิเศษลงไปสองครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้เช่าสามารถใช้พลังที่บันทึกลงในสมุดเวทมนตร์ได้ตามสบาย เพียงแต่ต้องชดเชยคืนที่ใช้ไปด้วย และเพิ่มเข้ามาใหม่ด้วยอีกสองหน้า ไม่จำเป็นต้องเป็นพลังชนิดเดิมเสมอไป สนใจเพียงจำนวนหน้ากระดาษ
ห้าสิบปอนด์ต่อวัน หนึ่งพันห้าร้อยปอนด์ต่อเดือน… หากเธออนุญาต เราสามารถเช่าลากยาวได้ถาวร… ‘จัสติส’ ออเดรย์คำนวณค่าใช้จ่ายอย่างคร่าว
แฮงแมนเองก็กำลังตื่นเต้นไม่แพ้กัน ภายนอกกล่าวอย่างสุขุม
“ผมขอเช่าสองวัน แต่ราคาที่แน่นอนต้องตกลงกันอีกที ขึ้นอยู่กับพลังพิเศษที่บันทึกไว้แล้วด้านใน”
ความมั่นใจที่จะสำรวจเกาะโบราณของมัน ตอนนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่า!
“จะเช่าเมื่อไร?” เมื่อพบว่าธุรกิจใหม่ของเธอมีลูกค้ามาใช้บริการทันที ฟอร์สถามอย่างตื่นเต้น
“เช่าสองวัน ระหว่างสุดสัปดาห์นี้ไปจนถึงสัปดาห์หน้า เวลายังไม่ตายตัว” อัลเจอร์ตอบโดยไม่ลังเล
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สขมวดคิ้ว ก้มหน้าเล็กน้อยและกล่าว
“ช่วงเวลาดังกล่าว มิสเตอร์เวิร์ลจองไว้แล้ว”
มิสเตอร์เวิร์ลจองไว้แล้ว? ตั้งแต่ตอนไหน? ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ
มันเพิ่งตระหนักว่า คงเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นในการสนทนาส่วนตัวเมื่อครู่
ทำไมถึงทำข้อตกลงดังกล่าวลับๆ? ไม่มีความจำเป็นที่มิสเมจิกเชี่ยนต้องให้เดอะเวิร์ลเช่าสมบัติวิเศษก่อนใคร… พวกเขาขอพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แปลว่ามีการค้าขายอื่นนอกเหนือจากนี้? เงื่อนไขแบบไหนกัน… จริงสิ ภารกิจเดิมของมิสเมจิกเชี่ยนคือการลอบสังหาร ‘ผู้ส่งสาร’ ของชุมนุมแสงเหนือ และมิสเตอร์เวิร์ลก็ตอบรับงานนี้… ผู้ส่งสารคนดังกล่าวสามารถการบันทึกและใช้งานพลังของคนอื่นได้หนึ่งครั้ง… หึหึ สอดคล้องกับคุณสมบัติขอบันทึกการเดินทางของเลมาโน่… หมายความว่า เดอะเวิร์ลจัดการได้แล้ว? มิสเมจิกเชี่ยนจึงติดหนี้เขาจำนวนหนึ่ง โดยหนี้ยังถูกสะสางไม่ครบ จึงเกิดเป็นการชำระหนี้ในรูปแบบใหม่นี้? อัลเจอร์ตัดความเป็นไปได้ออกไปทีละอย่าง จนกระทั่ง มันรู้สึกคล้ายกับตนค้นพบความจริง
ในขณะที่ทุกคนไม่รู้เรื่องราว เกอร์มัน·สแปร์โรว์ลงมือเชือดผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนืออย่างง่ายดาย ผู้ส่งสารที่ว่ากันว่ามีลำดับ 5!
