Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 765-770

 ราชันเร้นลับ 765 : วันจันทร์อีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

รอจนกระทั่งไคลน์เล่าจบ อัลเบิร์ตถามจี้ในประเด็นที่อีกฝ่ายเล่าเป็นระยะ คอยพิจารณาว่าคำตอบสอดคล้องกันหรือไม่


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ


“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ ขอให้หลับฝันดี” อัลเบิร์ตยิ้มและลุกขึ้น แสดงความขอบคุณอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม มันไม่ลืมใช้พลังของ ‘ฝันร้าย’ เพื่อสร้างอิทธิพลต่อความทรงจำของดอน·ดันเตส เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า จะจำได้เพียงรางๆ ว่ามีความฝันทำนองไหน แต่มิอาจระบุเนื้อหาเจาะจง


จัดการทั้งหมดเสร็จ มันหันหลังเดินไปทางประตู บิดลูกบิด ออกจากความฝัน


เป็นอย่างที่คิด… เหยี่ยวราตรีเชื่อใจพลังของ ‘ฝันร้าย’ มากเกินไป… หากเราต้องสอบปากคำคนอื่น จะมีการออกแบบชุดคำถามจากมุมมองที่ต่างกันไว้ล่วงหน้า พยายามถามสลับไปมา มองหาช่องโหว่ที่ไม่สอดคล้อง… อา… วิธีที่ดีที่สุดคือการให้มิสจัสติสช่วยออกแบบคำถามเชิงจิตวิทยาที่ซับซ้อน เมื่อเป้าหมายตอบครบทุกคำถาม ถ้ามีการโกหกเพียงเล็กน้อย คำตอบจะขัดแย้งในตัวเองทันที เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเหมือนกัน มองเห็นถึงแก่นแท้ของคำถามแต่ละชุดและสามารถรักษาความสอดคล้องไว้ได้… ไคลน์เอนหลังพิงพนัก มองออกไปนอกหน้าต่าง


ท่ามกลางโลกอันมืดมิดและเต็มไปด้วยหมอก แสงโคมไฟถนนทั้งสลัวและซีดจาง บรรยากาศรอบข้างมืดมนและเงียบงัน


ไคลน์มองอย่างเหม่อลอยสองสามวินาที หัวเราะกับตัวเองแผ่วเบา


ขณะเดียวกัน ภายในห้องใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล เมื่อเห็นอัลเบิร์ตตื่นขึ้นตามปรกติ เลียวนาร์ดโล่งใจในตอนต้น ก่อนจะทวีความหวาดกลัวสัตว์ประหลาดที่มาจากยุคสมัยที่สี่ตนนี้



เมืองเงินพิสุทธิ์ สายฟ้าสีเงาผ่าลงมาจากเบื้องบน มอบความสว่างไสวไปทั่วมุมถนน


เดอร์ริค·เบเกอร์เดินออกจากบ้านของตน ไม่ลืมพกขวานเฮอร์ริเคนติดตัวมาด้วย มุ่งหน้าไปยังตึกแฝดของทางตอนเหนือของเมือง


ระหว่างทาง มันเห็นชาวเมืองเงินพิสุทธิ์หลายคน บ้างกำลังส่งลูกหลานไปยังสถานศึกษา บ้างรวมตัวเป็นกลุ่ม ตระเวนสำรวจทุกซอกมุมของเมือง ป้องกันไม่ให้มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตายไปโดยไม่ถูกสายเลือดตัวเองฆ่า กลายเป็นวิญญาณมารที่น่ากลัว


ผู้คนเหล่านี้ช่วยทำให้เมืองเงินพิสุทธิ์ดูมีชีวิตชีวา เดอร์ริคสามารถได้ยินเสียงเฮฮาและเสียงหัวเราะของเด็กๆ เป็นระยะ


มันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงเวลาขณะตั้งค่ายในหมู่บ้านยามบ่าย แต่ละวันได้เจอมนุษย์เพียงไม่กี่สิบ เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหมกตัวอยู่ในค่ายที่แข็งแรงแต่คับแคบ ด้านนอกเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดท่ามกลางความมืด แม้จะถูกกวาดล้างไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าพวกมันโผล่มาจากไหน ถือกำเนิดขึ้นอย่างไร สมาชิกทีมสำรวจทุกคนต่างเผชิญความห่อเหี่ยว พบว่าตนไม่มีวันปลอดภัยอย่างแท้จริง ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา ห้ามประมาทแม้แต่วินาทีเดียว


ไม่มีสิ่งมีชีวิตปรกติใดที่สามารถตื่นตัวได้เป็นเวลานาน ดังนั้น เมืองเงินพิสุทธิ์จึงมีระบบสับเปลี่ยนเวรยามเมื่อถึงกำหนด


ทีมสำรวจชุดแรกใช้เวลาไม่นานในการกลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่ก็ยังต้องถูกกักตัวและถูกจับตามองอีกพักใหญ่ จนกระทั่งวันนี้ เดอร์ริคเริ่มปรับสภาพจิตใจกลับมาเป็นปรกติ พร้อมแล้วที่จะรับผลข้างเคียงจากการเลื่อนลำดับ


เด็กหนุ่มเคยรายงานกับ ‘เจ้าเมือง’ โคลิน·อีเลียดแล้วว่า ตนได้รับสูตรโอสถของ ‘ผู้รับรอง’ โดยบังเอิญขณะสำรวจในความมืด และได้รับอนุญาตให้นำสูตรดังกล่าวไปแลกเปลี่ยนกับขนแพนหางของนกพันธสัญญาวิญญาณ – วัตถุดิบหลักสำหรับปรุงโอสถ


ในส่วนของหนี้สินที่เคยติดค้างกับ ‘เดอะมูน’ มันลาดตระเวนรอบหมู่บ้านยามบ่ายและสามารถรวบรวมจนครบถ้วน ส่งไปถึงอีกฝ่ายผ่านความช่วยเหลือของเดอะฟูล


หลังจากเลื่อนลำดับ เราจะมีสิทธิ์ได้เลือกสมบัติวิเศษที่ไม่ใช่ลำดับสูงหนึ่งชิ้น… เดอร์ริคครุ่นคิดเล็กน้อย เร่งความเร็วฝีเท้า มาถึงตึกแฝดทางตอนเหนือของเมือง


แม้ว่าคลังเก็บวัสดุและสมบัติวิเศษจะอยู่กึ่งกลางหอคอย ถูกเฝ้าโดย ‘หกสภาอาวุโส’ แต่ปลายทางของเดอร์ริคในคราวนี้คือยอดหอคอย เพราะที่นั่นคือจุดแลกเปลี่ยนคะแนนผลงาน


ขณะเด็กหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปในหอคอย สัมผัสวิญญาณพลันตื่นตัว เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณและมองไปยังยอดหอคอยทรงกลมด้านบน พบสตรีคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำแถบม่วงยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองลงมาทางตน


อีกฝ่ายมีเส้นผมหยักศกสีเทาเงิน ดวงตาสีเทาอ่อน ใบหน้างดงาม ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งใน ‘หกสภาอาวุโส’ ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์!


เมื่อสายตาประสานกัน ดวงตาของโลเฟียร์ราวกับพยายามเจาะทะลวงจิตใจเด็กหนุ่ม ทว่า สีหน้าแววตาของเธอมิได้เปลี่ยนไปจากเดิม ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ คล้ายกับทักทาย


หล่อนไม่ได้ทักทายเรา แต่ทักทายคนที่อยู่เบื้องหลังเรา… โดยไม่ต้องใช้เวลานาน เดอร์ริคเข้าใจเจตนาอีกฝ่าย


สิ่งนี้เกิดจากการบ่มเพาะคำชี้แนะของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ทุกคน ค่อยๆ เกิดเป็นประสบการณ์


มันพยักหน้าตอบรับ ถอนสายตากลับอย่างเป็นธรรมชาติ เดินเข้าไปในหอคอยโดยไม่เร่งรีบ



ยามค่ำคืน ณ ท่าเรือส่วนตัวในบายัม ‘ฝันทองคำ’ ที่มีปืนใหญ่กระบอกหลักสุดพิสดาร แล่นเข้าไปจอดเทียบท่าข้างเรือลำอื่นๆ


เดนิสถืออาหารท้องถิ่นของกลุ่มต่อต้านในมือ โบกไม้โบกมือให้อีกฝ่ายอย่างยิ้มแย้ม เดินไปตามทาง ปืนขึ้นไปยังดาดฟ้าฝันทองคำ


ในช่วงหลัง มันได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ด้วยฐานะของคนกลางที่คอยส่งอาวุธและอาหาร รวมถึงวัตถุดิบวิเศษอีกเล็กน้อย มันได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี กินดื่มอย่างสำราญ วันๆ เอาแต่คุยโม้และล่าสัตว์ และยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีกรรมรับพรจาก ‘เทพสมุทร’


หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เดนิสเริ่มเข้าใจในบางประเด็น : บายัม หรือเกาะอาณานิคมทั้งหมด จะเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในอนาคต และคงไม่บรรเทาลงไปอีกหลายสิบหรือหลายร้อยปีข้างหน้า


ดังนั้น เดนิสตัดสินใจขายทรัพย์สินส่วนใหญ่ในบายัมทิ้ง เหลือไว้เพียงไม่กี่แห่ง จากนั้นก็มองหาโอกาสซื้อบ้านในกรุงทรีอาร์ เมืองหลวงของอินทิส เบ็คลันด์ เมืองหลวงของโลเอ็น และตามชนบทที่มีวิวทิวทัศน์งดงามและเงียบสงบ


เรายังสามารถกลับไปที่หมู่บ้านนอร์เซียร์เล็กๆ … คอยดูแลตาแก่กับแม่… อา… ซื้อบ้านให้น้อยลงหนึ่งหลัง หาสวนองุ่นให้พวกเขาแทน… เดนิสโบกมืออำลากลุ่มต่อต้านอีกครั้ง


มันยืดอกอย่างโอหัง เดินผ่าน ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สันและกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้เหนือกว่า


“กัปตันอยู่ไหน? ฉันต้องการรายงานความคืบหน้า”


โจเดอร์สันส่ายศีรษะอย่างเหยียดหยัน


“ก็ต้องอยู่ในห้องกัปตันสิ”


ขณะเดียวกัน มันจิกกัดในใจ


เดนิส… หลังจากบังเอิญได้สร้างความสัมพันธ์กับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นับวันยิ่งทำตัวโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ! แต่ว่า… นักผจญภัยเสียสติคนนั้นเป็นของจริง ถึงขั้นโค่นพลเรือเอกโลหิตลงได้!


“หึหึ…” เดนิสหัวเราะในลำคอ เดินตรงเข้าไปในเขตห้องโดยสาร เพียงไม่นานก็ได้พบ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด


มันรีบสลายแววตาที่เปี่ยมด้วยความยียวน ยิ้มและกล่าว


“กัปตัน ผมทำภารกิจเสร็จแล้ว”


“รายละเอียด” เอ็ดวิน่าวางหนังสือในมือลง ซักถาม


เดนิสเตรียมพร้อมไว้แล้ว มันเริ่มอธิบายประสบการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างละเอียด และโอ้อวดบทบาทของตัวเองให้เกินจริงไปเล็กน้อย ปิดท้ายด้วย :


“กัปตัน ผมได้พบกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เขาบอกให้ผมถามคุณเกี่ยวกับความผิดปรกติของศพ ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส และแก้วไวน์ทองคำ”


เอ็ดวิน่าไม่ตอบ เพียงลุกขึ้นเดินไปที่มุมห้องกัปตัน ที่นั่นมีกล่องไม้สีดำวางอยู่


‘ฝันทองคำ’ ยังไม่ได้แวะเกาะโซเนียจนกว่าจะออกเดินทางไกล ดังนั้น ศพของเซียธาสและโมเบธจึงยังอยู่บนเรือ ถูกบรรจุลงในกล่องที่เอ็ดวิน่าเตรียมไว้เป็นพิเศษ


ย่อเข่าหนึ่งข้าง คุกเข่าลง เอ็ดวิน่าเปิดกล่องไม้ เผยให้เห็นสองศพที่นอนแนบชิดกันอยู่ภายใน


แก้วไวน์สีทองที่ชำรุดถูกวางไว้อย่างเงียบงันบนฝ่ามือกระดูก ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ


“ไม่มีอะไรผิดปรกติ” เอ็ดวิน่าสรุปผล


เดนิสชำเลืองเข้าไปในกล่อง จดจำคำตอบ เตรียมรายงาน ‘เดอะฟูล’ ในตอนที่ไม่มีใครเห็น ส่งข้อความต่อไปถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์



“ไม่มีอะไรผิดปรกติ?” เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย กึ่งสงสัยกึ่งโล่งใจ


จากการคาดเดา มีโอกาสสูงมากที่แก้วไวน์ทองคำจะเกิดความผิดปรกติ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้ เพราะไม่อยากให้การพักผ่อนของเซียธาสและโมเบธถูกรบกวน


