Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 771-780

 ราชันเร้นลับ 771 : โจรปล้นดวง

โดย

Ink Stone_Fantasy

‘อสรพิษ’ แห่งชะตาต้องการสิ่งตอบแทนแบบไหน? ไคลน์ครุ่นคิดพลางลุกขึ้นนั่ง นำหมอนมาหนุนแผ่นหลัง


ชายหนุ่มใช้สมองสักพัก ก่อนจะตัดสินใจยังไม่ด่วนสรุป เพราะอย่างน้อยก็ยังมีเวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่วิล·อัสตินจะคลอด ตนสามารถโยนคำถามดังกล่าวไปให้ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาหรือ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตที่อยู่เบื้องหลังคิดแทน


แน่นอน ไคลน์ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ในเรื่องที่วิล·อัสตินจะคลอดก่อนกำหนด


ชายหนุ่มค่อยๆ หันมาสนใจเรื่องการสร้างยันต์จากหนอนกาลเวลา ตามข้อมูลที่อสรพิษแห่งชะตาบอกเล่า ตนบรรลุเงื่อนไขเกือบทั้งหมดแล้ว ขาดเพียงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้อง


สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล อาศัยพลังของมิติลึกลับเหนือสายหมอก… เราไม่แน่ใจว่าสัญลักษณ์ของเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ จะใช้ได้ผลไหม… แต่ถึงจะใช้ได้ เราก็ยังไม่เคยเห็นสัญลักษณ์นั่นอยู่ดี เว้นเสียแต่จะดึงผู้วิเศษเส้นทางนักจารกรรมเข้ามาในมิติหมอกจนสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นหลังเก้าอี้… ขณะไคลน์ไตร่ตรอง มันผุดไอเดียใหม่กะทันหัน


ถ้าอย่างนั้น… ทำไมไม่ลองใช้สัญลักษณ์จากเก้าอี้เดอะฟูล?


สัญลักษณ์ดังกล่าวประกอบด้วย ‘เนตรไร้รูม่านตา’ ที่หมายถึงความลับ และ ‘เส้นเกลียว’ ที่หมายถึงความเปลี่ยนแปลง!


ไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ไหม… การทำนายก็ไม่สามารถยืนยันผลลัพธ์ แต่ก็พอจะคาดเดาความสำเร็จได้คร่าวๆ … และถึงจะล้มเหลว ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหามากมายอะไร เพราะนี่เป็นการสวดวิงวอนถึงตัวเอง ต่อให้วัสดุหายไปในการทดลอง ปลายทางก็ยังเป็นมิติหมอก ไม่ได้หายไปไหน… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มตื่นเต้น อดไม่ได้ที่ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อ ‘ทดลอง’ ทันที!


‘หนอนกาลเวลา’ คือวัสดุที่อยู่บนเส้นทางนักจารกรรม เกิดจากฝีมือครึ่งเทพในระดับเดียวกับอามุนด์ ถึงตัวหนอนจะตายไปแล้ว แต่แก่นสารของมันยังอยู่ ระดับตัวตนยังคงเท่าเดิม หากนำไปสร้างเป็นยันต์ แม้พลังจะไม่ทัดเทียมเทวทูตด้วยหลายๆ เหตุผล แต่ก็หนีกันไม่มากนัก ระดับใกล้เคียงกับจุดสูงสุดของนักบุญ หากไคลน์ผลิตขึ้นมาได้ จะเท่ากับมีไพ่ตายเพิ่มอีกหนึ่งใบ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน นั่นไม่ต่างอะไรกับการมีชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งชีวิต แล้วจะไม่ให้ตื่นเต้น ไม่ให้คาดหวังได้อย่างไร?


เนื่องจากเรายังใช้พลังของมิติหมอกได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ระดับของยันต์หนอนกาลเวลาคงลดลงเล็กน้อย… แต่ถึงอย่างนั้นก็คงดีกว่ายันต์ ‘กฎหมายที่เก้า’ ของพลเรือเอกอมิรุส… ถ้าเราใช้ ‘ออร่าของผู้ละเมอ’ เพื่อสร้างเป็นยันต์ขั้นสูงในขอบเขต ‘ปีศาจ’ ระดับคงทัดเทียมกับกฎหมายที่เก้า แต่น่าเสียดาย เราไม่กล้าสวดวิงวอนถึงด้านมืดของเอกภพ… ไคลน์ในสภาพสวมชุดนอน ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า เดินถอยหลังสี่ก้าวบนพรมหนานุ่ม สวดวิงวอนเสียงต่ำ ส่งตัวเองเข้ามิติหมอก


หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะทองแดงยาวของเดอะฟูล ชายหนุ่มเสกปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มและกระดาษหนังสีน้ำตาล เขียนประโยคทำนาย


“ยันต์ที่เรากำลังจะสร้าง ผลลัพธ์ออกมาราบรื่น”


คลายลูกตุ้มออกจากข้อมือ ไคลน์ถือโซ่เงินด้วยมือซ้าย เริ่มเข้าฌาน


หลังจากทวนประโยคทำนายซ้ำเจ็ดครั้ง ชายหนุ่มลืมตาขึ้น มองตรงไปข้างหน้า เห็นจี้บุษราคัมหมุนตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วค่อนข้างช้า วงในการแกว่งปรกติ


ราบรื่น… แต่คำถามคือ ราบรื่นเพราะสัญลักษณ์ดังกล่าวใช้งานได้ หรือราบรื่นเพราะล้มเหลวแต่ปลอดภัย? ไคลน์ นักทำนายมากประสบการณ์ พยายามตีความวิวรณ์ แต่ก็ไม่พบคำตอบที่แน่ชัด


สำหรับเรื่องนี้ มันไม่มีทางเลือกนอกจากทดลองด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถสรุปผล


ถัดมา ไคลน์เขียนประโยคทำนายใหม่


“การลอบสังหารมิสเตอร์ X ในวันศุกร์ของสัปดาห์นี้ ถือเป็นเรื่องอันตราย”


ท่องครบเจ็ดครั้ง จี้บุษราคัมยังคงหมุนตามเข็มนาฬิกา แต่เร็วกว่าและกว้างกว่าเดิมพอสมควร


มีอันตราย แต่ไม่มาก ยังไม่ถึงจุดที่เข้าไปพัวพันกับครึ่งเทพ ไม่ต้องพูดถึงราชาเทวทูต… หากมีบุคคลระดับดังกล่าวเข้ามาพัวพันจริง การทำนายของเราต้องได้ผลลัพธ์ล้มเหลวเนื่องจากถูกกีดขวาง… ดูเหมือนว่า ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุส ใกล้จะถูกล่อลวงออกจากเบ็คลันด์แล้ว… หมายความว่า อันตรายจากการทำนายหมายถึงมิสเตอร์ X และสมุนของมันเป็นหลัก… ยังอยู่ในขอบเขตที่เราสามารถรับมือได้… ตราบใดที่เราไม่พลาดเอง โอกาสสำเร็จจะสูงมาก… เมื่อตัดสินใจได้ ไคลน์วางปากกาลง ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับที่มักสร้างยันต์ขึ้นเอง ชายหนุ่มมีวัสดุเพียบพร้อม เทียนไขถูกหยิบออกมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือและจุดไฟ มอบแสงสลัวคล้ายยามพลบค่ำ เกิดเป็นแท่นบูชาเรียบง่าย จากนั้นก็ใช้มีดแกะสลักวาดสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของ ‘เดอะฟูล’ ลงบนผิวแผ่นเงิน


เนื่องจากไคลน์ไม่ทราบว่า ‘เดอะฟูล’ สอดคล้องกับตัวเลขใด สัญลักษณ์แบบไหน จึงไม่มีทางเลือกนอกจากสลักทั้งด้านหน้าและด้านหลังให้เหมือนกัน สิ่งนี้เป็นไปตามหลักการที่เขียนไว้ในหนังสือเกี่ยวกับยันต์ แต่ก็จะสูญเสียพลังไปบางส่วน และโอกาสล้มเหลวจะเพิ่มขึ้น เพราะตัวตนลึกลับที่สวดวิงวอนถึง อาจมองว่าผู้สลักยันต์ไม่ได้ศรัทธาตนมากพอ ทว่า สำหรับไคลน์ เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา เพราะมันไม่มีทางไม่ชอบตัวเอง


หลังจากกรีดร่องบนผิวเงินเสร็จ ไคลน์หยิบขวดโลหะ ใช้พลังวิญญาณเพื่อถ่ายเทปรอทในขวด เติมเต็มร่องบนผิวเงินที่สลักไว้


แต่ครั้งนี้ ชายหนุ่มทำแค่ด้านเดียว จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเองทันที ตอบสนองตัวเอง นำหนอนกาลเวลาที่มีวงแหวนมายาสิบสองวงกลับไปยังห้องนอนใหญ่ วางหนอนทาบลงบนแผ่นเงินแท้


จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์ตั้งแท่นบูชา ถอยหลังสองก้าว เปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”


ทำตามขั้นตอนครบถ้วน ชายหนุ่มเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้ามิติหมอก หลังจากห่อหุ้มร่างกายด้วยไพ่จักรพรรดิมืด มันใช้พลังวิญญาณขับเคลื่อนพลังส่วนเล็กๆ ของมิติหมอกเพื่อตอบสนองพิธีกรรม


ขณะเห็นพลังอันพลุ่งพล่านหลั่งไหลเข้าไปในวงกลมแสง ไคลน์รีบกลับสู่โลกความจริง มองเห็นแท่นบูชาที่มืดมนราวกับซ่อนความลับไว้นับไม่ถ้วน มองเห็นแผ่นเงินลอยขึ้นไปในอากาศ หลอมรวมเข้ากับซากศพของหนอนกาลเวลา


ไคลน์เดินเข้าไปสองก้าว พลิกแผ่นเงิน เติมเต็มร่องที่สลักสัญลักษณ์เดอะฟูลด้วยปรอท


เมื่อเส้นสัญลักษณ์เริ่มสว่างขึ้น แสงดังกล่าวค่อยๆ กลายเป็นสีเทาเจิดจ้า


ไคลน์รีบชักมือกลับ เฝ้ามองแสงที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ เริ่มห่อหุ้มแผ่นเงินไปพร้อมกับซากศพของหนอนกาลเวลา


ทันใดนั้น มืดมิดอันดำมืดรอบแท่นบูชาพลันบิดเบี้ยว คล้ายกับสภาพแวดล้อมโดยรอบกำลังเผชิญความผิดปรกติ


แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็จบลงอย่างรวดเร็ว ยันต์ซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายพิสดารค่อยๆ ร่อนลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ ปัจจุบันกลายเป็นแผ่นผลึกสีดำโปร่ง รูปทรงคล้ายไพ่ขนาดเล็ก ดูราวกับเป็นดวงตาของใครสักคนที่กำลังเฝ้ามองโลก


สำเร็จ! เจ๋งเป้ง! ไคลน์มีความสุขสุดขีด รีบก้าวไปข้างหน้าและหยิบยันต์ขึ้น สัมผัสถึงความเย็นยะเยียบ คล้ายกับใช้มือเปล่าจับเกล็ดหิมะ


ไม่ว่าจะมีพลังมากน้อยเพียงใด แต่ในเมื่อก่อตัวเป็นรูปทรงยันต์อย่างชัดเจน สิ่งนี้หมายถึงการประสบความสำเร็จ!


เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ได้ครอบครองยันต์ระดับครึ่งเทพ!


ชายหนุ่มรีบนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าไปในมิติหมอก ใช้พลัง ‘ทำนายฝัน’ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติอย่างคร่าว


ยันต์ที่คล้ายกับผลึกสีดำแผ่นนี้มีพลังเพียงหนึ่งชนิด แต่ก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ – มันจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถขโมยชะตากรรมของเป้าหมาย ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ ชะตากรรมของเป้าหมายและผู้ใช้งานจะสลับกัน!


ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือ… ขณะศัตรูกำลังจะฆ่าเรา ยันต์แผ่นนี้จะทำการโอนถ่ายชะตาของอีกฝ่ายมาเป็นของเรา ช่วยให้เรารอดชีวิต และชะตากรรมที่ต้องตายของเราจะถูกย้ายไปอยู่กับเป้าหมายแทน จากนั้น เมื่ออีกฝ่ายลงมือเสร็จ มันจะพบว่าเป็นตัวเองที่ต้องตาย ไม่ใช่เรา… สอดคล้องกับพลังพิเศษของเส้นทางนักจารกรรม ทั้งชั่วร้ายและน่าพรั่นพรึง… เปลี่ยนจากการขโมยเงินเป็นขโมยโชคชะตา… หากหนอนกาลเวลายังมีชีวิตอยู่ และหากเราสามารถใช้พลังของมิติสายหมอกได้เต็มประสิทธิภาพ ยันต์แผ่นนี้อาจมีพลังไปถึงขอบเขตของกาลเวลา… ไคลน์ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย ภายในใจรู้สึกหวาดหวั่นเล็กๆ


หากมันไม่มีความช่วยเหลือจากมิติหมอกเพื่อ ‘ฆ่าเชื้อโรค’ หากปราศจากพลังในการกีดขวางอันตราย ต่อหน้าหนอนกาลเวลา มันไม่มีหนทางเอาตัวรอดแม้แต่น้อย!


ฟู่ว… แต่ตอนนี้ ยันต์เป็นของเราแล้ว… ไม่ควรเรียกว่าหนอนกาลเวลาอีก คงต้องเรียกมันว่า ‘โจรปล้นดวง’ … ไคลน์เริ่มดำเนินกระบวนการส่งยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ กลับสู่โลกความจริง


จัดการพิธีกรรมเสร็จ ชายหนุ่มบรรจุยันต์ลงในกล่องบุหรี่เหล็กอย่างระมัดระวัง วางไว้ข้างนกหวีดทองแดงอะซิกและเหรียญทองของเซนอล ปิดทับอีกชั้นด้วยกำแพงวิญญาณ


ไคลน์ที่กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้งหลังจากห่างหายไปพักใหญ่ ออกแรงดึงผ้าม่านจนมีช่องว่างให้แสงจันทร์ลอดผ่าน มอบความสว่างแก่ห้องนอนอันเงียบสงบ


ขณะชื่นชมทัศนียภาพ มันเหลือบไปเห็นร่างของคนผู้หนึ่งกำลังย่องออกจากบ้านส.ส. มัคท์ เดินหลบไปตามเงามืด ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้บ้านของตน


ไม่ใช่ใครนอกจากเฮเซล·มัคท์ เธอเดินมายังฝาท่อระบายน้ำอีกครั้ง เปิดฝาออก ปืนลงไปและปิดจากด้านใน


ทำไมถึงเอาแต่เข้าไปในท่อระบายน้ำ? ไม่ไปเล่นบทฮีโร่ในพื้นที่อื่นบ้าง? การเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ… เว้นเสียจะมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือยืนยันว่าภายในท่อระบายน้ำมีสิ่งสำคัญซ่อนอยู่ การเดินหาอย่างส่งเดชไม่มีทางได้พบอะไร… ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมเช่นนี้รังแต่จะทำให้หน่วยพิเศษของทางการตรวจพบความผิดปรกติ… ผนวกกับภาพเหตุการณ์ที่เราเห็นจาก ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส คล้ายกับเธอกำลังค้นหาบางอย่าง… เฮ่อ… ไม่รู้หรือไงว่าในท่อระบายน้ำของเมืองหลวงเต็มไปด้วยอันตราย? ไคลน์ยืนที่อยู่ด้านหลังช่องว่างผ้าม่าน เฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนอันเงียบสงัด


ชายหนุ่มไม่ได้พยายามตักเตือนเฮเซล ไม่ได้ใช้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เข้าสิงร่างโดยตรงเพื่อให้อีกฝ่ายตระหนักถึงความน่ากลัวของโลกผู้วิเศษ ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่แน่ใจว่า การที่เฮเซลประมาทเช่นนี้ เพราะยังไม่รู้จักโลกของศาสตร์เร้นลับดีพอ หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง ชายหนุ่มยังไม่ทราบว่าเฮเซลได้รับโอสถหรือสมบัติวิเศษมาจากใคร การตักเตือนด้วยความหวังดี อาจดึงดูดอันตรายเข้ามาหาโดยไม่จำเป็น


หลังจากดื่มด่ำไปกับค่ำคืนแสนสงบสุข ไคลน์กลับไปนอนบนเตียง หลับยาวจนกระทั่งรุ่งสาง


ก่อนที่ริชาร์ดสันจะเข้ามา มันแปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล


“ผมรับงานนี้ได้ แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ผมต้องการยืมกำไลข้อมือของคุณและหินภายในนั้น รวมถึงสิทธิ์ในการยืมใช้งานหนังสือเวทมนตร์ของคุณเป็นระยะเวลาหนึ่ง… ถ้าสำเร็จ ทรัพย์สินของเหยื่อจะตกเป็นของผมทั้งหมด คุณจะได้แค่ศีรษะของเป้าหมาย… และในกรณีที่จำเป็น คุณต้องยื่นมือช่วยเหลือ”


ราชันเร้นลับ 772 : ความผิดปรกติของวอลเตอร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขอใช้หินบนกำไลข้อมือ รวมถึงสิทธิ์ในการยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ระยะหนึ่ง? เขาทราบได้ยังไงว่าเรามีสมบัติสองชิ้นนี้? เราจำได้ว่าไม่เคยเอ่ยถึงมันในชุมนุมทาโรต์… หลังจากได้ยินคำตอบของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ฟอร์สพลันประหลาดใจ เริ่มหวาดผวาเล็กๆ ราวกับความลับทั้งมองของตนถูกเปิดเผยอย่างทะลุปรุโปร่ง


หญิงสาวถูกครอบงำด้วยความเครียด พยายามเค้นสมองนึกถึงข้อบกพร่องของตัวเอง


นอกจากอาจารย์ ซิล และมิสเตอร์ฟูล ไม่มีใครทราบว่าเราครอบครองสองสิ่งนี้ โดยเฉพาะบันทึกการเดินทางของเลมาโน่… มิสเตอร์ฟูล… จะว่าไป มิสเตอร์เวิร์ลมักทำตัวแปลกๆ ในชุมนุมทาโรต์ เขาไม่เคยส่งไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เลยสักครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจด้วยซ้ำ… หรือว่า เขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับมิสเตอร์ฟูล จึงได้รับข้อมูลจากพระองค์โดยตรง? สาวก… หรือข้ารับใช้? ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก เริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่างคลุมเครือ บรรเทาความกลัวในจิตใจลง


เธอเริ่มมีเรี่ยวแรงพอที่จะพิจารณาว่าคำขอของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ สมเหตุสมผลหรือไม่


สำหรับฟอร์ส ข้อเสนอของอีกฝ่ายนับว่าถูกมาก ถูกกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้ แถมยังสมเหตุสมผล!


ในฐานะผู้วิเศษที่ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเพื่อพักผ่อนและเขียนงาน การถูกยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยมากนัก และกำไลข้อมือสำหรับเดินทางผ่านโลกวิญญาณ หินอีกสองก้อน การมอบหนึ่งก้อนให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไม่ได้ทำให้เธอสูญเสียไพ่ตายไปโดยสิ้นเชิง


ปัญหาเดียวก็คือ มิสเตอร์เวิร์ลอาจใช้งานรวดเดียวมองเม็ด และถ้าเขาล้มเหลว เราก็จะเสียมันไปฟรีๆ … แต่ต้องไม่ลืมว่า ตัวเขาเองก็ต้องเผชิญความเสี่ยง เป็นเรื่องปรกติที่จะเรียกร้อง… เดิมที เราเคยคิดว่าต้องสูญเสียมากกว่านี้ ถึงขั้นต้องนำรางวัลที่ได้จากการส่งศีรษะคนทรยศ ลูอิส·เวย์น ให้อาจารย์โดเรี่ยน มาจ่ายเป็นค่าจ้าง… ฟอร์สสงบสติสองสามวินาที สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล


“…เรียนท่านมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ได้โปรดนำข้อความไปบอกกับมิสเตอร์เวิร์ลว่า ดิฉันยอมรับเงื่อนไขของเขา และจะพยายามร่วมมืออย่างสุดความสามารถ”


เดิมที ต้องเธอการจะเตือน ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่า การใช้หินบนกำไลจะทำให้ได้รับอิทธิพลจากคืนจันทร์เต็มวาง แต่ในภายหลังตระหนักเพิ่งตระหนักได้ มีเพียงผู้วิเศษเส้นทาง ‘ผู้ฝึกหัด’ เท่านั้นถึงจะได้รับผลกระทบดังกล่าว



ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว แต่เราก็จะได้ใช้งานหินบนกำไล นั่นจะช่วยให้ออกจากเบ็คลันด์ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว แอบไปพบกับมิสเตอร์แฮงแมนเพื่อสำรวจเกาะโบราณ… เมื่อเวลานั้นมาหนึ่ง เราจะใช้สมุดเวทมนตร์บันทึกการใช้งานของหิน ไม่ต้องกังวลเรื่องขากลับ เว้นเสียแต่จะโชคร้ายมาก การบันทึกล้มเหลว… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก เปิดประตูห้อง อนุญาตให้บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันเดินเข้ามาช่วยจัดระเบียบเครื่องแต่งกาย


“นายท่าน หลังเสร็จอาหารเช้า คุณมีกำหนดการต้องเดินทางไปชมนิทรรศการของสะสมของราชวงศ์ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ” ริชาร์ดสันช่วยนายจ้างสวมเสื้อโค้ท พลางอธิบายตารางเวลาประจำวัน


เนื่องจากทักษะการเต้นรำเพื่อเข้าสังคมของดอน·ดันเตสพัฒนาได้ไวมาก คาบเรียนมารยาทในช่วงเช้าจึงลดลงจากสัปดาห์ละห้าวัน เหลือเพียงสัปดาห์ละสามวัน มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น และนิทรรศการประเภทนี้มักตกเป็นประเด็นสนทนาของชนชั้นสูงบ่อยครั้ง คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากไม่ได้ไปเยือนด้วยตัวเอง


สำหรับการแวะไปวิหารนักบุญแซมมวลเพื่อฟังบิชอปเทศนา ไคลน์ลดความถี่ลงเช่นกัน นั่นไม่ใช่เพราะมันเสียดายเงินค่าบริจาคหลายสิบปอนด์ต่อครั้ง แต่เป็นเพราะว่า หลังจากผ่านพ้นช่วงแรกมาแล้ว การแวะไปบ่อยครั้งอาจทำให้ถูกสงสัย ความเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผลคือแก่นสำคัญของแผนการ


นอกเหนือจากวันอาทิตย์ ไคลน์จะสุ่มเลือกสองวันจากหกวันที่เหลือเพื่อแวะไปวิหารนักบุญแซมมวล อาจต้องใช้เวลานานกว่าเดิมเพื่อตรวจสอบเวรยามของผู้คุม แต่ของแบบนี้ห้ามใจร้อนเด็ดขาด!


