Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 781-786
ราชันเร้นลับ 781 : ผลข้างเคียง
Ink Stone_Fantasy
จ้องมองศพมิสเตอร์ X สักพัก ไคลน์ข่มความคิดที่จะลงมือค้นศพด้วยตัวเอง จึงบังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลที่อยู่ด้านข้าง ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้มลงไปถอดแหวนทับทิมออกจากนิ้วมิสเตอร์ X
ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าสมบัติวิเศษของมิสเตอร์ X จะมีผลข้างเคียงเหนือจินตนาการ แต่คนที่ได้รับก็จะเป็นหุ่นเชิด ไม่ใช่ตน!
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด เซนอลกลับมาพร้อมแหวนทับทิม ธนบัตรสี่สิบแปดปอนด์ และกล้องยาสูบที่เต็มไปด้วยใบยาสูบ
แค่นี้…? ผู้ส่งสารของชุมนุมแสงเหนือมีทรัพย์สินแค่นี้? ไคลน์จ้องฉากตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ เกือบหลุดสบถว่า ‘ยาจกฉิบ!’
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มข่มสติกลับมา เริ่มพบว่าสถานการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างสมเหตุสมผล
มิสเตอร์ X เป็น ‘นักท่องเที่ยว’ สามารถบันทึกพลังพิเศษของผู้อื่น เรียกได้ว่ามีความชำนาญรอบด้าน ถึงแม้มันจะครอบครองสมบัติวิเศษ แต่ก็น่าจะ ‘บันทึก’ พลังของวัตถุดังกล่าวไว้ใช้งาน ไม่ต้องคอยพกพาติดตัวตลอดเวลา ด้วยวิธีนี้ มันสามารถเพลิดเพลินไปกับข้อดีของสมบัติวิเศษโดยไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียง หลีกเลี่ยงการตายด้วยฝีมือตัวเอง
“หากอ้างอิงจากแนวคิดดังกล่าว แหวนวงนี้ก็น่าจะมีพลังประเภทติดตัว หรือไม่ก็แสดงผลอัตโนมัติแบบมีเงื่อนไข”
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย บังคับให้เซนอลหยิบศีรษะของมิสเตอร์ X ส่งมาให้ตน ตัดการเชื่อมต่อและกลับมิติหมอก
เมื่อกลับมายังเก้าอี้ของเดอะฟูล ชายหนุ่มไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไป หยิบแหวนทองฝังทับทิมด้วยมือเปล่า ใช้พลังทำนายเพื่อยืนยันความสามารถที่แท้จริงของสมบัติวิเศษ
ชื่อบุปผาโลหิต…
ช่วยให้ผู้สวมใส่ตระหนักถึงร่างกายตัวเองได้ในเชิงลึก ตราบใดที่ไม่ถูกโจมตีจนเสียชีวิตในคราวเดียว หรือไม่ถูกครอบงำโดยสมบูรณ์ การควบคุมร่างเนื้อที่สูญเสียไป จะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาทีละนิด
พลังในระดับสัญชาตญาณ… พลังติดตัว…
ดูเหมือนว่า เราคิดถูกแล้วที่ใช้ ‘ลางมรณะ’ ปลิดชีพในคราวเดียว หากไม่ใช้พลังที่รุนแรงที่สุดโจมตีเข้าไป หากมิสเตอร์ X เกิดรอดชีวิต… มันจะคืนสติจากความเจ็บปวดแสนสาหัส หลุดพ้นจากการควบคุมของนักเชิดหุ่น… หมายความว่า มิสเตอร์ Xตระหนักถึงจุดอ่อนในฐานะ ‘จอมเวท’ ของตน เรื่องที่ร่างกายยังขาดการป้องกัน…
นอกจากพลังควบคุมร่างกาย แหวนวงนี้ยังมีเวทมนตร์เกี่ยวกับเลือด… น่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคต… ไคลน์ถือแหวนทับทิมไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างนำไปเคาะโต๊ะทองแดงยาวพลางพึมพำ
มันลงมือตรวจสอบผลข้างเคียงของ ‘บุปผาโลหิต’ ต่อทันที
หลายสิบวินาทีถัดมา ไคลน์ลืมตาขึ้น ออกจากภวังค์ความฝัน
นี่ไม่แย่เกินไปหน่อยหรือ…? ชายหนุ่มกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
อาศัยพลังทำนายฝัน มันตรวจสอบจนพบผลข้างเคียงด้านลบของ ‘บุปผาโลหิต’ นั่นคือการ ‘สุ่ม’ ทำให้ผู้สวมใส่สูญเสียสติปัญญา ตัดขาดจากความเป็นเหตุเป็นผล!
“…” สมกับเป็นพระผู้สร้างแท้จริง… ไคลน์ขบกรามพลางครุ่นคิด
ในเมื่อผลข้างเคียงเกิดขึ้นแบบสุ่ม หมายความว่า คนปรกติไม่สามารถใช้งานแหวน ‘บุปผาโลหิต’ วงนี้ได้!
ครุ่นคิดถึงฉากก่อนหน้า ไคลน์รำพันติดตลก
มิสเตอร์ X กล้าสวมแหวนวงนี้ได้ยังไง? หรือว่า หลังจากเป็นสาวกของพระผู้สร้างแท้จริง ความเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์จะหายไป ดังนั้น การสวม ‘บุปผาโลหิต’ เข้าไปจึงไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลง?
นั่นสินะ… การสูญเสียเหตุและผล ยังไม่เท่ากับกลายเป็นบ้า อย่างน้อยก็ไม่ทำร้ายคนอื่นส่งเดช… แต่ก็ยังกลายเป็นคนโง่โดยสมบูรณ์อยู่ดี เคลื่อนไหวร่างกายไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น…
ฟู่ว… ไคลน์พ่นลม ตัดสินใจโยนแหวน ‘บุปผาโลหิต’ เข้าไปในกองขยะ ขจัดความรู้สึกนึกเสียดายทิ้งไป ตามความเห็นของมัน ไม่เพียงตนจะมิอาจใช้งานแหวนวงนี้ แม้แต่การขายก็ยังทำไม่ได้!
คงไม่มีใครยอมซื้อแน่… เว้นเสียแต่จะเป็นคนของชุมนุมแสงเหนือ แต่ถ้าทำแบบนั้น พระผู้สร้างแท้จริงคงกำลังดีใจ…
ขณะเดียวกัน มุมสายตาชายหนุ่มชำเลืองผ่าน ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลด้านข้าง
หัวใจไคลน์พลันเต้นแรง นำมือทั้งสองข้างตบฉาดเข้าหากัน
เรื่องง่ายๆ แค่นี้… ทำไมเราคิดไม่ออก? ถึงตัวเราจะไม่สามารถใช้งาน แต่หุ่นเชิดของเราใช้งานได้แน่นอน! เพราะทั้งหมดทั้งมวล หุ่นเชิดทำได้เพียงรับคำสั่งจากร่างต้น ไม่มีสติไว้คิดเองอยู่แล้ว!
‘พลเรือเอกโลหิต’ ‘บุปผาโลหิต’ … นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ! แม้ว่าเซนอลจะมิอาจควบคุมร่างกายตัวเองเนื่องจากตายไปแล้ว แต่เราสามารถทำแทนได้
ด้วยพลังของแหวน ต่อให้สลับเป็นวิญญาณอาฆาตไม่ทัน หรือร่างกายซอมบี้ไม่แข็งแกร่งมากพอ ถูกโจมตีจนแขนขาขาด แต่เราก็ยังสามารถบังคับให้เคลื่อนไหวได้ตามใจนึก…
แน่นอน สำหรับหุ่นเชิด พลังประเภทนี้ไม่สำคัญมากนัก แก่นสารอยู่ที่เวทมนตร์เกี่ยวกับเลือดต่างหาก…
ไม่กี่วินาทีถัดมา ไคลน์ที่กำลังอารมณ์ดี บังคับให้เซนอล ผู้สวมหมวกสามมุมและแจ็คเก็ตสีแดงเข้ม หยิบแหวนทับทิมบนโต๊ะขึ้นมาสวมที่นิ้วชี้ข้างซ้าย
จัดการเสร็จ ไคลน์บังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ กลับเข้าไปในเหรียญทอง ก่อนจะยกฝ่ามือซ้ายของตน กางนิ้วทั้งห้าออก
มันคิดจะปลดปล่อย ‘นักสอบสวน’ ในยุบพองหิวโหย!
นี่เป็นคำสัญญาที่เคยให้ไว้ในตอนแรก
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งไคลน์ได้รับยุบพองหิวโหย ‘นักสอบสวน’ คือวิญญาณดวงสุดท้ายที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย
ท่ามกลางสายลมเย็นสบาย ร่างวิญญาณพร่ามัวและโปร่งใสปรากฏขึ้นด้านข้างโต๊ะทองแดงยาว
เป็นชายสวมเครื่องแบบทหารเรือยศนาวาโท วัยสามสิบ เคราสีน้ำตาล ใบหน้าเผยความเจ็บปวดและสับสน
“ชื่ออะไร ทำไมถึงถูกคีลิงเกอร์ฆ่า” ไคลน์ถามเสียงต่ำ
ชายคนดังกล่าวตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“ผมชื่อแอนดี้·ไฮเดิน ผู้ช่วยกัปตันเรือเอ็นมาร์ต เสียชีวิตในสมรภูมิกลางทะเล… ไม่สิ ผมยังไม่ตายในทันที แต่ถูกฝ่ายฟุซัคจับตัวไป ก่อนจะถูกกักขังอยู่ในถุงมือของคุณ… ผมไม่รู้จักคีลิงเกอร์ ไม่เคยได้ยินชื่อนั้นด้วยซ้ำ”
หมายความว่า ในตอนที่คีลิงเกอร์ได้รับยุบพองหิวโหย นักสอบสวนคนนี้ถูกขังในถุงมืออยู่ก่อนแล้ว? เป็นเพราะพลัง ‘ทะลวงจิต’ มีประสิทธิภาพสูง จึงไม่ถูกแทนที่? ชักอยากรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของยุบพองหิวโหยก่อนคีลิงเกอร์… ไคลน์ถามต่อด้วยความสนใจ
“ฝ่ายฟุซัคที่จับตัวคุณไปเป็นใคร? หน้าตาเป็นอย่างไร?”
แอนดี้·ไฮเดินครุ่นคิด
“ผมไม่ทราบชื่อของเขา จำได้เพียงว่ามียศนาวาเอก มีจมูกใหญ่มาก ดวงตาสีฟ้า ผมสีเหลืองทอง สูงเกือบสองเมตร”
พบได้ทั่วไปในฟุซัค… ยกเว้นยศนาวาเอก… ไคลน์ครุ่นคิด
“คุณเสียชีวิตในปีใด?”
ร่างวิญญาณของแอนดี้·ไฮเดินกำลังสลายตัว ค่อยๆ กระจัดกระจายทีละนิด จึงทิ้งท้ายได้เพียงประโยคเดียว
“1338”
สิบสองปีก่อน… นั่นสินะ… ‘พลเรือโทวายุ’ คีลิงเกอร์เพิ่งโด่งดังได้ไม่ถึงสิบปี… นาวาเอก… ตอนนี้คงเป็นพลเรือเอกของกองทัพเรือฟุซัค… ไคลน์พยักหน้า นึกเสียดายที่ตนไม่มีโอกาสได้ถามไถ่ความปรารถนาสุดท้ายของแอนดี้·ไฮเดิน
ช่างมัน… แค่ปล่อยเขาเป็นอิสระก็เพียงพอแล้ว… ไคลน์สลัดความคิดดังกล่าวทิ้ง เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
…
“…ฝากบอกมิสเมจิกเชี่ยนว่า มิสเตอร์ X ลูอิส·เวย์นเสียชีวิตแล้ว ให้เธอเตรียมประกอบพิธีกรรมรับหลักฐานยืนยันและหนังสือเวทมนตร์… หากผมต้องการยืมใช้งานอีกครั้ง จะแจ้งให้ทราบในภายหลัง”
สายหมอกสุดลูกหูลูกตาปกคลุมทัศนวิสัยฟอร์ส โสตประสาทมีเพียงคำพูดแสนเย็นชาของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังกังวาน แม้ว่าเธอจะเตรียมใจสำหรับข่าวนี้ไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินกลับยากจะทำใจเชื่อลง
เขาทำสำเร็จ…? พายุในเขตตะวันออกตอนนั้นเป็นฝีมือของเขา? ฟอร์สระงับความสับสนว้าวุ่น ฉวยโอกาสจากค่ำคืนอันเงียบสงัด ประกอบพิธีกรรมรับมอบภายในห้องนอน
เพียงไม่นาน บานประตูมายาที่ก่อตัวจากแสงเทียนและวัตถุวิญญาณเริ่มเปิดกว้าง วัตถุสองชิ้นลอยออกมา ตกลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ
เมื่อฟอร์สเพ่งมองใกล้ๆ เธอเกือบหลุดแหกปากลั่นบ้าน รีบใช้มือปิดปากไว้ได้ทันท่วงที ผงะถอยหลังสองก้าวจนเกือบชนกำแพงวิญญาณ
ชิ้นแรกคือ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ซึ่งเป็นของเธอ แต่อีกหนึ่งชิ้นคือศีรษะมนุษย์อันน่าสยดสยองซึ่งเต็มไปด้วยรอยแตกแขนงและคราบเลือด ราวกับใครบางคนบรรจงนั่งประกอบกลับมาใหม่ แสงสลัวจากกระจกยิ่งช่วยเพิ่มความหลอน
ในฐานะนักศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ รวมถึงเคยมีประสบการณ์ในคลินิกชื่อดัง ฟอร์สย่อมเคยเห็นศพผ่านตามานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีศพใดน่ารังเกียจและขยะแขยงเท่ากับศีรษะตรงหน้ามาก่อน ทั้งพิสดารและชวนให้ขนลุก
หลังจากข่มใจให้สงบ ฟอร์สจ้องศีรษะตรงหน้าอีกครั้ง ยืนยันว่าเป็นลูอิส·เวย์น
อันดับแรก เธอตรวจสอบให้แน่ใจด้วยพลังทางโหราศาสตร์ จากนั้นก็พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กๆ
มิสเตอร์เวิร์ลป่นกะโหลกของมันจนแหลก… จากนั้นก็ประกอบกลับมาใหม่?