ข้อสันนิษฐานดังกล่าวทำให้ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ถึงกับสั่นกลัว เพราะมันต้องทำงานกับเดอะเวิร์ลเป็นคนถัดไป
โชคยังดี มิสเตอร์ฟูลคอยเป็นสักขีพยาน… ในฐานะข้ารับใช้ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่มีทางละเมิดข้อตกลงต่อหน้าเทพ… อัลเจอร์ปลอบใจตัวเอง ถอนสายตากลับจากเดอะเวิร์ล
ขณะเดียวกัน ‘จัสติส’ ออเดรย์และ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเองก็เริ่มฉุกคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมิสเมจิกเชี่ยนและเดอะเวิร์ล ย้อนนึกไปถึงผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนือ และนึกขึ้นได้ว่า อีกฝ่ายมีพลังพิเศษคล้ายกับบันทึกการเดินทางของเลมาโน่มาก พวกเธอจึงเดาว่าเดอะเวิร์ลทำงานเสร็จแล้ว การเช่าสมุดเวทมนตร์เล่มนี้คือส่วนหนึ่งของค่าจ้าง
‘เดอะมูน’ เอ็มลินไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้เลย ในใจเพียงท่องว่า สุดสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้ายังเช่าไม่ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สองสามวันที่ยังเหลือของสัปดาห์นี้ เราเช่าได้ใช่ไหม? ถ้าหากมีความช่วยเหลือจากสมุดเวทมนตร์เล่มนี้ล่ะก็ สาวกดวงจันทร์บรรพกาลทั้งสองคงมิอาจทำอันตรายเราได้… เอ็มลินมองไปรอบตัว ลึกๆ แล้วค่อนข้างกังวล แต่ภายนอก มันกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ข้าขอเช่าวันนี้และพรุ่งนี้… ได้ไหม?”
“สี่ร้อยปอนด์ บวกกับพลังพิเศษเพิ่มสองหน้า” ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สระบุราคาทันที
‘เดอะมูน’ เอ็มลินพยักหน้าแผ่วเบา
“เจ้าเริ่มแนะนำพลังพิเศษที่ถูกบันทึกไว้ได้เลย ถ้าพวกมันไม่สอดคล้องกับพลังของข้า หวังว่าราคาจะถูกลงจากเดิม เพราะข้าเองก็ต้องเสียเวลาบันทึกลงไปใหม่”
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สพลิกหน้าบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ เริ่มแนะนำคร่าวๆ
“เปิดประตู” … “ตุกติก” … “เทคนิคการล้ม” … “เทเลพอร์ต” … “อสนีบาต” … “ลอย” … “ร่อน” … “ลมเฉือน” … อะไรกัน? ทำไมถึงมีพลังของขอบเขตพายุเต็มไปหมด? เป็นผลมาจากการที่มิสเตอร์เวิร์ลยืมไปใช้? มิสเตอร์ฟูลช่วยบันทึกพลังพิเศษของ ‘เทพสมุทร’ ลงไป? ไว้กลับถึงวิหารเมื่อไร เราค่อยสืบสวนหาเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในกรุงเบ็คลันด์ ผู้ส่งสารคนนั้นไม่มีทางตายไปเงียบๆ แน่… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ที่นั่งฟังคำบรรยาย เริ่มอยากจะสืบสวนหาความจริง
ราชันเร้นลับ 792 : อำนาจของเดอะฟูล
Ink Stone_Fantasy
ทางด้าน ‘เฮอร์มิท’ เองก็เชื่อมโยง ‘เดอะเวิร์ล’ เข้ากับพลังพิเศษที่ถูกบันทึกไว้ในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่เช่นกัน คิดย้อนไปถึงคทาเทพสมุทรที่มีต้นกำเนิดจากคาเวทูว่าในมือมิสเตอร์ฟูล