“อดใจรอไม่ไหวแล้ว” ไคลน์สำรวจสีหน้าตัวเองในกระจก ยิ้มและกล่าวกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว


เมื่อนึกถึงการไปเยือนวิหารนักบุญแซมมวลและโบสถ์รัตติกาล ชายหนุ่มพาลนึกไปถึงเรื่องที่เลียวนาร์ด·มิเชลกำลังตามสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ โดยยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายค้นพบความผิดปรกติในเรื่องใด


เป็นเพราะเอ็มลิน·ไวท์เคยซื้อถุงมือ ‘อินธน์’ เลียวนาร์ดจึงตัดสินใจสืบสวนขยายผล? หรือเป็นเพราะการปรากฏตัวเล็กๆ ของนักสืบคนดังในคดีคาพินและลาเนวุส ถุงมือแดงที่รับผิดชอบคดีจึงต้องสืบสวน? หรือทั้งสอง? ไคลน์นึกถึงร่องรอยที่ตนเหลือทิ้งไว้ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว


ไคลน์ไม่กลัวว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้จะถูกโบสถ์รัตติกาลตั้งค่าหัว เพราะอีกเดี๋ยวนักสืบคนดังก็จะไม่ได้โผล่หน้ามาให้ใครเห็นอีก อาจปรากฏตัวเป็นบางคราวเพื่อติดต่อกับคนรู้จัก แต่สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังกังวลก็คือ ใครสักคนอาจฉุกคิดว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้และไคลน์·โมเร็ตติมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมาก เกิดเป็นการไล่ล่าอดีตเหยี่ยวราตรีผู้ล่วงลับ


อันที่จริง ถึงจะมีคนรู้เรื่องนั้น เราก็ไม่กังวลอะไร… ตอนนี้เราไม่ได้เป็นแค่ตัวตลกหรือนักมายากลสักหน่อย และครึ่งเทพที่กำลังไล่ล่าเราก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองตน เพิ่มอีกสักฝ่ายจะเป็นอะไรไป… หากโบสถ์รัตติกาลส่งกองทัพเหยี่ยวราตรีอาวุโสมาไล่ล่า พวกมันก็ไม่ได้เก่งกว่าเราแบบก้าวกระโดด.. เบ็นสันและเมลิสซ่าเป็นแค่คนธรรมดา ทางศาสนจักรคงไม่ไปยุ่งวุ่นวาย… แต่พวกเขาจะริบเงินชดเชยคืนไหม? คงไม่… เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้คนธรรมดาเข้าใจประเด็นนี้… ไคลน์บรรเทาความกังวลลงหลายส่วน


นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ในตอนที่ได้ยิน ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินเอ่ยถึงไคลน์·โมเร็ตติเมื่อคืน ชายหนุ่มมิได้ออกท่าทีกังวลมากนัก


เป็นไปได้หรือ ที่ครึ่งเทพลำดับ 1 – เทวทูตที่เก่งกาจในด้านโชคชะตา จะไม่ทราบว่านักสืบคนดังรายนี้เป็นใครมาจากไหน?


ต่อให้มีพลังสายหมอกช่วยปิดกั้น ลดทอนรายละเอียดไปหลายส่วน วิล·อัสตินก็ยังทราบอยู่ดีว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มาจากเมืองทิงเก็น


ย้อนกลับไปในตอนที่ยังอยู่ทิงเก็น ไคลน์เคยเผชิญหน้ากับ ‘อาเดมิทอร์’ เด็กหนุ่มเส้นทางสัตว์ประหลาดที่ยืนขวางทางในตลาดมืด อีกฝ่ายถึงกับเลือดไหลออกจากดวงตา เช่นนั้นแล้ว อสรพิษแห่งชะตาย่อมมองเห็นได้ไกลกว่านั้น นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันจนได้รับคำตอบ


ถ้าเลียวนาร์ดค้นพบตัวจริงของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เราก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเขาจะทำหน้าแบบไหน…. ไคลน์หัวเราะกับตัวเอง เดินออกจากห้องนอนใหญ่ ลงไปยังชั้นสอง เพลิดเพลินกับอาหารที่ถูกปรุงอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัว



เขตตะวันตก อาคารหมายเลข 2 ถนนหลวงราชา พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ


ไคลน์พาพ่อบ้านวอลเตอร์และบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันผ่านประตูตรวจตั๋ว เข้าไปด้านใน


นิทรรศการนี้ถูกจัดขึ้นโดยราชวงศ์แห่งโลเอ็น จุดประสงค์เพื่อนำของสะสมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร มาจัดแสดงให้ประชาชนได้รับชมและเข้าใจ เสริมสร้างความเคารพและการยอมรับในตัวราชวงศ์


ในฐานะนักศึกษาที่จบจากสาขาประวัติศาสตร์ ไคลน์ค่อนข้างสนใจนิทรรศการทำนองนี้ เพราะหลายหลากเหตุการณ์ที่ตนคุ้นเคยจะถูกนำมาวางเรียงรายในรูปแบบของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ช่วยให้ดื่มด่ำไปกับข้อมูลที่เจ้าของร่างคนก่อนหลงใหลและปรารถนาจะรับรู้มาตลอด


สิ่งที่ทำให้ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจเล็กๆ ก็คือ พ่อบ้านวอลเตอร์รู้จักของสะสมชิ้นต่างๆ อย่างลึกซึ้ง สามารถมอบคำแนะนำให้ดอน·ดันเตสได้อย่างละเอียด


สมกับที่เคยเป็นพ่อบ้านของตระกูลขุนนางใหญ่… ไคลน์พยักหน้าในใจ


ขณะแวะชมและฟังเรื่องราว ทั้งสามคนเดินสวนกับผู้เยี่ยมชมคนอื่นๆ อย่างไม่ขาดสาย สภาพห้องโถงนิทรรศการค่อนข้างเงียบสงบและเป็นระเบียบ มีเพียงเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา


จนกระทั่งเดินผ่านตู้จัดแสดงหนึ่ง ไคลน์สังเกตเห็นว่าวอลเตอร์ชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน มองไปด้านข้าง สีหน้ายากซับซ้อนจะอธิบาย


เมื่อจากไม่ใช่ ‘ผู้ชม’ ไคลน์ไม่สามารถแปลความหมายของอารมณ์เหล่านั้น ทำได้เพียงมองตามสายตาวอลเตอร์ จ้องไปทางตู้จัดแสดง


มีสองบุคคลกำลังยืนในจุดดังกล่าว ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายอายุราวสามสิบ สวมชุดสุภาพสีดำ หมวกผ้าไหม ใช้ไม้ค้ำเลี่ยมทอง ดูเป็นสุภาพบุรุษภูมิฐานและร่ำรวย ส่วนฝ่ายหญิงมาในชุดสีเหลือง สวมสร้อยคอทองคำ มองภาพรวมดูสง่างามมาก


มิสเตอร์พ่อบ้านกำลังมองไปที่ฝ่ายชาย… ไคลน์ประเมินอย่างรวดเร็ว กวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ให้ใครผิดสังเกต


มันพบว่าสุภาพบุรุษคนดังกล่าวดูแก่กว่าที่คิด ผิวค่อนข้างคล้ำแดด หลังมือมีลักษณะเหมือนไม้แห้ง นิ้วหยาบกร้าน


ถ้าไม่มองเสื้อผ้า เราคงคิดว่าเขาเป็นชาวนา คนสวน หรือไม่ก็คนขับรถม้า… ไคลน์ถอนสายตากลับ ผุดความสงสัยเล็กๆ ในใจ


เหตุผลที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นรายละเอียดเหล่านี้ เพราะย้อนกลับไปสมัยที่เริ่มสร้างตัวตนดอน·ดันเตส ไคลน์พิจารณาอย่างจริงจังว่าผู้ชายที่เคยผจญภัยบนทวีปใต้มานาน ควรมีลักษณะทางกายภาพเป็นเช่นไร


มันเชื่อว่า นอกจากดวงตา นิสัยใจคอ และใบหน้าที่เกิดจากการตกผลึกทางประสบการณ์อย่างยาวนาน ดอน·ดันเตสควรมีผิวพรรณที่เคยผ่านแสงแดดมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง มีรอยแผลเป็นที่ไม่โดดเด่นนัก มีฝ่ามือที่หยาบกระด้างแต่แข็งแรง ไม่อย่างนั้น ความสมจริงของตัวละครจะไม่มากพอ


พูดกันตามตรง นับตั้งแต่กลายเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ จนถึงปัจจุบัน เราค่อยๆ พัฒนาฝีมือในการสร้างตัวตนใหม่ สั่งสมความรู้และประสบการณ์จนสามารถออกแบบตัวละครใหม่ได้อย่างสมจริง… หากกลับสู่โลกเก่า แม้จะไม่มีพลังพิเศษ แต่เราก็ยังแสดงละครได้เก่ง พร้อมเล่นทุกบทบาท… ไคลน์หัวเราะกับตัวเอง เหลือบไปเห็นพ่อบ้านวอลเตอร์กลับมาทำสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


ขณะเดียวกัน ชายที่มีใบหน้าค่อนข้างชราและผิวหยาบกร้าน ชี้ไปยังธงผืนหนึ่งในตู้จัดแสดง


“ธงผืนนี้มาจากสงครามกุหลาบขาว เป็นธงรบของเอิร์ลแห่งลาสติ้ง องค์ชายฮาโรลด์·ออกัสตัส… ช่างน่าเศร้า พระองค์สิ้นพระชนม์ในศึกดังกล่าว ทว่า การจากไปของพระองค์คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสงคราม ช่วยให้พวกเราชาวโลเอ็นได้รับชัยชนะ… ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นเลือดที่ติดบนผืนธง นั่นคือเลือดของพระองค์”


มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ไม่เลว… ไคลน์ใช้หางตาชำเลืองพ่อบ้านวอลเตอร์ ครุ่นคิดสองสามวินาที ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คู่ชายหญิงพลางยิ้มและทักทายอย่างเป็นมิตร


“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่ทราบรายละเอียดในเชิงลึกเช่นนี้ เดิมที ผมเข้าใจว่าชาวโลเอ็นจะรู้จักสงครามกุหลาบขาวเฉพาะเรื่องฝ่ายตนได้รับชัยชนะเหนืออินทิส… มิสเตอร์ ผมขอชื่นชมความรู้อันกว้างขวางของคุณ”


เมื่อถูกยกยอต่อหน้าสตรี แววตาของชายคนดังกล่าวเปลี่ยนจากตื่นตัวเป็นผ่อนคลาย เผยรอยยิ้มเล็กๆ


“ผมแค่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์”


มันหันไปมองพ่อบ้านของสุภาพบุรุษฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเป็นมิตร แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วและคลายออกในทันที ทิ้งความสงสัยเล็กๆ ไว้อย่างเจือจาง


เป็นอย่างที่คิด เขารู้จักพ่อบ้านวอลเตอร์… ไคลน์ยิ้มสุขุม


“สวัสดีครับ ผมเป็นนักธุรกิจจากอ่าวเดซีย์ ดอน·ดันเตส ไม่ทราบว่าต้องเรียกคุณว่าอย่างไร”


อีกฝ่ายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบ


“วิลเลี่ยม·ไซเคส ผู้ดูแลคฤหาสน์”


ราชันเร้นลับ 773 : พัฒนาการเพิ่มเติม

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิลเลี่ยม·ไซเคส… ผู้ดูแลคฤหาสน์… ไคลน์ทวนคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะชักนำบทสนทนาไปสู่หัวข้อเกี่ยวกับธงศึกในสงครามกุหลาบขาว


พูดคุยกันสักพัก ชายหนุ่มอำลาอย่างสุภาพ เดินจากไปพร้อมกับพ่อบ้านวอลเตอร์และบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน ตรงไปยังตู้จัดแสดงอื่น เที่ยวชมงานนิทรรศการอย่างเป็นธรรมชาติราวกับการพบปะเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เป็นความบังเอิญโดยแท้จริง


ใกล้เที่ยง ไคลน์ที่กลับมายังรถม้าสี่ล้อหรูหรา เฝ้ามองจักรยานที่ขี่ผ่านไปด้านข้างตัวรถ


“วอลเตอร์ คุณรู้จักมิสเตอร์วิลเลี่ยม·ไซเคสใช่ไหม”


วอลเตอร์พยักหน้ารับเคร่งขรึม


“ตอนที่ทำงานอยู่กับไวเคาต์คอนราด ผมเคยพบเขา… ชายคนนั้นเคยทำงานให้คนของราชวงศ์… อดีตเอิร์ลแห่งลาสติ้งผู้ล่วงลับ องค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัส”


วอลเตอร์ไม่ได้ปกปิดสิ่งใด เล่าที่มาของวิลเลี่ยม·ไซเคสอย่างละเอียด


เคยรับใช้องค์ชายเอ็ดซัค? หลังจากองค์ชายเสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมีชีวิตที่ดีขึ้นมาก… ปัจจุบันกำลังทำงานให้คฤหาสน์หลังไหน? บางที หมอนั่นอาจล่วงรู้ความลับบางอย่าง… ไคลน์พยักหน้ารับแผ่วเบา ไม่มีคำถามเพิ่มเติม เพียงครุ่นคิดว่าจะพอจะมีโอกาสสืบสวนวิลเลี่ยม·ไซเคสหรือไม่


แต่ถ้าวิลเลี่ยม·ไซเคสรู้ความลับบางอย่างจริง ฝ่ายราชวงศ์ไม่น่าจะปล่อยไว้นานขนาดนี้ หรือไม่ก็หมายความว่า มันคือคนของราชวงศ์… สรุปโดยสั้น การสืบสวนวิลเลี่ยม·ไซเคสถือเป็นงานอันตราย ไม่ควรมอบหมายให้เอ็มลิน มิสเมจิกเชี่ยน หรือมิสซิลช่วยทำแทน… ชารอนน่าจะทำงานนี้ได้ไม่ยาก แต่นั่นก็อาจทำให้ชีวิตอันสงบสุขของเธอถูกรบกวน… วิธีที่ดีที่สุดคงเป็นการปรากฏตัวในร่างจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด แต่ปัญหาก็คือ ก่อนที่จะลงมือขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส เราควรสืบคดีโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแค่ผิวเผิน ไม่อย่างนั้น แผนการหลักอาจถูกรบกวนด้วยปัจจัยที่ไม่คาดคิด… ไคลน์ทำเป็นชื่นชมวิวทิวทัศน์ภายนอก แต่ในใจกำลังขบคิดหลายสิ่ง


ในที่สุด มันตัดสินใจพับเก็บเรื่องนี้ไปก่อน ยังไม่อยากทำลายแผนการสำคัญในปัจจุบัน


จัดการอาหารกลางวันเสร็จ งานหนุ่มงีบหลับในช่วงบ่าย ก่อนจะตื่นขึ้นมาเรียนมารยาทการชื่นชมวรรณกรรม จนกระทั่งใกล้ถึงช่วงเวลาอาหารเย็น


หลังจากส่งครูสอนมารยาทกลับไป ชายหนุ่มเตรียมเดินขึ้นชั้นสอง แต่ทันใดนั้น เสียงกริ่งบ้านพลันดังขึ้น


ท่ามกลางเสียงกังวาน ไคลน์ชำเลืองไปทางริชาร์ดสัน บุรุษรับใช้จึงรีบขยับตัวไปข้างหน้า เปิดประตูออก


ด้านนอกคือตำรวจสองคนในเครื่องแบบสีขาวสลับดำ พิจารณาจากอินทรธนู คนหนึ่งเป็นสารวัตรอาวุโส ส่วนอีกคนคือสิบตำรวจเอก


“คุณตำรวจ มีเรื่องอะไรหรือ?” ริชาร์ดสันถามแทนเจ้านาย


สารวัตรอาวุโสเป็นชายรูปร่างผอมสูง ใต้หมวกซ่อนไรผมสีดำ มีเพียงตรงขมับที่สีแตกต่างออกไปเล็กน้อย มันชำเลืองเข้ามาในบ้านพลางตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ผมกำลังตามหามิสเตอร์ดอน·ดันเตส มีคดีที่เกี่ยวข้องกับเขาและพ่อบ้าน”


“คดีอะไร?” ไคลน์เดินมาที่ประตูอย่างไม่รีบร้อน “ผมคือดอน·ดันเตส”


แนะนำตัวเองจบ ชายหนุ่มกล่าวอย่างสุภาพ


“คุณตำรวจทั้งสอง ผมควรเรียกพวกคุณว่าอะไร? และถ้าปัญหาในคราวนี้ใช้เวลานาน ขึ้นไปที่ห้องรับแขกก่อนไหม? คุยกันพลางดื่มชา”


ตำรวจอีกนายหนึ่ง สิบตำรวจเอก เธอเป็นหญิงสาวบุคลิกสง่างาม เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างสนใจข้อเสนอเมื่อครู่ แต่ก็ทำได้เพียงชำเลืองไปทางสารวัตรอาวุโสด้านข้าง รอการตัดสินใจจากเจ้านาย


เนื่องด้วยอิทธิพลของศาสนจักรรัตติกาล โลเอ็นจึงมีตำรวจหญิงค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากอิทธิพลของศาสนาอื่นๆ และแนวคิดทางสังคม พวกเธอจึงไม่มีความก้าวหน้าในการงานสักเท่าไร ถูกเลือกปฏิบัติและกีดกันในระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่ได้ทำงานเสมียนนั่งโต๊ะ นับเป็นสาขาอาชีพที่มีเพดานล่องหนสำหรับสตรี


สารวัตรอาวุโสยิ้ม


“คงไม่จำเป็นต้องดื่มชา พวกเราแค่จะสอบปากคำคนรับใช้ของคุณ”


มันเว้นวรรค กล่าวเข้าประเด็น


“มิสเตอร์ดอน·ดันเตส คุณรู้จักวิลเลี่ยม·ไซเคสไหม?”


“ผมได้พบกับเขาเมื่อเช้า… ในพิพิธภัณฑ์” ไคลน์เริ่มตระหนักอย่างคลุมเครือว่า ‘พัฒนาการ’ ที่คาดไม่ถึงได้เกิดขึ้นแล้ว จึงถามกลับไปอย่างกระตือรือร้น “เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”


สารวัตรอาวุโสสลายรอยยิ้ม


“เขาเสียชีวิตแล้ว ตายในโรงแรมใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์”


“ตายแล้ว?” ไคลน์ไม่ปิดบังความประหลาดใจและตกตะลึง


เพิ่งได้พบกันเมื่อเช้า แต่ตอนนี้ตายแล้ว?


ถูกหมายหัว?


สารวัตรอาวุโสพยักหน้า กล่าวเสียงขรึม


“ถูกต้อง สาเหตุการตายค่อนข้างซับซ้อน มีความเป็นไปได้ที่จะถูกฆาตกรรม”


“แล้วสตรีที่อยู่กับเขา?” ไคลน์ขมวดคิ้วถาม “ในตอนที่พวกเราคุยกัน มีสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ”


“ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาน้อย ในตอนที่เธอออกจากโรงแรม วิลเลี่ยม·ไซเคสยังมีชีวิตอยู่ บริกรของโรงแรมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ เพราะหลังจากนั้นยังมีการเข้าไปส่งไวน์แดง” สารวัตรอาวุโสเกริ่นอย่างกระชับ “หลังออกจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ คุณไปที่ไหนต่อ?”