บางที อาจจำเป็นต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยา? หึหึ ดีแล้วที่ไม่เกิดขึ้น… ไคลน์รำพันกับตัวเอง ชำเลืองสายตาไปยัง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ในกองขยะ


เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวิธีเข้าไปสำรวจ ‘ห้วงทะเลจิตรวม’ แถมตอนนี้ยังต้องให้ความสนใจกับการขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสเป็นหลัก ดังนั้น แผนการสำรวจโลกในหนังสือจึงต้องเลื่อนไปก่อน


ฟู่ว… ไคลน์หายใจออก ถอนสายตากลับ เตรียมความพร้อมสำหรับชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์


บ่ายสามโมงตรงตามเวลาเบ็คลันด์


ลำแสงสีแดงเข้มเริ่มส่องลงบนเก้าอี้ริมสองฝั่งโต๊ะทองแดงยาว จากแสงจ้าค่อยๆ พร่ามัว ร่างแล้วร่างเล่าทวีความคมชัด


ออเดรย์ยังคงอารมณ์ดีเหมือนเคย ไม่สิ อาจจะดียิ่งกว่าทุกครั้ง เพราะฮิบเบิร์ต·ฮอลล์ พี่ชายของเธอได้ส่งโทรเลขมาแจ้งว่า การโอนหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยานได้ข้อสรุปแล้ว ราคารวมทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์ทอง


นอกจากนั้น หญิงสาวไม่จำเป็นต้องรีบกลับไปยังเบ็คลันด์เพื่อลงนามในเอกสาร เพราะก่อนที่พี่ชายจะออกจากคฤหาสน์ในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก เธอได้เซ็นลงนามต่อหน้าทนายความสองคน ให้พี่ชายสามารถดำเนินธุรกรรมในนามตนได้ตามเห็นสมควร


ขณะมุมปากเริ่มยกสูง ออเดรย์ยืนขึ้น หันไปทางร่างที่ปกคลุมด้วยม่านหมอกสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว


“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”


ขอให้มิสเตอร์ฟูลอวยพร! ขอให้วันนี้มีเบาะแสเกี่ยวกับผลของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท… หญิงสาววิงวอนในใจ


ทักทายกันเล็กน้อย หลังจากทุกคนนั่งลง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาไม่ทำให้ไคลน์ผิดหวัง เป็นอีกครั้งที่เธอกล่าวโดยไม่กล้าสบตา


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ คราวนี้ดิฉันรวบรวมไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ได้ทั้งหมดสามหน้า”


ราชินีเงื่อนงำยังไม่พบเบาะแสในคดีลอบสังหารจักรพรรดิโรซายล์อีกหรือ? ถึงยังคอยส่งไดอารีผ่านมาดามเฮอร์มิท… น่าเสียดาย ช่วงนี้เราทำได้เพียงหมกตัวอยู่ในที่ดินของตระกูล ไม่มีโอกาสติดต่อกับสมาคมแปรจิตสักเท่าไร จึงไม่มีไดอารีหน้าใหม่มาส่ง… จริงสิ… ในอีกไม่กี่วันถัดไป เรามีกำหนดจะแวะไปเยี่ยมชมกองทุนขุดค้นและเก็บรักษาวัตถุโบราณ พวกเขาอาจรวบรวมมาได้บางส่วน… ‘จัสติส’ ออเดรย์ตั้งใจฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น


‘เดอะฟูล’ ไคลน์หัวเราะในลำคอ


“ทำได้ดี… คิดข้อแลกเปลี่ยนรอได้เลย”


อันที่จริง เรารู้อยู่แล้วว่าราชินีเงื่อนงำฝากคำถามมาด้วย… ว่าแต่หล่อนกำลังทำอะไรในเบ็คลันด์? ไคลน์คิดเรื่อยเปื่อย


เพียงไม่นาน ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเสกไดอารีทั้งสามหน้า ส่งให้เดอะฟูล


ราชันเร้นลับ 766 : ‘สมอ’ ของเทพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อพิจารณาว่าสมุดบันทึกที่ราชินีเงื่อนงำคัดสรรมาอย่างดีต้องมีเนื้อหาที่สำคัญมาก ‘เดอะฟูล’ ไคลน์มุ่งความสนใจไปที่เนื้อหา จ้องกระดาษสีน้ำตาลเหลืองในมือด้วยท่าทีผ่อนคลาย


“11 กันยายน นับตั้งแต่กลายเป็นเทวทูต เรามีความรู้สึกว่าบุคลิกภาพของตัวเองเริ่มจางหาย ภายในใจ ภายในดวงวิญญาณ และลึกลงไปในห้วงจิต มีเสียงมากมายคอยรบเร้าตลอดเวลา พยายามสร้างอิทธิพลบางอย่าง เกิดเป็นความเย็นชาที่ยากจะควบคุม เกิดเป็นความกระหายเลือด โหดร้ายและบ้าคลั่ง”


“สิ่งเหล่านี้มิได้มาจากอิทธิพลภายนอก ไม่ใช่อิทธิพลของเทพในเส้นทางเดียวกัน เรารู้สึกอย่างชัดเจนว่ามันมาจากพันธุกรรมในร่างกาย มาจากทะเลจิตใต้สำนึกร่วมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนาน หรือสรุปโดยสั้น ความคิดเหล่านี้มาจากส่วนลึกของตะกอนพลังพิเศษ มิใช่จิตตกค้างของคนก่อนเพียงอย่างเดียว”


“สิ่งนี้ทำให้เรากระหายเลือด ต้องการกลืนกินสิ่งมีชีวิตรอบตัวที่มีตะกอนพลัง ความรู้สึกดังกล่าวทำให้เราต้องสิ้นเปลืองพลังใจคอยรับมือ แม้ว่าจะสวมบทบาทอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโอสถจะย่อยอย่างสม่ำเสมอ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็มิได้จางหายไป”


“เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสเตอร์ประตูถึงระบุว่า… สติสัมปชัญญะคือชั่วคราว เสียสติคือนิรันดร์”


“28 กันยายน เราไม่ได้เขียนไดอารี่มานานแล้ว ภายในครึ่งเดือนที่ผ่านมา คล้ายกับเราเฝ้ามองตัวเองถูกแทนที่ด้วยคนแปลกหน้าตลอดเวลา เย็นชาลงจนน่าหวาดหวั่น แม้แต่แบร์นาแดต บุตรสาวของเรา ก็ยังมีโอกาสมอบความรักให้บิดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกว่าน้อยครั้งมาก”


“ในวินาทีที่เรากำลังจะกลายเป็นบ้า คล้ายกับได้ยินคำชมเชยนับไม่ถ้วน บางส่วนเป็นเสียงของบริวารของเราเอง บางส่วนเป็นเสียงของคนที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปอาณาจักรของเรา บางส่วนเป็นเสียงของผู้ศรัทธาที่มองว่าเราคือ ‘บุตรแห่งจักรกลไอน้ำ’ คอยชมเชยเรา สรรเสริญเรา สร้างรูปปั้นให้เรา เขียนเรื่องราวให้เรา สร้างบทกวีสำหรับเรา”


“เสียงของพวกเขาเหมือนกับสมอเรือ ช่วยให้เรา ‘ค้นพบ’ ตัวเอง”


“หลังจากนั้น เราเริ่มรับมือกับความกระหายเลือดจากก้นบึ้งหัวใจ สามารถก้าวออกจากความรู้สึกอันบ้าคลั่งได้อย่างมั่นคง พร้อมที่จะเป็นบิดา สามี และผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีอารมณ์ปรกติ”


“เพียงลำดับ 2 การเปลี่ยนแปลงยังรุนแรงขนาดนี้ แล้วลำดับ 0 หรือเทพแท้จริง ความบ้าคลั่งจะรุนแรงมากเพียงใด?”


“บางที พวกท่านเองก็ต้องการ ‘หลักยึดเหนี่ยว’ สำหรับตอบโต้เสียงยั่วยุจากตะกอนพลังซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทะเลจิตใต้สำนึกร่วม”


“เราเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงอยากสร้างศาสนา ทำไมต้องเผยแพร่ความเชื่อ ทำไมต้องแต่งเรื่องเกี่ยวกับนักบุญในศาสนาของตัวเอง สร้างตำนานมากมายให้แก่เทวทูตบริวาร”


“แต่ทำไมพวกท่านถึงไม่เคยเผยรูปลักษณ์? สิ่งสักการะมีเพียงตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์”


“เราไม่เข้าใจเลยสักนิด”


“ไว้ถามมิสเตอร์ประตูวันหน้าก็แล้วกัน ชายคนนั้นมีข้อมูลในเชิงเทพมากทีเดียว ถ้าเขาไม่ถูกเนรเทศตั้งแต่แรก ป่านนี้โลกของเราอาจมีเทพเพิ่มอีกองค์หนึ่ง”


“29 กันยายน หลังจากอ่านไดอารี่ของเมื่อวาน เราเริ่มนึกถึงพิธีกรรมของลำดับ 4 3 และ 2 ทั้งหมดเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและโหดร้ายอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรมของตัวร้ายในนิยาย”


“ระบบลำดับในแต่ละเส้นทาง อาจหมายถึงหนทางที่ค่อยๆ นำพาผู้วิเศษไปสู่ความบ้าคลั่งและความสิ้นหวัง”


“และนี่เป็นวิธีเดียวที่มนุษย์จะได้รับพลังพิเศษ”


“ช่างน่าขันและขัดแย้งในตัวเอง”


“เราทุกคนพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือตัวเอง แต่กลับกลายเป็นการทำลายตัวเองให้แหลกละเอียดยิ่งขึ้น?”


เนื้อหาในหน้าแรกของไดอารี่ทำให้ไคลน์รู้สึกหนักใจและหดหู่ โรซายล์ที่เขียนประโยคเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นเทวทูต เป็นคนของสภานักสิทธิ์สนธยา เคยเห็นแผ่นศิลาเย้ยเทพ ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับและตะกอนพลังนั้นดีกว่าไคลน์ในปัจจุบันหลายขุม แต่โรซายล์กลับมองโลกในแง่ร้ายมากกว่ามาก คล้ายกับโลกเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยวจากแก่นสาร มีเพียงความบ้าคลั่ง และชะตากรรมที่ต้องทำลายตัวเอง


แต่ว่า… เทพทั้งเจ็ดค้นพบวิธีในการดำรงสติ มนุษย์ธรรมดาคือกุญแจสำคัญในเรื่องนี้ เมื่อสติและพลังวิญญาณของพวกเขามาบรรจบกัน อาจช่วยให้เทพมี ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ตัวตนที่แท้จริง รักษาทรงจำและสติอย่างมั่นคงได้นานหลายปี… ทฤษฎีนี้สามารถอนุมานได้จากประสบการณ์ส่วนตัวของโรซายล์… ทว่า เหตุใดเทพทั้งเจ็ดจึงละทิ้งรูปลักษณ์ร่างมนุษย์ของตน เปลี่ยนเป็นตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เชิงนามธรรมแทน? ฟังดูไม่สอดคล้องกับสมมติฐานสักเท่าไร… ไม่เข้าใจเลยสักนิด… ไคลน์ไม่มัวเสียเวลา เปิดไปยังหน้าถัดไปของไดอารี่


“5 ธันวาคม คืนจันทราโลหิต เราได้คุยกับมิสเตอร์ประตูอีกครั้ง”


“เขาก็ยังเหมือนเดิม มักข้อร้องในเรื่องเดิมๆ ให้เราช่วยพากลับมายังโลกแห่งความจริง แต่ก็ไม่รบเร้าเกินไปนัก และมักจะสุ่มตอบคำถามของเราเสมอ”


“หึหึ… ดูเหมือนว่าเขากำลังเล่นเกม พยายามเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับเรา แต่น่าเสียดาย เราได้ปิดตายความช่วยเหลือไปนานแล้ว”


“เนื่องจากเราพอจะเคยได้ยินตำนานราชาเทวทูตอยู่บ้าง จึงถามมิสเตอร์ประตูด้วยประเด็นที่ไม่มีอะไรจะเสีย : ความแข็งแกร่งของราชาแห่งเทวทูตอยู่ในระดับใด?”