ภาพหนึ่งผุดขึ้นในหัวฟอร์สโดยไม่ได้ตั้งใจ
เป็นฉากที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้เลือดเย็นกำลังนั่งบนโต๊ะ บรรจงหยิบชิ้นส่วนที่เปื้อนเลือดทีละชิ้น ประกอบกลับเข้าด้วยกันจนกลายเป็นศีรษะสภาพเกือบสมบูรณ์ ประหนึ่งกำลังเล่นเกมแก้ปริศนาตัวต่อ!
ภาพดังกล่าวทำให้ร่างกายฟอร์สสั่นสะท้านอย่างมิอาจหักห้าม เธอเริ่มไม่มั่นใจว่า ‘เดอะเวิร์ล’ เป็นนักฆ่าเสียสติ หรือเป็นผู้ป่วยจิตเวชขั้นรุนแรงกันแน่
ถอนสายตากลับ หญิงสาวเดินหน้าสองก้าว หยิบบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ขึ้นมาพลิกเปิด
แววตาของเธอค่อยๆ แข็งทื่อ เนื่องจากพบว่าจำนวนเวทมนตร์บนหน้ากระดาษเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนมาก เกือบทั้งหมดน่าจะเกี่ยวข้องกับเวทลมและสายฟ้า
นั่นทำให้ฟอร์สยิ่งนึกถึงพายุสายฟ้าที่สว่างวาบในเขตตะวันออก มั่นใจทันทีว่าเป็นฝีมือของมิสเตอร์เวิร์ล
ฟอร์สรีบพลิกสมุดเวทมนตร์ไปยังหน้าสีหน้าเหลืองไหม้ทั้งสาม แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
หญิงสาวเริ่มคาดเดาอย่างเลือนราง เชื่อว่า ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์คงได้รับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล ในการบันทึกพลังพิเศษของลำดับครึ่งเทพ
จริงสิ… ถ้ามีเงินและทรัพยากรมากพอ เราสามารถจ้างให้สมาชิกในชุมนุมทาโรต์ช่วยบันทึกพลังพิเศษที่แตกต่างกันลงไป หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น บันทึกการเดินทางของเลมาโน่ก็จะทรงพลังอย่างมาก… ทว่า เราไม่มีทั้งเงินและทรัพยากร… หืม… เราสามารถเรียกร้องรางวัลตอบแทนจากอาจารย์ได้ อ้างว่าเพื่อที่จะล้างแค้นเขา เราต้องสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก… ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก กล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูลเป็นอันดับแรก ก่อนจะฝากข้อความไปถึงเดอะเวิร์ล
“…ดิฉันรู้สึกผิดอย่างมากที่ค่าจ้างไม่สมน้ำสมเนื้อกับความยากของงาน หากได้รับรางวัลเพิ่มเติมเมื่อไร จะรีบดำเนินการชดเชยให้ภายหลัง”
สวดวิงวอนจบ ฟอร์สสิ้นสุดพิธีกรรม รีบนำศีรษะไปซ่อน
ถ้าซิลมาเห็นเข้า เธอคงจินตนาการถึงเรื่องราวสยองขวัญ… เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หญิงสาวรำพันด้วยท่าทีผ่อนคลาย
…
ขณะฟอร์สตอบกลับ ไคลน์ได้ส่งตัวเองกลับมายังโลกความจริงแล้ว จึงได้ยินเพียงเสียงสวดวิงวอนของสตรีอย่างเลือนราง
แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็อดสั่นกลัวจากก้นบึ้งไม่ได้ เนื่องจากจุดอ่อนใหม่ที่ปืนลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ มอบให้ก็คือ :
กลัวผู้หญิง!
ราชันเร้นลับ 782 : คืนวันเสาร์
Ink Stone_Fantasy
เช้าวันเสาร์ ไคลน์ในชุดนอนลูบศีรษะของตน ลุกขึ้นยืน
เมื่อคืนมันนอนไม่ค่อยหลับ เพราะภายในความฝัน สตรีมากหน้าหลายตาได้ปรากฏตัวออกมาอย่างชุลมุน สร้างความหวาดผวาจนต้องผงะตื่นบ่อยครั้ง ต้องใช้เวลาสักพัก กว่าจะสงบสติอารมณ์และหลับลงอีกครั้ง
โชคดีที่จุดอ่อนคงอยู่เพียงหกชั่วโมง และเราไม่มีเหตุให้ออกไปข้างนอกตอนดึก ไม่ต้องไปเจอหน้าบรรดาสาวใช้… ไคลน์ถอนหายใจพลางดึงเชือกข้างเตียง ส่งผลให้ริชาร์ดสันที่ยืนรอหน้าประตู เดินเข้ามาทันทีพร้อมกับเสื้อผ้าที่เจ้านายต้องสวมใส่วันนี้
เราไม่รู้ว่าอาโรเดสพูดอะไรออกไปบ้าง… ในตอนที่ริชาร์ดสันเห็นเรา ดูเหมือนว่าเขาพยายามหลบหน้า… การบอกประเภทผู้หญิงที่ชอบ นับว่าขัดต่อขนมธรรมเนียมทางสังคมในปัจจุบัน? ในตอนที่ไคลน์กลับมา ประโยคแรกที่ได้ยินก็คือ คล้ายกับ ‘กระจกวิเศษ’ กำลังกล่าวถึงตัวเอง แต่เรื่องราวดันไปสะกิดใจพ่อบ้านวอลเตอร์เข้าอย่างจัง ส่วนอีกหลายประโยคก่อนหน้านั้นยังเป็นปริศนา
ชายหนุ่มมิได้ใช้พลัง ‘ทำนายฝัน’ เพื่อตรวจสอบข้อมูล เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ริชาร์ดสันไม่ใช่พวกชอบขัดใจเจ้านายอยู่แล้ว ความเคารพที่เพิ่งขึ้นหรือน้อยลง จะไม่ส่งผลกระทบต่องานหลัก
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ไคลน์เดินลงไปยังชั้นสอง มาถึงห้องรับประทานอาหาร วอลเตอร์ที่สวมถุงมือสีขาวเหมือนทุกครั้ง กำลังยืนรอหน้าประตู
เมื่อเห็นดอน·ดันเตสเดินเข้ามาใกล้ มันก้าวออกมาข้างหน้า โค้งคำนับทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ นายท่าน วันนี้คุณมีชั่วโมงเรียนมารยาทสองคาบ และในช่วงเย็นต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านมิสเตอร์พอร์ตแลน·โมมงต์”
พอร์ตแลน·โมมงต์อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 100 ถนนเบิร์คลุน ทำงานประจำเป็นศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมอยู่ที่มหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ ขณะเดียวกันก็เป็นนักวิชาการหลวงประจำอาณาจักรโลเอ็น เนื่องจากเคยค้นพบโลหะผสมหลายชนิด รวมถึงการคว้ารางวัล ‘แสงแห่งจักรกล’ โมมงต์จึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลก เป็นรองเพียงทูรานี่·ฟอน·เฮลโมซีนเท่านั้น
นอกจากนั้น โลหะผสมหลายชนิดของมันยังถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่อเรือและการพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำ ลำพังรายได้จากสิทธิบัตรเพียงอย่างเดียว มากพอจะทำให้มันกลายเป็นเศรษฐีเจ้าของทรัพย์สินหลักแสนปอนด์
ได้ยินคำพูดวอลเตอร์ ไคลน์ชำเลืองอีกฝ่ายด้วยหางตา พบว่าขอบตาของมิสเตอร์พ่อบ้านค่อนข้างดำคล้ำ ถุงใต้ตาบวมผิดปรกติ คล้ายกับไม่ได้หลับสบายตลอดทั้งคืน
หากไม่มีพลังของผู้ไร้หน้าช่วยกลบเกลื่อน ดอน·ดันเตสก็คงอยู่ในสภาพเดียวกัน… ไคลน์ถอนสายตากลับด้วยความเห็นใจ ไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม เพียงพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบรับคำทักทายของพ่อบ้านวอลเตอร์ เดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร
ด้วยความสัตย์จริง ไคลน์ค่อนข้างทึ่งในพลังใจของตัวเอง ทั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับแม่มดบ่อยครั้ง ถูกหว่านเสน่ห์ใส่ก็หลายหน แต่ก็ยังสามารถข่มใจไม่ให้คล้อยตามได้เสมอ อย่างมากก็แค่เก็บมาฝันเปียกเงียบๆ คนเดียวตอนกลางคืน
เตือนความจำกันสักนิดว่า แม่มด โดยเฉพาะแม่มดในลำดับ ‘สุขสม’ หรือสูงกว่านั้น จะทรงเสน่ห์ต่อสิ่งมีชีวิตเพศชายเป็นอย่างมาก ไกลเกินกว่าผลของพลังพิเศษประเภทยั่วยวนทั่วไปจะเทียบติด ใครได้เห็นเป็นต้องหลงใหลในทุกอิริยาบถ เทียบเท่าได้กับการค่อยๆ พี้กัญชาจนความสุขปะทุถึงขีดสุด ถึงขั้นที่ไม่สามารถหลุดพ้นจากภวังค์ของแม่มดสุขสมได้ด้วยตัวเอง เกรงว่า คงมีเพียง ‘เกย์’ เท่านั้นที่สามารถข่มใจเอาชนะเสน่หาดังกล่าวได้
แน่นอน ไคลน์เชื่อว่าแม้แต่เกย์ก็ยากจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการครอบงำ เนื่องจากพลังของแม่มดจะสร้างอิทธิพลต่อทั้งจิตใจและฮอร์โมนในร่างกาย บังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากนั้น แม่มดส่วนใหญ่ยังเคยเป็นชายมาก่อน นั่นจะยิ่งลดกำแพงการต่อต้านลง
ดังนั้น แม้ว่าตนจะกลายเป็นผู้วิเศษลำดับ 5 แต่ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับแม่มดระดับทริสซี่หรือเทรซี่ ไคลน์ต้องคอยรักษาความมั่นคงของจิตใจให้สูงกว่าปรกติตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นจะถูกเสน่ห์เล่นงาน
แม้แต่ไคลน์ยังรับมือได้ยากขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงพ่อบ้านวอลเตอร์ ลำพังความเข้มแข็งทางจิตใจเพียงอย่างเดียว ไม่ช่วยให้หลุดพ้นได้แน่!
ไม่ว่าจะเป็นเพราะการตายขององค์ชายเอ็ดซัคหรือการเลื่อนลำดับ แต่เห็นได้ชัดว่าทริสซี่สามารถบริหารเสน่ห์ได้ในระดับที่น่าพรั่นพรึง… วอลเตอร์เป็นแค่คนธรรมดา ไม่สิ ถึงจะเป็นผู้วิเศษ อย่างมากก็ไม่เกินลำดับ 8 หรือ 9… การที่ยังรักษาสภาพปัจจุบันไว้ได้ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีแค่ไหน… ความจงรักภักดีต่อองค์ชายเอ็ดซัคเป็นของจริง รวมถึงความรักที่มีต่อภรรยาและลูก… ไคลน์ถอนหายใจขณะนั่งลง อาหารเช้าของวันนี้คือพายเดซีย์ที่มันโปรดปราน ความรู้สึกชุ่มฉ่ำที่ไหลเยิ้มออกมา ทำให้น้ำลายเกิดการแตกฟอง
…
ทะเลยามค่ำคืนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ เปื้อนแสงสีแดงสลัว บรรยากาศเงียบสงบกว่าตอนกลางวันพอสมควร
‘โทสะสีคราม’ กำลังกระเพื่อมแผ่วเบาท่ามกลางเกลียวคลื่น ลำเรือแล่นตรงไปข้างหน้าอย่างเงียบงันประหนึ่งพรายน้ำ จุดหมายคือทิศทางของพระจันทร์สีแดง
อัลเจอร์·วิลสันยืนบนหัวเรือ มองไปยังคลื่นทะเลห่างไกล ใบหน้าสุขุมเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ภายในใจกำลังตื่นเต้นเสียเต็มประดา
น่านน้ำตรงหน้าคือ ‘วังวนนรก’ ที่อยู่ทางทิศเหนือของเกาะโซเนีย!