“ตรงกลับมาที่คฤหาสน์หลังนี้ทันที รับประทานอาหารกลางวัน งีบหลับช่วงบ่าย ตื่นมาเรียนมารยาท… ทั้งคนรับใช้ เพื่อนบ้าน ครูสอนการชื่นชมวรรณกรรม ทุกคนสามารถเป็นพยานให้ได้” ไคลน์ตอบใจเย็น


ชายหนุ่มหันไปทางริชาร์ดสันและกล่าว


“ไปเรียกวอลเตอร์มาที่นี่”


เพียงไม่นาน พ่อบ้านวอลเตอร์ในสภาพสวมถุงมือสีขาว เดินลงจากบันไดชั้นสอง ถูกสอบปากคำแบบเดียวกัน


หลังจากได้รับความยินยอมจากดอน·ดันเตส ตำรวจทั้งสองนายเริ่มสอบปากคำริชาร์ดสันและคนรับใช้อื่นๆ ในบ้าน แต่ก็ไม่พบปัญหาใด


พวกมันไม่แช่อยู่นานนัก รีบกล่าวอำลาอย่างสุภาพเมื่อเสร็จ แวะไปเยี่ยมเพื่อนบ้านข้างเคียงต่อไป


ความอยากอาหารของไคลน์มิได้ถูกกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังคงเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหาร


หลังจากนั้น กระแสเวลาไหลผ่านอย่างรวดเร็ว ไคลน์นั่งอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ด้วยความผ่อนคลาย โดยก่อนจะเข้านอน มันมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อชื่นชมทัศนียภาพของเมืองหลวง พลางรอให้บุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน นำผลไม้มาเสิร์ฟในห้อง


เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา ชายหนุ่มถามโดยไม่มองหน้า


“เมื่อช่วงบ่าย วอลเตอร์ทำอะไรบ้าง”


“คอยจัดการงานต่างๆ ภายในคฤหาสน์ ไม่ได้ออกไปไหนเลยครับ” ริชาร์ดสันเล่าเสียงต่ำ


ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา มิได้ถามต่อ สงสัยว่าตนคงคิดมากไปเอง


ฟู่ว… ชายหนุ่มบรรจงพ่นลมหายใจออก เดินไปที่เตียงและทิ้งตัวนอนลง


ไคลน์หลับสนิทเป็นเวลานาน จนกระทั่งกลางดึกสงัด สัมผัสวิญญาณพลันถูกกระตุ้นจนตื่นขึ้นกะทันหัน


ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย ลุกเดินออกจากเตียง ตรงไปทางหน้าต่าง แหวกผ้าม่านและมองออกไป


ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวของค่ำคืนอันมืดมิด ร่างของบุคคลหนึ่งเดินเลียบกำแพงชั้นนอกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กระโดดออกไปทางสวน


บุคคลดังกล่าวมีหน้าผากกว้าง ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลขึงขัง ไม่ใช่ใครนอกจากพ่อบ้านวอลเตอร์


ว่องไวและเป็นธรรมชาติ… หากไม่เคยผ่านการฝึก ก็ต้องเป็นผู้วิเศษลำดับต่ำ… เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์ประเมินเบื้องต้น


ชายหนุ่มเฝ้ามองเงาของวอลเตอร์เดินไปตามถนน หยุดลงตรงปากท่อระบายน้ำที่เฮเซลเคยใช้งาน เปิดฝาท่อออก ปืนลง และไม่ลืมปิดจากด้านใน


ทุกคนที่นี่ปืนท่อระบายน้ำเก่งกันหมดเลยรึไง? แต่ในคืนก่อนๆ มิสเตอร์พ่อบ้านไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ไม่อย่างนั้นสัมผัสวิญญาณของเราก็ต้องถูกกระตุ้น เพราะคฤหาสน์หลังนี้คือ ‘อาณาเขต’ ของเรา… หมายความว่า ก่อนจะมาเป็นพ่อบ้านให้เรา เขาเคยทำเรื่องแบบนี้จนชำนาญ… มุมปากไคลน์ยกขึ้นเล็กน้อย เดินกลับไปที่เตียง หยิบกล่องบุหรี่โลหะจากใต้หมอน


ชายหนุ่มคิดจะให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลติดตามพ่อบ้านวอลเตอร์ คอยดูว่าอีกฝ่ายคิดจะทำสิ่งใด


หวังว่าจะไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร ไม่อย่างนั้น เราเองก็ต้องลงไปในท่อนั่นด้วย… ไคลน์พึมพำ เดินกลับไปที่ช่องว่างผ้าม่าน


หุ่นเชิดของชายหนุ่ม เซนอล อาศัยการเชื่อมต่อที่ลึกลับและพิสดารระหว่างผิวกระจก กระโดดไปยังโคมไฟถนนใกล้กับฝาท่อระบายน้ำ ลอยตัวทะลุผ่านฝาท่อลงไป ติดตามวอลเตอร์อย่างเงียบงัน


ไคลน์เห็นวอลเตอร์เดินไปข้างหน้าราวสิบเมตร หักเลี้ยวเข้าไปในทางแยกที่เงียบเชียบและมืดมิดยิ่งกว่าเก่า ตามผนังเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและตะไคร่น้ำ


ทันใดนั้น พ่อบ้านชะงักฝีเท้า กล่าวกับใครบางคน


“ทำไมถึงบุ่มบ่ามนัก? ทำไมไม่รอโอกาสที่ดีกว่านี้?”


ถัดมา เสียงของสตรีที่ค่อนข้างแหบจากความอ่อนเพลีย ตอบคำถามของวอลเตอร์


“นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว… ถ้าปล่อยให้เจ้านั่นกลับคฤหาสน์ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะได้ออกมา”


“แล้วทำไมคุณถึงเจ็บหนักขนาดนี้?” วอลเตอร์ถามด้วยความกังวล


สตรีลึกลับหัวเราะในลำคอ


“วิลเลี่ยม·ไซเคสเก่งกว่าที่คุณหรือฉันจินตนาการไว้มาก คงเพราะแบบนี้ หมอนั่นถึงถูกส่งมาทำงานในฐานะสายลับ… แต่ท้ายที่สุด ฉันก็ได้เบาะแสมาจากมัน… ผ่านมานานเหลือเกิน… ในที่สุดก็มีโอกาสได้เข้าใกล้ความจริงเสียที”


“ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้” วอลเตอร์พูดแผ่วเบา


สตรีหัวเราะด้วยความอ่อนเพลีย


“ฉันขายวิญญาณให้เทพมารไปแล้ว ดังนั้น เป้าหมายเดียวในชีวิตคือการแก้แค้น”


วอลเตอร์ถอนหายใจที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก


“ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน ผมจะคอยส่งอาหารมาให้ จนกว่าคุณจะฟื้นตัว… หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ใช้วิธีเดิมติดต่อผม”


หญิงสาวเงียบงันสักพัก ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอ่อนเพลีย


“ในตอนที่เขามีชีวิตอยู่ บริวารมากมายอ้างตัวว่าจงรักภักดี แต่พอเขาเสียชีวิต มีเพียงไม่กี่คนที่ยังศรัทธาในตัวเขา ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเขา… จากบรรดาทั้งหมด คุณทำให้ฉันประหลาดใจมากที่สุด”


“เขาเป็นขุนนางคนแรกที่ปฏิบัติต่อผมอย่างจริงใจ และเป็นคนเดียวที่ผมยอมภักดีจากก้นบึ้ง” วอลเตอร์ตอบเสียงทุ้ม


ไคลน์ผู้ใช้หุ่นเชิดแอบฟังบทสนทนา เริ่มเข้าใจเรื่องราวอย่างคลุมเครือ


หลังจากองค์ชายเอ็ดซัคสิ้นพระชนม์ มีบริวารไม่กี่คนที่ยังจงรักภักดีและสืบหาสาเหตุการตายของเขาอย่างลับๆ วอลเตอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น คอยทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากแวดวงชนชั้นสูง และใช้อำนาจในมือเพื่อแอบช่วยเหลือพวกพ้อง… นี่คงเป็น ‘พัฒนาการ’ ที่อาโรเดสหมายถึง…


ไคลน์บัง ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลให้เข้าสู่ภาวะล่องหน ดำดิ่งเข้าไปในทางเดินที่เงียบเชียบ แอบมองวอลเตอร์สนทนากับใครบางคนจากด้านข้าง โดยร่างกายของมันบังตัวสตรีลึกลับไว้ครึ่งหนึ่ง หล่อนสวมชุดสีดำ นั่งพิงกำแพง ใบหน้าค่อนข้างซีดเซียว


หลังจากได้ยินคำพูดวอลเตอร์ สตรีลึกลับหัวเราะในลำคอ มองไปที่ทางออก


“คุณกลับไปได้แล้ว อย่าให้ใครพบความผิดปรกติ”


หญิงสาวหันศีรษะ ช่วยให้ไคลน์เห็นใบหน้าได้เต็มสองตา – โครงหน้ากลมกลึง ดวงตาเรียว สีหน้าอ่อนโยนแฝงความอ่อนหวาน เป็นสตรีผู้มีเสน่ห์อันโดดเด่น และยังเป็นคนที่ไคลน์ ‘คุ้นเคย’


ทริสซี่!


ทริสซี่·ชีค!


ราชันเร้นลับ 774 : เบาะแส

โดย

Ink Stone_Fantasy

เธอยังไม่ตาย? หนีออกมาได้? แถมยังคิดจะแก้แค้นให้องค์ชายเอ็ดซัค? ในวินาทีที่เห็นทริสซี่ ไคลน์ซึ่งยืนหลังผ้าม่านบนห้องนอนใหญ่ แทบมิอาจรักษาความเยือกเย็น


แม้ว่าบทสนทนาก่อนหน้าของวอลเตอร์จะทำให้ไคลน์พอจะเดาได้รางๆ แต่เมื่อความจริงปรากฏ ชายหนุ่มก็ยากจะทำใจยอมรับ


ไม่ต้องอาศัยพลังทำนายฝัน ไคลน์ก็ยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันได้ชัดเจน หนึ่งในนั้นคือการได้นั่งสนทนากับทริสซี่ ย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าว เธออยากหลุดพ้นจากพันธนาการขององค์ชายเอ็ดซัคใจแทบขาด ไม่อยากให้ตัวเองต้องถูกชักใยโดยบุคคลในเงามืด ชีวิตประจำในตอนนั้นมีเพียงความเจ็บปวด


แต่กลับกลายเป็นว่า แม่มดซึ่งเคยเป็นผู้ชาย ยอมขายวิญญาณให้เทพมาร เพื่อแก้แค้นให้องค์ชายเอ็ดซัค? นี่มันนิยายรักโรแมนติกเกรดบีรึไง! มุมปากไคลน์พลันกระตุก ขณะเดียวกันก็ ‘เห็น’ พ่อบ้านวอลเตอร์โยนถุงอาหารให้ทริสซี่ หลังจากแอบ ‘ฟัง’ ทั้งคู่คุยกันสักพัก ชายหนุ่มหันหลังและบังคับให้เซนอลลอยกลับตามทางเดิม


ทันใดนั้น จากมุมมองของไคลน์ ร่างของบุคคลหนึ่งปรากฏตัวภายในบ้านส.ส. มัคท์ เดินเลียบเงาตามถนน ตรงมาทางท่อระบายน้ำด้วยความเร็วสูง ไม่ใช่ใครนอกจากเฮเซล ผู้ครอบครองสมบัติวิเศษเส้นทาง ‘นักจารกรรม’


ถ้าเป็นแบบนี้ วอลเตอร์ถูกพบตัวแน่… นี่ไม่ใช่ท่อระบายน้ำแล้ว แต่เป็นตลาดสดที่คึกคัก! ไคลน์ก้มมอง เลื่อนมือขวาขึ้นมาปิดหน้า


ขณะเข้าใกล้ฝาท่อ เฮเซลเหลียวซ้ายแลขวาสองสามวินาที ก่อนจะขยับฝาท่อระบายน้ำ กระโดดลงไปและปิดอย่างใจเย็น กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีการติดขัดแม้แต่น้อย


เมื่อเท้าสัมผัสกับพื้นที่ค่อยข้างลื่น เธอเดินไปตามพื้นเหล็กซึ่งมีน้ำเน่าไหลผ่านอย่างเอื่อยเฉื่อย ก้าวเดินแน่วแน่ประหนึ่งมีเป้าหมายในใจชัดเจน


ทันใดนั้น แผ่นหลังหญิงสาวพลันเย็นวาบ เส้นขนทั่วร่างลุกตั้งชัน


เพียงพริบตา เฮเซลรู้สึกราวกับกำลังแหวกว่ายท่ามกลางลำธารอันเย็นเยียบ ความหนาวเหน็บแผ่ปกคลุมร่างกายอย่างรวดเร็ว


ฉากตรงหน้าทำให้หญิงสาวรู้สึกหวาดผวา เพราะเธอกำลังเดินไปในทิศทางอื่น ปลายทางคือกำแพงเหล็ก ซึ่งนั่นขัดแย้งกับความต้องการ!


ความกลัวเข้าครอบงำจิตใจอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งเฮเซลสามารถขจัดความเฉื่อยชาของสมอง รีบถ่ายเทพลังวิญญาณทั้งหมดเข้าไปในสร้อยคอ


สร้อยคอเส้นดังกล่าวประกอบด้วยอัญมณีสีเขียวมรกตและโปร่งใสจำนวนเจ็ดเม็ด เรียงชิดติดกันอย่างเป็นระเบียบ รอบๆ อัญมณียังมีเพชรเม็ดเล็กรายล้อม ท่ามกลางความมืดมิด สร้อยคอดังกล่าวสามารถเรืองแสงอย่างเจือจาง


ทันใดนั้น อัญมณีก้อนหนึ่งสว่างขึ้น แสงสีมรกตสะท้อนให้เห็นใบหน้าอันงดงามแต่หม่นหมองของหญิงสาว


เฮเซลยืนพิงกำแพงในสภาพหยุดนิ่ง เท้าทั้งสองข้างก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าในลักษณะแยกออกจากกัน ก่อนจะค่อยๆ หมดกลับทีละข้าง


ในวินาทีนี้ ความเย็นเยียบที่เฮเซลเคยเผชิญ อันตรธานหายไปครู่หนึ่ง


หญิงสาวถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปกระตุ้นอัญมณีมรกตอีกครั้งโดยปราศจากความลังเล มือขวายกขึ้น ชี้เข้าหาลำตัวและบิดเต็มข้อมือเต็มแรง


เพียงพริบตา สัญลักษณ์และลวดลายพิสดารจำนวนมากผุดขึ้นภายในใจ พลังวิญญาณและเส้นเสียงของหญิงสาวเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน


เธอทำการขโมยพลังพิเศษ ‘เสียงหวีดร้องของวิญญาณอาฆาต’ !


ขณะเฮเซลเตรียมอ้าปากแผดเสียง หญิงสาวเริ่มตระหนักว่าฝ่ามือของตนสูญเสียการควบคุมอีกครั้ง แขนสองข้างถูกเลื่อนขึ้นมาปิดปากโดยขัดต่อเจตนารมณ์ร่างกาย


เสียงแผดร้องของวิญญาณอาฆาตกลายเป็นเพียงเสียงอู้อี้ ฝ่าเท้าหญิงสาวเริ่มขยับแผ่วเบา เดินเดินเลียบผนังท่อระบายน้ำจนกระทั่งถึงทางแยก ก่อนจะนั่งยองลงท่ามกลางความมืดมิด


หญิงสาวพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ก็เปล่าประโยชน์ ลำพังจะถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในสร้อยก็ยังทำไม่ได้


ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเฮเซลเริ่มเบิกกว้าง อัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัวและไม่เต็มใจ หยดน้ำตาสีใสเริ่มหลั่งจากขอบตา ค่อยๆ อาบลงบนสองแก้ม


ในเวลาเดียวกัน วอลเตอร์กำลังเดินไปยังทางแยกอื่นในท่อระบายน้ำ เพียงไม่นานก็ถึงบันไดของฝาท่อที่เคยลงมา ปีนขึ้นอย่างชำนาญ


รอจนกระทั่งวอลเตอร์ลอบเข้าไปในบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนของดอน·ดันเตสเสร็จ ไคลน์ค่อยๆ คืนอิสรภาพให้ร่างกายเฮเซล ความเย็นเยียบที่น่าพรั่นพรึงเมื่อครู่ไม่หลงเหลืออีกต่อไป


อันดับแรก เธอรีบยกสองมือขึ้นด้วยความประหลาดใจ เปิดเนตรมองกลางคืน กวาดสายตาไปรอบตัวด้วยอาการผวาเล็กๆ คล้ายกับในความมืดมิดเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายที่กำลังซ่อนตัว


เฮเซลใช้มือขวาลูบคลำสร้อยคอบนเนินอก บรรจงยืนขึ้นอย่างระมัดระวัง เดินกลับไปที่ทางเข้า


หญิงสาวมิได้เผ่นหนีอย่างแตกตื่น แต่มีสติมั่นคง คอยระวังการโจมตีที่คาดไม่ถึงจากส่วนลึกของความมืดรอบตัว


ในที่สุด เธอกลับมาถึงถนนเบิร์คลุน มองเห็นโคมไฟเหล็กรมดำบนถนนกำลังแผ่แสงเหลืองนวล เผยให้เห็นพื้นถนนที่ยังมีคราบน้ำฝน


เฮเซลสับเท้าวิ่งอย่างเร่งรีบ ตรงกลับบ้านของตัวเอง แต่หลังจากออกตัวไปได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวชะงักฝีเท้าและเหลียวหลังมอง รีบกลับไปปิดฝ่าท่อที่ลืมไว้เพราะความกระวนกระวาย


จัดการทั้งหมดเสร็จ เธอเดินเลียบเงามืดริมถนน กลับเข้าไปในสวนของบ้าน ปีนท่อน้ำและท่อแก๊ส กระโดดขึ้นไปบนระเบียงห้องนอนตัวเอง


ถึงตรงนี้ เธอเริ่มใจเย็นและมีสติ ดวงตาหรี่ลง มองไปรอบบ้านด้วยร่างกายที่ยังคงสั่นเทาเล็กๆ


หญิงสาวยกแขนซ้าย เตรียมเช็ดหน้าด้วยเสื้อ แต่ก็ต้องชะงักมือกลางคัน เปลี่ยนไปหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อแทน



เฮเซลรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามหลักการพื้นฐาน เธอไม่ใช่มือใหม่โดยสมบูรณ์… ภายในท่อระบายน้ำ เซนอลที่สวมหมวกสามมุมและแจ็คเก็ตสีแดงเข้มค่อยๆ ปรากฏกาย พึมพำกับตัวเองเงียบงัน


ถัดมาไม่กี่วินาที ภายใต้ความควบคุมของไคลน์ พลเรือเอกโลหิตล่องหนอีกครั้ง ลอยเข้าไปในทางแยกที่มีทริสซี่ซ่อนตัวอยู่


เมื่อวิญญาณอาฆาตขยับเข้าใกล้ ทริสซี่ในเดรสสีดำเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มอ่อนแอเจอความดื้อรั้น


“ไม่ได้มีเจตนาร้ายสินะ… ผู้หญิงคนนั้นนับว่ายังมีโชค”


เธอตระหนักถึงเฮเซล รวมถึงการมีอยู่ของวิญญาณอาฆาต!


ร่างของเซนอลปรากฏกายจากความว่างเปล่า หัวเราในลำคอและกล่าว


“บางที การฆ่าหล่อนอาจทำให้เธอต้องเผชิญความวุ่นวายมากกว่าเดิม”


ว่ากันตามตรง ไคลน์อยากรายงานเรื่องของทริสซี่ให้ถึงโบสถ์ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเคยก่อกรรมทำชั่วไว้มากแค่ไหน รู้เรื่องที่เธอเคยกระตุ้นให้เกิดโศกนาฏกรรมบนเรืออัลฟาฟ่า รู้เรื่องที่เธอช่วงชิงอายุขัยของผู้บริสุทธิ์ ทำให้คนเหล่านั้นต้องจากไปก่อนวัยอันควร ทว่า หลังจากพบว่าทริสซี่กำลังสืบสวนปริศนาการตายขององค์ชายเอ็ดซัค ไคลน์ผุดแนวคิดใหม่ นั่นคือการร่วมมือกับแม่มดคนนี้ สืบสวนคดีพิศวงของราชวงศ์ในบางประเด็น


ปริศนาการตายขององค์ชายเอ็ดซัค เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์!


การแกะรอยคดีนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย หากดึงให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจะรู้สึกผิดอย่างมาก กังวลว่าพวกเขาจะได้รับอันตราย ในกรณีเลวร้าย อาจถึงขั้นเสียชีวิต.. แต่ถ้าให้ทริสซี่รับหน้าทีนี้ เราจะไม่เกิดภาระทางใจดังกล่าว… ปัญหาก็คือ เธออาจสืบสวนปริศนาการตายขององค์ชายเอ็ดซัคเพียงเพื่อนำไปต่อยอดกับแผนการชั่วของตัวเอง เราต้องคอยระวังเอาไว้ ห้ามถูกหลอกใช้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเกิดความฉิบหายตามมา… ไคลน์ครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็สั่งให้เซนอลลอยไปด้านหน้าสองก้าว


ทริสซี่จ้องชายวัยกลางคน หัวเราะแผ่วเบา


“ถ้าคิดจะทำอะไรก็รีบทำ… มิสเตอร์เซนอล”


ขณะเดียวกัน ในการมองเห็นของหุ่นเชิด ไคลน์พบ ‘ด้าย’ จำนวนนับไม่ถ้วนรอบตัวทริสซี่ กึ่งกลางคือสตรีสวมเดรสสีดำเข้ม ฉากตรงหน้าดูคล้ายกับแมงมุมอ่อนแอที่กำลังหลบอยู่ในใย ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็น อยากเข้าใกล้ด้วยความรู้สึกสงสาร


“รู้จักฉันด้วยหรือ” หุ่นเชิดชะงักฝีเท้า


ทริสซี่ตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอย


“ครั้งหนึ่ง ฉันเคยมีช่วงเวลาที่น่าประทับใจในทะเล”


แต่ตอนนั้น เธอยังเป็นผู้ชาย… ไคลน์รำพัน ก่อนจะยิ้ม


“ทำไมเธอถึงพยายามสืบสวนการตายขององค์ชายเอ็ดซัค? ไม่ใช่ว่าเขาฆ่าตัวตายหรอกหรือ”


ทริสซี่เงยศีรษะขึ้นทันที ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความโกรธ


“การฆ่าตัวตายมีหลายรูปแบบ… บางคนสมัครใจ บางคนถูกบังคับ”


บ้าน่า… เธอเสียใจกับการตายขององค์ชายเอ็ดซัค? คนสวย ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองเคยเป็นผู้ชายมาก่อน? ไหนจะความเจ็บปวดที่เคยเล่าให้เราฟัง? หรือนี่จะอาการสต็อกโฮล์มซินโดรม ภาวะที่ตัวประกันเห็นใจคนร้ายหลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันสักพัก? เมื่ออีกฝ่ายทำดี ความดีดังกล่าวจะน่าหลงใหลกว่าปรกตินับสิบเท่า… อา… เราไม่ใช่ ‘ผู้ชม’ ไม่สามารถระบุได้ว่าสีหน้าปัจจุบันเป็นการเสแสร้งหรือไม่… ไคลน์บังคับให้เซนอลหัวเราะ


“เธอก็เลยคิดว่าองค์ชายเอ็ดซัคถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย? การตามล่าวิลเลี่ยม·ไซเคสก็เพื่อสืบสวนเรื่องนี้?”