“มิสเตอร์ประตูเล่าว่า ราชาเทวทูตบางตนปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางแล้ว บางตนดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปสองครั้ง บางตนมีทั้งสองสิ่ง”


“คำว่า ‘ปรองดอง’ ถูกใช้ในลักษณะที่แปลกประหลาด เรามีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มิสเตอร์ประตูไม่ได้ตอบตรงๆ เพียงบอกว่า หากใครไม่มีวิธี ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์ของเส้นทาง มิได้ประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้อง ก่อนจะเลื่อนเป็นลำดับ 0 เอกลักษณ์ในมือเทวทูตลำดับ 1 จะเป็นเหมือนภาระมากกว่าการส่งเสริม”


“อา… เรื่องนั้นพอจะเข้าใจได้ เฉกเช่นการใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ผลข้างเคียงเชิงลบนั้นรุนแรงและน่ากลัวเสมอ และ ‘เอกลักษณ์’ ย่อมต้องรุนแรงยิ่งกว่าแน่นอน”


“เราถามต่อไปว่า ราชาเทวทูตตนใดที่ ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์บ้าง มิสเตอร์ประตูยังไม่ตอบตรงๆ เหมือนเดิม เพียงกล่าวว่าอามุนด์และอาดัมทำให้เทวทูตตนที่เหลือรู้สึกอิจฉาจากก้นบึ้ง เพราะทั้งสองมี ‘เอกลักษณ์’ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการ ‘ปรองดอง’ … เขากำลังหมายความว่า อาดัมและอามุนด์มีสถานะเทียบเท่าราชาเทวทูตที่ดื่มโอสถและปรองดองกับเอกลักษณ์สำเร็จแล้ว? สมกับที่เป็นทายาทของพระผู้สร้าง!”


“พระผู้สร้าง หรืออีกชื่อหนึ่งคือเทพสุริยันบรรพกาล มีพลังเหลือล้นถึงขนาดถ่ายทอด ‘เอกลักษณ์’ ให้ลูกสองคนได้อย่างเท่าเทียม แถมยังมีตะกอนพลังของลำดับ 1… หรือนั่นจะเป็นวิธีที่ทำให้ร่างกายตัวเองบริสุทธิ์ ขจัดของเสียที่ไม่จำเป็นออกไป?”


“หมายความว่า มิสเตอร์ประตูเองก็ ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์เรียบร้อยแล้ว? รวมถึงการดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปแล้วสองขวด? แน่นอน เราไม่ได้ถามออกไป เพราะทราบดีว่าเขาคงไม่ตอบ”


“ระหว่างการพูดคุย มิสเตอร์ประตูเตือนเราว่า ห้ามเอ่ยชื่อเต็มของอาดัมโดยตรง มิฉะนั้นจะถูกตระหนักถึงบทสนทนา”


“เราเข้าใจถึงเหตุผล จึงถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า เมื่อครู่คุณเพิ่งเอ่ยนามเต็มของอาดัมไม่ใช่หรือ?”


“มิสเตอร์ประตูตอบว่า นั่นไม่เป็นอะไร เนื่องจากลำดับ 4 ของเส้นทางผู้ฝึกหัดมีชื่อว่า ‘จอมเวทลึกลับ’ มีพลังอย่างอ้อมค้อมในการรักษาความลับ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมเท่า ‘บริวารอำพราง’ ของเส้นทางรัตติกาล แต่ก็เพียงพอสำหรับปกปิดพลังตรวจจับของอีกฝ่าย”


“เรายิงคำถามเกี่ยวกับเทพไปอีกหลายข้อ แต่มิสเตอร์ประตูไม่ยอมตอบ เพียงแค่กล่าวว่า หลังจากเรามีโอกาสและพลังที่มากพอ ให้ลองมาสำรวจบนดวงจันทร์ แล้วจะเข้าใจอะไรอีกหลายสิ่ง”


“ข้อมูลนี้สอดคล้องกับแนวคิดบางอย่างของเรา แต่เราสงสัยว่าเขากำลังล่อลวงให้เราไปหา เพื่อจะได้ใช้โอกาสนั้นเดินทางกลับมายังโลกแห่งความจริง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกการปรากฏตัวของเขาจะเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์เสมอ!”


ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงมิสเตอร์ประตู ข้อมูลของไดอารีจะเข้มข้นมาก อย่างน้อยก็หนึ่งหน้าเต็มเสมอ… ไม่ผิดจากที่คิด คำอธิบายเกี่ยวกับระดับความแข็งแกร่งของ ‘ราชาเทวทูต’ สอดคล้องกับการคาดเดาของเรา…


‘ราชาเทวทูต’ หมายถึงตัวตนที่อาศัยวิธีการต่างๆ เพื่อทำให้ตัวเองเหนือกว่าลำดับ 1 กลายเป็นตัวตนเสมือนเทพที่ยังไม่ถึงลำดับ 0 วิธีดังกล่าวมีทั้งการ ‘ปรองดอง’ กับ ‘เอกลักษณ์’ และการดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปเพิ่มเติม ตัวอย่างที่ชัดเจนของ ‘ราชาเทวทูต’ ให้มองไปที่กลุ่มบุคคลรอบๆ พระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ – แปดราชาเทวทูตรอบกายเทพสุริยันบรรพกาล และแน่นอน ทุกตนมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ของราชาเทวทูตข้างต้น… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์


สำหรับสมมติฐานของโรซายล์เกี่ยวกับเทพสุริยันบรรพกาล ชายหนุ่มเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ ‘ทวงคืน’ อำนาจและตะกอนพลังของแปดเทพบรรพกาลมากเกินไป ส่งผลให้มีอาการสับสนและเสียสติ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องให้กำเนิดทายาทสองตน กำจัด ‘ของเสีย’ ส่วนหนึ่งออกไป


สรุปโดยสั้น อามุนด์และอาดัมเป็นเด็กที่คาบโอสถเทวทูตมาเกิด… ดูเหมือนว่า ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัม จะปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ได้แล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำสูงสุดของสภานักสิทธิ์สนธยา เพราะนับตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ราชาเทวทูตตนนี้คอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงของกระแสเวลาเพื่อชุบชีวิตผู้เป็นบิดา… เราไม่มีข้อมูลว่าท่านเป็นลำดับ 0 แล้วหรือยัง… แต่ถึงจะยัง จำนวนเทวทูตในการครอบครองของ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ก็คงเหนือกว่าจินตนาการเราไปมาก… อา… ‘จอมเวทลึกลับ’ มีแก่นสารคือการรักษาความลับ เป็นตัวแทนของการปกปิด… ทันใดนั้น ไคลน์พลันนึกถึงสัญลักษณ์บนหลังเก้าอี้ของ ‘เดอะฟูล’


หนึ่งคือ ‘เนตรไร้รูม่านตา’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความลับ และอีกหนึ่งคือ ‘เส้นเกลียว’ ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง!


ชายหนุ่มรีบดึงสมาธิกลับ เปลี่ยนไดอารี่ไปยังที่หน้าที่สาม


“28 พฤศจิกายน เราฝันถึงกริมม์อีกครั้ง”


“เขาเป็นลูกน้องที่ฉลาดที่สุดของเรา น่าเสียดายที่ขณะสำรวจเกาะนิรนามแห่งหนึ่ง เขาได้รับเชื้อโรคปริศนา ต้องตายในทะเลหมอก ไม่มีโอกาสได้สร้างทายาทสืบสกุล”


“ในเวลานั้น เราตระหนักว่าเกาะนิรนามดังกล่าวซ่อนความลับใหญ่หลวงไว้ รวมถึงอันตรายที่เกินว่าจะจินตนาการออก แต่เนื่องจากระดับพลังของเรายังไม่แข็งแกร่งพอ จึงทำได้เพียงกัดฟันทนและถอยกลับ”


“ความฝันเมื่อคืนอาจเป็นการเตือนสติจากสัมผัสวิญญาณ ดลใจให้เราไปสำรวจเกาะ ค้นหาความลับ สะสางเรื่องราวของกริมม์”


“29 พฤศจิกายน เราเรียกลูกน้องทั้งสามคนมารวมตัว อาศัยความช่วยเหลือของเบนจามิน·อับราฮัมในการค้นหา จนกระทั่งได้พบเกาะนิรนามอีกครั้ง”


“เราไม่ได้ขึ้นเกาะทันที ตัดสินใจหยุดพักหนึ่งวันที่รอบนอกเกาะ”


“เอ็ดเวิร์ดเองก็บอกว่า เขาฝันถึงกริมม์บ่อยๆ และรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยชีวิตอีกฝ่ายได้ในตอนนั้น”


“ ‘นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาย แต่เป็นปัญหาของฉัน’ เราพูดกับเอ็ดเวิร์ดไปแบบนั้น เพราะเราคือผู้นำของทุกคน”


“30 พฤศจิกายน เราสำรวจลึกเข้าไปในเกาะ”


“บนเกาะเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษจำนวนมากที่เอกสารหลายแหล่งระบุตรงกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว พวกมันอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ขัดแย้ง ราวกับกำลังสักการบูชาบางสิ่ง”


“กลุ่มสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาต่ำต้อย… พวกมันกำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่าง!”


“พวกมันกำลังสวดวิงวอนต่อเทพบางตนที่เราไม่รู้จัก…”


“ระหว่างพิธีกรรมดำเนินไป… เราเห็นกริมม์…”


ราชันเร้นลับ 767 : ส่งข้อความ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ติดเชื้อลึกลับบนเกาะนิรนามและเสียชีวิต แต่กลับปรากฏตัวบนเกาะเดิมอีกครั้ง? จักรพรรดิ เปลี่ยนมาเขียนนิยายสยองขวัญตั้งแต่เมื่อไร? นอกจากนั้น รายละเอียดที่เหลืออยู่ไหน? สายตาของไคลน์จับจ้องบรรทัดสุดท้ายของไดอารีแผ่นที่สาม แต่ก็พบว่าไม่มีเนื้อหาเพิ่มเติม


นอกจากนั้น การรวมตัวของสัตว์วิเศษที่จักรพรรดิโรซายล์กล่าวถึง ไม่ทราบว่าพวกมันกำลังสวดวิงวอนถึงใคร สิ่งนี้สร้างความหวาดผวาให้ไคลน์ไม่น้อย เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ไม่ใช่สัตว์วิเศษทั้งหมดจะทรงปัญญา สามารถสื่อสารระหว่างกัน มีหลายตัวที่อยู่ในภาวะเสียสติ ทำตามสัญชาตญาณดิบเถื่อน


และสัตว์วิเศษเสียสติเหล่านั้นกำลังรวมตัวกัน สักการบูชาตัวตนนิรนาม!


น่าเสียดาย จักรพรรดิไม่ได้ทิ้งพิกัดของเกาะนิรนามไว้… แต่ถึงจะทิ้งไว้ เราก็ไม่กล้าแวะไปสำรวจอยู่ดี หากติดเชื้อตาย การเกิดใหม่อาจมีขึ้นบนเกาะเดิม นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่… อย่างน้อยก็ต้องมีลำดับ 4 หรือ 3 ก่อนจะเข้าไปสำรวจได้อย่างมั่นใจ… ไคลน์ครุ่นคิด พลางสลายไดอารีในมือ จ้อง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ต้องการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด”


‘เฮอร์มิท’ แคทลียาไม่เสียเวลานึก ถามกลับทันที


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ดิฉันอยากทราบว่าจักรพรรดิโรซายล์เคยเข้าร่วมองค์กรลับและเก่าแก่อย่างมากหรือไม่”


องค์กรลับที่เก่าแก่มาก… สภานักสิทธิ์สนธยา? จักรพรรดิโรซายล์เคยเป็นสมาชิกของกลุ่มคนดังกล่าว? ‘จัสติส’ ออเดรย์พลันนึกถึงองค์กรลับที่มิสเตอร์ฟูลเอ่ยถึงก่อนหน้านี้


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เองก็นึกถึงสิ่งที่สอดคล้องกัน มันยังจำได้ว่ามิสจัสติสเคยบรรยายถึงเหตุการณ์ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ในกรุงเบ็คลันด์ มีการเอ่ยถึงองค์กรลับหนึ่ง ตอนนั้นมิสเตอร์ฟูลบอกกับสมาชิกทุกคนว่า อย่าพูดชื่อองค์กรดังกล่าวบนโลกภายนอก เพราะอีกฝ่าย ‘จะได้ยินทุกสิ่ง’ !