ที่ได้ชื่อเช่นนี้เพราะในบริเวณดังกล่าว มักมีวังวนวารีแสนอันตรายผุดขึ้นโดยไม่แจ้งล่วงหน้า จึงถูกจัดให้เป็นน่านน้ำอันตรายที่เรือทั่วไปไม่อยากย่างกรายผ่าน
หลังจากรายงานความคืบหน้าภารกิจเสร็จและเดินทางออกจากเกาะปาซู อัลเจอร์สั่งให้ ‘โทสะสีคราม’ แล่นขึ้นเหนือ อ้อมเกาะโซเนีย ตรงมายังน่านน้ำแห่งนี้ทันที
ระหว่างทาง พวกมันแวะเมืองท่าเพียงเพื่อเติมเสบียงเพียงเท่านั้น ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์
ส่วนคำถามที่ว่า การแล่นเรือมาทางทิศเหนือจะไม่ถูกสงสัยเอาหรือ? เรื่องนี้อัลเจอร์ไม่กังวล เพราะโบสถ์วายุสลาตันชื่นชอบที่จะได้เห็น ‘กัปตัน’ ของศาสนจักรมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของทะเลโซเนียและทะเลหมอก สืบข่าวเกี่ยวกับจักรวรรดิฟุซัคและอินทิส รวมไปถึงข่าวกรองของโบสถ์สุริยันเจิดจรัสและโบสถ์เทพสงคราม
เหลือบมองเข้าไปในเขตห้องโดยสารเล็กน้อย อัลเจอร์ถอนสายตากลับและเดินมายืนที่หัวเรือ หยิบยันต์ที่ทำจากดีบุกขาว กำไว้ในฝ่ามือ ท่องมนต์เสียงต่ำ
“พายุ!”
เปลวไฟสีฟ้าอ่อนลุกโชน แผดเผาท่วมท้นยันต์แผ่นดังกล่าวโดยสมบูรณ์ อัลเจอร์สัมผัสได้ทันทีว่า สัตว์ทะเลเบื้องล่างกำลังเป็นมิตรกับตน
ในวินาทีนี้ ทั้งสองฝ่ายกำลังสื่อสารกันในระดับจิตวิญญาณ!
ยันต์ดีบุกขาวคือหนึ่งในเสบียงที่ได้รับมาจากเกาะปาซู ช่วยให้มันเป็นมิตรกับสัตว์ทะเลได้ระยะเวลาหนึ่ง รวมถึงการสื่อสารในระดับจิตวิญญาณเบื้องต้น
ท่ามกลางความคิดที่สอดประสาน อัลเจอร์ได้รับข้อมูลที่น่าผิดหวัง ต้องรอให้โทสะสีครามแล่นเข้าใกล้ ‘วังวนนรก’ มากกว่านี้ จึงค่อยลองทดสอบดูใหม่
เวลาไหลผ่านไป อัลเจอร์ที่ล้มเหลวมาแล้วเกือบร้อยครั้ง ในที่สุดก็ได้ทราบข่าวจากปลาเรนโบว์รันเนอร์เกี่ยวกับตำแหน่งของอ็อบนิส
ถ้าไม่รู้ล่วงหน้าว่าเป้าหมายอยู่ใกล้กับวังวนนรก เราคงถอดใจไปนานแล้ว การสุ่มหาไปเรื่อยๆ แทบไม่มีโอกาสได้รับคำตอบที่ถูกต้อง… อัลเจอร์สรุปผลในใจ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
มันใช้ยันต์ผูกมิตรสัตว์ทะเลไปเกือบหมด ปัจจุบันเหลือเพียงห้าแผ่นสุดท้าย
ถ้าได้กลับไป… คงต้องหามาเพิ่มอีกชุดใหญ่ ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจสังเกตเห็นว่าเรามีเหลือยันต์น้อยทั้งที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน… หืม… ได้ยินมาว่า กลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์มียันต์ประเภทนี้อยู่มาก… ขณะใช้ความคิด อัลเจอร์สั่งให้โทสะสีครามหักเลี้ยว ตรงไปยังพิกัดที่เพิ่งได้รับ
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง โทสะสีครามหยุดนิ่งบนผิวทะเล จากนั้น อัลเจอร์ควักกระป๋องโลหะปิดสนิทออกจากกระเป๋าเสื้อ
นี่คือแก๊สยาสลบของผีดูดเลือดที่ซื้อมาจาก ‘เดอะมูน’ ในราคาหนึ่งร้อยสามสิบปอนด์ สำหรับประสิทธิภาพของแก๊ส มันไม่มีข้อกังขาเพราะเคยใช้งานมาแล้วครั้งหนึ่ง
และเนื่องจากโทสะสีครามเป็นเรือผีสิง การเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนจึงไม่ต้องใช้คนมากนัก เพียงหนึ่งคนต่อหนึ่งคืน รับผิดชอบในการเฝ้าระวังอันตรายและคอยจับตามองพฤติกรรมเรือ ป้องกันไม่ให้เรือสร้างปัญหาหรือจงใจแล่นไปยังเขตอันตราย
ในฐานะกัปตัน อัลเจอร์สามารถกำหนดให้ตัวเองเป็นเวรยามในคืนนี้ได้โดยไม่มีใครสงสัย
เมื่อเตรียมความพร้อมเรียบร้อย มันเดินมายังประตูห้องลูกเรือ ควักท่อโลหะ เปิดกระป๋องที่ปิดสนิท ปล่อยแก๊สไล่เข้าไปทีละห้อง ไม่เว้นแม้กระทั่งห้องเก็บของที่ใช้เก็บของจิปาถะ เผื่อว่าลูกเรือบางคนไม่ยอมนอน แอบเล่นไพ่อย่างลับๆ
จัดการทั้งหมดเสร็จ อัลเจอร์ไม่รีบร้อนปรุงโอสถ เพียงนำวัตถุดิบทั้งหมดพกติดตัว เปลี่ยนเป็นชุดดำน้ำที่ทำจากหนังฉลาม กระโดดลงจากแผ่นกระดานกราบขวาของเรือ ปราศจากสุ้มเสียงและละอองน้ำกระเซ็น
ณ ใต้ทะเลที่มืดมิด ดวงตาอัลเจอร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นสิ่งรอบข้างได้ชัดเจน
มันสูดอากาศใต้น้ำด้วยความสบายใจ ดำดิ่งตรงไป จนกระทั่งถึงก้นทะเลที่มืดสนิท
จากนั้น อัลเจอร์ใช้ยันต์เป็นมิตรกับสัตว์ทะเลอีกครั้ง สื่อสารกับปลาพิสดารรอบตัว
อาศัยคำแนะนำจากปลาใจดี อัลเจอร์จำแนกทิศทาง ว่ายน้ำพลางถามเส้นทางเป็นระยะ จนกระทั่งมาถึงสถานที่ซึ่งดูคล้ายกับภูเขาไฟใต้ทะเล
ปลาเหล่านี้ไม่ทราบว่าสัตว์ทะเลอ็อบนิสอาศัยอยู่ที่นี่ รู้เพียงแต่ว่า สิ่งมีชีวิตในสายพันธุ์ของพวกมันจำนวนมาก รวมถึงนักล่าเจ้าถิ่นที่แข็งแกร่งบางส่วน หายตัวไปอย่างเป็นปริศนาในบริเวณนี้
อัลเจอร์เปิดใช้งานพลังพิเศษ มองไปยังจุดห่างไกล จนกระทั่งเห็นถ้ำมืดขนาดใหญ่บนภูเขาไฟใต้ทะเล เห็นหนวดยาวๆ ที่หนากว่างูเหลือมในป่าดิบชื้นของทวีปใต้ กำลังสะบัดแผ่วเบาออกจากปากถ้ำ
เมื่อได้เห็นปุ่มดูดขนาดมหึมาเรียงราย ได้เห็นผิวหนังอันหยาบกร้าน ได้เห็นถ้ำที่ใหญ่กว่าโทสะสีครามหลายเท่า อัลเจอร์เกิดความหวาดหวั่นจากก้นบึ้งจิตใจ ไม่กล้าเข้าใกล้ในทันที
สัตว์ทะเลอ็อบนิสมีพลังเทียบเท่าลำดับ 5 สินะ… นอกจากนั้นยังมีร่างกายใหญ่โตจนน่าขนลุก… อา… แต่เราสามารถยืนยันได้ว่าเจ้านี่คือเป้าหมาย… อัลเจอร์ว่ายน้ำระมัดระวัง หยุดในระยะปลอดภัย หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจ มันใช้งานยันต์ผูกมิตรกับสัตว์ทะเลอีกครั้ง
วินาทีถัดมา อัลเจอร์แผ่พลังวิญญาณไปในน้ำทะเล ถ่ายเทเข้าไปในถ้ำ พยายามสื่อสารกับจิตวิญญาณอันทรงพลังที่กำลังขดตัวอยู่
จิตวิญญาณขนาดมหึมาค่อยๆ คลายออก ความคิดที่สับสนว้าวุ่นเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ
ห้วงความคิดอัลเจอร์สงบนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะระเบิดปะทุราวกับภูเขาไฟ!
โฮก!
ท่ามกลางเสียงคำรามที่ชวนให้ขนลุก กระแสน้ำวนมายาถูกสร้างขึ้นภายในถ้ำ ดูดกลืนน้ำทะเล เศษขยะ และอัลเจอร์เข้าไปด้านใน
มันคิดจะฆ่าเรา! ดวงตาอัลเจอร์หรี่ลง ร่างกายที่มีผิวลื่นเริ่มพุ่งไปยังทิศทางตรงข้ามด้วยความช่วยเหลือจากแรงลม
อัลเจอร์รีบใช้พลังพิเศษอีกหลายชนิดต่อติดกัน จนกระทั่งหลุดพ้นจากอิทธิพลของวังวนมายา แน่นอน มันไม่กล้าอยู่ใกล้ถ้ำภูเขาไฟอีกต่อไป รีบลอยขึ้นเหนือน้ำด้วยความเร็วสูง
หลายสิบวินาทีถัดมา อัลเจอร์ที่รอดพ้นจากอันตราย พ่นฟองน้ำออกจากปาก ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อ็อบนิสตัวนั้นสามารถขัดขืนพลังของยันต์…
มันเกลียดชังวัตถุที่เจือปนออร่าของตัวตนที่เหนือกว่า?
รวบรวมสติสักพัก เมื่อตระหนักว่าตนมาได้ไกลแล้ว อัลเจอร์ไม่อยากปล่อยโอกาสให้สูญเปล่า ตัดสินใจสวดวิงวอนเป็นภาษาเอลฟ์ใต้ทะเล
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
ราชันเร้นลับ 783 : วาทศิลป์ในการสื่อสาร
Ink Stone_Fantasy
ขณะได้ยินเสียงเพรียกมายาที่ดังกังวานซ้อนทับ เนื่องด้วยเวลาที่ต่างกัน ไคลน์กำลังเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านของพอร์ตแลน·โมมงต์
งานเลี้ยงเริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่มครึ่ง มีกำหนดจบลงตอนสามทุ่มครึ่งหรืออาจสี่ทุ่ม เนื่องจากมื้ออาหารมีหลายคอร์ส ประกอบด้วยจานเรียกน้ำย่อย จานซุป จานเครื่องเคียง จานหลัก จานผลไม้ จานขนมหวาน และอื่นๆ รวมกันแล้วมากถึงเกือบยี่สิบจาน คนรับใช้จะคอยยกมาเสิร์ฟแขกทุกคนตามลำดับ มีการเก็บจานการและเปลี่ยนภาชนะอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก และยังคอยเว้นช่วงอาหารแต่ละจานไว้ให้แขกสนทนากัน สุภาพบุรุษควรเป็นฝ่ายริเริ่มสนทนากับสตรีทางฝั่งขวามือ
สรุปโดยสั้น… ช่างเป็นงานเลี้ยงที่วุ่นวายและเปลืองพลังสมอง ต้องคอยใส่ใจว่าอาหารจานใดจับคู่กับเครื่องดื่มอะไร… แต่รสชาตินับว่าไม่เลว… ไคลน์ใช้ประโยชน์จากจังหวะที่เนื้อแกะย่างกำลังถูกยกมาเปลี่ยน หันไปพูดกับมาดามวิลลิสทางขวามือ
“ขอประทานโทษครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน วางมือขวาไว้ระหว่างหน้าอกและท้อง ก้มตัวเล็กน้อยเพื่อขออภัยแขกร่วมโต๊ะ จากนั้นก็เดินปลีกตัวออกมา ตรงไปยังห้องน้ำบนชั้นสอง
เมื่อเข้าไปในห้อง ไคลน์ลงกลอนมิดชิด เดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่สายหมอกสีเทา
“…” เป็นคำสวดวิงวอนจากมิสเตอร์แฮงแมน… อยากให้เราช่วยทำให้อ็อบนิสเป็นมิตรกับเขา ยินดีตอบแทนด้วยไดอารีจักรพรรดิโรซายล์จำนวนสิบห้าหน้า หรือไม่ก็ภารกิจอื่นที่มีมูลค่าเท่าเทียม… เขาพัฒนาตัวเองเร็วมาก… ไคลน์บนเก้าอี้เดอะฟูล แผ่พลังวิญญาณเข้าไปสัมผัสกับดวงดาวสีแดงเข้มที่กำลังยุบพองตัว
ชายหนุ่มครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะตอบ
“จงสืบค้นข้อมูลของนาวาเอกแห่งกองทัพเรือฟุซัคทุกคนที่เข้าร่วมสงครามโคโนโต้ในปี 1338”
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ อาศัยคำบอกเล่าของวิญญาณ ‘นักสอบสวน’ ที่ตายในปี 1338 ด้วยฝีมือกองทัพเรือฟุซัค ไคลน์ผุดชื่อสงครามกลางทะเลที่สอดคล้องกับข้อมูลดังกล่าว
ตลอดทั้งปี 1338 ความสัมพันธ์ของโลเอ็นกับฟุซัคตึงเครียดอย่างหนัก เกิดการกระทบกระทั่งหลายครั้ง แต่มีเพียงสงครามเดียวที่คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ระดับนาวาโท นั่นคือสมรภูมิทางทะเลที่เกิดขึ้นแถบโคโนโต้ทางชายฝั่งไบลัมตะวันออก
และในกองเรือฟุซัค จำนวนนาวาเอกต้องมีไม่มากแน่นอน!