ความโกรธบนใบหน้าทริสซี่เริ่มจางหาย แทนที่ด้วยรอยยิ้มเจือขื่นขม


“ถูกต้อง… เจ้านั่นเป็นคนบังคับให้เอ็ดซัคฆ่าตัวตายด้วยกระสุนที่สามารถลบล้างพลังวิญญาณ… ทว่า มันเองก็รับคำสั่งมาอีกทอดหนึ่ง… หึหึ เจ้านั่นยอมเปิดเผยเรื่องทั้งหมดขณะมีความสุขครั้งสุดท้ายในชีวิต… ช่างน่าสมเพช มันยังไม่มีโอกาสได้ทำอะไรฉันด้วยซ้ำ… นอกจากนั้น ฉันยังนำรูปถ่ายสมัยก่อนมาให้วิลเลี่ยมดู… ช่วยให้มันได้ตายเจ็บปวดและสิ้นหวังสุดขีด”


เดาไม่ออกเลยว่าจิตใจวิลเลี่ยม·ไซเคสจะแตกสลายขนาดไหน… ทริสซี่ยังคงบิดเบี้ยวไม่เปลี่ยน… แม่มดสุขสมช่างมีเสน่ห์ดึงดูด ทุกการกระทำสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามคล้อยตาม… แต่เราสามารถบอกได้ว่า ทริสซี่ไม่ได้ใช้พลังดังกล่าวพร่ำเพรื่อ จะดึงออกมาใช้เฉพาะช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด… เธอเลื่อนลำดับแล้ว? หรือเป็นเพราะความรัก? ไคลน์รำพันเงียบ บังคับให้เซนอลตั้งคำถาม


“แล้วคนที่บงการเป็นใคร?”


ขณะเอ่ยประโยคดังกล่าว ไคลน์ไม่คาดหวังคำตอบสักเท่าไร แต่ทริสซี่กลับหัวเราะแผ่วเบาพลางตอบกลับมา


“ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด… หัวหน้าองค์รักหลวงของราชวงศ์”


ราชันเร้นลับ 775 : วิธีใช้งาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด… หัวหน้าองค์รักหลวงของราชวงศ์… จากข้อมูลดังกล่าว เบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันเกี่ยวข้องกับราชวงศ์บางกลุ่มอย่างที่เราคิด ส่วนจะเป็นใครนั้น คงต้องสืบสวนขยายผลต่อไป… ไคลน์ที่ยังมิอาจยืนยันความถูกต้องของคำพูดทริสซี่ หัวเราะในลำคอ


“บอกกันง่ายๆ แบบนี้ เป็นใครก็ยากจะเชื่อลง”


ทริสซี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง


“นั่นเพราะสำหรับฉัน การเล่าให้นายฟังคือตัวเลือกที่ดี… นายและองค์กรลับเบื้องหลังต้องสนใจเจตนาที่แท้จริงของราชวงศ์แน่ หากเบาะแสของฉันทำให้พวกนายกับราชวงศ์ขัดแย้งกันจนเกิดความโกลาหล ฉันจะมีความสุขมาก… นั่นถือเป็นการแก้แค้นในรูปแบบหนึ่ง ช่วยให้ฉันบรรลุจุดประสงค์ของตัวเอง”


หากใช้ตรรกะเดียวกัน แปลว่าเราสามารถยืมมือเธอแบบย้อนกลับ? ให้เธอเป็นฝ่ายออกหน้าสืบสวนราชวงศ์ ตามจับตัวคนบงการเบื้องหลังโศกนาฏกรรมแทน ทั้งเราและองค์กรของเราก็จะปลอดภัย แถมยังได้รับข้อมูลที่น่าสนใจโดยไม่ต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยง… หืม… หมายความว่า ทริสซี่กำลังชักชวนให้เราร่วมมือกันแบบพึ่งพาอาศัย โดยเธออาสาเป็น ‘ทหารไถกับระเบิด’ เพื่อเปิดโปงความจริง… ทริสซี่กำลังแสดงให้เราเห็นว่าเธอมีประโยชน์… กลัวจะถูกเราฆ่าทิ้ง? ไคลน์เริ่มเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายอย่างคร่าว จึงบังคับให้วิญญาณอาฆาตตอบสนอง


“สมเหตุสมผล ฉันคิดจะทำแบบเดียวกันอยู่พอดี… ถึงทางนี้จะไม่บังคับข่มขู่ แต่ถ้าเธอฟื้นตัวได้เมื่อไร คงมีแผนจะเข้าใกล้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดอยู่แล้วสินะ?”


ทริสซี่ยกมุมปาก


“ภาวนาให้เจ้านั่นไม่ชอบผู้ชาย”


ปัญหานี้ยังพอมีทางแก้… ถ้าเธออยู่ลำดับ 5 สามารถย้ายไปเป็นลำดับ 4 ของเส้นทางนักล่า ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ ได้เช่นกัน นั่นจะเปลี่ยนให้เธอกลับเป็นผู้ชาย… นอกจากนั้น เธอลืมอดีตของตัวเองไปแล้วหรือ? ทำไมถึงไม่ใช้พลังของแม่มดสุขสม ทำให้ผู้ชายที่ชอบผู้ชายพึงพอใจ? ไคลน์รำพัน บังคับให้เซนอลยิ้ม


“นั่นไม่ใช่ปัญหา แค่แสดงรูปถ่ายเก่าๆ ของเธอก็พอแล้ว”


ทริสซี่พลันผงะ สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยว คล้ายกับความอัปยศที่ฝังในส่วนลึกของจิตใจถูกขุดออกมาสัมผัสกับแดด


ดวงตาอ่อนหวานเริ่มเผยความโกรธเคืองอันเกิดจากความอับอาย ใบหน้าซีดเซียวเริ่มแดงระเรื่อ


ทริสซี่รีบข่มโทสะ แผดเสียงต่ำในลำคอ


“สมกับเป็นพลเรือเอกโลหิต… เข้าใจเส้นทางแม่มดได้ดีทีเดียว”


ในตอนแรก เธอยังไม่แน่ใจว่าเราเป็นใคร… แต่หลังจากเราเล่นมุกเมื่อครู่ออกไป ทริสซี่ก็มั่นใจทันทีว่าเราคือพลเรือเอกโลหิต เพราะโรงเรียนกุหลาบเคยร่วมมือกับนิกายแม่มด ย่อมรู้จักพลังของกันและกัน… อย่างไรก็ตาม การล้อเลียนเพศไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก… อา… แต่นิสัยเมื่อครู่ก็สอดคล้องกับสันดานของพลเรือเอกโลหิต… หรือว่า หนึ่งในกฎเหล็กของ ‘นักเชิดหุ่น’ คือการจำให้ขึ้นใจว่า หุ่นเชิดแต่ละตัวมีบุคลิกที่แตกต่าง? สาเหตุที่ทริสซี่เอ่ยถึงภาพถ่ายในตอนแรก เพราะเธอแค่อยากถ่ายทอดความทรมานที่อีกฝ่ายได้รับขณะความสุขและความตื่นเต้นถูกทำลาย ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากนัก… ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด บังคับเซนอล


“กว่าฉันจะมาอยู่ในจุดนี้ได้ ข้อมูลมากมายต้องเคยผ่านหูผ่านตา”


มันไม่สานต่อหัวข้อสนทนาเดิม เปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น


“แล้วฉันจะติดต่อเธอได้ยังไง… ในระหว่างที่เธอตามสืบไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ฉันอาจให้ความช่วยเหลือได้”


ทริสซี่ยื่นมือไปทางใบหู จับกระจุกผมสีดำขลับที่เรียบเนียนหนึ่งกำมือ น้ำแข็งสีฟ้าค่อยๆ ก่อตัวบริเวณโคนผม หักออกอย่างง่ายดาย


หญิงสาวแบมือที่เคยกำกระจุกเส้นผม เสกเปลวเพลิงสีดำขึ้นมาแผดเผาจนพวกมันกลายเป็นเถ้าถ่าน


ขี้เถ้าดังกล่าวมิได้ถูกสายลมหนาวในท่อระบายน้ำพัดปลิว แต่หดเข้าหากัน รวมตัวกลายเป็นก้อนเมือกข้นๆ สีดำสนิท


“ทาให้ทั่วผิวกระจก ฉันจะรู้ตัวทันทีว่านายต้องการสนทนา หลังจากนั้น พวกเราจะสื่อสารกันผ่านกระจกบานดังกล่าว” ทริสซี่สะบัดข้อมือ โยนก้อนเมือกสีดำมาทาง ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล “ใช้ได้ประมาณห้าครั้ง แต่แค่นั้นก็เพียงพอ”


เนื่องจากเซนอลเป็นเพียงหุ่นเชิด ไคลน์จึงไม่กังวล กล้าจับวัตถุสีดำเหนียวข้นด้วยมือเปล่า เพ่งมองสองสามวินาทีก่อนจะยัดใส่กระเป๋าเสื้อ


ทริสซี่เงียบงันสักพัก เม้มปากพูด


“ถ้าฉันต้องการความช่วยเหลือ จะติดต่อนายยังไง?”


นั่นล่ะปัญหา… ไคลน์เองก็อยากให้อีกฝ่ายเรียกผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์โดยตรง เพราะไม่ว่ายังไง ทริสซี่คงสืบสวนสถานการณ์ปัจจุบันของพลเรือเอกโลหิต และทราบว่าบุคคลเบื้องหลังวิญญาณอาฆาตตนนี้คือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นั่นคือความจริงที่มิอาจปกปิด


ครุ่นคิดสองสามวินาที ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ประมาท ยังไม่สายเกินไปที่จะให้ข้อมูลติดต่อหลังจากเชื่อใจกันมากกว่านี้


เหนือสิ่งอื่นใด เธอไม่ใช่คนที่น่าไว้วางใจสักเท่าไร… ปากบอกว่าแก้แค้นให้องค์ชายเอ็ดซัค อาจมีความรู้สึกที่แท้จริงปะปนอยู่บางส่วน แต่ก็อาจแฝงจุดประสงค์อื่นไว้เช่นกัน ทำนองว่า… เป็นการแก้แค้นในส่วนของตัวเอง… ไคลน์บังคับเซนอลมองไปรอบตัว


“ท่อระบายน้ำแห่งนี้มีความลับมากมายซ่อนอยู่ ฉันแวะเข้ามาบ่อย ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือก็ทิ้งข้อความเอาไว้… หากปัญหาดังกล่าวเร่งด่วนและไม่มีเวลาจะทิ้งข้อความ เธอสามารถติดต่อกับชายคนเมื่อครู่ ให้เขาฝากข้อความไว้ที่นี่แทน”


ทริสบรรจงพยักหน้า


“ตกลง”


เมื่อไคลน์เห็นว่าสัญญาปากเปล่าลุล่วงแล้ว ชายหนุ่มเตรียมพาหุ่นเชิดเซนอลกลับ


ทันใดนั้น ‘ตา’ ของมันเหลือบไปเห็นว่า บนฝ่ามือของทริสซี่ แหวนพลอยสีน้ำเงินที่เทียบเท่าสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ได้หายไป!


เราเพิ่งสังเกต… ตอนแรกคิดว่าเปลี่ยนมือหรือสลับนิ้ว แต่ความเป็นจริงคือหายไปแล้ว… ดูเหมือนว่า การหนีออกจากคฤหาสน์กุหลาบแดงขององค์ชายเอ็ดซัค และการหนีจากพลังครอบงำของอินซ์·แซงวีลล์และ 0-08 จำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงมาก! หืม… ตราประทับที่ ‘แม่มดบรรพกาล’ สลักไว้ก็หายไปด้วย? ไคลน์ครุ่นคิด สั่งให้พลเรือเอกโลหิตหัวเราะ


“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง… เธอขายวิญญาณให้เทพมารตนใด?”


ทริสซี่จ้องชายวัยกลางคนตรงหน้า มองลึกเข้าไปในดวงตา


“แม่มดบรรพกาล”


“…” ไม่ใช่ว่าเธออยากหลุดพ้นจากสิ่งนั้นมาตลอดหรือ? ไหนบอกว่าไม่อยากสูญเสียความเป็นตัวเอง? แล้วทำไมถึงหันหลังกลับ? ไม่รู้หรือไงว่า การถูกเปลี่ยนชื่อเป็นทริสซี่·ชีคหมายถึง พวกมันต้องการใช้เธอเป็นภาชนะของแม่มดบรรพกาล? ไม่สิ เธออาจไม่รู้เรื่องนี้… รวมถึงไม่เข้าใจความยิ่งใหญ่ของชื่อ ‘ชีค’ … ช่างน่าสงสาร พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากชะตากรรม แต่กลับกลายเป็นว่า ยิ่งถูกดึงลึกเข้าไปมากกว่าเดิม… ในวินาทีนี้ ไคลน์เริ่มหวาดกลัวต่อโชคชะตาและการดลใจอย่างลับๆ ของเทพ


มันบังคับให้เซนอลยิ้ม


“การที่เธอยอมเล่าออกมาง่ายๆ เกรงว่าฉันคงเชื่อได้ยาก”


ดวงตาของทริสซี่พร่ามัวเล็กน้อย ยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง


“เพราะนั่นเป็นปัญหาส่วนตัวของฉัน ไม่ใช่ความลับที่ยิ่งใหญ่อะไร… การมีคนล่วงรู้เพิ่มอีกหนึ่ง หมายถึงการมีความหวังในการแก้ปัญหาเพิ่มอีกหนึ่ง แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย”


มีความหวังมากขึ้นก็จริง แต่ความหวังเหล่านั้นอาจย้อนกลับมาทำร้าย… ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงครุ่นคิดสักพัก


“ขณะที่เธออยู่ใกล้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดหรือบุคคลผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง อย่าลืมตรวจสอบความบังเอิญที่ผิดปรกติรอบตัว”


ยิ่งสืบสวนโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันลึกเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสมากที่จะถูกอินซ์·แซงวีลล์และ 0-08 สังเกตเห็น!


“ความบังเอิญ…” ทริสซี่พลันผงะ ทวนคำซ้ำ


ทันใดนั้น เธอหวนนึกถึงความบังเอิญครั้งแล้วครั้งเล่าที่เคยพบเจอในคฤหาสน์กุหลาบแดง


ขณะคำถามมากมายผุดขึ้นในหัว เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เธอพบว่า ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล ชายวัยกลางคนผู้สวมแจ็คเก็ตสีแดงเข้มและหมวกสามมุม ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย



เช้าวันรุ่งขึ้น ไคลน์ตื่นตรงเวลา อาศัยความช่วยเหลือจากบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน เสื้อผ้าของดอน·ดันเตสถูกสวมใส่อย่างเรียบร้อย


เมื่อเดินลงมาถึงห้องรับประทานอาหาร มันเห็นวอลเตอร์ยืนรออยู่หน้าประตู ต้อนรับด้วยความเคารพ


“นายท่าน กำหนดการในวันนี้คือ เข้ารวมการดื่มชายามบ่ายที่คฤหาสน์ของส.ส. มัคท์” วอลเตอร์รายงานเจ้านายตามหน้าที่


หืม… ยังคงเข้มงวด ขึงขัง พิถีพิถัน ไม่แตกต่างจากปรกติ ดูไม่ออกเลยว่าเมื่อคืนแอบลงไปในท่อระบายน้ำมา…


ไคลน์ยิ้มและพยักหน้ารับ กล่าวด้วยเสียงผ่อนคลายราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ผมจำได้”


ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง เพลิดเพลินไปกับอาหารรสเลิศ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเมนูเริ่มจำเจ


อาหารเช้ายังไม่หลากหลายพอ… ไคลน์กินอย่างตั้งใจ วางมีดและส้อมลงเมื่ออิ่ม ถอนหายใจและกล่าว


“ช่วงนี้ผมคิดถึงบ้านเกิด รบกวนบอกให้พ่อครัวทำพายเดซีย์ในวันพรุ่งนี้”


“ได้ค่ะ นายท่าน ดิฉันควรจะคิดได้เองตั้งแต่แรก” แม่บ้านทาเนญ่าขานรับเชิงขออภัย


ไคลน์โบกมือ ส่งสัญญาณว่าตนไม่ถือสา จากนั้นก็เข้าไปเดินเล่นในสวน


จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มกลับขึ้นไปบนชั้นสามเพื่ออ่านหนังสือพิมพ์ต่อ จนกระทั่งครูสอนมารยาทมาถึง


วาฮาน่ายังแต่งกายอย่างสง่างาม บรรยากาศรอบตัวเปี่ยมไปด้วยเสน่หา เธอยิ้มและพูดกับดอน·ดันเตส


“ดิฉันได้ยินมาว่า วันนี้คุณจะไปหามาดามลีอานน่าเพื่อดื่มชายามบ่าย ดังนั้น คาบเรียนนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับมารยาทในการดื่มชายามบ่ายเป็นหลัก”


ไคลน์ยิ้มรับ จากนั้นก็เริ่มตั้งใจฟังการสอน ถามแทรกเป็นครั้งคราว


ผ่านไปครึ่งชั่วโมง วอลเตอร์เคาะประตูห้องและเดินเข้ามา


“นายท่าน คนรับใช้บ้านส.ส. มัคท์เพิ่งมาถึงและแจ้งว่า งานดื่มน้ำชายามบ่ายของวันนี้ถูกยกเลิก เนื่องจากบุตรสาวของมาดามลีอานน่า คุณหนูเฮเซลเกิดป่วยกะทันหัน มาดามฝากคำขอโทษมาถึง และหวังว่าจะได้เชิญคุณอีกในสัปดาห์หน้า”


เฮเซลป่วย? เพราะความหวาดกลัวเมื่อคืน? ถ้าเป็นคนธรรมดา เรื่องนี้ยังพอเข้าใจได้ แต่สำหรับผู้วิเศษที่มีสมรรถภาพร่างกายสูง โอกาสป่วยไข้นั้นมีน้อยมาก…


นอกจากนั้น เฮเซลมิได้แสดงสัญญาณของคนใกล้คลุ้มคลั่ง สภาพจิตใจค่อนข้างดี ส่งผลให้ทำตัวโอหังตลอดเวลา… ดังนั้น ถึงจะตกใจกลัวจากเหตุการณ์เมื่อคืน ก็ไม่น่าจะถึงขั้นจิตใจล้มป่วย… ล้มป่วย… โรคภัย… แม่มดลำดับ 5 มีพลังในการทำให้คนรอบข้างล้มป่วย…


หรือว่าเมื่อคืน ทริสซี่ตระหนักว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในท่อระบายน้ำ จึงแอบแพร่เชื้อโรค? และเนื่องจากเซนอลเป็นวิญญาณอาฆาต ร่างกายจึงไม่ติดเชื้อ เราก็เลยไม่ทราบเรื่องนี้? อา… โชคดียังที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เฮเซลไม่ได้สัมผัสกับเชื้อโรคนานนัก ที่ยังไม่หายคงเพราะได้รับอิทธิพลจากความกลัว… หมายความว่าทริสซี่กลายเป็นลำดับ 5 แล้ว… ไคลน์พยักหน้ารับแผ่วเบา


“ฝากความห่วงใยไปถึงมิสเฮเซลในนามของผมด้วย”


ราชันเร้นลับ 776 : เตรียมตัวล่วงหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อการดื่มชายามบ่ายถูกยกเลิก ไคลน์ตัดสินใจเดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลเพื่อสวดวิงวอน เพื่อแสดงความศรัทธา


แน่นอน มันไม่ลืมหยุดดูนกพิราบขาวที่จัตุรัส ปล่อยให้อารมณ์ของตนผ่อนคลายและเงียบสงบ


เดินเข้าไปในวิหาร ผ่านภาพจิตรกรรมฝาผนังท่ามกลางแสงแดดจากมุมสูง จนกระทั่งไคลน์มาถึงโถงสวดมนต์ที่มืดมิด


สถานที่แห่งนี้มิได้หรูหราพร่างพราวเหมือนกับวิหารของโบสถ์อื่น แต่จะมีบรรยากาศนุ่มนวลและอ่อนโยน ช่วยให้ผู้คนรู้สึกสงบสุขจากก้นบึ้ง นอกจากนั้น แสงบริสุทธิ์ด้านบนที่ดูคล้ายหมู่ดาวระยิบระยับ ยังมอบความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และท่วมท้น


ไคลน์ถอดหมวก ส่งให้บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันพร้อมไม้ค้ำ จากนั้นก็เดินไปตามทาง


ทันในนั้น สองบุคคลที่เก้าอี้แถวหน้าสุดยืนขึ้น หันหลังและเดินกลับออกมา คนหนึ่งเป็นบุรุษผมกระเซิง ดวงตาสีเขียวมรกต ทำตัวสบายๆ จนดูเหมือนขี้เกียจ ไม่ใช่ใครนอกจากเลียวนาร์ด·มิเชล


แทบจะในเวลาเดียวกัน เลียวนาร์ด·มิเชลมองกลับมายังชายวัยกลางคนเจ้าของจอนสีขาวตรงขมับ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มลุ่มลึก