องค์กรระดับนั้นสอดคล้องกับฐานะของโรซายล์… อัลเจอร์พยักหน้าในใจ


‘เดอะฟูล’ ไคลน์ กำลังคิดถึงอีกหนึ่งสิ่ง


จุดประสงค์ในการเลือกหน้าไดอารีของราชินีเงื่อนงำยังคลุมเครือ เธอไม่สามารถตั้งคำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาได้แม่นยำนัก กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอทราบแค่ว่าไดอารีหน้าไหนมีความสำคัญ เก็บซ่อนข้อมูลลับบางอย่าง หรือไม่ก็อาจคาดเดาจากอารมณ์ของโรซายล์ด้วยลายมือ


ส่วนคำถามของมาดามเฮอร์มิท ไคลน์ตอบได้ไม่ยากเย็น จึงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวกับอีกฝ่าย


“ถูกต้อง”


ขณะเดียวกัน มันเตือนตัวเองในใจอย่างเงียบงัน


คำถามของราชินีเงื่อนงำในอนาคตคงอันตรายขึ้นเรื่อยๆ เพราะนั่นจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของไดอารีที่เธอส่งมา… อา… เราเคยอ่านไดอารีของโรซายล์มาแล้วหลายหน้า มีข้อมูลของอีกฝ่ายมากพอสมควร


กล่าวจบ มันไม่ได้เสริม เพิ่งยิ้ม


“เชิญ”


มันไม่ได้ระบุออกไปตรงๆ ว่าเป็นสภานักสิทธิ์สนธยา เพราะคิดว่าสามารถนำคำตอบนี้มาใช้ได้ในครั้งถัดไป


‘เฮอร์มิท’ แคทลียาแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็มองไปทาง ‘เมจิกเชี่ยน’ และกล่าว


“ดิฉันอยากได้เบาะแสของทายาทเลือดบริสุทธิ์ตระกูลอับราฮัม ค่าตอบแทนหนึ่งพันปอนด์”


หญิงสาวเสนอราคาโดยไม่สั่นไหว เพราะราชินีเงื่อนงำจะเป็นคนออกแทน


ทำไมถึงจ้องเราแล้วพูดออกมา? เธอรู้หรือว่าอาจารย์ของเราเป็นสมาชิกตระกูลอับราฮัม? ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สประหลาดใจในตอนแรก แต่เพียงไม่นานก็เริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญ เรื่องดังกล่าวคือข้อมูลที่สมาชิกชุมนุมทาโรต์ยกเว้นเมจิกเชี่ยนล้วนทราบกันดี เป็นหัวข้อสนทนาที่เคยแลกเปลี่ยนในช่วงเวลาอิสระ


แม้ว่าเงินจำนวนหนึ่งพันปอนด์จะน่าดึงดูด แต่ฟอร์สก็ไม่คิดทรยศอาจารย์ด้วยการขายข้อมูลให้ใคร ตั้งแต่เกิดมาจวบจนวันนี้ คนที่ทำดีกับเธอด้วยความจริงใจ สามารถนับครบได้ด้วยมือข้างเดียว ดังนั้น หญิงสาวหวงแหนสายสัมพันธ์ประเภทนี้มาก


พิจารณาสักพัก ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สถามกลับ


“คุณเอาไปทำอะไร? ถ้าคุณแจ้งเหตุผลได้ ฉันจะถ่ายทอดเหตุผลนั้นให้พวกเขา ส่วนจะมีความคืบหน้าหรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทางนั้น ฉันไม่รับประกัน”


เป็นอย่างที่คิด ภายนอกอาจดูธรรมดา แต่ภายในซ่อนความลับไว้มากมาย เป็นผู้หญิงที่รอบคอบและไม่ประมาท… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน พยักหน้ารับแผ่วเบา


“สมเหตุสมผล… ฉันตามหาทายาทของตระกูลอับราฮัมเพราะอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตู รบกวนฝากข้อความนี้ไปให้พวกเขา จากนั้นก็รอดูท่าทีตอบสนอง… เอาเป็นว่า เพียงแค่ฝากข้อความ ฉันจะจ่ายให้คุณสามร้อยห้าสิบปอนด์ ถ้าพวกเขายินดีสานต่อความคืบหน้า ฉันจะจ่ายเงินอีกหกร้อยห้าสิบปอนด์”


ฟอร์สครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ


“ตกลง”


กล่าวจบ เธอเพิ่งตระหนักถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดมาดามเฮอร์มิท


มิสเตอร์ประตูเกี่ยวข้องกับตระกูลอับราฮัมด้วยหรือ? จริงสิ… กำไลข้อมือที่เราได้รับจากมาดามอาริสา เป็นของตระกูลอับราฮัมไม่ผิดแน่… อา… อาจารย์ยังไม่ทราบว่า เรารู้ว่าแล้วเขาคือคนของตระกูลอับราฮัม… เราทำได้แค่พูดลอยๆ ในจดหมายที่ส่งถึงเขา ระบุว่าในการชุมนุมลับแห่งหนึ่ง เราได้ยินใครบางคนกำลังมองหาทายาทสายเลือดแท้ของอับราฮัม และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ประตู… อาจารย์จะตอบสนองกลับมาแบบไหนนะ…


ขณะเดียวกัน มิสจัสติสที่นั่งข้างๆ เริ่มยินดีจากก้นบึ้ง เนื่องจากอีกฝ่ายจะได้หลุดพ้นจากภาวะถังแตกเสียที


ฟอร์สกลายเป็นลำดับ 7 แล้ว ใกล้จะไล่เราทัน เราต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเลื่อนเป็น ‘นักสะกดจิต’ ให้เร็วขึ้น… ขณะคิดเช่นนี้ หญิงสาวหันหน้าไปทางสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนอื่นๆ หวังว่าจะพบเบาะแสเกี่ยวกับต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท


สายตาของมิสจัสติสนั้นยากที่จะปฏิเสธ… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างกระอักกระอ่วน เพราะในชุมนุมลับของเธอ ไม่เคยมีเบาะแสเกี่ยวกับผลของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ฝั่งตรงข้าม ใคร่ครวญสองสามวินาที


“ผมมีเบาะแส แต่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำสองสัปดาห์ก่อนจะรวบรวมได้”


มันมีเบาะแสจริง เมื่อนานมาแล้ว อัลเจอร์และคีลิงเกอร์เคยเข้าไปสำรวจในเกาะโบราณ พบต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท เนื่องจากตอนนั้นยังแข็งแกร่งไม่พอ จึงไม่พยายามเข้าใกล้ แต่ปัจจุบัน มันกำลังจะได้เลื่อนเป็นลำดับ 5 ย่อมไม่ต้องการปล่อยโอกาสทำเงินให้หลุดลอย นอกจากนั้น มันยังต้องจ่ายค่าข้อมูลสัตว์ทะเลอ็อบนิสให้ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ ด้วย


ส่วนเหตุผลที่ต้องพูดในตอนนี้ เพราะอัลเจอร์ต้องการประกาศความเป็นเจ้าของล่วงหน้า – เมื่อถึงเวลา มันจะเข้าไปสำรวจพร้อมเดอะเวิร์ล จึงต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก่อนว่ามันหมายตาสิ่งใดไว้ หลีกเลี่ยงความขัดแย้งขณะแบ่งสมบัติ


ดังนั้น หากเผชิญหน้ากับต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท มีความเป็นไปได้สูงที่ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะทำเพียงเฝ้ามองอยู่ข้างๆ ไม่ยืนมือช่วยเหลือ


“ไม่มีปัญหา!” ออเดรย์ดีใจ ไม่แม้แต่จะถามราคา


หากไม่มีคนขาย เธอคิดที่จะกลับไปยังเบ็คลันด์ในเดือนมิถุนายน ใช้ข้ออ้างบางประการเพื่อซื้อมันโดยตรงจากสมาคมแปรจิต


เมื่อสิ้นสุดธุรกรรมทั้งสอง เนื่องจากสมาชิกคนอื่นยังไม่มีความต้องการใหม่ๆ เพิ่มเติม ดังนั้น ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาจึงย้อนกลับมาถามหาเลือดของสัตว์ในตำนานอีกครั้ง เฉกเช่น ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน มันถามหาความคืบหน้าของบุคคลในใบประกาศจับที่คาดว่าน่าจะเป็นสาวกของดวงจันทร์บรรพกาล แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลว ชุมนุมทาโรต์จึงดำเนินเข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ


‘เดอะซัน’ เดอร์ริคกล่าวหลังจากไตร่ตรอง


“ผมกลายเป็น ‘ผู้รับรอง’ แล้ว”


ไม่จำเป็นต้องบอกพวกเราก็ได้… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์อยากจะเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้า แต่สุดท้ายก็ตอบกลับอย่างใจเย็น


“แม้ว่า ‘ผู้รับรอง’ จะช่วยเสริมสมรรถภาพร่างกาย แต่ก็ไม่ใช่ปริมาณที่มากมายอะไร ยังคงมีหน้าที่เป็นหน่วยสนับสนุน หากคุณ ‘รับรอง’ ให้ใครสักคน พลังพิเศษของเป้าหมายจะถูกยกระดับเป็นเวลาสั้นๆ แต่ถ้าคุณ ‘ไม่รับรอง’ เป้าหมายจะอ่อนแอลง นอกจากนั้น ผู้รับรองยังมีพลังในการทำพันธสัญญา เมื่อคุณลงนามบนสัญญาและเกิดเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ แม้แต่ผู้วิเศษลำดับ 5 ก็ไม่สามารถละเมิดสัญญานี้ได้ กระทั่งลำดับ 4 ครึ่งเทพ หากต้องการฝืนยกเลิกสัญญา ก็ต้องแลกเปลี่ยนด้วยบทเรียนราคาแพง”


ในฐานะสมาชิกโบสถ์วายุสลาตัน การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของเส้นทางสุริยันคือสิ่งพื้นฐาน ดังนั้น อัลเจอร์สามารถอธิบายรายละเอียดให้เดอะซันน้อยฟังได้อย่างลึกซึ้ง และเตือนให้อีกฝ่ายเลือกสมบัติวิเศษที่สามารถตรึงเป้าหมาย แต่ถ้าไม่มี ก็จงเลือกสมบัติที่โจมตีได้หนักหน่วง


“ขอบคุณมาก มิสเตอร์แฮงแมน” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคขอบคุณจากก้นบึ้ง


ภายในใจของเด็กหนุ่ม จากสมาชิกทั้งหมดของชุมนุมทาโรต์ บุคคลที่ยิ่งใหญ่และควรค่าแก่การเคารพมากที่สุดคือมิสเตอร์ฟูล บุคคลที่น่าชื่นชมและควรเอาเป็นแบบอย่างคือมิสเตอร์เวิร์ล และบุคคลที่ไว้ใจได้ มีจิตใจงดงามมากที่สุดคือมิสเตอร์แฮงแมนผู้ชาญฉลาด


ขณะเดียวกัน ‘เดอะมูน’ เอ็มลินคิดในใจ


เจ้านี่กำลังจะตามเราทันแล้ว ไม่มีทาง… จะปล่อยให้แซงหน้าไม่ได้ เราต้องรีบล่าให้เสร็จโดยเร็วและรับรางวัลก้อนใหญ่!


มันครุ่นคิดสองสามวินาที หลังจากได้รับอนุญาตโดยมิสเตอร์ฟูล เอ็มลินเสก ‘หุ่นกระบอกจันทรา’ ที่มีลักษณะเหมือนแท่งไม้เรียวขึ้น


“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน มีใครทราบไหมว่ามันคืออะไร?”


มันทราบดีว่ามิสเตอร์ฟูลคงรู้คำตอบ แต่ปัจจุบันยังไม่มีสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนกับคำตอบของตัวตนลึกลับและทรงพลัง ดังนั้น ที่พึ่งเดียวจึงเป็นสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์


นี่มันหุ่นกระบอกที่เราเห็นในชุมนุมลับไม่ใช่หรือ? มิสเตอร์มูนพบเป้าหมายแล้วสินะ… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สรอคอยคำตอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น


‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเพ่งมองสักพัก ค่อยๆ ขมวดคิ้วและกล่าว


“น่าจะเป็น ‘ทูตแห่งจันทรา’ ”


“เป็นวัตถุวิเศษที่สร้างโดยฝีมือของสาวกดวงจันทร์บรรพกาล พวกมันอาศัยพิธีกรรมนองเลือดที่กินเวลานานนับร้อยปีเพื่อให้กำเนิดสิ่งนี้ กล่าวกันว่ามีพลังเวทมนตร์เข้มข้น แต่ละชิ้นเต็มไปด้วยความสยดสยองเหนือพรรณนา… คุณเอามาจากไหน? สิ่งนี้อันตรายมาก ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการส่งมอบมันให้เบื้องบนของผีดูดเลือด”


‘เดอะมูน’ เอ็มลินเปลี่ยนท่านั่ง หัวเราะพลางกล่าว


“ข้าพบมันขณะล่าสาวกดวงจันทร์บรรพกาล… หล่อนตายไปแล้ว ส่วนข้ายังมีชีวิตอยู่”


การโอ้อวดของมิสเตอร์มูน ไม่ว่าใครก็คงมองออก… ‘ผู้ชม’ มากประสบการณ์อย่างออเดรย์หัวเราะเบาๆ ในใจ


‘เฮอร์มิท’ แคทลียาผงะไปครู่หนึ่ง ถามโดยไม่ปิดบัง


“คุณทำได้ยังไง? มีเบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือดคอยให้ความช่วยเหลือ?”