ไม่แน่ใจว่าจะจ่ายไหวไหม แต่เราอยากให้มิสเตอร์ฟูลช่วยบันทึกพลังในขอบเขตพายุและขอบเขตของตัวท่านเองลงไป… หากท่านยินยอม วิธีนี้จะดีกว่าการไปขอร้องจากนิกายมอสส์ เพราะอีกฝ่ายจะทราบว่าเรา ‘มี’ บันทึกการเดินทางของเลมาโน่… อา คงต้องเขียนไปแจ้งให้ราชินีทราบก่อน… บางที ท่านอาจช่วยมาแสดงพลังบนอนาคตกาล… ยิ่งครุ่นคิด แคทลียาก็ยิ่งพบว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าเกินกว่าระดับของมัน น่าเสียดายมากที่มิสเมจิกเชี่ยนแค่ให้เช่า ไม่ได้ขาย
หลังจากได้ยินรายละเอียด ‘เดอะมูน’ เอ็มลินแอบโล่งใจ เนื่องจากพลังพิเศษในขอบเขตของสายฟ้า ถือเป็นของแสลงสำหรับพวกแวมไพร์เทียม
แน่นอน เป็นของแสลงของญาติพี่น้องมันด้วย
เยี่ยมมาก… เราเคยกังวลว่าอาจต้องขอความช่วยเหลือจาก ‘เดอะซัน’ … ส่งบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ไปให้เขา ขอร้องให้ช่วยบันทึกพลังประเภท ‘ชำระล้าง’ ลงไป… เอ็มลินคลายความกังวลลงหลายส่วน ถอนสายตาจาก ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคด้านข้าง หันไปกล่าวกับ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส
“ตกลง”
เงินสี่ร้อยปอนด์ผนวกกับการต้องบันทึกพลังพิเศษลงไปสองสามชนิด เทียบไม่ได้เลยกับภารกิจที่ตนต้องทำให้เสร็จ
ได้เงินเร็วมาก แถมยังได้พลังพิเศษเพิ่ม… ฟอร์สเริ่มพบว่าอนาคตของเธอค่อนข้างสดใส รีบเผยรอยยิ้มและตอบ
“ตกลง ไว้จบชุมนุมเมื่อไร ฉันจะขอให้มิสเตอร์ฟูลส่งไปหาคุณ”
ถัดมา หญิงสาวหันหน้าไปทาง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา
“มาดาม ทายาทสายตรงของตระกูลอับราฮัมมอบคำตอบกลับมาแล้ว คุณต้องการสนทนาส่วนตัว หรือให้ดิฉันพูดออกมาเลย”
แคทลียาครุ่นคิดสักพัก
“สนทนาส่วนตัว”
เพียงไม่นาน ประสาทสัมผัสของทุกคนถูกผนึก ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สถ่ายทอดคำพูดของอาจารย์
“พวกเขาเองก็ไม่ทราบข้อมูลของมิสเตอร์ประตูมากนัก ทราบเพียงสองสิ่ง ไม่สิ สามสิ่ง… ข้อแรก หนึ่งในบรรพบุรุษของตระกูล มีคนที่เรียกตัวเองว่ามิสเตอร์ประตูอยู่ด้วย… ข้อสอง บรรพบุรุษรายนี้หายตัวไปในสงครามสี่จักรพรรดิ คนของตระกูลพยายามอย่างหนักในการสืบหาเบาะแส แต่ก็คว้าน้ำเหลว… ข้อสาม ขณะเกิดปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงและจันทราโลหิต พวกเขาจะได้ยินเสียงเพรียกที่สามารถทำให้คลุ้มคลั่ง… นอกจากนั้น พวกเขายังไม่สะดวกที่จะติดต่อเป็นการส่วนตัว”
สำหรับข้อที่สาม ฟอร์สเพิ่มเข้าไปเอง ขณะเดียวกันหวังว่ามาดามเฮอร์มิทและราชินีเงื่อนงำที่อยู่เบื้องหลัง จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์ถึงปัญหาของมิสเตอร์ประตู ช่วยให้ตระกูลอับราฮัมรอดพ้นจากคำสาป