ดอน·ดันเตส… หัวใจของมันเริ่มเต้นแรง ร่างกายแข็งทื่อเล็กๆ จนยากจะสังเกต


ไคลน์จ้องเลียวนาร์ด ยิ้มพลางพยักหน้าอย่างเป็นมิตร แววตาผ่อนคลาย


“…” เลียวนาร์ดฝืนยิ้ม พยักหน้ากลับอย่างไม่เต็มใจ


จากนั้น มันฉากหลบไปด้านข้าง เดินผ่านดอน·ดันเตสไป


นั่นทำให้ไคลน์มองเห็นคนที่มาด้วยกันกับเลียวนาร์ด และยังเป็นคนรู้จักของตน – ดาลีย์·ซิโมเน่ในชุดคลุมสีดำทรงโบราณ


สตรีผู้นี้ยังคงทาขอบตาและแก้มด้วยสีฟ้า มอบความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์


ดาลีย์ใช้หางตาชำเลืองสุภาพบุรุษวัยกลางคนที่เพิ่งเดินผ่านตน ทันใดนั้น สีหน้าของเธอชะงักไปครู่หนึ่ง รีบถอนสายตากลับ เดินไปยังทางออกอย่างเงียบงัน


บ้าน่า… เราแค่เลียนแบบเอกลักษณ์ของดวงตาหัวหน้า… ทั้งที่ตาคนละสีกัน แต่มาดามดาลีย์กลับยังรู้สึกคุ้นเคย? สัญชาตญาณของผู้หญิงช่างน่ากลัว… ไคลน์พบความผิดปรกติสั้นๆ ที่เกิดกับดาลีย์ ภายในใจคาดเดาคลุมเครือ


เมื่อนานมาแล้ว จากสัญชาตญาณของผู้ชาย ไคลน์มองออกว่าดาลีย์ชอบหัวหน้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมแบกรับความเสี่ยง รีบแหกกฎเดินทางมายังทิงเก็นเพื่อบอกให้ไคลน์สอนดันน์·สมิทเกี่ยวกับเทคนิค ‘สวมบทบาท’


สำหรับความรู้สึกของหัวหน้า ไคลน์ยังไม่มั่นใจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ดันน์·สมิทในตอนนั้นแทบจะแยกความจริงกับความฝันไม่ออก อาการความจำเสื่อมกำเริบหนัก อาจหลงลืมอารมณ์ที่สำคัญที่สุดในส่วนลึกจิตใจ


ทว่า หัวหน้าเองก็พูดถึงมาดามดาลีย์บ่อยครั้ง… ยกเธอเป็นตัวอย่างให้พวกเราคอยปฏิบัติตาม เธอมีพลังแบบไหน ใช้เวลากี่ปีเพื่อเลื่อนลำดับ หัวหน้าจดจำได้แม่นยำ ค่อนข้างขัดแย้งกับอาการความจำเสื่อม… อา… ทุกครั้งที่หัวหน้าเล่าเรื่องนี้ เขามักตัดพ้อเสมอว่า ตัวเองใช้เวลาถึงเก้าปีในการเลื่อนลำดับจากกวีเที่ยงคืนเป็นฝันร้าย… หรือว่า… นั่นจะเป็นปมด้อยที่ทำให้ไม่กล้าสู้หน้ามาดามดาลีย์? คงรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่า… ไคลน์หวนนึกถึงอดีต พาลทำเอาอารมณ์ดำดิ่ง


มันเริ่มพบว่า ตนมิได้รู้จักดันน์·สมิทดีพอ ไม่เคยมองเห็นว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ในใจชายคนนั้น


ทั้งที่มาดามดาลีย์อายุน้อยกว่าหัวหน้าพอสมควร แต่เธอกลับไม่สนใจการแต่งงาน… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ดึงสติกลับ มองหน้าเก้าอี้นั่ง ก้มศีรษะลงและหลับตาสวดวิงวอน


ด้านนอกโถงสวดมนต์ใหญ่ สภาพจิตใจของเลียวนาร์ดฟื้นฟูกลับเป็นปรกติ มันและดาลีย์เดินไปรวมตัวกับถุงมือแดงคนอื่น


พวกมันยืนรอสักพัก จนกระทั่งโซสต์ ผู้ที่กลายเป็น ‘จอมอาคมวิญญาณ’ เรียบร้อยแล้ว เดินมาจากอีกด้านหนึ่ง มองไปรอบๆ และกล่าว


“ภารกิจของเราในคราวนี้คือ สืบหาเบาะแสต่างๆ จากเหตุระเบิดในฐานใหญ่ของแก๊งโครงกระดูกดำ พยายามคนหาสมาชิกคนสำคัญของนิกายวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ในกรุงเบ็คลันด์… มาดามดาลีย์เป็นผู้วิเศษบนเส้นทาง ‘ผู้เก็บซากศพ’ มีความเข้าใจลักษณะเฉพาะของนิกายวิญญาณอย่างลึกซึ้ง เป็นเหตุให้ท่านเจ้าคุณ นักบุญแอนโทนี ส่งเธอมาช่วยเรา”



ตกเย็น ไคลน์ที่บอกให้ริชาร์ดสันออกไป เดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าไปในมิติหมอก เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ บังคับให้สวดวิงวอนท่ามกลางบรรยากาศพร่ามัว


“ฝากบอกมิสเมจิกเชี่ยนว่า ช่วยจองห้องพักของโรงแรมในเขตตะวันออก ควรเลือกโรงแรมที่อยู่ห่างจากสถานที่จัดการชุมนุมของมิสเตอร์ X จัดการให้เสร็จก่อนวันศุกร์… นอกจากนั้น ส่งกำไลข้อมือและหิน รวมถึงหนังสือเวทมนตร์มาล่วงหน้า ผมต้องเตรียมการบางอย่าง… ในคืนวันศุกร์ คุณต้องบอกให้เพื่อนของคุณไม่เข้าร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ X และอย่าลืมส่งรูปลักษณ์ของเพื่อนคุณในสภาพปลอมตัวมาให้ผม… ถ้ามีสิ่งใดเพิ่มเติม ผมจะแจ้งให้ทราบก่อนเวลา”


ปฏิบัติการลอบสังหารมิสเตอร์ X กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกสองวัน ไคลน์จำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้าในหลายสิ่ง และดอน·ดันเตสไม่สามารถทำได้ทั้งหมด จึงต้องฝากให้มิสเมจิกเชี่ยนทำแทน


แผนการเบื้องต้นก็คือ ใช้พลังผู้ไร้หน้าปลอมตัวเป็นเพื่อนของมิสเมจิกเชี่ยน เข้าร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ X ด้วยรหัสผ่าน จากนั้นก็คอยประเมินสถานการณ์ ลงมืออย่างเหมาะสม


จากประสบการณ์การต่อสู้และการใช้พลังเชิดหุ่นในระยะหลัง ไคลน์เริ่มพบว่า หนึ่งในกฎเหล็กของ ‘นักเชิดหุ่น’ คือการ ‘ซ่อนตัวอยู่หลังฉาก คอยชักใยอย่างลับๆ’


เว้นเสียแต่จะไม่มีทางเลือก นักเชิดหุ่นไม่ควรปะทะกับศัตรูซึ่งหน้า!


สิ่งที่เป็นปัญหาในตอนนี้ก็คือ ชุมนุมลับของมิสเตอร์ X เริ่มขึ้นตอนสองทุ่ม ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ดอน·ดันเตสยังไม่เข้านอน ยากจะเล็ดลอดสายตาของพ่อบ้านและคนรับใช้ แอบเดินทางไปยังเขตตะวันออก… จริงอยู่ เราสามารถสร้างหลักฐานปลอมว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ปัญหาคือ เราจะใช้ข้ออ้างใดในการออกมาข้างนอกคนเดียว? ถ้ามีผู้ไร้หน้าช่วยปลอมตัวเป็นดอน·ดันเตสก็คงดี… มิสจัสติสมีสร้อยที่ทำแบบนั้นได้ แต่เธอไม่ได้อยู่ในเบ็คลันด์… ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ เลื่อนมือขึ้นมาลูบหน้าผาก


มันถึงขั้นคิดจะประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง ตอบสนองเอง ปรากฏกายในร่างวิญญาณด้วยรูปลักษณ์ของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด แต่นั่นจะทำให้สูญเสียความสามารถในการปลอมตัว มิอาจสวมรอยเป็นเพื่อนของฟอร์สและแฝงตัวเข้าร่วมการชุมนุม


เว้นเสียแต่ว่า เพื่อนของมิสเมจิกเชี่ยนสมรู้ร่วมคิดกับเรา ยอมให้เราใช้ร่างวิญญาณ สิงร่างของเธอ… ฟังดูไม่ดีเท่าไร ประการแรก ความลับของชุมนุมทาโรต์จะรั่วไหล และประการที่สอง มิสเตอร์ X อาจมีวิธีตรวจจับวิญญาณอาฆาต… จริงอยู่ เราสามารถกีดขวางพลังตรวจจับได้ด้วยเหรียญทอง เทวทูตกระดาษ และกล่องบุหรี่โลหะ… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตัดสินใจใช้วิธีที่ตนชำนาญในโลกเก่า


แกล้งป่วย!


เริ่ม ‘ป่วย’ ตั้งแต่พรุ่งนี้ กินให้น้อยลงจากปรกติ เข้านอนก่อนสองทุ่ม… ด้วยวิธีดังกล่าว จะไม่มีพ่อบ้านหรือคนรับใช้กล้ามารบกวน… แต่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินและพวกเขาเคาะประตูห้อง เราควรทำยังไง? พลังภาพลวงตาของ ‘นักมายากล’ สามารถหลอกได้เพียงการมองเห็น ไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถโต้ตอบ… จริงสิ… เราสามารถใช้ภาพลวงตากับกระจกเงา เปลี่ยนให้มันดูเหมือนดอน·ดันเตส จากนั้นก็ให้ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสคอยตอบคำถามแทนจากระยะไกล! คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มร่าเริง


ต้องยอมรับว่า อาโรเดสมีประโยชน์มากในบางสถานการณ์… ไคลน์ถอนหายใจตื่นเต้น ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง เดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ หยิบกระดาษและปากกา วาดสัญลักษณ์และลวดลายที่เป็นตัวแทนของความลึกลับและการส่องความลับ


ทันทีที่ตวัดเส้นสุดท้ายเสร็จ ไฟในห้องพลันหรี่ลง กระจกเงาบานใหญ่เปลี่ยนเป็นสีเข้มในตอนแรก ก่อนจะส่องแสงสีขาวนวล ปรากฏอักษรภาษาโลเอ็นเรียงกันทีละคำ


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส ได้ยินเสียงอัญเชิญของท่าน… ข… ข้ามาสายรึเปล่า?”


มีลูกเล่นใหม่ทุกครั้ง… ไคลน์ส่ายหน้าอย่างขบขัน


“ไม่”


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านอดทนต่อข้าขนาดนี้ นายท่าน เชิญตั้งคำถาม” ข้อความบรรจงปรากฏขึ้นบนกระจกอย่างเป็นระเบียบ


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก


“เราวางแผนจะกำจัดมิสเตอร์ X แห่งชุมนุมแสงเหนือ เจ้ามีคำแนะนำไหม”


ข้อความบนผิวกระจกค้างไว้สักพัก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประโยคใหม่


“ลงมือหลังวันพฤหัสจะดีที่สุด”


สอดคล้องกับผลการทำนายของเรา… ดูเหมือนว่า ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุส หรือไม่ก็นักบุญจากชุมนุมแสงเหนือ จะอยู่ช่วยเหลือมิสเตอร์ X ถึงแค่วันพฤหัสนี้… ไคลน์ยิ้มและกล่าวต่อ


“อาโรเดส เรามีบางสิ่งต้องการให้เจ้าช่วย”


“ป…เป็นเกียรติอย่างยิ่ง! ขอบพระคุณนายท่านที่มอบโอกาส!” ข้อความปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่ามันตื่นเต้นและมีความสุขมากเพียงใด “ขออนุญาตถามว่า เป็นงานแบบใดหรือ?”


ไคลน์พยักหน้าและอธิบาย


“ในคืนวันศุกร์ของสัปดาห์นี้ เราจะใช้ภาพลวงตาครอบงำกระจกเงา ทำให้มีรูปลักษณ์เหมือนกับตัวตนปัจจุบันทุกประการ… หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เจ้าต้องคอยควบคุมกระจกเพื่อตอบคำถาม ไม่ปล่อยให้ใครพบความผิดปรกติของเรา… ทำได้ไหม?”


อากาศรอบๆ กระจกเงาเต็มบานพลันเคลื่อนไหว เสียงที่แฝงความประสบสอพลอของดอน·ดันเตสดังขึ้น


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ตราบใดที่ท่านรับสั่ง ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ… แม้ว่าพลังนี้จะคงอยู่ได้ไม่นาน และค่อนข้างขัดต่ออุปนิสัยของข้า แต่ก็มากพอที่จะรับมือกับคนในบ้าน… หากนายท่านต้องการ ข้าสามารถเลียนแบบเสียงใดก็ได้!”


มีพรสวรรค์หลากหลายกว่าที่คิด… การเป็นกระจกต้องเก่งขนาดนี้เลย? แต่ว่า ทำไมประโยคสุดท้ายถึงฟังดูแหม่งๆ? กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์กระตุกเล็กน้อย


“ขณะสนทนากับพวกเขา จงหยุดพักการเล่นเกมถามตอบไปก่อน อย่าให้ใครพบความผิดปรกติได้”


อาโรเดสแสดงข้อความใหม่ทันที


“ข้าจะสวมบทบาทเป็นนายท่านอย่างสุดความสามารถ!”


“ดีมาก” ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา


มันค่อนข้างกังวลว่า อาโรเดสจะถามพ่อบ้านวอลเตอร์และบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันในทำนอง ‘หากได้พบกับสตรีที่เกินเอื้อม เจ้าเคยจินตนาการเรื่องลามกกับเธอหรือไม่?’ หรือ ‘เคยสนองความต้องการด้วยมือตัวเองในยามดึกๆ ดื่นๆ หรือไม่?’


ชายหนุ่มค่อนข้างไว้ใจศีลธรรมของ ‘กระจกวิเศษ’ แต่ถ้าไม่เตือนล่วงหน้า เกรงว่าความฉิบหายคงได้มาเยือน ดูได้จากเดนิสที่เกือบสติแตก


โดยไม่สานต่อบทสนทนา ไคลน์พูดกับกระจก


“วันนี้พอแค่นี้ เราจะติดต่อเจ้าอีกครั้งในคืนวันศุกร์”


“ขอรับ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้อดใจรอไม่ไหวที่จะได้รับใช้นายท่านอีกครั้ง!” ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสเขียนข้อความ ก่อนจะวาดรูปโบกมืออำลา


ราชันเร้นลับ 777 : ลงมืออย่างบ้าบิ่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

บ่ายวันศุกร์ ไคลน์ที่แกล้งป่วยและยกเลิกคาบเรียนวรรณกรรม ส่งตัวเองเข้ามายังมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง


ด้านหน้าของชายหนุ่มคือสมุดบันทึกเล่มเท่าฝ่ามือ สีเขียวขี้ม้า ปกหนังสือมองผิวเผินจะดูแข็งมาก เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘สมุดบันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ที่ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สส่งมาถึงล่วงหน้า


หลังจากพลิกหนังสือที่ดูคล้ายกับสมุดเวทมนตร์ ไคลน์จ้องหน้ากระดาษสีเหลืองไหม้ ยกมือขึ้น เรียกคทาเทพสมุทรออกจากซากกองขยะ ถือไว้ในมือ


ชายหนุ่มถ่ายเทพลังวิญญาณบางส่วนเข้าไปในบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ ส่งผลให้สมุดเล่มดังกล่าวสว่างขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ใช้พลังวิญญาณอีกส่วนหนึ่ง ทำให้อัญมณีสีน้ำเงินบนหัวคทาเปล่งแสงสุกใส


ท่ามกลางเสียงแสบแก้วหูดัง ‘เปรี้ยะๆ’ สายฟ้าสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ทั้งทรงพลังและน่าพรั่นพรึง สอดประสานกันกลายเป็นพายุเฮอร์ริเคนสายฟ้า


ขณะเดียวกัน บนหน้ากระดาษสีเหลืองไหม้ของสมุดเวทมนตร์ สัญลักษณ์และลวดลายอันซับซ้อนปรากฏขึ้นทีละภาพอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ซ้อนทับจนกระทั่งรวมเป็นภาพใหญ่


ขณะหน้าดังกล่าวกำลังจะถูกย้อมด้วยแสงสีเงินขาว อสรพิษสายฟ้าพลันพุ่งออกจากผิวกระดาษ ทำลายสัญลักษณ์ทั้งหมดในคราวเดียว!


ล้มเหลวอีกแล้ว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ทำซ้ำขั้นตอนเดิมอีกครั้ง


นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรก นับตั้งแต่ได้รับ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ มาในคืนวันพุธ ชายหนุ่มส่งตัวเองเข้ามิติหมอกอย่างต่อเนื่อง พยายามใช้หนังสือเวทมนตร์เพื่อบันทึกพลังชนิดต่างๆ ที่สำแดงโดยคทาเทพสมุทร จนกระทั่งพลังวิญญาณเหือดแห้งและไร้เรี่ยวแรง ต้องกลับสู่โลกความจริงเพื่อพักผ่อน


ระหว่างกระบวนการ มีทั้งความสำเร็จและล้มเหลวเกิดขึ้น ไคลน์ค่อยๆ บันทึกไปทีละพลังอย่างใจเย็น จนกระทั่งมาถึงพลังสุดท้ายอย่าง ‘พายุสายฟ้า’ ที่มันปรารถนามากที่สุด!


นี่คือพลังของครึ่งเทพเส้นทาง ‘นักเดินเรือ’ !


ก่อนจะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวเมื่อครู่ ไคลน์เคยล้มเหลวมาแล้วเกือบยี่สิบครั้ง เรียกว่าโชคไม่เข้าข้างสักเท่าไร


ส้มเหลว ล้มเหลว แล้วก็ล้มเหลว รอจนกระทั่งครั้งที่ห้า ชายหนุ่มบังเกิดความยินดีปรีดาเมื่อได้เห็นแสงสีเงินอมขาวถูกฉาบไปทั่วหน้ากระดาษสีเหลืองไหม้ สัญลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่ลึกลับและยากจะบรรยาย เริ่มก่อตัวขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ทุกคนที่ได้เห็นสัญลักษณ์นี้ มีอันต้องเกิดความรู้สึกประหนึ่งถูกฟ้าผ่า


ฟู่ว… สำเร็จสักที… ไคลน์ใช้นิ้วสัมผัสหน้ากระดาษ ถอนหายใจโล่งอก


ชายหนุ่มพลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ เพื่อเชยชมผลลัพธ์ในความพยายาม


สองวันที่ผ่านมา มันไม่ได้ก้มหน้าก้มตาบันทึกพลัง ‘พายุสายฟ้า’ เพียงอย่างเดียว ยังมีพลังครึ่งเทพอีกสองชนิด หนึ่งคือ ‘เทวทูตกระดาษ’ ที่เกิดจากการใช้พลังบางส่วนของมิติหมอก มีอำนาจในการรบกวนพลังทำนาย และอีกหนึ่งคือ ‘ทอร์นาโด’ ที่มาจากพลังของคทาเทพสมุทรเช่นกัน


ขณะพยายามบันทึกพลังเหล่านั้น ไคลน์ค่อนข้างโชคดี อย่างแรกสำเร็จในเก้าครั้ง ส่วนอย่างหลังสำเร็จในสิบสองครั้ง


สำหรับพลังจำพวก ‘บิน’ ‘ร่อน’ หรือ ‘อสนีบาต’ ที่มีระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ ใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองครั้งก็สำเร็จ หน้าหนังสือในปัจจุบันจึงถูกบันทึกจนเกือบเต็ม


หากหนังสือเวทมนตร์เล่มนี้ไปอยู่ในมือผู้วิเศษไร้สังกัด การใช้ประโยชน์จะทำได้ไม่เต็มที่ เสียเวลานานในการบันทึกพลังแต่ละชนิด… ยิ่งเป็นพลังที่สูงกว่าลำดับ 6 โอกาสสำเร็จก็ยิ่งต่ำลง การบันทึกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย… อย่างไรก็ตาม ในโลกของศาสตร์เร้นลับ พลังพิเศษมีทั้งหมดยี่สิบสองเส้นทาง หากเลือกบันทึกพลังในลำดับต้นๆ ที่สอดประสานกัน การโค่นลำดับ 5 ก็ไม่ใช่เลือกยาก… ไคลน์ปิดบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ รำพันสองสามคำในใจ


ตามความคิดของมัน หากหนังสือเวทมนตร์เล่มนี้ไปอยู่ในมือผู้วิเศษไร้สังกัด พลังอำนาจจะเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของสมบัติปิดผนึก แม้ว่าการใช้งานในช่วงแรกจะยากกว่า ‘ยุบพองหิวโหย’ แต่ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทว่า หากหนังสือเล่มนี้ไปอยู่ในมือผู้วิเศษที่สังกัดองค์กรใหญ่ บันทึกการเดินทางของเลมาโน่จะยิ่งทรงพลังอย่างเหนือจินตนาการ เรียกว่าเข้าขั้นโกงก็ยังได้ เพราะสิ่งนี้สามารถบันทึกพลังของครึ่งเทพ!