…
ท่ามกลางท้องทะเลลึกที่มืดมิด อัลเจอร์·วิลสันได้เห็นหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ได้ยินคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล
ให้เราสืบข้อมูลนาวาเอกทุกคนของกองทัพเรือฟุซัคที่ร่วมรบในสงครามโคโนโต้ปี 1338… เหตุใดมิสเตอร์ฟูลถึงสนใจนายทหารตัวเล็กๆ เช่นนี้? มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่? อัลเจอร์เริ่มใจเต้นแรง ไม่ลังเลอีกต่อไป ตอบรับในทันที
“ประสงค์ของท่านคือประสงค์ของข้า”
งานดังกล่าวอาจฟังดูค่อนข้างยากสำหรับอัลเจอร์ แต่ก็ไม่อันตราย เป็นประเภทที่ฝืนทำให้สำเร็จได้
หลังจากตอบสนอง อัลเจอร์ได้ยินเสียงทุ้มของมิสเตอร์ฟูลอีกครั้ง
“กลับไปหาเป้าหมายได้เลย”
เสร็จแล้ว? สมกับเป็นมิสเตอร์ฟูล! หลังจากได้ยึดครองอำนาจ ท่านทำตัวสมกับฉายา ‘เทพสมุทร’ ยิ่งกว่าคาเวทูว่าเสียอีก… ขอบเขตอำนาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงหมู่เกาะรอสต์อีกต่อไป! อัลเจอร์เปี่ยมความสุข ขอบคุณอีกฝ่ายด้วยท่าทีขึงขัง จากนั้นก็เอนหลัง กางขาออก พุ่งลงไปยังส่วนลึกของทะเล
ไม่กี่นาทีถัดมา มันกลับมาถึงเขตภูเขาไฟใต้ทะเลลึก มองเห็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ รวมถึง ‘หนวด’ ขนาดมหึมาที่ยังคงสะบัดอย่างต่อเนื่อง มองยังไงก็ดูไม่เหมือนสงบลง
แม้อัลเจอร์จะไม่เคลือบแคลงในอำนาจและบารมีของเดอะฟูล เชื่อว่าอีกฝ่ายคือเทพบรรพกาลที่กำลังฟื้นคืนพลัง แต่เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้าเต็มสองตา ความหวาดระแวงพลันผุดขึ้นตามสัญชาตญาณ ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง
มันเดาเอาว่า การสะบัดหนวดจำนวนมากของสัตว์ทะเลอ็อบนิส คงเป็นการเชื้อเชิญให้ตนเข้าไป
ในเวลาเดียวกัน เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่กำลังถือคทาเทพสมุทร ขมวดคิ้วชนกันอย่างฉงน
ไม่ยอมสื่อสารกับเทพสมุทร… แถมยังแผ่ความเกลียดชังอย่างชัดเจน ไม่อยากผูกมิตรด้วย… ไคลน์พึมพำคล้ายกับคนปวดฟัน
มันล้มเหลวในการผูกมิตรกับสัตว์ทะเลรอบๆ ตำแหน่งที่สวดวิงวอน!
ด้วยเหตุผลบางประการ สัตว์ทะเลอ็อบนิสสามารถต้านทานพลังพิเศษที่สามารถผูกมิตรกับสัตว์ทะเล!
ณ ตอนนี้ ฉากในจอสวดวิงวอนคือภาพของหนวดยักษ์ที่กำลังสะบัดอย่างเกรี้ยวกราด ไคลน์สัมผัสได้ถึงความโกรธ อีกฝ่ายคงคิดจะทำลายทุกสรรพสิ่งที่ย่างกรายเข้าไปใกล้มัน
มิสเตอร์แฮงแมนกำลังเข้าไปใกล้… ใกล้มากแล้ว… ทำยังไงดี… มุมปากไคลน์เริ่มกระตุก ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น
ชายหนุ่มยกคทาเทพสมุทร ปล่อยให้อัญมณีสีฟ้าสว่างขึ้นทีละเม็ด เปล่งประกายระยิบระยับ!
ในวินาทีถัดมา มันแผ่ออร่าอันท่วมท้นของ ‘พายุสายฟ้า’ และส่งไปหาสัตว์ทะเลอ็อบนิส
กลุ่มหนวดหนาๆ ที่กำลังอาละวาดอยู่ปากถ้ำก้นทะเลพลันแข็งทื่อ ร่วงหล่นลงพื้นอย่างอ่อนแรงในทันที ภายในถ้ำที่มืดและเงียบสงบ จุดแสงสีเขียวจำนวนมากปรากฏขึ้น
ท่ามกลางเสียงระเบิดดังอึกทึก สัตว์ทะเลที่สามารถกลืนเรือใบได้ทั้งลำค่อยๆ คลานออกมา ร่างกายสีดำของมันมีลวดลายมหึมาและบิดเบี้ยว มีสามเศียร มีดวงตามากกว่าสิบสองดวงในแต่ละหัว ทุกดวงล้วนเปล่งแสงสีเขียว!
สัตว์ทะเลตนดังกล่าวกำลังคลานออกมาด้วยท่าทีเซื่องซึมประหนึ่งสุนัขเฝ้าบ้าน
เป็นอย่างที่คิด… การสื่อสารจำเป็นต้องใช้วาทศิลป์สักเล็กน้อย… ไคลน์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เริ่มใช้พลังพิเศษเพื่อผูกมิตรกับอ็อบนิส สื่อสารในระดับจิตวิญญาณ สั่งให้สัตว์ทะเลอ้าปากทั้งสามพร้อมกัน
นั่นทำให้อัลเจอร์ได้เห็น ‘ปากถ้ำ’ ขนาดใหญ่สามแห่งตรงหน้า ทุกทางเข้าสามารถนำเรือใบแล่นเข้าไปจอดได้สบาย
มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ… อัลเจอร์แหงนหน้ามองฉากสุดอลังการ อดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ
มันไม่มัวเสียเวลา เลือกเข้าไปในศีรษะกึ่งกลาง ว่ายน้ำด้วยความเร็วสูง
อุโมงค์คดเคี้ยวปรากฏขึ้นในการมองเห็นของอัลเจอร์ สองฝั่งคือผนังเลือดเนื้อ ความกว้างเทียบเท่าดาดฟ้าหัวเรือโทสะสีคราม
ซู่ว! กระแสน้ำเริ่มไหลทะลักเข้าไปยังส่วนลึกของอุโมงค์ อัลเจอร์ไม่พลาดโอกาส ปล่อยให้ร่างกายไหลไปตามธรรมชาติ
ทันใดนั้น มันรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในตอนที่เพิ่งกลายเป็นอาชีพ ‘ลูกเรือ’ หมาดๆ ต้องคอยรับมือกับคลื่นทะเลอย่างยากลำบาก ถูกโยนไปมาจนศีรษะวิงเวียน ยากที่จะรักษาสมดุลร่างกาย
จนกระทั่งอัลเจอร์ใช้พลังพิเศษเพื่อประคองตัว มันถูกส่งออกจากอุโมงค์เลือดเนื้อมายังโลกที่มืดมิดและว่างเปล่า ฝ่าเท้าสัมผัสความรู้สึกเหนียวหนืด กลิ่นเหม็นอับลอยโชยจากทุกสารทิศ
ไม่กี่วินาทีถัดมา อัลเจอร์พบว่าของเหลวในที่แห่งนี้กำลังกัดกร่อนร่างกายตน จึงรีบสร้างเยื่อบางๆ ปกคลุมร่างกาย ขยายขนาดออกไปจนกลายเป็นลูกบอลสีใส
มันทราบทันทีว่าตนได้มาอยู่ในท้องอ็อบนิสเรียบร้อยแล้ว จึงรีบหยิบวัตถุดิบพี่พกติดตัวออกมา รวมถึงขวดและกระป๋องที่เตรียมไว้ เริ่มลงมือปรุงโอสถ
วัตถุดิบเสริมถูกโยนลงในขวดโลหะปากกว้างทีละชิ้น ผสมกันจนกลายเป็นของเหลวสีน้ำเงินเข้ม ถัดมา อัลเจอร์ใส่ ‘แมงกะพรุน’ สีใสที่ห่อหุ้มด้วยเยื่อน้ำทะเลสีฟ้าอย่างระมัดระวัง
เสียงร้องอันล่องลอยและไพเราะดังขึ้นกะทันหัน แต่ไม่นานก็สงบลง ของเหลวในขวดโลหะปากกว้างปราศจากแรงกระเพื่อมหรือฟองอากาศโดยสิ้นเชิง สงบนิ่งประหนึ่งมหาสมุทรก่อนพายุก่อตัว
อัลเจอร์สงบสติ เข้าฌานทำสมาธิ จากนั้นก็หยิบขวดโลหะขึ้น กระดกดื่มโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ อึกอึกรวดเดียวจนเกลี้ยง
ของเหลวที่เย็นเยียบและชวนให้มึนงงไหลไปทั่วหลอดอาหาร แผ่ซ่านลงกระเพาะ แพร่กระจายไปยังทุกเซลล์ในพริบตาอย่างน่าอัศจรรย์
ในวินาทีนี้ อัลเจอร์พลันท่วมท้นไปด้วยเสียงมากมาย ทั้งหมดมาจากสิ่งมีชีวิตในทะเลโดยรอบ แต่ก็ถูกปิดกั้นไว้โดยร่างกายของสัตว์ทะเลอ็อบนิส เหลือเพียงเสียงตกค้างที่คลุมเครือ
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
อัลเจอร์รู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังเต้นแรงพร้อมกับสูบฉีดเลือด พลังวิญญาณ และคลื่นเสียงไปทั่วร่างกายอย่างหนักหน่วง ค่อยๆ เปลี่ยนเส้นเสียงและโครงสร้างทางวิญญาณของตน
มันอ้าปากค้างอาจมิอาจควบคุม พ่นลมหายใจครั้งใหญ่
ขณะลมหายใจพุ่งออก อัลเจอร์พบว่าร่างวิญญาณของตนฉีกขาดเล็กน้อย เมื่อคลื่นเสียงแพร่กระจายออกไปทุกทิศ เกล็ดปลาเริ่มปรากฏบนผิวหนังในหลายจุด จากนั้นก็ยืดออกเป็นเนื้อยาว วิวัฒนาการกลายเป็นโหนวดโบกสะบัด
คลื่นเสียงแผ่ไปรอบทิศพร้อมกับชิ้นส่วนร่างวิญญาณที่ฉีกขาด สัมผัสกับเมือกในท้องของสัตว์ทะเลอ็อบนิส สะท้อนกลับมาหาอัลเจอร์อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ของร่างกาย
อัลเจอร์ที่เกือบจะคลุ้มคลั่ง เริ่มฟื้นคืนสติกลับมาหลายส่วน รีบฉวยโอกาสตรงหน้าโดยไม่ลังเล ไม่เขินอายต่อสิ่งใด ร้องเพลงเพื่อระบายคลื่นเสียงที่มองไม่เห็นในร่างกายออกไป ป้องกันไม่ให้ร่างกายระเบิด
เสียงเพลงที่อัดแน่นด้วยความหยาบกระด้าง ยุ่งเหยิง และแหบพร่าประหนึ่งเฮฟวี่เมทัล ดังกังวานไปรอบทิศ ผสมผสานกับเศษชิ้นส่วนร่างวิญญาณ จากนั้นก็ปะทะกับของเหลวเหนียวหนืดในกระเพาะอาหารของอ็อบนิส สะท้อนกลับมาหาอัลเจอร์อีกครั้ง
ระหว่างกระบวนการ อัลเจอร์เปรียบดังวัตถุดิบที่ถูกอบในเตาคลื่นเสียง ค่อยๆ ถูกขัดเกลาทีละนิด
ท้ายที่สุด มันได้รับสิทธิ์ในการควบคุมร่างกายกลับคืนมา ก่อนอื่นจึงรีบยับยั้งพลังวิญญาณที่กำลังพลุ่งพล่าน
สำเร็จแล้ว… อัลเจอร์หลับตาลง รอยยิ้มที่มิอาจเก็บซ่อนกำลังฉาบบนใบหน้า
มันบรรลุเป้าหมายที่วางแผนมานานหลายปี เลื่อนลำดับเป็น ‘ผู้ขับขานสมุทร’ สำเร็จ!