‘เดอะมูน’ เอ็มลินอ้าปากค้าง ตอบไม่ถูกไปสักพัก


ทันใดนั้น มันเริ่มตระหนักว่าหัวข้อสนทนาดังกล่าวไม่เหมาะแก่การเปิดเผยในเชิงลึก


“แฮ่ม!” มันกระแอมในลำคอ มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว “ข้าขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล”


ราชันเร้นลับ 768 : ‘การสนทนา’ ของคนฉลาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล? ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ? ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาถึงกับตกตะลึง


เธอไม่เคยสงสัยในความสามารถของมิสเตอร์ฟูล โดยเฉพาะหลังจากถูกลงโทษ หลังจากพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งเป็นข้ารับใช้ พัฒนาฝีมืออย่างก้าวกระโดด เธอก็ไม่คิดกังขาในความยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายอีกเลย และยังทราบด้วยว่า ขณะตนถูกมวลความรู้ปริมาณมหาศาลไล่ล่า มิสเตอร์ฟูลได้ดึงเธอเข้ามาที่นี่ผ่านสมบัติโบราณชนิดหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอีกฝ่ายมีระดับเทียบเท่า ‘ปราชญ์เร้นลับ’ และ ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ เป็นอย่างน้อย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มิสเตอร์ฟูลยังไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับโลกความจริงได้โดยตรง เธอจึงสงสัยว่าท่านคือเทพบรรพกาลสักตนที่กำลังฟื้นคืนพลัง


จากคำบอกเล่าของ ‘เดอะมูน’ สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ มิสเตอร์ฟูลสามารถมอบความช่วยเหลือแก่สมาชิกชุมนุมทาโรต์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่จำกัดแค่การมอบความรู้หรือดึงเข้ามาในมิติเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว


หมายความว่า หากเราตกอยู่ในอันตราย ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลได้เช่นกัน… เรื่องนี้สุดยอดยิ่งกว่าพิธีกรรมใดทั้งหมด… ในทางกลับกันก็เป็นการบอกโดยนัยว่า มิสเตอร์ฟูลฟื้นคืนพลังได้เร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาใคร่ครวญหลายสิ่ง


‘จัสติส’ ออเดรย์ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค และคนอื่นๆ ไม่แปลกใจกับข้อมูลดังกล่าวสักเท่าไร พวกมันเคยสวดวิงวอนขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลไม่มากก็น้อย บางคนเคยเห็นเทวทูตอันแสนสง่างามกับตาตัวเอง


เมื่อพบว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมาทางตน ‘เดอะมูน’ เอ็มลินเชิดคางขึ้นและพูด


“ข้าเองก็ต้องจ่ายบางสิ่ง… นี่คือกฎของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม!”


การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมอะไรกัน… ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีของตัวตนระดับทัดเทียมเทพ มันประเมินค่าไม่ได้เลยสักนิด! ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาอดไม่ได้ที่จะโต้แย้งในใจ


สาเหตุที่เธอไม่พูดออกไปเสียงดัง เพราะเธอเองก็หวังจะใช้ ‘การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม’ ในอนาคตเช่นกัน และนั่นหมายถึง เธอจะมีชีวิตมากกว่าผู้วิเศษคนอื่นๆ อีกหนึ่งชีวิต!


‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม มิสเตอร์มูนถึงต้องจงใจเน้นคำว่าการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เพราะสำหรับชุมนุมทาโรต์แห่งนี้ ทุกคนที่สวดวิงวอนขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล ล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อทั้งนั้น!


มิสเตอร์มูนเป็นคนที่ใส่ใจกับภาพลักษณ์ตัวเองมาก… ไม่สิ ไม่ใช่คน ผีดูดเลือดต่างหาก… ‘จัสติส’ ออเดรย์สำรวจการเปลี่ยนแปลงเชิงอารมณ์ของเดอะมูนภายในช่วงเวลาสั้นๆ


การแลกเปลี่ยนดำเนินต่อไปอีกสักพัก จนกระทั่งชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์สิ้นสุดลง


กลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคทบทวนข้อดีข้อเสียของ ‘ผู้รับรอง’ ที่มิสเตอร์แฮงแมนแจกแจงให้ฟัง จากนั้นก็เดินกลับไปยังตึกแฝดในทิศเหนือ เตรียมเลือกสมบัติวิเศษคู่กาย


มันไม่ได้ทำเช่นนี้ในตอนแรก เพราะหลังจากเลื่อนลำดับ สภาวะของพลังวิญญาณมักไม่มั่นคง กังวลว่าอาจคลุ้มคลั่งขณะสัมผัสกับสมบัติวิเศษ


ภายในยอดหอคอย หลังจากกรอกเอกสารแจ้งความประสงค์ เดอร์ริค·เบเกอร์ได้รับรายการสมบัติวิเศษพร้อมกับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง


เมื่ออ่านและตรวจทานอย่างรอบคอบ มันตีกรอบให้แคบลงจนเหลือเพียงสองตัวเลือก


ชิ้นแรกคือ ‘แหวนคาลดี้’ รูปลักษณ์เรียบง่าย ตัวแหวนเป็นสีเหล็กดำล้วน สลักลวดลายสีเข้มซับซ้อน เคยเป็นของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เมื่อนานมาแล้ว มีพลังทำให้ผู้สวมใส่สร้างอาการ ‘มึนงง’ แก่เป้าหมาย สามารถตรึงศัตรูไว้ได้สักพัก นอกจากนั้นยังทำให้มนุษย์ปรกติสิ้นสติได้ชั่วคราว หรือไม่ก็ปลุกอารมณ์และความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในตัวสัตว์ประหลาดอันบ้าคลั่ง ทำให้พวกมันตกอยู่ในสภาวะสับสนเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ไม่หลงเหลือเจตนาในการโจมตี


อีกหนึ่งชิ้นก็คือ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ ได้มาจากซากปรักหักพังของเมืองแห่งหนึ่ง น้ำหนักค่อนข้างมาก ลักษณะคล้ายค้อนยักษ์ ผิวโลหะเป็นสีน้ำเงินเข้ม มีสายฟ้าสีเงินอมขาวส่องสว่างรายล้อม หากจับไปที่ด้ามจะมอบความรู้สึกคล้ายกับได้จับกระดูกขาของสิ่งมีชีวิต มีพลังในการส่งเสียงคำรามที่ทำให้ศัตรูแตกตื่นและสับสนอลหม่าน ประหนึ่งเทพสายฟ้าเสร็จลงมายังผืนโลก แผดเสียงคำรามอย่างไม่ขาดสาย ทุกการฟาดฟันมาพร้อมพลังทำลายหนักหน่วง เฉกเช่นสายฟ้าที่โหมกระหน่ำ


ผลข้างเคียงของ ‘แหวนคาลดี้’ คือ ผู้สวมจะสร้างอีกหนึ่ง ‘ตัวตน’ ขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว จำเป็นต้องได้รับการรักษาจาก ‘นักจิตบำบัด’ อย่างสม่ำเสมอ หากพลาดไปหนึ่งหรือสองครั้ง ปัญหาจะเรื้อรังจนเกินเยียวยา เกิดเป็นการต่อสู้ระหว่างสองตัวตน ท้ายที่สุดก็จะลงเอยด้วยการคลุ้มคลั่ง


ในทางกลับกัน ‘เทพสายฟ้าคำราม’ มีผลข้างเคียงไม่ร้ายแรงนัก จะทำให้ผู้ใช้งานสะสมความหงุดหงิดขึ้นเพิ่มเรื่อยๆ สามารถแก้ไขได้ด้วยการระบายอารมณ์อย่างสม่ำเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งผลเสีย ใครก็ตามที่ถือมัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด โอกาสที่จะถูกสัตว์ประหลาดจู่โจมคือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม!


โอกาสถูกโจมตีหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์… อ่านข้อมูลดังกล่าวจบ เดอร์ริครู้สึกหดหู่ เพราะถ้าจำไม่ผิด ในอดีตเคยมีชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จำนวนมากหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา


อาจมีอดีตผู้ใช้งาน ‘เทพสายฟ้าคำราม’ อยู่ในกลุ่มนั้นไม่มากก็น้อย!


เลือกอันไหนดี? การสร้างอีกหนึ่ง ‘ตัวตน’ นั้นอันตรายมาก มิสจัสติสเคยเรียกลักษณะแบบว่า อาการบุคลิกภาพแยกส่วน… เทพสายฟ้าคำรามไม่เพียงจะปั่นป่วนศัตรู แต่ยังมีพลังทำลายในเชิงรุกค่อนข้างสูง… ขวานเฮอร์ริเคนของเราถูกใช้งานอย่างหนักมาตลอด คงหมดอายุขัยก่อนกำหนด… เราสามารถเปล่งแสงออกจากร่างกายตัวเอง ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความมืดมากนัก… เดอร์ริคครุ่นคิดสักพัก ชี้ปลายนิ้วไปยังค้อนสีน้ำเงินเข้ม


“ผมเลือกเทพสายฟ้าคำราม”



บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ไคลน์ที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนใหญ่ เห็นพ่อบ้านวอลเตอร์รออยู่ด้านนอก ถือบัตรเชิญสองสามใบไว้ในมือ


“นายท่าน วันนี้มีจดหมายเชิญถูกส่งมาสามฉบับ ประกอบด้วย เชิญไปดื่มชายามบ่ายในวันพุธ เชิญไปร่วมซาลอนวรรณกรรมวันศุกร์ และเชิญไปรับประทานอาหารเย็นในวันเสาร์ จดหมายถูกส่งมาจาก…”


ไคลน์ฟังด้วยสีหน้าอ่อนโยน ยิ้มและกล่าว


“ไปบอกกับผู้เชิญที่เป็นมิตรเหล่านี้ว่า ผมจะเข้าร่วม”


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์โค้งคำนับ เดินลงจากชั้นสาม


เมื่อเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายไปจากบันได ไคลน์ถอนหายใจเงียบ


คำเชิญพวกนี้จะดำเนินไปอีกราวหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นจะถึงคิวที่เราเป็นฝ่ายเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมงานเต้นรำหรือรับประทานอาหารค่ำบ้าง…


เชิญและถูกเชิญเช่นนี้สลับไปอีกพักใหญ่ เราก็จะได้เข้าแวดวงของพวกเขาเต็มตัว จากนั้นก็จะถูกแนะนำให้รู้จักกับคนใหญ่คนโต มีโอกาสถูกเชิญเข้าร่วมสโมสรต่างๆ


หึหึ… เงื่อนไขการถูกเชิญคงขึ้นอยู่กับเงินเป็นหลัก คนที่ไม่มีเงินไม่มีค่าพอจะเป็นแขก…


สังคมชนชั้นสูงช่างวุ่นวาย แต่คงต้องทนไปอย่างน้อยหนึ่งเดือน จนกว่าเราจะได้ใกล้ชิดกับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องรอบนอกของโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน… การตีสนิทกับศาสนจักรนั้นง่ายกว่ามาก ตราบเท่าที่มีเงินบริจาคมากพอและหมั่นมอบความศรัทธาอย่างต่อเนื่อง เราสามารถเข้าไปฟังคำเทศนาด้านในวิหารได้อย่างอิสระ แน่นอน… ก่อนอื่นก็ต้องผ่านการทดสอบของเหยี่ยวราตรี…


หากทุกสิ่งราบรื่น ภายในหนึ่งเดือน เราอาจเข้าใจรูปแบบเวรยามของผู้คุม หลังจากนั้นก็วางแผนขโมยของด้านหลังประตูยานิส…


ไคลน์ทบทวนความคิดพลางสั่งให้ริชาร์ดสัน บุรุษรับใช้ส่วนตัวข้างๆ นำเสื้อคลุม หมวก และไม้ค้ำมาให้ตน


ตามตารางเวลา ชายหนุ่มมีกำหนดการต้องไปยังโรงละครหลวงเพื่อชมละครเวทียอดนิยมเรื่อง ‘แหวนของคนทรยศ’


นี่ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิง แต่เนื้อหาของละครเวทียอดนิยม เพลงดัง และนิยายในกระแส ถือเป็นหัวข้อสนทนาหลักของแวดวงชนชั้นสูง จะได้มีเรื่องคุยกันอย่างไม่เคอะเขิน


สุภาพบุรุษที่ได้รับความนิยมคงเหนื่อยเป็นพิเศษ… หนึ่งนาทีบนเวที อาจเกิดจากการฝึกหนักนานนับสิบปี… การสังสรรค์เช่นนี้นับว่าสิ้นเปลืองพลังชีวิตมาก… ขณะไคลน์รำพัน มันปล่อยให้ริชาร์ดสันช่วยสวมโค้ท จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถม้าหรูหรา มุ่งหน้าไปยังโรงละครหลวงในเขตตะวันตก นั่งลงในโซนแขกพิเศษ รับชมละครเวทีเรื่อง ‘แหวนของคนทรยศ’


แตกต่างจากละครทีวีและภาพยนตร์ การแสดงละครเวทีจำเป็นต้องเล่นใหญ่ ถือเป็นเรื่องที่ยากกว่า อา… บางคนอาจมีการคิดสดหน้างาน…


เนื้อเรื่องไม่เลว แต่ทำไมเราถึงรู้สึกคุ้นเคยนัก… อย่าบอกนะว่า… คนเขียนบทละครต้นฉบับคือจักรพรรดิโรซายล์มหาราช?