ตราบเท่าที่ต้องการ ครึ่งเทพสามารถสำแดงพลังได้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งบันทึกสำเร็จ แต่กลับกัน ทางด้าน ‘ยุบพองหิวโหย’ มีโอกาสสูงที่การ ‘กลืนวิญญาณ’ ครึ่งเทพจะล้มเหลว แม้แต่ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ตัวจริง การกลืนวิญญาณของผู้วิเศษลำดับสูงก็ยังถือเป็นเรื่องที่สำเร็จได้ยาก แถมทรัพยากรประเภทนี้ก็มีจำนวนจำกัด และยังเกิดคลุ้มคลั่งได้ง่าย… ในกรณีของอาวุโสโลเฟียร์แห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ เธอโชคดีมากที่สามารถกลืนวิญญาณมารซึ่งมีระดับสูงกว่าหรือเทียบเท่าลำดับ 4 … คิดถึงตรงนี้ ไคลน์มองไปยังหินสีน้ำเงินเข้มที่วางอยู่ด้านข้าง พื้นผิวตะปุ่มตะป่ำและมีรอยไหม้ ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากหินของ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส มีพลังในการเดินทางผ่านโลกวิญญาณ


ด้วยบันทึกการเดินทางของเลมาโน่และหินก้อนนี้ ผนวกกับยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ และหุ่นเชิด ‘วิญญาณอาฆาต’ ต่อให้มีตัวตนระดับนักบุญคอยคุ้มครองมิสเตอร์ X แต่เราก็คงลอบสังหารสำเร็จและหนีกลับมาได้อย่างปลอดภัย… ไคลน์ลูบหน้าผาก กลับสู่โลกความจริง จัดเตรียมพิธีกรรมรับมอบ นำวัตถุที่เกี่ยวข้องกลับมายังโลกความจริง


หลังจากเตรียมการเสร็จ ชายหนุ่มเดินไปยังกระจกเต็มบาน มองภาพลักษณ์ปัจจุบันที่สะท้อนบนผิวกระจก ปรับเปลี่ยนภายนอกให้ซีดเซียวกว่าปรกติ


หลังจบมื้อค่ำ ไคลน์อ้างว่าไม่สบายตัว เดินกลับมายังห้องนอนใหญ่


ชื่นชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนสักพัก ชายหนุ่มหยิบกระจกเงาขนาดเท่าฝ่ามือออกจากลิ้นชัก วางไว้บนหมอนอ่อนนุ่ม


วินาทีถัดมา ไคลน์โน้มตัวเข้าใกล้ จนผิวกระจกสะท้อนดวงตาสีน้ำเงินเข้มและจอนสีขาวของดอน·ดันเตส


ชายหนุ่มค่อยๆ เหยียดตัวยืนตรง เดินถอยหลัง และทันใดนั้น ดอน·ดันเตสอีกหนึ่งคนได้ปรากฏตัวบนเตียงนอน!


สุภาพบุรุษตรงหน้าอยู่ในชุดนอนผ้าไหมสีเข้ม เอนหลังนั่งพิงหมอน ในมือถือหนังสือ ดวงตาปิดลงราวกับกำลังครุ่นคิด


ไม่เลว… พลัง ‘กระจกลวงตา’ แทบไม่ต่างจาก ‘กระดาษคนลวงตา’ … ไคลน์เดินกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ หยิบปากกา วาดสัญลักษณ์พิสดารของความลึกลับและการส่องความลับ


เงียบงันสักพัก ดอน·ดันเตสบนเตียงเริ่มลืมตาขึ้น ยิ้มอย่างประจบประแจงพลางกล่าว


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส อยู่ที่นี่แล้ว!”


ว่ากันตามตรง ถึงจะเป็นใบหน้าของดอน·ดันเตส แต่รอยยิ้มแบบนั้นไม่มีทางทำให้คนในบ้านเชื่อว่าปรกติ… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ


“ดีมาก” ชายหนุ่มพยักหน้าแผ่วเบา กล่าวคำชมเชย


ไคลน์ไม่ได้ออกคำสั่งเพิ่มเติม เพียงสวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง กระโดดลงจากระเบียงไปยังชั้นหนึ่ง เดินเลียบสวนที่เงียบสงบ จนกระทั่งถึงกำแพงชั้นนอกของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนและกระโดดออกไปทางมุมรั้ว แน่นอน มันไม่ลืมปิดหน้าต่างห้องนอนก่อนจะออกมา


ในท่าถือหมวกทรงกึ่งสูงด้วยมือขวา เมื่อฝ่าเท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้นถนน ไคลน์บรรจงเงยหน้า เดินไปสักพัก เค้าโครงใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เส้นผมกลายเป็นสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล หน้าเรียวและชัดลึก


ชายคนนี้คือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเสียสติเจ้าของค่าหัวห้าหมื่นปอนด์ในอาณาจักรเดียว!


การล่ากำลังจะเริ่มขึ้น



เขตเชอร์วู้ด ซิลซึ่งกำลังจะออกไปที่เขตตะวันออกเพื่อเข้าร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ X ถูกห้ามไว้โดยฟอร์ส


“หมายความว่ายังไง? พวกเรากำลังจะไปรวบรวมวัตถุดิบ?” ซิลทวนคำของเพื่อนสนิท


ฟอร์สรวบผมพลางตอบ


“ไม่ใช่ หาเงินต่างหาก! ใครบางคนจ้างฉันให้รวบรวมผงที่ภูตผีเหลือทิ้งไว้ อย่างที่เธอทราบ สุสานทั่วไปไม่มีภูตผีหลงเหลืออยู่แล้ว ทั้งหมดถูกบิชอปและนักบวชส่งไปยังดินแดนแห่งเทพ ดังนั้น หากจะรวบรวมผงจากภูตผี เราต้องเดินทางไปยังเขตตะวันออก ตามหาเป้าหมายที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งยังไม่ถูกโบสถ์ค้นพบ… เธอคิดจะให้สาวงามแสนบอบบางอย่างฉัน เข้าไปในสถานที่แบบนั้นคนเดียว?”


“แต่ว่า… เลื่อนออกไปหนึ่งวันไม่ได้หรือ?” ซิลลังเล “ฉันอยากเข้าร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ X”


ฟอร์สส่ายหน้า


“ไม่ได้! ฉันต้องส่งงานภายในวันศุกร์นี้ ค่าจ้างสูงถึงห้าสิบปอนด์เชียวนะ!”


“ถ้ากำหนดส่งพรุ่งนี้ แล้วทำไมเธอถึงไม่รีบทำตั้งแต่สองสามวันก่อน?” ซิลชำเลืองเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าฉงน


ฟอร์สหัวเราะ


“พวกเราเพิ่งรู้จักกันรึไง? ลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นพวกชอบทำงานแบบไฟลนก้น! นอกจากนั้น เธอไม่มีเงิน เข้าร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ X ไปจะได้อะไร? เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวัตถุดิบหลักที่ตัวเองต้องการคืออะไร!”


“นั่นก็จริง…” ซิลเริ่มคล้อยตาม เผยรอยยิ้ม “พวกนักเขียนมีนิสัยชอบทำงานแบบไฟลนก้นเหมือนกันทุกคนเลยหรือ?”


“คงงั้น” ฟอร์สตอบคลุมเครือ ภายในใจแอบโล่งอก



เขตตะวันออก ภายในโรงแรมราคาถูก ไคลน์เข้าไปในห้องที่มิสเมจิกเชี่ยนจองไว้ด้วยนามแฝง


สำหรับที่นี่ การได้พักในห้องที่มีเตียงนอนส่วนตัวถือเป็นความหรูหรา แถมราคายังถูกมาก เพียงสิบสองเพนนีต่อคืน นั่นก็เพราะว่า โรงแรมราคาถูกส่วนใหญ่ในเขตตะวันออกแทบไม่มีห้องเดี่ยว ห้องใหญ่ส่วนใหญ่เป็นห้องรวมที่มีราคาห้าเพนนีต่อคืน อาศัยร่วมกันหลายคน อาจมีเตียงส่วนตัวก็จริง แต่รอบเตียงจะถูกกั้นด้วยฉากบางๆ ป้องกันไม่ให้ใครแอบมองเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า


สำหรับห้องใต้ดินที่มีเตียงสองชั้นขนาดยี่สิบที่นอนไว้ให้บริการ ราคาจะตกราว 1.5 เพนนีต่อเตียงต่อคืน แต่ทางโรงแรมจะไม่ช่วยดูแลทรัพย์สิน ถ้าของหายจะไม่มีการรับผิดชอบ


มีกระจกเงา… ไม่เลว… ไคลน์วางหมวกทรงกึ่งสูง ยืนหน้ากระจกเต็มบานที่มีรอยร้าวหลายจุด สวมเสื้อคลุมศีรษะที่มิสเมจิกเชี่ยนเตรียมไว้ให้


ถัดมาไม่กี่วินาที ส่วนสูงของชายหนุ่มค่อยๆ ลดลงด้วยความเร็วที่มองทันด้วยตาเปล่า ผิวพรรณขาวขึ้นเล็กน้อย สีคล้ายข้าวสาลี ลูกกระเดือกกึ่งกลางลำยุบลงไป เส้นผมค่อยๆ ยาวขึ้นและกลายเป็นสีทอง


ในวินาทีที่ได้เห็นภาพของเพื่อนสนิทมิสเมจิกเชี่ยน ไคลน์จำได้ทันทีว่าบุคคลดังกล่าวคือมิสซิล!


เนื่องจากสวมเสื้อคลุมศีรษะ ชายหนุ่มจึงไม่ต้องลำบากแปลงเป็นหญิงแท้ เพียงตบตาในส่วนที่ถูกเปิดเผย


สำหรับส่วนสูง 1.5 เมตร เราจนปัญญาจะแก้ไข… คงต้องย่อยโอสถผู้ไร้หน้าที่ยังตกค้างในร่างกายให้หมด จะได้ดึงศักยภาพออกมาจนถึงขีดจำกัดสูงสุด… แต่ไม่มีอะไรต้องกังวล มิสซิลพยายามปลอมตัวเพื่อเพิ่มส่วนสูง เราแค่ตัดขั้นตอนดังกล่าวออกไป… ไคลน์มองตัวเองในกระจกที่มีส่วนสูง 1.6 เมตร เริ่มสวมรองเท้าบูตหนัง – เป็นรองเท้าที่รูปทรงดูคล้ายกับพื้นแบน แต่ความจริงแล้วก็แบน


ปลอมตัวเสร็จ ไคลน์ดึงผ้าคลุมศีรษะลงมาปิดหน้า แอบออกจากห้องพักเดี่ยวทางหน้าต่าง เดินเข้าไปในซอยหนึ่งของเขตตะวันออก เดินวนหลายตรอกจนกระทั่งถึงบ้านที่มีการชุมนุมลับของมิสเตอร์ X


หลังจากนึกทบทวนรหัสผ่านที่มิสเมจิกเชี่ยนแจ้งให้ทราบ ไคลน์งอนิ้ว เคาะเบาๆ สามครั้งและเคาะหนักๆ สามครั้ง เว้นระยะห่างยาวสองครั้งและเว้นสั้นสามครั้ง


ผ่านไปสิบวินาที ประตูเปิดออกอย่างเงียบงัน ผู้ช่วยชุมนุมลับซึ่งสวมหน้ากากเหล็ก ชำเลืองผู้มาเยือนเล็กน้อย ก่อนจะหลีกทางให้เข้าไป


ไคลน์ปราศจากความตื่นตระหนก เดินเข้าไปในตัวอาคารอย่างใจเย็น


ราชันเร้นลับ 778 : หนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะเดินผ่านห้องนั่งเล่น สัมผัสวิญญาณไคลน์พลันถูกกระตุ้น ตระหนักว่าถูกดวงตาที่มองไม่เห็นกำลังกวาดมองจากตำแหน่งปริศนา


ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกตัว เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นด้านหน้า ตรวจสอบสภาพแวดล้อม เตรียมเลือกนั่งในตำแหน่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลเจ้าของชุมนุม


ในวินาทีที่เดินผ่านประตู ความรู้สึกถูกจ้องมองพลันเลือนหายโดยสมบูรณ์


หากไม่ใช่เพราะ ‘วิญญาณอาฆาต’ ของเรามีผนึกสามชั้นคอยกีดขวาง อีกฝ่ายอาจตรวจพบความผิดปรกติ… มิสเตอร์ X มิได้บ้าบิ่นเหมือนที่เห็นภายนอก… ไคลน์นั่งลง ดึงผ้าคลุมศีรษะลงต่ำ ซ่อนใบหน้าให้ลึกยิ่งกว่าเดิม


ผ่านไปสิบนาที เมื่อสมาชิกมารวมกันใกล้ครบ มิสเตอร์ X ที่สวมหน้ากากทองเหลือง เดินเข้ามาทางประตูโดยไม่ได้ทำตัวเอิกเกริก ก้าวตรงไปยังที่นั่งของเจ้าภาพ


มันสวมเสื้อคลุมสีดำทรงโบราณ หมวกพ่อมดปลายแหลม พยายามปกปิดออร่าขณะเดิน แต่ก็ยังทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมลดศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว


มิสเตอร์ X หันกลับมาและนั่งลงอย่างเชื่องช้า มองไปรอบๆ ก่อนจะอ้าปากพูด


“เริ่มได้”


อยู่ในระยะสี่เมตร… ไคลน์ไม่รีบลงมือ ถอนสายตากลับ เฝ้ามองสมาชิกคนอื่นแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างอดทน ส่วนใหญ่เป็นการตามหาคนที่กำลังโชคร้ายเป็นพิเศษ มิสเตอร์ X คอยตอบคำถามของสมาชิกเป็นครั้งคราว


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จุดสนใจของชุมนุมลับเริ่มเปลี่ยนจากรางวัลของมิสเตอร์ X มาเป็นการค้าขายระหว่างสมาชิกด้วยกัน ไคลน์เห็นดังนั้นจึงไม่ลังเล ใช้หัวแม่มือซ้ายกดข้อต่อแรกของนิ้วชี้สองครั้ง เปิดเนตรด้ายวิญญาณ


ด้ายมายาสีดำเส้นบางๆ จำนวนมากปรากฏขึ้นในทัศนวิสัยของชายหนุ่ม แต่ละเส้นลอยออกจากเป้าหมายที่แตกต่างกัน พุ่งตรงไปทุกทิศโดยไม่มีจุดสิ้นสุด


แยกแยะเจ้าของด้ายสักพัก ไคลน์แอบควบคุม ‘ด้ายวิญญาณ’ ของมิสเตอร์ X


จากแผนการของชายหนุ่ม มีสองปัญหาใหญ่ๆ ที่ต้องกังวล ประการแรก มิสเตอร์ X มีอาชีพเป็น ‘โหราจารย์’ ในลำดับต้นๆ ของเส้นทาง เช่นเดียวกันกับนักบุญของชุมนุมแสงเหนือที่อาจซ่อนตัวอยู่ในความมืด หากไคลน์พยายามเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ พวกมันอาจได้รับลางสังหรณ์แจ้งเตือนอันตราย ตระหนักว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น


สำหรับความเฉียบคมของสัมผัสวิญญาณมิสเตอร์ X ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายตรวจสอบไม่ได้ เพราะย้อนกลับไปในตอนที่ ‘วิญญาณอาฆาต’ ชารอนถูก ‘โรซาโก้’ ใช้ด้ายวิญญาณควบคุมร่างกาย แม้แต่เธอเองก็มิอาจตระหนักถึงอันตรายล่วงหน้า ทว่า ในกรณีของตัวตนระดับนักบุญแห่งชุมนุมแสงเหนือ – ครึ่งเทพที่ได้ครอบครองเศษเสี้ยวพลังเทพ การจะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ บางที อีกฝ่ายอาจตรวจสอบได้ว่า ‘ด้ายวิญญาณ’ ของใครกำลังถูกควบคุมอยู่บ้าง


หากเป็น ‘นักเชิดหุ่น’ คนอื่น ในสถานการณ์เช่นนี้คงทำได้เพียงสิ้นหวัง แต่กับไคลน์แล้วไม่ใช่ มันยังมีอีกหนึ่งตัวตนเป็น ‘เดอะฟูล’ สามารถหยิบยืมพลังจากห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทา ช่วยให้มี ‘เทวทูตกระดาษ’ คอยกีดขวางการหยั่งถึงเบื้องต้น


ชุมนุมลับดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีอะไรติดขัด เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลืออีกเพียงสามวินาที การเข้าควบคุมขั้นต้นของไคลน์ก็จะประสบความสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ส่งสารแห่งชุมนุมแสงเหนือรายนี้กลับไม่เอะใจแม้แต่น้อย ทำเพียงเฝ้ามองบทสรุปของการค้าขาย ในใจกำลังคิดอะไรก็ไม่ทราบได้


ในช่วงเวลาแสนสำคัญ ไคลน์ตัดสินใจหยุด!


ชายหนุ่มพยายามรักษาความคืบหน้าเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋าลับของเสื้อคลุม สัมผัสกล่องบุหรี่โลหะที่ถูกผนึกด้วยกำแพงวิญญาณ


ไคลน์ขยับนิ้ว สะกิดแผ่วเบาเพื่อสลายกำแพงวิญญาณ ปล่อยให้สายลมกระโชกหมุนวนในกระเป๋า


มันดึงมือออก รอสองสามวินาที จนกระทั่งมิสเตอร์ X หันหน้าไปทางด้านข้าง จึงค่อยเริ่มดำเนินการควบคุมด้ายวิญญาณต่อจากของเดิม


สองวินาที หนึ่งวินาที ศูนย์วินาที!


สติมิสเตอร์ X พลันเฉื่อยชา คล้ายกับถูกใครบางคนราดปูนซีเมนต์เหลวใส่


ศัตรู… อันตราย… แม้ความคิดจะเชื่องช้า แต่มันตื่นตัวได้เร็ว ภายในใจจึงวางแผนขอความช่วยเหลือจากลูกน้องและบุคคลลึกลับที่เฝ้ามองในเงามืด จากนั้นก็ตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพ


ทว่า ความหนาวเหน็บพลันแทรกซึมร่างกายมิสเตอร์ X อย่างท่วมท้น ส่งผลให้มือ เท้า และปาก สูญเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์


‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล!


พลังสิงร่างของวิญญาณอาฆาต!


ตามปรกติแล้ว พลังควบคุมด้ายวิญญาณของนักเชิดหุ่นจะมีช่องโหว่มากมาย ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ เมื่อเข้าสู่การควบคุมเบื้องต้น เป้าหมายจะพบความผิดปรกติได้ทันที ส่งผลให้ตอบสนองทันเวลา


หากเป็นการดวลตัวต่อตัว ไม่มีใครอยู่ใกล้เคียง ไคลน์สามารถใช้ประโยชน์จากสถานะ ‘เฉื่อยชา’ ของเป้าหมาย ขัดขวางการ ‘ขัดขืน’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเป้าหมายมีตัวช่วย ก็เป็นการยากที่จะแอบ ‘ควบคุมด้ายวิญญาณ’ อย่างลับๆ จำเป็นต้องอาศัยสภาพแวดล้อมหรือพวกพ้องช่วยกันปกปิดสถานการณ์


แต่ในช่องโหว่ดังกล่าว พลัง ‘สิงร่าง’ ของวิญญาณอาฆาตที่สามารถควบคุมพฤติกรรมของเป้าหมาย คือตัวช่วยที่ดีที่สุดของนักเชิดหุ่น!


สาเหตุที่ไคลน์ไม่ดำเนินการเข้าควบคุมขั้นต้นในคราวเดียว เพราะมันต้องการปลดปล่อยวิญญาณอาฆาตออกมาก่อน


หลังจากผ่านการตรวจตราหน้าทางเข้า ภายในห้องนั่งเล่นที่จัดการชุมนุม ย่อมมีระดับการเฝ้าระวังต่ำกว่าปรกติ!


ดวงตามิสเตอร์ X เริ่มเบิกกว้าง สติค่อยๆ เฉื่อยชาลงทุกขณะ ถ้อยคำที่อยากตะโกน ถูกปิดกั้นเอาไว้ในลำคอ เป็นใบ้โดยสิ้นเชิง


นอกจากนั้น มือข้างหนึ่งที่ทั้งใจยกขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ ถูกบังคับให้ยื่นไปจับถ้วยชากระเบื้องเคลือบด้านข้าง


พฤติกรรมดังกล่าวขัดต่อความตั้งใจของมันโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดเกิดจากความเย็นยะเยียบที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย!


วิญญาณอาฆาต… นักเชิดหุ่น… แบบนี้แย่แน่… ถ้าปล่อยเอาไว้… เราจะตายไปอย่างเงียบๆ … มิสเตอร์ X รีบเค้นพลังวิญญาณในร่างกาย วาดภาพสัญลักษณ์และอักขระซับซ้อนภายในใจ


มันต้องการเปิด ‘ประตูนักท่องเที่ยว’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘ประตูเคลื่อนย้ายมิติ’ ด้วยวิธีดังกล่าว มันจะหนีออกจากระยะควบคุมของนักเชิดหุ่น เมื่อเทียบกันแล้ว วิญญาณอาฆาตมีอันตรายน้อยกว่ามาก


แต่ด้วยความคิดที่เฉื่อยชา การวาดสัญลักษณ์และอักขระมิได้ประสบความสำเร็จในคราวเดียว แต่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละเส้น ไม่รวดเร็วมากพอ


อาศัยโอกาสดังกล่าว ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลที่ที่ครอบงำมิสเตอร์ X ด้วยความควบคุมของ ‘นักเชิดหุ่น’ ไคลน์ เริ่มทำการขยับศีรษะและเปลี่ยนท่านั่งของมิสเตอร์ X


พฤติกรรมข้างต้นทำให้ ‘ประตูนักท่องเที่ยว’ ถูกยกเลิกทันที!