มิสเตอร์ประตูคือบรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัม… หายตัวไปในสงครามสี่จักรพรรดิ… และพวกเขาจะได้ยินเสียงเพรียกทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์จันทร์เต็มดวง? อา… มิสเตอร์ฟูลช่วยยืนยันข้อสุดท้ายให้แล้ว ไม่มีอะไรต้องเคลือบแคลง… กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่ามิสเตอร์ประตูจะหายตัวไป แต่ก็ยังอาศัยเสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวงเพื่อสร้างอิทธิพลกับผู้วิเศษในเส้นทางเดียวกัน รวมไปถึงทุกสิ่งมีชีวิตที่ใช้สมบัติวิเศษของเส้นทางดังกล่าว หมายความว่า ตัวเขายังไม่ตัดขาดจากโลกความจริงไปโดยสิ้นเชิง… นั่นคือเหตุผลที่จักรพรรดิโรซายล์สามารถต่อติดเขาได้? ราชินีเคยเล่าว่า คนของตระกูลอับราฮัมบางรายเคยรับใช้จักรพรรดิ… แคทลียาลองคาดเดา พยักหน้าเล็กน้อย
“ถ้ามีคำถามเพิ่มเติม ดิฉันจะถามคุณใหม่… วันนี้จะจ่ายที่เหลืออีกหกร้อยห้าสิบปอนด์ให้”
หกร้อยห้าสิบปอนด์ รวมกับสี่ร้อยปอนด์จากมิสเตอร์มูล เฉพาะวันนี้วันเดียว เราทำเงินได้มากถึง 1,050 ปอนด์ รวมกับเงินเก็บอีกเจ็ดร้อยสามสิบปอนด์ และราวหนึ่งพันปอนด์ที่จะได้จากการขายที่ดินสองแปลงและแบ่งเงินกับมิสเตอร์เวิร์ล เมื่อผนวกเข้าด้วยกัน เงินออมของเรากำลังจะมีมากถึงสามพันปอนด์! หมายความว่า ปัจจุบันเรามีเงินเพียงพอที่จะซื้อวัตถุดิบหลักของ ‘นักบันทึก’ แล้ว แถมยังเหลืออีกพอสมควร… ฟอร์สพบว่าตัวเองเริ่มร่ำรวย
รวยจนเริ่มลังเลว่า ตนควรช่วยซิลซื้อตะกอนพลัง ‘นักสอบสวน’ ให้ก่อนหรือไม่ เป็นการชดเชยความเสี่ยงที่เพื่อนสนิทคนนี้ต้องเผชิญในแผนลอบสังหารมิสเตอร์ X
รอจนกระทั่งทุกคนได้รับประสาทสัมผัสกลับคืน ฟอร์สได้ยินเกอร์มัน·สแปร์โรว์ชิงพูดก่อนที่ตนจะได้เอ่ยปาก
“ผมต้องการสมบัติวิเศษเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ จะลำดับ 9 หรือ 8 ก็ได้”
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาใช้ความสักพักก่อนจะตอบ
“ดิฉันช่วยคุณถามให้ได้ แต่ว่า สมบัติวิเศษเส้นทางนักจารกรรมมีจำนวนไม่มาก ราคาอาจสูงกว่าปรกติ”
“ไม่มีปัญหา” ไคลน์ตอบกลับด้วยเดอะเวิร์ล
จากนั้น ชายหนุ่มบังคับให้หุ่นเชิดมองไปทางเศรษฐีใหม่ มิสเมจิกเชี่ยน
“ผมต้องการขายตะกอนพลังนักสอบสวนหนึ่งก้อน ราคาเพียงหนึ่งพันปอนด์”
ตามปรกติแล้ว ตะกอนพลังลำดับ 7 ที่ใช้แทนวัตถุดิบหลักได้โดยตรง จะมีราคาประมาณหนึ่งพันสองร้อยปอนด์ แต่เนื่องจากในปัจจุบัน ไคลน์ครอบครองถึงสองก้อน และพิจารณาว่าตนใช้รูปลักษณ์ของซิลในการเข้าร่วมชุมนุมลับมิสเตอร์ X พฤติกรรมทำดังกล่าวอาจนำพาอันตรายมาให้เธอ จึงยินดีลดราคาให้เล็กน้อย
แค่หนึ่งพันปอนด์… ยังกับราคาเซลล์ในห้าง! แต่ทำไมมิสเตอร์เวิร์ลถึงรู้ว่าเราต้องการ? จริงสิ เขาเป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… เมื่อเรามีเงินมากพอจะซื้อ ตัวเขาที่มีตะกอนพลังอยู่แล้วจึงเสนอขาย… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สงุนงงสองสามวินาที เกือบลืมตอบสนอง
ระหว่างนั้น ‘จัสติส’ ออเดรย์ยอมตัดใจไม่ซื้อ เพราะเธอทราบดีว่าซิลต้องการสิ่งนี้
หนึ่งพันปอนด์? ตะกอนพลังนักสอบสวนเนี่ยนะ? ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาอดคิดไม่ได้ว่า มิสเตอร์เวิร์ลมีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่ ก่อนจะได้ยินเสียงพูดของ ‘เมจิกเชี่ยน’
“ตกลง!”