เราเริ่มควบคุมสายฟ้าได้เล็กน้อย… กิจกรรมใต้น้ำทั้งหมดถูกยกระดับและเพิ่มความหลากหลาย สามารถดำรงชีวิตใต้น้ำได้นานขึ้น และยังมีพลังในการสร้างอิทธิพลต่อเป้าหมายด้วยเสียงเพลง… เสียงเพลงของแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน แยกได้หลายแขนง มีทั้งการก่อกวนร่างวิญญาณของศัตรูด้วยเสียงร้องที่ไพเราะ ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในภวังค์ หรือไม่ก็เพิ่มพลังทางกายภาพของตัวเองในพริบตา หรือไม่ก็จำลองเสียงฟ้าร้อง ทำให้ศัตรูตกใจและชะงัก หรือไม่ก็เสียงร้องสุดห่วยแตกที่ทำให้ศัตรูเกิดความหงุดหงิด ระเบิดโทสะออกมาอย่างเกรี้ยวกราด… อัลเจอร์ค่อยๆ ตรวจสอบสถานภาพของตน สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยว
มันรีบขจัดความคิดฟุ้งซ่าน เก็บข้าวของ ว่ายทวนน้ำตรงไปยังบริเวณปากของสัตว์ทะเลอ็อบนิส ใช้มือเคาะปากที่กำลังปิดสนิท
ปากขนาดมหึมาค่อยๆ อ้ากว้าง ก่อนจะคำรามและพ่นทุกสิ่งด้านในออกมาจนหมด
ร่างกายอัลเจอร์พุ่งแหวกน้ำทะเลด้วยความเร็วสูงประหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เกือบชนเข้ากับฉลามตัวหนึ่ง
หลังจากผ่านอะไรมากมาย มันโผล่ศีรษะขึ้นจากผิวน้ำ ว่ายไปยังตำแหน่งของโทสะสีคราม
จนกระทั่งเค้าโครงของเรือผีสิงปรากฏในการมองเห็น อัลเจอร์เกิดความโล่งใจจากก้นบึ้ง
หนึ่งในสิ่งที่มันกังวลก็คือ ขณะที่ตนออกไปเลื่อนลำดับ โทสะสีครามอาจเกิดอาการผิดปรกติขึ้นพอดี
แม้ว่าระยะเวลาเพียงหนึ่งถึงสองชั่วโมงจะไม่มากมายอะไร แต่โลกนี้มักเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันเสมอ
…
ไคลน์ที่ได้รับการขอบคุณจากแฮงแมนอีกครั้ง ส่งตัวเองกลับมายังโลกความจริง ล้างมือจนสะอาดและเช็ดให้แห้ง ออกจากห้องน้ำ เดินกลับไปยังโถงรับประทานอาหาร
เมื่อได้กลิ่นอาหารแตะจมูก ชายหนุ่มสูดลมหายใจแผ่วเบา เดินกลับไปที่นั่งของตัวเองด้วยรอยยิ้ม โค้งคำนับเล็กน้อยและนั่งลง
ขณะนี้ งานเลี้ยงกำลังเข้าสู่ช่วงขนมหวาน
เราอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปสินะ… หวังว่าจะไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับอาการท้องเสียของดอน·ดันเตสแพร่กระจายออกไป… ไคลน์พึมพำ หันไปยิ้มให้มาดามวิลลิสทางด้านขวามือ
“เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยกินอาหารแปลกๆ ของทวีปใต้หลายชนิด หนึ่งในนั้นคือเบอร์รี่เทเน็ต รสชาติคล้ายวิปครีม เหมือนกับของหวานจานนี้มาก”
ชายหนุ่มแถแบบมีวาทศิลป์ว่า ที่ตนกลับมาจากห้องน้ำช้าก็เพราะสมัยเด็กเคยทำร้ายลำไส้ตัวเองหลายครั้ง
ราชันเร้นลับ 784 : เหยื่อของข่าวลือ
Ink Stone_Fantasy
มาดามวิลลิสชำเลืองใบหน้าดอน·ดันเตสด้วยหางตา ยิ้มโดยไม่ใส่ใจ
“ไม่ว่าจะอดีตของคุณ ประสบการณ์ของคุณในอ่าวเดซีย์และทวีปใต้ ล้วนแล้วแต่น่าตื่นตาตื่นใจกว่านิยายที่ดิฉันเคยอ่านมาทั้งหมด ราวกับได้รับประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเอง”
แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งหมดคือเรื่องจริง ต้องขอบคุณแอนเดอร์สัน·ฮู้ด นักล่าที่มักไม่อยู่นิ่ง… ไคลน์หันไปมองเค้กเนย หัวเราะในลำคอ
“ผมเลือกพูดเฉพาะส่วนที่น่าสนใจ ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ไม่อยากนึกถึง”
กล่าวจบ ชายหนุ่มเริ่มเพลิดเพลินไปกับของหวาน ในขณะเดียวกัน หลังจากบรรดาสุภาพสตรีได้ยินประโยคดังกล่าว พวกเธอกลับนึกถึงหนังสือขายดีเล่มหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ‘ชายผู้มาพร้อมเรื่องราว’ ในสายตาของพวกเธอ ดอน·ดันเตสเป็นเช่นนั้น ภายนอกดูเหมือนทะเลสาบเงียบสงบ แต่ภายในกลับลึกซึ้งจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ซ่อนความน่าตกตะลึงไว้มากมาย ขณะเดียวกันก็เก็บซ่อนความเจ็บปวด
สามทุ่มสี่สิบ งานเลี้ยงอาหารเย็นถึงคราวปิดฉาก สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีบางคนเดินไปที่ห้องเล่นไพ่ด้วยกัน เล่นเท็กซัสโปเกอร์ต่ออีกสักสองชั่วโมง สุภาพบุรุษที่เหลือเดินไปห้องนั่งเล่น พูดคุยจิปาถะ พวกเขามิได้กีดกันไม่ให้สตรีเข้าร่วม แต่เนื่องจากมีสิงห์อมควันเป็นจำนวนมาก รวมถึงบทสนทนาค่อนข้างเกี่ยวกับเรื่องเพศ สตรีจึงไม่อยากร่วมวง เลือกจะลงไปที่ชั้นหนึ่ง ยืนมุงดูเปียโนพลางร้องเพลงคลอเบาๆ หรือไม่ก็จับกลุ่มเล่นหมากรุกสองถึงสามคนอย่างสนุกสนาน
ไคลน์เลือกไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นสอง การพูดคุยกับเหล่าบุรุษจะช่วยให้สนิทสนมและเข้าสังคมได้เร็ว
หลังจากเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มสังเกตโครงสร้าง เดินตรงไปที่หน้าต่าง เปิดออก จากนั้นก็ดึงเก้าอี้พนักสูงมานั่ง
จัดการเสร็จ ไคลน์เห็นพอร์ตแลน·โมมงต์ – เจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนี้ – เดินถือกล้องยาสูบเข้ามาในห้องนั่งเล่น ยิ้มและกล่าวกับทุกคนอย่างเฮฮา
“บุรุษมักต้องการพื้นที่ส่วนตัว”
มันเป็นคนเสียงดัง ร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าค่อนข้างชรา ผิวหน้าแดงก่ำ อายุราวหกสิบปี ผมยังดกหนา แต่เป็นสีขาวล้วน โครงหน้าตรงตามมาตรฐานของชาวโลเอ็น ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น
“ถูกต้อง เมื่อมีสตรีมากมายรายล้อม พวกเราต้องคอยคำนึกถึงภาพลักษณ์ ต้องคอยพิจารณาถึงความรู้สึกพวกหล่อน ทั้งที่อยากจะจูบตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว” บิดาของเฮเซล ส.ส. มัคท์ นำกล่องโลหะสีเงินออกมา คีบบุหรี่ขึ้น
เช่นเดียวกันกับสุภาพบุรุษคนอื่นๆ ในห้องนั่งเล่น มวนบุหรี่ปริศนาปรากฏขึ้นในมือราวกับเวทมนตร์
ห้องเริ่มสว่าง ควันสีเทาคละคลุ้ง เติมเต็มห้องจนดูราวกับมหาหมอกควันเมื่อปีที่แล้วยังไม่จางหาย
หลับตาลงและดื่มด่ำสักพัก พอร์ตแลน·โมมงต์มองไปยังแขกข้างหน้าต่างและถาม
“ดอน คุณไม่สูบหรือ”
ไคลน์กำหมัด เลื่อนขึ้นมาใต้ริมฝีปาก ไอแห้งสองสามครั้ง
“ผมยังไม่หายดี หมอบอกว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งสูบ”
ด้วยความสัตย์จริง มันกำลังจะสำลักควันตาย โชคดีที่ฉลาดพอจะเลือกนั่งข้างหน้าต่าง
ไอ้พวกโรงงานผลิตควัน… ไคลน์ยกนิ้วชี้ขวาขึ้น ลูบคลำเบาๆ ปลายรูจมูก
มันอยากจะใช้พลังพิเศษของนักมายากล สร้างท่อล่องหนและเสกให้ยืดยาว สูดอากาศบริสุทธิ์จากด้านนอกหน้าต่าง หลีกเลี่ยงอันตรายจากควันบุหรี่มือสอง แต่เมื่อพิจารณาว่า อาจมีผู้วิเศษแฝงตัวอยู่ในกลุ่มสุภาพบุรุษ ความคิดดังกล่าวจึงต้องพับเก็บไป
เมื่อพอร์ตแลน·โมมงต์ได้ยิน มันหัวเราะและยิ้ม
“ผมได้ยินจากบิชอปอีเล็คตร้ามาว่า… ดอน… สาเหตุที่คุณป่วย เพราะคุณยังไม่มีภรรยาต่างหาก!”
ศาสตราจารย์ประจำผู้นี้ศรัทธาเทพจักรกลไอน้ำ แต่ภรรยาศรัทธาเทพธิดารัตติกาล จึงเลือกปักหลักอาศัยอยู่บนถนนเบิร์คลุนที่ใกล้กับวิหารนักบุญแซมมวล และมักแลกเปลี่ยนข้อมูลกับบิชอปบ่อยครั้ง
เขากำลังเยาะเย้ยว่าเราเอาแต่คิดเรื่องของผู้หญิงทั้งที่กำลังนอนซม? ดูภายนอกไม่มีทางรู้เลยว่า บิชอปอีเล็คตร้าเป็นพวกชอบซุบซิบนินทา… ทั้งหมดเป็นความผิดของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสต่างหาก! ไคลน์รำพันเงียบ ส่ายหน้าและยิ้ม
“ผมเคารพการแต่งงาน ถ้าไม่มีคู่ชีวิตที่เหมาะสม ขออยู่เป็นโสดดีกว่า”
ทันใดนั้น มิสเตอร์วิลลิส ข้าราชการอาวุโสของเทศบาลเบ็คลันด์ สูดควันบุหรี่พลางกล่าว
“อันที่จริง ผมอิจฉาความโสดของดอนมาก เพราะนั่นจะหมายความว่า ผมสามารถจีบสาวประเภทใดก็ได้ตามที่ต้องการ”
ขณะวิลลิสจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘ประเภทใดก็ได้’ ทุกคนในห้องพลันอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
ข่าวลือที่ว่า… ดอน·ดันเตสชอบสตรีหลากหลายประเภท ขอเพียงมีเสน่ห์น่าหลงใหล ได้แพร่กระจายไปทั่วถนนเส้นนี้แล้ว? ไคลน์ข่มใจมิให้ยกมือขวาขึ้นมาก่ายหน้าผาก พลางตระหนักว่า ภาพลักษณ์ของเศรษฐีใหม่ที่มีความสุขุมลุ่มลึก ทรงเสน่ห์ และหล่อเหลา ค่อยๆ จางลงทีละนิด
ตอนแรกมันสงสัยว่าคนกระจายข่าวคือบิชอปอีเล็คตร้า แต่ภายหลังเริ่มคิดอีกอย่าง
บางที พ่อบ้านวอลเตอร์คงจงใจบอกให้คนรับใช้กระจายข่าว…
ถ้าไม่มีข้อบกพร่องเลย สุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบและหล่อเหลามักถูกเพศเดียวกันปฏิเสธที่จะร่วมวงสนทนา แต่เมื่อมีข่าวลือแย่ๆ หรือจุดด่างพร้อยสักนิด มีประเด็นให้แซวขำขัน การเข้าสังคมก็เป็นเรื่องง่าย
สำหรับการแซวติดตลกเช่นนี้ ไคลน์ไม่โกรธเคือง เพียงยิ้มอย่างขมขื่นแต่ยังคงสง่างาม
“นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกยาก และยังโสดมาจนถึงตอนนี้”
“ฮะฮะ!” พอร์ตแลน·โมมงต์และคนอื่นๆ ในห้องระเบิดเสียงหัวเราะ
ส.ส. มัคท์กล่าว
“คุณควรตัดสินใจให้หนักแน่น สมรสกับภรรยาที่ดี มีครอบครัวที่ดี นั่นจะเป็นตัวช่วยสำคัญในชีวิตสุภาพบุรุษ”
มันเลิกแซว แนะนำอย่างจริงจัง
เฮ่อ… ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกเก่า มนุษย์ก็เลี่ยงการถูกรบเร้าให้แต่งงานไม่ได้… ไคลน์พยักหน้ารับ ชำเลืองหางตาไปทางหน้าต่างและมองอย่างไร้จุดหมาย เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนของสวนในคฤหาสน์ของพอร์ตแลน·โมมงต์
ทันใดนั้น มันเห็นเฮเซล·มัคท์ในเดรสสีเขียวเข้มกำลังเดินไปตามทาง ตรงเข้าไปในส่วนลึกของสวนตามลำพัง ชะงักฝีเท้าเป็นระยะพลางมองไปรอบตัว คล้ายกับกำลังตามหาบางสิ่ง
เมื่อครู่ เธอยังเล่นเปียโนอยู่เลย… ทำไมถึงออกมาที่สวน? ไคลน์ถอนสายตากลับมาครุ่นคิด แต่เมื่อมองกลับไป เฮเซลถูกพุ่มดอกไม้บังมิดชิด
สำหรับแขกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงรับประทานอาหารหรืองานเลี้ยงเต้นรำ การเดินออกจากห้องโถง เข้าไปเที่ยวชมในสวน ไม่ใช่พฤติกรรมที่หยาบคายแต่อย่างใด เพราะการเดินชมจันทร์ รับลมเย็นยามค่ำคืนท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกไม้ ถือเป็นการวางตัวที่มีเสน่ห์น่าค้นหา แต่ขณะเดียวกัน การออกจากตึกก็ยังมีอีกหนึ่งความหมาย – เธอกำลังนัดพบใครสักคน!