แย่ล่ะสิ… การตอบสนอง… ของเรา… ช้าเกินไป… ถูกขัดขวาง… โดยฝีมือ… วิญญาณ… อาฆาต… ต้องใช้… สมบัติ… วิเศษ… ดวงตามิสเตอร์ X กำลังแดงระเรื่อ คนรอบข้างไม่มีใครสังเกตเห็น แม้กระทั่งตัวตนลึกลับที่คอยจับตามองการชุมนุมก็ไม่พบความผิดปรกติ


สำหรับผู้ร่วมชุมนุมที่กำลังค้าขาย พวกมันเริ่มลดเสียงลงเนื่องจากเห็นมิสเตอร์ X เปลี่ยนท่านั่ง


ณ ขณะนี้ แม้ว่าห้องนั่งเล่นจะเต็มไปด้วยผู้คน แม้ว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้วิเศษ และหลายต่อหลายคนเป็นลูกน้องของมัน แต่มิสเตอร์ X กลับรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวังสุดขีด


มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้จู่โจมเป็นใคร นั่งอยู่ตรงไหน!


ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน มิสเตอร์ X พยายามรวบรวมพลังวิญญาณ ถ่ายเทเข้าไปในแหวนทองคำฝังทับทิมที่นิ้วชี้ข้างซ้าย


ทว่า ขณะความคิดเปลี่ยนเป็นการตัดสินใจ ขณะการตัดสินใจเปลี่ยนเป็นลงมือทำ ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลานานเกินไป ราวกับภาพเหตุการณ์ถูกฉายซ้ำโดยการลดความเร็ว!


นั่นทำให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลมีเวลาเหลือเฟือ จัดการยกมือซ้ายของมิสเตอร์ X ขึ้น ใช้ปลายนิ้วแตะหน้าผาก ‘ตัวเอง’ ในบริเวณที่ไม่มีหน้ากากทองเหลืองปกปิด ประหนึ่งกำลังนั่งใช้ความคิด


เสียง ‘กึก’ ดังขึ้นแผ่วเบา แต่แรงกระแทกที่ส่งเข้าไปนั้นไม่ธรรมดา ไคลน์ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเซนอล กะปริมาณความแรงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้แรงปะทะพุ่งเข้าไปในศีรษะของมิสเตอร์ X โดยไม่กระจายออกสู่ภายนอก ยังคงปกปิดความผิดปรกติไว้ได้มิดชิด


ตึก! ตึก!


ความคิดของมิสเตอร์ X ที่จะแผ่พลังวิญญาณถูกรบกวนอย่างต่อเนื่อง มิอาจรวบรวมสติได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง


ทุกครั้งที่สติเริ่มคืนกลับมา พลังควบคุมด้ายวิญญาณของนักเชิดหุ่นก็ยิ่งฝังรากลึก ส่งผลให้สติของมิสเตอร์ X กระเจิดกระเจิงและทวีความเชื่องช้า ลำพังการคิดและตัดสินใจก็ยังทำได้ยากลำบาก


ประกอบกับการที่วิญญาณอาฆาตคอยขยับตัวเพื่อก่อกวนสมาธิ แม้มิสเตอร์ X จะมีพลังพิเศษและสมบัติวิเศษที่ยอดเยี่ยมสักเพียงใด แต่ชะตากรรมเดียวคือการค่อยๆ ดำดิ่งลงไปในหุบเหว มิอาจหลีกเลี่ยงการกลายเป็นหุ่นเชิด


มันเฝ้ามองตัวเองกำลังเดินเข้าหาความตายอย่างเชื่องช้าและไร้พลัง


มันเพิ่งได้เรียนรู้ว่า ความร่วมมือระหว่างวิญญาณอาฆาตและนักเชิดหุ่นนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด จนปัญญาจะรับมือโดยสิ้นเชิง


ต่อหน้าผู้คนมากมาย การล่ายังคงดำเนินไปอย่างลับๆ


ยิ่งไคลน์ควบคุมได้ลึกซึ้ง สติของมิสเตอร์ X ก็ยิ่งเฉื่อยชาและแข็งทื่อ ผนวกกับการตบตาของวิญญาณอาฆาต จึงไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ตระหนักถึงความผิดปรกติ


ระบุให้ชัดก็คือ พฤติกรรมทั้งหมดของมิสเตอร์ X ในตอนนี้ มิได้เกิดจากความคิดอันเฉื่อยชาของเจ้าตัว แต่เป็นการควบคุมของ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอล เจ้าของร่างไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแสดงแววตาสิ้นหวัง!


การค้าขายยังคงดำเนินต่อไป มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว มีทั้งโต้เถียงและต่อราคา ห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไคลน์ใกล้จะจบชีวิตมิสเตอร์ X และเปลี่ยนอีกฝ่ายให้กลายเป็นหุ่นเชิดของตน เหลือเพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้น


ทว่า ชายหนุ่มมิอาจกระทำเช่นนั้นได้


เนื่องจากโอสถนักเชิดหุ่นยังย่อยไปได้ไม่มาก ปัจจุบันจึงสามารถควบคุมหุ่นเชิดได้พร้อมกันเพียงหนึ่งตัว หากจะเปลี่ยนมิสเตอร์ X ให้เป็นหุ่นเชิด ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลก็ต้องถูกปล่อยไป


และถ้าปล่อยเซนอล ศพของพลเรือเอกโลหิตที่ตายไปนานแล้วก็จะโผล่ต่อหน้าทุกคน เกิดเป็นความโกลาหลครั้งใหญ่


ในทำนองเดียวกัน ถ้าไคลน์ไม่คิดจะปล่อยหุ่นเชิดเซนอล เลือกจะสังหารมิสเตอร์ X ที่ปราศจากการป้องกันตัว ชายหนุ่มก็ต้องคำนึงถึง ‘นักบุญ’ ของชุมนุมแสงเหนือที่อาจแฝงตัวในเงามืด


นี่คืออีกหนึ่งปัญหาใหญ่ในแผนการ!


การเข้าควบคุมเป้าหมายด้วยพลังของนักเชิดหุ่นและวิญญาณอาฆาตไม่ใช่เรื่องยาก การฆ่าก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน เนื่องจากมิสเตอร์ X ในสภาพปัจจุบันปราศจากการป้องกันตัวโดยสิ้นเชิง เพียงไคลน์ยิงด้วยกระสุนอัดอากาศ ก็สามารถปิดฉากได้ง่ายดาย


ส่วนที่ยากก็คือ หลังจากลงมือตามแผนข้างต้นเสร็จ ต้องทำอย่างไรถึงจะรอดกลับไปแบบมีชีวิต?


กุญแจสำคัญคือความอดทน


เวลาผ่านไปอย่างไหลลื่น แม้ภายนอกอาจดูสุขุม แต่ภายในใจไคลน์กำลังตึงเครียด มันแสร้งทำเป็นไม่สนใจการค้าขายในชุมนุม ไม่ได้กล่าวดำใดออกมา


จนกระทั่ง เมื่อชุมนุมลับจบลง มิสเตอร์ X เปล่งเสียงแผ่วเบาที่ฟังดูเป็นธรรมชาติ


“พอแค่นี้”


คำพูดของมันสั้นกระชับ คล้ายกับคำพูดในตอนเปิด นั่นคือสิ่งที่ซิลอธิบายกับฟอร์ส


สมาชิกของชุมนุมทยอยลุกขึ้นทีละคน ไคลน์ผสมโรงโดยไม่มีพิรุธ ขณะเดียวกันก็ล้วงกระเป๋า พลิกเปิด ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ด้วยความรู้สึกจากปลายนิ้ว


ราชันเร้นลับ 779 : นัดเดียว

Ink Stone_Fantasy

กระดาษทั้งสามประเภทใน ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ จะมอบสัมผัสปลายนิ้วที่แตกต่างกัน หน้าที่บันทึกได้เฉพาะลำดับ 7 8 และ 9 จะเป็นกระดาษสีขาวที่มีพื้นเรียบ แผ่นบาง หน้าที่บันทึกได้เฉพาะลำดับ 6 และ 5 จะมีสีน้ำตาลอมเหลือง ดูคล้ายหนังสัตว์ มีความยืดหยุ่นสูง ส่วนหน้าที่สามารถบันทึกพลังระดับเทพจะมีสีเหลืองไหม้ ค่อนข้างหนา พื้นผิวมีลวดลาย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง เพียงสัมผัสผ่านๆ ก็สามารถเลือกใช้งานได้ตามสถานการณ์


นิ้วของไคลน์เลื่อนไปยังกระดาษแผ่นหนาและมีลวดลายทั้งสามหน้า หยิบหน้ากลางอย่างเบามือ


แม้ว่ากระเป๋าลับจะไม่ใหญ่มาก ไม่สามารถกางหนังสือออกได้สุด แต่เนื่องจากเสื้อคลุมตัวนี้เป็นสิ่งที่ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สออกแบบขึ้นมาใช้เอง ทำให้ยังพอจะกางสมุดบันทึกเลมาโน่ได้ในมุมเก้าสิบองศา


ไคลน์สอดฝ่ามือเข้าไประหว่างหน้า ป้องกันมิให้สมุดเวทมนตร์ปิดสนิท ขณะเดียวกันก็เลื่อนนิ้วไปบนพื้นผิวของหน้าที่ต้องการ สัมผัสความขรุขระเล็กน้อยของลวดลาย จนเกิดเป็นภาพสัญลักษณ์แบบเดียวกันขึ้นในใจ


ชายหนุ่มเริ่มถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในหน้ากระดาษ


กระดาษสีเหลืองไหม้หน้านี้บันทึกความสามารถของครึ่งเทพเส้นทาง ‘วายุสลาตัน’


ทอร์นาโด!


ไคลน์หวังสร้างความวุ่นวาย ก่อกวนสายตาของนักบุญแห่งชุมนุมแสงเหนือที่อาจซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ฉวยโอกาสดังกล่าวสังหารมิสเตอร์ X และหลบหนีโดยอาศัยแรงลม


นอกจากจุดประสงค์ข้างต้น ความโกลาหลยังสามารถปกปิดร่องรอยอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากผู้เข้าร่วมชุมนุมกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางอย่างแตกตื่น ประกอบกับการที่ทุกคนปกปิดตัวตน คงเป็นการยากที่จะจับมือใครดม ชุมนุมแสงเหนือก็จะไม่พุ่งเป้ามายังซิล


เมื่อตัดสินใจได้ ดวงตาไคลน์มองตรงไปยังตำแหน่งหนึ่ง มือซ้ายบรรจงดึง ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ออกมาถือ


ขณะเดียวกัน มิสเตอร์ X ขยับสองสามก้าวมายืนข้างๆ ชายหนุ่ม เดินไปในทิศทางเดียวกัน ประหนึ่งเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี


วินาทีถัดจากนั้น เสียงระเบิดพลันอึกทึกครึกโครม พายุทอร์นาโดที่น่าพรั่นพรึงซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่า กำลังหมุนวนไปรอบๆ อย่างเกรี้ยวกราด ใจกลางพายุคือจุดที่ไคลน์กำหนดด้วยพลังวิญญาณ


ไม่ว่าจะโต๊ะอ่านหนังสือ โต๊ะกาแฟ เก้าอี้ และโซฟา ทุกสิ่งภายในห้องพลันลอยขึ้นฟ้า พายุทอร์นาโดอันทรงพลังหมุนวนด้วยความเร็วสูงจนกำแพงบ้านแหลกละเอียด หลังคาลอยขึ้น บางส่วนร่วงหล่นลงไปยังตรอกข้างๆ ส่วนผู้เข้าร่วมชุมนุม บางคนยืนอยู่บนแนวพายุพอดิบพอดี ร่างกายถูกพัดลอยไปไกล บางคนถูกแรงลมปะทะเฉียดๆ เสียหลักล้มลงด้านหน้า วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง


หากไม่ใช่เพราะไคลน์จงใจควบคุมทิศทางและความแรงของทอร์นาโด จะไม่ใช่แค่บ้านโทรมๆ ของมิสเตอร์ X ที่ถูกทำลาย แต่ยังรวมถึงตึกรามบ้านช่องโดยรอบทั้งหมด และผู้เข้าร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ก็จะได้รับอิทธิพลของพายุโดยตรง เป็นตายร้ายดีอย่างไร คงยากจะคาดเดา


ท่ามกลางเสียงลมหอนดังหวีดแหลม พายุทอร์นาโดลอยสูงขึ้นฟ้าจนดูเหมือนขุนเขาขนาดมหึมา เริ่มเดินหน้าพัดผ่านเข้าไปในตรอก จนกระทั่งถึงถนนใหญ่อีกฟากหนึ่ง ทุกเส้นทางผ่านไป ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือแม้แต่เศษซาก


ร่างไคลน์ปลิวไปในอากาศ แต่ก็ไม่ห่างจากมิสเตอร์ X ที่ถูกวิญญาณอาฆาตเข้าสิงมากนัก ทั้งสองกำลังลอยไปทางถนนอีกเส้น


ระหว่างนั้น เนื่องจากไคลน์และมิสเตอร์ X ยืนใกล้กันในตอนแรก ประกอบกับวิญญาณอาฆาตสามารถ ‘ลอย’ ตัวในอากาศได้ในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างไคลน์และมิสเตอร์ X ยังอยู่ภายในห้าเมตรตลอดเวลา พลังการตรึงด้ายวิญญาณยังมีผล


ขณะลอยกลางอากาศ ไคลน์ที่หูทั้งสองข้างได้ยินเพียงเสียงลมหวีด เลื่อนมือขวามายังหน้าอกและกระชากออก ฉีกเสื้อคลุมทิ้ง สอดมือเข้าไปหยิบลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ ใต้รักแร้


แม้ว่าสภาพปัจจุบันของมิสเตอร์ X จะร่อแร่เต็มที เพียงกระสุนอัดอากาศก็มากพอจะดับลมหายใจ แต่ไคลน์ตัดสินใจไม่ประมาท กังวลเกี่ยวกับผลของสมบัติวิเศษที่ฝ่ายตรงข้ามครอบครอง เหมือนกับในกรณี ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล


ในทุกการล่า ห้ามประมาทเหยื่อโดยเด็ดขาด!


ขณะชักมือออกด้วยจิตสังหารท่วมท้น พลังควบคุมด้ายวิญญาณของไคลน์อ่อนแอลงหลายระดับ หากไม่ใช่เพราะมิสเตอร์ X ใกล้จะถูกทำเป็นหุ่นเชิด มันคงฟื้นคืนสติกลับมาได้หลายส่วน


แต่ด้วยสภาพปัจจุบัน มิสเตอร์ X ดึงสติกลับมาได้อย่างเลือนราง เริ่มขัดขืนอีกครั้งอย่างอ่อนแรง


มันพยายามดิ้นรนสุดชีวิต แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นานนัก เพราะปัจจุบันยังคงถูก ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลสิ่งร่างอยู่ เพียงไม่นาน อวัยวะทุกส่วนก็กลับไปแข็งทื่อตามเดิม


วินาทีถัดมา รูปลักษณ์ของศัตรูค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้ามิสเตอร์ X เป็นใบหน้าที่ค่อนข้างเรียวและชัดลึก


จากที่มิสเตอร์ X เห็น อีกฝ่ายกำลังง้างนกลูกโม่อย่างเยือกเย็น บรรจงเล็งปากกระบอกปืนสีเข้มมาทางตน


ปัง!


ไคลน์เหนี่ยวไกโดยไม่ลังเล เสียงคำรามของลูกโม่ถูกกลืนหายไปกับสายลม


เพียงพริบตา ศีรษะของมิสเตอร์ X เอนไปด้านหลัง คล้ายกับถูกมือล่องหนชกใส่ใบหน้า


ศีรษะของมัน หน้ากากทองเหลืองของมัน ทุกสิ่งแหลกละเอียด ของเหลวสีแดงและขาวสาดกระเซ็นทุกทิศทาง


เป็นการยิงด้วย ‘โจมตีหนักหน่วง’ !


ลางมรณะได้นำพาความตายมาให้มันสมชื่อ!


ตุ้บ!


หลังจากยิงเสร็จ แผ่นหลังไคลน์กระแทกพื้น กลิ้งไปบนถนนสองสามตลบ


ตุ้บ! มิสเตอร์ X ตกลงข้างๆ ชายหนุ่ม โลหิตและเศษเนื้อที่กระจัดกระจายในอากาศ ค่อยๆ ไหลย้อนกลับอย่างน่าตกตะลึง ชิ้นส่วนทั้งหมดกลับมาประกอบกันอีกครั้งบนศีรษะ!


นี่คือพลังของ ‘วิญญาณอาฆาต’


ขณะเดียวกัน พายุทอร์นาโดที่สูญเสียแก่นสารเริ่มสลายตัว และเนื่องจากเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครึ่งเทพที่อยู่ไกลออกไปต้องสัมผัสถึงความผิดปรกติ


ภายในมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์ อาร์ชบิชอปแห่งเบ็คลันด์คนใหม่ ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์ รีบบินออกจากห้องทำงาน ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า


ไคลน์ที่กำลังกลิ้งไปบนพื้น สังเกตเห็นลมพายุเริ่มเบาบาง ในท่ามือข้างหนึ่งถือลูกโม่ลางมรณะ อีกข้างถือ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ชายหนุ่มพลิกหนังสือเวทมนตร์ไปยังหน้ากระดาษสีน้ำตาลอ่อน


หลังจากได้รับหนังสือเล่มนี้ ไคลน์พบว่ามีบางทักษะถูกบันทึกไว้ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือ ‘ประตูนักท่องเที่ยว’


มันเคยคิดว่าช่างเป็นเรื่องบังเอิญ แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบ การมีพลังชนิดนี้ถูกบันทึกไว้คือ ‘สิ่งที่ควรเกิดขึ้น’ เพราะสมุดบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ถูกครอบครองโดยตระกูลอับราฮัม พวกเขาเชี่ยวชาญเส้นทางผู้ฝึกหัด แถมยังมีสมบัติวิเศษที่เกี่ยวข้องอีกหลายชิ้น การบันทึก ‘ประตูนักท่องเที่ยว’ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะท้ายที่สุด นี่คือหนึ่งในพลังที่ดีที่สุด


ณ ตอนนี้ ขอเพียงประตูนักเดินทางก่อตัวเป็นรูปร่างสมบูรณ์ ไคลน์สามารถนำศพของมิสเตอร์ X ที่วิญญาณอาฆาตกำลังสิงร่าง หลบหนีไปพร้อมกันอย่างปลอดภัย


การที่ไม่ใช่พลังนี้ตั้งแต่อยู่ในบ้าน เพราะมีโอกาสสูงที่จะถูกนักบุญของชุมนุมแสงเหนือขัดขวาง นอกจากนั้น มิสเตอร์ X เองก็เป็น ‘นักท่องเที่ยว’ มีโอกาสค่อนข้างมากที่มันจะคืนสติและหลบหนีขณะอยู่ในโลกวิญญาณ ดังนั้น หากเหยื่อยังไม่ตายสนิท ไคลน์ไม่กล้าเปิดประตูนักท่องเที่ยว


เพียงพริบตา ทัศนวิสัยชายหนุ่มพลันมืดมัว ถนนโดยรอบเต็มไปด้วยของเหลวมายาลึกลับสีเข้ม กำลังควบแน่นด้วยความเร็วสูง ก่อตัวเป็นกรงนกขนาดมหึมาที่แข็งแรง


ท่ามกลางความมืดมิด คล้ายกับเงาดำทั้งหมดเริ่มมีชีวิตชีวา รุมจ้องมาทางไคลน์ด้วยสายตาเย็นชา


พลังของครึ่งเทพ! มีนักบุญของชุมนุมแสงเหนืออยู่ไม่ไกลจากที่นี่! หนีด้วยประตูนักท่องเที่ยวไม่ได้แล้ว… หัวใจไคลน์เริ่มเต้นระรัว รีบพลิกหน้าบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ไปยังแผ่นกระดาษสีเหลืองไหม้


เปรี้ยะ!


อสรพิษสีเงินอมขาวจำนวนมากโผล่ขึ้นจากอากาศว่างเปล่า แต่ละเส้นพัวพันพร้อมกับกระหน่ำสร้างความพินาศท่ามกลางความมืดมิด ช่วยมอบแสงสว่างไปทั่วบริเวณ


พายุสายฟ้า!


ความมืดที่กำลังก่อตัวพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ ไคลน์ฉวยโอกาสดังกล่าว นำมือขวาที่ถือลางมรณะล้วงเข้าไปหยิบหินสีน้ำเงินเข้มที่มีรอยไหม้


“ประตู!”


มันเปล่งภาษาเฮอร์มิทโบราณอย่างเยือกเย็นจนผิดวิสัย


ประกายแสงสีฟ้าอ่อนสว่างวาบ ร่างของไคลน์เริ่มพร่ามัว รวมถึงร่างของมิสเตอร์ X ที่ไคลน์กำลังใช้มือจับไหล่ คนทั้งสองเกิดการเปลี่ยนแปลงในทำนองเดียวกัน


จนกระทั่งร่างของทั้งไคลน์และมิสเตอร์ X โปร่งใสและล่องหน เลือนหายไปจากจุดเดิมที่เคยยืน ไปโผล่ในโลกวิญญาณที่มีริ้วแสงสีสันฉูดฉาดซ้อนทับ เป็นการหลบหนีอย่างชาญฉลาดและสมบูรณ์แบบ


ในตรอกที่เต็มไปด้วยเศษไม้ ก้อนกรวด เศษผ้า และของใช้จิปาถะกระจัดกระจาย ในบ้านชุมนุมลับที่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นราบ คนผู้หนึ่งแผดเสียงฉุนเฉียว


“บัดซบ!”


ในเวลาเดียวกัน ผู้ร่วมชุมนุมคนอื่นๆ รีบหนีออกจากถนน บนท้องฟ้ามีเสียงกำแพงอากาศถูกทำลายดังมาจากระยะไกล



ซิลและฟอร์สที่กำลังตามหาภูตผีในเขตตะวันออก พลันตกใจกับท้องฟ้าที่สว่างวาบกะทันหัน ต่างคนต่างมองไปในจุดเดียวกัน พบผืนป่าสายฟ้าสีเงินกำลังเบ่งบานประหนึ่งบุปผา


ภาพของห้วงมิติบิดเบี้ยวและกลิ่นอายอันน่าสะพรึง ถึงคนทั้งสองจะอยู่ไกลมาก แต่ก็ยังไม่กล้าจ้องเข้าไปตรงๆ


“เกิดอะไรขึ้นแถวนั้น?” ซิลพึมพำ หันไปมองฟอร์สด้วยสายตาว่างเปล่า


ฟอร์สพอจะคาดเดาได้เลือนราง แต่ก็ยากจะทำใจเชื่อลง เธอไม่เคยคิดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะแข็งแกร่งในระดับหลุดโลกถึงเพียงนี้!