นักแสดงเหล่านี้น่าจะเป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควร ถึงขั้นเคยถูกกล่าวถึงในหนังสือพิมพ์ ว่ากันว่าได้รับความนิยมอย่างมาก… น่าจะเหมือนกับดาราทีวีในยุคสมัยอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู…


ขอแค่หมั่นเข้าร่วมสังคมชนชั้นสูง เราจะมีโอกาสได้พบพวกเขาในสักวัน… ไคลน์ที่นั่งชมการแสดงละครเวที ในใจรำพันเรื่อยเปื่อย



เขตเชอร์วู้ด ห้องจำหน่ายตั๋วขนาดใหญ่ของโรงละคร


เมลิสซ่าที่กำลังยืนต่อแถว หยิบธนบัตรและเหรียญทองแดง ผลักพวกมันเข้าไปในช่องว่างใต้กระจก


“แหวนขอคนทรยศรอบบ่ายสามโมงวันอาทิตย์ สองใบ”



หลังจากดูแหวนของคนทรยศจบ ไคลน์เข้าไปในรถม้า ดื่มชาดำพลางรับหนังสือพิมพ์ช่วงเย็นที่ริชาร์ดสันเตรียมไว้


ก่อนอื่น ชายหนุ่มเปิดไปที่หน้าวิจารณ์ละคร ค้นหาบทวิเคราะห์ของมืออาชีพ เปรียบเทียบกับอรรถรสในการรับชมของตัวเองทีละฉาก ตกผลึกเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ลึกซึ้งและเป็นเอกลักษณ์


อา… อย่างน้อยก็พอจะหลอกพวกคุณหญิงคุณชายเหล่าได้… เมื่อไคลน์ ‘ทำการบ้าน’ เสร็จ มันพลิกอ่านส่วนอื่นของหนังสือพิมพ์อย่างผ่อนคลาย พบข่าวหนึ่งโดยบังเอิญ


“หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยานถูกขายแล้ว ไม่ต้องยื่นข้อเสนอใดเข้ามาอีก!”


เรียบร้อยแล้ว? การที่มิสเตอร์ไอเซนการ์ดเผยแพร่ข่าวนี้ หมายความว่าเขารับเงินเรียบร้อยแล้ว… ไคลน์มีความสุขในตอนต้น ก่อนจะขมวดคิ้ว


สายตาของชายหนุ่มจดจ่ออยู่กับเครื่องหมายตกใจท้ายประโยค!


เนื้อหาของข้อความเป็นสิ่งที่ตนและไอเซนการ์ดนัดแนะกันล่วงหน้า แต่ชายหนุ่มรู้สึกขัดตาอย่างน่าประหลาดกับเครื่องหมายอัศเจรีย์ตัวสุดท้าย


จากรูปประโยค เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องใส่เครื่องหมายตกใจลงไปก็ได้… มิสเตอร์ไอเซนการ์ดปรกติจะประณีตและเก็บรายละเอียดดีมาก ไม่มีทางปล่อยให้หนังสือพิมพ์ใส่ลงไปเองตามอำเภอใจ… แปลว่าเขาจงใจใส่เครื่องหมายตกใจ เพื่อบอกใบ้บางสิ่งกับเรา?


คำเตือน? ทันใดนั้น ไคลน์เริ่มตระหนักถึงบางสิ่ง


สัดส่วนการถือหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ในบริษัทเบ็คลันด์จักรยานที่ขายโดยไอเซนการ์ด·สแตนธอน ย่อมเป็นหุ้นของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เมื่อพิจารณาจากสามัญสำนึก เป็นไปไม่ได้ที่หุ้นตัวนี้จะถูกขายอย่างไร้เหตุผล คำอธิบายเดียวจึงเป็น เชอร์ล็อก·โมเรียตี้หรือตัวแทนของเขา เดินทางกลับเข้ามาในกรุงเบ็คลันด์แล้ว!


ด้วยเหตุผลข้างต้น ราชวงศ์บางฝ่ายที่พัวพันกับโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน เริ่มทำการสืบสวนรอบๆ ตัวนักสืบไอเซนการ์ด·สแตนธอน รอดักจับเป้าหมายที่จะมารับเงินสด!


เราจะไปเอาเงินยังไงดี… ไคลน์กวาดสายตาผ่านหนังสือพิมพ์อย่างเป็นธรรมชาติ ในใจครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหาคอขาดบาดตายนี้อย่างจริงจัง


ราชันเร้นลับ 769 : สังเวยตัวเอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

สี่ทุ่มตรง ฝนตกท่วมกรุงเบ็คลันด์อีกครั้ง หมอกที่ปกคลุมรอบโคมไฟถนน ช่วยเปลี่ยนให้บรรยากาศดูงดงามอย่างพร่ามัว


โบเวน ผู้ช่วยของไอเซนการ์ด·สแตนธอน เดินลงมาสำรวจชั้นล่าง ตรวจสอบมุขหน้าต่าง เตรียมปิดหน้าต่างบานสุดท้าย


แต่ทันใดนั้น เงาดำหนึ่งพุ่งเข้าใส่ ร่อนลงอย่างนุ่มนวลบนกำแพงที่ยืนออก


แมวจรจัดพันธุ์บลูช็อตแฮร์


เมื่อโบเวนเห็นว่าดวงตากลมโตสีเหลืองของอีกฝ่ายจ้องมาทางตน มันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม


“ที่นี่ไม่มีอาหารหรอกนะ”


เนื่องจากงานนักสืบมักก่อให้เกิดความเคียดแค้น นอกจากนั้นยังมีความลับหายสิ่งต้องปกปิด พ่อครัวและคนรับใช้ในบ้านไอเซนการ์ด·สแตนธอนจึงถูกจ้างในฐานะพนักงานนอกเวลา มาทำงานเพียงวันละไม่กี่ชั่วโมง จะไม่มีการเตรียมอาหารมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ไม่มีอาหารเหลืออยู่เลยหลังจากจบมื้อค่ำ


แมวบลูช็อตแฮร์อ้าปาก แต่มิได้ส่งเสียงร้อง ‘เมี้ยว’ เหมือนแมวปรกติ มันกล่าวเป็นภาษามนุษย์


“ผมคือเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ต้องการพบมิสเตอร์ไอเซนการ์ด·สแตนธอน”


“…” แม้ว่าโบเวนจะเป็นผู้วิเศษสังกัดโบสถ์ปัญญาความรู้ แต่ลำดับยังไม่สูงนัก ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับจึงไม่มาก นี่คือครั้งแรกที่มันเคยเห็นแมวพูดได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะอึ้งไปพักใหญ่


หลายวินาทีผ่านไป โบเวนได้สติกลับมา นึกทบทวนคำพูดของแมวบลูช็อตแฮร์


มันพูดว่า… เชอร์ล็อก·โมเรียตี้?


นักสืบชื่อดังคนนี้ไม่ธรรมดา!


เขากลายร่างเป็นแมว ไม่สิ… ควบคุมแมว!


เป็นพลังที่พิสดารและน่ากลัวมาก!


โบเวนรีบรวบรวมสติ ไม่ตอบคำถามของแมวบลูช็อตแฮร์โดยตรง เพียงเอื้อมมือไปปิดกระจกหน้าต่าง


จัดการเสร็จ มันลดเสียงลงและกล่าว


“ตามผมมา”


แมวบลูช็อตแฮร์กระโดดลงจากแท่นบนกรอบมุขหน้าต่าง เดินตามหลังโบเวนในลักษณะหางชี้ขึ้น จนกระทั่งถึงชั้นสอง มันยืนดูอีกฝ่ายเคาะประตูห้องนอนของไอเซนการ์ด


“มีอะไรหรือ?” ไอเซนการ์ดที่สวมชุดนอนลายขวาง เปิดประตูออกมาถาม


มันกำลังเพลิดเพลินอยู่กับยาสูบก่อนเข้านอน


โบเวนชี้ไปยังแมวบลูช็อตแฮร์ที่กำลังก้มหมอบอยู่ด้านข้าง


“มิสเตอร์เชอร์ล็อก·โมเรียตี้อยากพบคุณ”


คิ้วของไอเซนการ์ด – เจ้าของจอนสีขาวตรงขมับ เลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้ามอง ถอยหลังสองก้าว อนุญาตให้แมวบลูช็อตแฮร์เดินเข้ามาในห้องนอนอย่างสบายใจ


“คุณรีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ตื่นให้ตรงเวลา พวกเรายังมีคดีที่รอการสืบสวน” ไอเซนการ์ดออกคำสั่งกับโบเวนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


รอจนกระทั่งผู้ช่วยออกไป มันปิดประตู หันไปมองแมวบลูช็อตแฮร์ที่กำลังนั่งข้างเก้าอี้เอนหลัง หัวเราะในลำคอแผ่วเบา


“คิดไม่ถึงว่าคุณจะมีพลังพิเศษประเภทนี้ ผมเคยกังวลว่าคุณจะแวะมาหาตรงๆ”


“ผมสังเกตเห็นเครื่องหมายตกใจ” แมวบลูช็อตแฮร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม


ว่ากันตามตรง สีหน้าแววตาที่แมวกำลังแสดง ผิดไปจากธรรมชาติจนดูน่าตกตะลึง หากใครมาเห็นเข้าคงเกิดความรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง เส้นขนทั่วร่างลุกตั้งชัน


แต่ไอเซนการ์ดมิได้ตอบสนองเหมือนคนปรกติ เพียงหยิบกล้องยาสูบ นั่งบนลงเก้าอี้เอนหลัง หายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้าเพลิดเพลิน กล่าวพลางยิ้ม


“ผมเชื่อในความหลักแหลมของคุณ”


“ขอบคุณที่ชม” แมวบลูช็อตแฮร์เหยียดอุ้งเท้าขึ้น ทาบอกและทักทายอย่างสุภาพ


ไอเซนการ์ดจ้องมองสักพัก ลูบคลำกล้องยาสูบ ยิ้มและกล่าวต่อ


“คุณคงเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว… อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่กล้าตรวจสอบผมอย่างเข้มงวด กังวลว่าจะถูกผมพบตัวและแจ้งโบสถ์รัตติกาลกับจักรกลไอน้ำ หึหึ… หากถูกผมสืบจนรู้ตัวจริง คงไม่เป็นผลดีกับพวกมันสักเท่าไร ทางนั้นคงมีครึ่งเทพแฝงตัวอยู่… นี่ไม่ใช่การคาดเดาเลื่อนลอย แต่เกิดจากการวิเคราะห์ด้วยเหตุและผล ตัวผมเองก็อาศัยอยู่บนถนนเส้นนี้มานานหลายปี… ดังนั้น มนุษย์และสัตว์จึงไม่ถูกขัดขวางหากพยายามเข้ามาหาผม… เล่าถึงตรงนี้ คุณคงพอจะเดาได้แล้ว… เมื่อใดที่คุณออกจากบ้านผม พวกมันจะลงมือสะกดรอย… ได้คิดวิธีแก้ปัญหาเตรียมไว้หรือยัง? เฮ่อ… ด้วยเงินจำนวนมากขนาดนี้ การขนออกไปโดยให้ไม่เตะตาไม่ใช่เรื่องง่าย… ผมขอเดานะ แผนของคุณก็คือ ให้ผมฝากเงินเข้าบัญชีใบบัญชีหนึ่ง จากนั้นก็จะให้คนจำนวนมาก ทยอยถอนออกไปตามธนาคารสาขาต่างๆ นอกเบ็คลันด์?”


กล่าวถึงตรงนี้ ไอเซนการ์ดยิ้มแห้งๆ


“นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะคิดได้ แต่คงปฏิบัติจริงได้ลำบาก”


บลูช็อตแฮร์ไม่ตอบตรงๆ เพียงเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัย


“ผมอยากได้ห้องว่างและเทียนไขสามเล่ม”


“ไม่มีปัญหา” ไอเซนการ์ด·สแตนธอนไม่ถามซักไซ้ เล่าต่อไปว่า “หุ้นถูกขายออกไปในราคาหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์ ผู้ซื้อคือออเดรย์·ฮอลล์ บุตรสาวของเอิร์ลฮอลล์ อา… หักค่าจ้างทนายความและทีมบัญชี หักค่าโฆษณาอีกหกร้อยปอนด์ หักค่าชำระอากรแสตมป์ 0.5% และภาษีเงินได้ประเภท D อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์… ยอดเงินสุดท้ายคือ 8,940 ปอนด์”


ภาษีเงินได้ประเภท D หมายถึงภาษีจากรายได้ในเชิงการค้าและอุตสาหกรรมบางชนิด


ภาษี… เงินกว่าสองพันปอนด์อันตรธานหายในพริบตา… แมวบลูช็อตแฮร์ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด


ไคลน์เคยเป็นเหยี่ยวราตรี ตอนนั้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในภายหลังกลายเป็นนักสืบเอกชน รายได้ค่อนข้างยากที่จะตรวจสอบ จึงไม่คิดยื่นภาษี ถัดมาคือช่วงชีวิตของนักผจญภัย และเนื่องจากค่าหัวของโจรสลัดถูกยกเว้นภาษี ไคลน์จึงไม่เคยกังวลเกี่ยวกับภาษีมาก่อน ดังนั้น แม้ว่าไอเซนการ์ด·สแตนธอนจะเอ่ยถึงภาษีในการพบกันคราวก่อน แต่ชายหนุ่มก็มิได้เก็บมาใส่ใจ ไม่คิดว่าจะมีผลมากนัก แต่กลับกลายเป็นว่า โลกแห่งความจริงช่างโหดร้ายเหลือเกิน


ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดไคลน์ถึงไม่ต้องเสียภาษีจากการขายหุ้นบริษัทจักรยานให้ฟามี่·เคจในตอนแรก นั่นเป็นเพราะรัฐบาลโลเอ็นสนับสนุนการลงทุนครั้งแรกในกลุ่มสิ่งประประดิษฐ์ประเภทความคิดสร้างสรรค์ ผู้ขายจึงไม่ต้องเสียภาษี


หลังจากเงียบงันสักพัก หนวดแมวบลูช็อตแฮร์กระตุกเล็กน้อย


“อา… ส่งเงินสดมาให้ผม… ไม่สิ ย้ายไปที่ห้องว่าง… ธนบัตรเหล่านั้นไม่มีปัญหาใช่ไหม?”