เฮเซลแอบนัดพบหนุ่มๆ ? ไม่สิ ไม่น่าจะใช่ ไม่มีใครในงานเลี้ยงวันนี้ที่ ‘คู่ควร’ กับเธอ… แม้ว่าอาการหวาดผวาจากเหตุการณ์ท่อระบายน้ำจะทำให้เฮเซลหยิ่งผยองน้อยลง บางครั้งถึงขั้นซึมเศร้า แต่ลึกๆ ในใจก็ยังคงดูแคลนคนธรรมดา… มาเพื่อขจัดผลข้างเคียงของสมบัติวิเศษ? แต่ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไร เพื่อเก็บความลับ เธอควรทำในห้องน้ำมากกว่าในสวน ย้อนกลับไปในงานเลี้ยงที่บ้านตัวเอง เธอเดินขึ้นไปยังชั้นสาม ไม่ใช่สวน… ไคลน์ตัดความเป็นไปไม่ได้ทิ้ง เริ่มคาดเดาเบื้องต้น
จากท่าทีที่กำลังมองหาบางสิ่ง… คล้ายกับเฮเซลสังเกตเห็นความผิดปรกติ จึงออกมาจัดการด้วยตัวเอง?
นั่นหมายความว่า มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นในคฤหาสน์ของศาสตราจารย์พอร์ตแลน·โมมงต์?
ถ้าเป็นเรื่องจริง ศาสตราจารย์หรือคนในครอบครัว อาจไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก… บิชอปของวิหารนักบุญแซมมวลมักแวะมาเยี่ยมเยียนคฤหาสน์หลังนี้บ่อยครั้ง แต่กลับไม่พบความผิดปรกติใดเลย!
อา… ดูเหมือนว่า ‘นักจารกรรม’ จะมีพลังในการตรวจจับและสังเกตสูงเป็นพิเศษ
ไคลน์ไม่อยากยื่นมือเข้าไปสอด เพราะปัญหาที่เฮเซลตรวจพบได้ คงไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไรนัก นอกจากนั้น ที่นี่ยังอยู่ใกล้กับวิหารนักบุญแซมมวลมาก หากมีความลับซ่อนอยู่จริง บุคคลเหล่านั้นคงพยายามระงับความผิดปรกติอย่างสุดฝีมือ ไม่เผยออกมาให้ใครเห็น
ทันใดนั้น ส.ส. มัคท์ในห้องนั่งเล่นสลัดความตลกจากมุกก่อนหน้า มองไปทางพอร์ตแลน·โมมงต์และถาม
“ผมได้ยินมาว่า คุณกำลังจะออกจากมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์?”
ศาสตราจารย์พอร์ตแลน·โมมงต์หยิบกล้องยาสูบ
“ถูกต้อง คณะกรรมการอุดมศึกษาต้องการให้ผมดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์ที่เพิ่งปรับเปลี่ยนโครงสร้าง หึหึ… แม้ว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ของผมจะมาจากโลหะผสม แต่สาขาที่เชี่ยวชาญจริงๆ คือเครื่องกล… พวกเขาสัญญาว่าจะสร้างห้องทดลองให้ เพิ่มเงินทุนขึ้นจากเดิม เฮ่อ… อายุปูนนี้แล้ว การมีอิสระเป็นของตัวเองและมีผู้ช่วย สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”
มิสเตอร์วิลลิสเห็นพ้องอย่างยิ้มแย้ม
“ถ้าเป็นแบบนี้ มหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ก็จะมีตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำว่างหนึ่งที่… รองศาสตราจารย์อาวุโสที่รอคอยมานาน ในที่สุดก็มีโอกาสเสียที”
ในระบบการศึกษาของโลเอ็น ศาสตราจารย์มิได้เป็นเพียงคำนำหน้าวิชาชีพ แต่ยังหมายถึงตำแหน่ง เทียบเท่าได้กับหัวหน้าคณะ จึงมีได้เพียงคนเดียว
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์… ไคลน์นั่งฟังอย่างยิ้มแย้ม ไม่สุงสิงในหัวข้อที่ตนไม่มีความชำนาญ
…
ภายในสวน เฮเซลเดินมาถึงมุมมืด
เธอสังเกตเห็นว่า มดและสัตว์เล็กอื่นๆ บนพื้นกำลังรวมตัวอย่างผิดปรกติ และสัมผัสวิญญาณยังแจ้งด้วยว่า มีบางสิ่งซ่อนอยู่แถวนี้
นี่คือพรสวรรค์ที่เกิดจากพลังพิเศษของเธอ เป็นสิ่งที่ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
เฮเซลสามารถจำแนกของมีค่าที่ซ่อนอยู่ในกล่องปิดมิดชิดหลายๆ ใบได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องใช้ตัวช่วยภายนอก แน่นอน เธอบอกไม่ได้ว่าของมีค่าดังกล่าวคืออะไร แต่มั่นใจว่ามีค่ามากกว่าสิ่งอื่นที่อยู่ใกล้เคียง
เหมือนกับมิสเตอร์ดอน·ดันเตส เขาพกของมีค่าไว้กับตัว… เฮเซลยกมุมปากเล็กน้อย หันไปสนใจพื้นโคลนด้านหน้า
เธอสัมผัสได้ว่า พลังวิญญาณที่รวมตัวอยู่ด้านล่าง กำลังดึงดูดให้แมลงและภูตผีเข้ามาหา
ไม่ใช่ศพมนุษย์… เป็นวัตถุวิญญาณบางอย่างที่ใช้แล้วทิ้ง… ให้ตายสิ วิธีทำลายที่ถูกต้องคือเป็นการโยนทิ้ง หากนำมาฝังไว้ด้วยกัน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่จำเป็น… ดวงตาเฮเซลมืดลงเล็กน้อย ตรวจสอบลักษณะของพลังวิญญาณใต้ดิน จนกระทั่งพอจะทราบสถานการณ์เบื้องต้น
เชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองตรงไปยังอาคารหลังเล็ก เธอเชื่อว่าต้องมีผู้วิเศษอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่ในตระกูลของพอร์ตแลน·โมมงต์
และถ้าไม่จัดการกับปัญหาที่มุมสวน ภายในไม่กี่วันข้างหน้า บ้านหลังนี้และบริเวณใกล้เคียงจะเกิดเหตุการณ์ประหลาด!
เฮเซลถอนสายตากลับ เหยียดแขนซ้าย เล็งไปยังสิ่งสกปรกตรงหน้า กำมือแผ่วเบาพร้อมกับบิดข้อมือ
พลังวิญญาณที่จับตัวเป็นก้อนพลันอันตรธานหาย คล้ายกับถูกใครบางคนช่วงชิง
ราชันเร้นลับ 785 : การค้นพบของทริสซี่
Ink Stone_Fantasy
ณ มุมสวนของบ้านเลขที่ 100 ถนนเบิร์คลุน บ้านของพอร์ตแลน·โมมงต์
มดและแมลงจำนวนมากที่มารวมตัวกันเริ่มกระจายตัวหนี ความรู้สึกหนาวเย็นและมืดมนเริ่มบรรเทา
ผู้วิเศษที่นี่น่าจะไม่มีประสบการณ์… เมื่อเห็นว่าบรรลุผล เฮเซลพยักหน้า หันหลังกลับทันที เดินไปตามทางเดินของสวน
เธอไม่รีบกลับเข้าตัวอาคาร ยังคงเพลิดเพลินไปกับแสงจันทร์สีแดงเข้ม อากาศเย็นสบาย และกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้
ผ่านไปสักพัก เฮเซลหยุดการเดินชมจันทร์ ออกจากสวน เข้ามายังห้องโถงชั้นที่หนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน นอกจากแขกที่กำลังเล่นเท็กซัสโปเกอร์ สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีหลายคนเริ่มทยอยกลับ เฮเซลเดินไปหาแม่ของเธอ มาดามลีอานน่า จากนั้นก็พบว่าพ่อของเธอ ส.ส. มัคท์อยู่กับสุภาพบุรุษอีกสองสามคน กำลังเดินลงมาจากชั้นสองพลางสนทนาอย่างออกรส สีหน้าเป็นไปอย่างชื่นมื่น
“พร้อมกลับบ้านหรือยัง? พรุ่งนี้เช้าคุณต้องไปเยี่ยมแขกคนสำคัญ” ลีอานน่าดึงลูกสาวเข้าไปใกล้ๆ เดินไปหาสามี ถามไถ่ด้วยรอยยิ้ม
ส.ส. มัคท์พยักหน้าและกล่าว
“ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ผมว่าจะชิมซิการ์ของพอร์ตแลนอีกสักมวน”
ลีอานน่าจ้องไปทางวิลลิส ดอน·ดันเตส และคนที่เหลือด้านข้าง ซักถามโดยไม่มองหน้า
“พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ? ฟังดูน่าสนใจ”
มัคท์โน้มตัวไปด้านข้าง กล่าวพลางยิ้ม
“ดอนเล่าว่า เขาเคยเจอภูตผีสมัยที่ยังอยู่ทวีปใต้… เขาและพวกพ้องตื่นขึ้นมากะทันหันกลางดึก อยากลืมตา แต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายหนักอึ้ง คล้ายกับมีใครบางคนกำลังนั่งทับ… พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมาก จนในที่สุดก็หลุดพ้นจากสถานะดังกล่าว รีบลุกออกจากเตียง แต่กลับพบว่าอากาศในห้องเย็นเฉียบ… คุณอาจไม่ทราบ แต่อากาศในไบลัมตะวันออกและตะวันตกจะร้อนเกือบทั้งวัน… จากนั้น ดอนกับเพื่อนถือลูกซองแฝด คอยเฝ้ายามตลอดทั้งคืน และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น พวกเขารีบออกจากหมู่บ้านเล็กๆ นั่นทันที”
ฟังจบ ลีอานน่าหันไปมองดอน·ดันเตสด้วยความสนใจ
“เรื่องจริงหรือ? โลกนี้ผีมีด้วยหรือ?”