ภายในตรอกมืด ไคลน์โผล่ออกจากอากาศว่างเปล่าพร้อมกับศพมิสเตอร์ X ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นอย่างนุ่มนวล


ชายหนุ่มมิได้ตื่นตระหนก นำปืนพกลางมรณะเก็บกลับเข้าไปในเสื้อ จากนั้นก็ใช้มือขวาหยิบหนังสืออีกหนึ่งเล่มออกมา


การเดินทางของกรอซาย!


ป้าบ! ไคลน์นำหนังสือที่เขียนโดย ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล กระแทกใส่ใบหน้ามิสเตอร์ X ที่ชุ่มเลือด


ผ่านไปสักพัก ศพของมิสเตอร์ X หายไป เหลือไว้เพียง ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลที่สวมหมวกสามมุมใบเก่าและแจ็คเก็ตสีแดงเข้ม


วินาทีถัดมา ไคลน์เก็บ ‘การเดินทางของกรอซาย’ เข้าไปในเสื้อ พลิกเปิด ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ไปยังหน้าที่เป็นกระดาษสีเหลืองไหม้


เพียงพริบตา แสงอันเจิดจ้าพลันพรั่งพรูออกจากหนังสือ เทวทูตมายาที่มีปีกสิบสองคู่ปรากฏกายกลางอากาศ ร่อนลงบนร่างไคลน์


เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาอันสั้น ความมืดกลับมาปกคลุมตรอกอีกครั้ง มีเพียงแสงจันทร์สลัวที่ยังคงมอบความสว่างอย่างเงียบงัน


ไคลน์หยิบขวดโลหะอีกใบออกมา เทเลือดที่เก็บไว้ภายใน ป้ายลงบนปก ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ อย่างทั่วถึง


จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่ ฉีกเสื้อคลุมออกและโยนไว้ด้านข้างอย่างลวกๆ


เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชน แผดเผาเศษผ้าที่ขาดวิ่นจนไม่เหลือซาก


พร้อมกันนั้น ส่วนสูงของไคลน์เพิ่มขึ้นอีกกว่าสิบเซนติเมตร ใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชายชาวโลเอ็นทั่วไป


ในวินาทีถัดมา ชายหนุ่มจำแนกทิศด้วยดาวบนท้องฟ้า หยิบกิ่งไม้ที่หล่นบนพื้นถนนขึ้นมาใช้แทนแท่งวิญญาณ นำทางตัวเองผ่านถนนที่มืดมิดและสกปรก กลับไปยังโรงแรมราคาถูก


มาถึงจุดนี้ ไคลน์ยังไม่ทราบว่าตนมีจุดอ่อนใดเพิ่มเติม


ภายในห้องเดี่ยวของโรงแรมราคาถูก ไคลน์เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิม แปลงโฉมกลับไปเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์


เมื่อมองเข้าไปในกระจกเงาและเห็นนักผจญภัยเสียสติเจ้าของสีหน้าเย็นชา ชายหนุ่มเงียบงันสองสามวินาที หยิบหมวกทรงกึ่งสูงขึ้นมาสวม



ณ ท้องฟ้าเหนือบ้านที่ราบเป็นหน้ากลอง พระคาร์ดินัลแห่งศาสนจักรวายุสลาตันที่พลาดการจับหนู อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ ‘เจ้าพิธีกรรม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์ เอาแต่ก้มหน้ามองโดยไม่กล่าวคำใดเป็นเวลานาน



บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน พ่อบ้านวอลเตอร์มองไปยังผู้มาเยือนด้านนอกด้วยสีหน้าประหลาดใจ ซักถามด้วยความเคารพ


“ท่านบิชอป เหตุใดถึงมาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันนัก? มีอะไรเร่งด่วนหรือ?”


บิชอปอีเล็คตร้าหัวเราะในลำคอ


“ผมได้ยินว่าดอนไม่สบาย จึงแวะมาเยี่ยม บางที หากได้รับพรจากเทพธิดา เขาอาจหายป่วยเร็วขึ้น”


ราชันเร้นลับ 780 : สกัด

Ink Stone_Fantasy

วอลเตอร์เดินขึ้นมายังชั้นสาม งอนิ้วมือ เคาะประตูห้องนอนใหญ่


“ใคร?” ดอน·ดันเตสกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอเจือแหบพร่า


วอลเตอร์บิดกลอน แง้มประตูเปิด


“นายท่าน บิชอปอีเล็คตร้าแวะมาเยี่ยม… นานท่านจะลงไปที่ห้องนั่งเล่น หรือจะให้ผมเชิญเขามาที่ห้องนอนโดยตรง?”


ตามปรกติแล้ว แขกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องนอนใหญ่ นั่นเป็นเรื่องเสียมารยาท ยกเว้นการมาเยี่ยมตอนป่วย


เงียบไปสักพัก ดอน·ดันเตสมอบคำตอบ


“เชิญเขามาที่ห้องนอน”


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์หันไปบอกริชาร์ดสัน ให้อีกฝ่ายกำชับสาวใช้เตรียมชา ส่วนตัวเองเดินลงไปข้างล่าง นำทางบิชอปอีเล็คตร้าแห่งโบสถ์รัตติกาลขึ้นมายังชั้นสาม


เพียงไม่นาน อีเล็คตร้าเข้ามาในห้อง เห็นดอน·ดันเตสนอนอยู่บนเตียงในสภาพซีดเซียว


“ริชาร์ดสัน หาเก้าอี้ให้บิชอปนั่ง” ดอน·ดันเตสออกคำสั่งด้วยรอยยิ้ม


ริชาร์ดสันเตรียมพร้อมอยู่แล้ว รีบนำเก้าอี้พนักสูงมาวางในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากเตียงนอนมาก


หลังจากอีเล็คตร้าเดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว มันตรวจสอบใบหน้าของเศรษฐีใหม่ ถามอย่างกังวล


“ดอน คุณรู้สึกยังไงบ้าง? เชิญคุณหมอเข้ามาตรวจหรือยัง?”


สัมผัสวิญญาณของมันไม่แจ้งเตือนสิ่งใด จึงไม่ได้ทำมากกว่านั้น เพียงซักถามอย่างห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพของสาวกผู้เคร่งครัด


ดอน·ดันเตสกระแอมในลำคอ ยิ้มและตอบ


“อันที่จริง ผมใกล้จะหายดีแล้ว คงไม่เกินพรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ น่าจะได้แวะไปฟังคำเทศนาของคุณ”


“ได้ยินแบบนั้นค่อยเบาใจ ผมกำลังชั่งใจอยู่ว่า ควรสวดวิงวอนให้เทพธิดาช่วยอวยพรคุณดีไหม” อีเล็คตร้าหัวเราะ ถอยหลังสองสามก้าว นั่งลงบนเก้าอี้ที่ริชาร์ดสันนำมาวาง


ทันใดนั้น ดอน·ดันเตสชำเลืองไปทางมิสเตอร์บิชอป หัวเราะในลำคอ


“อันที่จริง ผมสงสัยมานานแล้วว่า นักบวชของศาสนจักรเทพธิดา สามารถสมรสได้หรือไม่”


อีเล็คตร้า ผู้ที่สองปีจะมีอายุครบสี่สิบ ถอนหายใจพลางหัวเราะ


“อันที่จริง เรื่องนี้เคยเป็นปัญหาคาใจของพวกเรามานานแล้ว… ในการชุมนุมเพื่อชำระพระคัมภีร์หลายครั้งในสมัยโบราณ อาร์ชบิชอปมักมีปากเสียงกันอย่างดุเดือดในประเด็นดังกล่าว… ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ข้ารับใช้แห่งเทพธิดาต้องเปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มิฉะนั้นจะถือเป็นการดูหมิ่นพระองค์ ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายนำคำพูดจากพระคัมภีร์ ‘วิวรณ์แห่งรัตติกาล’ มาโต้แย้งว่า เทพธิดาส่งเสริมให้มนุษย์สมรสกัน ส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ คณะนักบวชอย่างพวกเราจึงควรทำตัวเป็นแบบอย่าง มิใช่ต่อต้าน นั่นจึงจะถือเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพธิดา… แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน คำถามดังกล่าวได้ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องตรงกันแล้ว ทางศาสนจักรจะไม่ห้าม แต่ก็มิได้ส่งเสริม ข้อกำหนดเดียวก็คือ ถ้านักบวชสมรส ห้ามนำครอบครัวย้ายมาอาศัยอยู่ในวิหารด้วยกัน”


ดอน·ดันเตสพยักหน้าเชื่องช้า ยกมุมปากเล็กน้อย


“บิชอป คุณมีภรรยาหรือยัง”


บิชอปอีเล็คตร้า เจ้าของใบหน้าธรรมดาๆ แต่แฝงเสน่ห์เจือจาง ถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวโดยพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้ม


“เมื่อสองปีก่อน ผมได้เข้าสู่ร่มเงาแห่งการสมรสโดยมีเทพธิดาเป็นสักขีพยาน และปีนี้กำลังจะมีทายาทสืบทอด… เดิมที ผมคิดจะเป็นโสดไปตลอดชีวิตเพื่อรับใช้พระองค์ แต่กลับกลายเป็นว่า…”


ขณะกล่าว มันยิ้มให้กับตัวเอง ส่ายหน้าแผ่วเบา


โดยไม่รอให้ดอน·ดันเตสซักไซ้ บิชอปอีเล็คตร้าย้อนถามกลับอย่างมีวาทศิลป์


“ดูเหมือนว่าคุณเองก็โสด ลังเลเกี่ยวกับการแต่งงานอยู่หรือ?”


มันสรุปเดาว่าดอน·ดันเตสคงคิดเช่นนั้น จึงตั้งคำถามต่อเนื่องกัน


“คุณชอบสตรีแบบใด? บางที ผมอาจช่วยแนะนำให้คุณได้”


ดอน·ดันเตสไอแห้ง ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ในอดีต เพื่อสั่งสมความมั่งคั่ง ผมเลือกจะนำพาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับอันตราย จึงไม่อยากแต่งงาน กังวลว่าจะทำให้ภรรยาไม่มีความสุข… หึหึ… ผมชื่นชอบสตรีหลากหลายประเภท ไม่มีความต้องการที่ตายตัว… ไม่ว่าจะเป็นสตรีที่แก่กว่า หากเธอสามารถมอบความอบอุ่นให้หัวใจ สามารถทำให้ผมสบายใจ…”


ยังไม่ทันจะกล่าวจบ บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันที่อยู่ข้างๆ พลันยืนแข็งทื่อ รีบเบือนหน้าหนีพลางก้มศีรษะอย่างกระอักกระอ่วน ใบหน้าแดงระเรื่อประหนึ่งกำลังร้อนผ่าว


คล้ายกับดอน·ดันเตสไม่รู้ตัว ยังคงเล่าต่อไป


“นอกจากนั้น ผมยังชอบสตรีที่อายุน้อยกว่า เปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสา ชีวิตชีวา คล้ายกับได้เห็นแสงแรกยามเช้าตรู่ เป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยพลังงาน…”


รอยยิ้มบนใบหน้าบิชอปอีเล็คตร้าพลันแข็งทื่อ มันยกฝ่ามือขึ้น รวบเป็นกำปั้น เลื่อนมาไว้ตรงปากและกระแอมสองครั้ง


แต่ดอน·ดันเตสก็ยังไม่หยุด ส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจและเล่าต่อ


“ผมยังชอบสตรีที่เคยผ่านการสมรส… ด้วยสถานะของเธอ ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เป็นสตรีที่ทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ พวกเธอมักเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ทุกอากัปกิริยาชวนให้หลงใหล ยากจะหักห้ามใจ มีหลายครั้งที่ผมฝันถึง…”


พ่อบ้านวอลเตอร์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พลันสั่นสะท้าน คล้ายกับเผลอเดินหลงเข้ามาในความฝันของใครสักคน แต่ก็ไม่อยากกลับออกไป ไม่แน่ใจว่านี่เป็นความฝันที่ดีหรือร้าย


ดอน·ดันเตสเตรียมเล่าต่อ แต่ขณะกำลังอ้าปาก เสียงของมันกลับหยุดลง


มันเปลี่ยนไปหัวเราะเบาๆ ในลำคอ


“ที่กล่าวไปข้างต้นคือธรรมชาติของมนุษย์ พวกเราทุกคนล้วนถูกตีกรอบอิสระในเชิงกายภาพ… ท่ามกลางห้วงอารมณ์มากมาย เป็นเรื่องปรกติที่ส่วนลึกของจิตใจจะอยากทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรม… ตราบที่สามารถยับยั้งชั่งใจไว้ได้ ไม่ทำทุกสิ่งตามความปรารถนาของตัวเอง และไม่หักห้ามตัวเองจนเป็นทุกข์ พวกเรายังสามารถเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดี และเป็นผู้ชายที่ดี”


“สมเหตุสมผล… ในยามโกรธ มนุษย์มักเกิดความคิดที่ผิดศีลธรรมเสมอ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ทำให้มันเกิดขึ้นจริง” บิชอปอีเล็คตร้าสรุปประเด็นอย่างชาญฉลาด พ่อบ้านวอลเตอร์และบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันเริ่มทำหน้าครุ่นคิด


บิชอปไม่แช่อยู่นานนัก หลังจากดื่มชาดำมาร์ควิสที่สาวใช้ยกมาเสิร์ฟไปสองสามจิบ มันลุกขึ้นพลางกล่าวคำอำลา เดินทางออกจากคฤหาสน์ของดอน·ดันเตส


ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบภายในห้องนอน หน้าต่างระเบียงค่อยๆ ถูกเปิดออก ไคลน์ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็นดอน·ดันเตส กระโจนเข้ามาด้วยเสียงแผ่วเบา


โชคดีที่กลับมาทัน… ถ้าปล่อยให้ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสพูดมากไปกว่านี้ เกรงว่าบิชอปอีเล็คตร้าจะขับไล่เราออกจากการเป็นผู้ศรัทธา… พรุ่งนี้อาจได้เห็นวอลเตอร์กับริชาร์ดสันผูกคอตายในห้อง และชาวบ้านในบล็อกนี้ทั้งหมดจะซุบซิบนินทาเกี่ยวกับความวิตถารของดอน·ดันเตส… ไคลน์ชำเลืองไปยัง ‘กระจกวิเศษ·ดอน’ บนเตียง ถอนหายใจแผ่วเบา – ประโยคสุดท้ายที่ดอน·ดันเตสกล่าวกับบิชอปอีเล็คตร้า ชายหนุ่มเป็นคนร่างคำตอบและให้อาโรเดสอ่านตาม


แน่นอน บทสรุปข้างต้นเป็นเพียงสิ่งที่ไคลน์จินตนาการในแง่ร้ายที่สุด แต่มันเชื่อว่าอาโรเดสจะไม่ปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปถึงจุดนั้น


“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน นายท่านผู้ยิ่งใหญ่” ดอน·ดันเตสบนเตียงทำความเคารพและทักทาย “อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน ท…ทำงานได้ดีหรือไม่ขอรับ”


ได้ยินกระจกวิเศษถามอย่างตะกุกตะกัก ไคลน์ถอนหายใจอีกครั้ง


“ไม่เลว… ปลอมตัวได้ดี… แต่ขณะสนทนา พยายามอย่าทำให้คนฟังอึดอัด”


“ข…ข้าจะจำใส่ใจไว้!” ดอน·ดันเตสตัวปลอมเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว แทนที่ด้วยกระจกเงาบานเล็กบนหมอน


บนผิวกระจก แสงสีเงินสว่างวาบพร้อมกับเรียงเป็นคำพูด


“ขอบคุณสำหรับคำติชม ข้าจะคอยเดินตามรอยเท้าท่านเสมอ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้รับใช้นายท่านอีก~”


หลังจากอีโมติคอนอำลาถูกวาดเสร็จ ผิวกระจกเงากลับคืนสภาพปรกติ


ไคลน์ขยับเข้าไปใกล้ เก็บกระจกเงา จากนั้นก็เข้าห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอก


ชายหนุ่มต้องการ ‘ต้อนแกะ’ ก่อนที่วิญญาณมิสเตอร์ X จะสลายไป



ภายในโลกหนังสือ บนยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ


ไคลน์มองร่างของมิสเตอร์ X บนพื้น สำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายที่ประกอบกันจากเศษเนื้อ เปรียบเทียบกับภาพบุคคลเป้าหมายในความทรงจำที่มิสเมจิกเชี่ยนส่งมาให้


ไม่ผิดตัว… หวังว่าจะได้พลัง ‘ท่องเที่ยว’ และ ‘บันทึก’ … หากสุ่มได้หนึ่งในสองพลังข้างต้น ภารกิจคราวนี้จะถือว่าคุ้มค่า… แต่ถ้าไม่ คงต้องบอกให้มิสเมจิกเชี่ยนเพิ่มค่าตอบแทน… การล่าลำดับ 5 กับการเผชิญหน้าครึ่งเทพ สองสิ่งนี้มีระดับความยากแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง… ไคลน์ครุ่นคิด เหยียดฝ่ามือไปด้านหน้า กางนิ้วทั้งห้าออก เล็งไปทางศพซึ่งร่างวิญญาณยังสลายไม่สมบูรณ์


ยุบพองหิวโหยกลับคืนสภาพดั้งเดิม รูปลักษณ์คล้ายผิวหนังมนุษย์แผ่นบาง ดวงตาสองข้างปรากฏขึ้นกึ่งกลางฝ่ามือ รูม่านตาสีแดงสด ประหนึ่งชุ่มโชกไปด้วยเลือด


ท่ามกลางสายลมหนาว ร่างวิญญาณของมิสเตอร์ X ที่ใกล้สลายไปเต็มที รวมถึงประกายพลังพิเศษที่ดูคล้ายกับทางช้างเผือก เริ่มถูกดูดกลืนเข้ามาในยุบพองหิวโหย ผสานกับนิ้วมือที่ยังว่างอยู่


ยุบพองหิวโหยแปรเปลี่ยนเป็นสีใสในตอนต้น ประหนึ่งเป็นภาพสะท้อนของโลกวิญญาณ จากนั้นก็กลับเป็นปรกติ


ไคลน์หลับตาลงและเพ่งประสาทสัมผัส คิ้วที่ชนกันค่อยๆ คลายตัวออก รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้า


คราวนี้มันค่อนข้างโชคดี ได้รับหนึ่งในพลังที่ต้องการที่สุด


ประตูนักท่องเที่ยว!


หรือในชื่ออื่นๆ คือประตูเคลื่อนย้ายมิติ เทเลพอร์ต หรือท่องเที่ยว – พลังชนิดนี้จะอนุญาตให้ผู้ที่เดินทางผ่านโลกวิญญาณสามารถตระหนักถึงโลกภายนอก ช่วยให้ระบุพิกัดปลายทางได้แม่นยำ ผู้วิเศษที่มีลำดับต่างกันจะ ‘ท่องเที่ยว’ ได้ในระยะทางต่างกัน เพราะร่างกายสามารถทนต่อโลกวิญญาณได้ไม่เท่ากัน


หากเป็นลำดับ 9 หรือ 8 ขอบเขตการเดินทางคงไม่เกินเบ็คลันด์… ในลำดับปัจจุบันของเรา ยังไม่แน่ใจว่าจะเดินทางไปยังเกาะโบราณที่มิสเตอร์แฮงแมนระบุพิกัดมาให้ได้ไหม แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็แค่แบ่งเป็นสองเที่ยว สามเที่ยว… ไคลน์ครุ่นคิดพลางยิ้ม


ชายหนุ่มเพิ่งค้นพบว่า ‘นักท่องเที่ยว’ จะทรงพลังมากในการดวลตัวต่อตัว เพราะอรรถประโยชน์ของ ‘พลังท่องเที่ยว’ ในระยะสั้นนั้นเทียบได้กับ ‘กระโจนไฟ’ สามารถหายตัววิบวับรอบเป้าหมายได้ตลอดเวลา ไม่จำกัดระยะทาง เป็นเรื่องยากมากที่จะโจมตีให้โดน


นอกจากนั้น ผนวกกับพลังอันหลากหลายของ ‘นักบันทึก’ หากพบความผิดปรกติแม้เพียงเล็กน้อย นักท่องเที่ยวสามารถทิ้งระยะห่างจากศัตรูได้ในพริบตา ไคลน์เชื่อว่า แม้จะใช้ ‘พายุสายฟ้า’ และ ‘ทอร์นาโด’ ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะกำจัด ‘นักท่องเที่ยว’ ในคราวเดียว


เป็นอย่างที่คิด ‘นักเชิดหุ่น’ ควรชักใยอยู่หลังฉาก… ไคลน์ถอนหายใจ ก้มมองศพของมิสเตอร์ X อีกครั้ง


ยุบพองหิวโหยยังได้รับพลังอีกหนึ่งชนิด นั่นคือ ‘เปิดประตู’ ของ ‘ผู้ฝึกหัด’ ลักษณะคล้ายกับพลัง ‘ท่องเที่ยว’ แต่ลดระดับลงมาก แทบไม่มีประโยชน์สำหรับไคลน์


ชำเลืองสายตาเล็กน้อย กระจกตาของไคลน์พลันสะท้อนกับแหวนทับทิมที่มิสเตอร์ X สวมอยู่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)