“ผมตรวจสอบแล้ว พวกเขาคงไม่กล้าเล่นตุกติก เพราะนั่นจะถือเป็นการดูถูกสติปัญญาของผมอย่างมาก” ไอเซนการ์ดลุกขึ้นพร้อมกับกล้องยาสูบ “หลังจากนี้อย่าลืมเขียนจดหมายยืนยันว่าคุณได้รับเงินแล้ว ส่งมาถึงผมที่บ้านหลังนี้”


“จดหมายกำลังเดินทาง” แมวบลูช็อตแฮร์ตอบทันทีราวกับเตรียมไว้แล้ว


ไอเซนการ์ดเดินไปยังตู้นิรภัยในห้องนอนใหญ่ เปิดด้วยรหัสผ่านและกุญแจ จากนั้นก็หยิบปึกธนบัตรออกมาจำนวนหนึ่ง เก็บไว้ในกระเป๋าเอกสารหลายใบ


จากนั้น มันถือกระเป๋าเอกสารเดินออกจากห้องนอนใหญ่ เข้าไปในห้องนอนแขกที่อยู่เยื้องกันฝั่งตรงข้าม


“อย่าลืมตรวจสอบ” ไอเซนการ์ดวางกระเป๋าเอกสารที่เต็มไปด้วยปึกธนบัตร กล่าวกับแมวบลูช็อตแฮร์ที่เดินตามหลังมา


“ผมเชื่อใจคุณ” แมวบลูช็อตแฮร์ชำเลืองเล็กน้อย


ไอเซนการ์ดพยักหน้า ชี้ไปที่ตู้


“ในนั้นมีเทียนไข”


กล่าวจบ มันเดินกลับไปที่ประตู จับลูกบิด หันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ผมอยากเห็นจริงๆ ว่าคุณจะนำมันออกไปด้วยวิธีไหน… ขอให้เป็น ‘มายากล’ ที่ยอดเยี่ยมนะ”


กริ๊ก! ไอเซนการ์ด·สแตนธอนปิดประตู ปล่อยให้ห้องนอนแขกกลับสู่บรรยากาศเงียบสงัด


ทันใดนั้น ด้านข้างแมวบลูช็อตแฮร์ ร่างที่สวมแจ็คเก็ตสีแดงเข้มและหมวกสามมุมปรากฏขึ้น ไม่ใช่ใครนอกจากหุ่นเชิดของไคลน์ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอล


มันนำเทียนมาวาง รีบสร้างแท่นบูชาอย่างหยาบ ข้ามขั้นตอนที่ไม่จำเป็นทั้งหมด สวดวิงวอนเป็นภาษาเอลฟ์


“ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ คาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่”


“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน ขอวิงวอนให้ท่านหันมาสนใจ”


“ข้าขอวิงวอนให้ท่านรับเครื่องสักการบูชา”


“ข้อขอวิงวอนให้ท่านเปิดประตูสู่อาณาจักร”


สายลมภายในกำแพงวิญญาณพลันกระโชกรุนแรง เซนอลกรีดหลังมือตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยเล็บ โปรยเลือดออกไปจำนวนหนึ่ง


ในฐานะลำดับ 5 ‘วิญญาณอาฆาต’ ทุกสิ่งในตัวมันมีค่าเทียบเท่าวัตถุวิญญาณ!


สายลมกลืนกินเลือดเซนอลเข้าไป หลอมรวมกับเทียนไขที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า จนกระทั่งเปลวไฟเริ่มขยายตัว กลายเป็นประตูมายาที่เต็มไปด้วยอักขระและสัญลักษณ์เวทมนตร์


ผ่านไปสิบวินาที ประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ค่อยๆ เปิดออกทีละนิด


เซนอลโยนกระเป๋าเอกสารที่บรรจุปึกธนบัตรเข้าไปในบานประตูมายาทีละใบ


รอจนกระทั่งใกล้ครบ เหรียญทองในร่างกายเซนอลลอยออกมา ตกลงบนแท่นบูชา


ทันใดนั้น ร่างของ ‘วิญญาณอาฆาต’ พลันอันตรธานหาย ฉายลงบนผิวด้านเรียบของเหรียญทองแทน


เหรียญทองขยับซ้ายขวาด้วยตัวเอง ก่อนจะดีดตัวขึ้นไปบนกระเป๋าเอกสารใบหลังสุด ลอยเข้าสู่บานประตูมายาแห่งการสังเวย


ประตูลึกลับปิดลงอย่างเงียบเชียบ เทียนทั้งสามเล่มกลับสู่ภาวะปรกติ


ขณะเดียวกัน คล้ายกับแมวบลูช็อตแฮร์เพิ่งได้สติกลับมา มันเหลียวซ้ายแลขวาด้วยสายตาประหลาดใจ ส่งเสียง ‘เมี้ยว’


ถัดมาไม่นาน ไอเซนการ์ดเปิดประตูห้อง พบว่ากระเป๋าเอกสารบรรจุปึกธนบัตรอันตรธานหายไปทั้งหมด เหลืองเพียงเทียนไขสามเล่มที่กำลังเผาตัวเองอย่างเงียบงัน เหลือเพียงแมวบลูช็อตแฮร์ที่กำลังโก่งตัวหันกลับมามองด้วยสายตาหวาดระแวง


ขณะที่มันกำลังพิจารณาฉากตรงหน้า ในเวลาเดียวกัน บนทางแยกอีกฟากฝั่งของถนน รถม้าเช่ากำลังแล่นผ่านบ้านไอเซนการ์ดไปด้วยความเร็วปานกลาง



คืนเดียวกัน ภายในบ้านเขตเชอร์วู้ด


ซิลที่กลับถึงบ้านในสภาพตัวเปียก กำลังเช็ดผมด้วยผ้าขนหนู กล่าวกับฟอร์ส


“ส่งจดหมายให้เธอเรียบร้อยแล้ว”


ฟอร์ส ‘อืม’ ในลำคอ ภายในใจครุ่นคิดว่าอาจารย์จะมีท่าทีเช่นไร


จากนั้น ซิลวางผ้าขนหนูลง พูดเสียงแผ่ว


“มีข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับชุมนุมลับของมิสเตอร์ X ครั้งถัดไปจะถูกจัดขึ้นที่เดิม วันศุกร์กลางคืน”


เยี่ยม! มีข้อมูลไปบอกมิสเตอร์เวิร์ลสักที! เขาจะคิดค่าจ้างเท่าไร… ดวงตาของฟอร์สเป็นประกายเล็กน้อย


ยังไม่ทันที่ฟอร์สจะได้ถามรายละเอียด ซิลเสริม


“นอกจากนั้น มิสเตอร์ X ยังมอบงานที่ค่อนข้างจ่ายหนัก เอ่อ… เขากำลังมองหาคนที่โชคร้ายอย่างผิดวิสัย”


“โชคร้ายอย่างผิดวิสัย?” ฟอร์สพึมพำด้วยความสับสน “หมอนั่นเสียสติไปแล้วรึไง? ใครจะกล้าให้ข้อมูลเรื่องส่วนตัว? แบบนั้นจะไม่เท่ากับเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหรอกหรือ”


“อาจจะเสียสติจริงๆ ก็ได้…” ซิลไม่รู้จักคนที่กำลังโชคดีอย่างผิดวิสัย จึงตอบกลับไปด้วยเสียงเรียบ


ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก แต่ก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของภารกิจจากมิสเตอร์ X อยู่ดี ทำได้แค่สลัดความคิดทิ้งไป รอให้ซิลไปอาบน้ำ จึงค่อยสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ส่งผ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยัง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์


ราชันเร้นลับ 770 : เป็นเด็กก็ต้องทำตัวให้เหมือนเด็ก

โดย

Ink Stone_Fantasy

มิสเตอร์ X กำลังมองหาคนที่โชคร้ายอย่างผิดวิสัย? เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ไตร่ตรองข้อมูลที่มิสเมจิกเชี่ยนมอบให้ พยายามวิเคราะห์หาประโยชน์จากมัน


หลังจากใคร่ครวญสักพัก ชายหนุ่มตัดสินใจมองจากมุมอื่น นั่นคือการนึกทบทวนว่ามีคนที่กำลังโชคร้ายอย่างผิดวิสัยอยู่ใกล้ตัวหรือไม่ และมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับมิสเตอร์ X


อา… แอนเดอร์สัน·ฮู้ด นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหมอก ก็อาจเข้าข่าย… นายแพทย์อลัน·คริสต์ก็อีกหนึ่ง… หืม… พวกเขาล้วนได้รับผลกระทบจาก ‘อสรพิษแห่งชะตา’ … ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งกุหลาบไถ่บาป องค์กรที่คอยสนับสนุนและศรัทธาในพระผู้สร้างแท้จริง… ชุมนุมแสงเหนือเองก็เปรียบดังศาสนาของพระผู้สร้างแท้จริง… สมมติฐานมากมายผุดขึ้นในความคิดไคลน์ เกิดเป็นข้อสรุปอย่างรวดเร็ว


‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสกำลังตามล่า ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน!


มันสั่งให้คนของชุมนุมแสงเหนือช่วยตามหา ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน!


และนั่นหมายความว่า เบื้องหลังมิสเตอร์ X – สักแห่งภายในกรุงเบ็คลันด์ – มีราชาเทวทูตซ่อนอยู่!


ในสถานการณ์แบบนี้ การลอบฆ่ามิสเตอร์ X เท่ากับรนหาความตาย… เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสเตอร์ X ถึงไม่แยแสความน่ากลัวของเบ็คลันด์… หน่วยพิเศษในเมืองหลวงคงเข้าใจว่า เบื้องหลังของมิสเตอร์ X คงมีระดับไม่แข็งแกร่งไปกว่านักบุญ… อา… ในเอกสารทางการ ผู้นำสูงสุดของชุมนุมแสงเหนือเป็นเพียงระดับนักบุญจำนวนห้าตน… หากเป็นแบบนี้ พวกเขาจะลงมือด้วยข้อมูลที่ผิดพลาด… หลังจากไคลน์ไตร่ตรองอย่างละเอียด ความคิดแรกคือการปฏิเสธงานของมิสเมจิกเชี่ยน และตักเตือนอีกฝ่ายว่าอย่ายุ่งกับมิสเตอร์ X


หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน และเอกสารของเหยี่ยวราตรีเคยบันทึกความโชคร้ายของอลัน·คริสต์เอาไว้ ไคลน์คงบอกให้มิสเมจิกเชี่ยนรายงานเรื่องของ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสและมิสเตอร์ X กับโบสถ์รัตติกาล!


ชายหนุ่มสงบสติอารมณ์สักพัก เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ บังคับให้สวดวิงวอนท่ามกลางหมอกสีเทา


“…ผมขอยืนยันสถานการณ์ก่อน จะตอบกลับในวันพรุ่งนี้”


ชายหนุ่มไม่ได้ตอบปฏิเสธทันที เพราะจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินให้แน่ใจก่อน!


จากนั้น มันกลับสู่โลกแห่งความจริง นำนกกระเรียนกระดาษที่เปราะบางออกจากกระเป๋าสตางค์อย่างระมัดระวัง ขยับเบาๆ เพื่อคลี่ออก


ไคลน์ไม่รีบร้อนเขียนเนื้อหา ก่อนอื่น มันนึกถึงคำถามที่ต้องการปรึกษา เขียนแบบร่างจนมั่นใจ ก่อนจะนำดินสอมาเหลาให้ปลายแหลมมากๆ


หลังจากเกร็งกล้ามเนื้อ ไคลน์ลงมือเขียน


“สมาชิกของชุมนุมแสงเหนือกำลังมองหาคนที่โชคร้ายเป็นพิเศษ”


“คุณรู้วิธีสร้างยันต์จาก ‘หนอนกาลเวลา’ หรือไม่?”