ไคลน์ยิ้มและส่ายหน้า
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ บางที อาจเป็นเพราะเพิ่งผ่านการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นมา สภาพจิตใจจึงอ่อนล้า เมื่อสุขภาพไม่แข็งแรง ปัญหาจึงปรากฏ”
เรื่องราวเมื่อครู่คือประสบการณ์ตรงของแอนเดอร์สัน ขณะนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหมอกสำรวจวิหารเก่าแก่ในป่าดงดิบ มันได้เจอกับภูตผี จากนั้นก็เป็นการเผ่นป่าราบของจริง
ภูตผี… เฮเซลมองออกไปทางสวน ยกมุมปากขึ้น ก่อนจะคืนกลับสภาพเดิม
เธอไม่ได้กล่าวคำใด ยืนฟังพ่อและแม่บอกลาคนรู้จัก กลับบ้านพร้อมกับครอบครัว
กลางดึกสงัด เฮเซลสวมชุดนอนและเดินไปที่ระเบียง หยุดยืนตรงช่องว่างผ้าม่าน มองออกไปยังฝาท่อระบายน้ำบนถนนเบิร์คลุน
เหลียวซ้ายแลขวา ใบหน้าหญิงสาวค่อยๆ ซีดเซียว คล้ายกับหวนนึกถึงประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหวาดผวา
เฮเซลบังคับร่างกายให้มองออกไป สูดลมหายใจเข้าสองครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับและเข้านอน
ระหว่างนี้ หญิงสาวกัดริมฝีปากล่าง พึมพำกับตัวเองแผ่วเบา
“นั่นคงเป็นวิญญาณอาฆาต… ไม่ผิดแน่… เราต้องการยันต์หรือสมบัติวิเศษในขอบเขตสุริยัน”
เมื่อสักครู่ ขณะเฮเซลกำลังมองฝาท่อระบายน้ำ ไคลน์เองก็มองเช่นกัน
ผ่านมาแล้วหลายวัน เราไม่มีทางรู้เลยว่าแม่มดทริสซี่ฟื้นฟูร่างกายได้ถึงไหน ออกจากท่อระบายน้ำไปหรือยัง… โชคดีที่เฮเซลกลัวเรา จึงไม่กล้าเฉียดใกล้ท่อระบายน้ำในช่วงนี้… ไคลน์ชำเลืองโคมไฟถนนสีดำ พยักหน้ากับตัวเอง
ชายหนุ่มเปิดกล่องบุหรี่โลหะ บังคับให้หุ่นเชิดวิญญาณอาฆาตปรากฏในกระจกเงาเต็มบาน
มันตัดสินใจแล้ว วันนี้จะส่งเซนอลไปที่ท่อระบายน้ำเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง ยืนยันสภาพของทริสซี่ กังวลว่าอาจเกิดปัญหากับแม่มด
นอกจากนั้น ทริสซี่อยู่ใกล้กับดอน·ดันเตสมากเกินไป ไคลน์ไม่ต้องการให้เธอแช่อยู่นานนัก ภาวนาให้หายไวๆ และรีบออกจากถนนเบิร์คลุน ไปทำงานของตัวเอง
อา… การให้ ‘พลเรือเอกโลหิต’ ปรากฏตัวไม่บ่อยครั้ง สอดคล้องกับคำโกหกของเราก่อนหน้านี้ นั่นคือ เราไม่ได้อาศัยในละแวกใกล้เคียง แต่ท่อระบายน้ำมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ จึงแวะเวียนมาสำรวจเป็นครั้งคราว… ไคลน์ครุ่นคิด พลางบังคับหุ่นเชิดที่สวมหมวกสามมุมใบเก่า กระโดดขึ้นไปบนผิวกระจกของโคมไฟถนน จากนั้นก็ทะลุผ่านฝาท่อระบายน้ำด้วยร่างวิญญาณอาฆาต เข้าไปยังทางแยกที่ทริสซี่ซ่อนตัวอยู่
ยังไม่ทันจะถึงจุดหมาย ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลที่สามารถมองเห็นในที่มืด พบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
หายดีและไปแล้ว? ไคลน์ใช้ความคิด บังคับให้หุ่นเชิดเดินหน้าต่อไป หยุดลงในจุดที่ทริสซี่เคยนั่ง
มันพบว่าบริเวณดังกล่าวสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่แค่พื้นโคลนเปียกที่หายไป แม้แต่ตะไคร่น้ำตามผนังก็ยังไม่หลงเหลือ
ไม่มีเศษอาหารด้วย… หลังจาก ‘เขา’ กลายเป็น ‘เธอ’ ก็เกิดรักความสะอาดขึ้นมาทันที? ไม่สิ อาจเป็นคนแบบนั้นแต่แรกแล้ว… ไคลน์บังคับให้วิญญาณอาฆาตถอนสายตากลับ ตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวอีกครั้ง เชื่อว่าทริสซี่ยังออกไปไม่ถึงหนึ่งวัน ไม่อย่างนั้นคงไม่สะอาดสะอ้านขนาดนี้
ขณะกำลังใช้ความคิด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังเข้ามาในโสตประสาทวิญญาณอาฆาต
เซนอลที่อยู่ภายใต้การควบคุม หันหลังกลับไม่มอง และไม่ประหลาดใจนัก ชายหนุ่มเห็นทริสซี่ในเดรสสีดำหม่นหมอง
แม่มดคนนี้มีผมสีดำขลับ ทรงผมแตกต่างจากหญิงสาวในวัยเดียวกัน ค่อนข้างเรียบง่ายและธรรมดา
เมื่อผนวกกับใบหน้าที่มีเลือดฝาด แต่ยังคงขาวนวล ทริสซี่ในปัจจุบันดูราวกับเป็นบุปผางามซึ่งกำลังเบ่งบานอย่างเงียบสงัด
สมแล้วที่เป็นแม่มด… โชคดีที่เราถูกคั่นด้วยหุ่นเชิด ไม่อย่างนั้นคงเอาแต่จ้องหน้าอย่างมีความสุข… หึหึ… คนตายไม่มีวันถูกยั่วยวน! ไม่ว่าแม่มดจะมีเสน่ห์สักเพียงใด แต่ก็ไม่มีวันเปลี่ยนคนตายให้กลายเป็นซอมบี้และคลานขึ้นจากหลุมศพได้… ไคลน์รำพันเงียบ แต่ยังคงไม่ประมาท ส่งเสียงถามทริสซี่ที่กำลังชักใยแมงมุมล่องหน
“ไปไหนมา?”
ทริสซี่ขมวดคิ้วและตอบ
“เรื่องท้องไส้ ใครเขาทำบนที่นอนของตัวเองกัน?”
อึก… เราคิดว่าแม่มดไม่จำเป็นต้องเข้าห้องน้ำเสียอีก… ไคลน์รำพันติดตลก บังคับวิญญาณอาฆาตหัวเราะ
“หมายถึงขี้กับเยี่ยว?”
มันจงใจสั่งให้หุ่นเชิดพูดเช่นนั้น เพราะเป็นบุคลิกออกแบบไว้สำหรับโจรสลัดหยาบกร้านอย่างพลเรือเอกโลหิต
ทริสซี่ขมวดคิ้วฉงน ถามกลับ
“แล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก?”
‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลไม่สานต่อบทสนทนา เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
“ฟื้นตัวได้เร็วดี”
ทริสซี่ยิ้มบางๆ
“ก็ไม่แย่ ฉันจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้”
เธอเว้นวรรค ดวงตาเรียวเล็กหรี่ลง
“ว่ากันตามตรง บางครั้งฉันก็สงสัยว่า นายคือ ‘พลเรือเอกโลหิต’ จริงหรือ?”
แน่นอน ตัวจริงเสียงจริง! เธอควรถามว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่… ไคลน์บังคับเซนอลถามกลับอย่างสนใจ
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น?”
ทริสซี่จ้องหน้าวิญญาณอาฆาตและตอบ
“กล่าวกันว่า พลเรือเอกโลหิตเป็นพวกหื่นกระหาย ไม่สนว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ขอแค่มีใบหน้าสะสวยก็พอ… แต่ขณะเผชิญหน้ากัน ฉันมองไม่เห็นความปรารถนาทางเพศในตัวนาย… ฉันเชื่อว่า ถ้าเป็นพลเรือเอกโลหิตตัวจริง การตกลงปากเปล่าของพวกเราเมื่อวันก่อน จะต้องแนบท้ายด้วยเงื่อนไขขอมีเพศสัมพันธ์แน่นอน”
ไคลน์ใช้ความคิดสักพัก บังคับวิญญาณอาฆาตหัวเราะกับตัวเอง
“ฉันกลัวว่า ขณะกำลังดื่มด่ำ ‘ความสุข’ ฉันจะเป็นฝ่ายถูกเธอควบคุมแทน”
ทริสซี่เปลี่ยนสีหน้าทันที เพราะนั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่เธอยื่นข้อเสนอกับเซนอล
สำหรับแม่มดสุขสม ผู้วิเศษหื่นกระหายคือเหยื่อตามธรรมชาติ
ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อ สั่งให้หุ่นเชิดกล่าว
“พรุ่งนี้เธอจะไปพบเป้าหมายใช่ไหม? อย่าลืมว่า หัวหน้าองครักษ์หลวงรู้จักเธอ เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน”
เพราะท้ายที่สุด เธอถูกพวกมันชักนำด้วยความบังเอิญ ให้เข้ามาพัวพันกับองค์ชายเอ็ดซัค… ไคลน์เปล่งเสียงในใจ
ทริสซี่ก้มหน้าลง มองปลายนิ้วเท้าตัวเอง ยิ้มขื่นขม
“มั่นใจได้เลย แผนการของฉันสมบูรณ์แบบ”
ขณะกล่าว เธอหันหน้าไปทางด้านข้าง ชี้ไปยังส่วนลึกของท่อระบายน้ำ กล่าวอย่างเป็นกันเอง
“จากตรงนี้ ทางแยกที่หกจากซ้ายมือเป็นทางลับ มีร่องรอยบ่งบอกว่ามนุษย์ผ่านเข้าออกบ่อยครั้ง… หึหึ… ฉันพบมันจากการเดินสำรวจรอบๆ ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา… ถ้าเดาไม่ผิด คงเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม? และนั่นคือเหตุผลที่นายลงมาที่นี่?”
ทางลับ? ไคลน์ไม่รับไม่เถียง ปล่อยให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลหัวเราะ
“แล้วเจออะไรไหม?”
ทริสซี่ส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรเลย บางที ผู้วิเศษสักเส้นทางอาจสามารถมองเห็นเบาะแส”
เป็นสัญชาตญาณของ ‘นักจารกรรม’ หรือสมบัติวิเศษบนร่างกายเฮเซล? ไคลน์ไม่คิดแช่นาน บังคับให้เซนอลวางมือบนหน้าอก ยิ้มและคำนับ
“ในเมื่อเธอหายดีแล้ว ฉันก็เบาใจ”
กล่าวจบ มันหายตัวไปต่อหน้าอีกฝ่าย
ทริสซี่จ้องมองความว่างเปล่า ไม่พบสิ่งใด จนกระทั่งใยแมงมุมล่องหนของเธอสัมผัสโดยเพียงสายลม หญิงสาวถอนสายตากลับ ตระหนักว่าพลเรือเอกโลหิตจากไปแล้วจริงๆ
ขณะเดียวกัน ไคลน์นำหุ่นเชิดวิญญาณอาฆาตกลับมายังฝาท่อระบายน้ำ ไม่คิดสำรวจในจุดที่ทริสซี่เล่าให้ฟัง
มีสามเหตุผลสำหรับการตัดสินใจเช่นนี้ หนึ่ง ตรงนั้นไกลกว่าหนึ่งร้อยเมตร สอง มันเชื่อว่าตนจะไม่พบอะไร เพราะท้ายที่สุด มันไม่ใช่ผู้วิเศษเส้นทางนักจารกรรม ไม่มีสมบัติวิเศษที่สอดคล้อง และสาม ทริสซี่ยังคงอยู่แถวนั้น
…
เช้าวันพฤหัสบดี ฟอร์สตื่นขึ้นตามธรรมชาติ ล้างหน้าเสร็จสรรพ หยิบขนมปังปิ้งหนึ่งชิ้น เปิดประตูและหยิบของออกจากกล่องจดหมาย
เธอเดินมายังโต๊ะดื่มกาแฟพร้อมกับถ้วยกาแฟ พลิกอ่านสิ่งที่อยู่ในมือด้วยท่าทีผ่อนคลาย พบคำตอบที่รอคอยมาหลายวัน
ทั้งหนังสือพิมพ์ ใบแจ้งหนี้ และจดหมายฉบับอื่นๆ ถูกทิ้งลงบนโต๊ะทันที ฟอร์สรีบแกะซองจดหมายในมือ
“อาจารย์มาถึงเบ็คลันด์แล้วหรือ…” หลังจากกวาดตาอ่านอย่างว่องไว ฟอร์สพึมพำด้วยเสียงประหลาดใจ
ขณะเดียวกัน เธอเหลือบไปเห็นขนมปังปิ้งที่เคยคาบ ร่วงหล่นลงบนพื้นห้อง
ราชันเร้นลับ 786 : เอกสารปลอม
Ink Stone_Fantasy
เขตเชอร์วู้ด บ้านเลขที่ 22 ถนนปรารถนา โรมแรมแฮททริค
พนักงานดูแลแผนกต้อนรับเตรียมจะจิบน้ำ แต่ดันเหลือบไปเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินมาที่ประตู
ผู้หญิงคนนี้สูง 1.65 เมตร สวมกระโปรงยาวสีอ่อนมีจีบ ผมสีน้ำตาลอ่อน หยักศกตอนปลาย สวมแว่นตากันแดด ทำตัวผ่อนคลายราวกับเพิ่งกลับมาจากอ่าวเดซีย์
เธอถือกระเป๋าเดินทางหนังสีน้ำตาลเข้ม เดินไปที่แผนกต้อนรับอย่างไม่รีบร้อน
นำสมัยและมีเสน่ห์มาก… เดรสสวย… เราอยากเห็นจริงๆ ว่าตอนถอดแว่นจะเป็นยังไง… ในฐานะสตรี พนักงานที่แผนกต้อนรับมีพฤติกรรมชอบมองไปยังเสื้อผ้าและเครื่องประดับของแขก
เธอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวด้วยเสียงเจือความเกียจคร้าน
“หนึ่งคืน ห้องเดี่ยว”
“สองซูล แปดเพนนี” พนักงานต้อนรับแจ้งราคา จากนั้นก็ถามว่า “มีเอกสารยืนยันตัวตนไหม?”
นี่คือระเบียบการลงทะเบียน แต่เธอไม่ได้จริงจังอะไรนัก เพราะโรงแรมไม่มีวิธีตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารอยู่แล้ว
“ตกลง” หญิงสาววางกระเป๋าสีน้ำตาลเข้มลง หยิบปึกเอกสารออกมาจำนวนหนึ่งจากกระเป๋าหิ้ว ส่งไปให้อีกฝ่าย
“มาร์กาเร็ต·เทย์เลอร์…” พนักงานพึมพำ ก้มหน้าลงทะเบียน จากนั้นยื่นพวงกุญแจให้และกล่าว “ห้อง 2012”
“ขอบคุณ” หญิงสาวผู้แต่กายนำสมัยฝั่งตรงข้ามรับกุญแจ ยกกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลเข้ม เดินไปทางบันได
ขณะเดียวกัน บริกรชายในเสื้อกั๊กสีแดงเดินเข้ามาใกล้ โค้งศีรษะและคำนับ
“ให้ช่วยไหมครับ?”
สายตาของมันมองตรงไปยังกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลเข้มในมือหญิงสาว
ริมฝีปากของเธอยกโค้ง ส่ายหัวและตอบ
“ไม่จำเป็น มันเบามาก”
กล่าวจบ เธอไม่มัวรีรอ เดินขึ้นบันได เข้าไปในห้อง 2012
รอจนกระทั่งประตูปิด วางกระเป๋าเดินทางลง เธอยกแขนขวาขึ้น จับหน้าอก ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าโล่งอก
“ทำไมเราถึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฆาตกรโรคจิต…”
ไม่ใช่ใครนอกจากฟอร์สที่ปลอมตัวมา ในกระเป๋าเดินทางไม่มีสิ่งใดนอกจากศีรษะของมิสเตอร์ X ที่ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์!