เรายังไม่ทันจะเสนอราคา… แคทลียารำพัน แต่ภายนอกยังคงเงียบงัน
เธอตระหนักได้อย่างเลือนรางว่า มิสเตอร์เวิร์ลและมิสเมจิกเชี่ยนรู้กันในเรื่องนี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปแทรก
ในทำนองเดียวกัน เธอเองก็สัมผัสได้ว่า มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับมิสเตอร์แฮงแมน ในการชุมนุมสัปดาห์นี้ ตัวตนของอีกฝ่ายถูกยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน แถมบรรยากาศรอบๆ ตัวยังเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยไล่ล่าสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ … แถมยังมาถามเราว่า สัตว์ทะเลอ็อบนิสที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดของโบสถ์วายุสลาตัน อาศัยอยู่ในแถบใดบ้าง… คงเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม… เขาเลื่อนลำดับแล้ว? ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเริ่มตระหนักถึงวิกฤติ
ในฐานะ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ ผู้โด่งดังแห่งห้าห้วงสมุทร เธอมักรู้สึกเหนือกว่าสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์แสดงให้เห็นถึงพลังที่สามารถเด็ดหัวพลเรือเอกโจรสลัด และถัดมา ‘แฮงแมน’ ก็กลายเป็นลำดับ 5 ไปอีกคน แถมยังเป็นลำดับ 5 ที่เก่งกาจในยุทธการทางทะเล ส่งผลให้เธอตระหนักว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ดูแคลนอีกฝ่าย ความรู้สึกตื่นตัวที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ยามนี้กำลังพลุ่งพล่านภายในใจ
ทว่า ก้าวถัดไปของเราคือลำดับ 4 เป็นขอบเขตที่พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แถมยังได้ครอบครองเศษเสี้ยวพลังเทพ จะไปเลื่อนลำดับง่ายๆ ได้ยังไงกัน… เราเตรียมการมาหลายปีแล้ว แต่กลับยังมองไม่เห็นความหวัง… แคทลียาถอนหายใจเงียบ จ้องไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ เป็นฝ่ายเปิดปากถาม
“มีข่าวคราวของหยดเลือดสัตว์ในตำนานบ้างไหม?”
กำลังรอให้ถามอยู่พอดี! ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ฉีกยิ้มเมื่อได้ยิน บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบเสียงแหบพร่า
“เทวทูตตนดังกล่าวให้ผมมาถามคุณว่า คิดจะใช้สิ่งใดแลกเปลี่ยนกับเลือดหนึ่งหยด… เขาเน้นย้ำว่า สิ่งตอบแสนต้องสมน้ำสมเนื้อและทำให้เขาพึงพอใจ”
เทวทูต? มิสเตอร์เวิร์ลมีช่องทางติดต่อกับเทวทูตโดยตรง? แถมยังมีสิทธิ์ขอเลือดหนึ่งหยดจากอีกฝ่าย! ‘จัสติส’ ออเดรย์ประหลาดใจในตอนต้น ตามด้วยครุ่นคิด มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
เธอสงสัยว่าเดอะเวิร์ล ผู้เป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล กำลังติดต่อกับเทวทูตที่คอยรับใช้มิสเตอร์ฟูล!
ในตอนแรก เธอและเมจิกเชี่ยนเคยคิดว่า เดอะเวิร์ลคงทราบตำแหน่งคร่าวๆ ของเทวทูตเร่ร่อนสักตน แต่ใครจะไปคิด อีกฝ่ายกลับสามารถติดต่อกับเทวทูตได้ตามใจชอบ!
ต้องไม่ลืมว่า เทวทูตเดินดินนั้นมีสถานะเทียบเท่ากับผู้นำศาสนาคนปัจจุบันของบรรดาเจ็ดโบสถ์หลัก!