“เลือดจากสายสะดือของคุณถือเป็นเลือดของสัตว์ในตำนานไหม? ถ้าเป็น ผมต้องการหนึ่งหยด ราคาเท่าไร?”


เดิมที ไคลน์อยากถามวิล·อัสตินว่า เหตุใดอีกฝ่ายถึงยังครองสติไว้ได้ เพราะเอกสารหลายฉบับจากโบสถ์หลักระบุตรงกันว่า โลกนี้ไม่มีการบูชา ‘อสรพิษแห่งชะตา’ อย่างกว้างขวาง แต่สุดท้าย ชายหนุ่มหักห้ามใจตัวเอง เพราะกลัวว่าวิล·อัสติน – ทารกน้อยในครรภ์มารดา จะตอบกลับมาว่า “แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าข้ายังไม่เสียสติ?”


หากเป็นเช่นนั้นจริง ไคลน์ไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือล้อเล่น


อา… แม้จะไม่มีองค์กรใดนับถือ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ อย่างจริงจัง แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่นับถือ ‘เทพแห่งโชคลาภ’ เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน… บางที เทพเหล่านี้อาจเป็นร่างอวตารของวิล·อัสตินหรือโอโรเลอุส… ไคลน์พึมพำเงียบ อาศัยพลังตัวตลกเพื่อพับกระดาษกลับไปเป็นนกกระเรียน สอดไว้ใต้หมอน


จัดการทั้งหมดเสร็จ มันมีเวลาคำนวณว่าตนเหลือเงินสดอยู่เท่าไร


17,046 ปอนด์ ห้าเหรียญทอง สามซูล แปดเพนนี… หากเรามีทรัพย์สินจำพวกบ้าน คฤหาสน์ และหุ้นของบริษัทสักแห่ง เราจะกลายเป็นมหาเศรษฐีของกรุงเบ็คลันด์ได้ไม่ยาก… แน่นอน ยังห่างไกลกับอภิมหาเศรษฐีลำดับต้นๆ ของเมืองหลวงอยู่หลายขุม แต่ละคนมีทรัพย์สินรวมกันหลักล้านปอนด์ขึ้นไป… ไคลน์ที่กำลังดีใจกับความร่ำรวย ฉุกคิดได้ว่าตนยังเป็นหนี้อยู่ และยังต้องลงทุนอีกมาก เพื่อจะทำให้ตัวละครปัจจุบันมีความสมจริง


มันจิบน้ำหนึ่งอึก นอนลงบนเตียง คลุมตัวด้วยผ้านวมผืนเบาแต่อบอุ่น ค่อยๆ หมดสติและหลับไป


ท่ามกลางภวังค์ความฝัน ไคลน์ตื่นขึ้น รอบตัวคือทุ่งกว้างอันรกร้าง


ชายหนุ่มเดินเข้าไปในยอดหอคอยแหลมสีดำที่ตั้งอยู่กึ่งกลางทุ่งกว้าง ผ่านโครงสร้างอาคารที่ซับซ้อนและพิสดารจนกระทั่งถึงส่วนลึกของหอคอย และเฉกเช่นทุกครั้ง ภายในห้องเต็มไปด้วยไพ่ทาโรต์วางกระจัดกระจาย


ทว่า บนพื้นยกสูงใจกลางกองไพ่ทาโรต์ คราวนี้กลับไม่มีข้อความสีเงินปรากฏ


วิล·อัสตินไม่ได้ตอบเรา… แล้วดึงเข้าสู่ความฝันทำไม? ขณะไคลน์ผุดคำถาม มันเหลือบไปเห็นรถเข็นทารกสีดำค่อยๆ ขยับออกจากเงามืด ด้านในคือภาพอันเลือนรางของทารกที่ถูกห่อด้วยเส้นไหมสีเงิน!


“…มิสเตอร์อสรพิษแห่งชะตา?” ไคลน์ถามอย่างสุภาพและระมัดระวัง


ทารกเปล่งเสียงกระจ่างใส


“ทำไมเจ้าถึงมั่นใจว่าเป็นมิสเตอร์?”


ไม่ใช่เพราะชื่อรึไง? ใครจะสนรายละเอียดกันเล่า! ไคลน์รำพัน แต่เนื่องจากอีกฝ่ายมีท่าทีผ่อนคลาย ตัวมันจึงไม่ได้ตึงเครียด


“ถ้าอย่างนั้น จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร”


ทารกวิล·อัสตินนิ่งไปสักพัก กล่าวอย่างเขินอาย


“ข้ายังไม่ได้คิดไว้… ก็อย่างที่เจ้าทราบ… ไม่สิ เจ้ายังไม่ทราบ ทุกครั้งที่เริ่มต้นใหม่ ข้าจะทำให้ตัวเองแตกต่างจากเดิมเสมอ เพื่อคงสภาพจิตใจเอาไว้… เป็นเด็กก็ต้องทำตัวเหมือนเด็ก”


ฟังจบ ไคลน์เริ่มใจเต้น


“นี่คือวิธีที่เส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ ใช้สำหรับครองสติและต่อสู้กับความบ้าคลั่ง?”


วิล·อัสตินซึ่งนอนอยู่ในรถเข็นสีดำ ตอบกลับอย่างรวดเร็ว


“ถูกต้อง ทุกครั้งที่เริ่มต้นใหม่ ความบ้าคลั่งจะถูกลบล้างออกไปพร้อมกัน ทว่า ข้ายังต้องการผู้ศรัทธาในปริมาณพอสมควร ไม่อย่างนั้นจะมิอาจรักษาสถานภาพของลำดับ 1 ได้นานนัก… หึหึ เมื่อเทียบกับคราวก่อน เจ้ามีความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ”


หืม… นอกเหนือจากการสร้าง ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ยังมีวิธีอื่นที่ครึ่งเทพสามารถใช้ต่อต้านอาการเสียสติ… ทว่า การ ‘เริ่มต้นใหม่’ ถือเป็นพลังพิเศษเฉพาะตัวของ ‘อสรพิษปรอท’ ลำดับ 1 แห่งเส้นทางสัตว์ประหลาด ผู้วิเศษคนอื่นไม่สามารถเลียนแบบได้… มิสเตอร์อะซิกต้องสูญเสียความทรงจำและคอยฟื้นฟูกลับคืนมาใหม่ หรือนั่นก็เป็นวิธีขัดความบ้าคลั่งอีกหนึ่งแนวทาง? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด


“ผมสงสัยว่า โอโรเลอุสกำลังสั่งให้คนของชุมนุมแสงเหนือตามล่าคุณ”


วิล·อัสตินพ่นลมหายใจ


“ข้ากับเจ้านั่นเล่นซ่อนหากันมานาน และมันก็ไม่ถนัดเรื่องแบบนี้… ข้ามั่นใจว่าเจ้านั่นไม่เคยมีวัยเด็ก ทุกครั้งที่เริ่มเต้นใหม่ โอโรเลอุสจะเติบโตขึ้นเคียงข้างพระผู้สร้างแท้จริง ขาดประสบการณ์และสภาพจิตใจของแต่ละช่วงอายุ นั่นทำให้มันขาดสติในบางครั้ง แต่แน่นอน เจ้านั่นไม่แยแส… ข้าบอกให้ริคคาร์ดใช้ ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ เพื่อทิ้งกลิ่นอายไว้ในบางจุด สิ่งนี้จะทำให้ประสาทสัมผัสของโอโรเลอุสสับสน อีกไม่นานมันก็จะออกจากเบ็คลันด์”


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เรายังมีโอกาสลอบสังหารมิสเตอร์ X… อา… เมื่อถึงตอนนั้น ไว้ค่อยทำนายยืนยันอันตรายบนมิติสายหมอก… ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนาเดิม เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น


“คุณรู้วิธีสร้างยันต์จาก ‘หนอนกาลเวลา’ ไหม?”


วิล·อัสตินในรถเข็นเด็กไม่ตอบทันที ย้อนถามเชิงโวหาร


“เจ้าได้รับหนอนกาลเวลามาจากพาลีส·โซโรอาสเตอร์?”


“คุณรู้ได้ยังไง?” ไคลน์ผงะสองสามวินาทีก่อนจะถามกลับ


ชายหนุ่มมิได้ตกตะลึงในเรื่องที่วิล·อัสตินทราบว่า ‘หนอนกาลเวลา’ เกิดจากผู้วิเศษลำดับใด เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีครึ่งเทพของเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ ไม่มากนักที่สามารถสร้างร่างอวตารได้ด้วยหนอนกาลเวลา แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ทำไมอสรพิษปรอทถึงไม่เดาว่าเป็น ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์? เพราะรายหลังก็สามารถทิ้งหนอนกาลเวลาได้เช่นกัน!


วิล·อัสตินยิ้มและพูด


“พาลีส·โซโรอาสเตอร์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก จำต้องเป็นปรสิตอยู่ในร่างอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้า อา… จริงสิ อดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้ากำลังตามสอบสวนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เขาเคยบุกมาที่บ้านของข้ากลางดึก… ข้าสังเกตเห็นความปรกติบางอย่างในตัวเจ้านั่น จึงมอบโชคร้ายระยะสั้นให้เป็นบทเรียน ให้เขาต้องเผชิญหน้ากับครึ่งเทพตนอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ในกรุงเบ็คลันด์… และเมื่อตกอยู่ในอันตราย พาลีส·โซโรอาสเตอร์ก็ต้องออกมาช่วยแน่นอน… ฮะฮะ! แต่อันที่จริง ไม่สำคัญว่าพาลีสจะออกโรงหรือไม่ ข้าแค่แกล้งเล่นเท่านั้น หากตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเมื่อไร ข้าจะมอบโชคดีให้กับอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าอย่างทันท่วงที”


เลียวนาร์ดกำลังตามสืบสวนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้? คุณปู่ในร่างเลียวนาร์ดมีชื่อว่า พาลีส·โซโรอาสเตอร์… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเลียวนาร์ดถึงต้องสอบสวนเชอร์ล็อก


วิล·อัสตินเล่าต่อ


“สำหรับเจ้า การสร้างยันต์จากหนอนกาลเวลาไม่ใช่ที่เรื่องยากเกินไป สามารถทำได้โดยการสวดวิงวอนถึง ‘ความพิเศษ’ ในตัว วัสดุหลักคือปรอทและเงินบริสุทธิ์ จากนั้นก็เขียนสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องลงไป”


ง่ายๆ แบบนี้เลย? แค่สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล? นั่นสินะ เห็นได้ชัดว่ามิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทามักดึงดูดเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ ให้เข้ามาใกล้เราเสมอ… ไคลน์ตื่นเต้นเมื่อเริ่มเข้าใจบางสิ่งอย่างคลุมเครือ


ขณะเดียวกัน วิล·อัสตินยิ้มและพูดเสริม


“แต่จะเป็นสัญลักษณ์อะไรนั้น… ข้าเองก็ไม่ทราบ”


“…” หักมุมอะไรขนาดนี้… ใบหน้าไคลน์กระตุกเล็กน้อย


เมื่อเห็นว่าวิล·อัสตินหยุดพูด ชายหนุ่มยิ้ม


“ยังมีอีกหนึ่งคำถาม เลือดจากสายสะดือของคุณ…”


ยังไม่ทันกล่าวจบ วิล·อัสตินอ้าปากกว้าง แหกปากร้องออกมาเสียงดัง


“อุแว๊~”


มันร้องงอแงเหมือนกับเด็กทารกตัวจริง


“…” จะคุยกันดีๆ ไม่ได้หรือ? ไคลน์ถึงกับปวดหัว


หากไม่มีการยืนยันในตอนแรก ชายหนุ่มคงเกิดคำถามว่า ทารกตรงหน้าคือผู้วิเศษลำดับ 1 จริงหรือ? เป็นผู้นำสูงสุดขององค์กรลับเก่าแก่อย่างโรงเรียนชีวิตแน่ใช่ไหม?


“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว… ผมแค่อยากรู้ว่า เลือดของคุณถูกนับให้เป็นเลือดของสัตว์ในตำนานหรือไม่?” ไคลน์กล่าวพลางยกมือครึ่งหนึ่ง


วิล·อัสตินหยุดร้องไห้ ตอบด้วยรอยยิ้ม


“แน่นอน แต่ข้าจะแอบเปลี่ยนสายสะดือล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นทุกคนในห้องคลอดจะตายกันหมด”


มันเว้นวรรคเล็กน้อย


“หากเจ้าตอบแทนด้วยสิ่งที่เหมาะสม แค่หนึ่งหยดข้ามอบให้ได้… เอาล่ะ ไว้พบกันใหม่!”


วิล·อัสตินกล่าวจบ ไคลน์พลันตระหนักถึงการสั่นไหวของหอคอย ฉากความฝันแตกสลายอย่างรวดเร็ว


เพียงไม่นาน มันลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)