พนักงานสองคนนั้นคงคาดไม่ถึงแน่ ภายในกระเป๋าเดินทางที่สาวนำสมัยถือติดตัวมา ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไม่มีเครื่องสำอาง มีเพียงศีรษะที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ศีรษะของคนตายที่เต็มไปด้วยเลือด… หากถูกพบเข้า ทั่วทั้งโรงแรมคงแตกตื่น… นี่มันพล็อตนิยายนักสืบชั้นเลิศ! ฟอร์สสงบความกังวลในใจ ยกกระเป๋าเดินทาง เปิดประตูห้อง
เธอสำรวจทางเดิน เมื่อไม่เห็นใครจึงรีบออกไป เดินมาถึงหน้าห้อง 2016 และใช้นิ้วเคาะประตูไม้
อาจารย์ของเธอ โดเรี่ยน·เกรย์·อับราฮัมอาศัยอยู่ที่นี่
เมื่อสังเกตเห็นว่าตาแมวกำลังมองมา ฟอร์สได้ยินเสียงบิดลูกบิด ได้เสียงกลอนกำลังทำงาน
โดเรี่ยน·เกรย์ในชุดสีดำ ไหล่กว้าง สายตาชำเลืองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง หลีกทางและสัญญาณให้ศิษย์เข้ามา
“ไม่มีใครรู้ใช่ไหม?” มันปิดประตูห้อง ซักถามอย่างระมัดระวัง
ฟอร์สวางกระเป๋าเดินทางลง ถอดแว่นกันแดดที่ปกปิดใบหน้าไว้เกือบครึ่ง
“ไม่ค่ะ ฉันใช้ตัวตนปลอม”
ในฐานะลูกครึ่งเบ็คลันด์และผู้วิเศษลำดับต่ำมากประสบการณ์ เอกสารปลอมหลายชุดคือสิ่งสำคัญ
นอกจากนั้น เธอยังมีผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้คอยช่วยเหลือ
ปัญหาเดียวก็คือ ของปลอมคือของปลอมวันยังค่ำ ไม่มีทางรอดพ้นการตรวจสอบของกรมตำรวจ
ทว่า ฟอร์สเคยได้ยิน บางช่องทางสามารถสร้างบัตรประชาชนของจริงขึ้นมาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตัวตนดังกล่าวถูกลงทะเบียนกับสำนักงานกรมตำรวจไว้แล้ว แต่จะสวมรูปภาพของคนอื่นแทนเข้าไป แน่นอน ราคาจะแพงกว่าปรกติมาก
โดเรียนพยักหน้าอ่อนโยน ถอนหายใจเงียบ ส่งสัญญาณให้ฟอร์สนั่ง ดึงเก้าอี้ออกมาและกล่าว
“ตามที่คุณแจ้งไว้ในจดหมาย ในชุมนุมลับผู้วิเศษของเบ็คลันด์ ใครบางคนเสนอรางวัลสำหรับการตามหาตัวทายาทสายตรงของตระกูลอับราฮัม เป้าหมายคือการรวบรวมข้อมูลของมิสเตอร์ประตู ข้อมูลถูกต้องใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ อาจารย์” ฟอร์สเล่าความจริงทั้งหมด “ฉันไม่ค่อยรู้จักตระกูลนี้ ก็เลยถามเผื่อว่า คุณอาจจะทราบ”
เธอปิดบังแค่สองเรื่อง หนึ่งคือ ชุมนุมลับดังกล่าวมีชื่อว่าชุมนุมทาโรต์ และสองคือ เธอรู้อยู่แล้วว่าอาจารย์เป็นคนตระกูลอับราฮัม
โดเรี่ยนนั่งลง หยิบถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีขาวขึ้นจิบ ถามด้วยสีหน้าใจเย็น
“ใครเป็นคนตั้งรางวัล?”
“ดิฉันไม่ทราบ ยืนยันได้แค่ว่า อีกฝ่ายเป็นสตรี เธอปกปิดตัวตน เอ่อ… เธอน่าจะแข็งแกร่งมาก และดูเหมือนจะมีบุคคลเบื้องหลังที่ทรงพลังคอยช่วยเหลือ” ฟอร์บรรยายภาพจำของมาดาม ‘เฮอร์มิท’
สิ่งที่เธอไม่ได้กล่าวออกไปก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายกับ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต นั้นไม่ธรรมดา
โดเรี่ยน·เกรย์คร่ำครวญสองสามวินาที
“ผมเองก็ไม่ค่อยมีข้อมูล ทราบแค่ว่า มิสเตอร์ประตูคือบรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัม หายตัวไปใน ‘สงครามสี่จักรพรรดิ’ คุณสามารถนำข้อมูลนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินรางวัลได้บางส่วน”
มิสเตอร์ประตูคือบรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัม? และยังเป็นคนที่ทำให้ตระกูลอับราฮัมได้รับคำสาปจากจันทร์เต็มดวง… มิสเตอร์ประตู ผู้ทำให้สายเลือดของตัวเองคลุ้มคลั่งมานานหลายปี ความจริงแล้วคือบรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัม? ฟอร์สตกตะลึงกับข้อมูลนี้
เธอเคยได้ยินสถานการณ์ของตระกูลอับราฮัมจากมิสเตอร์ฟูล จึงไม่อยากเชื่อว่า บรรพบุรุษคือบ่อเกิดของปัญหาทั้งหมด!
มิสเตอร์ประตูเคยตระหนักถึงผลของการกระทำบ้างไหม? ฟอร์สพึมพำ คิ้วขมวดชนกันโดยไม่รู้ตัว
โดเรี่ยน·เกรย์สังเกตเห็นความผิดปรกติของศิษย์ ซักถามด้วยสีหน้าเจือความฉงน
“มีปัญหาอะไรหรือ?”
แย่ล่ะสิ… เราลืมเก็บซ่อนสีหน้า… ฟอร์สครุ่นคิดสักพักและตอบ
“ดิฉันแค่ไม่เข้าใจ ผ่านมาแล้วหลายพันปี นอกจากทายาทสายตรงของตระกูลอับราฮัม ใครยังจะอยากได้ข้อมูลของมิสเตอร์ประตูอีก? จุดประสงค์คืออะไรกันแน่?”
หรืออยากให้มิสเตอร์ประตูกลับมา? อา… นั่นสินะ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ คือบุตรสาวของจักรพรรดิโรซายล์ และมิสเตอร์ประตูปรากฏตัวในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ ดังนั้น ราชินีคนดังกล่าวจึงต้องการตามหามิสเตอร์ประตู สำรวจความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน สมเหตุสมผล… ทว่า มิสเตอร์ประตูหายไปในสงครามสี่จักรพรรดิ เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จักรพรรดิโรซายล์จะเกิดนับพันปี แล้วความเชื่อมโยงอยู่ตรงไหน… หรือว่าจักรพรรดิโรซายล์เองก็ได้ยินเสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวง… หืม เราจำได้ มิสเตอร์ฟูลเคยกล่าวถึงมิสเตอร์ประตูว่า ชายคนนั้นอาจกำลังขอความช่วยเหลือ… ถ้านี่เป็นความจริง มันช่าง… มันช่าง… ในฐานะนักเขียน ฟอร์สมิอาจบรรยายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้
โดเรี่ยนยิ้มขื่นขม
“อันที่จริง ผมกำลังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าคุณได้คำตอบ อย่าลืมแจ้งให้ผมทราบ”
ฟอร์สรีบสลัดประเด็นดังกล่าวออกจากความคิด กังวลว่าจะถูกโดเรี่ยน·เกรย์พบความผิดปรกติ จากนั้นก็ถามกลับ
“อาจารย์ ทำไมจู่ๆ ถึงกลับมาที่เบ็คลันด์”
โดเรี่ยนอมยิ้ม หยิบบุหรี่และเลื่อนมาที่ปลายจมูก สูดดมเล็กน้อย แต่ไม่ได้จุดไฟ
“ผมมีงานต้องสะสางในเบ็คลันด์กะทันหัน ระหว่างทาง ผมอยากตรวจสอบความคืบหน้าในการย่อยโอสถของคุณ”
อันที่จริง มันรู้สึกประหลาดใจกับข่าวที่ฟอร์สถ่ายทอดมาในจดหมาย มันไม่อยากเชื่อว่า โลกนี้จะยังมีคนที่ถามถึงมิสเตอร์ประตูอยู่ เพราะว่ากันตามตรง แม้แต่ตระกูลอับราฮัมก็ยังถอดใจไปนานแล้ว มีเพียงมันที่ยังคงยืนกรานหนักแน่น ตั้งใจสั่งสอนศิษย์ก็เพื่อค้นหาคำตอบนี้โดยเฉพาะ
นอกจากนั้น โดเรี่ยนยังหวนถึงคำทำนายที่พูดกันอย่างแพร่หลายภายในตระกูล กล่าวกันว่า ตระกูลอับราฮัมจะเข้าใกล้ความพังพินาศเข้าไปทุกขณะ
มันเชื่อมโยงสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน จึงรีบเดินทางมายังเบ็คลันด์ ยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของศิษย์ โดยหวังว่า เธอจะเลื่อนลำดับให้เร็วที่สุด ช่วยพยุงความหวังอันริบหรี่ของตระกูลอับราฮัม
“ดิฉันเพิ่งจะแตกฉานความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์…” ฟอร์สตอบเสียงค่อย
เนื่องจากภาวะถังแตกในระยะหลัง เธอจึงยังมิได้ซื้อลูกแก้วเวทมนตร์ที่จำเป็นสำหรับ ‘โหราจารย์’
เพื่อไม่ให้หัวข้อสนทนานี้ดำเนินต่อ ฟอร์สหันไปทางโดเรี่ยน·เกรย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีสวมบทบาทของโหราจารย์ และได้รับการชี้แนะอย่างคลุมเครือทำนองว่า ‘โหราศาสตร์ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล’
จนกระทั่งบทเรียนจบลง ฟอร์สก้มมองกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลเข้มด้านข้างและเปิดปากเล่า
“อาจารย์ ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง”
“เรื่อง?” โดเรี่ยนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จิบชาอย่างสบายใจ
ฟอร์สกล่าวตามบทที่ท่องไว้ล่วงหน้า
“เมื่อทราบว่าลูอิส·เวย์นเคยทรยศต่อองค์กร รวมถึงเคยทำให้คุณสูญเสียหลายสิ่ง ฉันอยากเจอมันมาตลอด อยากแก้แค้นให้คุณ”
“ล้มเลิกความคิดเดี๋ยวนี้!” โดเรี่ยนนั่งตัวตรง “ถึงคุณจะมีบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ แต่ก็ไม่มีทางเอาชนะมันได้แน่นอน ลืมเรื่องฆ่ามันไปได้เลย! ผมดีใจนะที่ได้ยินอะไรแบบนี้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้ามาเสี่ยง”
เขาพูดถูก ลำพังเราคนเดียวคงฆ่ามันไม่ได้… ฟอร์สพึมพำในใจ กล่าวออกไปตามตรง
“ดิฉันรู้จักนักล่าค่าหัวที่เก่งมากคนหนึ่ง ต้องใช้เงินไปเกือบหนึ่งหมื่นปอนด์เพื่อขอให้เขาช่วย”
เธอมิอาจกะเกณฑ์มูลค่าของงานจ้างวานฆ่าลูอิส·เวย์นได้แม่นยำ จึงนำค่าหัวที่มิสออเดรย์จ้างฆ่าราชทูตอินทิสมาเป็นบรรทัดฐาน
“คนคนนั้นต้องหลอกคุณแน่… มีโอกาสมากที่ลูอิส·เวย์นจะเป็น ‘นักท่องเที่ยว’ นอกจากนั้น มันยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบจากชุมนุมแสงเหนือ” ขณะโดเรี่ยนกำลังจะยืนกรานว่า ไม่มีนักล่าค่าหัวคนใดสามารถล่าลูอิส·เวย์นไหว มันได้ยินศิษย์ของตนกล่าว
“เขาทำสำเร็จแล้ว”
แค่ก! แค่ก! แค่ก! โดเรี่ยนสำลักน้ำลาย ไอราวกับปอดจะฉีก
ถ้วยชาในมือหลุดร่วงทันที หล่นกระแทกพื้น แต่ราวกับเล่นกล ถ้วยชากลับมา ‘ตั้ง’ อย่างมั่นคงบนโต๊ะกาแฟ
“เขาส่งศีรษะของลูอิส·เวย์นมาให้ดิฉันแล้ว” ฟอร์สนำกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาวาง เปิดมันออก หยิบวัตถุทรงกลมที่ถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
เมื่อกระดาษค่อยๆ ถูกคลี่ออกทีละชั้น โดเรี่ยนได้เห็นใบหน้าที่มันไม่มีวันลืม เทียบกับสมัยบุกโจมตีสำนักงานใหญ่ของตระกูลอับราฮัม รอยยิ้มอย่างพึงพอใจของลูอิส·เวย์นไม่หลงเหลืออยู่อีก ศีรษะมีรอยแตกร้าว คล้ายกับประกอบเข้าด้วยกันใหม่ด้วยกาว ดวงตาแฝงความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
ในฐานะโหราจารย์ สัมผัสวิญญาณของโดเรี่ยน·เกรย์บอกกับมันอย่างมั่นใจ นี่คือศีรษะของลูอิส·เวย์น
“เยี่ยมมาก… ยอดเยี่ยมมาก” โดเรี่ยนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้น จ้องหน้าศิษย์ “นักล่าค่าหัวคนนั้นเป็นใคร? ผมไม่อยากเชื่อว่านักล่าหัวของเบ็คลันด์จะมีคนที่เก่งขนาดนี้อยู่ด้วย”
ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น