กะแล้วเชียว… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ เชื่อว่าสมมติฐานของตนในอดีตได้รับการยืนยัน
สมกับเป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาข่มอารมณ์ประหลาดใจและยินดี ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม
“ขอถามได้ไหมว่าเป็นเทวทูตจากเส้นทางใด”
หุ่นเชิดเดอะเวิร์ลมองไปรอบๆ พลางตอบ
“สัตว์ประหลาด”
สัตว์ประหลาด… หมายความว่าเป็นเทวทูตจากเส้นทาง ‘ชะตา’ ? เข้าใจแล้วว่าทำไมพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของมิสเตอร์ฟูลถึงมีคำว่า ‘ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ’ ระบุไว้… ‘จัสติส’ ออเดรย์ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคและคนที่เหลือต่างพากันประหลาดใจ เริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดปะติดปะต่อกันอย่างมีเหตุมีผล
ไคลน์พึงพอใจกับสายตาและท่าทีตอบสนองของสมาชิก แต่จากนั้นก็เริ่มพบปัญหา : ในพระนามเต็มที่ตนกุขึ้นส่งเดช ประโยคซึ่งเอ่ยถึงการครองพลังโชคลาภ คือสิ่งที่ช่วยระบุตำแหน่งมายังมิติสายหมอกแห่งนี้!
หมายความว่า สาเหตุที่คนของเส้นทาง ‘ชะตา’ มักมองเห็นความพิเศษในตัวเรา มีต้นตอมาจากสิ่งนี้? และการที่ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินเป็นฝ่ายเริ่มแสดงไมตรีและติดต่อเข้ามาเอง ก็เพราะเหตุผลนี้ด้วยเช่นกัน? จากสามส่วนของพระนามเต็มของเรา ท่อนแรกระบุถึงแก่นสารและตัวตน ท่อนที่สองระบุถึงขอบเขตของเทพ มีเพียงท่อนที่สามที่ระบุถึง ‘อำนาจ’ … ผู้ครองพลังโชคลาภ… แน่นอน คำว่า ‘เดอะฟูล’ ก็อาจแฝงอำนาจไว้บางส่วน… ไคลน์เริ่มพบว่า ตนควรรีบติดต่อกับทารกที่ยังไม่คลอดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นกกระเรียนกระดาษพร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ ลำพังการลบข้อความเดิมออกก็นับว่าอันตรายมากแล้ว
ทันใดนั้น ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาพูดขึ้น
“ขอบคุณที่ช่วยเป็นธุระให้ ดิฉันจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังและเร่งหาคำตอบโดยเร็ว”
เธอจะใช้โอกาสนี้เพื่อเป็นข้ออ้างในการติดต่อกับราชินีเงื่อนงำ ช่วยกันขบคิดว่าเทวทูตเส้นทาง ‘ชะตา’ ชื่นชอบสิ่งใด
เมื่อบทสนทนาระหว่างเฮอร์มิทและเดอะเวิร์ลจบลง ช่วงเวลาค้าขายก็สิ้นสุดลงเช่นกัน สมาชิกของชุมนุมทาโรต์เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก มองไปทาง ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน
“ฉันขอเตือนสองเรื่อง ข้อแรก จดจำให้ดีว่าพลังประเภทใดถูกบันทึกไว้ในหน้าไหน เพราะหากคุณเปิดผิดขณะต่อสู้ ใช้พลังออกไปผิดประเภท นั่นอาจก่อให้เกิดอันตราย”
เอ็มลินพ่นลมหายใจเหยียดหยัน
“ข้าเชื่อมั่นในสติปัญญาของตัวเอง”
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สไม่กล่าวคำใดต่อ เพียงหันไปบอกกับทุกคน
“เกิดเหตุร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับพลังพิเศษขึ้นในเขตตะวันออก รอบๆ จุดเกิดเหตุกลายเป็นเขตเฝ้าระวังทันที หากใครในพวกคุณคิดจะเดินทางไปที่นั่น อย่าลืมเพิ่มความระมัดระวังให้มากกว่าปรกติ”
เอ็มลินสนใจกับข้อมูลนี้ จึงหันไปถาม
“คุณพอจะทราบไหม เหตุร้ายที่ว่านั่นเกี่ยวกับอะไร?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น